แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-1-12 19:01
12/01/2025 9.50 น. - 11.40 น.
บทที่ 30
“นอนไม่หลับอีกแล้ว เพราะเจ้าเสียงนั้นแน่เลย”
คูเปอร์บ่นพึมพำขณะเขานอนหงายมองเพดานด้วยสายตาว่างเปล่า คืนที่แล้วเป็นอีกคืนที่เสียงปริศนาซึ่งอ้างตัวว่าเป็น… อะไรก็ช่างเถอะ มันตามมาหลอกหลอนเขาในความคิด เสียงนั้นสุขุม ลึกซึ้ง แต่แฝงความเจ้าเล่ห์บางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน
มันไม่ใช่ครั้งแรกด้วย ก่อนหน้านี้ เมื่อไม่กี่วันหลังจากถวายของบูชาแม่ตามปกติ เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาในหัวครั้งแรก ราวกับสายลมเย็นที่กระซิบข้างหู
“ลูกรักของแม่ ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะทำให้แม่ภูมิใจได้เท่ากับใช้มันสมองของเขา… สร้างความอับอายให้เอโลอิส เพจ ช่วงที่เธออยู่ในค่าย”
ตอนนั้นเขาถึงกับเกือบลุกขึ้นยืนและตะโกนว่า “อะไรนะ!”
และเมื่อวาน… หลังถวายของเหมือนเดิม เสียงก็กลับมาอีกครั้ง
“ใช่แล้ว ลูกรักของแม่ เจ้าจงใช้ภูมิปัญญาที่แม่มอบให้ไปใช้จัดการสั่งสอนนางให้รู้ซึ้งถึงเกียรติแห่งบ้านอะธีน่าเถอะ…”
คูเปอร์ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ค้างคาในใจคืออะไรกันแน่ ความเคลือบแคลง หรือความไม่สบายใจที่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ไม่ใช่ของเขา
เขาลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปข้างนอกเผื่อจะช่วยสงบจิตใจได้บ้าง ระหว่างที่เขาเดินผ่านทางเดินกรวดเล็กๆ สายลมยามเช้าพัดมากระทบใบหน้าเบาๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นสนทำให้เขาคลายความกังวลได้ชั่วคราว
จนกระทั่งเขาเดินมาหยุดที่หน้าห้องสมุด
“บางทีที่นี่อาจช่วยได้” เขาพึมพำก่อนจะผลักประตูบานใหญ่ที่ดูเก่าแก่เข้าไป
เสียงบานพับดังเอี๊ยดเบาๆ กลิ่นกระดาษเก่าทำให้คูเปอร์รู้สึกสงบขึ้นในทันที ราวกับอากาศในห้องสมุดสามารถปลดปล่อยความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวของเขาได้
สายตาเขาไล่ไปตามชั้นหนังสือสูงเสียดเพดาน ก่อนจะสะดุดเข้ากับร่างของเด็กสาวคนหนึ่งที่คุ้นเคย
“ลิเลียน่า”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นก่อนจะยิ้มสดใสให้ “พี่คูเปอร์ มาได้ยังไงคะ ไม่ได้ไปหาอะไรอร่อยๆ ที่โรงอาหารหรือ”
“พี่นอนไม่ค่อยสดชื่น เลยออกมาเดินเล่น” เขาเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะมองกองหนังสือที่เธอจัดเรียงไว้ “นี่น้องทำอะไรอยู่ล่ะ หาหนังสือไปสร้างเครื่องยิงหนังสืออัตโนมัติหรือเปล่า”
ลิเลียน่าหัวเราะ “เปล่าค่ะ พี่ก็พูดเกินไป พอดีหนูกำลังหาข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องคุณแม่น่ะค่ะ”
เธอยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากกองแล้วส่งให้เขา “ช่วยหนูดูหน่อยได้ไหมคะ หนูต้องการเล่มนี้ ‘บทวิเคราะห์เทพโอลิมปัส’ แต่เป็นเล่ม 2 ”
คูเปอร์มองชื่อหนังสือแล้วเอื้อมมือไปหยิบจากกองข้างๆ “เล่มนี้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
คูเปอร์ถามต่อจากที่ติดค้างเมื่อครู่ “ว่าแต่ที่หมายถึงแม่หมายถึงเทพีอะธีน่า?”
