เดม่อนแพ็คกระเป๋าเป้ เขาไม่มีอะไรมากนอกจากของใช้ส่วนตัวเท่านั้น และอาวุธรวมถึงแหวนเธซีอุส เขาถอดมันเก็บไว้ในกระเป๋าเป้ เมืองปิซาเป็นที่ ๆ สุดท้ายที่พ่อพาเขาไปเที่ยวและมีความทรงจำครั้งสุดท้ายที่มีความสุขกับพ่อ...
เดม่อนแปลงกายเป็นนกพิราบเพื่อบินเข้ามาในนิวยอร์ก ตอนนี้สภาพเขาดูเหมือนพิราบแบกเป้ใบจิ๋วกำลังมุ่งหน้าไปยังสนามบิน หวังว่าคืนนี้จะมีตั๋วบินไปปิซาสักเที่ยว...
คุณคงสงสัยสินะว่าทำไมเดม่อนต้องเลือกเดินทางไกลแถมยังไปถิ่นยุโรปที่อันตรายสำหรับเขา อีกนัยหนึ่งเขาคงอยากจะไปหาอะไรระบายกับความรู้สึกภายในใจที่รู้สึกปวดตุบ ๆ อย่างอธิบายไม่ถูก ทั้งที่เขาเลือกยอมรับและเข้าใจการตัดสินใจลิเลียน่า บางทีเพราะข่าวลือในค่ายทำให้เธอกับเขาถูกมองเป็นคู่รักทั้งที่เราเป็นเพื่อนสนิท เธออาจจะขอเลือกเว้นระยะห่างกับผมเพื่อไม่ให้ข่าวลือหนักข้อขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจของผมถึงโหวง ๆ ยังไงไม่รู้ ความรู้สึกที่ผมเองก็ยากจะอธิบายให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจ
เดม่อนหยุดหน้าเคาน์เตอร์สนามบิน เขากำลังมองเที่ยวบินที่จะไปยังปิซา ก่อนจะเดินไปหาพนักงานเพื่อซื้อตั๋ว โชคดีที่ราคาตั๋วไม่แพงเกินไปในเวลานี้ เขายังพอจะจ่ายได้จากเงินเก็บจากงานที่ทำสะสมมาเล็กน้อย
"สวัสดีครับ ผมอยากจะจองเที่ยวบินไปเมืองปิซา" เขายิ้มทักทายพนักงานสาว โดยไม่รู้ตัวว่า เสน่ห์ของบุตรแห่งอะโฟรไดท์กำลังแผ่รัศมีออกไป
"532 USD ค่ะ" เธอบอกพร้อมกับส่งยิ้มหวาน "แต่ถ้าน้องอยากได้ส่วนลดพิเศษ พี่ ขอเบอร์โทรหน่อยได้มั้ยคะ?"
เดม่อนหัวเราะแห้ง "เอ่อ... คือผมไม่มีมือถือน่ะครับ" ก่อนเขาจะควักธนบัตรและเหรียญออกมานับอย่างทุลักทุเล
"นี่ครับ 532 USD"
พนักงานสาวยิ้มอย่างเสียดาย "งั้นก็ไม่ได้ส่วนลดสิคะ เสียดายจัง"
เดม่อนรับตั๋วเครื่องบินมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่ถนัดที่จะปฏิเสธคนอื่นเอาซะเลย
เขาเดินไปยังจุดรอเครื่องขึ้น พลางแปลงกายเป็นชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของอสุรกาย
ในระหว่างที่รอเครื่อง เดม่อนนั่งเหม่อลอย ใบหน้าเศร้าหมอง ความทรงจำเมื่อไม่นานมานี้ผุดขึ้นมาในหัว
เดม่อนตื่นขึ้นในห้องพยาบาล หลังจากพิธีไว้อาลัยเอลลิสผ่านไป เขาเดินค้ำไม้เท้า ไปยังกองไฟเฮสเทีย เพื่อวางช่อดอกไม้
เขาเหลือบไปเห็นลิเลียน่าที่เพิ่งกลับมาจากภารกิจ
"ยัยฉลาด!" เดม่อนร้องเรียก
ลิเลียน่าหันมามอง แต่แววตาของเธอกลับว่างเปล่า
"บาดเจ็บขนาดนี้นอนพักที่ห้องพยาบาลไม่ดีเหรอ?" เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เดม่อนชะงักไป "แค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอก" เขาพยายามยิ้ม "จริงสิ ภารกิจที่เฮติเป็นยังไงบ้าง?"
ลิเลียน่าขมวดคิ้ว "ภารกิจที่เฮติ? นายเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?"
เดม่อนตกใจ "เธอ... จำผมไม่ได้เหรอ?"
ลิเลียน่าส่ายหน้า "ฉันไม่รู้จักนาย"
ในตอนนี้เดม่อนรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้าต่อตา เขามักจะเห็นภาพฉากนี้วนเวียนไปแบบรวบรัดและเน้นย้ำอยู่ตลอด และความรู้สึกบางอย่างที่ปะทุในใจเขาทำให้เขาแปลกประหลาดมากขึ้น
เสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องดังขึ้น ปลุกให้เดม่อนตื่นจากภวังค์แห่งความทรงจำ เขาลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เดินไปขึ้นเครื่องเหมือนคนไร้วิญญาณ
บนเครื่องบิน เดม่อนเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง เขาทอดสายตามองท้องฟ้ากว้างเบื้องล่าง เมฆสีขาวลอยละล่องราวกับปุยฝ้าย ตัดกับสีฟ้าเข้มของท้องฟ้า อาณาจักรแห่งซุส... เขาได้แต่สวดภาวนาถึงซุส เสียงเครื่องยนต์ดังครางเบา ๆ ชวนขับกล่อมให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ทิวทัศน์อันงดงามเหล่านั้น ก็ไม่อาจจะเยียวยาหัวใจที่แหลกสลายของเขาได้
"ทำไม..." เขาครุ่นคิดในใจ "ทำไมเธอถึงลืมผมกันนะ? หรือว่าเธอโกรธที่ผมโกหก เรื่องที่ดีทรอยต์? หรือว่า..."
