ฝุ่นทรายจากซากก่ออิฐปลิวเป็นริ้วไปตามแรงลมที่พัดวนรอบโคลอสเซียม แสงดำจากเครื่องควบคุมเอเรบัสเต้นไหวเหมือนลมหายใจของยักษ์ เหนือชั้นดาดฟ้าของอุปกรณ์มีออร่าของพลังที่โดนดูดเข้าไปภายใน แต่ช่องทางตรงหน้ากลับถูกแหวกออกให้โล่งอย่างน่าประหลาด ลมร้อนจากเอเรบัสครวญฮัมเหนือโคลอสเซียมจนพื้นหินสั่นระริกและในเงาบันไดหินที่แตกเป็นซี่ ๆ ชายชุดดำคนหนึ่งก้าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน เสื้อลินินดำพับปลายแขน กางเกงเข้าทรง เงาหมวกปีกกว้างทาบครึ่งหน้า กลิ่นโคโลญจ์อ่อน ๆ ปะปนควันฝุ่นเมืองโรม
“ธานาทอส…” อิซิเลียชะงัก ดวงตาสีเทาไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างระวัง โมนีก้าที่เห็นคนที่เคยพบกันรอบก่อนเขายังตรงสเป็คเธอเหมือนเดิมจนเธอเผลอพูด “...หล่อโคตร…” เสียงเธอเบากว่าลม แต่ทุกคนได้ยินพร้อมกันแถมโมนีก้าที่เป็นคนพูดยังใบหูขึ้นสีอย่างห้ามไม่อยู่ จนกระทั่งเลสเตอร์กระแอมสั้น ๆ ไม่พูดจา แต่ไหล่ยกเกร็งนิด ๆ ยืนขยับบังด้านหน้าสาวน้อยผมม่วงครามโดยอัตโนมัติ
ธานาทอสยกสองนิ้วแตะปีกหมวกเป็นเชิงทัก “ดูเหมือนพวกเธอจะทำได้ดีนะ” เขาพูดเสียงนุ่มแต่เจือเย็น “อีกไม่นาน เราจะได้เคลียร์ผู้ฝืนกฎธรรมชาติออกจากกระดาษเสียที” เขาว่าพลางล้วงสมุดพกปกหนังสีเข้ม กรีดปากกาเส้นเดียวข้าม ‘รายชื่อ’ อะไรบางอย่างอย่างใจเย็น
ก่อนเงยหน้าขยับดวงตามามองทั้งหกคน “ทางลงอยู่ใต้ซากเป็นทางเก่า ก่อนกรุงจะล่มสลาย โคลอสเซียมที่เธอเห็นวันนี้คือชั้นบูรณะ…ของจริงซ่อนอยู่ล่างนั้น” ปลายนิ้วเขาชี้เฉียงไปยังช่องอุโมงค์ที่ถูกเศษหินทับขวาง แล้วแค่สะบัดข้อมือเงาทมิฬก็ซัดผ่านราวคลื่นเศษอสุรกายที่ซุ่มเลื้อยอยู่แหวกแตกเป็นฝุ่นดำ เปิดทางโล่งยาวลงใต้ดิน
“เดี๋ยว!” ลูคัสยกโล่ระวัง “ทำไมท่านถึงช่วยเรา” ลูคัสดูจะสุภาพกับธานาทอสเป็นพิเศษอย่างไรเสียเขาก็เป็นเทพใต้พื้นพิภพ
“สมดุล” ธานาทอสยิ้มบาง ๆ “LoNex ลากสิ่งที่ควรจบให้ค้างอยู่ บิดกฎธรรมชาติ บีบโลก ถ้าพวกมันได้พระอาทิตย์สีดำโลกนี้จะไม่เหลือคิวของใครทั้งนั้น แม้แต่ข้า” แววตาเขาคมกริบเพียงชั่ววาบ ก่อนอ่อนลงเมื่อมองโมนีก้า “และ… มีหนี้เล็ก ๆ เรื่องครั้งก่อน” วินเซนโซมองเขาก่อนที่จะเอ่ยถาม “งั้นท่านมีข้อมูลเส้นทางในท่ออุโมงค์? หรือจะให้พวกเราเดาเอา”
“ไม่ต้องเดา ข้าไม่ใจร้าย” ธานาทอสลากปลายเท้าเขียนแผนผังง่าย ๆ ลงบนฝุ่นหิน สามแยกซ้ายตันขวาเจอโถงเสาโรมัน ต่อด้วยบันไดเกลียวลงแกนกลาง “ไปทางขวา ระวังพวกกับดักแล้วกัน เต็มไปหมดแบบยั่วเยี้ยสุด ๆ”
