363
(SUN) 08/06/2025
เมื่อคืนเราแวะพักที่เมตีติเมืองท่าสำคัญในการเปลี่ยนรถที่จังหวัดดาเรียนเพื่อขึ้นเหนือสู่ปานามาซิตีหรือลงใต้ไปช่องดาเรียนโดยผ่านเมืองยาวิซ่า บ้านเกิดของหนึ่งในอดีตเพื่อนร่วมเดินทางของเรา หาว่ายังจำได้ ‘ริเซ่ เพนญ่า’ ผีสาวกรี๊ดเก่งใน ‘บันทึกการเดินทางอะพอลลีออนผู้ล้างผลาญ’ ตั้งแต่บทที่สิบแปด ถึง ยี่สิบสาม นับว่าเป็นระยะเวลาที่นานหลายวันเลยทีเดียวที่พวกเขาได้ร่วมทางกับเธอ ในตอนนี้ก็หวังว่าเธอจะมีชีวิตในโลกหลังความตายอย่างสงบสุขที่บ้านเกิดโดยมีครอบครัวที่รักระลึกถึง แน่นอนว่าพวกเราก็จะระลึกถึงเธอเช่นเดียวกัน
สหายอีกกลุ่มที่ชวนนึกถึงเมื่อย่างเข้าแผ่นดินปานามาก็คือ ‘กลุ่มพรานสาวอาร์เทมิสต์’ สี่คน (บวกหนึ่งตัว) ที่ทำภารกิจออกล่าไฮดร้าสามสิบหัวในช่องดาเรียน หวังว่าพวกเธอจะปฏิบัติภารกิจสำเร็จอย่างปลอดภัย หากมีโอกาสคงได้เจอกันอีกครั้งอาจจะที่เวย์สเตชั่นหรือที่ไหนสักแห่งในโลก แต่หากเจอกันคราวหน้าก็หวังว่าจะได้พบกันในสถานที่ที่ดีกว่านี้และไม่ใช่ในช่วงเวลาน่าสิ่วหน้าขวาน จะได้พูดคุยจิบน้ำชาในช่วงเวลาสบาย ๆ แล้วไม่ถูกไล่ออกไปเมื่อต้องค้างคืนยามวิกาล หากไม่ได้สี่สาวและปีศาจจิ้งจอกตัวน้อยช่วยเอาไว้ ไม่รู้เลยว่าป่านนี้เดมิก็อดจากฮาล์ฟบลัดจะมีชะตากรรมเป็นอย่างไร และชั้นบรรยากาศของโลกอาจถูกปกคลุมไปด้วยเถ้าถ่านของภูเขาไฟสี่ลูกที่ระเบิดพร้อมกันไปแล้วก็เป็นได้
ความทรงจำที่ปานามายังไม่หมด นอกจากผีและเดมิก็อด พวกเขายังได้เพื่อนใหม่เป็นวาฬเพชฌฆาตพลังงานเหลือล้นที่ดีนตั้งชื่อให้มันว่า ‘ไข่อวบ’ น่าเสียดายเหลือเกินที่พวกเขาไม่ได้เดินทางผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกอีก คงไม่ได้พบเจอมันอีกเป็นครั้งที่สองในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เช่นนี้ เว้นเสียแต่ว่าไข่อวบจะแวะมาทักทายตอนที่พวกมันและครอบครัวว่ายน้ำกลับขึ้นมาซีกโลกเหนือในฤดูใบไม้ผลิ น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่ทันได้แจกนามบัตรให้แก่มัน ไข่อวบคงไม่รู้ว่า ‘ดีนลูกโพไซดอน’ มีถิ่นที่อยู่ชั่วคราวแถว ๆ ลองไอแลนด์ แต่นั่นอาจไม่เกินความสามารถของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในมหาสมุทรก็เป็นได้ เพราะการสื่อสารของมันส่งข่าวไปไกลได้หลายหลายร้อยไมล์ทะเลโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบด้าน
และคนกลุ่มสุดท้ายที่จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้นั่นก็คือ ‘ชาวเรือโบอิ้งแมรี่’ นั่นเอง ประสบการณ์ในการเป็นลูกเรือ (เถื่อน) เป็นความทรงจำที่น่าประทับใจหลายส่วนยกเว้นตอนที่ความแตกแล้วต้องพากันโกยลงทะเลด้วยแพชูชีพ ไม่รู้ป่านนี้นายช่างลุคส์ ฟิวส์มังก์ เอาเรื่องที่พวกเขาแอบขึ้นเรือไปเม้าท์ให้เด็กเรือคนใหม่ฟังหรือเปล่า แล้วไม่รู้ว่าเรื่องเล่านั้นจะถูกใส่สีตีไข่ไปมากแค่ไหน แต่ตราบใดที่ยังไม่จามก็แปลว่ายังไม่ถูกพูดถึง…
“ฮัดเช่ย!”