ท่ามกลางความเงียบ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
"หนุ่มน้อย ดูเหมือนเธอจะมีเรื่องไม่สบายใจนะ"
เดม่อนหันไปมองผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา เธอมีผมสีเงินสั้น ดวงตาสีฟ้าอ่อนโยน และรอยยิ้มที่อบอุ่นราวกับแสงตะวัน เธอสวมชุดสีขาวเรียบง่าย ดู สง่าและลึกลับ
"ป้ารู้ได้ยังไงครับ?" เดม่อนหันไปถามด้วยความสงสัย
"ป้าผ่านโลกมามากแล้วนะ หนุ่มน้อย" ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม "เล่าให้ป้าฟังหน่อยสิ เผื่อ ป้าจะช่วยได้"
เดม่อนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่าควรจะไว้ใจป้าคนนี้หรือไม่ แต่แววตาที่เปี่ยม ไปด้วยความเข้าใจของเธอ ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
'บางที... การระบายให้ใครสักคนฟัง ก็อาจจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นก็ได้' เดม่อนคิดในใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจที่จะระบายความในใจให้ป้าคนนั้นฟัง
"ป้าครับ..." เดม่อนเอ่ยขึ้น เสียงของเขาสั่นเครือ "ผม... ผมกำลังสับสนและเสียใจมาก... มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ..."
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ "เล่าให้ป้าฟังสิ หนุ่มน้อย" เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เดม่อนสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขา ตั้งแต่การเดินทางไปดีทรอยต์ การต่อสู้กับเหล่าสาวกของจักรพรรดิโรมัน การพบกับพัควัดจิ และที่สำคัญที่สุด... การสูญเสียความทรงจำของลิเลียน่า
จนเดม่อนค่อนข้างคิดว่าป้าคงหาว่าเขาบ้าหรือเสียสติไปแล้วแน่ แต่เขาก็เริ่มจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หลังจากได้ระบายเรื่องภายในใจออกมาจนหมด
ระหว่างที่เดม่อนเล่า หญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็นั่งฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ขัดจังหวะ เธอพยักหน้าเป็นระยะและส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจมาให้เดม่อน
เมื่อเดม่อนเล่าจบ หญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็เอ่ยขึ้น "หนุ่มน้อย ป้าเข้าใจความรู้สึกของเธอนะ การสูญเสียคนที่เรารักเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก"
เดม่อนพยักหน้า น้ำตาเริ่มคลอหน่วยก่อนจะตกใจบางคำในประโยคป้าที่เขาเพิ่งนึกออก
"เดี๋---"
เดม่อนจะรีบปฏิเสธว่าเขากับลิเลียน่าไม่ใช่คนรักกัน แต่ป้าชิงพูดก่อน
"แต่เธอต้องเข้มแข็งนะ" หญิงวัยกลางคนผู้นั้นพูดต่อ "เธอต้องยอมรับความจริงและก้าวต่อไป"
"เฮ้อ---" ดูเหมือนพูดไปป้าก็คงจะไม่ฟัง แต่ดูเหมือนป้าจะไม่ได้มองผมเป็นคนเสียสติ นี่แปลกชะมัด ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
"แล้วผมควรทำยังไงต่อไปดีเหรอครับ?" เดม่อนถามเสียงสั่นเครือ
"เธอต้องเชื่อมั่นในตัวเอง และในความรักของเธอ" หญิงวัยกลางคนผู้นั้นตอบ "ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามและทรงพลัง มันสามารถเยียวยาทุกสิ่งได้"
เดม่อนมองหน้าหญิงวัยกลางคนผู้นั้นด้วยความหวัง "ขอบคุณครับ ป้า" เดม่อนพูดพลางคิด แม้เขากับลิเลียน่าจะไมไ่ด้เป็นคนรักกัน แต่ความรักฉันท์เพื่อนร่วมรบและมิตรสหายที่สนิทคนหนึ่งเขาสก็ไม่อยากจะสูญเสียเธอไป เขายังเชื่อว่าต้องมีสักวันที่เขากับลิเลียน่าจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกครั้ง บางทีอาจจะหลังจากเธอใจเย็นลงและหายโกรธเขา(?)
"ไม่เป็นไรจ๊ะ หนุ่มน้อย" หญิงวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มก่อนจะลุกขึ้นและหันมาทางเขา "ป้าชื่อเฮสเทียนะ"
เดม่อนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
"เทพีเฮสเทีย?" เขาถามเสียงสั่น แต่เธอก็หายไปแล้ว และนั่นค่อนข้างอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าทำไมเธอถึงไม่ว่าเขาเสียสติหรือบ้าไปแล้วที่พูดเรื่องพวกนี้
ขออนุญาตยืมเทพีเฮสเทียประกอบโรลเท่านั้น
ไม่ใช้สิทธิ์ให้ของ และ ไม่ใช้เอฟเฟกต์เพิ่มความโปรดปราน @God
โอนเงิน 532 USD แล้ว
