
วันที่ 19 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ด่านเก็บค่าผ่านทางสะพานเบย์ ปฐมพยาบาลจำลองและการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บจากอุบัติรถชน
คมลมจากอ่าวพัดเอากลิ่นเกลือจาง ๆ มาปะทะเกราะและสายหนังจนเย็นเสียดผิว ขบวนของกองร้อยที่ 2 เคลื่อนจากเขตสถานี BART ออกสู่เมืองเปิดโล่ง มุ่งหน้าไปยังด่านเก็บค่าผ่านทางสะพานเบย์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งโอ๊คแลนด์เหมือนซี่ฟันเหล็กเรียงรายคุมประตูสู่ซานฟรานซิสโก ระยะทาง 10.0 กิโลเมตร ต้องปิดงานให้ได้ภายใน 2 ชั่วโมง ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีหยุดพักนอกคำสั่ง พื้นผิวทางคอนกรีตถูกราดยาวเป็นริ้วเลนแยกด้วยแท่งแบริเออร์ เสาไฟฟ้าเหล็กทาสีซีดเรียงรายเหมือนทหารเฝ้าด่าน บางช่วงมีรอยแตกร้าวและก้อนกรวดที่ถ้าพลาดเพียงนิดเดียวก็พอจะทำให้ข้อเท้าบิดเสียจังหวะทั้งหน่วยได้ โมดูลด่านเก็บเงินถูกตั้งคู่อุโมงค์แคบ ๆ ให้ต้องลอดช่องทาง หัวคานต่ำจนโล่สคูทุมเฉียดผ่านเป็นเสี้ยวคืบ ทุกอย่างออกแบบมาเพื่อบังคับระเบียบและวัดวินัย
เฟเบียส รูฟัส ยังคงอยู่ในกิ่งไม้ที่เหน็บข้างเอวของโมนีก้า “จังหวะที่สาม ยืดช่วงก้าวให้คงที่ รักษาระยะครึ่งช่วงแขน!” เสียงเขาก้องลอยเหนือเสียงลม กองร้อยเดินทัพกัดฟันบังคับจังหวะ เหงื่อซึมผ่านเสื้อซับเกราะจนหนักและชื้น กล้ามเนื้อหลังและบ่าของทุกคนเผาไหม้อย่างเงียบ ๆ จาก สัมภาระเต็มรูปแบบ ที่ถูกรัดเพิ่มมาตั้งแต่ก่อนขึ้น BART แต่เมื่อเลขเวลาเดินบนครองเส้นหนึ่งชั่วโมง เหลือ อีกหนึ่งชั่วโมง เสียงคำสั่งใหม่ก็ตัดอากาศ
“หยุด!” เฟเบียสสั่ง ขบวนชะงักกลางคอขวดช่องทางแคบที่ล้อมด้วยเสาคอนกรีตและเหล็กเส้นจำลองยื่นงอเหมือนเถาวัลย์โลหะ
ทันทีตอนนั้นเสียง “อั่ก!” สองครั้งดังแทบพร้อมกัน ทหารฝึกสองนายที่รับบทภาวะฉุกเฉิน ล้มลงข้างซากคอนกรีตเป็นการโดนรสชน...เนียนซะไม่มี(ประชด) นายหนึ่งกุมต้นขาเลือดจำลองซึมผ้ากางเกงจนแดงฉาน อีกนายโอบไหล่ซ้ายแสดงอาการไหล่เคลื่อนและเจ็บจนยกแขนไม่ได้ เฟเบียสประกาศหนักแน่น “สถานการณ์บาดเจ็บ! ปฐมพยาบาลและเคลื่อนย้าย ภารกิจต้องดำเนินต่อ!” ทุกอย่างเกิดขึ้นแทบพร้อมกัน โมนีก้าที่อยู่หัวแถวลดย่อตัว เข้าถึงพื้นที่ก่อนใคร เธอไม่แตะตัวผู้บาดเจ็บทันทีแต่สแกนสภาพแวดล้อม ก่อนใช้เข็มทิศจำลองชี้จุดเศษเหล็กแหลมด้านขวา, แผ่นคอนกรีตร้าวที่อาจยุบ, และช่องว่างแคบที่เหมาะทำเลนปลอดภัยให้ทีม “พื้นที่ปลอด! เปิดช่องซ้ายหนึ่งเมตร!” เธอสั่งสั้น ๆ มืออีกข้างชูสัญญาณให้ถอยโล่ออกจากแนวเสี่ยง
ทหารหมายเลขสอง มือชุดแพทย์ก็เปิดสัมภาระ รูดซิปถุงปฐมพยาบาลขนาดเล็ก หยิบผ้าพันแผลแบบกดห้ามเลือดและผ้ายืด เธอย้ายเข็มขัดดาบของตนให้คล้องสูงขึ้นเพื่อไม่เกะกะมือ จากนั้น กดตรงเหนือแผล ที่ต้นขาผู้บาดเจ็บตำแหน่งเหนือจุดเลือดไหล ก่อนพันรัดเป็นชั้น กดซ้ำด้วยแผ่นอัดลงแรง โมนีก้าก้ม ตรวจดูผิวหนัง ปลายเท้า สีผิว ของผู้บาดเจ็บ ประเมินการไหลเวียนจำลองตามบทฝึก “พันแน่นได้ แต่ต้องยังรู้สึกเต้นชีพจรปลายเท้า” เธอเอ่ยเสียงนิ่ง “ดีคงที่!”
