
วันที่ 20-21 เดือน ธันวาคม ปี 2025
เวลาเย็นดึกวันที่ 20 จนถึงเช้าวันที่ 21 เป็นต้นไป ณ อัลบูเคอร์คี ไปถึง ซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก
◀️┃▶️
แสงแดดยามกลางวันแผ่วเบาเคลือบผืนถนนด้วยสีทองจาง รถโดยสารประจำทางเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางระหว่างรัฐอย่างสม่ำเสมอ เสียงล้อบดกับพื้นยางมะตอยดังเป็นจังหวะเดียวกันกับการเต้นของหัวใจที่นิ่งและมั่นคงของคีอาร์ เด็กสาวผมสีบลอนด์ทองแดงเอนตัวพิงกระจก มองเส้นทางที่ทอดยาวสู่ขอบฟ้าเหมือนเส้นด้ายไร้จุดจบ การเดินทางจากแฟลกสตาฟมุ่งสู่อัลบูเคอร์คีดูเหมือนแค่ห้าร้อยกว่ากิโลเมตรตามที่ GPS ระบุ แต่สำหรับคีอาร์ มันไม่ได้แค่เลยสักนิด การอยู่บนถนนที่ทอดยาวเกือบทั้งวันในความเงียบอึดอัดของรถโดยสารที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารแปลกหน้า คือการทดสอบสมาธิและความอดทนในแบบที่เธอไม่ชอบที่สุด เธอไม่กลัวความโดดเดี่ยว เธอชอบมันด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่รำคาญคือเสียงและความไม่สมมาตรที่มักเกิดขึ้นรอบตัว เช่น เสียงคนข้างหลังเคี้ยวมันฝรั่งทอด หรือเด็กเล็กที่เตะเบาะหลังเธอเป็นจังหวะ
คีอาร์สูดหายใจเบา ๆ แล้วหลับตา ร่างกายเอนพิงกระจกเย็นเฉียบ เธอใช้พลังเล็กน้อยผสานประสาทสัมผัสเข้ากับลมภายนอก รถบัสกำลังแล่นไปด้วยความเร็วคงที่ 97 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลมตะวันตกเฉียงใต้พัดแรงขึ้น และอุณหภูมินอกตัวรถลดลงเหลือสิบเจ็ดองศา เสียงกระซิบของลมพาเอากลิ่นฝุ่นจากทะเลทรายและกลิ่นเหล็กร้อนของรางรถไฟที่วิ่งขนานมาด้วย เสียงเครื่องยนต์ดังคลอไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเหมือนเสียงกล่อม
เธอไม่หลับ แค่ปล่อยใจให้ไหลไปกับจังหวะการสั่นสะเทือนของถนน
เมื่อถึงอัลบูเคอร์คีในช่วงเย็นราวห้าโมงเย็น ฟ้ายังคงเรืองแสงส้มอมม่วง เหมือนใครเอาพู่กันจุ่มสีน้ำมาปัดทับท้องฟ้า เมืองใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำริโอแกรนด์และเทือกเขาสานเดีย อาคารสูงรูปทรงแปลกตากับตึกเก่าสีอิฐแดงผสมกันอย่างประหลาดแต่กลมกลืน กลิ่นหอมของพริกเขียวเผาลอยมากับสายลมจนคีอาร์ต้องชะงักหายใจชั่วขณะ กลิ่นนั้นเข้มข้นจนแสบจมูก เธอยกมือแตะปลายจมูกอย่างรำคาญนิด ๆ
หลังลงจากรถ เธอเดินฝ่าผู้คนในย่านใจกลางเมือง เสียงดนตรีกีตาร์จากบาร์เล็ก ๆ ดังคลอในอากาศ เธอหันซ้ายหันขวาหาโรงแรมที่ดูไม่เสี่ยงตายจนมาหยุดที่ป้ายไฟสีทองของ Hotel Parq Central อาคารสามชั้นสีครีมที่ดูทันสมัยและสะอาดพอจะนอนได้ เธอผลักประตูกระจกเข้าไป เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังแผ่ว