“ใช่ค่ะ หนูคิดว่าพี่น่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว” เด็กสาวหรี่ตา “ก็เสียงปริศนานั่นไงล่ะ พี่ได้ยินอีกใช่ไหม”
คูเปอร์มองหน้าลิเลียน่าด้วยความแปลกใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองบอกเองนี่หว่า“น้องรู้?”
“แน่นอนค่ะ” เธอพูดเสียงเรียบ “พี่เล่าให้หนูฟังเองเมื่อครั้งก่อน หลังจากที่พี่ได้ยินเสียงนั้นครั้งแรก ตอนที่มันบอกให้พี่สร้างความอับอายให้เอโลอิส จำได้ไหม”
ชายหนุ่มลูบคางเบาๆ “จำได้…”
“แล้วครั้งนี้ล่ะ มันบอกอะไรพี่อีก” ลิเลียน่าถาม
คูเปอร์ถอนหายใจ “บอกให้ใช้ภูมิปัญญาที่แม่มอบให้… สั่งสอนเอโลอิสให้รู้ซึ้งถึงเกียรติของบ้านเรา เพราะเธอว่าบ้านอะธีน่ามิอาจเทียบชั้นความฉลาดกับพวกนางสายเลือดแห่งเฮเฟตัสได้ อะไรทำน้องนั้น”
เด็กสาวพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด “พี่คูเปอร์ นี่มันไม่ปกติแล้วค่ะ ท่านแม่ของเราไม่มีทางพูดแบบนี้”
“นั่นแหละที่พี่รู้สึกแปลกใจ” ชายหนุ่มตอบ “แต่พี่ก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร”
ลิเลียน่าหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากกองแล้วเปิดหน้าที่เธอคั่นไว้ “หนูกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่เทพีอะธีน่าจัดการกับคนที่หลู่เกียรตินาง ท่านแม่ของเราขึ้นชื่อเรื่องความเด็ดขาดและตรงไปตรงมา นางไม่เคยยืมมือใครทำเรื่องพวกนี้”
คูเปอร์ฟังแล้วขมวดคิ้ว “ถ้างั้นเสียงนั้นอาจไม่ใช่แม่ของเรา?”
“เป็นไปได้ค่ะ” ลิเลียน่ามองเขาด้วยสายตาจริงจัง “หรือไม่ก็เป็นใครสักคนที่ต้องการปั่นหัวเรา”
“แต่ทำไมต้องปั่นหัวพี่ด้วยล่ะ” คูเปอร์ยิ้มแห้ง “เอาจริงๆ ตอนเสียงนั้นพูดเรื่องเอโลอิสว่าเธออวดดี หรืออะไรก็ตาม พี่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาเลยนะ ในหัวพี่คือ ‘ก็ปล่อยเธอไปสิ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเรา’”
ลิเลียน่าหลุดหัวเราะ “พี่นี่มัน… จริงๆ เลย”
“อีกอย่างนะคะ พี่คูเปอร์ หนูคิดว่าการที่เสียงนั้นใช้เรื่องความฉลาดมาหลอกล่อ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายรู้จักสายเลือดอะธีน่าเป็นอย่างดี” ลิเลียน่าพูดพลางพลิกหน้าหนังสือในมือไปมา
“ยังไง?” คูเปอร์ถาม
“ก็เพราะความหยิ่งทะนงเป็นจุดอ่อนของเราไงคะ โดยเฉพาะเรื่องสติปัญญา” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ชาย “คนของบ้านอะธีน่ามักจะภูมิใจในมันสมองตัวเองเกินไปหน่อย บางครั้งก็จนเกือบจะยอมทำอะไรโง่ๆ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ถ้าใครรู้เรื่องนี้ก็สามารถใช้มันเล่นงานเราได้”
คูเปอร์ยิ้มแห้งๆ “พูดตามตรง ตอนพี่ได้ยินเสียงนั้นบอกว่าคนที่ชื่อเอโลอิสอวดดี ว่าพวกเราฉลาดน้อยกว่าบ้านเฮเฟตัส… ในหัวพี่ก็แค่ ‘อืม ก็ดีนี่ ยิ่งมีคนฉลาดในค่ายเยอะก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร ช่วยๆ กันไปสิ’”
