แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-11-27 21:46
365
เมืองไหนไม่สำคัญ ขอแค่นอนเบียดกันก็พอ
(TUE) 10/06/2025
หลังจากที่เดมิก็อดทั้งสี่พากันนั่งรถบัสมาจนถึงเมือง ‘ซาน โฮเซ่’ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐคอสตาริกาในยามเย็นย่ำแล้ว น่าเสียดายที่นอกจากการหามื้อเย็นทานแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ออกไปชมเมืองที่ไหนอีก แม้ว่าเมืองซาน โฮเซ่จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 และมีบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์ก็ตาม ซึ่งคนที่ดูจะผิดหวังและเสียดายก็คงหนีไม่พ้นบุตรแห่งเจ้าสมุทรอย่างดีนที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ขอแวะชมสถานที่สำคัญของประเทศนั้น ๆ สักหน่อยเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว
“น่าเสียดายจังนะที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะปิดซะแล้ว พรุ่งนี้พวกเราต้องเริ่มเดินทางแต่เช้าซะด้วยสิ”
หนุ่มใบหน้าละตินบ่นพึมพำพลางถอนหายใจขณะมองออกไปยังนอกหน้าต่างห้องพักโรงแรมระดับสองดาว แม้ว่าตอนนี้ปรากฏการณ์อีเทอร์นัลซันไชน์จะยังคงอยู่ แต่ก็อย่างที่บอกคือพรุ่งนี้พวกเขาต้องออกเดินทางกันแต่เช้า ดังนั้น ก็ควรได้เวลาพักผ่อนกันแล้ว
“พรุ่งนี้เราจะไปที่ไหนกันต่อ เมืองริบัสหรือเปล่า”
แมคเคนซีดูแผนการเดินทางที่ดีนส่งมาให้ทางสมาร์ทโฟน เมืองริบัสที่เขากำลังพูดถึงอยู่ในประเทศนิการากัวซึ่งเป็นประเทศที่ติดต่อกับคอสตาริก้า นั่นก็หมายความว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะเดินทางข้ามประเทศกันอีกแล้วนั่นเอง
“ใช่แล้วที่รัก พวกเรานี่โคตรเจ๋งแจ๋วเลยว่าไหม ถ้านี่ไม่ใช่กลับจากทำภารกิจก็เหมือนเรากำลังเดินทางรอบโลกแบบมาราธอนกันอยู่เลย”
ในเมื่อไม่ได้ไปสำรวจเมืองแน่ ๆ แล้ว ดีนจึงหันมาคุยกับแมคเคนซีแทน แม้ว่าการเดินทางที่ผ่านมาจะค่อนข้างยากลำบาก แต่ชายหนุ่มก็ยังคงมองโลกในแง่บวกได้อยู่ ซึ่งนั่นเป็นข้อดี
“ก็จริงของนาย ผ่านไปยังไม่ถึงอาทิตย์พวกเราเดินทางกันจะเข้าประเทศที่สี่แล้ว”
“ลำบากหน่อยนะที่รัก ถ้าฉันนั่งเครื่องบินได้ ป่านนี้พวกเราคงถึงค่ายกันแล้ว”
ดีนยิ้มบางหางคิ้วตกเมื่อพูดถึงข้อจำกัดของตนเอง ได้ยินดังนั้นแมคเคนซีจึงยื่นมือไปลูบเส้นผมหยักศกสีดำสนิทของคนรักเบา ๆ
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ขากลับพวกเราก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่ ใช่ไหม…นอกจากต้องกินข้าวกับถั่วแล้วก็กล้วยทุกวันน่ะ”
ประโยคหลังสุดเรียกเสียงหัวเราะของบุตรเจ้าสมุทรกลับมาได้ บางทีนี่อาจจะกลายเป็นเรื่องโจ๊กไว้เล่าให้คนอื่นฟังเวลาที่พวกเขากลับไปยังค่ายลองไอแลนด์ก็เป็นได้
ปึง ๆๆๆ!