โมนีก้าก้มศีรษะเมื่อเขาบอกแบบนั้นแล้วเอ่ย “ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงเธอจริงใจแต่ทว่าแก้มยังอมชมพูเพราะความเขินในรอบก่อนที่เธอกับเขาเห็นกันเขาต้องเห็นแน่ ๆ เลยจากสายตาเมื่อครู่ และเป็นจังหวะที่ธานาทอสหรี่ตามองโมนีก้าอย่างขบขัน “คราวนี้แต่งตัวรัดกุมดีนี่…ก็ดีแล้ว” ประโยคแหย่เล่นนั้นทำให้โมนีก้าสะดุ้งน้อย ๆ เธอรียยกมือจับคอเสื้อคลุมแน่น เป็นจังหวะเดียวกันที่เลสเตอร์ขยับครึ่งก้าวยืนคั่น “คำเตือนรับไว้ ส่วนคำแซวน่ะ…พอแล้ว” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างสุภาพแต่หนักแน่นไปด้วยความไม่พอใจลึก ๆ
แววตาของธานาทอสฉายรอยยอมรับคำของเทพพระอาทิตย์ เขายกมือเหมือนปัดฝุ่นอากาศก่อนเกิดเงาคลื่นแตกซ่าน กองอสุรกายที่เหลือในลานถูกกดราบอย่างไร้เสียง พร้อม ๆ กับที่เอเรบัสบนฟ้าสะท้อนฮัมต่ำเหมือนอารมณ์ไม่พอใจ ธานาทอสถอยหนึ่งก้าวให้ทาง เงาหมวกปีกกว้างทาบยิ้มบาง ๆ “ให้โชคดี เด็ก ๆ”
แสงจากคบเพลิงบนผนังอุโมงค์โบราณสะท้อนแสงส้มอ่อนระยิบระยับไปตามรอยหินและคราบเขม่า ทั้งหกเดินเรียงแถวกันลงสู่ทางลาดชันที่ทอดยาวไม่สิ้นสุด อากาศเริ่มอึดอัดและเย็นเฉียบลงทุกฝีเท้า เสียงก้าวของรองเท้าบูทเหล็กกระทบหินดังสะท้อนอยู่ในอุโมงค์ที่มีเพียงเสียงลมหายใจของพวกเขาเป็นสหายร่วมทางด้านหลัง วินเซนโซถือโคมไฟพลังงานเล็ก ๆ ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเอง ส่องแสงนวลอบอุ่นไล่เงาที่เกาะติดบนผนัง ส่วนอิซิเลียเดินนำด้วยท่าทีสง่างามเยือกเย็น ผ้าคลุมสีดำของเธอสะบัดเบา ๆ ตามแรงลมจากเบื้องล่าง หัวกะโหลกอลันในมือเธอส่องประกายแสงสีม่วงเรื่อ ๆ คล้ายมีชีวิต ด้านหลังคือ ลูคัส ผู้คอยคุมจังหวะก้าวของทีมให้เป็นระเบียบ ฮารุโตะตามมาติด ๆ พร้อมธนูสะพายหลังคอยเงี่ยหูฟังเสียงผิดปกติ ขณะที่สองคนสุดท้ายคือเลสเตอร์และโมนีก้าที่เดินปิดท้ายเป็นคู่
เลสเตอร์ก้มหน้าเล็กน้อย แววตานิ่งงันราวกับกำลังจมอยู่ในความคิดบางอย่าง รอยเงาบนผนังสะท้อนใบหน้าของเขาให้ดูเคร่งขรึมกว่าปกติ เมื่อโมนีก้าหันมามองก็อดสงสัยไม่ได้ เธอขยับเข้าใกล้พลางเอียงศีรษะ ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงคบเพลิงดูคล้ายระยิบของน้ำแข็ง “เลสเตอร์ นายเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เสียงเธอนุ่มแต่แฝงความกังวลในจังหวะลมหายใจ