อีกฝั่งผู้บาดเจ็บไหล่ซ้าย เพื่อนร่วมหน่วยเปิดชุดสลิงพยุงแขนจากผ้าพันสามเหลี่ยม พาดใต้ข้อมือขึ้นผูกท้ายทอย เสริมด้วยผ้าพันรอบอกเพื่อยึดต้นแขนตรึงกับลำตัว ลดแรงกระเทือน แววตาโมนีก้ากวาดดวงตาไหล่ห้อย, ตำแหน่งกระดูก, อาการชา เธอสรุปทันที “ตรึงเพิ่ม อย่าให้แบกน้ำหนักแขนซ้ายเลยแม้แต่นิดเดียว” ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงห้านาที แต่ทุกวินาทีคือการสอบ มือของทุกคนสั่นจากความล้า ไม่ใช่จากความกลัว
“รูปขบวนเคลื่อนย้าย!” โมนีก้าสลักคำสั่งใหม่ทันที
เธอคลี่ผ้าห่มฉุกเฉินจากสัมภาระ ผืนผ้าสะท้อนความร้อนสีเงินพับซ้อนเป็นสาม ทบเชือกสนามสองเส้น ม้วนเป็นขอบ สอดใต้กับคานโล่สคูทุมสองผืน กลายเป็นเปลสนามเฉพาะกิจน้ำหนักเบาแต่กระจายน้ำหนักได้ดี เธอเข้าที่จับหัวเปล ส่วนเพื่อนอีกคนจับท้าย ทหารคนที่สาม แบกหามผู้บาดเจ็บไหล่ด้วยเทคนิค fireman’s carry แบบลดแรง ควงลงบ่าแต่ล็อกกะดูกสันหลังให้ตรง ใช้มืออีกข้างยึดหน้าขาเพื่อป้องกันแกว่ง
เฟเบียสไม่ให้ช่องว่างแม้ลมหายใจ “เดินหน้า! จังหวะที่สาม! รักษาระยะห่าง! ผู้บาดเจ็บห้ามตก!” ขบวนเคลื่อนหนักขึ้นกว่าสองเท่า สำหรับสองตำแหน่งนำ เปลสนามสั่นเล็กน้อยตามจังหวะก้าว โมนีก้าคุมด้วยไหล่และข้อมือย่อต่ำ, แกว่งแขนสั้น, ปรับฝีเท้าให้นุ่มเพื่อไม่ให้แรงกระแทกวิ่งเข้าตัวผู้บาดเจ็บ ทุกก้าวเหมือนตะกุยโคลนหนืด ทั้งที่เป็นคอนกรีตเพราะน้ำหนักและลมสวนจากอ่าวที่ผลักแนวหน้าตลอดเวลา
หนึ่งกิโล… สองกิโล… เสาไฟสลับแบริเออร์เหมือนกรอบภาพเดิมวนซ้ำ เสียงหายใจ “ฮึ่ม ฮึ่ม” กลืนกับเสียงโล่ขัดกัน “ครืด” และ เสียงนับจังหวะที่โมนีก้าเปล่งให้ทีมฟังเบา ๆ เพื่อหลอมก้าวให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว “ซ้ายขวา… ซ้ายขวา…” เธอคุมลมหายใจ เข้า 2, ออก 2 เพื่อให้คนแบกผู้บาดเจ็บไหล่ตามทันโดยไม่กระชากจังหวะ
