[รัฐวอชิงตัน] [ลินน์วูด] Burghard’s House

[คัดลอกลิงก์]

หากท่านเป็นกึ่งเทพผู้หลงทาง สามารถสมัครสมาชิกเข้าร่วมกับเราได้ที่นี่ https://t.me/+etLqVX17bGg5ZjBl

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×



Burghard's House







บ้านหลังเล็ก ๆ ของครอบครัวบูร์กฮาร์ด ณ เมืองลินน์วูด เมืองสงบสุขอันแสนงดงามซึ่งอยู่ห่างจากซีแอตเทิลไปทางเหนือราว 16 ไมล์ รอบบ้านประดับประดาด้วยแมกไม้เสียเป็นส่วนใหญ่ดูกลมกลืนกับสีเทาของตัวบ้านสไตล์คอทเทจให้บรรยากาศร่มรื่น





แสดงความคิดเห็น

God
โพสต์ 2157 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-4-19 00:46
โพสต์ 2024-4-19 22:33:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sinclair เมื่อ 2024-4-19 22:39

Page 1

The Beginning


          คุณเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้บ้างหรือเปล่า? ผีสาง แม่มด เวทมนตร์ ปีศาจ เทพเจ้า หรือแม้กระทั้งนิทานหลอกเด็กอย่างซานต้าคลอส โอ้พระเจ้า! เดี๋ยวนะ ฉันเชื่อเรื่องพวกนั้นไปได้ยังไงกัน และแน่นอนว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคนอย่างแน่นอน ฉันเชื่อแบบนั้น

          ก็มันน่าหลงใหล น่าตื่นตาตื่นใจ และน่าสนุกนี่นา ว่าไหม?

          ตั้งแต่จำความได้ตอนที่ฉันยังเด็ก แม่มักจะเล่านิทานปรัมปรา ความเชื่อ หรือเทพนิยายให้ฉันฟังเสมอ แหงล่ะ แม่เป็นนักเขียนก็เลยมีเรื่องราวสนุก ๆ มาเล่าให้ฉันฟังตลอด และฉันก็ชอบที่จะฟังเรื่องราวเหนือจินตนาการเหล่านั้นก่อนนอนเสียด้วยสิ ไม่ว่าจะเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็ตามแต่ เรื่องราวเหล่านั้นมันช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน แม่เคยบอกว่าเทพเจ้ามีอยู่จริงและพวกเขาก็อยู่ข้าง ๆ เราเสมอ ‘ขอเพียงแค่เรายังเชื่อมั่น มีศรัทธา’

          ฉันก็อยากจะเชื่อเช่นนั้น จนกระทั่งแม่ได้จากไป…

          ซินแคลร์ บูร์กฮาร์ด คือชื่อของฉันเอง และถ้าหากคุณเคยอ่านวรรณกรรมเรื่องหนึ่งของ เฮอร์มานน์ เฮสเส แล้วล่ะก็ คุณต้องรู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูอย่างแน่นอน ใช่แล้ว ‘เอมิล ซินแคลร์’ จากวรรณกรรมเรื่อง ‘เดเมียน’ นั่นเอง

          โอลิเวีย บูร์กฮาร์ด แม่ของฉันเป็นนักเขียนนวนิยายและบทความที่ไม่ได้โด่งดังอะไรมากมาย แม่ค่อนข้างที่จะชื่นชอบวรรณกรรมของเฮสเสเป็นอย่างมากถึงขั้นได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนหลายๆ อย่างมาจากเขาเลยทีเดียว รวมถึงแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อให้ลูกด้วยกระมัง? แต่บอกตามตรงฉันไม่ได้ชอบชื่อนี้สักเท่าไหร่หรอกนะ ก็เพราะคำว่า ‘Sin’ พอมันมาอยู่ในชื่อของฉันแล้วมันช่างไม่เป็นมงคลเอาซะเลยน่ะสิ แม่ของฉันเล่าว่าเธอตั้งชื่อนี้ไว้ให้ฉันก่อนที่จะรู้ว่าในท้องเป็นเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชายเสียอีก เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ฉันก็อดที่จะกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้อยู่เหมือนกัน แม่คงนึกเสียดายไม่น้อยที่ได้ลูกสาวแทนที่จะเป็นลูกชายอย่างตัวเอกของเรื่องที่ชื่อ เอมิล ซินแคลร์ ตามที่คิดจะตั้งไว้ให้ฉัน

          อันที่จริงฉันคิดว่า เอมิล ยังฟังดูดีมากกว่า ซินแคลร์ ตั้งเยอะ

          ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้อยู่กับแม่ก่อนที่ท่านจะประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินและจากโลกนี้ไป น่าจะเป็นตอนที่ฉันอายุได้ห้าขวบ เพราะแม่ต้องไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศเพื่อหาแรงบันดาลใจในงานเขียนหนังสือเรื่องใหม่ ๆ เราจึงไม่ได้อยู่ด้วยกันบ่อยนัก หนึ่งปีเราจะได้พบกันเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น คือ วันเกิดของฉัน และวันคริสต์มาส ดังนั้นแม่จึงฝากฉันเอาไว้กับน้องสาวอย่าง รีเบคก้า ซึ่งก็คือน้าแท้ ๆ ของฉันเอง จนกระทั่งในคืนวันเฉลิมฉลองกับครอบครัวที่น่าจะเป็นวันที่อบอุ่นในคืนฤดูหนาวอย่างวันคริสต์มาสอีฟ ตอนที่ฉันอายุแปดขวบ เราก็ได้รับข่าวร้ายว่าแม่ไม่อยู่แล้ว…

          ในตอนที่ยังเด็กมาก ๆ ฉันเคยสงสัยว่าพ่อเป็นใคร หน้าตาเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน? เราไม่เคยพบกันมาก่อน แต่แม่และเบคกี้ก็ไม่เคยปริปากพูดถึงเรื่องของเขาออกมาสักประโยค บางทีความสัมพันธ์ระหว่างแม่และผู้ชายคนนั้นอาจจะไปได้ไม่ค่อยสวยก็เป็นได้กระมัง ฉันคิดแบบนั้น จนวันที่ได้รับข่าวว่าแม่จากไป ที่หน้าโลงศพของแม่ นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเอ่ยปากถามเบคกี้ถึงเรื่องของพ่ออย่างจริงจังแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือการโกหก อย่างน้อยพวกเขาควรที่จะให้ฉันรู้อะไรถึงเรื่องของพ่อบ้าง แต่เบคกี้ไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงโอบกอดฉันไว้แน่น คงมีเพียงอ้อมกอดของแม่กับเบคกี้ที่ทำให้ฉันใจเย็นลงได้เสมอ

          ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามฉันไม่เคยโกรธที่เขาทิ้งพวกเราไป แต่ยอมรับว่าฉันรู้สึกเสียใจที่ในงานศพของแม่ไม่มีแม้แต่เงาของผู้ชายคนนั้น

          เขาคงทิ้งพวกเราไปแล้วอย่างแท้จริง

          ตั้งแต่จำความได้ฉันก็อาศัยอยู่กับแม่และน้ารีเบคก้าที่บ้านหลังเล็ก ๆ ในเมืองลินน์วูด เป็นบ้านที่คุณยายสร้างไว้ให้กับแม่และน้า เมืองอันสงบสุขที่ขับรถไปอีกเพียงไม่กี่ไมล์ก็ไปเดินเล่นในแคนาดาได้แล้ว และที่นั่นอยู่ห่างจากมหานครซีแอตเทิลเพียงแค่สิบหกไมล์เท่านั้น อากาศเย็นสบายถึงขั้นเรียกว่ามีฝนตกเกือบตลอดทั้งปี ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยชอบบรรยากาศชื้นแฉะตอนฝนตกสักเท่าไหร่ แต่ความเป็นอยู่ของฉันในเมืองแห่งนี้นับว่าไม่เลวเลย

          หลังจากเสียแม่ไปฉันก็อยู่กับน้ารีเบคก้าเพียงสองคน แต่มันก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติเพราะแม่ไม่ค่อยได้กลับบ้านอยู่แล้ว อันที่จริงฉันพยายามทำให้มันเป็นเรื่องปกติ แค่วันเกิดของฉันกับคืนวันคริสต์มาสมันไม่ได้อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนแล้วเท่านั้นเอง จนถึงตอนนี้ฉันก็ชินแล้วล่ะนะ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ฉันก็ยังคงคิดถึงแม่อยู่เสมอ

          เบคกี้เป็นครูสอนเปียโน ฉันหมายถึงรีเบคก้าน่ะ เราสนิทกันถึงขั้นที่ฉันเรียกชื่อน้าได้อย่างสนิทสนมเชียวล่ะ เธอมักจะไปสอนเปียโนให้กับเด็ก ๆ ที่โบสถ์และตามบ้านของพวกคนมีเงินที่นิยมจ้างครูเปียโนให้มาสอนลูกของพวกเขาที่บ้าน เบคกี้ทั้งน่ารัก อ่อนโยน และใจดี เธอเป็นที่รักของพวกเด็ก ๆ รวมถึงฉันด้วย ตอนเด็กฉันกลายเป็นเด็กติดน้าแจและมักจะหาข้ออ้างไม่ยอมให้เธอออกจากบ้านไปสอนเปียโนเสมอ แต่เธอก็รับมือกับความปั่นป่วนของฉันได้ตลอด เบคกี้เป็นผู้หญิงที่เพรียบพร้อม ฝีมือทำอาหารอร่อยอย่าบอกใครเชียว เสียอย่างเดียวที่เธอค่อนข้างที่จะซุ่มซ่ามไปหน่อย ดังนั้นงานในบ้านฉันจึงอาสาเป็นคนจัดการทั้งหมดเสียก่อนที่บ้านจะพังลงมา

          ถึงวัยเด็กฉันจะมีปัญหาด้านพัฒนาการ คือ เป็นโรคดิสเล็กเซียและโรคสมาธิสั้น แต่อย่างน้อยชีวิตวัยเด็กของฉันก็ดูเหมือนจะราบรื่นเป็นปกติสุขอย่างคนทั่วไปจนกระทั่งวันเกิดอายุครบสิบสองปีมาถึง ตั้งแต่วันนั้นก็มีบางสิ่งผิดแผลกแปลกไปจากที่เคยเป็น หรือมันจะเป็นเพราะคำว่า Sin ในชื่อของฉันที่แม่ตั้งให้กันนะ?

          จากนี้เป็นต้นไปจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด เรื่องราวของเด็กหญิงที่มีชื่อว่า ซินแคลร์ บูร์กฮาร์ด

          ฉันจำได้ขึ้นใจว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่ฉันอายุได้สิบสองปี ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอาการประสาทหลอน สัมผัสที่หกงั้นเหรอ? เปล่าเลยมันน่ากลัวกว่านั้นเยอะ!

          อย่างแรกคือฉันมักจะรู้สึกว่ามีใครกำลังจ้องมองอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนกลางคืน เวลาที่เผลอมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาของฉันมักจะเห็นเงาดำมืดน่าสะพรึงกลัวทำเอาขนหัวลุก หลังเย็นวาบ ตัวสั่นสะท้าน ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปหรอกนะเพราะมันไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ทีแรกฉันคิดว่าอาจจะเป็นความบรรเจิดของจินตนาการ บ่อยเข้ามันทำให้ฉันกลายเป็นโรคกลัวความมืด แต่อย่างน้อยเบคกี้ก็จะคอยอยู่ข้าง ๆ ในตอนกลางคืน คอยจับมือและเล่านิทานให้ฟังจนกว่าฉันจะหลับไป

          เรื่องราวแปลกประหลาดมันไม่ได้มีเพียงแค่นั้น มันเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ตอนไปโรงเรียน ตอนกลับบ้าน หรือในทุก ๆ ที่ ทุกวัน ฉันยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาคู่นั้น…หรืออาจจะหลายคู่? ฉันเริ่มที่จะกลายเป็นเด็กมีปัญหา นอกจากพบนักพัฒนาการเด็กแล้วยังพบจิตแพทย์อีก เห็นได้ชัดว่าเบคกี้กังวลและเป็นห่วงเรื่องฉันอย่างมาก ฉันพยายามทำให้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บอกตามตรงฉันอาจจะแค่กลัวผี

