แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-5-14 02:39
324 นิมิตแห่งลางร้าย
(TUE) 13/05/2025 เวลา 9.00 น.
‘ไม่มีอีเมลตอบกลับมาเลยแฮะ…’
บุตรแห่งโพไซดอนนั่งหน้ามุ่ยจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือ ถือในถาดอีเมลที่ยังคงไม่มีจดหหมายฉบับใหม่ส่งมาทั้งที่ก่อนหน้านี้ตนส่งอีเมลสมัครงานไปยังศูนย์วิจัยและศูนย์สุขภาพหลายแห่งในนิวยอร์ก หลังจากที่รัฐบาลสั่งลดบดบาทรวมทั้งลดขนาดและงบประมาณของยูเอสเอไอดี (สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา) ลง บุคลากรทางด้านวิชาการก็ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ นักวิทยาศาสตร์รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์หลายคนตกงาน ฉะนั้นอย่าไปคิดถึงคนที่จะสมัครงานเข้าไปใหม่เลย ไม่มีหวัง!
‘ให้ตายสิ! อีกนิดสหรัฐฯ ต้องย้อนกลับไปสู่ยุคเรเนซองส์แน่ ๆ !’
แต่ต่อให้ถอนหายใจอีกพันครั้งและรออีเมลนัดสัมภาษณ์เฉย ๆ โดยเปล่าประโยชน์ก็คงไม่ดีเท่าไร หนุ่มดีนจึงได้เคลื่อนก้นออกมาหาอะไรบางอย่างทำ
หลังจากกลับมาจากช่วยโพไซดอนหาเสียงที่นีออม (แต่แพ้) บุตรแห่งโพไซดอนผู้ซึ่งควบตำแหน่งที่ปรึกษาบ้านคนปัจจุบันก็พักผ่อนในค่ายฮาล์ฟบลัดยาว ๆ โดยไม่ได้ออกไปไหนนานร่วมเดือน เข้าร่วมสนุกเล่นเกมจากบ้านต่าง ๆ จากแคมเปญ ‘ช่วยเหลือเพื่อการนอน’ (ตั้งชื่อเอง) ที่ผู้อำนวยการอย่างไครอนให้เด็ก ๆ สายเลือดเทพต่าง ๆ เสนอกิจกรรมเพื่อการนอนหลับที่ดีในช่วงของรัตติกาลที่สาปสูญ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า ‘อีเทอนัลซันไชน์’
นอกนั้นก็ไปรับไปส่งเหล่าน้อง ๆ ที่สนิทสนมไปโรงเรียน พอกลับมาก็เขียนรีซูเม่ ส่งอีเมลหางาน เข้าเว็บไซต์หางานวนไป
แต่ก็อย่างที่ว่า… ไม่มีงานทำ นอกนั้นก็ไม่ได้มีเหตุการณ์พิเศษใดอื่นให้พูดถึง
ทว่าช่วงสองสามวันนี้มีเรื่องกวนใจบางอย่างเกิดขึ้นกับดีน เขามักจะฝันถึงเหตุการณ์ประหลาดแว้บไปแว้บมาปะปนอยู่กับฝันเรื่องต่าง ๆ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือความฝันนั้นกลับเป็นสิ่งเดียวที่ดีนจำได้ชัดเมื่อยามตื่น
. . .
กรุ๊งกริ๊ง…
เสียงกระดิ่งที่ผูกไว้กับประตูคาเฟ่ส่งเสียงดังเมื่อบานประตูกระจกถูกผลักเปิดออก
“ยิน...ดี...ต้อน...รั---..... เหวอ!?!”
บาริสต้าที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์กาแฟจากที่อยู่ในอาการเหม่อลอยผวาเฮือก อีกฝ่ายร้องลั่นออกมาเมื่อเห็นเขาเดินเข้าไปหา ซึ่งภาพนั้นสร้างความฉุนเฉียวแก่ดีนในแบบที่เขาไม่เคยเป็น
“ตกใจอะไรนักหนา รีบทำงานของแกได้แล้ว!”