อยู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกทุบเสียงดัง ขัดจังหวะที่เริ่มจะโรแมนติกของคู่รักไว้ชะงัด เมื่อแมคเคนซีลุกไปเปิดประตู ไฮรี่เจ้าเก่าเจ้าเดิมก็เดินสวนเข้ามาแล้วทิ้งก้นนั่งลงบนที่นอนทันที
“เฮ้ ไฮรี่ เกิดอะไรขึ้น”
ดีนถามบุตรเฮอร์มาโฟรไดตัสด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะงอแงเรื่องอะไรอีก
“ไฮรี่ไม่นอนกับชาร์ล็อตแล้ว ชาร์ล็อตคุยกับใครในห้องก็ไม่รู้”
ชายหนุ่มผมชมพูดำบอกด้วยหน้าตาง้ำงอ ไม่รู้ว่าเพราะสติไม่ดีหรือเปล่าจึงรู้สึกไม่พอใจมากกว่าที่จะกลัว
“ไฮรี่ง่วงมาก แต่ชาร์ล็อตคุยไม่หยุดเลย ไฮรี่มานอนกับเอววิ่นกับแมคดีกว่า”
ยังไม่ทันที่จะมีใครได้เอ่ยห้ามอะไร ไฮรี่ก็ซุกตัวลงใต้ผ้าห่มผืนหนาแล้วนอนลงตรงกลางเตียงทันที
“…..ให้ตายสิ”
หนุ่มอังกฤษมองร่างที่พอหัวถึงหมอนก็หลับไปทันที ส่วนน้องสาวของเขาคงไม่ต้องเดา เธอน่าจะเจอวิญญาณในห้องแล้วเกิดคุยกันถูกคอขึ้นมาอีก เอาเป็นว่าอย่าไปรบกวนเธอเลยดีกว่า
“เอาไงดีแมคซี่ พวกเราก็ควรนอนแล้วใช่ไหม”
เดมิก็อดหนุ่มอีกสองคนสบตากันก่อนที่แมคเคนซีจะไหวไหล่
“ก็คงต้องแบบนั้น คืนนี้ก็ทนเบียด ๆ กันหน่อยแล้วกัน รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ราตรีสวัสดิ์ที่รัก”
ในเมื่อไม่สามารถจะทำอะไรต่อได้ด้วยมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมานอนด้วยแบบไม่ถามสุขภาพสักคำ ทั้งคู่จึงต้องจำปิดไฟพากันเข้านอนตั้งแต่ยังไม่ถึงสามทุ่มดี แบบที่ต้องนอนเบียดกัน (ไม่) นิดหน่อย
. . .
(WED) 11/06/2025
ตรวจเช็คเวลารถบัสรอบเช้าเหมือนจะพลาดรถเที่ยวเจ็ดโมงครึ่งไม่ได้เป็นอันขาด วันนี้จึงเป็นอีกวันที่ต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางต่อ เหล่าเดมิก็อดจึงตกลงกันว่าจะเซ็ตเวลาตื่นนอนเป็นหกโมงเช้า เช็คเอาต์ออกจากที่พักตอนเจ็ดโมงเช้า แล้วไปขึ้นรถที่สถานีรถประจำทางที่อยู่ไม่ไกลเพื่อขึ้นรถตอนเจ็ดโมงครึ่ง
เป็นวันที่เดินทางระยะไกลแวะพักตามจุดพักรถ ไม่มีสิ่งใดที่น่ากล่าวถึงมากนักยกเว้นทิวทัศน์อันสวยงามของภูเขาไฟกวานาคัสเต้และฟาร์มปศุสัตว์ในเขตชนบท
แล้วพวกเราก็เดินทางกันมาถึงเมืองริบัส กันในเวลาหกโมงเย็น เดินตามหาที่พักจนได้เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งที่ไม่ได้หรูหราอะไรเน้นแค่มีที่ซุกหัวนอน หาอาหารกิน (แน่นอนว่าอาหารท้องถิ่นยังเน้นข้าว ถั่วแดง และกล้วย พวกเราจึงซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยมาเติมน้ำร้อนกินกันที่ห้องพัก)
ริบัสเป็นเมืองชายทะเลเล็ก ๆ ในสาธารณรัฐนิการากัวขึ้นชื่อในการพักร้อนตากอากาศแต่ก็ยังมีสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลสเปนที่น่าสนใจ คนชอบเที่ยวอย่างดีนจึงไม่อยากพลาด
“แมคซี่พวกเราไปเดินเล่นกัน”
“เดินเล่น… ตอนนี้เนี่ยนะ?”