ลิเลียน่าหัวเราะพรืด “พี่นี่มันไม่เหมือนคนอื่นของบ้านอะธีน่าเลยจริงๆ”
“บางทีพี่อาจจะได้เชื้อพ่อ(?)มามากกว่าที่คิด” เขาตอบพลางยักไหล่ ก่อนจะถามต่อด้วยสีหน้าครุ่นคิด “แล้วนี่คลาร่าล่ะ พี่น้องอีกคนของเรา พี่ไม่เห็นเธอเลยตั้งแต่เมื่อวาน”
“อ๋อ คลาร่าเหรอคะ” ลิเลียน่าวางหนังสือลงบนโต๊ะ “หนูเห็นเธอครั้งสุดท้ายเมื่อเช้าเมื่อวาน เธอบอกว่าจะไปที่หอบันทึกภารกิจ คงกำลังค้นคว้าอะไรบางอย่างเหมือนกันนั่นแหละ”
“เกี่ยวกับเรื่องเดียวกันหรือเปล่า”
“อาจจะค่ะ คลาร่าก็สงสัยเรื่องเสียงปริศนานั่นเหมือนกัน” ลิเลียน่าเอนตัวพิงเก้าอี้ “อีกไม่นานเธอคงมาที่นี่แหละ เพราะถ้าพูดถึงข้อมูลลึกๆ ห้องสมุดนี้เป็นที่เดียวที่เราจะหาได้”
คูเปอร์พยักหน้า “ก็ดี งั้นรอเธอที่นี่เลยแล้วกัน”
เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างลิเลียน่า มองหนังสือเล่มหนาบนโต๊ะด้วยสายตาเลื่อนลอย “บางทีพี่ก็อยากรู้ว่า ถ้าเราไม่ทำตามที่เสียงนั้นบอก มันจะเกิดอะไรขึ้น”
“ก็เป็นไปได้ว่ามันอาจจะกลับมาหลอกหลอนพี่อีก” ลิเลียน่าแกล้งทำเสียงลึกลับ
“ขอบใจที่ทำให้พี่รู้สึกดีขึ้น” คูเปอร์พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่เขาก็ยิ้มออกมา
ลิเลียน่าหยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมาเปิด “ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูจะช่วยหาคำตอบว่าใครเป็นคนส่งเสียงนั้นมา แล้วเราจะทำให้มันหยุด”
“ขอบใจนะ ลิเลียน่า” คูเปอร์พูดเบาๆ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มองเพดานสูงของห้องสมุด
สายลมเบาๆ พัดผ่านหน้าต่าง เสียงพลิกหน้ากระดาษของลิเลียน่าและเสียงฝีเท้าของคูเปอร์ที่เคาะเบาๆ บนพื้น เป็นเสียงเดียวที่ดังก้องในห้องสมุดอันเงียบสงบ
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังสะท้อนในห้องสมุด คูเปอร์ละสายตาจากหนังสือที่ลิเลียน่าหยิบมาให้ ก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกับน้องสาวของเขา
“ในที่สุด!” เขาอุทานเมื่อเห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามาคือสาวผมบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าสดใสที่คุ้นเคยดี คลาร่า ชูลซ์ น้องสาวอีกคนของเขานั่นเอง
เธอหอบปึกกระดาษสองปึกแน่นติดตัว เดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะที่พวกเขานั่ง
“พี่คลาร่า เอาอะไรมาด้วยคะ” ลิเลียน่าถามอย่างสนอกสนใจ
คลาร่าวางปึกกระดาษลงบนโต๊ะ ก่อนจะหายใจลึกคล้ายโล่งอก “บันทึกภารกิจของ เอโลอิส เพจ ฉันใช้เวลาทั้งวันเมื่อวานค้นหามาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ”
“ไปบ้านใหญ่มาเหรอ” คูเปอร์ถาม
“ใช่” เธอพยักหน้า “ฉันลองเดาดูว่าต้นเหตุเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับภารกิจบางอย่างที่เธอเคยทำ เพราะเสียงที่พวกเราได้ยินมันชี้เป้าชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับเธอ ฉันเลยไปหอบันทึกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเธอมา”