“หนึ่งคืนค่ะ” เธอบอกพนักงานหญิงตรงเคาน์เตอร์ด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่เรียบเย็น
“ร้อยดอลลาร์ค่ะ”
เธอพยักหน้า หยิบเงินสดส่งให้ พนักงานส่งคีย์การ์ดให้พร้อมยิ้มอ่อน แต่คีอาร์เพียงรับมาโดยไม่ยิ้มตอบ เธอขึ้นบันไดไปชั้นสอง เดินเข้าห้องที่มีเพดานสูงและกลิ่นสะอาดของเครื่องฟอกอากาศ แสงไฟอุ่นตกกระทบผิวขาวซีดของเธอจนดูโปร่ง เธอวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งลงบนเตียงกว้าง ความเงียบที่เธอตามหากลับมาอีกครั้ง เธอถอดรองเท้า คว้าเสื้อคลุมขนสัตว์ที่พับไว้มาคลุมไหล่ แล้วเอนตัวพิงหัวเตียง โทรศัพท์เดดาลัสส่องแสงจางบนฝ่ามือ
คีอาร์เลื่อนดูเส้นทางสุดท้ายอัลบูเคอร์คีไปซานตาเฟ ระยะทางเพียงร้อยกิโลเมตรก็แค่นี้เอง แต่แปลกที่คำว่าแค่นี้ กลับฟังดูเหนื่อยมากกว่าทุกระยะทางก่อนหน้านี้
รุ่งเช้า แสงแดดลอดผ่านม่านสีเทาเข้ามาในห้องจนผนังดูเหมือนถูกเคลือบด้วยทอง เธอตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อยเพราะตั้งใจไว้แบบนั้น หลังจากหลายวันของการเดินทาง ร่างกายของเธอเริ่มรู้สึกหน่วง เธอใช้เวลานานกว่าปกติในห้องน้ำ อาบน้ำช้า ๆ แล้วเป่าผมให้แห้งจนมันฟูขึ้นเล็กน้อย คีอาร์แต่งตัวเรียบง่ายตามสไตล์เดิม เสื้อคอเต่าสีครีม โค้ตเทาเข้ม กระโปรงสั้นเหนือเข่า และรองเท้าบูตหนังสีดำ กลิ่นลูกอมแตงโมผสมเมนทอลลอยอ่อน ๆ เมื่อเธอเดินออกจากห้อง
ที่ล็อบบี้ เธอสั่งโกโก้เย็นกับขนมปังเบา ๆ ทานไปดูข่าวในจอโทรทัศน์ไป เสียงผู้ประกาศพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและภัยพายุลมแรงบริเวณชายฝั่งตะวันตก คีอาร์ฟังเพียงครึ่งหู ก่อนลุกขึ้นและเดินออกจากโรงแรมในเวลาเก้าโมงเช้าตรง เธอเรียกรถแท็กซี่ไปยังสถานีรถโดยสารกลางของเมืองอัลบูเคอร์คี ก่อนจะขึ้นรถเที่ยวเช้าที่จะมุ่งหน้าไปซานตาเฟ เมืองหลวงของรัฐนิวเม็กซิโกที่อยู่ห่างไปเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ
ระหว่างทางออกจากเมือง เสียงเครื่องยนต์ของรถดังกลบทุกเสียงอื่น ๆ ถนนทอดยาวผ่านแนวอาคารที่ลดระดับลงเรื่อย ๆ แทนที่ด้วยพื้นที่เปิดโล่งและภูเขาเตี้ย ๆ สีแดงสนิม ลมพัดแรงจนเธอต้องจับขอบหมวกไว้ เส้นทางสายนี้เงียบและสวยกว่าที่คิด กลิ่นดินแห้งกับหญ้าอบอุ่นปะทะจมูก
เสียงทีวีบนรถโดยสารดังแทรกเสียงเครื่องยนต์ที่สั่นเบา ๆ ในห้องโดยสารที่แทบไม่มีใครพูดกันนัก ข่าวด่วนจาก BBC ขึ้นกราฟิกสีแดงจัด ก่อนภาพตัดเข้าสู่ผู้ประกาศหญิงในสูทสีกรมที่สีหน้าเคร่งเครียด ข้างหลังเธอเป็นภาพถนนในอิธากาที่เต็มไปด้วยเศษกระจกและหิมะที่กลายเป็นน้ำแข็ง คีอาร์หันสายตาจากหน้าต่างมามองจอทีวีที่ติดเหนือศีรษะคนขับโดยไม่ตั้งใจตอนแรก แต่พอคำว่า พายุสายฟ้า ปรากฏขึ้น เธอก็ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาสีเทาอมเขียวสะท้อนภาพแสงทองจากหน้าจอ