          ทว่าไม่ใช่เสียทีเดียว…

          อาการประสาทหลอนของฉันดำเนินไปอยู่ประมาณปีครึ่งเห็นจะได้ ฉันคิดว่าตัวเองอาจจะกำลังตกอยู่ในชะตากรรมที่ใกล้เคียงกับ เอมิล ซินแคลร์ ไปแล้วจริง ๆ แต่จะมีความต่างกันนิดหน่อยตรงที่หากเปรียบเทียบรอยแยกระหว่างโลกสองใบ ความดีและความชั่วร้าย สถานการณ์ของฉันตอนนี้คือโลกปกติสุขกับโลกแห่งภยันตรายที่ยากจะอธิบาย หากเล่าออกไปคุณต้องไม่เชื่อแน่ เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่คิดว่าฉันสติไม่ครบส่วน ในที่สุดความน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุดก็ปรากฏกายออกมาให้เห็นเบื้องหน้าชัด ๆ ตัวเป็น ๆ !




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 18800 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2024-4-19 22:33
โพสต์ 18,800 ไบต์และได้รับ +5 EXP จาก โรคดิสเล็กเซีย  โพสต์ 2024-4-19 22:33
โพสต์ 18,800 ไบต์และได้รับ +5 EXP จาก โรคสมาธิสั้น  โพสต์ 2024-4-19 22:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำหอมสตรี
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
สร้อยข้อมือถัก
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โรคสมาธิสั้น
โพสต์ 2024-4-23 00:55:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sinclair เมื่อ 2024-4-23 01:20

page 2



When you know



          เคยมีคำกล่าวว่า ‘คุณจะปลอดภัยดี เมื่อคุณไม่รู้อะไร’ จดจำคำนี้ไว้ให้ดี

          เสียงระฆังดังขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลาเลิกเรียน วันนี้เป็นวันสุดท้ายในรั้วไฮสคูลของซินแคลร์ ปีนี้เป็นปีที่เธออายุสิบเก้า แต่เธอนั้นเข้าเรียนช้ากว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันหนึ่งปี เพราะเมื่อวัยเด็กซินแคลร์มีพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กทั่วไปนิดหน่อย กว่าจะพร้อมเข้าสู่วัยเรียนก็ล่าช้ากว่าเพื่อนวัยเดียวกันไปแล้ว สำหรับซินแคลร์มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมาย

          ถึงจะเป็นวันสุดท้ายของเกรดสิบสองแต่หญิงสาวก็ยังหมายมั่นพาตัวเองไปที่สนามกีฬาของโรงเรียน ซินแคลร์เลือกที่จะเข้าชมรมกรีฑาในชั้นมัธยมปลายถึงแม้ว่าตนเองนั้นจะชอบดนตรีมากก็ตาม ขณะที่อยู่นอกบ้านซินแคลร์เพียงแค่อยากจะหากิจกรรมบางอย่างทำ กลมกลืนกับผู้คน อาจเป็นเพราะโรคสมาธิสั้นจึงทำให้เธออดทนที่จะนั่งอยู่นิ่งไม่ได้นาน

          วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่อากาศเป็นใจ แม้ท้องฟ้าจะมีเมฆเป็นส่วนมากแต่อย่างน้อยฝนก็ยังไม่ตกลงมา ร่างโปร่งของหญิงสาวในชุดกีฬาทะมัดทะแมงเคลื่อนกายไปที่ขอบสนามหญ้า ผมสีบลอนด์ที่เดิมทีถูกปล่อยสยายถูกเกล้าขึ้นไปเป็นหางม้าอย่างลวก ๆ นัยน์ตาสีเดียวกับฟากฟ้าทอประกายสดใส ด้วยภาพลักษณ์เช่นนี้จึงทำให้ซินแคลร์ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมานิดหน่อย หลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วเธอตั้งใจว่าจะวิ่งรอบสนามสักห้ารอบ ปล่อยให้เครื่องอุ่น แล้วค่อยคิดต่อว่าจะกลับบ้านดีหรือไม่

           “เฮ้! ระวัง!!”

          สิ้นเสียงร้องเตือน เมื่อหันไปทางต้นเสียงดวงตาสีครามก็ต้องเบิกกว้าง พบว่ามีบอลลูกขนาดเท่าฝ่ามือกำลังเคลื่อนที่มาทางนี้ด้วยความเร็ว ซินแคลร์หลุบตัวหลบได้ทันอย่างเฉียดฉิวเสียก่อนที่มันจะลอยมากระแทกศีรษะ

         เกือบไปแล้วเชียว… ซินแคลร์ใจหล่นวูบ รู้สึกว่าตนเองอายุขัยสั้นลงไปสามปีเลยทีเดียว โชคดีจริง ๆ ที่โหมดรับรู้อันตรายของเธอถูกเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา

         “โทษทีแคลร์” ตามด้วยเสียงตะโกนของเจ้าของบอลที่รีบวิ่งตาลีตาเหลือกมาแต่ไกล เขาโก่งตัวหอบอยู่สองสามเฮือกก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?”

           แหงสิ เขาเกือบส่งท้ายไฮสคูลด้วยการส่งเธอเข้าโรงพยาบาลแล้วไหมเนี่ย ชายหนุ่มผิวสีเข้มผมสีอ่อนมาดนักกีฬาสังกัดชมรมเบสบอลตรงหน้าคือ นิโคลัส เมอร์ตัน เพื่อนร่วมชั้นของซินแคลร์

         “นี่นายคิดจะเอาเลือดที่หัวฉันออกรึยังไงนิค” ซินแคลร์ร้องประท้วง

         “ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ” นิโคลัสกล่าวเสียงจ๋อย “เอาเป็นว่าฉันจะเลี้ยงแฮมเบอร์เกอร์ใส่มายองเนสเยอะ ๆ ที่เธอชอบเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน”

         “ตกลง! นายพูดเองนะ” ซินแคลร์กล่าวก่อนที่จะปิ๊งไอเดียขึ้นมา เธอกล่าวต่อ “โอ้ ถ้างั้นขอฉันเล่นเบสบอลด้วยสักเกมสิ”

