
วันที่ 23 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ณ คฤหาสน์ Nordlys Manor เมืองกรีนิช รัฐคอนเนทิคัต สหรัฐอเมริกา
◀️┃▶️
คฤหาสน์ Nordlys Manor เงียบราวสุสานที่ส่องแสงจากหินอ่อนสีขาวนวล บนเพดานสูงประดับโคมระย้าคริสตัลที่ห้อยตัวลงมาอย่างหรูหรา สะท้อนแสงไฟสลัวเป็นประกายวาบราวเกล็ดน้ำแข็งในคืนอาร์กติก เสียงรองเท้าหนังของคีอาร์กระทบพื้นหินอ่อนทีละก้าวดังแผ่วเบาแต่ชัดเจน ราวเสียงเวลาเดินช้าในห้องที่อากาศหยุดนิ่ง ความเย็นภายนอกไม่ได้เทียบเท่ากับความเยือกภายในห้องรับรองใหญ่แห่งนี้เลยสักนิด ร่างของเด็กสาวผมบลอนด์ทองแดงสตรอว์เบอร์รีก้าวเข้ามาในแสงโคมระย้า ใบหน้าซีดขาวมีรอยขีดเล็ก ๆ ของเลือดแห้งอยู่ตรงขมับ เสื้อเบลเซอร์ทวีดราคาแพงฉีกขาดเป็นแนวแหว่งตรงหัวไหล่ขวา รอยไหม้บาง ๆ จากกรงเล็บปีศาจยังเห็นได้ลาง ๆ เธอสูดลมหายใจเข้า กลืนความสั่นและดึงสีหน้ากลับให้สงบตามบทเรียนที่แม่พร่ำสอนมานับพันครั้ง อย่าเปิดเผยความโกลาหลภายในต่อสายตาผู้อื่น ไม่ว่ามันจะเผาไหม้เธอมากแค่ไหนก็ตาม
ตรงปลายห้อง เคานเตส เคียร์สเทน นั่งอยู่บนโซฟาผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม ตัวตรงสง่าดั่งรูปปั้น มือเรียวยกหนังสือปกหนังสีน้ำตาลเข้มขึ้นอ่านโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองลูกสาวที่ยืนหอบอยู่หน้าประตู เสียงไฟจากเตาผิงลั่นเปรี๊ยะ ๆ แผ่วเบาแต่กลับทำให้อุณหภูมิในห้องดูลดลงทุกขณะ “เธอรู้ใช่ไหม คีอาร์” น้ำเสียงของเคานเตสดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าแหลมคมพอจะเฉือนอากาศให้ขาด “ว่าเธอทำให้มื้อเย็นของฉันต้องเลื่อนออกไปสี่สิบห้านาที การจัดการเวลาเป็นคุณสมบัติแรกสุดของผู้มีเกียรติ”
คีอาร์ชะงักเล็กน้อย กลืนน้ำลายลงในลำคอที่แห้งผากก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แต่งไว้ดีจนแทบไม่สั่น “แม่คะ หนูขอโทษค่ะ... แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนทุกที หนูโดนโจมตีจริง ๆ ฟิวรี่มันบุกมาที่ห้องเรียน หนูต้องสู้สูดตัว ดูสิคะ—” เธอยกแขนขึ้นโชว์รอยฉีกขาดของผ้า ใบหน้าซื่อเต็มไปด้วยความพยายามสื่อสารอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่มนุษย์วัยสิบหกที่เพิ่งหนีสัตว์ปีศาจมาได้จะทำ
ปึ้ก! เสียงหนังสือปิดดังก้องสะท้อนผนังห้องราวเสียงประทับตราโทษ
เคานเตสเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีฟ้าอ่อนใสราวแก้วน้ำแข็งจับจ้องลูกสาวราวกับกำลังพิจารณาสิ่งของที่บกพร่อง “สิ่งเดียวที่ฉันเห็นคือ เสื้อผ้าทวีดราคาแพงหลายร้อยปอนด์ที่เสียรูปทรงที่เสียรูปทรงและความไร้เสถียรภาพทางอารมณ์ของเธอ เป็นแค่เด็กหญิงที่ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้” เธอพูดเรียบแต่เย็นชาจนเส้นเลือดในปลายนิ้วคีอาร์แข็งตึง “เลิกพูดเรื่องมอนสเตอร์กับการโจมตีไร้สาระนั่นเถอะ มันไม่มีอยู่จริงนอกจากในหัวของเธอ ความวุ่นวายเช่นนั้นรบกวนความสงบของบ้านเรา”
“แต่แม่คะ หนูไม่ได้—” คีอาร์พยายามอีกครั้ง เสียงของเธอเริ่มขาดห้วงแบบคนที่พยายามอธิบาย
“พอได้แล้ว คีอาร์!” เสียงเคานเตสกรีดดังขึ้นในอากาศก่อนจะกลับไปนิ่งเรียบอีกครั้ง “อย่าให้ความอ่อนแอของเธอมาทำลายความสง่างามของฉัน ฉันไม่อนุญาตให้เลือดบริสุทธิ์ของตระกูลโซล็อตล์ต้องแปดเปื้อนด้วยอาการทางประสาทของเด็กผู้หญิงที่หลงเพ้อเรื่องเทพเจ้าที่เธอเอาแต่เพ้อพกขึ้นมา” เคานเตสลุกขึ้นยืนจากโซฟาอย่างช้า ๆ ชุดกำมะหยี่เข้มสะท้อนแสงเทียนราวกับผิวหินอ่อนที่เยือกเย็นทุกกระเบียดนิ้ว ดวงตานิ่งดุจน้ำแข็งแหล่งขั้วโลกเหนือที่ไม่มีวันละลาย “และเธอสมควรได้รับบทลงโทษ…เป็นบทลงโทษสำหรับความล้มเหลวในการควบคุมตัวเองและทำลายทรัพย์สิน”
เธอเว้นวรรคเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังก้องจนคีอาร์ไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว “เธอจะถูกห้ามออกจากคฤหาสน์นี้เป็นเวลาสองสัปดาห์ และเพราะเธอชอบแตงโมกับความเย็นมากนัก ฉันจะสั่งให้คนใช้เอาแตงโมและเมล่อนทั้งหมดออกจากมื้ออาหารของเธอเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และเปิดฮีตเตอร์ในห้องเธอไว้ที่ยี่สิบแปดองศาเสมอ... จนกว่าเธอจะกลับมามีตรรกะ” คำว่าตรรกะหลุดจากริมฝีปากของเคานเตสราวค้อนเหล็กฟาดลงบนพื้นน้ำแข็ง ดวงตาของคีอาร์สั่นวูบไหว ก่อนเธอจะรีบก้มศีรษะลงต่ำจนเส้นผมทิ้งตัวปิดแก้มขาวซีดของเธอไว้หมด มือเล็กกำแน่นแนบลำตัว ความร้อนที่คืบคลานเข้าสู่ร่างเป็นเพียงภาพลวงตาความรู้สึกแท้จริงในใจเธอกลับเย็นเฉียบจนแทบชาจนถึงไขกระดูก
“ค่ะ แม่...” เสียงของคีอาร์เบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ไปที่ห้องเธอ และเริ่มคัดลอก De Portamento Nobilitatis เป็นภาษาละตินหนึ่งร้อยจบ ก่อนเช้าวันจันทร์” เคานเตสพูดโดยไม่หันกลับมา ก่อนจะนั่งลงอย่างเชื่องช้าราวกับไม่เคยมีการสนทนาใดเกิดขึ้น