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขาหันกลับมา มุมปากยกขึ้นในรอยยิ้มที่ดูฝืนเล็กน้อย “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดเรื่องเส้นทางข้างหน้าเท่านั้นเอง” โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่เชื่อเท่าไร เธอขมวดคิ้วมองเขา “แน่ใจนะ นายดูเหมือนคนถูกใครขโมยกาแฟแก้วโปรดไปเลย”
“กาแฟนั้นสำหรับวินเซนโซต่างหาก” เลสเตอร์พูดพลางถอนหายใจเบา ๆ เขามองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ว่าแต่...เธอชอบเทพคนนั้นเหรอ”
“ใครอ่ะ?” โมนีก้าทำหน้างงจนกระทั่งเห็นสีหน้าของเขา “อ๋อ…ธานาทอสเหรอ” เธอหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นดังสะท้อนก้องในอุโมงค์อย่างสดใสผิดที่ผิดทาง “ก็เขาหล่อดีนี่นา นายไม่เห็นเหรอ? หนุ่มทรงแดดดี้แบบนั้นน่ะ ไม่ใช่ว่าฉันจะเจอบ่อย ๆ ซะหน่อย”
เลสเตอร์นิ่งไปแววตาเขาวูบแสงลงราวกับเปลวไฟที่ถูกแรงลมตี สายตาเขาเบือนหนีแต่เสียงในใจกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าหากเธอรู้ว่าเขาคืออะพอลโล่เธอจะยังพูดแบบนี้ไหม? เขากัดฟันแน่นแต่ยังฝืนทำเสียงเรียบ “หนุ่มทรงแดดดี้เนี่ยนะ...ฟังดูแปลกดี”
“ก็ใช่สิ! นายไม่ชอบเหรอ” เธอยิ้มขี้เล่นคิ้วเรียวเลิกขึ้นเหมือนจะท้าทาย “ไม่ได้ว่าไม่ชอบ แค่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นเขา” น้ำเสียงเลสเตอร์ต่ำลงนิด ราวกับพยายามกลบอะไรบางอย่างไว้ใต้ชั้นอารมณ์ “อ้าว...หวงหรือไงหืม?” เธอหันมายิ้มกว้าง ดวงตาเจือแววซุกซนแม้ว่าจะแค่หยอกเล่นเท่านั้น เขาสะอึกพอเห็นสายตานั้นก่อนเงยหน้ามองเพดานหินเหนือหัวราวกับต้องการหลีกหนีคำถามนั้น “ไม่มีทางหรอก”
ด้านหน้า วินเซนโซหัวเราะหึในลำคอเบา ๆ “พวกนายสองคน เสียงดังไปหน่อยนะ จะจีบกันก็เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวอสุรกายได้ยิน” เลสเตอร์เลยเงนหน้าขึ้นมองคนด้านหน้า “เงียบไปเลย วินเซนโซ” เลสเตอร์ตอบห้วน ๆ พลางกระแอมไอแก้เก้อ ฮารุโตะที่เดินนำอยู่หัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “ผมว่ามันไม่เลวเลยนะครับ บรรยากาศเริ่มเครียดมีกลิ่นเรียบ ๆ ก็ดีออก”
อิซิเลียหันขวับมามองด้วยดวงตาสีเทาเย็นเยียบ “พวกนายจะมาเดินเล่นหรือมาทำภารกิจ ถ้ายังไม่หยุดคุยฉันจะจับปิดปากให้หมด”
