แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-12-14 17:44
367 เที่ยวสลับกลับ
(MON) 16/06/2025 เวลา 11:30 น.
เรียกว่าเป็นอีกวันที่ได้นอนแบบเต็มอิ่มโดยไม่ต้องตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกตามที่เคยเป็นมาในช่วงหลายวัน เรียวแขนขาว ๆ เอื้อมกอดเอวสอบคนรักที่นอนซุกอยู่ข้างกันก่อนค่อย ๆ ลืมตาตื่น แน่นอนว่าเขายังไม่อยากตื่นในตอนนี้ แต่เสียง ‘โครกคราก’ ในท้องก็ประท้วงขึ้นมาว่าควรลุกไปหาอะไรรับประทานได้แล้ว
“ดีน…ตื่นกันเถอะที่รัก วันนี้นายวางแผนจะไปเที่ยวใช่ไหม”
“อา.. อืม ใช่ ฉันหลับจนลืมนาฬิกาปลุกไปเลย”
ถึงจะพูดแบบนั้นทว่าความจริงแล้วเดมิก็อดหนุ่มไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกสำหรับวันนี้ไว้เนื่องจากจะได้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่ม ส่วนการออกเที่ยวเป็นโบนัสเสริมที่คนลัลล้าพลาดไม่ได้
“ว่าแต่… ตอนที่พวกเราออกไปข้างนอกจะทำยังไงกับนกของนายดีล่ะที่รัก”
ดีนผงกหัวขึ้นมามองเล็กน้อยโดยที่ยังไม่ยอมปล่อยอ้อมแขนที่กอดก่ายคนรัก
“แต่ฉันคิดว่านะ สิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือต้องตั้งชื่อให้มันก่อน เอาเป็นว่า ไข่—....”
“กิ้วววว!!”
อินทรีซุสบาดเจ็บที่นอนอยู่บนผ้าขนหนูผืนนุ่มบนโต๊ะกลมข้างหน้าต่างแผดเสียงดังลั่นขัดจังหวะการตั้งชื่อของดีน พอได้ยินเสียงร้องที่เหมือนเสียงแหวของเจ้าอินทรีแล้วแมคเคนซีก็อดหลุดขำในลำคอไม่ได้
“ดูท่าเจ้านั่นไม่อยากร่วมขบวนการไข่นะ แต่จะว่าไปฉันก็ยังไม่ได้คิดเรื่องชื่อเลย…เราควรเลี้ยงมันไว้หรือเปล่า”
ที่ถามแบบนั้นเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจ เขาแทบไม่รู้จักนิสัยใจคอของสัตว์ชนิดนี้เลยด้วยซ้ำ เผลอ ๆ ไม่แน่ว่าถ้าหายดีแล้ว มันอาจจะสยายปีกโผบินกลับสู่ธรรมชาติไปก็ได้
“อินทรีนี่กินอะไรนะ พวกเนื้อหรือเปล่า เราใช้มือถือนี่ซื้อของได้ใช่ไหม”
จากที่เคยเห็นดีนซื้อของผ่านทางสมาร์ทโฟนเดดาลัส แมคเคนซีก็ไม่รอช้า หยิบมือถือมาลองกดเข้าแอพร้านสารพัดเร็วไวแล้วกดซื้อชุดซาชิมิกับแซลมอนย่างกลิ่นหอมกรุ่นออกมาวางไว้ให้อย่างละชุด
“เท่านี้น่าจะโอเคแล้ว ครึ่งวันคงอยู่ได้ใช่ไหมเจ้านก”
“……กิ้ว”
อินทรีแห่งซุสมองอาหารตรงหน้าแล้วมองหน้าแมคเคนซีก่อนจะร้องตอบเพียงสั้น ๆ เรียกได้ว่าเกรี้ยวกราดน้อยลงกว่าตอนขัดเรื่องการตั้งชื่อของดีนไปหลายหน่วย จากนั้นมันก็เริ่มลงมือจัดการซาชิมิก่อน
“เจ้านี่พอได้กินแล้วก็ทำเสียงอ่อนเสียงหวานเชียวแฮะ น่ารักจัง”
“เอาล่ะ คราวนี้ก็ถึงตาเราไปออกหากินบ้างแล้ว ก่อนที่ฉันจะหิวจนทนไม่ไหวแล้วจับนายกินซะก่อน”
หนุ่มอังกฤษพูดติดตลกก่อนหันมาจูบขมับคนที่ยังนอนอ้อยอิ่งอยู่ แล้วลุกไปจัดการธุระส่วนตัวด้วยกันเพื่อเตรียมตัวออกไปผจญภัยในเมืองโออาซากา
ภายในตัวเมืองเริ่มประดับประดาไปด้วยธงและกระดาษหลากสีสันเพื่อต้อนรับงานเทศกาล ‘เกวลากีตซา’ ที่จะถูกจัดขึ้นช่วงเดือนกรกฎาคมยาวนานหลายสัปดาห์ เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองของชนเผ่าพื้นเมืองต่าง ๆ ในเม็กซิโก แลกเปลี่ยนศิลปะวัฒนธรรม ร้องเพลงเต้นรำ แบ่งปันอาหาร น่าเสียดายนิดหน่อยที่พวกเขามาถึงเมืองนี้ก่อนเทศกาลถูกจัดขึ้นถึงสิบห้าวันทำให้พลาดเที่ยวชมงาน กระนั้น โออาซากาในยามนี้ก็ยังคึกคักสมกับเป็นเมืองที่ยูเนสโกรับรองว่าเป็นเมืองแห่งอาหารที่ดีที่สุดในสหรัฐเม็กซิโก
พวกเขาแวะเที่ยวชมสถานที่สำคัญต่าง ๆ ที่น่าไป อาทิ จตุรัสกลางเมืองที่ตั้งของ ‘วิหารซานโตโดมิงโก เดอ กุซมาน’ โบสถ์คริสต์สไตล์บาโรกที่ด้านในถูกตกแต่งด้วยสีทองอร่ามอลังการงานสร้างกว่าโบสต์แห่งไหนในภูมิภาคนี้ที่เคยแวะไปเยือน ต่อด้วย ‘พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมโออาซากา’ เดินเล่นยัง ‘ถนนคาเย มาซิโดนิโอ อัลคาลา’ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถนนคนเดินที่สวยที่สุดของเมืองทั้งสะอาดและหลากสีสัน และปิดท้ายวันที่พลาซ่า ดื่ม ‘เมซคาล’ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเลื่องชื่อของเมืองที่ทำจากพืชอากาเว มีลักษณะคล้ายเตกิลา แต่รสชาติเข้มกว่าและมีกระบวนการผลิตด้วยวิธีการแบบดั้งเดิม แม้เหล้ารสเข้มจะไม่ใช่สิ่งที่ดีนโปรดปรานเป็นอันดับแรก ๆ ทว่าเขาก็ดื่มมากพอที่จะทำให้คืนนี้นอนหลับได้โดยไม่ฝัน
เมื่อไขประตูกลับเข้ามาในห้อง สองเดมิก็อดคู่รักก็เห็นว่าอินทรีแห่งซุสอยู่อย่างสงบเสงี่ยมภายในห้องพักโดยไม่ทำข้าวของเสียหาย และดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บของมันจะดีขึ้นมากเพียงชั่วข้ามวัน
“ฮายย ฉันกลับมาแล้ว ไข่ซุ—”
“กิ้ว!!!” อินทรีขนทองคำแผดเสียงแหลมดังลั่นจนเสียดหู แถมด้วยท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“อู้ย โทษทีพวกเรากลับมาช้าไปหน่อย แกคงหิวแล้วสินะเจ้านกน้อยน่ารัก เดี๋ยวคุณพ่อแมคซี่จะให้อาหารนายเองนะ มุมุ”
บุตรเจ้าสมุทรเอ่ยอย่างอารมณ์ดีกลิ่นละมุดหึ่งออกจากปาก เขาถลาเข้าไปจะเล่นกับมันแต่เจ้าอินทรีกางปีกขู่อย่างน่ากลัว
“กิ้ว!!!”