ลิเลียน่ามองปึกกระดาษสองปึกที่ถูกเย็บเข้าด้วยแม็กอย่างดี “นี่คือทั้งหมดเหรอคะ”
“ทั้งหมดที่ฉันคัดลอกสำเนามาได้น่ะ” คลาร่าพูดขณะดึงเล่มบนสุดออกมาโชว์ “มีสองปึก ปึกนี้ชื่อ ทวงคืนราชรถมาเซราติ กับอีกปึกชื่อ โรมิโอ & จูเลียต 2024”
“เดี๋ยวนะ” คูเปอร์ยกมือห้าม “นี่เราต้องอ่านทั้งหมดเลยหรือไง”
คลาร่าหัวเราะขำ “เปล่า ฉันคัดสองเล่มมาเพราะคิดว่าน่าจะมีจุดเชื่อมโยงระหว่างกัน แต่เท่าที่อ่านผ่านๆ เล่มที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของเรามากที่สุดคือเล่มนี้” เธอชูเล่มที่มีชื่อ โรมิโอ & จูเลียต 2024
“ชื่อเหมือนนิยายโรแมนติกเลย” คูเปอร์ยิ้มแหย
“เนื้อหาในนี้ก็ประมาณนั้นเลยล่ะค่ะ พี่ลองอ่านดูเถอะ” คลาร่าพูดพร้อมวางปึกกระดาษลงตรงหน้าเขา
คูเปอร์รับมันมาเปิดดูทีละแผ่น ลิเลียน่าก็ขยับเข้ามาใกล้ เขาอ่านไปเรื่อยๆ ด้วยความตั้งใจ บันทึกเล่าเรื่องราวของบุตรตรีแห่งเฮเฟตัสที่ถูกส่งไปทำภารกิจบางอย่างในเมืองใหญ่ เหตุการณ์ดำเนินไปท่ามกลางความวุ่นวายที่เกี่ยวข้องกับความรัก และการแทรกแซงของเทพลึกลับที่ชื่อว่า “โดลอส”
“เดี๋ยวนะ…” คูเปอร์เงยหน้าจากกระดาษ สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย “โดลอสงั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ” คลาร่าพูด “ถ้าพี่อ่านจนถึงท้ายเล่ม จะเจอบทสนทนาระหว่างเขากับเอโลอิสที่บ่งบอกชัดเจนว่าโศกนาฏกรรมในนั้นเป็นแผนของเขา”
คูเปอร์เปิดอ่านต่อจนมาถึงเนื้อหาสุดท้าย เขาขมวดคิ้วแน่นเมื่อเจอคำบรรยายที่ระบุถึงบทสนทนานั้น
“เทพโดลอส…” เขาพึมพำ
“ใช่” ลิเลียน่าพยักหน้า “เทพแห่งการหลอกลวงและกลอุบาย”
“แล้วทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ด้วย” คูเปอร์ถาม “แค่ปั่นหัวมนุษย์ให้เล่นงานกันเองน่ะเหรอ”
“ฉันว่าไม่ใช่แค่ปั่นหัวหรอก” คลาร่าเอ่ยขึ้น
“แล้วเสียงที่เราคิดว่าเป็นเสียงของแม่ล่ะ” ลิเลียน่าถาม
“ถ้าอ้างอิงจากบันทึกนี้ ฉันมั่นใจว่าเสียงนั้นก็เป็นฝีมือของโดลอสเหมือนกัน” คลาร่าตอบหนักแน่น “เขารู้จุดอ่อนของเรา และเขาก็ใช้มันล่อเราเข้าสู่เกมของเขา”
คูเปอร์นั่งนิ่ง เขากำปึกกระดาษไว้แน่น สายตาจับจ้องที่ชื่อของโดลอสบนหน้ากระดาษ
คูเปอร์นั่งนิ่ง กำปึกกระดาษไว้แน่น สายตาจับจ้องที่ชื่อของ “โดลอส” บนหน้ากระดาษก่อนจะหลับตาลงครุ่นคิด ชื่อนี้มันคุ้นเหลือเกิน เหมือนเขาเคยได้ยินหรืออ่านผ่านตามาก่อน
ชายหนุ่มพยายามนึกย้อนกลับไปเรื่อยๆ ภาพเบลอๆ ในความทรงจำผุดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเขาถึงบางอ้อ ชื่อนี้เขาเคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์เฮอร์มีสเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง
เขาอ้าปากด้วยความตื่นเต้น “เฮอร์มีส! ใช่แล้ว!”