เขาตะคอกใส่พนักงานคนนั้นอย่างก้าวร้าวจนแม้แต่ตัวเองยังประหลาดใจ คนเคยทำงานบริการมาก่อนอย่างดีนเข้าใจหัวอกของคนที่ทำงานหน้าแคชเชียร์ด้วยกัน ดังนั้นแม้จะหงุดหงิดมาจากไหนเขาก็จะไม่มีทางเอาความโกรธไปโยนทุ่มใส่คนอื่นแบบนี้หรอก
“คะ..ครับ ขอโทษคุณลูกค้า ดะ..ด้วย.. ระ.. รับอะไรดีครับ” บาริสต้าเอ่ยด้วยเสียงสั่น ไม่ใช่แค่เสียงแต่ตอนนี้คนตรงหน้าสั่นไปทั้งตัว
“ดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์เหมือนเดิม เรื่องแค่นี้ทำไมถึงจำไม่ได้หา!?”
เขากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาตะโกนใส่หน้าจนน้ำลายกระเด็น แต่ก็จำใจต้องปล่อยอีกฝ่ายให้ไปทำงาน เพราะละแวกนี้น่าจะไม่เหลือชีสเบอร์เกอร์จากไหนให้กินอีก
แต่มาซื้อชีสเบอร์เกอร์ที่คาเฟ่เนี่ยนะ? ประหลาดชะมัด…
เมื่อได้ของมาชายหนุ่มก็เดินออกจากร้านคาเฟ่โดยไม่จ่ายเงิน สายตาที่มองตรงไปตามถนนคอนกรีตที่ขนาบข้างสองฝั่งไปด้วยบ้านคน หากเป็นเขาในยามปกติคงโบกมือทักทายเพื่อนบ้าน ทว่าเพื่อนบ้านในตอนนี้ต่างเก็บตัว บ้างก็แอบมองชายหนุ่มจากหน้าต่างที่รูดม่านปิด
จนกระทั่งเขาเดินผ่านชายอีกคนที่สูงใหญ่ไม่แพ้กัน
“ไงเควิน ออกมาหาอาหารเหรอ?” เขาเอ่ยทัก
“ใช่ เสบียงที่ตุนไว้ใกล้จะหมด บางตัวก็ผอมแห้งแทบไม่มีเนื้อให้แทะ วันนี้เลยว่าจะเลือกตัวที่อ้วน ๆ หน่อย” คนที่ชื่อเควินตอบกลับ
“งั้นลองไปดูที่บ้านหกห้าศูนย์สิ มีตัวนึงที่เนื้อเยอะดี แต่อย่าไปทำอะไรร้านคาเฟ่ล่ะ เดี๋ยวไม่มีคนทำชีสเบอร์เกอร์ให้กิน”
“ได้ เดี๋ยวลองไปดู”
ดีนไม่รู้ว่าเขากำลังคุยอะไรกับเจ้าคนที่ชื่อเควิน แต่เมื่อเหลียวหลังกลับไปมองเขาก็เห็นว่าเควินเดินดุ่ม ๆ ไปที่บ้านหมายเลขหกห้าศูนย์แล้ว เขาหันกลับมามองถนนราวกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกไม่กี่นาทีคือเรื่องธรรมดา ๆ จากนั้นเสียงกรี๊ดร้องโหยหวนก็ดังขึ้นมาจากข้างด้านในบ้าน ก่อนจะหยุดลงราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดขยับเคลื่อนไหวได้อีก
จนมาถึงบ้านเลขที่ ‘หกห้าเจ็ด ถนนบูเลอวาร์ด’ เขาถึงได้เลี้ยวแล้วเข้าไปข้างใน ภายในบ้านทั้งมืดและรกราวกับเป็นบ้านร้าง กลิ่นเหม็นอันน่าสะอิดสะเอียนลอยคลุ้งไปทั่วแต่ตัวเขาในฝันกลับคิดว่านี่ช่างเป็นกลิ่นของอาหารที่ช่างหอมหวานเสียเหลือเกิน แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับ ‘ขยะ’ ที่เขาเพิ่งไปรีดไถมาจากคาเฟ่หน้าปากซอย
ประตูลงสู่ชั้นใต้ดินถูกซ่อนด้วยกลไกลับ ใต้นั้นราวกับคุกในเกมสยองขวัญ ความมืด ชื้น อับ และลูกกรงขึ้นสนิม เสียงร้องไห้ด้วยความสั่นกลัวของ ‘อาหาร’ ดังระงมภายในกรงขัง บ้างก็เกิดอาการบ้าคลั่งเอาหัวโขกกับกำแพงโดยหวังว่าความตายจะมอบอิสระภาพให้ แต่ว่าใครสนใจกันล่ะ ในเมื่ออาหารก็ต้องกลายมาเป็นอาหารหลังจากที่พวกมันตายอยู่ดี
ภายในกรงขังที่อยู่ในสุดของคุกใต้ดิน หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเจ้าสาวที่มอมแมมถูกโซ่ล่ามอย่างแน่นหนาภายในกรงขัง ผิวพรรณของเธอนวลผ่องจนแทบจะเรืองแสงในความมืดได้เมื่อแสงไฟจากคบเพลิงส่องกระทบผิว เรือนผมสองสีแผ่สยายถึงกลางหลัง บริเวณโคนผมขึ้นสีผมธรรมชาติแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้ย้อมผมมาเป็นเวลานาน