ดีนถูปลายจมูกไปมาหลังจากที่เขาจามไปหนึ่งครั้ง บ้าชะมัด! ลุคส์เอาเรื่องของพวกเขาไปโม้ให้คนอื่นฟังจริง ๆ ด้วยงั้นเหรอ!?!
“นายไม่สบายเหรอที่รัก”
แมคเคนซีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บนรถบัสเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะดีนมักจะมีอาการจมูกฟุ้ดฟิ้ดตอนเปลี่ยนฤดูกาลอยู่เรื่อย ซึ่งจากการเดินทางที่ผ่านมาก็ชวนให้ป่วยไข้ได้จริง ๆ ต้องเดินทางผ่านทะเลและมหาสมุทรหลายครั้ง ศีรษะถูกแดดเผาหัว สัมผัสความร้อนจนผิวแทบไหม้ ไหนจะเข้าเขตป่าร้อนชื้นที่ฝนตกแทบจะตลอดทั้งวัน จากนั้นขึ้นไปบนภูเขาไฟสูงที่อุณหภูมิลดลงอย่างกระทันหัน ต่อสู้กับไททันเพลิงโลกันตร์ที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งเป็นจุณ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่แล้วนี้เอง…
“ไม่น่ามั้งนะ…. ฉันคิดว่าอาจจะมีคนกำลังนินทาฉันอยู่ ช่วยไม่ได้นี่นาที่นายมีแฟนเป็นคนดัง เลยย่อมมีคนพูดถึงเป็นธรรมดา”
ซึ่งดีนก็แก้ตัวมั่วไปเรื่อย จนแมคเคนซีย่นหว่างคิ้ว กลอกตามองบน เบนหน้ามองวิวข้างนอกหน้าต่างรถบัสดีกว่า ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร แต่ถ้าจามอีกทีร้านขายยาต้องเข้า
มัวแต่คิดถึงความหลังจนลืมกล่าวถึงปัจจุบัน… ตอนนี้สี่เดมิก็อดจากค่ายฮาล์ฟบลัดกำลังอยู่บนรถบัสที่มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองปานามาซิตี้ เมืองหลวงของสาธารณรัฐปานามา ซึ่งการเดินทางในวันนี้ก็ราบรื่นดีสมกับที่โลกถูกกู้ขึ้นมาแล้วจากหายนะหนึ่งอย่าง (จากอีกหลายอย่างที่ยังไม่ขอพูดถึงเพราะแค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว)
ใช้เวลานั่งรถบัสท้องถิ่นยาวนานถึงแปดชั่วโมงจนเมื่อยก้น ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงปานามาซิตี้ได้โดยสวัสดิภาพ เนื่องจากที่นี่เป็นเมืองใหญ่และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศรับรายได้มหาศาลจากคลองปานามาซึ่งเป็นช่องทางผ่านของเรือสินค้าจากสหรัฐอเมริกามุ่งสู่อเมริกากลางและใต้ ‘ปานามาซิตี้’ จึงมีความคึกคักและสะดวกสบายในการใช้ชีวิตมากกว่าเมืองอื่น ๆ ของประเทศราวกับอยู่กันคนละมิติ สิ่งแรกที่ทำเมื่อมาถึงปานามาซิตี้คือการหาที่พักดี ๆ แต่ราคาไม่แพง จากนั้นก็เดินเที่ยวเมืองด้วยเวลาที่เหลืออยู่ ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศความสวยงามของเมืองทางใต้ที่หาโอกาสได้ยากในการมาอีกครั้ง
ซึ่งลำบากขนาดนี้ก็คงจะไม่มาแล้วจ้า…
.