ลิเลียน่าที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หันมามองเขาด้วยความสงสัย “อะไรคะพี่”
“ในห้องสมุดนี้มีที่เก็บหนังสือพิมพ์เฮอร์มีสไหม” คูเปอร์ถาม ลิเลียน่าขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชี้ไปยังมุมหนึ่งของห้องสมุด
“น่าจะมีอยู่ตรงนั้นค่ะ”
“ไปดูกัน”
ลิเลียน่าลุกขึ้นนำทางไปยังมุมที่เธอชี้ คูเปอร์และคลาร่าเดินตามมาติดๆ ก่อนที่เขาจะหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดสามเล่มออกมาจากชั้นเก็บ
“เรามาแบ่งกันอ่านนะ” คูเปอร์แจกหนังสือพิมพ์ให้แต่ละคน “หาข่าวที่เกี่ยวข้องกับโดลอสและบ้านเฮเฟตัส”
ทั้งสามคนเริ่มต้นอ่านหนังสือพิมพ์ของตัวเอง บรรยากาศเงียบลง มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษที่ดังแว่วอยู่เป็นระยะ
“เอ๊ะ…” ลิเลียน่าเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
“น้องเจออะไรเหรอ” คูเปอร์ถามขณะเหลือบตามอง
ลิเลียน่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะชี้ไปยังข้อความในหนังสือพิมพ์ “หนูเห็นชื่อตัวเองในนี้ค่ะ”
คลาร่าขยับเข้ามาดูด้วยความสนใจ “อะไรนะ”
ลิเลียน่าชี้ไปยังข้อความในหนังสือพิมพ์ “หนูเห็นชื่อตัวเองในนี้ค่ะ กับอะไรสักอย่างที่… แปลกมาก”
ลิเลียน่าพยักหน้าก่อนเริ่มอ่านออกเสียง “ เดม่อน หนุ่มเจ้าเสน่ห์แห่งอะโฟรไดต์ กับ ลิเลียน่า ธิดาแห่งอะธีน่า ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่!? เป็นความรัก หรือแค่เกมลวงใจ?’”
เธอวางหนังสือพิมพ์ลงพลางขมวดคิ้ว “เดม่อน… ชื่อมันคุ้นๆ เหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ทำไมหนูจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักเขา”
คูเปอร์จ้องน้องสาวนิ่ง “น้องบอกว่าคุ้น... แต่จำไม่ได้? นี่มันฟังดูแปลกๆ นะ”
ลิเลียน่าพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ตอนที่กลับมาจากภารกิจที่เฮติ มีคนในค่ายทักหนูนะว่าเขาชื่อเดม่อน บอกว่าเรารู้จักกันดี แต่หนูจำหน้าเขาไม่ได้เลย จำไม่ได้ด้วยว่าเราเคยพูดคุยอะไรกัน”
“แล้วเขาทำยังไงต่อ” คลาร่าถาม
“เขาก็ดู… งงน่ะค่ะ ตอนที่หนูบอกไปว่าไม่รู้จักเขา อ้อ– แต่ที่สำคัญคือ หนูยังบอกไปแล้วนะคะว่าหนูจำไม่ได้ แต่ว่าหนูก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรนะคะ” ลิเลียน่าพูดต่อเสียงเรียบ
“โอ้โห” คูเปอร์ยิ้มแห้ง “น้องเล่นตอบไปแบบนั้นเหรอ”
“ก็มันจริงนี่คะ” ลิเลียน่าพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ในเมื่อจำไม่ได้จะให้ทำยังไงล่ะคะ จะให้ทำเหมือนว่ารู้จักกันเหรอ?”