“อาหารของเจ้ามาแล้วฮักเนธีส” (ฮักเนธีส = สาวบริสุทธิ์ผู้ถูกเลือกบูชายัญด้วยเพลิง)
มืออันใหญ่โตจับปลายคางของเธอขึ้นมาเชยหน้า หญิงสาวคนนั้นมีใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตาสีไลท์บลูวาวโรจน์ไปด้วยความรังเกียจ แม้จะไม่ใช่สีเดียวกับที่ดีนเห็นบ่อย ๆ แต่ว่าเขาก็จำได้ว่าเธอคือ ‘ชาร์ล็อต ลิเลี่ยน’ ธิดาแห่งเฮคาที น้องสาวของแมคเคนซีนั่นเอง
ชาร์ล็อตสะบัดใบหน้าของเธอออกจากการจับกุม
“เอามือสกปรกของแกออกไปไอ้ไซคลอปส์น่ารังเกียจ!”
. . .
ซึ่งหากนำเหตุการณ์มาปะติดปะต่อกันก็น่าจะเรียงออกมาได้ประมาณนี้…
ความฝันก็ควรจะเป็นแค่ความฝันที่สารในสมองสร้างขึ้นจากความทรงจำหรือประสบการณ์ที่ฝังอยู่ในสมองส่วนอะมิกดาลา ด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์ทำให้ชายหนุ่มไม่ควรจะใส่ใจ ทว่ากลับมีกรณีตัวอย่างที่ฝันคือลางบอกเหตุและกลายเป็นจริงได้เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวอย่างแมคเคนซี ยิ่งฝันนั้นเกี่ยวข้องกับผู้ใช้มนตราแล้วก็ไม่ควรจะละเลย
ไหนก่อนหน้านี้ดีนคลับคล้ายคลับคลาว่าจะฝันถึงชาร์ล็อตหรือไม่ก็หลอนถึงเธอมาหลายหน เพียงแต่ตอนนั้นมันเป็นฝันที่ดูไร้สาระเกินไปหน่อยจึงไม่ได้จดจำ แต่นั่นทำให้เดมิก็อดหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ เขาเลยกลับไปที่กระท่อมหมายเลขยี่สิบแล้วคิดอยากจะทำความสะอาดห้องให้เธอเสียหน่อย
. . .
“ให้ผมช่วยร่ายเวทให้ไหมฮะ พี่จะได้ไม่เหนื่อย”
จูลี่เอ่ยถาม ในบรรดาเด็กน้อยบ้านเฮคาทีดูเหมือนว่าหนุ่มน้อยจากออสเตรเลียคนนี้จะช่ำชองด้านเวทมนตร์มากที่สุดเพราะอยู่มาก่อนใครเพื่อน ส่วนหนึ่งเพราะว่าเขาเป็นหอบหืดด้วยจึงไม่ควรปัดกวาดบ้านเองให้ฝุ่นฟุ้ง สู้ร่ายเวทใส่ไม้กวาดแล้วรอมันจัดการจากที่ไกล ๆ จะดีต่อสุขภาพมากกว่า
“ไม่เป็นไรจูลี่ค่อย ๆ วันนี้นายหยุดเรียนเพราะไม่สบายนี่นา เดี๋ยวฉันค่อย ๆ ทำไปก็ได้ นายไปพักผ่อนเถอะ” ดีนตอบ
“ได้ฮะ งั้นมีอะไรให้ผมช่วยก็เรียกนะฮะ” จูลี่พูดด้วยเสียงเหนื่อย ๆ จากนั้นเด็กชายก็เดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป
“งั้นให้ผมช่วยด้วยได้ไหมฮะ? อยากจะลองใช้เวทมนตร์ทำความสะอาดดู ผมยังไม่ค่อยคล่องเท่าไร น่าจะไม่ได้แย่งงานพี่ดีนทำมากนักฮะ” นิโคไลเสนอตัว
‘นิโคไล ครอฟต์’ เป็นน้องชายคนใหม่ของแมคเคนซี และอาจจะเป็นลูกเทพคนล่าสุดที่ได้เข้ามาในค่ายฮาล์ฟบลัด
แรก ๆ เด็กน้อยเกาะติดแฟนหนุ่มของเขาแจและค่อนข้างจะหวาดกลัวคนอื่น ๆ ภายในค่ายโดยเฉพาะพวกแซเทอร์คนงานหรือทหารยามเซนทอร์จากประสบการณ์ถูกลักพาตัวอันเลวร้ายที่ผ่านมา แต่สักพักก็เริ่มชินแล้วก็สนิทกับคนอื่น ๆ ได้ไม่ยากด้วยพื้นฐานที่เคยเป็นนักกีฬาและบ้านเป็นร้านกาแฟมาก่อน
“งั้นเหรอ.. เอางั้นก็ได้ นายต้องค่อย ๆ ทำความสะอาดนะนิคกี้ ไม่งั้นพี่ทำตามนายไม่ทันแน่ ๆ”
“ได้เลยฮะ!”