“โอ๋ ๆๆๆ อย่าเพิ่งกลัวสิ ฉันมาดีนะ มาแบบเป็นมิตร เนอะ แมคซี่” ดีนหันกลับไปขอความเห็นจากคนรักตาหวานเยิ้มยิ่งกว่าเดิม
“อืม…ใช่ ฉันว่ามันรู้นะว่าใครมาแบบเป็นมิตร”
แมคเคนซีที่ดื่มไปไม่เยอะเท่าเพื่อให้ตนเองยังพอครองสติที่จะดูแลคนอีกสามคนไว้ได้ตลอดทริปการท่องเที่ยววันนี้ยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองท่าทีระหว่างคนรักกับนกนักล่าสมาชิกใหม่ด้วยแววตาเจือความขบขัน แน่นอนว่าคนชอบสัตว์แบบดีนพร้อมเสมอที่จะเป็นมิตรกับสัตว์ทุกประเภท แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้านกอินทรีตัวนี้ถึงดูไม่ชอบหนุ่มละตินเอาซะเลย
เขาเดินมาย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเจ้านกอินทรีข้าง ๆ ดีน มันจึงได้ยอมหุบปีกลงแล้วขยับเดินมาหาแมคเคนซีแทนโดยที่สายตายังมองไปที่บุตรแห่งเจ้าสมุทรอย่างไม่วางใจ
“ไม่เป็นไร ที่นี่ไม่มีใครทำอะไรแกแล้ว จะว่าไปก็ดูดีขึ้นเยอะแล้วนี่นะ อยากกลับบ้านหรือยังล่ะ”
เหมือนพูดเป็นวรรคเป็นเวรคนเดียว แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่คุยกับสุนัขที่บ้านและเจ้าลูกก็อบลินที่เลี้ยงไว้ด้วยความเคยชิน แม้ว่ากลุ่มเพื่อนรักสัตว์เลี้ยงของเขาจะไม่เคยตอบกลับมาด้วยภาษาเดียวกันก็ตาม แล้วก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่อินทรีแห่งซุสตอบกลับมาคือความเงียบ มันไม่ร้องตอบแต่นั่งลงไปบนกองผ้าขนหนูเหมือนเดิม จะว่าหิวก็คงไม่ใช่ เพราะแซลมอนย่างที่เขาซื้อไว้ให้ยังเหลืออยู่เกือบครึ่ง
“บ้านเหรอ…”
ดีนพยายามนึกภาพตามคำของแมคเคนซี หากเจ้านกตัวนี้เป็นอินทรีป่าธรรมดา ๆ เขาคงสนับสนุนการปล่อยสัตว์สู่ป่าโดยไม่ลังเล ทว่าเจ้านี่ไม่ใช่นกนักล่าธรรมดา ๆ เนี่ยสิ แต่เป็นอินทรีศักดิ์สิทธิ์แห่งซุส (ตามคำบอกเล่าของชาร์ล็อต) ซึ่งเขาไม่อาจจำแนกได้เลยว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้ เป็นอสุรกายหรือสัตว์เทพกันแน่ บางทีอาจเป็นมนุษย์ที่ถูกสาปให้เป็นสัตว์รับใช้ก็ได้ใครจะไปรู้ เพราะว่าดีนเคยฟังพอดแคสต์เรื่องเทพเจ้ามาบ้างว่า เทพชอบเปลี่ยนให้คนสนิทเป็นสัตว์เทพเพื่อรับใช้ใกล้ชิดและมอบความพิเศษกึ่งอมตะให้
“งั้นบ้านของไข่ซุสก็คือโอลิมปัสสินะ”
“กิ้ว!!!” อินทรีศักดิ์สิทธิ์แห่งซุสไม่ทน คราวนี้มันขยับปีกยกตัวสูง ลอยตัวไล่จิกดีน
“โอ๊ย ๆๆๆๆ ทำไมอยู่ ๆ เจ้านี่ก็ไล่จิกฉันอ่าาาา”
บุตรแห่งโพไซดอนเปลี่ยนกำไลอัจฉริยะเป็นโล่กลมสลักรูปฮิปโปแคมปัส คล้ายยิ่งทำให้มันเดือดดาลยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นสัตว์วิเศษบนหน้าโล่ จะงอยปากคมกริบกระทบโล่สัมฤทธิ์เสียงดัง แป๊ง ๆๆ!
“เฮ้ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ”
แมคเคนซีรีบห้ามทัพถึงแม้จะเห็นอยู่ว่ามีฝ่ายที่เกรี้ยวกราดอยู่ฝ่ายเดียวก็ตามที แต่เขาควรห้ามยังไงดีล่ะ พอนึกถึงคลิปการเลี้ยงนกอินทรีที่ดีนเคยเปิดดูแล้ว เขาก็รีบหยิบผ้าขนหนูบนโต๊ะมาพันแขนตนเองไว้แล้วยื่นออกไป
“เจ้านกมาทางนี้”
ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก อินทรีแห่งซุสที่จิกรูปฮิปโปแคมปัสบนโล่ไม่ยั้งก็ชะงักไป มันบินมาเกาะตรงแขนที่บุตรเทพีแห่งมนตราใช้ผ้าขนหนูพันแขนไว้แล้วยืนด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยราวกับว่ามันเพิ่งกำราบศัตรูตัวฉกาจ (?) ไปได้
“ดูท่าคืนนี้พวกนายอยู่ด้วยกันไม่ได้แน่ นายรอเดี๋ยวนะ ฉันจะเอาอินทรีซุสไปฝากชาร์ล็อตช่วยเลี้ยงสักคืนก่อน รอให้มันอารมณ์เย็นลงกว่านี้แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาดูกันต่อว่าจะเอายังไง”
ว่าแล้วแมคเคนซีก็หายออกไปจากห้องเพื่อเอาสัตว์เลี้ยงใต้อาณัติเทพสายฟ้าไปฝากน้องสาวที่อยู่ห้องข้าง ๆ ก่อนจะกลับมาในเวลาไม่นานนัก “แมคซี่ ฉันคิดถึงนายจัง นายไม่อยู่ตั้งห้าสิบแปดวินาที เกือบหนึ่งนาทีแน่ะ”
ดีนถลาเข้าไปกอดเอวเอาหน้ามุดอกแมคเคนซีทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามาในห้องเสมือนว่าคนรักทิ้งเขาไปนานแสนนาน ส่วนตัวเลขที่กล่าวนั้นไม่ได้โมเม หนุ่มโพไซดอนนับเลขในใจช่วงที่อีกฝ่ายหายออกไปจริง ๆ
“แต่ก็ไม่ได้นานเท่าไหร่ นายรีบกลับมาเพราะคิดถึงฉันล่ะสิ”
หนุ่มตาเยิ้มยิ้มเผล่เงยหน้าขึ้นมามองคนที่อยู่สูงกว่า
หนุ่มอังกฤษรับกอดคนรักไว้แล้วมองตอบดวงตาสีเปลือกไม้หางตาตกอันเป็นเอกลักษณ์ของคนตรงหน้า คงไม่ต้องให้พูดว่าเขาแพ้สายตาแบบนี้ของดีนแค่ไหน แม้เวลานี้อีกฝ่ายจะตาฉ่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ตาม
“นายนับขนาดนั้นเชียว แน่นอน ฉันอยากตัวติดกับนายจะแย่”
มือข้างนึงวางทาบแก้มที่เริ่มมีไรหนวดจาง ๆ ขึ้นบนใบหน้าคมสันพลางเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือคลึงไปตามแก้มสีน้ำผึ้งเบา ๆ
“บรรยากาศเป็นใจดีนะนายว่าไหม จะเป็นอะไรไหมถ้าเรา……”
แมคเคนซีเงียบไปเพียงแค่นั้น ก่อนจะขยับใบหน้าไปกระซิบข้างหูคนรักด้วยประโยคที่ได้ยินกันเพียงแค่สองคน
. . .