คูเปอร์ถอนหายใจยาว ก่อนที่คลาร่าจะพูดขึ้นบ้าง “มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับภารกิจที่เฮติของน้องก็ได้”
ลิเลียน่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ก็อาจจะใช่ค่ะ ตอนอยู่ที่นั่นหนูเจอเรื่องหนักมาก แต่ถ้าจะให้บอกว่ามีอะไรที่หนูทำพลาดหรือเปล่า... ก็ไม่นะ ทุกอย่างมันสมเหตุสมผลหมดแล้ว”
คูเปอร์ถอนหายใจ เขาเปลี่ยนกลับมาสนใจหนังสือพิมพ์ของตัวเองแทน และใช้เวลาเพียงไม่นานก็เจอข้อความที่เขาตามหา
“เจอแล้ว!”
“ข่าวเกี่ยวกับโดลอสเหรอคะ” ลิเลียน่าถาม
คูเปอร์พยักหน้า “ใช่ และดูเหมือนเขาจะไม่ได้มีแค่พวกเรา ข่าวนี้บอกว่าเขาเคยใช้ให้เด็กบ้านอื่นในค่ายไปตามคุณเอโลอิสมาก่อน”
“หมายความว่าไง” คลาร่าขมวดคิ้ว
“หมายความว่าเราอาจจะไม่ใช่คนแรก และแน่นอนว่าไม่ใช่คนสุดท้ายที่โดลอสพยายามปั่นหัว” คูเปอร์ตอบหนักแน่น
ความเงียบเข้าครอบคลุมพวกเขาอีกครั้ง ทั้งสามคนจ้องหน้ากันเหมือนจะหาคำตอบว่า ควรทำอย่างไรต่อไปกับข้อมูลที่เพิ่งค้นพบนี้…
คูเปอร์มองหน้าคลาร่าและลิเลียน่าอย่างครุ่นคิด ก่อนถอนหายใจ “ถ้าโดลอสทำแบบนี้กับพวกเรา แล้วก็เคยใช้เด็กบ้านอื่นในค่ายไปยุ่งกับคุณเอโลอิสมาก่อน มันหมายความว่ายังไง?”
“หมายความว่าเราอาจจะไม่ใช่คนแรก และแน่นอนว่าไม่ใช่คนสุดท้ายที่โดลอสพยายามปั่นหัว” คลาร่าตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ เรื่องราวอาจจะบานปลายมากกว่านี้ก็ได้ค่ะ” คลาร่าพูดต่อ สายตาเคร่งเครียด “ลองคิดดู ถ้าโดลอสเล็งใช้เดมิก็อดในค่ายไปสร้างความเดือดร้อนให้คุณเอโลอิส หรือแม้แต่คนอื่นๆ ที่เขาอยากเล่นงาน แล้วดันไปปั่นหัวเด็กที่กำลังต้องการการยอมรับจากพ่อแม่เทพเจ้าของตัวเอง คนพวกนั้นอาจจะทำเกินสิ่งที่ได้รับมอบหมายไปได้”
ลิเลียน่าเงียบฟัง ก่อนจะเสริม “แทนที่จะสร้างแค่ความอับอาย พวกเขาอาจจะทำเรื่องรุนแรงกว่านั้น เช่นการเผชิญหน้าหรือการทำร้าย”
“ถ้าเดาจากบทสนทนาที่เราอ่าน บางทีการจงใจทำแบบนี้ก็อาจจะอยู่ในแผนของโดลอสตั้งแต่แรก” คลาร่ากล่าว
คูเปอร์แทรกขึ้นมาทันที “สิ่งที่โดลอสทำ มันคือการสร้างความแตกแยกในค่าย ทำให้ค่ายอ่อนแอลงไม่ใช่เหรอ? แบบนี้จะดีหรอ ค่ายฮาล์ฟบลัดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องและพัฒนาความสามารถเดมิก็อดไม่ใช่หรือ?”