คีอาร์โค้งศีรษะอีกครั้งและหมุนตัวกลับ ก้าวเท้าออกไปช้า ๆ แต่มั่นคงไปยังบันไดใหญ่ ผมยาวสีทองแดงส่องแสงสะท้อนในแสงโคมระย้าเหมือนเปลวไฟสุดท้ายของเทียนที่กำลังจะดับ ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงลมหายใจเรียบเย็นและดวงตาสีเทาอมเขียวที่กลายเป็นกระจกเงาแห่งความเงียบ ดวงตาของเด็กสาวที่เพิ่งเรียนรู้ว่าความรักจากแม่ อาจเป็นสิ่งที่ต้องใช้ตรรกะมากกว่าอารมณ์ในการทำความเข้าใจ
ทว่ากลับมีบางอย่างที่ผิดปกติหลังจากนั้น...สัปดาห์ต่อมา
ภายในห้องรับรองหรูหราของ Nordlys Manor อุณหภูมิแทบไม่ต่างจากหลุมศพที่ห่อหุ้มด้วยหิมะ เงาแสงจากโคมระย้าคริสตัลสะท้อนวับบนผนังหินอ่อน สีเทาเงินของมันราวกับสะท้อนแสงจากขั้วโลกเหนือ สวยงามแต่เย็นเฉียบ แอนนาเบ็ธ เชส ในชุดสูทสีเทาอ่อนยืนตรงกลางห้องอย่างมั่นคง แววตาใต้ผมทองนั้นนิ่งสงบแต่คมเฉียบเหมือนใบมีด มีเพียงเสียงนาฬิกาโบราณที่เดินช้า ติ๊ก... ติ๊ก... ติ๊ก เหมือนจังหวะนับถอยหลัง เคานเตสเคียร์สเทน นั่งอย่างสง่างามบนเก้าอี้หลุยส์ เธอจิบชาจากถ้วยกระเบื้องเคลือบราคาแพง โดยมีสายตาที่ว่างเปล่าและเต็มไปด้วยการประเมินค่า
"คุณแอนนาเบ็ธ..." เคานเตสเริ่ม น้ำเสียงเย็นเยียบ "การที่สถาปนิคชื่อดังต้องมาเยือนกรีนิชด้วยตัวเองเพื่อเรื่องส่วนตัวของลูกสาวฉัน... ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ ฉันหวังว่านี่จะไม่ใช่เรื่องไร้สาระ"
แอนนาเบ็ธยิ้มบาง ๆ รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา "ตรงกันข้ามค่ะ มาดาม" เธอใช้คำเรียกอย่างเป็นทางการเพื่อเอาใจ "นี่คือเรื่องของ ศักยภาพอันยิ่งใหญ่" แอนนาเบ็ธโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย โดยไม่เสียความสง่างาม เธอไม่สนใจที่จะอธิบายเรื่องมอนสเตอร์ แต่เลือกที่จะโจมตีที่ปมของเคานเตส "ก่อนอื่น ฉันต้องชื่นชม Nordlys Manor และรสนิยมของคุณ สถาปัตยกรรมฟลอเรนไทน์ รีไววัลที่คุณเลือกใช้ แสดงถึงความเคารพต่อความยิ่งใหญ่ของยุคเรอเนซองส์ได้อย่างหาที่เปรียบไม่ได้" สีหน้าของเคานเตสผ่อนคลายลงเล็กน้อย การชมเชยสถาปัตยกรรมทำให้เธอพอใจ "ขอบคุณ" เคานเตสตอบสั้น ๆ
"แต่มาดามคะ" แอนนาเบ็ธสานต่อทันที "คุณได้สร้างงานสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขึ้นมาแล้ว นั่นคือบุตรสาวของคุณ" เคานเตสเงยหน้าขึ้น จ้องมองแอนนาเบ็ธอย่างจริงจังเมื่ออีกฝ่ายบ่งบอกว่าเธอนั้นเป็นผู้สร้างสิ่งยิ่งใหญ่ "ความสมบูรณ์แบบทางมารยาทและการศึกษาที่เธอแสดงออกมา เป็นเครื่องยืนยันถึงความทุ่มเทของคุณ แต่เราทราบมาว่าความอัจฉริยะในระดับนั้น ก็มาพร้อมกับความท้าทายทางจิตวิทยา" แอนนาเบ็ธพูดถึงอาการเครียดสะสมที่ตัวของเคานเตสเชื่อ เธอเอ่ยประโยคจบอย่างไร้ที่ติ คำพูดลื่นไหลดั่งกลไกของตรรกะที่ผ่านการคำนวณมาแล้วหลายชั้น น้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่นจนกระทั่งเคานเตส เคียร์สเทน เริ่มลดท่าทีแข็งกร้าวลงเล็กน้อย