.
.
“หวา เรือใหญ่ขนาดนี้จะผ่านคลองได้จริง ๆ ใช่ไหมคะ”
ชาร์ล็อตเม้มริมฝีปาก มือเล็ก ๆ ของเธอเกาะราวกั้นแน่นอย่างลุ้นระทึกเอาใจช่วย ในตอนนี้เหล่าเดมิก็อดมาเที่ยวชมเรือเข้าออกที่ประตูน้ำคลองปานามา ตอนนี้กำลังมีเรือสำราญขนาดใหญ่ลำหนึ่งแล่นผ่านคลองปานามา ขนาดของมันเมื่อเทียบเคียงกับผนังห้องล็อคที่ขนาบข้างดูแคบลงไปถนัดตาราวกับถอยรถเข้าช่องจอดที่จอดรถในแมนฮัตตัน
“ได้สิ ต้องได้อยู่แล้ว… โอ้ ดูนั่น!”
ดีนชี้นิ้วไปยังประตูน้ำที่อยู่ ๆ น้ำก็ถูกดันขึ้นจนเรือลำใหญ่ลอยขึ้นสูงแล้วผ่านประตูน้ำไปเป็นลำดับขั้นจนสามารถแล่นต่อไปตามคลองได้อย่างสบาย ๆ นี่คือเทคโนโลยีการข้ามคลองปานามาที่ถูกคิดค้นมาอย่างดี การข้ามคลองในแต่ละครั้งใช้เงินจำนวนมากเพื่อแลกกับการย่นระยะการเดินทางและทรัพยากรที่ต้องเสียไป ด้วยเหตุนี้ประเทศปานามาจึงร่ำรวยจากคลองแห่งนี้เป็นอย่างมาก
ผู้คนบนเรือสำราญโบกมือลงมา ส่วนผู้ชมจากริมฝั่งประตูน้ำก็โบกมือตอบกลับอย่างเป็นมิตรแม้ไม่รู้จักกัน
“น่ามหัศจรรย์จริง ๆ เลยนะคะ ดีใจจังที่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง”
“ใช่ไหมล่ะ ฉันน่ะชอบสิ่งที่ถูกคิดค้นด้วยมันสมองของมนุษย์ยิ่งกว่าสิ่งที่เทพเสกขึ้นมาอย่างง่าย ๆ เสียอีก”
เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าดับฝันว่าวิทยาการนี้มาจากเทพเฮเฟตัส หากมันเป็นจริง…
“นายคิดงั้นไหมแมคซี่?”
"หืม? อืม นอกจากเรื่องพลังเหนือธรรมชาติแล้ว เรื่องมันสมองมนุษย์คงไม่แพ้เทพหรอก"
แมคเคนซีโบกมือตอบกลับคนบนเรือด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ ราวกับว่าเขาปรารถนาให้ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้อยู่ไปนาน ๆ ผิดกับไฮรี่ที่ยกทั้งสองแขนโบกมืออย่างเอาเป็นเอาตายจนนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ หันมองกันถ้วนหน้า
หลังจากเที่ยวชมไฮไลท์ของเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้งสี่ก็กลับมาพักผ่อนที่โรงแรมเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น
.
.
.
(MON) 09/06/2025
ลืมเผื่อเวลารถติดไปเสียสนิท!