(TUE) 17/06/2025 เวลา 7:00 น.
เข้าสู่เช้าอันสดใส วันนี้ดีนและแมคเคนซียังคงตื่นกันไหวทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งเล่นกีฬามัน ๆ ก่อนนอนกันมา บางทีอาจเป็นความเคยชิน… หมายถึงตื่นเช้าติด ๆ กันจนเคยชิน
หลังจากเตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็พากันเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม และตอนนี้ก็ได้เวลาต้องบอกลาสมาชิกชั่วคราวของทีมแล้ว
“เอาล่ะ ได้เวลากลับบ้านของแกแล้ว กลับถูกใช่ไหม อย่าให้ใครมารุมอีกล่ะ”
แมคเคนซีบอกอินทรีร่างทองอร่ามที่เกาะแขนของตนเองราวกับว่ามันเริ่มคุ้นชินที่จะอยู่ตรงนี้ไปแล้ว
“กิ้ว——”
นกนักล่าเพียงแค่เอียงคอเล็กน้อย ตอนนี้สภาพร่างกายของมันดูแข็งแรงขึ้นมาก และมันก็ได้กินอาหารมื้อเช้าจนอิ่มหนำไปแล้ว น่าจะเดินทางไปได้อีกไกลโข จากที่ชาร์ล็อตเคยบอกว่านี่คือนกส่งสารของเทพซุส นั่นแปลว่าอินทรีตัวนี้คงมีความสามารถในการจดจำเส้นทางได้เป็นอย่างดี
“บ๊ายบายนะจ๊ะน้องนก ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีกนะ”
ชาร์ล็อตบอกลาด้วยรอยยิ้ม ปลายนิ้วเรียวเล็กของเธอแตะเข้าที่หัวของมันอย่างแผ่วเบา ซึ่งอินทรีแห่งซุสก็ไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด จนเมื่อเด็กสาวละมือออก มันก็สยายปีกบินขึ้นไปด้านบน วนอยู่เหนือศีรษะเดมิก็อดทั้งสี่
“พวกเราก็ต้องรีบไปขึ้นรถที่จะไปเม็กซิโกซิตี้ได้แล้ว เดี๋ยวจะตกรถเอา”
แมคเคนซีเงยหน้าขึ้นมองอินทรีแห่งซุสที่บินเป็นวงกลมอีกครั้ง ก่อนที่มันจะบินหายลับไป โดยที่ภายในใจก็หวังว่าการเดินทางครั้งนี้ของมันจะปลอดภัยและไม่โดนใครทำร้ายอีก จากนั้นพวกเขาก็เดินทางกันไปยังท่ารถ เพื่อเริ่มต้นการเดินทางต่อไป
จุดหมายปลายทางของวันนี้คือ ‘เม็กซิโกซิตี้’ เมืองหลวงของสหรัฐเม็กซิโก อาจเป็นอีกหนึ่งวันอันน่าเบื่อที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรนอกจากการนั่งอยู่บนรถบัส ชมวิวข้างทาง แล้วก็งีบหลับ แวะพักที่จุดพักรถเพื่อรับประทานมื้อเที่ยงแบบลุ้น ๆ ว่าจะมีตัวอะไรโผล่มารังควาญอีกไหม แต่วันนี้ก็สงบสุขกว่าที่คาดจนพวกเขาทั้งสี่มาถึงที่หมายโดยไม่เจ็บตัว แถมยังได้ที่พักดี ๆ ราคาไม่แรงมากแต่อยู่บริเวณจตุรัสใจกลางเมือง
“จริงสิ ฉันอยากซื้อของที่มินิมาร์ทใกล้ ๆ นี้หน่อยแฮะ นายจะเอาอะไรไหม หรือจะไปด้วยกัน?”