          “ได้สิไม่มีปัญหา ฉันกำลังอยากพักเหนื่อยอยู่พอดี” นิโคลัสกล่าว

          “กัปตันชมรมพูดแบบนี้ออกมาได้ด้วยเหรอ?” ซินแคลร์แทบจะหลุดหัวเราะออกมา

          นิโคลัสยักไหล่ อย่างไรเสียก็เป็นวันสุดท้ายของมัธยมอยู่แล้วนี่นา

          นอกจากกรีฑาแล้วยังมีกีฬาอีกหนึ่งประเภทที่ซินแคลร์ชื่นชอบก็คือเบสบอล มันคือกีฬาประเภทเดียวที่เด็กสมาธิสั้นอย่างเธอจะสามารถมีสมาธิจดจ่อกับลูกกลม ๆ นั่นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจ เมื่อถึงเวลาที่ต้องขว้างลูกออกไปหรือใช้สายตาจับจ้องเพื่อตีลูก เธอมักจะทำมันออกมาได้แม่นยำ หากไม่นับรวมวิชาศิลปะและดนตรี เห็นทีจะมีแต่วิชาพละที่ทำให้เธอได้คะแนนสูงลิ่วผิดกับด้านวิชาการที่ไม่เคยผ่านพ้น C ไปได้สักครั้ง โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ แต่ดูเหมือนจะมีอีกหนึ่งวิชาที่ซินแคลร์ทำคะแนนออกมาได้ดีเกินคาดคือวิชาภาษากรีก ทั้งที่เธอมีปัญหาด้านการอ่าน ศัพท์ภาษาอังกฤษในบรรทัดมักจะเลื่อนลอยเหมือนว่ากำลังตกอยู่ในอาการตาลายเมื่อพยายามตั้งใจอ่านมัน ทว่ากลับกันภาษากรีกกลับกลายเป็นเรื่องกล้วย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อไปได้

           ตกเย็นก่อนจะเดินทางกลับบ้าน ซินแคลร์คิดจะแวะไปหาเบคกี้ที่ร้านเครื่องดนตรีเสียหน่อย คราแรกรีเบคก้าเช่าที่ตรงนี้เพื่อเปิดคอร์สสอนเปียโนในราคายอมเยา แต่เราพบว่าผู้คนชนชั้นกลางอย่างพวกเราแทบจะไม่มีใครคิดจะเสียเงินไปโดยไม่จำเป็นอย่างการสมัครเรียนเปียโนหรอก เบคกี้จึงล้มเลิกและเปลี่ยนมาขายเครื่องดนตรีที่ไม่ได้ใหญ่มากอย่างเช่นเครื่องสายพวกนี้แทน และอาจจะรับงานสอนเปียโนเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษหากมีลูกค้าท่านใดที่สนใจ

          ในที่สุดแสงสีทองของอาทิตย์ยามสนธยาก็ทะลุผ่านชั้นเมฆลงมาทักทายชาวเมืองฝนอย่างเราบ้างเสียที ถึงกระนั้นบนชั้นบรรยากาศด้านบนก็ยังมองเห็นหมู่เมฆลอยอยู่ทึบฟ้า ที่หน้าร้านเครื่องดนตรีซินแคลร์เห็นรีเบคก้ากำลังยืนสนทนากับใครบางคนอยู่ ใบหน้าของเบคกี้ยิ้มแย้มและหัวเราะอย่างแจ่มใส ซึ่งชายอายุราวสามสิบคนนั้นก็คือมาร์ติน โลเปซ อย่างไม่ต้องสงสัย ภายในสองเดือนมานี้ซินแคลร์มักจะเห็นเขาอยู่รอบตัวเบคกี้บ่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าพ่อหนุ่มผมสีดำสนิทคนนั้นกำลังพยายามตามจีบเบคกี้อยู่ ซินแคลร์เคยได้พูดคุยกับเขานิดหน่อยตอนที่เผลอเข้าไปอยู่ในวงสนทนาของทั้งสองโดยไม่ตั้งใจ สารภาพว่าตัวเธอเองไม่ค่อยอยากจะขัดจังหวะพวกเขาสักเท่าไหร่ ออกจะดีใจด้วยซ้ำถ้าหากน้าของเธอจะตกลงปลงใจกับใครสักคนอย่างจริงจัง ปีนี้รีเบคก้าก็อายุสามสิบหกเข้าไปแล้วแต่ยังโสดสนิท แม้ว่าหน้าตาออกจะสะสวยและใจดีมากก็ตาม

          ซินแคลร์ยังอยากไม่เข้าไปขัดจังหวะหวานแหววของคู่รักในตอนนี้ เธอจึงเดินไปที่โบสถ์ซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล รู้ตัวอีกทีสองขาก็พาหญิงสาวมายืนที่สุสานเซนต์มิคาเอล รูปประติมากรรมพระแม่มารีย์ตั้งตระหง่านอยู่หน้าทางเข้า แม้จะผ่านร้อนผ่านฝนมาอย่างยาวนานทว่าอนุสรณ์ของพระนางก็ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม ยามนี้รอบโดยรอบเหลือเพียงแต่ความเงียบสงัด ซินแคลร์ไม่ได้พกอะไรติดไม้ติดมือมาเป็นของเยี่ยม เธอแค่อยากจะมาทักทายโอลิเวียนิดหน่อยเพียงเท่านั้น

          “สวัสดีค่ะแม่ ในที่สุดหนูก็เรียนจบไฮสคูลแล้ว ถึงชีวิตในโรงเรียนจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่บ้างแต่ก็เรียนจบมาได้สักที จากนี้ไปเบคกี้ก็คงหมดห่วงเรื่องหนูแล้วล่ะค่ะ” ซินแคลร์กล่าวก่อนจะวางดอกไม้ที่เพิ่งเก็บมาจากข้างทางเมื่อครู่ที่หน้าป้ายสุสาน เธอกล่าวต่อ “หนูสบายดีนะคะแม่ไม่ต้องห่วง คิดถึงแม่เสมอ”