คบเพลิงโบราณลุกวาบเป็นแถวเมื่อทั้งหกก้าวพ้นช่วงอุโมงค์สุดท้าย แสงสีอำพันแผ่เป็นวงกว้างเผยให้เห็นสังเวียนยักษ์ที่ยังสมบูรณ์จนน่าขนลุก โคลอสเซียมที่ไม่มีท้องฟ้ามีแต่เพดานดินหนักทะมึนบีบลงมาราวหลุมฝังหัวใจของกรุงโรม เสาหินสูงเรียงเป็นชั้น ๆ โอบล้อมผืนทรายกลางวงกลมที่กว้างพอให้ทัพหนึ่งตั้งค่ายได้สบาย ฝุ่นผงลอยฟุ้งในลมหายใจเหมือนเถ้าถ่านของยุคสมัย และในความเงียบที่แหลมคมยิ่งกว่าใบมีด เสียงฝีเท้าของพวกเขาแตกกระจายเป็นประกายสะท้อนผนังทุกทิศทาง เมื่อก้าวสู่ใจกลางสังเวียนแผงอัศจรรย์ตามชั้นที่นั่งก็เริ่มกระเพื่อม แสงสว่างเรียงเป็นรูปคิวบ์ลอยวนเหนือศีรษะทีละลูก เหมือนฝูงดาวสีมืดที่ร่วงลงมาอยู่อุ้งมือใครบางคน
“ยินดีต้อนรับ เด็ก ๆ เดมิก็อดของโอลิมปัส” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากเงาบนระเบียงชั้นบนสุด ทุ้ม ชัด และเยือกเย็นพอจะทำให้สายลมสะดุด หุ่นสูงในสูทดำสนิทค่อย ๆ เดินออกมาจากเงามืด แสงคบเพลิงสะท้อนกรอบหน้าคมกับรอยย่นระหว่างคิ้วที่เหมือนร่องรอยของสมการนับพันที่แกะสลักทับลงบนผิวหนัง “พวกเธอจะได้รับเกียรติเป็นเชื้อเพลิงให้เครื่องอนุภาคของดวงอาทิตย์สีดำและเป็นสักขีพยานแห่งรุ่งอรุณของยุคใหม่” เขาหยุดยืนเหนือพวกเขา สายตาดำลึกไม่สะท้อนแสงใด ๆ ทั้งสิ้น “ขอแนะนำตัว ศาสตราจารย์เซเวรัส โครนัส”
“เซเวรัส? สเนปหรอ?” โมนีก้าเอ่ยพึมพำ แต่เหมือนคนที่ได้ยินจะหันไปมองเธอแบบเอาจริงดิ? จะเล่นมุกนี้ตรงนี้ทำไมเนี้ย ก่อนที่จะเลสเตอร์ยกแขนดึงโมนีก้าให้อยู่ด้านหลังโดยสัญชาตญาณ ลูคัสขยับก้าวครึ่งก้าวไปด้านหน้าโดยไม่ต้องสั่ง ส่วนฮารุโตะเงื้อมือแตะคันธนูแต่ยังไม่ดึงสาย วินเซนโซหมุนข้อมือให้สนับมือติดกลไกล็อกแนบสนิท อิซิเลียมุมปากกระตุกนิดเดียวความเย็นชาที่เหมือนสายน้ำใต้ธารน้ำแข็งก็ปรากฎออกมา
“LoNex…” เลสเตอร์เอ่ยช้า ๆ “พวกนายไล่ตามเงามืดจนลืมว่าความมืดก็ไล่ตามคืนเสมอ”
“เราไม่ไล่ตามเงามืด เรากลั่นกรองมันต่างหาก” โครนัสยิ้มบางรับคำของเลสเตอร์ ยิ้มของคนที่หลงใหลในคำตอบเสียยิ่งกว่าชีวิต เขากางมือและข้างหลังเขาก็เผยให้เห็นอุปกรณ์ขนาดมหึมาที่ฝังแน่นกับชั้นหินโครงสร้างเป็นวงแหวนซ้อนสามชั้น เชื่อมด้วยรางพลังงานสีเทาดำที่ไหลวนเหมือนหมึกในน้ำ แกนกลางคือแท่นทรงราบล้อมด้วยคิวบ์โปร่งแสงนับโหล ภายในแต่ละลูกคิวบ์วูบไหวด้วยเศษประกาย บางทีคือสัญชะตาเก่าที่ถูกหลอมรวม
“Black Sun Project เครื่องสังเคราะห์และควบคุมพลังงาน EREBUS จุดสังเกตคือแกน ‘Core Dark Essence’ ที่พวกเทพโบราณไม่เคยอธิบาย มนุษย์อย่างเราจึงต้องอธิบายแทนไง” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย “ในโลกเก่าฉันชื่อซามูเอล อาร์เดน คนโง่สติเฟื่องที่เห็นวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์เป็นภาษาเดียวกัน เคยถูกลากขึ้นแท่นประจานในยุคที่คนยังกลัวเงาตัวเอง และนี่…” นิ้วเขาชี้คิวบ์แสงข้างในก็กะพริบตอบรับภายในอัดเน่นไปด้วยพลังชีวิตและพลังงานของเดมิก็อดเชื้อสายทั้ง 12 เทพแห่งโอลิมปัส “คือคำพิสูจน์ว่าฉันพูดถูกตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหก”
