page 3
The Truth Untold
‘แต่ละบุคคลย่อมมีเรื่องราวแห่งความลับซึ่งเก็บงำไว้ภายในใจ มิอาจบอกใครได้ พวกเขาได้เก็บซ่อนมันเอาไว้ลึกสุดใจ มิได้มีใครได้บอกเล่าต่อกัน’
ที่แห่งนั้นตั้งอยู่ที่ลองไอส์แลนด์ ในรัฐนิวยอร์ก สถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า ค่ายเลือดผสม แคมป์ฮาล์ฟบลัด หรืออะไรก็ตาม นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของ มาร์ติน โลเปซ ผู้กลายเป็นบุคคลลึกลับตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ชายคนนั้นมาส่งซินแคลร์ถึงหน้าบ้าน แต่เมื่อหันหลังกลับไปก็พบว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
เบื้องหน้าเพียงแค่เปิดประตูเข้าไป ซินแคลร์ก็จะพบกับดินแดนอันแสนอบอุ่นและสบายใจถึงที่สุด สถานที่ที่เรียกว่าบ้าน ทว่าภายในใจของซินแคลร์ยามนี้กลับสับสนวุ่นวายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย หนึ่งคือควรจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เพิ่งได้ฟังมา สองคือควรจะเล่าทุกอย่างกับเบคกี้ยังไงให้ฟังดูน่าเชื่อถือที่สุด แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือจะอธิบายเรื่องกลับบ้านเอาตอนมืดค่ำป่านนี้อย่างไรดี
ซินแคลร์ยกมือขึ้นเพื่อที่จะเคาะประตูบ้านทว่าเธอกลับหยุดชะงักและชั่งใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอกลับบ้านหลังตะวันตกดินแต่ก็นับว่าเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก รีเบคก้ารู้ดีว่าหลานสาวเป็นโรคกลัวความมืดถึงขั้นเกิดอาการวิตกกังวล เพราะฉะนั้นโลกภายนอกหลังฟ้ามืดนับว่าไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยสำหรับหลานสาวของเธอเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีไฟส่องสว่างอยู่ตามทางก็ตาม เมื่อซินแคลร์ปลดล็อกหน้าจอมือถือก็เป็นไปตามคาด มีสายที่ไม่ได้รับสิบเอ็ดมิสคอล ดังนั้นเธอจึงไม่คิดจะเคาะประตูอีก ไหนจะสภาพตอนนี้ที่เนื้อตัวเปียกโชกไปทั้งตัวเพราะฝนตก แต่ก็คงไม่ได้ดูย่ำแย่จนเกินไปกระมัง
ในที่สุดซินแคลร์จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปแล้วก็พบว่าประตูไม่ได้ล็อก
“ซินแคลร์?” เสียงของรีเบคก้าเอ่ยเรียกทันทีที่ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดเข้ามา
“หนูกลับมาแล้ว ขอโทษที่ไม่ได้บอกน้าก่อน” ซินแคลร์ตอบ เธออธิบายต่อเสร็จสรรพ “หนูอธิบายได้เบคกี้ หนูไปหาน้าที่ร้านแต่ว่าร้านปิดไปแล้ว ตอนนั้นเจอกับคุณโลเปซเข้าพอดี เขาก็เลยอาสามาส่งหนูที่หน้าบ้าน หนูไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ ทุกอย่างโอเค”
ซินแคลร์เล่าอย่างตรงไปตรงมา ถึงแม้จะเล่าไม่หมดว่าเจอตัวอะไรมาระหว่างทางก็เถอะ เธอไม่อยากให้น้าต้องเป็นห่วงหลานสาวที่ชอบก่อปัญหาอย่างเธอไปมากกว่านี้