นิโคไลรับปากอย่างหนักแน่น จากนั้นเขาก็ร่ายคาถา “อินคันทาเร่ อะนิมา วิตา” ใส่ไม้ปัดขนไก่ให้มีชีวิต มันออกเดินได้สามก้าวจากนั้นก็ล้มแปะ ๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่ดูอยู่ได้ไม่ยาก
“เอ้า สู้เขาเจ้าไม้ขนไก่!”
ดีนให้กำลังใจเครื่องมือที่เพิ่งล้มไปรอบที่สามพร้อมกับยีหัวนิโคไลที่กำลังฝึกควบคุมเวทด้วยความเอ็นดู จากนั้นเขาก็หยิบไม้กวาดแล้วเริ่มทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูซอกมุมต่าง ๆ ภายในห้องนอนของชาร์ล็อต แม้ว่าภายในห้องของสาวน้อยวัยรุ่นจะตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีดำไม่ต่างจากห้องของแมคเคนซี แต่ก็ประดับตกแต่งด้วยของน่ารัก ๆ อย่างผ้าม่านสีพาสเทล หรือตุ๊กตายัดนุ่นนุ่มนิ่มกินที่ไปครึ่งเตียง
‘เจ้าพวกนี้คงรอเจ้าของกลับมานอนกอดแย่แล้ว…’
เพล้ง!!
เสียงของแตกทำเอาคนที่กำลังจมอยู่กับความคิดสะดุ้งเฮือก เมื่อมองกลับไปเขาก็เห็นนิโคไลหน้าเจื่อนทำท่าขอโทษขอโพยให้ยกใหญ่
“ขะ.. ขอโทษฮะ ผมทำรูปของพี่สาวแตกซะแล้ว”
กรอบรูปของชาร์ล็อตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งหล่นลงมาแตกโดยมีเจ้าไม้ขนไก่ตัวต้นเหตุนอนตายอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่ไหวติง
“ไม่เป็นไรนิคกี้ นายไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม? ค่อย ๆ เดินออกมานะเดี๋ยวพี่ไปเก็บให้”
เสียงของแตกนั้นดังมากพอที่จะเรียกให้จูลี่และซิลเวอร์ที่กำลังพักผ่อนออกมาดูพร้อมหน้า มีแค่คนเดียวที่ไม่ออกมาคือแมคเคนซี สงสัยเมื่อคืนจะหนักไปหน่อย…
“มีอะไรกันเจ้าเด็ก?”
ซิลเวอร์เอ่ยถาม ยังไม่ทันได้รับคำตอบออกจากปากเรียวคิ้วสีเดียวกับเส้นผมสีเงินก็มุ่นเขาหากัน จากนั้นชายหนุ่มก็พึมพำอะไรบางอย่างพร้อมกับวาดนิ้วเป็นสัญลักษณ์เวทจากนั้นเศษกระจกก็ถูกเก็บกวาดออกจากรูปภาพและกรอบไม้จนหมด
“รูปแตกเหรอฮะ อย่างกับลางร้ายเลย…” จูลี่พูดเสียงเบาอยู่ข้างหลังพี่ชายตัวโต
“ลางร้ายเหรอ…?”