          วูบหนึ่งสายลมพลันพัดพาเอาดอกไม้เล็ก ๆ ที่หน้าป้ายบอกนามปลิวกระจัดกระจาย แสงแห่งดวงตะวันหลบซ่อนตัวในหมู่เมฆทมิฬอีกครั้ง ท้องฟ้าเริ่มมืดลง อีกไม่นานก็คงถึงเวลาพลบค่ำ บรรยากาศอึมครึมสีเทาเช่นนี้ทำให้ซินแคลร์เกิดความรู้สึกอึดอัดได้ทุกครั้ง เธอกลัวความมืดแต่ก็ยังอยากที่จะเอาชนะมัน

          หญิงสาวบอกลามารดา เธอรีบเดินกลับไปที่ร้านเครื่องดนตรีอีกครั้งแต่ก็พบว่าเบคกี้ปิดร้านไปแล้ว ซินแคลร์จึงจำใจต้องเดินกลับบ้านคนเดียว หากเป็นไปได้ก็อยากที่จะถึงบ้านก่อนตะวันตกดิน เพราะฟ้ากฟ้าที่ไร้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย ซินแคลร์กระชับกระเป๋า เกิดลางสังหรณ์บางอย่างที่คุ้นเคย มีบางอย่างกำลังติดตามเธออยู่ โหมดรับรู้อันตรายของถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง

          เมื่อหันหลังไปก็พบว่าเจ้าของฝีเท้าที่เดินตามมานั้นคือ…

          “คุณโลเปซ?” ซินแคลร์เอ่ยทัก

          มาร์ติน โลเปซ หยุดฝีเท้า ใบหน้าซีดขาวของเขาดูเคร่งเครียดทว่าเขาไม่ปริปากอะไรออกมาสักคำ ในดวงตาคู่นั้นรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่น่ากลัวสะท้อนออกมา แม้จะเป็นคนรู้จักของรีเบคก้าแต่ซินแคลร์กลับไม่รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าไว้วางใจได้ในสถานการณ์เช่นนี้เลย หวังว่าเขาคงจะไม่กลายร่างเป็นไซคลอปส์ มิโนเทอร์ หรือตัวประหลาดสามสี่หัวอะไรพรรค์นี้หรอกนะ ลางสังหรณ์ในใจบอกเธอ

          ในความเงียบงันโลเปซกล่าวขึ้น “เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?”

          ฉับพลันเมื่อสิ้นเสียง พื้นดินกลับสนั่นไหวแม้จะเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกได้ มีลมเย็นวาบพัดผ่านมาที่หลังของซินแคลร์ บรรยากาศน่าขนหัวลุกตามด้วยเสียงคำรามอันกึงก้องของสัตว์นรก

         
เซอร์เบอรัส! ซินแคลร์ตกอยู่ในอาการตะลึงงัน เธอจำรูปลักษณ์ของสุนัขสีดำขนาดมหึมาที่มีสามหัวประเภทนี้ได้ มันอยู่ในหนังสือภาพสัตว์ประหลาดในเทพนิยายกรีกที่โอลิเวียเคยให้เธออ่านสมัยเด็ก ตั้งแต่พบเจออสูรกายที่ตามไล่ล่ามาตลอดเกือบครึ่งชีวิต ซินแคลร์ไม่เคยพบเจอสุนัขเฝ้าประตูนรกสีดำนี่มาก่อน

          “คงจะมีวิญญาณหลบหนีออกมาจากประตูยมโลก เป็นหน้าที่ของเจ้าหมาดำนี่ต้องมาตามเก็บ พวกเรารีบเผ่นกันก่อนเถอะ”

          “ห๊าา??” คำตอบที่ได้รับทำเอาซินแคลร์แทบจะหงายหลัง นึกว่าจะแนวมาปราบมันกันเถอะหรืออะไรที่เท่และท้าทายกว่านั้น ที่แท้ก็เตรียมตัวพร้อมเผ่นแนบนี่เอง ทว่าความคิดของมาร์ติน โลเปซนับว่าถูกต้อง หากเผชิญหน้ากับอสูรกายประเภทนี้หญิงสาวอย่างเธอคงเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกับที่ผ่าน ๆ มาโดยแน่

          “มันกัดกินวิญญาณคนตาย คงไม่ทำอะไรคนเป็นอย่างพวกเราหรอก” โลเปซอธิบาย เขาเว้นช่วงไปหนึ่งคำ “แต่กับมนุษย์กึ่งเทพก็ไม่แน่”

          “มนุษย์?? คุณพูดว่าอะไรนะ” ซินแคลร์ฟังไม่ถนัดหูแต่ก็โดนมาร์ติน โลเปซลากตัวออกมาจากตรงนั้นก่อนเสียแล้ว

          ซินแคลร์และโลเปซวิ่งสับออกมากันถึงจนตีนสะพาน หอบหายใจกันแทบขาดกันทั้งคู่ หลบซ่อนตัวในเงามืดใต้สะพาน เหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานทำเอาซินแคลร์แทบจะลืมอาการกลัวความมืดไปเลย

          สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเรื่อย ๆ และหนักขึ้น อย่างน้อยอากาศเปียกชื้นขณะฝนตกก็คงช่วยพรางกลิ่นได้ ซินแคลร์ใช้วิธีนี้เวลาหลบเลี่ยงอสูรกายที่ตามไล่ล่าเมื่อเธอไม่สามารถต่อกรกับมันได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ซินแคลร์มักจะหลีกเลี่ยงที่จะกลับบ้าน รอให้ฝนชะล้างกลิ่นของเธอออกไปก่อน เมื่อทุกอย่างสงบและปลอดภัยจึงปรากฏตัวออกมา เพราะเธอเคยได้ยินอสูรกายบางตัวที่พูดได้บอกว่ามันตามกลิ่นอันโอชะของคนประเภทแบบเรามา ไม่อยากจะเชื่อว่ามันคิดจะกินเธอเป็นอาหาร ทั้งที่คนรอบตัวมากมายกลับมีแต่ซินแคลร์ที่ถูกไล่ล่า และคนรอบตัวพวกนั้นกลับแสดงท่าทีเมินเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นคือสิ่งที่ซินแคลร์ไม่เข้าใจถึงที่สุด


