
วันที่ 04 เดือน ตุลาคม ปี 2025 ช่วงเช้ามืด เวลา 04.00 - 05.00 น. ณ ย่ายทราสเตเวร่ กรุงโรม อิตาลี ยุโรป
ถนนก้อนกรวดอิฐเก่าของทราสเตเวเร่ยังชื้นไอแม่น้ำ ลมหอบกลิ่นมะกอกทอดกับกาแฟคั่วจากบาร์เปิดเช้า ๆ ลอยปะทะหน้าตรอกแคบ ๆ ที่พวกเขาเดินเรียงเงากันไป—เวลาเช้ามืด 04.00 แต่โลกยังขาวซีดเหมือนพลบค่ำที่ไม่ยอมจบ เพราะกลางวันยาวนานผิดธรรมชาติ เสียงรองเท้าแตะหินดังแผ่วสม่ำเสมอ “อ๊า…จะว่าไปวันนี้มีงาน Ieiunium Cereris นะครับ” ฮารุโตะบอกพลางยิ้ม ดวงตาเขียวมีประกายคึกคักของคนรู้วันสำคัญ “พิธีถือศีลอดเพื่อคารวะท่านเซเรส คุณโมนีก้าห้ามพลาดเลยนะครับ” โมนีก้าที่กำลังเดินเหม่อเธอสะดุ้งเล็ก ๆ ก่อนยิ้มตาม “พึ่งรู้เลยค่ะ พิธีเกี่ยวกับแม่หรอคะ? คิดถึงแม่จังเลย…ถ้ากลับไปจะรีบเข้าร่วมแน่นอนค่ะ” เธอพูดพลางดึงแขนเสื้อคลุมให้ปิดข้อมือ กำไลสุริยุปราคายังเย็นนิด ๆ จากลมยามเช้า ทันทีที่คิดถึงมัน สีหน้าก็ร้อนขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
วินเซนโซเหล่มองโมนีก้าแบบคนฉลาด “อารมณ์ดีเชียวนะ เมื่อวานยังตาแดงจะร้องไห้ วันนี้ยิ้มจนปากจะฉีกแล้วมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นค่ะ!” โมนีก้าตอบเร็วเกินไป ใบหน้าขึ้นสีจนฮารุโตะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ อิซิเลียส่ายหน้าอย่างเหนือกว่า “ผู้คนที่เพิ่งเจอโรคหัวใจเฉียบพลันมักปฏิเสธอาการ” เธอพึมพำ แล้วอลันในมือก็หลุดหัวเราะแผ่ว ๆ ลูคัสกระแอม “การมีสติคือสิ่งที่ดีนะ” เขาตัดบท อดยิ้มมุมปากไม่ได้เมื่อเห็นโมนีก้าหันหนีราวกับโดนไฟ
ตรอกที่เลี้ยวเข้ามามีป้ายไม้เก่าห้อยอยู่สูง ๆ อ่านอักษรละติน Aediculum Memor หน้าร้านบานประตูไม้โอ๊กทึบ ลายทองจาง ๆ เป็นเสี้ยวเถาวัลย์และรวงข้าว เหล็กดัดหน้าต่างไล่ลายหมาป่าโรมัน เจ้าของร้านชายชราในเสื้อกั๊กสีน้ำหมึกเงยหน้าขึ้นจากบัญชี พอเห็นเสื้อของลูคัสก็พยักหน้ารับสั้น ๆ “เครือข่ายส่วนตัวของเซเนทน่ะ” วินเซนโซกระซิบกับโมนีก้า “ที่นี่มีประตูเชื่อมหลายเส้น อันหนึ่งไปค่ายจูปิเตอร์”