หนุ่มอังกฤษมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้วแต่ตะวันยังส่องกลางหัว แม้จะเหนื่อยล้าจากการเดินทางอยู่บ้าง แต่คล้ายกับว่าร่างกายที่ตรากตรำในสถานที่ทุรกันดารกว่านี้มาแรมเดือนจะคุ้นชินกับการออกแรงหนัก และอีกทั้งนี่ยังไม่ใช่เวลานอนจึงไม่เหลือบ่าไปกว่าแรงที่แมคเคนซีจะตามใจคนรัก
“ก็ได้ แต่อย่ากลับมาถึงโรงแรมดึกมากนะ พวกนี้เรายังต้องเดินทางต่อไปที่เมือง… เมืองอะไรนะ?”
“กรานาดา” ดีนตอบน้ำเสียงสดใส
“ใช่ กรานาดา… แถมนายว่าจะเที่ยวที่กรานาดาให้ฉ่ำด้วยนี่ เพราะงั้นเก็บแรงไว้ด้วยล่ะ”
“ได้สิที่รัก เรื่องเที่ยวน่ะขอให้บอก ฉันไม่หมดแรงง่าย ๆ หรอก”
บุตรเจ้าสมุทรยิ้มแป้นก่อนจะคว้ามือของแมคเคนซีออกมาจากเกสต์เฮ้าส์ ราวกับไซบีเรียนฮัสกี้ตัวใหญ่คาบสายจูงไปใส่มือเจ้าของแล้ววิ่งลากไปเดินเล่น พวกเขาเดินเล่นไปในตัวเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก จากนั้นเดินลัดเลาะไปตามชายหาดเพื่อรับลมทะเล ถ่ายรูปมามากมาย
ข้อดีอีกอย่างที่ค้นพบเมื่อรัตติกาลสาปสูญ (พยายามคิดในแง่ของคนที่มองโลกในแง่ดีสุด ๆ) นอกจากตากผ้าแล้วแห้งไวคงไม่พ้นถ่ายรูปสถานที่ท่องเที่ยวออกมาสวยงามสว่างจ้าแม้เป็นเวลากลางคืน จากนั้นก็กลับที่พักมาพักผ่อนกันก่อนสี่ทุ่ม หวังว่าคืนนี้ไฮรี่จะไม่มาเคาะห้องยามวิกาลอีก
. . .
(THU) 12.06.2025
ออกเดินทางเวลาเดียวกับเมื่อวานเพื่อเที่ยวชม ‘เมืองกรานาดา’ เมืองแบบโคโลเนียลที่สวยที่สุดและเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของสาธารณะรัฐนิการากัว จนได้รับฉายาว่า ‘สุลต่านหญิงผู้ยิ่งใหญ่’ เพราะเมืองมีลักษณะคล้ายเมืองแคว้นมัวร์/อันดาลูเซีย จากสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคม สเปน และนีโอคลาสสิกอันสง่างาม อยู่ติดทะเลสาปนิการากัว ทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
“โอ้โห ที่นี่อย่างกับคิงสแลนด์ดิ้ง!”