          ผ่านไปพักหนึ่งโลเปซจึงได้มอบบางสิ่งให้กับซินแคลร์ เป็นซองจดหมายเปียกน้ำ…เพราะเหตุการณ์หนีตายเมื่อครู่ แม้กระดาษจะเปียกชุ่มแต่ข้อความด้านในกลับกระจ่างชัดราวกับถูกพิมพ์ด้วยหมึกชั้นดี มันเขียนว่า


          เรามีความยินดีที่จะแจ้งให้คุณทราบว่าคุณมีบางอย่างที่พิเศษในตัว แต่ก็อาจจะนำมาซึ่งอันตรายที่อาจจะตามคุณมาในอีกไม่ช้าก็เร็ว แต่ไม่ต้องห่วงไป เราช่วยคุณได้ เรื่องเหล่านี้เราขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้ปกครองของคุณ บอกพวกเขาว่าคุณเริ่มเห็นอะไรแปลก ๆ แล้วผู้ปกครองคุณจะเล่าเรื่องของคุณให้คุณฟังและพาคุณมาอยู่กับเรา

ขอแสดงความนับถือ
ไครอน ผู้อำนวยการค่าย


          เมื่ออ่านจบความรู้สึกมากมายราวกับประดังประเดเข้ามาจนซินแคลร์รู้สึกวิงเวียน เธอพยายามตั้งสติ แล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าชายผู้นี้ก็เห็นทุกอย่างเหมือนกับเธอ เห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น เจอในสิ่งที่อันตรายถึงชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุชุลมุนทำเอาเธอลืมคิดในข้อนี้ไปเลย

          “คุณเป็นใครกันแน่ ฉันคิดว่าคุณมาตามจีบเบคกี้เสียอีก” ซินแคลร์โพล่งขึ้นมา เธอละสายตาจากหน้ากระดาษมาจับจ้องใบหน้าคมคายของคนตรงหน้าแทน

          “อันที่จริงผมก็ชอบคุณรีเบคก้านะ คุณรีเบคก้าคงจะเป็นคุณแม่ที่ดีได้แน่นอน” โลเปซยักคิ้วคลี่รอยยิ้มออกจะยียวนบนใบหน้า

          “เหอะ ๆ เธอเป็นแม่ทูลหัวของฉันนี่เองแหละ คนอันตรายแบบพวกเราไม่ควรเข้าใกล้เบคกี้เป็นอันขาด!” ซินแคลร์ประท้วง

          “ไม่เคยมีอสูรกายทำร้ายมนุษย์ธรรมดามานานมากแล้ว แต่ถ้าเธอยังใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ก็ไม่แน่ว่าคุณอาจจะต้องจบชีวิต หรือคุณรีเบคก้าอาจจะโดนลูกหลงไปด้วยในสักวัน” โลเปซอธิบายอย่างตรงไปตรงมา “เด็ก ๆ แบบพวกเราจะต้องไปอยู่ที่ค่ายฮาล์ฟบลัดให้เร็วที่สุด ยิ่งเร็วยิ่งดี นับตั้งแต่อายุสิบสองมาถึง”

          “คุณบอกว่าเด็กอย่างพวกเราส่วนใหญ่จะไปอยู่ค่ายที่ว่านั่นตั้งแต่อายุสิบสอง งั้นชื่อของฉันตกสำรวจรึไงกัน ทำไมถึงมาส่งข่าวเอาป่านนี้ล่ะ ฉันเกือบตายมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่อายุเท่านั้น” ซินแคลร์กล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งตลกกึ่งจริงจัง

          “อาจเป็นไปได้ มีคนแบบพวกเธอจำนวนไม่น้อยที่รู้ตัวช้า นั่นทำให้พวกเธออาจจะโชคดีขึ้นมาหน่อย หรือไม่ก็คงมีพรจากเทพบิดามารดาคอยคุ้มครอง” โลเปซกล่าวอธิบาย “ยิ่งไม่รู้มากเท่าไหร่พวกเธอก็จะปลอดภัย แต่นั่นไม่เสมอไป เมื่อครบอายุสิบสอง พลังของพวกเราจะตื่นขึ้น และมันขึ้นอยู่กับเวลาว่าเราจะรู้ตัวเมื่อไหร่ พวกอสูรกายจะตามล่าพวกเราง่ายขึ้น มันได้กลิ่นของพวกเราอย่างรุนแรงนับจากช่วงเวลานี้”

         
เขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน? ซินแคลร์ขนลุกซู่ ก่อนจะหัวเราะหึหนึ่งคำ ถ้าเป็นเรื่องที่เขาเล่าเป็นเรื่องจริงเธอก็คงจะต้องไปขอขมาเทพบิดาอะไรนั่นที่เคยคิดว่าคนที่ถูกเรียกว่า ‘พ่อ’ ได้ทิ้งเธอไปแล้วอย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยเด็กหญิงที่โตมาเป็นสาวในวันนี้ก็คิดแบบนั้นมาตลอด

          “ขอบคุณค่ะคุณโลเปซ ฉันจะลองไปที่นั่นดู” บางทีซินแคลร์อาจจะได้พบคำตอบที่จะมาตอบคำถามหลาย ๆ ข้อในใจ แต่ก่อนหน้านั้นคงจะต้องหาเหตุผลดี ๆ ไปบอกกับเบคกี้เรื่องการออกจากบ้านในครั้งนี้เสียก่อน “ว่าแต่คุณเป็นใครคะ?”