“ดีแล้วที่หลานปลอดภัย” รีเบคก้ากอดหลานสาว แม้ว่าตอนนี้ซินแคลร์จะเปียกโชกไปทั้งตัว สายตาที่อ่อนโยนมองดูสภาพหลานสาวแต่เธอก็ยังคลี่รอยยิ้มด้วยความโล่งใจก่อนจะกล่าวว่า “ก่อนอื่นไปอาบน้ำก่อนเถอะจ้ะ”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำเอาซินแคลร์นอนไม่หลับเกือบทั้งคืน ไม่ใช่เพราะเจอหมาปีศาจแต่เป็นเพราะคุณโลเปซ เรื่องที่เขาพูดมามีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ซินแคลร์เริ่มจับต้นชนปลายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเธอ นับดูก็เป็นเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาตั้งแต่อายุสิบสอง แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าคนคนนั้นอาจจะพูดจริงคือเขาเห็นในสิ่งเดียวกันกับที่เธอเห็น แม้แต่รีเบคก้าก็ไม่เคยรู้ว่าหลานสาวต้องเจอกับอะไร
ซินแคลร์ลองพิสูจน์มาแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามไม่มีใครเห็นอสูรกายน่าเกลียดพวกนั้น แล้วเธอก็มั่นใจว่าน้าของตนเองรู้เพียงแค่ว่าหลานสาวคนนี้กลัวผียิ่งกว่าอะไรดีและมีเรื่องให้ต้องเจ็บตัวอยู่บ่อย ๆ เพียงเท่านั้น
วันรุ่งขึ้นเสียงบรรเลงเปียโนอันแสนคุ้นเคยของรีเบคก้าได้ปลุกซินแคลร์ให้ตื่นขึ้นจากนิทราแทนนาฬิกาปลุก โคมไฟข้างเตียงที่มักจะเปิดไว้ตลอดทั้งคืนได้ถูกปิดไปแล้วซึ่งรีเบคก้าเป็นคนปิดมัน โดยมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดเพราะอาการกลัวความมืดของซินแคลร์ เมื่อตื่นได้เต็มตาจึงคว้ามือถือขึ้นมาก็พบว่าเที่ยงเข้าไปแล้ว นับว่าโชคดีที่ซินแคลร์ไม่ต้องไปโรงเรียนอีกต่อไป
ซินแคลร์เดินลงไปข้างล่าง เธอหยุดและมองขณะที่รีเบคก้าบรรเลงเปียโนโดยไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่ารีเบคก้ารู้สึกได้ถึงคนที่มองมา นิ้วเรียวหยุดบรรเลงเพลงแล้วจึงกล่าวว่า “ตื่นแล้วเหรอ อาหารอยู่บนโต๊ะน่ะ”
“เบคกี้ คือว่า… หนูคิดว่าเรามีเรื่องที่น่าจะต้องคุยกัน” ในที่สุดซินแคลร์ก็กล่าวประโยคนี้ออกมาได้สักทีหลังจากที่คิดอยู่นานหลายตลบ
รีเบคก้าเงยหน้ามองหลานสาว “หืม? ว่ามาสิ มีเรื่องอะไรทุกข์ใจล่ะยัยตัวแสบ”
สายตาของซินแคลร์ไม่เคยโกหก คล้ายกับมันกำลังบอกว่าเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียส ซินแคลร์ชั่งใจอีกครั้งเป็นรอบที่สิบ เธอควรจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่อายุสิบสองให้น้าสาวฟังดีหรือไม่ เพราะโอลิเวียผู้เป็นมารดาไม่อาจอยู่ให้ตอบคำถามที่ค้างคาได้อีกแล้ว ซินแคลร์ไม่รู้ว่าน้าของเธอจะรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากน้อยแค่ไหน
“ต้องสัญญานะ ว่าน้าจะบอกความจริงทุกอย่าง”
กล่าวจบซินแคลร์จึงมอบจดหมายฉบับนั้นที่ได้รับจากมาร์ติน โลเปซ ให้รีเบคก้าได้อ่าน เธอได้แต่ภาวนาว่าคำตอบที่ได้รับคงจะเป็น ‘เฮ้ นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกันเนี่ย’ หรือ ‘หลานไม่ได้ป่วยใช่ไหม’ อะไรทำนองนั้น ทว่าเมื่ออ่านจบสีหน้าของรีเบคก้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเป็นคำตอบ