คำพูดยังไม่ทันจบ ราวกับแรงสั่นสะเทือนจากเบื้องล่างกรอบรูปบนผนังสั่นสะเทือนและโคมคริสตัลส่ายไหวอย่างแรง เสียงแก้วแตกรัวเหมือนสายฝน ก่อนที่กระจกบานใหญ่ด้านหลังจะ ระเบิดแตกละเอียดเป็นหมื่นเสี้ยว แสงจันทร์เยือกแข็งไหลทะลักเข้ามาในห้องพร้อมกับลมหนาวจัดจนผ้าม่านฟาดกันดัง ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
แอนนาเบ็ธหันขวับ มือคว้าโลหะสีทองจากกระเป๋าข้างเอวมีดสัมฤทธิ์เปล่งประกายเมื่อสัมผัสลมหนาว เสียงแผดร้องที่ไม่ใช่เสียงมนุษย์ดังขึ้น สูง ยาว และชวนให้เส้นเลือดแข็งตัว จากเงานอกหน้าต่าง มันก้าวเข้ามาเป็นสัตว์ร้ายขนาดมหึมา ลำตัวคล้ายงูประหลาดมีขา ผิวหนังเปลี่ยนสีไปตามแสงเหมือนปรอทผสมเลือด ตาแปดดวงเรืองแสงแปรผัน ทันทีที่เห็นแอนนาเบ็ธรู้ได้ทันทีว่าตรงนี้มันคือสถานะการณ์ที่อันตรายที่สุด “นี่ไม่ใช่การโจมตีทางประสาทแล้ว เคานเตส! คุณต้องรีบพาคีอาร์ออกไปเดี๋ยวนี้!!”
แต่เคานเตสยังคงนั่งนิ่ง ถ้วยชาที่อยู่ในมือแตกแล้วโดยไม่รู้ตัว น้ำร้อนรินลงบนผ้ากำมะหยี่ แต่เธอไม่ขยับแม้แต่น้อยริมฝีปากเม้มแน่น เธอไม่ได้กลัวความตายเท่ากับการสูญเสียความสง่างาม เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งใส่แอนนาเบ็ธและปีศาจนั้น “พอเถอะ หยุดสร้างละครไร้สาระ!” เธอแผดเสียงออกมา “ฉันบอกแล้ว ไม่มีปีศาจอะไรทั้งนั้นเธอเป็นเพียงเด็กบ้าโรคประสาท! ออกไปจากบ้านฉัน! นี่คือการล่วงละเมิดพื้นที่ส่วนตัว! ฉันบอกแล้วว่าไม่มีอะไรที่เรียกว่ามอนสเตอร์! มันเป็นเพียงอาการประสาทของยัยเด็กคนนั้น”
คีอาร์ที่ยืนอยู่หลังเสา หายใจติดขัด มือขาวซีดสั่นเล็กน้อย เธอพยายามคุมสติลมหายใจกลายเป็นหมอกน้ำแข็ง แต่มันยังไม่พอขาที่สั่นจนแทบทรุดเธอกลับเลือกที่จะหันกลับไป เพราะหากแม่เป็นอะไรมันหมายถึงสเถียรภาพของเธอก็จะหายไปด้วย “แม่... แม่ฟังหนูก่อน...” น้ำเสียงสั่นแต่ยังพยายามให้สุภาพตามระเบียบที่ถูกฝังในเลือด แต่ไม่ทันจบประโยค เสียงคำรามดังสะเทือน ปีศาจนั้นมุ่งตรงกรงเล็บสีเทาเงินขนาดใหญ่แหวกอากาศด้วยเสียงหวีดร้อง