          “หากคุณยอมไปที่นั่นผมก็จะเป็นรุ่นพี่ของคุณ” เขายิ้ม






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 31603 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-4-23 00:55
โพสต์ 31,603 ไบต์และได้รับ +8 EXP จาก โรคดิสเล็กเซีย  โพสต์ 2024-4-23 00:55
โพสต์ 31,603 ไบต์และได้รับ +8 EXP จาก โรคสมาธิสั้น  โพสต์ 2024-4-23 00:55
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำหอมสตรี
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
สร้อยข้อมือถัก
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โรคสมาธิสั้น
โพสต์ 2024-4-28 01:07:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
page 3



The Truth Untold


          ‘แต่ละบุคคลย่อมมีเรื่องราวแห่งความลับซึ่งเก็บงำไว้ภายในใจ มิอาจบอกใครได้ พวกเขาได้เก็บซ่อนมันเอาไว้ลึกสุดใจ มิได้มีใครได้บอกเล่าต่อกัน’

          ที่แห่งนั้นตั้งอยู่ที่ลองไอส์แลนด์ ในรัฐนิวยอร์ก สถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า ค่ายเลือดผสม แคมป์ฮาล์ฟบลัด หรืออะไรก็ตาม นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของ มาร์ติน โลเปซ ผู้กลายเป็นบุคคลลึกลับตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ชายคนนั้นมาส่งซินแคลร์ถึงหน้าบ้าน แต่เมื่อหันหลังกลับไปก็พบว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

          เบื้องหน้าเพียงแค่เปิดประตูเข้าไป ซินแคลร์ก็จะพบกับดินแดนอันแสนอบอุ่นและสบายใจถึงที่สุด สถานที่ที่เรียกว่าบ้าน ทว่าภายในใจของซินแคลร์ยามนี้กลับสับสนวุ่นวายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย หนึ่งคือควรจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เพิ่งได้ฟังมา สองคือควรจะเล่าทุกอย่างกับเบคกี้ยังไงให้ฟังดูน่าเชื่อถือที่สุด แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือจะอธิบายเรื่องกลับบ้านเอาตอนมืดค่ำป่านนี้อย่างไรดี

          ซินแคลร์ยกมือขึ้นเพื่อที่จะเคาะประตูบ้านทว่าเธอกลับหยุดชะงักและชั่งใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอกลับบ้านหลังตะวันตกดินแต่ก็นับว่าเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก รีเบคก้ารู้ดีว่าหลานสาวเป็นโรคกลัวความมืดถึงขั้นเกิดอาการวิตกกังวล เพราะฉะนั้นโลกภายนอกหลังฟ้ามืดนับว่าไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยสำหรับหลานสาวของเธอเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีไฟส่องสว่างอยู่ตามทางก็ตาม เมื่อซินแคลร์ปลดล็อกหน้าจอมือถือก็เป็นไปตามคาด มีสายที่ไม่ได้รับสิบเอ็ดมิสคอล ดังนั้นเธอจึงไม่คิดจะเคาะประตูอีก ไหนจะสภาพตอนนี้ที่เนื้อตัวเปียกโชกไปทั้งตัวเพราะฝนตก แต่ก็คงไม่ได้ดูย่ำแย่จนเกินไปกระมัง

          ในที่สุดซินแคลร์จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปแล้วก็พบว่าประตูไม่ได้ล็อก

          “ซินแคลร์?” เสียงของรีเบคก้าเอ่ยเรียกทันทีที่ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดเข้ามา

          “หนูกลับมาแล้ว ขอโทษที่ไม่ได้บอกน้าก่อน” ซินแคลร์ตอบ เธออธิบายต่อเสร็จสรรพ “หนูอธิบายได้เบคกี้ หนูไปหาน้าที่ร้านแต่ว่าร้านปิดไปแล้ว ตอนนั้นเจอกับคุณโลเปซเข้าพอดี เขาก็เลยอาสามาส่งหนูที่หน้าบ้าน หนูไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ ทุกอย่างโอเค”

          ซินแคลร์เล่าอย่างตรงไปตรงมา ถึงแม้จะเล่าไม่หมดว่าเจอตัวอะไรมาระหว่างทางก็เถอะ เธอไม่อยากให้น้าต้องเป็นห่วงหลานสาวที่ชอบก่อปัญหาอย่างเธอไปมากกว่านี้

          “ดีแล้วที่หลานปลอดภัย” รีเบคก้ากอดหลานสาว แม้ว่าตอนนี้ซินแคลร์จะเปียกโชกไปทั้งตัว สายตาที่อ่อนโยนมองดูสภาพหลานสาวแต่เธอก็ยังคลี่รอยยิ้มด้วยความโล่งใจก่อนจะกล่าวว่า “ก่อนอื่นไปอาบน้ำก่อนเถอะจ้ะ”

          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำเอาซินแคลร์นอนไม่หลับเกือบทั้งคืน ไม่ใช่เพราะเจอหมาปีศาจแต่เป็นเพราะคุณโลเปซ เรื่องที่เขาพูดมามีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ซินแคลร์เริ่มจับต้นชนปลายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเธอ นับดูก็เป็นเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาตั้งแต่อายุสิบสอง แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าคนคนนั้นอาจจะพูดจริงคือเขาเห็นในสิ่งเดียวกันกับที่เธอเห็น แม้แต่รีเบคก้าก็ไม่เคยรู้ว่าหลานสาวต้องเจอกับอะไร


           ซินแคลร์ลองพิสูจน์มาแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามไม่มีใครเห็นอสูรกายน่าเกลียดพวกนั้น แล้วเธอก็มั่นใจว่าน้าของตนเองรู้เพียงแค่ว่าหลานสาวคนนี้กลัวผียิ่งกว่าอะไรดีและมีเรื่องให้ต้องเจ็บตัวอยู่บ่อย ๆ เพียงเท่านั้น

          วันรุ่งขึ้นเสียงบรรเลงเปียโนอันแสนคุ้นเคยของรีเบคก้าได้ปลุกซินแคลร์ให้ตื่นขึ้นจากนิทราแทนนาฬิกาปลุก โคมไฟข้างเตียงที่มักจะเปิดไว้ตลอดทั้งคืนได้ถูกปิดไปแล้วซึ่งรีเบคก้าเป็นคนปิดมัน โดยมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดเพราะอาการกลัวความมืดของซินแคลร์ เมื่อตื่นได้เต็มตาจึงคว้ามือถือขึ้นมาก็พบว่าเที่ยงเข้าไปแล้ว นับว่าโชคดีที่ซินแคลร์ไม่ต้องไปโรงเรียนอีกต่อไป

          ซินแคลร์เดินลงไปข้างล่าง เธอหยุดและมองขณะที่รีเบคก้าบรรเลงเปียโนโดยไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่ารีเบคก้ารู้สึกได้ถึงคนที่มองมา นิ้วเรียวหยุดบรรเลงเพลงแล้วจึงกล่าวว่า “ตื่นแล้วเหรอ อาหารอยู่บนโต๊ะน่ะ”