อาจเป็นคำอุทานที่ออกจะเวอร์เกินไปเสียหน่อยเมื่อหลุดออกมาจากปากของดีน แต่กรานาดาเป็นเมืองเก่าที่ให้กลิ่นอายยุโรปยุคกลางจากหลังคามุงกระเบื้องสีแดงที่ดูเก่าแก่เมื่อมองลงมาจากจุดชมวิวมุมสูง
เมื่อมองจากมุมสูงจะเห็นว่าหลังคาบ้านในกรานาดาเป็นสีแดงอิฐ ทว่าผนังของบ้านเรือนถูกทาทับด้วยสีสันอันหลากหลายราวกับบ้านลูกกวาด มันควรจะรู้สึกไร้ระเบียบแต่ตัวเมืองมีการจัดสรรพื้นที่เป็นอย่างดีทั้งสะอาดและเรียบร้อยจนกลายเป็นความแตกต่างที่เข้ากัน เพียงเดินผ่านบ้านเรือนและร้านค้าก็เก็บภาพความสวยงามของเมืองท่องเที่ยวเหล่านี้ได้มาอีกหลายใบ
ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้คือการนั่งรถม้าชมเมืองที่มีสถานที่สำคัญอย่าง ‘มหาวิหารพระแม่อัสสัมชัญ’ สีเหลืองสดหลังคาทรงโดมที่เด่นเป็นสง่ากลางใจเมืองตัดกับสีอิฐของหลังคาบ้านเรือนราวกับได้รับการออกแบบมาอย่างดี จบด้วยการรับประทาน ‘บิโกรง’ อาหารท้องถิ่นประจำเมืองกรานาดาเป็นมื้อกลางวัน แม้อาหารที่ว่าจะมีกล้วยเป็นส่วนประกอบอีกแล้ว แต่ด้วยความแปลกของมันทำให้นักท่องเที่ยวรวมทั้งเดมิก็อดทั้งสี่ต้องแวะชิม
“ไอ้นี่มันแปลก ๆ ดีแฮะ มีทั้งมันหมูทอดกรอบ (กากหมู) แล้วก็มันสำปะหลังต้มอีกด้วย” ดีนเขี่ยอาหารในจานตรงหน้าอย่างอยากรู้อยากเห็นว่าในจานนี้มีอะไรบ้าง
“ถึงจะมีกล้วยอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่มีถั่วแดง” แมคเคนซีเปรยเบา ๆ จากนั้นตักกะหล่ำฝอยที่โรยอยู่ด้านบนเข้าปาก ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลิกคิ้วขึ้น “นี่มัน…กะหล่ำดอง”
“กะหล่ำดองจริงด้วยแฮะ” ดีนลองชิมดูบ้าง มันแปลกก็จริงแต่เมื่อกินรวมกันแล้วก็ไม่แย่ เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าคล้ายอะไรบางอย่าง “ฉันนึกออกแล้ว นี่มันคือขาหมูเยอรมันเวอร์ชั่นนิการากัว”
“ขาหมูเยอรมันเนี่ยนะ… คล้ายตรงไหน” แมคเคนซีค้าน แค่หน้าตาก็ไม่เหมือนแล้วหรือเปล่า “นายจะเหมาทุกเมนูที่มีเซาเออร์เคราท์เป็นเครื่องเคียงว่าเป็นขาหมูเยอรมันไม่ได้นะที่รัก”
“เหมือนสิ นี่.. นายดูนะ มันหมูทอดก็เหมือนขาหมูที่ถูกทอดจนหนังกรอบ มันสำปะหลังนึ่งก็เป็นคาร์บเหมือนกับมันบด แล้วก็มีเซาเออร์เคราท์เป็นเครื่องเคียงเหมือนกันเป๊ะ มันคืออาหารเยอรมันชัด ๆ”
“แล้วนายจะให้คำตอบกับกล้วยทอดที่อยู่ในจานนี้ยังไง…”
“โธ่ นายเบลอ ๆ กล้วยไปเถอะน่าที่รัก”
กล่าวจบบุตรแห่งโพไซดอนก็ตักบิโกรงเข้าปากคำโตจนหนุ่มเฮคาทีได้แต่กลอกตาอย่างเหนื่อยใจ
“อย่าไปพูดให้ซิลเวอร์ได้ยินเชียว…”
หลังจากที่เที่ยวกันอย่างเต็มอิ่มในครึ่งวันเช้าก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ พวกเขาต่อรถที่ ‘เมืองมานากัว’ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ พวกเขาไม่ได้มีเวลาอยู่ที่นี่มากนัก จากนั้นก็นั่งบัสไปจนถึง ‘เมืองเลอง’ ที่จะแวะพักกันในคืนนี้ ซึ่งจัดว่าเป็นเมืองน่าเที่ยวอีกเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ หากกรานาดาคือเมืองสีลูกกวาด เลองก็คือเมืองขาวสะอาดที่งดงามเหมือนกับคิงสแลนด์ดิ้ง (เมืองหลวงในนิยาย เกม ออฟ โธรน) เวอร์ชั่นสีขาว
ตกกลางคืนก็พักแรมกันที่โรงแรมระดับสองดาวแห่งหนึ่งในเมือง เตรียมตัวชาร์จพลังงานเพื่อเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้นที่ดูจากตารางแล้วทรหดสุด ๆ
. . .