“แกมันขยะ” ลูคัสคำรามต่ำ “แกฆ่าพวกเขาเพื่อพิสูจน์สมการชั่ว ๆของแกงั้นหรอ”
“แก่นแท้ไม่ตายหรอกมันแค่เปลี่ยนรูป” โครนัสตอบราบเรียบ “เดมิก็อดที่สูญเสียไป พลังของพวกเขาถูกรักษาไว้ภายในลูกบาศก์พวกนี้อย่างบริสุทธิ์ ไม่ดีหรอ? อมตะสำหรับการทดลอง ฉันสามารถเรียกใช้ได้ทุกเวลา ทุกคุณสมบัติ ทุกปาฏิหาริย์ของโอลิมปัสในมือของเหตุผล ไม่ใช่ในมือของอารมณ์”
โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นเธอกลับดวงตาสั่นไหวไปด้วยความอ่อนไหวต่อสิ่งที่รับรู้ดวงตาของเธอเหลือบมองเลสเตอร์ที่อยู่ด้านหน้า เพราะเหมือนว่าเธอจะพยายามที่จะกำมือของตนเองเพื่อคิดอะไรบางอย่าง
วินเซนโซหัวเราะเบาหวิว “พูดเหมือนกาแฟดี ๆ ที่นายชงแล้วคราฟต์ด้วยน้ำตาของคนอื่นน่ะสิ ศาสตราจารย์” เขาแตะสนับมือ คลิกหนึ่งทีเป็นเสียงฮัมบาง ๆ ดังขึ้น “แย่หน่อยนะ วันนี้ฉันยังไม่ได้กินเอสเพรสโซ ถ้าเครื่องนายช้ากว่าเครื่องคั่วมือของฉันล่ะก็นะ”
“เงียบ” อิซิเลียเอ่ยโดยไม่มองเขา ดวงตาสีเทาของเด็กสาวยกขึ้นสบกับโครนัส “คุณพูดถึงเหตุผลแต่นายคือผลของความหลงตัวเองที่ได้รับรางวัลเป็นความอมตะ คำถามที่ถูกต้องคือระบบของคุณบโหลดได้เท่าไร ก่อนจะเกิดการย้อนศรจากพลังดึกดำบรรพ์” ครานั้นคิวบ์แถวหนึ่งหรี่แสงลงคล้อยเดียวราวกับหัวเราะ โครนัสยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย “น่าสนใจ เด็กน้อยของน็อกซ์ ถ้าอยากรู้เรื่องโหลดก็ก้าวขึ้นแท่นเสียดี ๆ ไหมล่ะ? แล้วเธออาจได้ดูกราฟแบบเรียลไทม์จากขั้วสมองตัวเอง”
โมนีก้ากลืนน้ำลายกลิ่นทรายชื้นกับคบเพลิงทำให้ท้องเธอจุกแน่น มือที่กำด้ามกราดิอุสชื้นเหงื่อ เธอมองแผงเครื่องจักรที่เหมือนมหาวิหารของคนไร้เทพเจ้าตรงหน้า ก่อนหันขวับไปทางเลสเตอร์ “เราจะหยุดเขายังไง”
เลสเตอร์ยังคงยืนข้างเธอร่างสงบนิ่งอย่างคนทำสมาธิกลางพายุก่อนพึมพำเบา “ตัดแหล่งป้อนก่อน ไม่อย่างนั้นมันจะลากพลังของพวกเราเข้าระบบทันทีที่เราเข้าใกล้ ห้ามขึ้นแท่น ห้ามให้เขาจับตัวเราได้” เขาขยับหัวไหล่ เหมือนคนแบกท้องฟ้าที่หนักขึ้นทุกวินาที
ฮารุโตะสูดหายใจลึก ดวงตาสีเขียวฉายความลังเลที่พยายามซ่อน “พวกเราไม่ฆ่าใครถ้าไม่จำเป็น เราจะพังเครื่องดึงไฟ อพยพ แล้วค่อย—”
