
วันที่ 09 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025
ยามเย็น เวลา 16.00 น. ตลาดเกษตรกร และมาฟังแม่บ่น
แสงวูบหนึ่งแผ่กระจายไปทั่วท่ามกลางเสียงอื้ออึงของรถยนต์และเสียงผู้คนจอแจกลางแมนฮัตตัน ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะพรวดขึ้นจากพื้นราวกับถูกดันจากแรงบางอย่างใต้ดิน เธอแทบตั้งตัวไม่ทัน ลมหายใจสะดุดติดคอ พลันดวงตาเทาเงินกวาดมองรอบตัวด้วยความตะลึงสุดขีด “ที่นี่...อะไรกัน...” เธอพึมพำแผ่ว มือยังยกขึ้นแตะข้างแก้มอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น
ไม่นานก็มีเสียงหนึ่งร้องดังใกล้หูโมนีก้า “เหมียว!” แล้วร่างโปร่งแสงเล็ก ๆ ของเจ้าออร่าก็พุ่งเข้ามาเกาะไหล่โมนีก้าแน่น หางเรืองแสงของมันสะบัดไปมาอย่างตกใจ ดวงตาสีอำพันของมันเบิกกว้างไม่ต่างจากเจ้านาย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยแสงแดดยามบ่ายและกลิ่นผลไม้สดใหม่ เสียงผู้คนพูดคุยขบขัน เสียงเครื่องคิดเงินและเสียงถุงกระดาษกรอบแกรบ กลิ่นขนมอบผสมกลิ่นแอปเปิ้ลหอม ๆ ทำให้โมนีก้ารู้ตัวในที่สุดว่า...เธออยู่ในตลาดเกษตรกรกลางนิวยอร์ก
ตรงหน้าเป็นแผงขายผลไม้สดที่เรียงรายสวยงาม เหล่าพ่อค้าแม่ค้ากำลังวุ่นวายกับลูกค้า เสียงพูดคุยภาษาสำเนียงนิวยอร์กเกอร์เจือปนเสียงหัวเราะรื่นเริง แต่สิ่งที่ทำให้เธอแทบหยุดหายใจคือ...ร่างของหญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางแผงผักผลไม้ สวมผ้ากันเปื้อนสีเขียวอ่อน มีผลแอปเปิ้ล เถาองุ่น และรวงข้าวประดับรอบร้านอย่างมีชีวิตชีวา
หญิงคนนั้นมีผมบลอนด์ทองอ่อนล้อแสงแดด ใบหน้าสงบ อ่อนโยน และงดงามเหนือมนุษย์ในแบบที่คนธรรมดาไม่อาจลอกเลียนได้ แววตาสีเขียวอ่อนอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิยามเช้า โมนีก้าชะงักงัน รู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดิน หัวใจในอกเต้นแรงจนแทบเจ็บ เธอกะพริบตา...แล้วก็พูดไม่ออก เพราะหญิงตรงหน้านั้นไม่ใช่ใครอื่นเลย
… เทพีเซเรส แม่ของเธอ
แม่ของเธอจริง ๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ามาเกือบสิบสามปีเต็ม…
เทพีเซเรสเงยหน้าขึ้นจากกล่องแครอทในมือ ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มอ่อนโยน ราวกับแสงตะวันสาดลอดผ่านเมฆ “โมนีก้า...” เสียงเรียกนั้นอ่อนโยนราวกับเพลงกล่อมเด็กในฤดูเก็บเกี่ยว “เจ้าไลแลคน้อยของแม่” เสียงนั้นเพียงพอจะทำให้หัวใจของโมนีก้าร่วงหล่น มือเธอสั่นเล็กน้อยเมื่อมองหน้าแม่ ความรู้สึกทั้งหมดที่กลั้นไว้ตลอดหลายปีหลั่งกลับมาในพริบตา ทั้งความคิดถึง ความอุ่นใจ และความว่างเปล่าที่เคยเกาะกินเธอมานาน
โมนีก้าก้าวเข้าไปช้า ๆ ก่อนจะโผเข้าไปกอดแม่แน่น กลิ่นดินและกลิ่นข้าวสาลีจากกายแม่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ผสานกับกลิ่นแอปเปิ้ลสุกและผลไม้ที่อบอวลอยู่รอบร้าน เซเรสหัวเราะในลำคอเบา ๆ ลูบหลังลูกสาวอย่างอ่อนโยน “แม่รู้ว่าเจ้าจะมาหาแม่ในสักวัน... ดินของแม่ไม่เคยปล่อยให้ลูกของมันหลงทางหรอกนะ”
โมนีก้าไม่ได้ร้องไห้ ไม่แม้แต่จะสะอื้น เธอเพียงแค่กอดแน่นขึ้นอีกนิด ราวกับไม่อยากปล่อย “หนูไม่ได้ร้องนะ...แค่...คิดถึงเฉย ๆ”
“แม่รู้” เซเรสตอบยิ้ม ๆ แล้วแตะหลังหัวลูกสาวเบา ๆ “แม่ก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกัน เจ้าโตขึ้นมาก... สวยเหมือนต้นไลแลคในฤดูใบไม้ผลิไม่มีผิด” เจ้าเหมียวออร่าที่เกาะอยู่บนไหล่ของโมนีก้า ส่งเสียง “เมี้ยว” เบา ๆ ราวกับทักทาย เทพีเซเรสหันไปมองมันด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ “ออร่า... เพื่อนใหม่ของลูกงั้นหรือ?”