ภายในร้านแคบยาว กลิ่นหนังเก่า ผงหินอ่อน และน้ำมันสนข้นแน่น ชั้นไม้เรียงเต็มไปด้วยหน้ากากหิน ภาชนะเทอร์ราคอตตา เหรียญโบราณ และลูกศรหัวตะกั่ว ไฟตะเกียงแก๊สทำให้ทุกอย่างอมทองพอ ๆ กับแสงนอกหน้าต่าง ชายชราโบกมือเชื้อเชิญพวกเขาไปยังผ้าม่านกำมะหยี่สีองุ่นที่มุมสุดของร้าน หลังผ้าม่านเป็นโถงเล็ก ๆ มีเสาประตูออเดริกสองต้นพิงผนัง และตรงกลางตั้งกรอบประตูโรมันครึ่งวงกลม หินสีเทามีจารึกจาง ๆทับซ้อนกันอย่างประหลาด แผ่นบรอนซ์รูปรวงข้าวฝังอยู่ตรงกึ่งกลางทับหลัง เสียงเมืองด้านนอกเหมือนถูกหรี่ลงทันทีที่ก้าวเข้ามา
เจ้าหน้าที่สองคนในเครื่องแบบเซเนทยืนรออยู่แล้ว “จะส่งกลับเป็นระลอกนะครับ เว้นช่วงคนละสี่จังหวะเพื่อความเสถียร” หนึ่งในนั้นอธิบาย ลูคัสพยักหน้ารับ “ผมไปก่อน” เขาก้าวขึ้นเดินทางผ่านช่องว่างในซุ้มประตูบิดคล้ายผิวน้ำ เขาสูดลมสั้น ๆ หันมามองพวกพ้องทีละคน แล้วก้าวผ่านหายไปอย่างเงียบ ๆ
“ฉันต่อเอง” อิซิเลียพูดเรียบ เงาของเธอขยายเป็นแพรองรองเท้าพื้นหนาแล้วเดินมุ่งหน้าตรงเข้าหายไปตาม ฮารุโตะหันมายิ้มให้โมนีก้า “เจอกันอีกฝั่งนะครับคุณคนเก่ง อย่าลืมถ้าหัวใจเต้นแรงไปจะไม่ดีเอานะ” เขายกสองนิ้วท่าวี แล้วก็พูดคำเดียวกัน พลางก้าวหายไปกับแสง
วินเซนโซชูตะกร้าอุปกรณ์ของที่แฮบมา “ได้กาแฟดี ๆ เยอะเลยเอาไว้ชงกาแฟให้ถ้าเจอกันแล้วกันนะ” เขาคลายยิ้มทำเสียงหล่อเกินจริง ก่อนที่ตัวเขาจะหายเข้าไปเหมือนไอควัน เหลือแต่โมนีก้าและความเงียบหนึบ ๆ ในห้องเล็ก เธอกลืนน้ำลาย แอบแตะกำไลที่ข้อมือมันโลหะเย็นน้อยลงทันทีเหมือนตอบรับการสัมผัส ภาพเมื่อคืนแล่นกลับมาโดยไม่ขออนุญาต อีตาคนหน้าจืด อย่างเลสเตอร์ภาพนั้นที่เขา โน้มตัวลง…สัมผัสอุ่นที่หน้าผาก คำว่า แม่สาวดอกไลแลค ทำเอาหัวใจเธอเต้นพลาดจังหวะอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่พยักหน้าให้ “คุณเป็นคนสุดท้ายครับ พร้อมเมื่อไหร่ เชิญ”
“ค่ะ” เธอตอบเบา ๆ แล้วก้าวขึ้นวงหิน หยดเหงื่อเย็นไหลที่ท้ายทอยเธอสูดลมหายใจแล้วมุ่งหน้าเดินเข้าไปภายในซุ้มประตูทันที พื้นใต้เท้าสั่นน้อย ๆ เหมือนก้อนกรวดคลึงกันเอง แสงที่ช่องซุ้มประตูบิดช้า ๆ กลายเป็นผืนกระจกดำเงา ก่อนค่อย ๆ คล้ำ ลึก เสียงของร้านค้า เมือง ของแม่น้ำ ถอยไกลราวมีใครหมุนปุ่มเบาเสียง โลกทั้งใบเลยโน้มเข้าหาความมืดอ่อนโยน ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือเงาของความมืดจากนั้นทุกอย่างก็มืดลงราวกับไร้แสงเหมือนใครเป่าเทียนให้ดวงหนึ่ง…เพื่อจุดดาวอีกดวงในที่ไกลกว่า

|