สี่เดมิก็อดเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมในปานามาซิตีราว ๆ แปดโมงครึ่ง ไปขึ้นรถบัสที่สถานีรถประจำทางอัลบรูค รถบัสที่จะเดินทางไป ‘เมืองซานติอาโก’ ออกจากท่ารถตอนเก้าโมง โดยทั่วไปคิดว่าเวลานี้เหมาะสมแล้วแต่พวกเขากลับต้องมาติดแหงกอยู่บนถนนในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ร่วมชั่วโมง ซึ่งเมื่อลองหาข้อมูลดูแล้วปานามาซิตี้รถติดแทบจะตลอดทั้งวันเสียด้วยสิ
สงสัยว่าหลังจากนี้เริ่มสตาร์ทตอนแปดโมงเช้าอาจจะไม่เพียงพอ เขาต้องเผื่อเวลามากกว่านั้นโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ นี่เป็นปัญหาที่น่าปวดหัวพอ ๆ กับอสุรกายที่โผล่ออกมารายทาง รถบัสค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปได้อย่างช้า ๆ จนเมื่อผ่านตัวเมืองหลวงไปได้รถจึงสามารถวิ่งด้วยความเร็วปกติตามที่กฎหมายกำหนด กว่าจะถึงซานติอาโกก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี มองในแง่ดีจะบอกว่ากะเวลาถูกก็ได้ ลงจากบัสก็หาอะไรกินกันเลย
ซานติอาโกเป็นเมืองอาณานิคมที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาค ถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเจ็ดในช่วงอาณานิคมของสเปน ถูกใช้เป็นศูนย์กลางการปกครอง การค้า และศาสนาของพื้นที่มายาวนาน ในปัจจุบันเป็นเมืองสงบตามฉบับเมืองรองท้องถิ่นแต่ยังไม่ทิ้งความเป็นเมืองแห่งการคมนาคมที่นักเดินทางมักจะมาเปลี่ยนสายรถกันที่นี่เนื่องจากเป็นจุดผ่านหลักของถนนแพนอเมริกันไฮเวย์ที่เชื่อมอเมริกากลางและเหนือเข้าไว้ด้วยกัน
อาหารกลางวันที่พวกเรารับประทานยังคงเป็นอาหารท้องถิ่นของปานามาอย่างอารอซ กอน กวานดู เป็นข้าวผสมถั่วทานคู่กับเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ และปลา แกล้มกับเอกลักษณ์ในทุกมื้ออาหารของปานามาคือ ‘กล้วย’ ที่ถูกเอาไปปรุงรสด้วยวิธีการใดบางอย่าง แนมไว้ข้างจานเป็นคาร์โบไฮเดรตเสริม เต็มอิ่มไปด้วยสารอาหารและพลังงานได้จนถึงเย็น ดีนสังเกตสีหน้าอันเรียบเฉยของแมคเคนซีตอนตักข้าวเข้าปากไปทีละคำก็รู้ได้ทันทีว่าหนุ่มอังกฤษเบื่ออาหารแถบอเมริกากลางเต็มทน เห็นทีว่าเมื่อไปถึงซานอันโตนิโอคงต้องขุนอีกฝ่ายด้วยพายเนื้อฉบับอังกฤษ (หรือใกล้เคียง) หน่อยเสียแล้ว
ไหน ๆ ซานติอาโกก็เป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ทั้งทีพวกเขาจึงแวะเที่ยวช่วงบ่ายในสถานที่ที่น่าสนใจเสียหน่อย แม้อาหารจะไม่ถูกปาก แต่ ‘มหาวิหารซานติอาโก อปอสตอล’ อาจถูกใจผู้รักโบสถ์อย่างแมคเคนซีก็เป็นได้
มหาวิหารซานติอาโก อปอสตอล มีโครงสร้างสไตล์คลาสสิก ขนาบข้างด้วยหอระฆังทั้งสองหออย่างสมดุลย์และงดงาม ด้านในเป็นโครงสร้างไม้แสดงถึงความขลังและเก่าแก่ตามกาลเวลาที่ยังคงใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเป็นกิจวัตรมิได้เป็นเพียงแค่สถานที่ท่องเที่ยวที่ชูหน้าชูตาของเมือง ความสำคัญของมหาวิหารแห่งนี้คือที่ประทับร่างของ ‘โฮเซ่ เดอ ฟาบริกา’ ผู้ว่าการคนสำคัญของปานามาที่ปดปล่อยคอคอดให้ได้รับอิสระภาพ (ขอบคุณข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต เพิ่งรู้เมื่อกี้เหมือนกัน….)