บุตรเจ้าสมุทรเอ่ยขึ้นหลังพวกเขาทั้งสี่คนเพิ่งกลับเข้าที่พักหลังจากรับประทานอาหารเย็นกันได้ไม่นานโดยที่ชาร์ล็อตและไฮรี่แยกย้ายไปพักผ่อนกันอีกห้อง
“ไปสิ ไปเดินเล่นอีกสักหน่อยก็ดี เพิ่งหัวค่ำเองนี่นะ”
ดูจากเวลาแล้วก็ยังพอออกไปเดินเตร่กันได้อีกหน่อย ดีกว่าจะต้องมานั่งไม่มีอะไรทำในห้องตั้งแต่หัวค่ำ ครั้นจะเล่นกีฬามัน ๆ กันต่ออีกวันก็ดูจะเร็วเกินไป ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของคืนนี้ไปดีกว่า
เมื่อตกลงกันได้แล้ว สองหนุ่มเดมิก็อดก็พากันเดินออกจากโรงแรมมายังร้านสะดวกซื้อแถวนั้น หลังจากซื้อเครื่องดื่มมีฟองของโปรดของดีน รวมถึงของใช้จำเป็นอีกนิดหน่อยเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็พากันเดินเล่นแถวนั้นต่ออีกหน่อย
“ฉันเคยเล่าไหมว่าแม่ฉันเป็นคนเม็กซิกันโดยกำเนิด แต่ว่าไม่ได้อยู่ที่เม็กซิโกซิตี้หรอกนะ”
“เหมือนจะไม่เคยนะ แต่คุณแม่นายก็หน้าตาสวยเข้ม ไม่เหมือนชาวอเมริกันเท่าไหร่”
อยู่ ๆ ดีนก็เกริ่นขึ้นมา สำหรับตัวเขาที่มีสายเลือดเม็กซิกันไหลเวียนอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง สายเลือดเทพสมุทรครึ่งหนึ่ง ส่วนสัญชาติเป็นอเมริกันเพราะว่าเกิดและเติบโตที่นี่ ไม่มีญาติฝั่งแม่ในเท็กซัส ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองเป็นประชาชนอเมริกันเต็มร้อยเปอร์เซ็น
“แม่ไม่ค่อยเล่าเรื่องครอบครัวแม่ให้ฉันฟังเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าแม่จะเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน ถ้าจำไม่ผิดฉันมีลุงหนึ่งคนแล้วก็น้าชายอีกสองมั้ง”
เรื่องราวเหล่านั้นช่างเลือนลางในความทรงจำ ดีนฟังเรื่องของแม่มาจากพ่อ ‘โดนัลด์ นีล’ เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งพ่อกับแม่สนิทกันหลังจากที่แม่อพยพมาอยู่ซานอันโตนิโอแล้วด้วยซ้ำ ข้อมูลจากปากสู่ปาก ดังนั้นข้อมูลที่มีอาจไม่ใช่เรื่องจริงเลยก็ได้
“เอาจริงนะ ฉันไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้มาเยือนแผ่นดินเกิดของแม่ รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้แวะไปหาญาติที่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคือใคร”
ดีนเว้นเล็กน้อยทอดสายตามองทิวทัศน์ยามค่ำของเม็กซิโกซิตี้ที่ไม่ดับแสง ไม่มีอะไรแตกต่างจากตอนกลางวัน มีเพียงวิถีชีวิตของผู้คนที่แตกต่างออกไปตามช่วงเวลา จากนั้นหันกลับมาหาคนรักที่เดินเคียงกัน
หลังจากที่เงียบฟังดีนเล่าเรื่องของผู้เป็นมารดามาตลอดทางอย่างตั้งใจ แมคเคนซีก็เริ่มพูดขึ้นมาบ้างพร้อมกับหันมาสบตาคนข้าง ๆ ตอบ เครื่องหน้าคมเข้มของคนตรงหน้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าได้จากใครมา
“ถ้านายเกิดอยากไปขึ้นมาเมื่อไหร่…ถึงตอนนั้นเราค่อยมากันใหม่ก็ได้”
ด้วยความที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของครอบครัวผู้เป็นแม่ของคนรักมาก่อน (และดีนเองก็คงไม่รู้เช่นกัน) มันจึงค่อนข้างเป็นเรื่องยากสำหรับแมคเคนซีที่จะหาถ้อยคำมาสนับสนุนเรื่องการไปเยี่ยมผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นญาติกัน มือที่ว่างอยู่จากการถือของจึงทำได้เพียงแค่คว้ามือเก้งก้างของอีกฝ่ายมากุมไว้แล้วยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง
“ให้นายทายว่าแม่ฉันมาจากเมืองไหน ใบ้ให้ว่าเป็นชื่อเมืองที่พอนายฟังแล้วต้องร้องอ๋อ”
“อืมมมม…ให้ฉันทายน่ะเหรอ แปลว่าจากเมืองที่เราผ่านมานี่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด อา…นายถามคำถามยากจังที่รัก ฉันไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศนี้ซะด้วย แต่ถ้าให้เดาล่ะก็….ดูรังโก?”
“ดูรังโกเหรอ นายเดาได้ดีนะ แต่ยังไม่ใช่ เอางี้ฉันให้นายทายอีกหนึ่งครั้ง เพิ่มคำใบให้คือเมืองนั้นเกี่ยวกับมะ-....”
“โฮ่ง!!”
ยังไม่ทันที่ดีนจะพูดจบ เดมิก็อดทั้งคู่ก็ต้องเหลียวไปมองข้างหลังจากเสียงเห่ากรรโชกอย่างรุนแรงจากสุนัขตัวใหญ่ แล้วไม่ได้มีเพียงหนึ่งแต่มาถึงสี่ตัว
“เหวอ!”
แม้แต่คนที่ชื่นชอบสัตว์อย่างดีนยังต้องร้องเหวอเมื่อพวกเขาถูกสุนัขขี้เรื้อนเจ้าถิ่นตัวใหญ่ล้อมหลังเอาไว้ ท่าทางของพวกมันดูเอาเรื่องเหมือนว่าทั้งสองคนทำอะไรผิดต่อพวกมันมา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำอะไรให้ ไม่แน่ว่ามันอาจจะหวงถิ่นหรือไม่ก็แค่อยากปล้นของกินที่อยู่ในถุงร้านสะดวกซื้อที่หิ้วอยู่
สุนัขขี้เรื้อนตัวหนึ่งกระโจนใส่หนุ่มทั้งสองทันที ด้วยสัญชาตญาณทำให้ดีนจูงมือแมคเคนซีวิ่งหนีโดยไม่ทันได้พินิจวิเคราะห์ถึงรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าหมาแก๊งนี้ดี ๆ
“แมคซี่วิ่งเร็ว!!!”
พวกเขาทั้งสองวิ่งหนีแบบลืมทิศจนถูกต้อนเข้ามาสู่ซอยตันแคบ ๆ แห่งหนึ่งที่มีชายเร่ร่อนตัวใหญ่โตเสื้อผ้าขาดวิ่นในมือทั้งสองข้างถือกระบองไม้ข้างละท่อนยืนจังก้ารออยู่ ภัยจากทั้งด้านหน้าด้านหลังทำให้พวกเขาเบรกเอี๊ยดแทบไม่ทัน
“อะ… อะไรอีกเนี่ย!!”
“หึ! ทำดีมากลูกพ่อ ขย้ำมัน!”
ยังไม่ทันได้ตั้งตัวหรือตั้งสติ ชายร่างยักษ์ก็สั่งให้ฝูงสุนัขขี้เรื้อนจู่โจมทั้งสองทันที ในสถานการณ์แบบนี้ต่อให้ไม่ใช่อสุรกายแต่ก็คงต้องใช้พลังแห่งเทพรับมือเสียแล้ว
หลังจากที่โดนลากให้วิ่งมาเป็นระยะทางเท่าไหร่ไม่รู้ แต่มันก็พอจะทำให้คนที่วิ่งไม่ทนแบบแมคเคนซีหอบแฮ่กได้ ซ้ำตอนนี้สถานการณ์ยังดูเข้าตาจนสุด ๆ แต่อาจเป็นเพราะสายเลือดของเทพีผู้สร้างม่านหมอกบังตาไว้ก็หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ ที่ทำให้หนุ่มอังกฤษมองเห็นร่างจริงของสุนัขฝูงนั้นและเจ้าของของมัน
และอาจถือเป็นความโชคร้ายของแมคเคนซีที่เขาคิดว่าแค่มาร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ คงไม่มีอะไร จึงทำให้เขาไม่ได้พกคทาเวทมาด้วย แต่มันก็เพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น เพราะถึงยังไงสกิลความมือเท้าไวก็ยังทำงานได้ดีอยู่
พลั่ก!
