“ถ้าไปถึงที่นั่นเขาจะฟังฉันรู้เรื่องไหมนะ” เอโลอิสพึมพำ
“เอาน่าเด็กที่นั่นก็มาจากทั่วโลกนั่นแหละ มีเธอเพิ่มไปอีกคนก็คงไม่ได้ต่าง อีกอย่างเธอก็พูดภาษาอังกฤษเหมือนกับคนอเมริกันจะกลัวอะไรกัน” นอร่าเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเอโลอิสดูเป็นกังวลกับการไปในที่ต่างถิ่น
“แต่สำเนียงมันต่าง…ช่างเถอะ…”
เธอพยายามสลัดความกังวลทั้งหมดแล้วหันไปจัดข้าวของลงกระเป๋าต่อทั้งเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น และอาหารท้องถิ่นแบบสำเร็จรูปเผื่อว่าอาหารที่ค่ายจะไม่ค่อยถูกปากนัก น่าแปลกที่การตัดสินใจในครั้งนี้แม่ของเธอกลับยอมให้เกิดขึ้นอย่างง่ายดายทั้งที่สองแม่ลูกไม่เคยจากกันนานแม้แต่ครั้งเดียว ฟิโอน่าฝากเพียงความคิดถึงไปถึงพ่อเทพเจ้าของเธอที่ก็ไม่รู้ว่าเอโลอิสจะได้เจอหรือไม่ด้วยซ้ำ การที่แม่ยอมอาจเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของลูกสาวเพียงคนเดียวในเมื่อเท้าของเธอก้าวเข้าใกล้ความตายขึ้นทุกขณะ ตอนนี้เอโลอิสคิดเพียงว่าการเข้าค่ายฮาล์ฟบลัดคือทางรอดเดียวของเธอจากสารพัดเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่อายุ 12 ปี
“อย่าลืมพาสปอร์ตนะ” ฟิโอน่าทักขึ้นมา
“ไม่ลืมหรอกค่ะ อยู่นี่แล้ว” เอโลอิสชูพาสปอร์ตที่มีตราประเทศไอร์แลนด์อยู่บนปก
“แล้วก็ระวังตัวด้วยเข้าใจไหม ตอนกลางคืนต้องพกไฟฉายเราน่ะมันคนสายตาไม่ค่อยจะดีตอนกลางคืน แล้วก็ทำตัวดี ๆ ด้วยตอนอยู่ในค่ายอย่าไปมีเรื่องกับใครเข้า อย่าซ่าให้มากนัก เราเป็นเด็กใหม่ต่างบ้านต่างถิ่น…”
“นี่แม่ หนูไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะ อายุ 18 แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกไว้จะกลับมาเยี่ยมแบบครบ 32 ส่วนเลย ว่าแต่แม่อยู่คนเดียวได้จริง ๆ ใช่ไหม?”
“ลูกไม่อยู่แม่ก็ได้กลับเป็นสาวโสดไร้ลูกผัวอีกครั้งไง โฮะ ๆ”
“จ้า ๆ…” เอโลอิสถึงกับส่ายหัวกับมุกของแม่ แต่นั่นก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นไปอีกเปราะที่รู้ว่าแม่ยังโอเคดี
กระเป๋าและข้าวของถูกจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อย เอโลอิสเดินสำรวจทั่วบ้านเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเก็บเอากลิ่นอายบรรยากาศของบ้านที่เธออยู่มาตั้งแต่เกิดเอาไว้ในใจของเธอ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเข้าค่ายฮาล์ฟบลัดจะใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่เธอเชื่อว่าในสักวันจะกลับมาที่บ้านแห่งนี้อีกให้ได้เลย
“เอาล่ะ พร้อมหรือยังใกล้เวลาแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันเครื่องออก กว่าจะไปถึงสนามบิน”
“พี่ไว้ใจได้จริง ๆ ใช่ไหมที่บอกว่าจะไปส่งฉันถึงหน้าค่ายน่ะ”
เนื่องจากแม่ของเอโลอิสไม่สามารถลางานได้เพราะเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล คนที่จะไปส่งเอโลอิสจึงเป็นนอร่าอดีตรุ่นพี่บ้านฮาล์ฟบลัดที่วันที่ขับรถมาหาเธอแต่วัน อีกไม่ถึงชั่วโมงแม่ของเธอก็ต้องกลับไปเข้าเวรแล้วเช่นกัน
“พูดอะไรน่ะ ฉันรู้จักเธอมา 6 เดือนแล้วนะ เอาอะไรมาไม่ไว้ใจ จำไม่ได้เหรอฉันช่วยเธอจากอสุรกายในห้องสมุด จะเสี่ยงตายให้คนแปลกหน้าทำไมกันถ้าไม่ได้อยากช่วยจริง ๆ น่ะ” นอร่าพูดเสียยาวเหยียดเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องคนนี้ทำท่าทีสงสัยในตัวเธอ
“ก็จริง…”
“เอาข้าวของไปใส่ในรถได้แล้วไป”
“แต่ถ้าพี่เล่นตุกติกแล้วเอาฉันไปขายล่ะก็…ฉันจะเอามีดแทงพี่จริง ๆ นะ”
“ยัยบ้าไม่ทำหรอกน่า ฮ่า ๆ”
นอร่าหัวเราะให้กับคำพูดเพ้อเจ้อของเอโลอิสก่อนจะมาช่วยขนของไปใส่ที่รถ ตามด้วยเอโลอิสและฟิโอน่าที่มาช่วยกันขนของใส่รถจนครบ แล้วก็มาถึงเวลาที่ต้องร่ำลากันจริง ๆ เสียที เอโลอิสเดินเข้าไปสวมกอดแม่ของเธอ เอาหน้าซุกเหมือนต้องการจะอ้อนแม่ พอไม่เคยห่างกันมันก็เลยทำใจยากนิดหน่อย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องไปล่ะนะ
“ดูแลตัวเองด้วยนะคะแม่”
“ไม่ต้องห่วงโชคดีนะ ฝากความคิดถึงถึงพ่อด้วย”
เอโลอิสพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่นอร่าสตาร์ทรอไว้แล้ว หลังจากสวมเข็มขัดนิรภัยเสร็จ เธอก็เลื่อนกระจกรถลงอีกครั้งเพื่อโบกมือลาแม่ รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านของเธอมุ่งสู้สนามบิน การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของเธอกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!