
วันที่ 19 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเช้า เวลา 09.44 - 10.44 เป็นต้นไป ณ สถานีรถไฟฟ้า BART ซานฟรานซิสโก เปลี่ยนจังหวะการเดินทัพตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
เสียงฝีเท้าของกองร้อยที่ 2 ดังสะท้อนเป็นจังหวะคงที่ท่ามกลางอากาศเย็นของช่วงสาย พวกเขาเพิ่งผ่านทางลาดชันของ CA-24 ที่แสนโหดมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ขณะนี้ทั้งหน่วยกำลังเดินเรียงหนึ่งเข้าสู่เขตเมืองของโลกภายนอก สถานีรถไฟฟ้า BART ของเขตเบย์แอเรีย ที่ถูกปรับใช้เป็นสนามทดสอบใหม่ของค่ายจูปิเตอร์ เสียงโลหะและหนังรัดของสัมภาระกระทบกันเบา ๆ ทุกครั้งที่พวกเขาเคลื่อนไหว กลายเป็นทำนองเดียวกับเสียงแผ่วของสายลมใต้โครงสร้างคอนกรีต
ภาพเบื้องหน้าคือเสาโครงสร้างขนาดยักษ์เรียงรายขนานไปตามแนวเพดานสูง ผิวพื้นเรียบเย็นจนสะท้อนเงาแสงไฟนีออนสีขาวซีด พื้นคอนกรีตบางช่วงถูกแต่งให้เรียบลื่น ขณะที่บางส่วนกลับแตกร้าวจนเห็นเหล็กเส้นผุพังซ่อนอยู่ด้านใน บันไดเลื่อนสองฝั่งที่เคยขนผู้โดยสารนับหมื่นขึ้นลงถูกปิดตายด้วยแผ่นโลหะ ข้างบันไดเต็มไปด้วยฝุ่นและเศษกระจกเก่า ๆ ที่สะท้อนเงาเหล่าทหารเหมือนภาพซ้อนของอดีตนี้ค่ายจูปิเตอร์มันเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยหรอวะเนี้ย…สุดยอด
“ต่อไปคือบททดสอบการปรับตัวต่อจังหวะ” เสียงของ เฟเบียส รูฟัส ดังขึ้นข้างหูโมนีก้า ร่างองลาเรสยังคงอยู่ในกิ่งไม้ที่เหน็บไว้ข้างเอวของเธอ “ในสถานการณ์ยุทธวิธีจริง คำสั่งเปลี่ยนได้ทุกวินาที พวกเจ้าต้องเปลี่ยนจังหวะการเดินทัพได้อย่างรวดเร็วและพร้อมเพรียง” โมนีก้าพยักหน้าช้า ๆ ขณะกระชับสายรัดสัมภาระให้แน่นขึ้น การเพิ่มน้ำหนักจำลองเล็กน้อยที่เพิ่งได้รับทำให้สัมภาระบนหลังของเธอรู้สึกเหมือนก้อนหินร้อยก้อนถ่วงอยู่บนกระดูกสันหลัง แต่เธอไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย เพราะเข้าใจดีว่าทุกครั้งที่ลาร์เรสพูดว่าเล็กน้อยมันไม่เคยหมายถึงน้ำหนักที่คนทั่วไปจะรับไหว
“แถวตอนเรียงหนึ่ง! เดินปกติ! (Pace Normalis!)” เสียงสั่งเริ่มต้นดังขึ้นพร้อมเสียงตะโกนยืนยันจากกิ่งไม้พูดได้
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นคอนกรีตดังก้องเป็นระเบียบ ตึก... ตึก... ตึก... โมนีก้าก้าวนำอยู่หัวแถว ใช้ช่วงเวลาเริ่มต้นนี้ควบคุมการหายใจของตนเองให้สม่ำเสมอ พยายามปล่อยให้ร่างกายได้ฟื้นตัวจากความล้าในส่วนที่ยังเหลือ การเดินในจังหวะปกติให้คงรูปแถวได้ตลอดหนึ่งชั่วโมงนั้นยากกว่าที่คิด เพราะทุกคนเริ่มมีจังหวะการหายใจที่ต่างกันตามความอ่อนแรงของร่างกาย อากาศใต้ดินชื้นและเย็นจัด เมื่อพวกเขาเดินเข้าสู่ทางเดินใต้ดินที่เลียนแบบ Transbay Tube ของระบบจริง เสียงหายใจเริ่มดังแข่งกับเสียงรองเท้าเหล็ก
“เดินเร็ว! (Pace Celer!)” เฟเบียสสั่งอย่างเฉียบขาด
ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง ทั้งกองร้อยขยับพร้อมกันโดยอัตโนมัติ จังหวะการก้าวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แขนของพวกเขาเหวี่ยงไปมาหนักขึ้นเพื่อสร้างแรงส่ง โมเมนตัมของการเดินเร็วนี้ไม่ใช่การเร่งรีบ แต่เป็นการทดสอบการควบคุมความเร็วให้คงเส้นคงวา โมนีก้ากัดฟันแน่น ดวงตาสีเทาเงินจับจ้องไปยังแนวเสาเบื้องหน้า เธอไม่มองพื้น เพราะรู้ว่าทุกการเหลือบตาจะทำให้เสียจังหวะเพียงเสี้ยววินาทีและในสนามนี้ เสี้ยววินาทีก็ถือเป็นข้อผิดพลาด