ไม้หน้าสามแถวนั้นถูกหยิบมาใช้เป็นอาวุธจำเป็นเฉพาะหน้า เมื่อเป็นอสุรกายที่จ้องจะเอาชีวิตพวกเขาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องปรานีกันอีก แมคเคนซีหวดไม้เข้าไปเต็มแรงจนสุนัขตัวหนึ่งที่กระโจนนำมากระเด็นไปติดกำแพง
“ดีน! พวกนี้มันคือมอนสเตอร์ พวกหมานั่นคือชูปาคาบรา ส่วนไอ้เจ้าตัวยักษ์นั่น…ฉันว่ามันเหมือนโทรลล์!”
แมคเคนซีรีบหันไปบอกคนรักพร้อมใช้ไม้หน้าสามฟาดชูปาคาบราอีกตัวที่โดดเข้ามาจนร่างมันลอยไปอีกทาง เขาใช้เวลานึกชื่อจอมบงการนั่นเล็กน้อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันเหมือนเจ้าสัตว์ประหลาดตัวเขียวซึ่งเป็นตัวการ์ตูนชื่อดัง
“ห๊ะ อสุรกาย!?”
เมื่อตั้งสติพินิจมองดี ๆ จึงได้เห็นว่านักเลงและฝูงสุนัขคืออสุรกายที่ต้องกำจัด แถมเจ้าตัวที่อยู่ตรงหน้ายังเหมือนกับ
“เชร็ค!!!”
“เชร็ค เชิร์ค บ้าบออะไร ตายซะ!!!”
โทรลล์ที่หลุดออกจากมนตราจำแลงกายเงื้อกระบองขึ้นฟาดอย่างรุนแรง หากเมื่อกี้ไม่กระโดดหลบมีหวังได้ถูกทุบหัวแบะลงไปเหมือนพื้นที่แตกระแหงนี้แน่ ๆ
“วี้ด~”
โทรลล์ตัวใหญ่ผิวปากเรียกชูปาคาบราสองตัวให้มาต่อสู้เคียงกายคล้ายเป็นสมุนซ้ายขวาคอยปกป้อง มันฉลาดผิดวิสัยโทรลล์ที่ปกติจะโง่เง่ามีดีแต่แรง แต่ดูจากอาวุธในมือทั้งสองข้างไม่แน่ว่าเจ้านี่อาจจะวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นโทรลล์ชั้นสูงที่มีสติปัญญามากกว่าโทรลล์ทั่วไป …อะไรแบบนี้
ที่น่าประหลาดใจอีกอย่างคือทำไมโทรลล์ถึงรวมกลุ่มกับชูปาคาบราได้ทั้งที่เป็นอสุรกายคนละสังกัดกัน
แต่จะด้วยอะไรก็ช่าง ในเมื่อไม่ใช่คนและน้องหมาจริง ๆ ดีนก็ไม่ออมมือ เขาเปลี่ยนกำไลอัจฉริยะเป็นตรีศูลสีเข้ม เมื่อมองไปทางคนรักเขาเห็นอีกฝ่ายถือแค่ท่อนไม้หน้าสามที่ไม่รู้หยิบมาตอนไหน จึงเพิ่งคิดได้ว่าแมคเคนซีไม่ได้เอากระบอกซูมและกริชเวทมนตร์มาด้วย
“แย่ล่ะสิ แมคซี่นายสู้ไหวไหม? ฉัน…ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง”
“คิดว่าได้นะ…ได้อยู่ อุ๊บ!”
ถึงจะบอกว่า ‘ได้’ แต่สภาพแมคเคนซีตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ชูปาคาบราตัวนึงที่เขาเพิ่งตีไปดูบ้าเลือดกว่าที่คิด ทันทีที่ตั้งตัวได้มันก็กระโจนเข้ามาอีกรอบแล้วอ้าปากกว้างจนเห็นเขี้ยวแหลมเต็มไปหมด จนแมคเคนซีต้องใช้ไม้ในมือขัดปากมันเสียก่อนที่แขนของตนจะโดนขย้ำจนหายไปแทน ทุกอย่างดูรีบร้อนไปหมดแต่เขาก็จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิที่มีอยู่น้อยนิดและสติที่พร้อมจะแตกทุกเมื่อเรียกอาวุธจากหมอกออกมา
“นี่น่าจะใช้ได้ แต่ตอนนี้พวกเรากำลังจะโดนรุม นายต้องทำอะไรสักอย่างจริง ๆ แล้วดีน!”
ทันทีที่ดาบทองคำจักรพรรดิปรากฏขึ้นมาในมือ แมคเคนซีก็รีบหันไปบอกดีนอีกครั้ง
บุตรเจ้าสมุทรเม้มปาก เขาพยายามเพ่งสมาธิหาน้ำใต้ดินเพื่อหยิบยืมมาใช้เป็นอาวุธในขณะที่ต้องหลบการโจมตีจากทั้งชูปาคาบราและโทรลล์ร่างยักษ์ไปในตัว ฝาท่อระบายน้ำสั่นกึกกักอยู่ใต้ดินแต่มันพุ่งตัวออกมาไม่ได้ อาจเพราะเศษขยะที่อุดตันอยู่ข้างใน ชื่อว่าท่อระบายน้ำแต่มันกลับระบายน้ำไม่ได้เสียอย่างนั้น
“ฮึ้ย!”
ดีนพุ่งตรีศูลแทงเข้ากลางอกของชูปาคาบราบ้าเลือดที่กระโจนใส่จนร่างของมันแหลกสลาย ก่อนจะพยายามเรียกน้ำใต้พิภพขึ้นมาอีกครั้งอย่างสุดพลังโดยพยายามไม่ให้เครื่องดื่มที่ซื้อมาแตกเสียเอง น้ำในท่อพุ่งออกมาพร้อมกับเศษขยะจำนวนหนึ่ง น้ำสีขุ่นเหล่านั้นพุ่งแทงฝูงชูปาคาบราราวกับฝนเข็ม
“หลบดี ๆ นะแมคซี่ ถ้านายโดนน้ำพวกนี้เข้าไปมีหวังเชื้อราขึ้นสมองแน่ ๆ!”
“อี๋—-!”
ทั้งกลิ่นทั้งสีที่ตีขึ้นจมูกทำเอาแมคเคนซีร้องออกมาด้วยความพะอืดพะอม ไม่ใช่แค่พวกชูปาคราบาที่จะตาย แต่หากเขาไม่หลบน่าจะต้องติดเชื้ออย่างที่ดีนบอกแน่ ๆ แต่ในขณะที่กำลังจะวิ่งหาที่หลบนั้นเอง เจ้าโทรลล์ตัวยักษ์ก็ฟาดกระบองมาขวางหน้าเขาไว้จนไปไหนไม่ได้
“จะหนีไปไหนเดมิก็อด”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง อสุรกายร่างเขียวตัวเขื่องก็ฟาดกระบองอีกอันใส่แมคเคนซีทันทีจนต้องรีบหมอบหลบแล้วกลิ้งตัวหนีไปด้านข้าง ช่างเป็นโทรลล์ที่มีพละกำลังมหาศาลและโจมตีได้ว่องไว เขาเองก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเหมือนกัน
“ดีน! นายควบคุมน้ำพวกนั้นที”
น้ำพวกนั้นที่ว่าคงไม่ต้องบอกว่าเป็นน้ำอะไร แมคเคนซีพยายามใช้ขนาดตัวที่เล็กกว่าอันเป็นข้อได้เปรียบ วิ่งไปที่ด้านหลังของโทรลล์ตนนั้นเพื่อทำให้มันกลายเป็นเป้านิ่งสำหรับบุตรแห่งเจ้าสมุทร
“ได้!”