“ไม่มีเวลาแล้ว” ลูคัสกระชับดาบ “แผนเดียว ทะลวง ใครขวางฟันทิ้งซะ”
“ขอเวลาสิบวินาที” วินเซนโซกระซิบก่อนที่จะบอกกับทั้งหมด “บางครั้งฉันอาจจะปลดความปลอดภัยบางส่วนของอุปกรณ์ก็ได้” แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เสียงปรบมือดังหนึ่งครั้งจากเบื้องบนปรากฎคมชัดจนคบเพลิงไหวสั่น “ยอดเยี่ยม” โครนัสเอียงหน้า “กลยุทธ์ สัญชาตญาณ และความรู้สึกแบบมนุษย์ องค์ประกอบครบ” เขาดีดนิ้ว แท่นกลางเริ่มยกตัวขึ้นช้า ๆ รางพลังงานสามชั้นส่องวาบเป็นสีหมึกคล้ายแสงติดลบ “เริ่มการปรับเทียบ Erebus Energy Synthesis and Control เตรียมรับสัญญาณจากหัวใจทั้งหก”
พื้นใต้เท้าสั่นครืนเหมือนสัตว์ยักษ์ตื่น วินาทีต่อมาแสงทั้งสังเวียนก็ดับพรึ่บ และเลสเตอร์ก็เร็วพอที่จะคว้าข้อมือโมนีก้าแน่นในความมืดสนิท กลิ่นไลแลตนุ่มลึกฉาบในลมหายใจของเขา ราวกับใครขุดอดีตขึ้นมาวางไว้กลางทรวงอก เขากดเสียงต่ำ “ระวังตัวไว้”
คบเพลิงพรึ่บดับ พรึ่บติด เสียงปรบมือของโครนัสดังก้องเหมือนค้อนเคาะขอบถ้วยคริสตัล ก่อนพื้นทรายใจกลางสังเวียนจะแยกออกเป็นสี่กลีบ เผยให้เห็นฐานแท่นหมุนและรางพลังสีหมึกที่ไหลวน และจากช่องเปิดนั้นผู้เฝ้าสถานที่ในอดีตที่ถูกคัดแปลงก็ยกตัวขึ้นมาช้า ๆ เป็นยักษ์เกราะทองคำสองตน รูปร่างสง่าเย็นชาเหมือนรูปสลักเทพ แต่ในดวงตาเป็นหลุมลึกของแสงสีดำ พวกมันสั่นไหล่หนึ่งครั้ง เศษทรายปลิววูบเหมือนปลายคลื่น ก่อนจะยกดาบทองเรืองและง้างหมัดหนาเท่าดรัมชุดใหญ่เตรียมทุบทุกสิ่งตรงหน้า
“ลองดูหน่อยว่าพวกเธอมีค่าพอเป็นเชื้อเพลิงไหมนะ เด็ก ๆ ไม่ต้องห่วง ของเล่นฉันมีอีกเยอะ” โครนัสยิ้มบางและถอยไปยืนพิงราวระเบียงเหมือนศาสนจักรที่เสวยบุญจากการสังเกตการณ์
ลูคัสยกโล่ เขยิบก้าวเดียวบังด้านหน้าโดยอัตโนมัติ “รูปแบบขบวน กระจายซ้ายขวา เก็บระยะกลาง เน้นข้อต่อและแกนพลังงาน”
“รับทราบ” ฮารุโตะขานเบา ๆ ปลายนิ้วแตะสายธนู ลูกศรชุดแรกเรียงเป็นพัด เจาะเข้าช่วงข้อศอกของยักษ์ตนซ้ายสามดอกติด แรงสะท้อนทำให้แขนทองหยุดชะงักครึ่งวินาที “หุ่นซ่อมตัวเองได้ ระวังจังหวะฟื้น” อิซิเลียกางฝ่ามือ เงาสีเทาเข้มกวาดคลุมพื้นทรายรอบเท้าพวกมัน เหมือนแม่น้ำไร้แสงไหลวน หัวกะโหลกในมือเธอเปล่งแสงม่วงแหลมเฉียบ วาดจุดเรืองบนเกราะช่วงบั้นเอวและฐานคอเหมือนชอล์กฟอสฟอร์สขีดกากบาทไว้ให้เห็นชัดจากทุกมุม