(FRI) 13.06.2025
วันก่อนหน้านี้ว่าตื่นเช้าแล้วแต่วันนี้สี่เดมิก็อดต้องตื่นเช้ายิ่งกว่าทุกวัน เนื่องจากรถที่เดินทางออกจากเมืองเลองไปปลายทางซึ่งก็คือ ‘กัวเตมาลาซิตี้’ สาธารณรัฐกัวเตมาลาออกตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะต้องข้ามชายแดนถึงสองประเทศ
ความจริงพวกเขาปรึกษากันอยู่นานเลยทีเดียวว่าจะหยุดพักแถว ๆ เมืองชายแดนเอลซัลวาดอร์ก่อนดีไหม แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยเดินทางข้ามเมืองต่อไป แต่ปรากฏว่าเมื่อค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็ได้รับรู้ว่าแถบชายแดนค่อนข้างอันตรายด้วยโจรชุกชุม ไม่ว่าแหล่งไหนก็แนะนำให้เข้าพักที่กัวเตมาลาซิตี้
สมกับเป็นประเทศที่มีเรือนจำสุดโหด…
ด้วยความที่พวกเขาประสบกับภัยอันตรายกันตลอดเส้นทางจึงคิดว่าพวกเราอยู่กันอย่างปลอดภัยบ้างก็ไม่เลว ไฮรี่งอแงเล็กน้อยเมื่อต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ชาร์ล็อตก็กล่อมจนหนุ่มเฮอร์มาโฟรไดตัสสงบลงจนได้
“ไฮรี่ไม่อยากตื่นเช้า พวกเราตื่นสายมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ”
“ไม่งอแงนะคะพี่ไฮรี่ เดี๋ยวค่อยไปนอนต่อกันในรถนะคะ”
“ก็ได้ ไฮรี่นอนในรถก็ได้…” ไฮรี่ตอบหน้างอ
คล้ายกับว่ามีเด็กเล็ก ๆ มาด้วยหนึ่งคน แต่ยังดีที่มีคุณแม่จำเป็นมาด้วย หากทริปนี้มีแค่ดีนและแมคเคนซีที่มาด้วยกันพวกเขาคงปวดหัวแย่แม้มีประสบการณ์ร่วมเดินทางกับเด็กผู้ชายตัวน้อย ๆ มาก่อน (แต่ไฮรี่ก็ตัวไม่น้อยนะ…)
เมื่อถึงเวลาเดินทางจริง ไม่เพียงแค่ไฮรี่ที่หลับบนรถบัส แต่พวกเขาทั้งหมดก็แอบงีบเก็บแรงกันไปพลาง ๆ ระหว่างรถบัสข้ามเมือง จุดแวะพักแรกคือ ‘เมืองชินันเดกา’ ที่ทีมทำภารกิจแวะพักรับประทานอาหารที่ตลาดเช้าหนึ่งชั่วโมง
“นึกว่านี่คือออมเลต” แมคเคนซีเอ่ยขึ้นมาหลังจากตักอาหารเช้าคำแรกเข้าปากไปหนึ่งคำ
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรียกว่า ‘นากาตามัล’ ทำจากแป้งข้าวโพดปรุงรส ห่อด้วยใบตอง ไส้ด้านในมีหมู ข้าว ผัก เครื่องเทศ และบางครั้งมีลูกเกดหรือมันฝรั่ง นำไปนึ่งเป็นเวลานานจนแป้งนุ่มหอม มักเสิร์ฟคู่กับมะเขือเทศสดผักดองกาแฟหรือโกโก้ร้อน
“อ้าว ไม่ใช่ออมเล็ตสไตล์นิการากัวหรอกเหรอ” ดีนลองชิมนากาตามัล เพียงแค่ตักขึ้นมาเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ข้าวห่อไข่สไตล์ญี่ปุ่น แต่เป็นข้าวห่อแป้งสไตล์อเมริกากลาง!