โมนีก้าพยักหน้า “ค่ะ มันเป็นแมวผี...แต่ใจดีมาก”
“ดีจังเลย...” เซเรสลูบหัวแมวผีด้วยปลายนิ้วที่อ่อนโยน แสงเรืองจากปลายนิ้วไหลผ่านขนสีดำของมันจนหางเรืองแสงสว่างกว่าเดิม มันร้องเบา ๆ อย่างพึงพอใจ “ที่นี่...” โมนีก้าเอ่ยเสียงเบา “แม่อยู่ในตลาดแบบนี้ตลอดเลยเหรอคะ?” เซเรสหัวเราะแผ่ว ๆ “แม่อยู่ทุกที่ที่มีพืชผลเติบโต ที่ใดที่คนยังรู้จักขอบคุณผืนดิน แม่ก็อยู่ที่นั่น... แม้แต่ในเมืองใหญ่แห่งนี้” เซเรสยิ้มจนตาของเธอเป็นประกาย ดวงตาสีเขียวอ่อนฉายความอบอุ่นเหมือนทุ่งที่มีแสงอ่อนในตอนเช้า เธอจับมือของโมนีก้าไว้แน่น ราวกับต้องการย้ำว่ามือนั้นจะไม่หลุดจากมือของลูกไปอีกง่าย ๆ
“แม่เฝ้ามองเจ้าเสมอ โมนีก้า ลูกโตขึ้นเร็วกว่าที่แม่คิดเอาไว้ ดอกไม้น้อยของแม่โดนลมแรงโหมพัดจนแทบหัก แต่เจ้าก็ยังยืนได้ ไม่ล้มหายไปไหน แม่เห็นหยดน้ำตาผสมกับเลือดของเจ้าแล้วหัวใจแม่เจ็บ แต่แม่ก็รู้ว่าลูกไม่ชอบการต่อสู้ โลกนี้มันก็ไม่ยอมให้คนอ่อนโยนได้พักนานนัก แม่ขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าต้องเผชิญ แต่แม่ภูมิใจที่เจ้าสู้เพราะรักไม่ใช่เพราะเกลียด” เสียงของเซเรสอ่อนหวานและหนักแน่นในเวลาเดียวกัน เธอเอื้อมไปหยิบสร้อยข้อมือเล็ก ๆ ที่ปักเมล็ดพันธุ์ไว้เป็นลวดลายอย่างประณีตออกจากถุงผ้าเล็กนั้น
เมื่อสร้อยถูกคล้องลงบนข้อมือของโมนีก้า ความรู้สึกอุ่นนุ่มเหมือนแสงอาทิตย์สาดผ่านผิว ด้านในของเมล็ดมีประกายจิ๋วเหมือนแสงชีวิตลุกโชนขึ้นอย่างเงียบ ๆ เซเรสอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองกว่าที่เคยได้ยินจากเทพผู้สูงส่ง
“นี่คือสร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต ไม่ได้ให้เจ้าเป็นนักรบหรือทำให้เจ้าหยาบกระด้างจนลืมความอ่อนโยน แต่เป็นเครื่องมือให้เจ้ารักษาและหล่อเลี้ยงชีวิตในทุกรูปแบบ มันตอบสนองต่อหัวใจของเจ้า เหมือนดอกไม้ต้องการแสงกับน้ำ เจ้าต้องการความรัก การกอด เวลาแต่งตัวสวย ๆ และพักผ่อนบ้าง พลังนี้จะโตขึ้นจากสิ่งที่เจ้ามอบให้แก่ผู้อื่น เป็นปุ๋ยที่ทำให้เมล็ดงอกงามจนยืนหยัดปกป้องเจ้าได้ เมื่อเจ้ารดน้ำใจคนอื่น ความแข็งแรงก็จะงอกขึ้นตาม” เธอพูดด้วยภาษาที่เรียบง่ายแต่ทุกคำยังคงพลังของเทพแม่ผู้คุ้นเคยกับดินและการเก็บเกี่ยว
เซเรสก้มลงมาจับแก้มโมนีก้าอย่างเอ็นดู รอยยิ้มของเธอคงที่แต่สายตาบ่งบอกความภูมิใจ