ลิเลียน่าถอนหายใจยาว “แต่แรกเดิมทีก็ไม่ใช่เทพทุกองค์จะให้ความสลักสำคัญกับค่ายฮาล์ฟบลัดหรอกค่ะ โดยเฉพาะในสมัยก่อน”
“หมายความว่าไง” คูเปอร์หันมองน้องสาว
ลิเลียน่าอธิบาย “เทพบางองค์มองค่ายฮาล์ฟบลัดเป็นแค่ที่พักสำหรับลูกๆ ที่พวกเขาไม่อยากรับผิดชอบเต็มตัว มันคือการโยนความรับผิดชอบให้ใครก็ไม่รู้ดูแลแทนพวกเขา”
“แล้วเราจะเอายังไงล่ะ” คูเปอร์ถามพร้อมถอนหายใจ “ปล่อยไปเฉยๆ แบบนี้หรือเปล่า เพราะถ้าฟังคลาร่าพูดก็มีโอกาสที่จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้จริงๆ”
คลาร่าพยักหน้า “พูดตามหลักแล้ว การเกิดความบาดหมางในค่ายไม่ว่าจะเกิดจากอะไร มันกระทบภาพรวมทั้งหมด และยิ่งถ้าคู่กรณีมาจากบ้านเฮเฟตัส บ้านหมายเลข 9 เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของค่าย ถ้าเกิดปัญหาขึ้นในค่ายจริง มันจะรุนแรงเป็นพิเศษ”
“บ้านเฮเฟตัสมีบทบาทสำคัญในเรื่องยุทธโธปกรณ์และเครื่องมือ ถ้าพวกเขาไม่ยอมช่วยเหลือหรือเกิดปัญหาภายในค่ายขึ้น ค่ายจะอ่อนแอลงมาก” ลิเลียน่ากล่าวเสริม
คูเปอร์นิ่งคิดก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะ วางมือบนเอกสารสำเนาบันทึกภารกิจ “ไหนๆ เราก็มีสำเนาบันทึกการเดินทางนี่อยู่แล้ว ทำไมเราไม่เอาไปถ่ายเอกสาร แล้วไปแปะไว้ที่บอร์ดข่าวสารล่ะ พร้อมแนบประกาศเตือนภัยว่าอาจมีคนแอบอ้างเป็นพ่อแม่เทพเจ้า เพื่อชักจูงให้ทำเรื่องบางอย่าง”
คลาร่ายิ้ม “เป็นความคิดที่ดี เดี๋ยวฉันกับลิเลียน่าจะช่วยกันแปลสำเนาเป็นภาษากรีกด้วย”
คูเปอร์พยักหน้า แต่ยังดูครุ่นคิด “แต่ว่าถ้าเราแปะประกาศเตือนภัยแบบนั้น มันจะช่วยได้มากแค่ไหนกันนะ”
ลิเลียน่าหัวเราะเบาๆ “พี่คะ หนูว่ามันจะมีการบอกเล่าปากต่อปากไปเรื่อยๆ เองค่ะ คนในค่ายชอบพูดกันอยู่แล้ว จนในที่สุดมันจะกระจายไปทั่วทั้งค่าย แต่…นี่ก็แค่ความคิดหนูนะคะ”
คลาร่าพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว เดี๋ยวพวกเราสองคนจะจัดการส่วนที่เหลือเอง พี่ไปพักผ่อนเถอะค่ะ เห็นได้ชัดว่าพี่ง่วงจะแย่แล้ว”
คูเปอร์หัวเราะแห้งๆ “รู้ด้วยเหรอ”
“ดูจากหน้าพี่ไม่ยากเลยค่ะ” ลิเลียน่าแซวพร้อมรอยยิ้ม
ชายหนุ่มพยักหน้า “งั้นฝากพวกเธอสองคนด้วยนะ” ก่อนจะเดินออกจากห้องสมุดกลับไปยังบ้านพักของตัวเอง หลังจากที่เขานอนไม่หลับมาทั้งคืน ในที่สุดเขาก็ได้เวลาพักเสียที… |