ลมหายใจเริ่มหนักขึ้นเมื่อผ่านไปสิบนาที เสียงกระทบของสัมภาระด้านหลังสั่นสะเทือนเข้ามาที่หัวไหล่ของเธอ แต่ก่อนที่ความเหนื่อยจะมีโอกาสสะสม เสียงของเฟเบียสก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เดินเร่งด่วน! (Pace Maximus!)” คำสั่งที่ฟังเหมือนง่ายแต่ทุกคนในหน่วยรู้ดีว่านั่นหมายถึงการลงโทษทางร่างกายที่แท้จริง เสียงรองเท้าทั้งแถวดังสนั่น พื้นคอนกรีตสะเทือนเล็กน้อยเมื่อทุกคนเริ่มก้าวในจังหวะที่ยาวและเร็วที่สุดเท่าที่มนุษย์สามารถทำได้โดยไม่แตกแถว แขนเหวี่ยงสุดแรง ขาเหยียดจนกล้ามเนื้อหลังต้นขาแทบฉีก เสียงหอบเริ่มกลืนกันเป็นเสียงเดียว
“ทหารคนที่ห้า! อย่าลากเท้า! การลากเท้าคือการทรยศต่อจังหวะของเพื่อน!” เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่วอุโมงค์ราวกับฟ้าผ่ากลางเหล็ก โมนีก้ากลั้นหายใจชั่วครู่ก่อนจะปรับแรงก้าวของตนเองให้มั่นคงขึ้น เธอรู้ดีว่าคำดุด่านั้นไม่ใช่เพียงต่อคนเดียว แต่คือคำเตือนสำหรับทั้งหน่วยให้ไม่หลุดออกจากจังหวะชีวิตเดียวกัน เหงื่อไหลซึมผ่านขอบหมวกเกราะเข้าตา เธอพยายามไม่ยกมือขึ้นเช็ดเพราะจะทำให้เสียสมดุล โล่บนแขนซ้ายหนักขึ้นทุกวินาที จนเธอรู้สึกเหมือนร่างกายจะดับวูบ แต่แล้วเสียงของเฟเบียสก็ดังอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่คำดุ หากแต่เป็นคำสั่งที่ทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแทบช็อก
“เดินปกติ!”
เพียงเสี้ยววินาทีหลังคำสั่ง ร่างกายของทุกคนต้องเปลี่ยนจากก้าวยาวเร็วที่สุดมาสู่จังหวะสั้นและช้าทันที โมนีก้ารู้สึกว่ากล้ามเนื้อขาตึงจนแทบระเบิด เธอต้องลดการเหวี่ยงแขนทันควัน ปรับการหายใจให้ลึกขึ้นเพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจโดยไม่เสียการทรงตัว เสียงหอบของเพื่อนร่วมหน่วยกลายเป็นเสียงเดียวกันที่สะท้อนในอุโมงค์ราวกับลมหายใจของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา
ภารกิจดำเนินต่ออีกเกือบหนึ่งชั่วโมง เดินเร็วสามนาที, ปกติหนึ่งนาที, เร่งด่วนห้านาที, แล้ววนกลับซ้ำเหมือนเครื่องจักรสงครามที่ไม่รู้จักคำว่าพัก ไม่มีใครพูด ไม่มีเสียงบ่น มีเพียงเสียงฝีเท้าที่หลอมรวมเป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจของทุกคนในกองร้อย เมื่อครบหนึ่งชั่วโมงพอดี เสียงของ คุณไคลน์ ดังขึ้นแทนเฟเบียส “หยุด!”
ฝีเท้าทั้งหมดหยุดพร้อมกันในชั่วพริบตา ความเงียบกลับมาเยือนอีกครั้ง โมนีก้าทรุดตัวนั่งพิงกำแพงคอนกรีต โล่สคูทุมของเธอวางข้างตัว เสียงโลหะสัมผัสพื้นเบา ๆ ดังก้องในอุโมงค์ที่เงียบงันเกินจริง เธอหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม เหงื่อไหลเข้าร่องนิ้วมือที่ถือโล่แน่นจนสั่น “วินัยของพวกเจ้า... เป็นที่น่าพอใจ” เขาหยุดหนึ่งจังหวะก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงเข้ม “แต่การปรับตัวยังต้องฝึกฝนอีกมาก ในสนามจริง คำสั่งไม่รอใคร แม้แต่คนที่หอบอยู่ข้างกำแพง”
โมนีก้ายิ้มเหนื่อย ๆ ดวงตาสีเทาเงินยังคงส่องประกายท่ามกลางเหงื่อและฝุ่น “เข้าใจแล้วค่ะ... ลาร์เรสเฟเบียส…” ถึงจะเหมือนอยากจะบ่นแต่สุดท้ายก็สอบต่อวนไป

รางวัล: พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5 [Lares-02] เฟเบียส รูฟัส