“ข้าเห็นในตัวเจ้ามากกว่าที่เจ้ารู้เอง โมนีก้า ในฐานะบุตรของข้า เจ้ามีพลังที่จะทำให้อะพอลโลต้องรับผิดชอบและให้เกียรติคำพูดของเขาได้ แต่จงจำไว้ว่าเมื่อเจ้าผูกพันชีวิตตนกับคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อมีสัญญาหรือคำมั่นหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อีกต่อไป” เซเรสนั้นเอ่ยเธอหยุดนิ่งชั่วครู่ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเข้าใจในฐานะสตรีและคนที่มีรักเช่นเดียวกัน
“สัญญานี้จะผูกมัดชีวิตของเจ้าเข้ากับเขา หากเขาทำลายมัน หรือหากการตัดสินใจของเจ้าทำให้เขาทำลายสิ่งที่มีค่า ผลของการกระทำนั้นอาจลึกซึ้งและหนักหนากว่าที่เจ้าคิดไว้ ความรักมีพลังมากพอจะเยียวยา แต่ก็มีพลังพอจะทำให้เจ็บปวดจนลืมไม่ลงเลยนะไลแลคน้อยของแม่” น้ำเสียงของเซเรสนิ่งลงมีน้ำหนักเหมือนฟังคำพยากรณ์ แต่เธอก็ยังคงใช้ถ้อยคำที่เข้าใจง่ายและทันสมัย ไม่อ้อมค้อม เซเรสหยุดสักครู่ ลูบมือของลูกสาวเบา ๆ ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนปนความมั่นใจ
“แต่ฟังนะ โมนีก้า แม่จะไม่ขวางทางที่ใจของเจ้าต้องการจะเดิน ตราบใดที่ความรักของเจ้ายังไม่ทำให้เจ้าทรมานจนทนไม่ไหว แม่จะยอมให้เจ้าเลือกเอง หากวันใดเขาทำให้เจ้าต้องเจ็บเพราะความเห็นแก่ตัวของเขา แม่จะจัดการในแบบของแม่เอง ไม่ใช่เพื่อแก้แค้น แต่เพื่อรักษาเกียรติและความปลอดภัยของลูกคนนี้ แม่พูดแบบนี้เพราะแม่รักเจ้า และเพราะแม่รู้ว่าลูกไม่ใช่เพียงกลีบดอกที่สวยงามแต่เปราะบาง เจ้าเป็นทุ่งที่สามารถทำให้คนอื่นเจริญงอกงามได้เช่นกัน”
โมนีก้าหายใจเข้าเต็มปอด รู้สึกได้ถึงความหนักแน่นที่แม่มอบให้ ทั้งคำเตือน ทั้งกำลังใจ ทั้งความรักที่ไม่เคยขาดหาย เธอยิ้มรับอย่างมั่นใจและตอบกลับด้วยเสียงที่มั่นคงขึ้น “ขอบคุณค่ะแม่ หนูจะใช้สิ่งนี้ไม่ให้พลาด หนูจะไม่ปล่อยให้ความรักกลายเป็นแผลโดยปราศจากการปกป้อง”
เซเรสกดหน้าผากของตนเองเบา ๆ กับหน้าลูกสาวอย่างโมนีก้า เหมือนส่งผ่านความอบอุ่นจากใจถึงใจ “จงเงยหน้าขึ้น หายใจเข้าลึก ๆ ลูกรัก แล้วจงให้ความรักนั้นเป็นปุ๋ยแก่พลังของเจ้า เมื่อลูกใช้ความรักเพื่อช่วยคนอื่น เมล็ดนั้นจะโตขึ้นคุ้มครองเจ้า ไม่ว่าจะมืดมิดแค่ไหนก็ตาม จงจำไว้ว่าความรับผิดชอบที่มาพร้อมสัญญาไม่ใช่โซ่ตรวนถ้าเจ้ารู้จักรักษาเกียรติและขอบเขตของตัวเอง แม่เชื่อในเจ้า”เสียงหัวเราะแผ่วเบาของแม่ดังขึ้นก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มเปลี่ยนจากอ่อนโยนเป็นขุ่นเคืองเล็กน้อยแบบคนที่มีเรื่องค้างใจมานานแสนนาน บ่งบอกว่ามันแค่สงสัยไม่ได้อยากจะว่าจริง ๆ หรอกนะ ใครอยากรับก็รับไป