ดีนมองใบหน้าด้านข้างของบุตรแห่งเฮคาทีที่กำลังนั่งหลับตาอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่งภายในโบสถ์หลังเก่า สีหน้านั้นดูสงบและผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด แมคเคนซีมักจะอยู่ในอาการสำรวมเช่นนี้เสมอเมื่อมาสักการะวิหารทุกที่ที่เขาไปเยือน ผิดกับดีนที่มองนั่นมองนี่ และผิดกับไฮรี่ที่ซนเป็นลิง เดินไปดูนั่นนี่เสียทั่วจนชาร์ล็อตต้องคอยประกบตามเป็นฉากหลัง
“นายชอบโบสถ์จังนะ ดูชอบมากกว่าอารอซ กอน กวานดูที่เพิ่งกินไปเมื่อกี้เสียอีก”
แมคเคนซีลืมตาขึ้นก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แทบไร้เสียง
“ให้ตายสิ นายเอาโบสถ์ไปเทียบกับของกินเนี่ยนะ ถ้านายไม่บอกว่ามันคือชื่อของอาหารมื้อกลางวันฉันคงสงสัยอีกว่านายหมายถึงอะไร”
“ชื่อก็ยากจริง” ดีนยักไหล่อย่างเห็นด้วย ถ้าเขาไม่พอรู้ภาษาสเปนอยู่บ้างคงจำไม่ได้เหมือนกันว่าอะไรคืออะไร
ดวงตาสีฮาเซลกวาดมองไปรอบ ๆ “ฉันว่าที่นี่ก็ไม่เลว”
“แล้วถ้าเทียบกับโบสถ์ที่ซานแอนฯ ล่ะ ชอบที่ไหนมากกว่ากัน” ดีนตั้งคำถาม เทียบกับโบสถ์เก่าบ้านเกิดของเขาที่เคยพาแมคเคนซีไปเยือนมา หวังว่าอีกฝ่ายจะยังพอจำได้
หนุ่มอังกฤษทำหน้าคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “สวยคนละแบบ”
“นายนี่ฉลาดตอบแบบไม่ทำให้เสียน้ำใจเก่งซะจริงนะ” คนถามหัวเราะก่อนใช้ศอกกระแซะอีกฝ่าย “แต่พนันได้ว่าเบอร์หนึ่งในใจนายไม่มีที่ไหนสวยเท่าโบสถ์กลอสเตอร์แล้วใช่ไหมล่ะ”
“เดาได้เก่ง ไม่มีที่ไหนเทียบเท่าที่นั่นได้แล้วจริง ๆ นั่นแหล่ะ”
แมคเคนซีอมยิ้ม เงยหน้ามองเพดานที่ทำด้วยไม้ ดีนคิดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกคิดถึงบ้านไม่น้อย ตอนที่ไปอังกฤษคราวก่อนก็ไปแวะกลอสเตอร์แค่ไม่กี่วัน ทว่าหากไปอีกครั้งหน้าพวกเขาอาจจะอยู่ยาว ๆ แล้วใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นอดใจไว้ก่อนคงไม่เสียหาย
“พวกเราจะไปกันได้หรือยังอ่า ที่นี่ไม่มีอะไรให้ไฮรี่ดูแล้ว”
บุตรแห่งเฮอร์มาโฟรไดตัสกลับมาด้วยสีหน้าเซ็ง อย่างว่าโบสถ์ธรรมดาที่ไม่ใช่สถานที่ยอดนิยมอย่างโบสถ์ในปารีสจะมีอะไรให้ชมหนักหนากันเชียว
“พี่ไฮรี่เบา ๆ เสียงลงหน่อยสิคะ ที่นี่เป็นโบสถ์เสียงดังไม่ได้นะคะ”
หลังถูกชาร์ล็อตดุไฮรี่ก็พยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับส่งเสียงเบาลงคล้ายกระซิบด้วยประโยคเดิม
“พวกเราจะไปกันได้หรือยัง ที่นี่ไม่มีอะไรให้ไฮรี่ดูแล้ว---...”