“ซินแคลร์ หลานไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน” รีเบคก้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก ราวกับว่าตัวเธอเองก็กำลังกลัวที่จะต้องพูดมันออกมา
“คุณโลเปซเขาเป็นคนบอก เกี่ยวกับค่ายอะไรสักอย่างแล้วก็เทพเจ้า” ซินแคลร์กล่าวต่อ “เขาเอาแต่บอกว่าที่นั่นปลอดภัย แล้วก็…อันที่จริงมีเรื่องที่หนูไม่เคยบอกน้ามาก่อน ตั้งแต่อายุสิบสองหนูถูกตัวประหลาดตามล่ามาโดยตลอด มันมีอยู่จริง อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เฉียดตายนั่นก็ด้วย หนูแค่ไม่อยากให้น้าต้องเป็นห่วงหนูอีก”
รีเบคก้าเงียบอีกครั้ง การหลีกเลี่ยงที่จะสนทนาในครั้งนี้เห็นทีคงจะใช้ไม่ได้ผลเหมือนกับที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว เธอคิดว่าควรจะกล่าวอะไรสักอย่าง
“ความจริงคือมีเรื่องที่น้าไม่ได้เล่าให้ฟังนับตั้งแต่แม่ของเธอได้จากไป น้าคิดมาตลอดว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบาก น้าเพียงแค่อยากให้หลานของน้ามีชีวิตแบบเด็กธรรมดาที่สุด มันคงเป็นการดีที่หลานไม่ต้องรับรู้อะไร” รีเบคก้ากล่าว เพราะซินแคลร์คือคนสำคัญเพียงคนเดียวในตอนนี้ที่เธอหลงเหลืออยู่ เธอได้สูญเสียพี่สาวไปแล้วและไม่อยากสูญเสียหลานสาวไปอีกคนจึงเลือกที่จะปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แต่น้าคงคิดผิด ไม่คิดเลยว่าเธอจะต้องเจอเรื่องที่อันตรายขนาดนี้ มันคงถึงเวลาแล้วจริง ๆ”
เท่าที่รีเบคก้าพอจะรู้คือพี่สาวของเธอพบเขาครั้งแรกที่เทศกาลดนตรีในนครนิวยอร์ก โอลิเวียได้ตั๋วมาหนึ่งใบ มีโอกาสไปร่วมฟังการแสดงของวงออร์เคสตร้าเป็นครั้งแรก เขาเป็นมาเอสโตรที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เปล่งประกายโดนเด่นถึงที่สุดราวกับเทพบุตร ทุกจังหวะทุกท่วงทำนองที่เขาควบคุมการแสดงนั้นราวกับต้องมนต์สะกด ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับบทเพลง สาวช่างฝันวัยยี่สิบสองอย่างโอลิเวียกลายเป็นแฟนคลับที่ไปชมทุกการขึ้นแสดงของเขา แล้วทั้งสองก็ได้รู้จักกันโดยไม่คาดคิด
เขาเป็นคนที่พิเศษมาก…เหมือนกับว่าไม่มีอยู่จริง
ความรักของโอลิเวียออกจะเพ้อฝัน แต่ทั้งสองเข้ากันได้ดีในทุกเรื่องราวของศิลปะ เขาเป็นคนแรกที่ได้อ่านต้นฉบับหนังสือเล่มแรกของโอลิเวียที่กำลังจะได้รับการตีพิมพ์ เพราะเขาบทประพันธ์เรื่องนั้นจึงสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นโอลิเวียก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาว เป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาต้องออกเดินทางไปในที่ไกลแสนไกล และเขาอาจไม่ใช่มนุษย์
หลังจากฟังจบซินแคลร์ยิ่งเกิดความรู้สึกไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม มันเหมือนกับนิยายรักหวานซึ้งเรื่องหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นเรื่องจริงของใครสักคน ความรักของแม่เพ้อฝันอย่างที่ว่าจริง ๆ นั่นแหละ
|