เซเรสถอนหายใจ พลางเท้าคางพิงตะกร้าผลไม้ที่วางอยู่ข้างแผง เธอส่ายหน้าเบา ๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งหงุดหงิดกึ่งขบขัน “ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทำไมพวกเทพถึงชอบมายุ่งวุ่นวายกับลูก ๆ ของแม่นัก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกเจ้าควรจะได้ใช้ชีวิตของตัวเองแท้ ๆ”
โมนีก้ายกคิ้วขึ้นนิด ๆ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เซเรสก็เริ่มบ่นต่อด้วยท่าทีเหมือนคนที่อดกลั้นมานาน “ดูอย่างพี่ของเจ้าสิ โพรเซอร์พีน่า... ตอนนั้นแม่แทบจะสติแตก พลูโตลากลูกสาวแม่ไปยมโลก แม่โกรธจนทั้งโลกหยุดเติบโต ร้องไห้จนเกิดฤดูกาล! แล้วดูตอนนี้สิ คราวนี้เป็นอะพอลโลอีกแล้ว...”
เธอหยุดพูดชั่วครู่ ยกมือขึ้นแตะขมับแล้วส่ายหัว “แม่เบื่อเต็มที... ตอนแรกก็ห่วงมาก แม่ไม่ได้รังเกียจเขาหรอกนะ แต่พูดตามตรง แม่ไม่สนใจความรักฉาบฉวยของพวกเทพสักนิด สิ่งที่แม่ไม่สบายใจคือความจริงที่ว่าเขาเป็นเทพที่... วุ่นวายเกินไป เต็มไปด้วยปัญหา และมักหนีความรับผิดชอบ เขาเหมือนวัชพืชในสวนที่แม่ปลูกไว้เป็นระเบียบ ถ้าไม่ระวัง เขาอาจทำลายดอกไม้ที่ข้ารดน้ำไว้ด้วยมือของข้าเอง”
โมนีก้ายิ้มแห้ง ๆ เพราะแม่ดันพูดตรงจัด ๆ “โธ่… แม่ก็พูดซะตรงเลยนะคะ…”
เซเรสกลอกตาขึ้นอีกสักที “ก็แม่พูดความจริงนี่ แต่เอาเถอะ แม่ยอมรับก็ได้ว่ ตั้งแต่วันที่เขาให้คำสาบานกับเจ้า... แม่เห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา มันไม่เหมือนอะพอลโลที่ใคร ๆ เคยพูดถึง ความจริงใจที่เขาแสดงออก... มันทำให้แม่รู้ว่าอย่างน้อยเขาก็เริ่มเข้าใจคำว่าความรับผิดชอบสักที” เสียงของเธอนุ่มลงอีกครั้งเมื่อเอ่ยถึงตอนท้าย ดวงตาสีเขียวอ่อนทอดมองลูกสาวอย่างห่วงใยปนภาคภูมิใจ “แม่ไม่อาจอยู่ดูเจ้าได้ทุกนาที แต่แม่ส่งความคิดถึงกับความห่วงใยไปให้เสมอ แม่จะเฝ้ามองเจ้าอยู่ไม่ไกลจากสายลม จากต้นไม้ จากพื้นดินที่เจ้าก้าวย่ำ อย่าลืมนะ เจ้าไม่เคยอยู่ตัวคนเดียวเลย”
โมนีก้าพยักหน้าเบา ๆ พลางจับสร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตแน่นในมือ เธอรู้สึกถึงพลังอุ่นที่ไหลผ่านนิ้ว เหมือนหัวใจแม่ยังเต้นอยู่ตรงนั้น