“โอเค ๆ รู้แล้ว ๆ นายรับพลังศักดิ์สิทธิ์เพียงพอแล้วใช่ไหมแมคซี่”
“พลังศักดิ์สิทธิ์อะไรนะ?”
แมคเคนซีขำน้อย ๆ กับคำแซวของคนรัก บุตรแห่งมนตรารับพลังศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าคงเป็นเรื่องที่ฟังดูแปลกประหลาดพิลึก หากศาสนจักรรู้ว่าบุตรแห่งราชินีแม่มดมาเยือนโบสถ์ถึงสองคนทั้งเขาและชาร์ล็อตจะถูกจับไปเผาทั้งเป็นไหมล่ะ แต่เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับผู้ใช้เวทมนตร์ตัวจริงเสียงจริงอยู่แล้วไม่ว่าจะในยุคสมัยนี้หรือสมัยไหน
“โอเค ฉันรับพลังศักดิ์สิทธิ์เต็มอิ่มแล้ว ยังเหลืออีกที่ที่พวกเราต้องไปกันใช่ไหม” ร่างสูงลุกขึ้น ยื่นมือดึงคนรักที่นั่งข้าง ๆ ให้ลุกขึ้นด้วย
“ที่ต่อไปจะมีอะไรให้นายดูเยอะแยะเลยล่ะไฮรี่”
ก็เพราะว่าสถานที่ถัดไปคือ ‘พิพิธภัณฑ์ภูมิภาคเวรากัส’ ที่จัดแสดงศิลปะและวัฒนธรรมอันหลากหลายของท้องถิ่น โดยจัดแสดงทั้งศิลปะทางศาสนา เครื่องตกแต่งโบสถ์ และศิลปวัตถุต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและพิธีกรรมที่มีอายุยาวนานกว่าสามร้อยปี ยังมีห้องจัดแสดงนิทรรศการศิลปะท้องถิ่นที่หมุนเวียนกันไปตามช่วงเวลา ในตอนที่เหล่าเดมิก็อดไปเยือนเป็นนิทรรศการภาพถ่ายของชาวบ้านในละแวกนี้พอดี ภาพถ่ายเหล่านั้นสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ด้วยภาพนิ่งได้อย่างดี ภาพถ่ายแต่ละใบบอกเล่าเรื่องราวและความสวยงามผ่านเลนส์กล้องที่ปรับความคมชัดตามแสงสีธรรมชาติอย่างประณีต ถัดออกไปเป็นห้องจัดแสดงวัตถุโบราณทั้งเซรามิก เครื่องหิน จารึกหิน รวมถึงสิ่งประดิษฐ์โลหะ และซากฟอสซิลโบราณที่ดีนรู้สึกชื่นชอบห้องนี้เป็นพิเศษ
ดีที่ไฮรี่เป็นเด็กดีแม้จะโหวกเหวกเป็นบางครั้ง แต่เขาก็ชมนิทรรศการโดยไม่แตะต้องสิ่งใดจนชำรุดเสียหายตามที่ชาร์ล็อตกำชับทุก ๆ สิบนาที ถ้าหากมีสิ่งใดแตกหักขึ้นมา ความเสียหายนั้นคงยากจะประเมิน ทำให้ดีนโล่งใจ
โล่งใจกว่าคือที่นี่ไม่มีหุ่นทองคำเหมือนที่ประเทศแถบอาหรับที่อารักขาโบราณสถานแทบทุกที่…
หลังเที่ยวชมสถานที่สำคัญทั้งสองของเมืองเสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นรถบัสรอบบ่ายสองโมงยิงยาวไปจนถึง ‘เมืองดาวิด’ แล้วค้างคืนที่นั่นเพื่อเตรียมตัวข้ามชายแดนปานามา-คอสตาริก้าในวันรุ่งขึ้น