ดีนขานรับสั้น ๆ ก่อนจะควบคุมแรงตึงผิวของน้ำให้มากพอที่จะเป็นใบมีดขนาดใหญ่ พุ่งแทงสะกัดแขนและขาของโทรลล์ให้เคลื่อนไหวช้าลงในระหว่างที่แมคเคนซีวิ่งล่อจนเจ้าตัวใหญ่เงอะงะงุ่นง่านไม่ทันระวังตัว อสุรกายร่างยักษ์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของมันจึงสามารถสลัดใบมีดน้ำ (เน่า) ให้หลุดออกไปได้แล้ววิ่งพุ่งตรงไปหาเหยื่อที่มองเห็นได้ง่ายกว่าอย่างดีนในทันที
“ไอ้เวรเอ๊ย! หลุดได้ไงเนี่ย!”
เตรียมตัวรับแรงปะทะ แต่ไม่รับจะดีกว่า เขาอาจไวพอที่จะสังหารมัน หนุ่มโพไซดอนจึงรีบพุ่งตัวแทงตรีศูลใส่ท้องของโทรลล์เขียว แต่ด้วยความอึดทนทายาดของมันจึงทำให้การโจมตีครั้งนี้ยังไม่ถึงตายและในระยะประชิดแบบนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีของดีนเอาเสียเลย
ฉึก!
ไม่ต้องรอให้มีการตอบโต้หรือการปะทะใด ๆ เกิดขึ้นอีก ปลายดาบทองคำจักรพรรดิแทงจากอกด้านหลังทะลุมาที่ด้านหน้า ผ่านจุดสำคัญที่เรียกว่าจุดตายจนโทรลล์ตนนั้นทำกระบองร่วงหล่นจากมือ ดวงตาของมันเบิกโพลงมองค้างไปยังบุตรแห่งโพไซดอนก่อนที่ร่างใหญ่โตของมันจะสลายเป็นฝุ่นผงเหลือทิ้งไว้เพียงแต่กระบองสองอันซึ่งเป็นอาวุธประจำตัว
“…..แย่ชะมัด ฉันต้องกลับไปอาบน้ำอีกรอบใช่ไหม”
หนุ่มรักสะอาดอย่างแมคเคนซียกแขนตัวเองขึ้นมาดมทีละข้างแล้วต้องทำหน้าเบ้ ถึงจะไม่ได้โดนน้ำเน่าจากท่อระบายน้ำโดยตรงแต่กลิ่นอันรุนแรงที่ติดตามเนื้อตัวก็ทำให้เหม็นจนแทบทนไม่ได้
“พวกเราน่าจะต้องอาบกันทั้งคู่เลย”
เพิ่งอาบน้ำตัวหอม ๆ กันก่อนออกมาเดินเล่นแท้ ๆ ถ้ารู้ว่าจะต้องบู๊แหลกแจกแต้มแบบนี้สู้ไม่อาบน้ำเสียก็ดี ไม่สิถ้ารู้ว่าต้องสู้ไม่ออกจากโรงแรมมาเลยดีกว่า
“คิดแล้วก็เศร้า ถ้าฉันเรียกน้ำออกมาได้แบบในการ์ตูนก็ดีสิ นี่ทำได้แค่ควบคุมน้ำ พลังไม่เจ๋งแจ๋วสมกับเป็นลูกโพไซดอนเลยอะ แต่อย่างน้อย… ไอ้นี่ก็น่าจะเก็บไปหลอมได้ล่ะนะ” ดีนบ่นกระปอดกระแปดขณะที่เขาตาไวหยิบสินสงครามขึ้นมา กระบองไม้สองอันกับขวดเลือดจากชูปาคาบราจำนวนหนึ่ง
“เจ้าพวกนี้ตายไปกลายเป็นผงแต่ดันดรอปเลือดซะงั้น สรุปว่าอสุรกายก็มีเลือดเหมือนกันสินะ แต่ระบบทาร์ทารัสเซ็นเซอร์เลือดตอนเจ้าพวกนี้ตายเลยเห็นแค่ผงดำ ๆ ทอง ๆ อย่างกับพวกเราอยู่ในจักรวาลของดิสนีย์”
แต่ถ้าอยู่จริงก็ไม่ควรมีคนเจ็บไม่ควรมีคนตายสิถูกไหม?
“จะว่าไปนายยังติดต่อกับพ่อไม่ได้ใช่ไหม ไว้ถ้ามีโอกาสได้เจอก็ลองถามดูสิ เผื่อว่าพ่อนายอาจจะมีทักษะใหม่ ๆ มาสอน…ประมาณอัพแพทช์ในเกมน่ะ”
แมคเคนซีพูดเปรียเปรยไปตามที่ตนเองเข้าใจได้ง่าย ๆ พลางช่วยกันแบกกระบองกลับโรงแรมกับดีนมาคนละด้าม ดีที่มันเอาไปหลอมได้ หากทำประโยชน์อะไรไม่ได้คงไม่คิดจะเสียเวลาเอากลับมา
ความจริงแล้วเขาก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าสายเลือดที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างเขาสามารถใช้เวทเกี่ยวกับน้ำได้บ้างหรือไม่ ตั้งแต่ที่เดินทางร่วมกับชาร์ล็อตมา เขาเองก็ยังไม่เคยเห็นเธอใช้เวทเกี่ยวกับน้ำเหมือนกัน
ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าตำราเวทพื้นฐานของเฮคาทีไม่ครอบคลุมเวทน้ำอย่างนั้นสิ?
ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แต่ก็นึกเสียดายว่าหากเขาสามารถใช้เวทน้ำได้คงดีไม่น้อย น่าจะช่วยพอเป็นกำลังเสริมให้ดีนได้เป็นอย่างดี
“มาเป็นแบบนี้ยังดีกว่าเลือดสาดใส่ล่ะมั้ง ไม่งั้นสภาพพวกเราคงไม่ต่างจากฆาตกรร้อยศพแน่ ๆ”
แค่นึกภาพตามแมคเคนซีก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มน้อย ๆ ไม่ใช่รู้สึกขบขัน แต่เหมือนเห็นมันเป็นตลกร้ายเสียมากกว่า…ถึงสิ่งที่พวกเขาจะฆ่าไปคือพวกอสุรกาย แต่มันต่างอะไรกับอาชญากรรมกันล่ะ
เดินคุยกันไปเรื่อย ๆ ก็กลับมาถึงโรงแรมเสียที สิ่งแรกที่ทั้งคู่ทำเมื่อกลับถึงห้องคืออาบน้ำกันยกใหญ่อีกรอบแทนที่จะได้นั่งจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และนั่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระแล้วเข้านอนกันแบบสบาย ๆ
. . .