เคานเตสยืนขึ้น จับพนักเก้าอี้หลุยส์แน่น เธอก้าวมาข้างหน้าโดยสัญชาตญาณยืนขวางทางอย่างไม่คาดคิด ไม่ใช่เพื่อปกป้องลูกแต่เพื่อกันมันออกจากเฟอร์นิเจอร์และงานศิลป์ของเธอ เสียงคำรามสุดท้ายของสัตว์ร้ายฟาดลง โลหิตพุ่งกระเซ็น ร่างของเคานเตสกระเด็นชนเปียโนสีดำสนิท เสียงคีย์เปียโนแตกพร่าดังขึ้นคล้ายเสียงร้องสุดท้ายของบ้านหลังนี้
แอนนาเบ็ธเหวี่ยงมีดอย่างแม่นยำ คมมีดเฉือนผิวของสัตว์ร้ายจนประกายแสงเงินแตกกระจาย กลิ่นเหล็กร้อนและเลือดของมอนสเตอร์แตะจมูก เธอถอยไปทางคีอาร์ คว้ามือเด็กสาวแน่น คีอาร์ไม่ร้องไห้ ไม่แม้แต่จะกรีดเสียง เธอยืนมองเลือดของมารดาที่หยดบนพื้นหินอ่อน แสงไฟสะท้อนกลายเป็นสีชมพูอ่อน ดวงตาเทาอมเขียวของเธอว่างเปล่า ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเศร้า มีเพียงการรับรู้ที่เย็นชาและจริงจังเกินกว่าความเป็นมนุษย์ ความจริงแทรกซึมในหัวของเธอมันทำให้เธอต้องคิด คีอาร์ยืนมองการตายของมารดาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน มันไม่ใช่ความเศร้าโศก แต่เป็นความว่างเปล่าและการตระหนักรู้ทางตรรกะที่น่ากลัว ว่า 'ตอนนี้เธอไร้ที่พึ่งอย่างสมบูรณ์แล้ว'
แอนนาเบ็ธใช้หมวกแยงกี้ส์พรางตัวพุ่งเข้าผลักคีอาร์ให้พ้นรัศมีการโจมตี จากนั้นเธอก็กรีดมีดสั้นเข้าที่ลำตัวของสัตว์ร้ายอย่างแม่นยำอีกครั้ง เพื่อให้มันแน่นิ่ง "คีอาร์!" แอนนาเบ็ธตะโกน "แม่ของคุณจากไปแล้ว! เราต้องไปเดี๋ยวนี้! ฉันถูกส่งมาเพื่อรับเธอโดยตรง และเงินสำหรับการเดินทางของเธอถูกจ่ายแล้ว ไม่ใช่โดยแม่ของคุณแต่โดยพ่อของเธอ! พ่อของเธอเขารู้ทุกอย่าง เขาส่งฉันมา เขาจ่ายทุกอย่างเพื่อให้เธอปลอดภัย"
ชื่อที่หลุดจากปากแอนนาเบ็ธเหมือนแรงกระแทกจากภายใน คำว่า ‘พ่อ’ สะท้อนในหัวคีอาร์ เสียงของแม่ที่เคยสาปแช่งชื่อชายคนนั้นยังดังในหู แต่ตรรกะของเธอทำงานในเสี้ยววินาที ชายที่แม่เกลียดคือคนที่จ่ายเงินให้เธอรอดชีวิต มันสมเหตุสมผลดี ในโลกที่ไม่มีความรักมีแต่ผลลัพธ์แห่งความสัมพันธ์ “เข้าใจแล้วค่ะ” เธอตอบเรียบ ๆ เสียงเย็นพอ ๆ กับลมหายใจ ไม่มีช่วงเวลาให้เก็บร่างไร้วิญญาณของเคานเตสเคียร์สเทน สาวใช้เป็นคนจัดการทั้งหมดเพราะเขาคือคนที่เทพบอเรอัสส่งมา ความโหดร้ายของสตรีที่เคยมีความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวจบสิ้นลงกับความตายที่ไม่หวนกลับ คีอาร์ถูกพาตัวออกไปสู่ค่ายฮาล์ฟบลัด พร้อมกับความจริงอันเย็นชาว่าชีวิตของเธอถูกซื้อด้วยเงินของคนที่แม่เธอรังเกียจ และความรักความผูกพันก็ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์
[NPC-11] แอนนาเบ็ธ เชส
พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5