วินเซนโซคล้องกล่องเหล็กผิวด้านจากเอว โยนขึ้นแล้วชกไปหนึ่งหมัด เสียงคลิกดังในอากาศ กล่องแตกเป็นลูกข่ายแม่เหล็กคลุมหัวไหล่หุ่นตนขวา “ของทดสอบแรงยึดเหนี่ยวเฉพาะกิจ ถ้าไม่เก่งกว่าผมก็อย่ากระดิก” เขาหัวเราะสั้น “ขาดกาแฟก็ยังสนุกดีแต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ขาดเลย”
โครนัสเอียงคอ “เยี่ยม ใช้ความรู้เข้าแลกเพื่อความอยู่รอด งามดี” เขาดีดนิ้ว หุ่นตนซ้ายกางบานเกราะอกเล็กน้อย เกิดแฉกแสงรวมตัวเป็นลำพลังงานเส้นเดียวพุ่งต่ำเฉียดพื้น เสียงฮึ้งสะเทือนไซนัสทุกคน
“หลบแล้วเล็งยิงเล็งข้อพับกับซอกคอ ห้ามสู้ตรง ๆ นะ” เลสเตอร์สั่งนิ่ง ๆ แต่หางเสียงฟังแล้วไม่ค่อยพอใจใครบางคนในเนคไทดำ “โอเค” โมนีก้าหอบสั้นหนึ่งครั้งตามจังหวะหายใจที่เขาสอน สองมือจับกราดิอุสแน่นจนสั่น เธอปักเท้าลงกับทรายที่เริ่มแข็งขึ้นเป็นหย่อมจากคำขอเงียบ ๆ ในใจเมื่อครู่ ดวงตาสีเทาเงินกวาดไล่ไปตามชุดสลักเกราะทองคำ เธอเห็นมันไม่ใช่เกราะแต่เป็นบานพับและขอบประตูซ้อนกันเต็มไปหมด ข้อไหล่คือบานแกน คอคือลิ้นกลอน สะโพกคือห้องเครื่องที่ต้องไขกุญแจ
ลูคัสพุ่งเข้าใส่ตั้งดาบต่ำปาดใต้หัวเข่าหุ่นด้านขวา เสียงปลาบดังเหมือนสับใส่แท่งทองค้ำวิหาร เกราะร้อนฉ่า แต่ข้อต่อสะดุด หุ่นตนนั้นโงนเงน ฮารุโตะเลยซ้ำด้วยศรสายลวดเกี่ยวรัดพับหัวเข่าให้ลดองศาลงอีกนิดหนึ่ง “สี่วินาที มันจะเชื่อมเนื้อโลหะกลับ” อิซิเลียเตือน เงาของเธอกดทับรอยแตกให้ช้าลงเหมือนเอาน้ำแข็งโปะเหล็กร้อน
วินเซนโซวิ่งเฉียงเข้าความเร็วของเขาขัดกับอุปกรณ์หนัก ๆ อย่างน่าหงุดหงิด เขาชิงจังหวะทรุดของยักษ์ ปล่อยหมัดชุดเล็กจากสนับมือ เสียงป๊อก ๆ ติดเข้าไปที่ข้อต่อสะโพกหลายจุด “ล็อกไว้ก่อนนะเพื่อน ถ้าจะซ่อมตัวเองก็ช่วยผ่านหัวค้อนช่างก่อน” หุ่นฝั่งซ้ายเหวี่ยงดาบลงมาเกือบเฉือนไหล่โมนีก้า เลสเตอร์กระชากเธอให้หมุนต่ำแล้วสวนด้วยมีดเล่มบางดังฉับ เสียงดังคล้ายเคาะกระดูกงูเรือ เขาไม่มองหน้าเธอแต่ขยับกายอยู่ระยะหนึ่งฝ่ามือ “ดึงฉันไว้ด้านซ้ายเธอไปโจมตีมันที่ข้อต่อ ทำได้ไหม”
“ทำได้แหละ” โมนีก้าพึมพำตอบรับเขาระหว่างที่เหงื่อจับแนบแก้ม เธอสองก้าวพรวดขณะหุ่นยักษ์ก้มหมายจะกวาดแขน เธอแก่ก้าวขึ้นบนปลายเท้าเหยียบโล่ของลูคัสเป็นแท่นชั่วพริบตาแล้วกระโดดแทงกราดิอุสเข้าซอกปลอกคอพอดี ฟันเข้าร่องที่อลันขีดไว้ สะเก็ดทองวิบวับร่วงเป็นฝน เสียงแตกหักดังกรอบเหมือนกุญแจหมุนผ่านลิ้นที่ล็อกมานาน