“แน่สิ ก็เหมือนกับที่เมนูเมื่อวานไม่ใช่ขาหมูเยอรมันนั่นแหล่ะ”
“นายยังไม่เลิกแขวะฉันเรื่องขาหมูเยอรมันอีก” ดีนย่นคิ้ว แต่ก็ยังอดเป็นห่วงกลัวว่าคนอื่นจะรับประทานกันไม่ได้ “แล้วเป็นไง กินได้ไหม รสชาติโอเคหรือเปล่า?”
“ไม่ดี ไม่แย่ แค่คาร์บเยอะไปหน่อย” แมคเคนซียักไหล่ตอบ
“คิดว่าเป็นอาหารญี่ปุ่นก็ได้นะ แบบขนมปังยากิโซบะในการ์ตูนยังมีแต่แป้งกับแป้งเลย”
ได้ยินแบบนั้นหนุ่มอังกฤษก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับส่ายหน้า ดูเหมือนจะเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ที่จะให้คนรักเลิกเอาอาหารที่ไม่รู้จักไปเทียบกับอาหารของประเทศอื่น ๆ
“จะพยายามคิดว่าเป็นข้าวห่อไข่ก็แล้วกัน”
หลังอิ่มจากมื้อเช้าก็นั่งรถบัสยิงยาวไปที่ ‘เมืองเอสเตลี’ เพื่อเปลี่ยนรถข้ามชายแดนนิการากัว-ฮอนดูรัสพร้อมกับรับประทานอาหารกลางวัน ขอบคุณพระเจ้าที่มื้อนี้มีฮ็อตดอกที่คุ้นเคย! ใช้เวลาทำเอกสารประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ได้เดินทางต่อเนื่อง จนพวกเขาสามารถผ่านพรมแดนฮอนดูรัส-เอลซัลวาดอร์ได้อย่างฉลุยด้วยพลังหมอกมนตราที่หลอกทุกคนได้อย่างแนบเนียน
“ที่นี่ผ่านด่านง่ายมากเลยเนอะว่าไหม ไม่น่าเชื่อเลยว่าในคำแนะนำจะบอกว่าเป็นแดนโจร”
“ก็เพราะว่าผ่านด่านง่ายไงเลยมีโจรเข้าออกกันเยอะ”
“ก็จริงของนาย”
“อีกอย่าง… ถึงจะยากยังไงแต่หมอกเวทมนตร์ก็ตบตาได้ทุกครั้ง”
บุตรแห่งเฮคาทีดูจะไว้ใจในหมอกเวทมนตร์แห่งเฮคาทีมาก ดีนไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง แต่พลังของเดมิก็อดอาจจะทำงานแบบเดียวกัน นั่นคือยิ่งศรัทธาในเทพบิดามารดรของตนโดยไร้ข้อกังขามากเท่าไร พลังนั้นก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ฉะนั้นบ่อเกิดแห่งพลังอันแข็งแกร่งจนหลอกผู้คนอย่างแนบเนียนอาจมาจากความเชื่อมั่นในพลังของแมคเคนซีก็เป็นได้
ด้วยการเดินทางที่ยาวไกลเป็นอย่างมากพวกเขาจึงได้รับประทานอาหารเย็นกันในรถ เป็นแซนวิชที่ซื้อมาจากแอปฯ ส่งด่วนของเดดาลัส จากนั้นก็หลับยาว ๆ จนมาถึงกัวเตมาลาซิตี้ในเช้าวันรุ่งขึ้น
เอาล่ะเหล่าเดมิก็อดทั้งหลาย ไม่ต้องหายใจหายคอ พร้อมที่จะเดินทางต่อแล้วหรือยัง?
แมคเขียนครึ่งตอน ดีนเขียนอีกครึ่งตอน
|