“งั้น...” เซเรสยกคิ้วขึ้นนิด ๆ “จะให้แม่ส่งเจ้ากลับเลยไหม หรืออยากจะเที่ยวต่ออีกสักหน่อย? นิวยอร์กก็ไม่ได้แย่นี่นะ มีตลาด มีสวน มีพิพิธภัณฑ์... แต่ถ้าแม่เดาไม่ผิด ลูกคงอยากกลับค่ายมากกว่าใช่ไหม?” โมนีก้ายิ้มพลางหัวเราะเบา ๆ “หนูว่ากลับเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวถ้าอยู่ต่อมีหวังต้องไปเจอที่ตึกนั้นแล้วแม่คงไม่ปลื้ม…”
“ดีมาก!” เซเรสพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทีโล่งอก “แม่ละไม่อยากให้เจ้าขึ้นไปบนชั้นนั้นเลย ตึกเอ็มไพร์สเตต ชั้น 600 นั่นน่ะ อย่าคิดว่ามันโรแมนติกนะลูก มันเต็มไปด้วยเทพที่ทำตัวเหมือนคนดังในรายการเรียลลิตี้!” เธอส่ายหน้าแรง “อื้อหือ แม่ไม่อยากยุ่งด้วยอีกเลย...”
โมนีก้าหัวเราะจนเผลอปิดปาก “แม่พูดซะเห็นภาพเลยค่ะ”
“ก็ดีแล้วที่ลูกคิดเหมือนกัน” เซเรสหัวเราะบ้าง ก่อนจะวางมือลงบนไหล่ลูกสาว น้ำเสียงของเธออ่อนลงอีกครั้ง “กลับไปพักผ่อนนะไลแลคน้อยของแม่ ใช้พลังนั้นอย่างมีสติ จำที่แม่สอนให้ได้ทุกคำ” โมนีก้าพยักหน้าตอบรับคำนั้นทันที “ค่ะ แม่”
แล้วทันใดนั้น เถาวัลย์สีเขียวที่แผ่กระจายอยู่รอบพื้นตลาดก็ขยับช้า ๆ พันรอบข้อเท้าของโมนีก้า และค่อย ๆ แผ่แสงสีทองออกมาเหมือนละอองฝุ่นจากกลีบดอกไม้ ลมอ่อนพัดผ่านกลิ่นข้าวสาลีและแอปเปิ้ลหอมอวล “แม่รักลูกนะ” เซเรสพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “อย่าลืมกินข้าวนะ ช่วงเช้าก็ทานซีเรียลใส่ธัญพืชอบแห้งเยอะ ๆ แล้วก็อย่าลืมพักผ่อนด้วย” โมนีก้ายังไม่ทันตอบ เธอก็รู้สึกเหมือนถูกแรงอ่อนโยนบางอย่างดึงขึ้นจากพื้น ร่างของเธอและเจ้าออร่าค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มด้วยเถาวัลย์สีทอง ก่อนจะหายวับไปจากตลาด ท่ามกลางเสียงใบไม้กระทบกันเบา ๆ
เซเรสยืนมองจนแสงสุดท้ายจางลง เหลือเพียงกลิ่นไลแลคจาง ๆ ที่ยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ เธอยิ้มกับตัวเองอย่างเหนื่อยใจแต่แฝงความภาคภูมิ “ขอให้เจ้าเจอทางของตัวเอง... ดอกไม้น้อยของแม่” เธอหันกลับไปจัดตะกร้าผลไม้ต่อ ราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ท่ามกลางเสียงผู้คนและแสงแดดยามบ่ายเย็น ๆ ของแมนฮัตตัน ที่ซ่อนความศักดิ์สิทธิ์ไว้ใต้ความธรรมดาอย่างงดงามที่สุด และแน่นอนว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกของแม่ที่หวงลูกสาวตัวเองแบบสุดใจ พลางอยากจะนึกบ่นคนที่เข้ามาจีบลูกสาวตัวน้อยของเธอทุกคน ตั้งแต่เทพพระอาทิตย์แสนเจ้าชู้ยันเจ้าแห่งยมโลกที่รักเดียวใจเดียว

มารับของจ้า