(WED) 18/06/2025 เวลา 08:00 น.
วันนี้เป็นวันที่วางแผนเอาไว้ว่าจะเที่ยวเต็มวันในเมืองหลวงของสหรัฐเม็กซิโก พวกเขาไม่ได้มาที่นี่บ่อย ๆ จึงจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์และความทรงจำเอาไว้ให้เต็มอิ่ม เช็คเอาต์ออกจากโรงแรมในตอนเช้าจากนั้นท่องเที่ยวรอบ ๆ ตัวเมือง
โดยช่วงเช้าแวะเที่ยวย่านเมืองเก่าของเม็กซิโกซิตี้ ซึ่งเป็นเขตศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมือง และเป็นพื้นที่ที่สำคัญที่สุดทางประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศ ตั้งอยู่บนพื้นที่เดิมของเมืองหลวงอาณาจักรแอซเท็กชื่อ ‘เตนอชตีตลัน’ ก่อนที่สเปนจะเข้ามาสร้างเมืองใหม่ทับในยุคอาณานิคม ทำให้พื้นที่นี้เป็นจุดที่โครงสร้างของอารยธรรมดั้งเดิมและอาคารแบบสเปนผสมกันอยู่ในที่เดียว
ภายในเขตนี้มีสถานที่สำคัญระดับชาติ เช่น ‘จัตุรัสโซคาโล’ ซึ่งเป็นศูนย์กลางกิจกรรมของรัฐ
“และที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้าคือ ‘มหาวิหารเมโทรโพลิแทนแห่งกรุงเม็กซิโก’ ศูนย์กลางศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่สำคัญที่สุดของประเทศเม็กซิโก และเป็นมหาวิหารที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในลาตินอเมริกา ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่เดิมของวิหารศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรแอซเท็ก สะท้อนการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากอารยธรรมดั้งเดิมสู่ยุคอาณานิคมสเปน ตัวอาคารใช้เวลาสร้างยาวนานกว่าสามศตวรรษ จึงผสมผสานสถาปัตยกรรมหลายยุค ตั้งแต่เรอเนซองส์ บาโรก จนถึงนีโอคลาสสิก สะท้อนวัฒนธรรมที่หล่อหลอมเม็กซิโกสมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน”
ชายหนุ่มอ่านข้อมูลที่ได้จากอินเทอร์เน็ตในฐานะไกด์นำเที่ยวแบบที่เคยทำตอนไปเที่ยวกับแมคเคนซี (ขอขอบคุณข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต) จากนั้นเดินชมจนทั่ว แล้วพวกเขาก็ไปกันต่อที่ ‘พระราชวังแห่งชาติ’ และ ‘ซากวิหารแอซเท็ก’ พื้นที่นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก เพราะสะท้อนประวัติศาสตร์หลายยุค ตั้งแต่ก่อนยุคอาณานิคมจนถึงเม็กซิโกสมัยใหม่ และยังคงเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์เม็กซิโกในปัจจุบัน
ดีนทำหน้าที่ไกด์นำเที่ยวอย่างดี ไม่รู้ว่าข้อมูลที่เขาตั้งใจพล่ามจะเข้าหูลูกทัวร์ทั้งสามมากแค่ไหน เขาเห็นชาร์ล็อตฟังอย่างตั้งใจ ส่วนไฮรี่ทำหน้าเหมือนจะหลับทั้งที่กำลังเดินอยู่
เมื่อหมดโซนนี้ก็ได้เวลารับประทานอาหารเที่ยง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอาหารเม็กซิกันชุดใหญ่ที่ดีนสั่งมาได้อย่างคล่องแคล่วด้วยความคุ้นชิน (กว่าอาหารประเทศอื่นในอเมริกากลางเยอะ) ทั้งกัวคาโมเลกับแผ่นตอร์ติญ่าทอด ทาโก้หมูหมักย่างเสิร์ฟกับสับปะรด เอนชิลาดาซอสเขียวไส้ไก่ ไก่ราดซอสโมเล (ซอสช็อกโกแลต-พริกแบบดั้งเดิม) และพริกยัดไส้ชีสหรือเนื้อชุบแป้งทอด สั่งเครื่องดื่มเป็นน้ำข้าวหวานไร้แอลกอฮอล์ที่เรียกว่า ‘ฮอร์ชาตา’ โดยกำชับพนักงานเสิร์ฟว่าขอแบบเผ็ดน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รอไม่นานอาหารก็ถูกเสิร์ฟตรงหน้าเต็มไปหมด
“อย่างกับกินมื้อส่งท้ายเม็กซิโกแน่ะ”
แมคเคนซีมองอาหารที่ค่อย ๆ ถูกลำเลียงมาวางที่โต๊ะจนครบ เขาเริ่มคุ้นชินกับสีสันจัดจ้านของอาหารเม็กซิโกแล้ว แต่ลิ้นก็ยังไม่ชินกับอาหารรสเผ็ดร้อนบางชนิดอยู่ดี
“จะว่างั้นก็ได้นะ ยกเว้นว่านายติดใจจนอยากมาอีก”
ดีนหัวเราะเบา ๆ ขณะเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า พอเป็นวันเกือบสุดท้ายสำหรับการเดินทางเขาก็ไม่รัดเข็มขัดสุดขีดเหมือนวันที่ผ่าน ๆ มาอีก แต่ถ้าให้มาอีกรอบก็ขอเป็นมาเที่ยวก็แล้วกัน ไม่ใช่มาทำภารกิจอันยากลำบากแบบนี้
“โหวววว น่ากินจัง ไฮรี่จะกินให้หมดเลย”
จากที่ดูเนือย ๆ มาตลอดเวลาช่วงเช้าเหมือนคนยังไม่ตื่นดี ไฮรี่ลงมือรับประทานอาหารอย่างกระตือรือร้นทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครเปิดก่อน จนแยกไม่ออกว่าก่อนหน้าเจ้าตัวไม่เอ็นจอยกับการเดินเที่ยวหรือไม่อิ่มมื้อเช้ากันแน่
“พวกเราเลี้ยงไฮรี่ดีไปหรือเปล่า ดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาแล้วนะว่าไหม”
นับจากตอนเจอบุตรเฮอร์มาโฟรไดตัสคนนี้ที่ป่าในแถบช่องแคบดาเรียน ประเทศปานามาก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว จากที่ดูมอมแมมผอมจนหนังหุ้มกระดูก ตอนนี้ไฮรี่ดูดีและแข็งแรงขึ้นมาก แม้สติของเจ้าตัวจะยังกลับมาไม่เต็มร้อยจนดูเหมือนเด็กน้อยคนนึง แต่ก็ไม่ค่อยสร้างปัญหาให้เพื่อนร่วมทีมอีกสามคนต้องปวดหัวเท่าเมื่อก่อน (ถ้าไม่งอแงจริง ๆ)