ดีนขมวดคิ้วคิดตาม ทั้งความฝันเอย ทั้งรูปแตกเออ เป็นสัญญาณของลางร้ายที่ทุกคนต่างรู้กันซึ่งแล้วแต่ใครจะเชื่อไม่เชื่อ หากเป็นปกติคนอย่างดีนไม่มีทางคิดว่าเป็นลางอยู่แล้วในเมื่อมีเหตุมีผลชัดเจน นิโคไลควบคุมเวทมนตร์ได้ไม่ดีพอจึงทำกรอบรูปตกลงมาแตก ทุกอย่างล้วนอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ทว่าสังหรณ์ในช่วงนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
“อุหวา.. ผะ..ผมขอโทษจริง ๆ ฮะ” นิโคไลพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดยิ่งกว่าเก่า
“ไม่เป็นไรน่าเจ้าเด็กอย่าไปคิดมาก แรก ๆ ที่ฉันฝึกใช้พลังทำของพังไปตั้งเยอะ” ซิลเวอร์เข้าไปปลอบน้องใหม่ แสดงมุมพี่ชายที่อ่อนโยนกับเขาก็เป็นเหมือนกัน
“ลูกพี่คิดว่านี่คือลางร้ายไหม?” ดีนเอ่ยถามทำเอาชายหนุ่มร่างสูงชะงักไปเล็กน้อย
“ฮื่ม... ถ้าพูดตามตรงก็ใช่ ยัยน้องสาวออกไปทำภารกิจเกือบปียังไม่กลับมาเลย แถมช่วงนี้นายก็ฝันถึงเธอบ่อย ๆ ด้วยใช่ไหม ถ้าถามสายเลือดอย่างพวกเราก็ต้องพูดว่าลางร้ายน่ะมีจริง”
“โอ๊ย แย่ชะมัดเลย! นอกจากรู้ว่าไปนิวเจอร์ซีย์กันแล้วก็ไม่รู้เลยว่าพวกชาร์ล็อตไปไหนกันต่อ!” ดีนหยุมหัวตัวเอง เขาไม่ชอบความกังวลของตัวเองในตอนนี้เลยให้ตายสิ!
“พี่เรเชล.. จะช่วยทำนายให้ได้ไหมฮะ?” จู่ ๆ จูลี่ก็เสนอไอเดียขึ้นมา ถ้าพึ่งข่าวสารไม่ได้ก็ต้องพึ่งพาหมอดูล่ะทีนี้
“ตัวแทนของเทพพยากรณ์ดูดวงแม่นอยู่แล้ว แต่ก็แปลกนะ แทนที่คนในบ้านเราจะฝันถึงชาร์ล็อตแต่กลับเป็นนายที่ฝันถึงเธอซะได้ หรือบางทีนายอาจเกี่ยวข้องกับภารกิจที่เธอกำลังทำอยู่ก็ได้นะเจ้าเด็ก” ซิลเวอร์ออกความคิดเห็น
“ง่ะ… ภารกิจอีกแล้วเหรอ” บุตรแห่งโพไซดอนเบ้หน้า คำว่าภารกิจช่างเป็นอะไรที่แสลงหูสุด ๆ เขาขอเป็นเดมิก็อดที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่มีเทพองค์ไหนจิ้มงานลงมาได้ไหม?
แต่เมื่อคิดว่าชีวิตของคน ๆ หนึ่งแล้วยิ่งเป็นน้องสาวคนสำคัญกำลังถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย ติดต่อไม่ได้ ชะตากรรมเป็นอย่างไรไม่อาจทราบ ก็ทำให้เขาตัดใจที่จะทิ้งความสุขสบายไว้เบื้องหลัง
“เอาก็เอาวะ จะเป็นคำพยากรณ์หรืออะไรก็ช่าง มันต้องลองดูกันหน่อย!”
จากนั้นดีนก็ออกจากกระท่อมหมายเลขยี่สิบตรงไปทางทิศเหนือของค่ายหรือก็คือถ้ำของเทพพยากรณ์ ส่วนงานทำความสะอาดที่เหลือปล่อยให้นางฟ้าแม่ทูนหัวของบ้านอย่างซิลเวอร์จัดการต่อ 
ฝันถึงลางบอกเหตุที่เกี่ยวกับชาร์ล็อตครั้งสุดท้าย
|