ด่านจำลองโปรยซากคอนกรีตเตี้ย ๆ เป็นช่วง ๆ บังคับให้ยกระดับปลายเท้า โมนีก้าใช้ส้นเท้ารับแล้วถ่ายน้ำหนักไปกลางเท้ากันข้อเท้าพลิก ขณะผ่านซอกเหล็กงอ เธอสั่งสั้น ๆ “เอียงโล่เข้ากันเสี้ยวแรงลม!” บอกเพื่อลดแรงปะทะให้คนท้ายที่กำลังรับบาดเจ็บบนบ่า เวลาบนนาฬิกาดิจิทัลจำลองไหลเร็วอย่างโหดร้าย 1:20:00… 1:35:00… 1:45:00 กล้ามเนื้อแขนของโมนีก้าเริ่มชา เส้นเอ็นข้อศอกตึงถึงหัวไหล่ แต่ดวงตาสีเทาเงินยังเย็นนิ่ง เธอแค่ขยับคางเล็กน้อยส่งสัญญาณสลับมือซ้ายนำเพื่อลดล้าจุดเดิมโดยไม่หยุดก้าว
เมื่อเดินทางถึงช่องด่านโมนีก้าก็ชัดขึ้นข้างหน้า เสากั้นเลนตั้งเรียงเหมือนซี่หอก โมนีก้าเช็คอีกครั้ง “ผู้บาดเจ็บคงที่” เสียงเธอบอกตอบ “คงที่!” ทุกคนก็ตอบเหมือนกันดังพร้อมกัน เมื่อเดินทางผ่านใต้คานสุดท้าย เสียงลมแรงเปิดเป็นผืนกว้าง เห็นเส้นขอบฟ้าซานฟรานซิสโกลาง ๆ หลังโครงสะพาน
“หยุด!” เสียงคุณไคลน์สาดลงมาจากกิ่งไม้
ขบวนหยุดนิ่งพร้อมกันแบบเสี้ยววินาที โล่ลงพื้น ครืน เดียว กลิ่นเหล็กร้อนกับเกลือทะเลคลุ้งขึ้น โมนีก้าค่อย ๆ วางเปลสนามลงอย่างนุ่มที่สุดเท่าที่ไหล่อ่อนล้าคู่นี้จะทำได้ ผู้บาดเจ็บทั้งสองปลอดภัย ผ้าพันแผลยังแน่นดี สลิงไหล่ตรึงอยู่ตำแหน่งเดิม ไม่มีการตกหล่นไม่มีการเซทับขบวนหลัง เธอพิงสันโล่กับต้นขา หอบลมยาวหนึ่งครั้งเหมือนยืมอากาศทั้งอ่าวมาแบ่งปอด ดวงตาสีเทาเงินหรี่ลง เหงื่อไหลผ่านแนวคางหยดลงพื้นเป็นจุดเข้ม ๆ บนคอนกรีต
เฟเบียสที่เป็นกิ่งไม้อยู่นั้นเขาเอ่ยสั้นและคมใส่ทุกคน “ผู้บาดเจ็บปลอดภัย การเคลื่อนย้ายเป็นระเบียบ วินัยชัดเจน ดีมาก!!” หยุดหนึ่งจังหวะ ก่อนเพิ่มแรงกดเล็กน้อยในน้ำเสียง “จำไว้ความเห็นอกเห็นใจโดยไม่มีวินัยคือความหุนหัน วินัยโดยไร้ความเห็นใจคือความว่างเปล่า เลกิโอนารีต้องมีทั้งสอง” โมนีก้าพยักหน้ารับเล็กน้อย ส่งให้เพื่อนร่วมหน่วยทั้งสี่คนพยักหน้าตอบ ไม่มีคำพูด มีแต่แววตาที่บอกว่า เรา แบกผ่านมันมาด้วยกันจริง ๆ เสียงคลื่นลมจากอ่าวพาดผ่านด่านเหมือนฉากปิดลำดับหนึ่งเท่านั้น เพราะทุกคนรู้ดีว่าการเดินทัพยังไม่จบ เส้นทางต่อไปยังรออยู่ข้างหน้า และตราบใดที่ยังมีคำสั่งจากลาร์เรสสุดโหด ก็ยังไม่จบตรงนั้นแหละ

รางวัล: พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5 [Lares-02] เฟเบียส รูฟัส