ผู้สื่อข่าวพูดเร็วและชัดเจน “…กระแสไฟฟ้าสีทองพุ่งลงมาจากท้องฟ้า คล้ายฟ้าผ่าที่มีทิศทางคงที่ และกลุ่มวัยรุ่นห้าคนในเครื่องแต่งกายลักษณะเฉพาะ…”
คีอาร์ยกมือแตะริมฝีปาก พลางเอนหลังพิงเบาะ เงียบอยู่ครู่หนึ่ง เสียงผู้โดยสารสองคนแถวหน้าเริ่มซุบซิบกันเรื่องก๊าซระเบิดหรือเรื่องก่อการร้าย แต่คีอาร์กลับรู้สึกได้ทันที
มันไม่ใช่แค่นั้น มันไม่ใช่ของมนุษย์…
กระแสไฟฟ้าสีทอง... ไม่ใช่ธรรมชาติแน่ เธอคิด สั้นแต่เฉียบคม ความเย็นแผ่ซ่านออกจากภายในร่างกายโดยไม่รู้ตัว ความทรงจำเรื่องการต่อสู้ของเดมิก็อดผุดขึ้นในหัวเหมือนภาพซ้อนระหว่างเสียงประกาศข่าวแต่ละประโยค
“...กลุ่มวัยรุ่นห้าคนในชุดยุทโธ...”
เธอหลุบตาลง พลางหายใจเข้าเงียบ ๆ ห้า... ตัวเลขนั้นบ่งบอกอะไรบางอย่าง เธอรู้จักพฤติกรรมของคนประเภทนั้นดี เด็กพวกนั้นอาจเป็นจากค่ายฮาล์ฟบลัด หรือไม่ก็จากค่ายจูปิเตอร์ เดมิก็อดรุ่นใหม่ที่ชอบสร้างเรื่องให้โลกต้องปั่นป่วน แล้วปล่อยให้พวกนักข่าวหาคำอธิบายที่ไม่มีวันเจอและปล่อยให้หมอกนั้นทำงานบังตาไป
พวกนั้น... เธอคิดขณะมองภาพรถตู้พังยับเยินในจอ ยังไม่เรียนรู้เลยสินะ ว่าการใช้พลังกลางเมืองไม่ต่างอะไรกับการยิงปืนในตลาดสด... หรือมีอะไรให้ต้องใช้กัน?
คีอาร์ไม่รู้จักพวกเขาโดยตรง แต่เดาได้ทันทีว่ามีเทพองค์ใดองค์หนึ่งอยู่เบื้องหลัง แสงสีทองไม่ใช่เรื่องที่ธรรมดา มันมีบางอย่างคล้ายสิ่งนั้นมากเกินไป ความคิดหนึ่งแล่นผ่านหัวเธอเร็วเกินกว่าจะหยุด
ซุส?
เธอหลุบตา หันกลับไปมองวิวข้างทางอีกครั้ง ดวงตาที่เมื่อครู่สงบ กลับมีประกายแข็งขึ้นเล็กน้อย เธอไม่พูด ไม่อธิบายให้ใครฟัง แค่ยกมือขึ้นดึงผ้าพันคอให้แน่นกว่าเดิม เสียงลมที่พัดลอดเข้ามาผ่านช่องกระจกด้านบนของรถพัดเบา ๆ ไปทั่วห้องโดยสาร ทีวียังคงรายงานต่อด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก แต่คีอาร์ไม่ฟังต่อ เธอเอียงหน้ากลับไปทางหน้าต่าง มองเส้นขอบฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสี ดวงตาเย็นเฉียบสะท้อนท้องฟ้าเหมือนน้ำแข็งที่ขังความคิดไว้ข้างใน ดวงตาสีเทาอมเขียวสะท้อนฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นส้มอ่อน เธอหลุบตาลงเล็กน้อย “อีกนิดเดียว...” เสียงในใจพึมพำ เธอไม่ได้พูดกับใคร แค่ยืนยันกับตัวเองว่าทุกอย่างยังคงอยู่ในแผน ปลายทางใกล้เข้ามาและเหมือนสายลมที่พัดนำทางเธอมาโดยตลอด