          “เบคกี้ คือว่า… หนูคิดว่าเรามีเรื่องที่น่าจะต้องคุยกัน” ในที่สุดซินแคลร์ก็กล่าวประโยคนี้ออกมาได้สักทีหลังจากที่คิดอยู่นานหลายตลบ

          รีเบคก้าเงยหน้ามองหลานสาว “หืม? ว่ามาสิ มีเรื่องอะไรทุกข์ใจล่ะยัยตัวแสบ”

         สายตาของซินแคลร์ไม่เคยโกหก คล้ายกับมันกำลังบอกว่าเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียส ซินแคลร์ชั่งใจอีกครั้งเป็นรอบที่สิบ เธอควรจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่อายุสิบสองให้น้าสาวฟังดีหรือไม่ เพราะโอลิเวียผู้เป็นมารดาไม่อาจอยู่ให้ตอบคำถามที่ค้างคาได้อีกแล้ว ซินแคลร์ไม่รู้ว่าน้าของเธอจะรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากน้อยแค่ไหน

          “ต้องสัญญานะ ว่าน้าจะบอกความจริงทุกอย่าง”

          กล่าวจบซินแคลร์จึงมอบจดหมายฉบับนั้นที่ได้รับจากมาร์ติน โลเปซ ให้รีเบคก้าได้อ่าน เธอได้แต่ภาวนาว่าคำตอบที่ได้รับคงจะเป็น ‘เฮ้ นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกันเนี่ย’ หรือ ‘หลานไม่ได้ป่วยใช่ไหม’ อะไรทำนองนั้น ทว่าเมื่ออ่านจบสีหน้าของรีเบคก้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเป็นคำตอบ

          “ซินแคลร์ หลานไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน” รีเบคก้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก ราวกับว่าตัวเธอเองก็กำลังกลัวที่จะต้องพูดมันออกมา

          “คุณโลเปซเขาเป็นคนบอก เกี่ยวกับค่ายอะไรสักอย่างแล้วก็เทพเจ้า” ซินแคลร์กล่าวต่อ “เขาเอาแต่บอกว่าที่นั่นปลอดภัย แล้วก็…อันที่จริงมีเรื่องที่หนูไม่เคยบอกน้ามาก่อน ตั้งแต่อายุสิบสองหนูถูกตัวประหลาดตามล่ามาโดยตลอด มันมีอยู่จริง อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เฉียดตายนั่นก็ด้วย หนูแค่ไม่อยากให้น้าต้องเป็นห่วงหนูอีก”

          รีเบคก้าเงียบอีกครั้ง การหลีกเลี่ยงที่จะสนทนาในครั้งนี้เห็นทีคงจะใช้ไม่ได้ผลเหมือนกับที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว เธอคิดว่าควรจะกล่าวอะไรสักอย่าง

          “ความจริงคือมีเรื่องที่น้าไม่ได้เล่าให้ฟังนับตั้งแต่แม่ของเธอได้จากไป น้าคิดมาตลอดว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบาก น้าเพียงแค่อยากให้หลานของน้ามีชีวิตแบบเด็กธรรมดาที่สุด มันคงเป็นการดีที่หลานไม่ต้องรับรู้อะไร
รีเบคก้ากล่าว เพราะซินแคลร์คือคนสำคัญเพียงคนเดียวในตอนนี้ที่เธอหลงเหลืออยู่ เธอได้สูญเสียพี่สาวไปแล้วและไม่อยากสูญเสียหลานสาวไปอีกคนจึงเลือกที่จะปิดเรื่องนี้เอาไว้ แต่น้าคงคิดผิด ไม่คิดเลยว่าเธอจะต้องเจอเรื่องที่อันตรายขนาดนี้ มันคงถึงเวลาแล้วจริง ๆ”

          เท่าที่รีเบคก้าพอจะรู้คือพี่สาวของเธอพบเขาครั้งแรกที่เทศกาลดนตรีในนครนิวยอร์ก โอลิเวียได้ตั๋วมาหนึ่งใบ มีโอกาสไปร่วมฟังการแสดงของวงออร์เคสตร้าเป็นครั้งแรก เขาเป็นมาเอสโตรที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เปล่งประกายโดนเด่นถึงที่สุดราวกับเทพบุตร ทุกจังหวะทุกท่วงทำนองที่เขาควบคุมการแสดงนั้นราวกับต้องมนต์สะกด ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับบทเพลง สาวช่างฝันวัยยี่สิบสองอย่างโอลิเวียกลายเป็นแฟนคลับที่ไปชมทุกการขึ้นแสดงของเขา แล้วทั้งสองก็ได้รู้จักกันโดยไม่คาดคิด

          เขาเป็นคนที่พิเศษมาก…เหมือนกับว่าไม่มีอยู่จริง

          ความรักของโอลิเวียออกจะเพ้อฝัน แต่ทั้งสองเข้ากันได้ดีในทุกเรื่องราวของศิลปะ เขาเป็นคนแรกที่ได้อ่านต้นฉบับหนังสือเล่มแรกของโอลิเวียที่กำลังจะได้รับการตีพิมพ์ เพราะเขาบทประพันธ์เรื่องนั้นจึงสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นโอลิเวียก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาว เป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาต้องออกเดินทางไปในที่ไกลแสนไกล และเขาอาจไม่ใช่มนุษย์

          หลังจากฟังจบซินแคลร์ยิ่งเกิดความรู้สึกไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม มันเหมือนกับนิยายรักหวานซึ้งเรื่องหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นเรื่องจริงของใครสักคน ความรักของแม่เพ้อฝันอย่างที่ว่าจริง ๆ นั่นแหละ






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 19085 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2024-4-28 01:07
โพสต์ 19,085 ไบต์และได้รับ +5 EXP จาก โรคดิสเล็กเซีย  โพสต์ 2024-4-28 01:07
โพสต์ 19,085 ไบต์และได้รับ +5 EXP จาก โรคสมาธิสั้น  โพสต์ 2024-4-28 01:07
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำหอมสตรี
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
สร้อยข้อมือถัก
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โรคสมาธิสั้น
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้