“อยู่กับพวกเราก็ต้องอยู่ดีกินดีสิใช่มะ ฉันจะปล่อยให้ทุกคนอดอยากกันได้ไง แค่บางทีพวกเราก็เลือกอาหารกันไม่ได้เฉย ๆ แหละน่า”
ซึ่งก็คงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ส่วนหนึ่งเพราะดีนเองก็รักสุขภาพ คำนึงถึงการกินให้ครบสามมื้อ (แม้บางวันอาจจะได้แค่สองในช่วงลงแพหรือเดินป่า)
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงกันเรียบร้อยก็เดินเที่ยวกันต่อ ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นเมืองเม็กซิโก มีไฮไลต์เด่น คือ ปฏิมากรรมหินดวงอาทิตย์ของชาวเอ็ซเท็ก และหุ่นจำลองวัฒนธรรมพื้นเมือง จบจากพิพิธภัณฑ์ก็เดินเตร็ดเตร่ไปตาม ‘ถนนแห่งการปฏิรูป’ ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมือง ก่อนจะจบวันนี้ด้วยการถ่ายรูปกับ ‘อนุสาวรีย์แห่งเอกราชของเม็กซิโก’ จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถบัสเที่ยวเดียวไปยังซานอันโตนิโอ เท็กซัส เพื่อกลับสู่สหรัฐอเมริกา แผ่นดินที่จากมานานร่วมเดือน
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าพวกเราจะทำภารกิจกันนานร่วมเดือนขนาดนี้”
ดีนกล่าวด้วยท่าทางสบาย ๆ หลังเอนเบาะปรับนอนสำหรับนั่งรถบัสระยะไกลข้ามคืน
“เอาจริง ๆ เลยนะ ฉันนึกว่าเราจะไปกันนานกว่านี้ซะอีก”
แมคเคนซีที่นั่งอยู่ด้านข้างเอนหลังลงตามด้วยท่าทีผ่อนคลาย หลังจากที่เดินเที่ยวมาแทบทั้งวัน พอได้ทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะนุ่ม ๆ แล้วมันช่างสบายตัวดีจริง ๆ
“นายคิดดูสิที่รัก คำพยากรณ์มันดูยิ่งใหญ่ชะมัด อย่างกับว่าโลกใบนี้พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ พวกเราเดินทางบุกป่าฝ่าดงกัน แถมยังไปถึงภูเขาไฟในเอกวาดอร์อีก แต่พวกเราก็มีชีวิตรอดกลับมาได้ในระยะเวลาเดือนเดียว”
หากจะบอกว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ก็คงไม่เกินจริงนัก สำหรับเขามันค่อนข้างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อทีเดียวที่ตนเองซึ่งใช้ชีวิตธรรมดามาตลอดต้องมาทำเรื่องอะไรที่เกินตัวแบบนี้
แต่ทุกอย่างมันจบลงแล้ว ตอนนี้เขาควรวางเรื่องอันหนักอึ้งที่ได้รับการคลี่คลายลงไว้ แล้วพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่า
“ก็จริงของนาย ระหว่างเดินทางฉันคิดว่าพวกเราหายออกจากค่ายไปตั้งครึ่งปีแน่ะ” ดีนกล่าวพลางกลั้วหัวเราะเบา ๆ
“จะว่าไปเมื่อวานเรามีเรื่องที่คุยค้างกันไว้ใช่ไหม ฉันจำได้นะว่านายยังไม่เฉลยเลยว่าคุณแม่ของนายเป็นชาวเมืองอะไรในเม็กซิโก”
และการพักผ่อนแรกของแมคเคนซีก็คือการหยิบยกเรื่องเบาสมองมาคุยกับคนรัก ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังคุยกันไม่จบ
“อา…ใช่ เมื่อวานกำลังจะให้คำใบ้นายเลย แต่ว่าฉันเฉลยเลยแล้วกัน พ่อบอกว่าบ้านเกิดของแม่ฉันอยู่ที่เมืองชิวาว่าน่ะ พอได้ยินแบบนี้แล้วเป็นไง รู้สึกคุ้นหูขึ้นมาเลยว่าไหม”
ดีนยิ้มแฉ่งให้คนรัก น้อยคนนักจะรู้ว่าชิวาว่าคือชื่อเมือง ส่วนใหญ่จะรู้จักกันในนามสินค้าส่งออกที่มีชื่อเสียงอย่างสุนัขพันธุ์ชิวาว่ามากกว่า น่าเสียดายที่เส้นทางกลับไม่ผ่านเมืองชิวาว่าแม้ว่าบ้านเกิดของมารดาจะอยู่ติดชายแดนเหมือนกันกระนั้นก็อยู่กันคนละทิศ บางทีถ้าพวกเขาเลือกเดินทางผ่านนิวเม็กซิโกอาจผ่านเมืองชิวาว่าก็เป็นได้ แต่ถึงจะได้ไปดีนก็ไม่รู้ว่าใครคือคุณตาคุณยายหรือเหล่าญาติ ๆ ของเขาอยู่ดี
“คุ้นหูเพราะชื่อเหมือนหมานี่ล่ะ”
แมคเคนซีหลุดขำ ไม่ใช่การล้อเลียนเมืองเกิดของมารดาคนรักแต่อย่างใด แต่ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดนั้นมันห้ามไม่ได้จริง ๆ ที่จะไม่ให้เป็นใบหน้าของสุนัขตัวเล็กตาโตแทนที่จะเป็นเมืองซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“แต่ตอนนี้พวกเรากลับไปพักผ่อนกันที่บ้านฉันกันดีกว่า ฉันโคตรจะเหนื่อยกับภารกิจรอบนี้เลย นายจะว่าอะไรไหมหากว่าฉันขอหลบไปพักที่บ้านยาว ๆ เลยน่ะที่รัก”
บางทีการเอาตัวออกห่างจากค่ายฮาล์ฟบลัด เอาตัวออกมาจากโลกแห่งทวยเทพ แล้วหันกลับมาใช้ชีวิตแบบปุถุชนธรรมดาอาจช่วยให้พวกเขาไม่ต้องพบกับเรื่องปวดสมองได้สักห้าถึงหกเดือน “ก็ดีเหมือนกัน เราไม่ได้กลับบ้านนายกันมานานแล้ว นายอยู่ฮีลตัวเองได้เท่าที่ต้องการ และฉันก็จะอยู่กับนายด้วย”
แมคเคนซียักไหล่เล็กน้อย จริงอย่างที่ดีนพูด พวกเขาเหนื่อยกันมามากแล้ว ควรให้เวลาตนเองได้พักผ่อนกันเสียที หนุ่มอังกฤษขยับไปวางมือทับมือของคนรักที่วางอยู่ตรงพนักแขนซึ่งนั่งข้างกันแล้วกุมไว้เพียงหลวม ๆ เฝ้ารอให้ถึงเวลารถบัสเดินทางออกจากเขตแดนประเทศเม็กซิโกเพื่อไปยังสถานที่พักใจที่พวกเขาแสนคิดถึง
รางวัลพิชิตอสุรกาย [LUK 120+] Dean ตื่นรู้ +2 จากการพิชิตครั้งแรก Mackenzie ตื่นรู้ +2 จากการพิชิตครั้งแรก ชูปาคาบรา [2] [3] [4]
ขวดเลือดชูปาคาบรา 3 ea
เขี้ยวแวมไพร์ 4 ea
|