หุ่นคำรามเป็นเสียงโลหะบด ทำท่าจะใช้ลำแสงซ้ำ ฮารุโตะยิงศรปักร่องคออีกดอก “ต่อ!” เลสเตอร์ผสานจังหวะ ยิงธนูเข้าไปที่จุดอ่อนนั้น เสียงนั้นกระแทกผ่านคมดาบของโมนีก้าเข้าไปในคอหุ่นเหมือนตีลิ่มเข้าเสา ตัวเกราะสั่นวูบ แสงใต้เกราะพร่าชั่ววาบนั้นหัวหุ่นชะงักและค้างเหมือนเครื่องดับจังหวะ “รายหนึ่งติดสตันแล้ว” วินเซนโซผิวปาก “ใครอยากแงะแบตบ้างตอนนี้” ลูคัสไม่รอ เขาเปลี่ยนมุมแทงลงซอกรักแร้ดันด้วยแรงทั้งร่าง รอยแตกวิ่งเป็นงูไปถึงบ่าหนัก ๆ จนแขนทองหลุดองศาหัวหุ่นเอียง โมนีก้าเลยดึงดาบและกระแทกส้นรองเท้าเข้ากับข้อต่อเดิมอีกครั้งเหมือนนักงัดกุญแจ ชุดเพลาหลุดออกเสี้ยวหนึ่ง เกราะช่วงคอเปิดเผยแกนพลังที่เต้นเหมือนหัวใจสีหมึก
“ตอนนี้เลย” ฮารุโตะปล่อยลูกศรวิ่งแสง แหลมคมพุ่งผ่านช่องเปิดตรงกลาง ตูมเงียบ ๆ แสงหมึกดับ ร่างยักษ์โคลง เหมือนเทพทองคำทำท่าจะคุกเข่า ฝุ่นทรายค่อย ๆ ตกพื้น ประกายทองจางหาย เหลือเพียงหุ่นยักษ์สองร่างคุกเข่าทรุดต่อหน้าทั้งหกคนราวขุนศึกที่ถูกปลดอาวุธ ลมหายใจของทีมกลับมาเป็นจังหวะเดียวกันช้า ๆ กลิ่นโลหะร้อนและทรายไหม้คลุ้งอยู่ในโพรงจมูก
โครนัสตบมืออีกครั้งกับทั้งหกคน คราวนี้ช้ากว่าเดิมเล็กน้อย “น่าพึงใจ น่าพึงใจมาก พวกเธอผ่านด่านทดสอบเบื้องต้นของเครื่องกล แต่การคัดเลือกเชื้อเพลิงก็น่าสนุกเพิ่มว่าไหม? ฉันหวังว่าพวกเธอจะยังยืนได้เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์สีดำเปล่งเสียงเรียกพลังงานของมันนะ งั้นเรามาเริ่มบทใหม่กันเลย”
สิ้นคำของโครนัสกรงเหล็กเลื่อนเปิดด้วยเสียงกรีดโลหะ แผ่นดินทั้งสังเวียนก็สั่นวาบเหมือนมีหัวใจอีกดวงเต้นอยู่ใต้พื้น น้ำคร่ำสีดำพวยขึ้นจากรอยแยก และเงาที่ชะโงกขึ้นมาไม่ใช่เงามนุษย์มันคือศีรษะงูขนาดมหึมาหลายหัวที่คืบคลานพร้อมกัน ริมฝีปากมีหนามคมแยกเผยเขี้ยวหยัก พิษสีมรกตหยดเป็นฝอยไอ เสียงฟ่อทับกันเป็นคอรัสแหกโสตจนคบเพลิงไหว โครนัสยืนบนระเบียงยกมือราวพิธีกรงานเลี้ยง “เลอร์เนียนไฮดร้าที่เชื่องดีว่าไหม? ขอให้สนุกและอย่ากังวล หากใครไร้ค่า ข้าจะหาวิธีเก็บส่วนที่พอใช้ได้” คำพูดของเขาบาดลึกเกินกว่าจะเอ่ย แววตาดำของเขาไม่มีแม้เงาเมตตา
ลูคัสสับดาบให้เกิดเสียงแหลมปลุกใจแล้วรั้งโล่ขึ้นนำ ฮารุโตะถอยครึ่งก้าวดึงสายพร้อมชุดลูกศรเจาะเกล็ด เลสเตอร์ยกธนูยาวจัดลมหายใจให้จังหวะทีมแน่นขึ้นเหมือนตีฉาบในอก วินเซนโซดีดข้อมือให้ปลอกหมัดวัลแคนเผาประกายส้มจนอากาศวูบร้อน อิซิเลียเลยยืนศูนย์กลางผืนเงา เสื้อคลุมกางเหมือนรัศมีคืนเดือนดับ ขณะที่โมนีก้ากำกราดิอุสแน่น ดวงตาสีเทาเงินจับจ้องบั้นคอของอสุรกายแต่ละหัวคล้ายมองหาทางสู้ความตายของมัน
เฮือกแรกของการต่อสู้นั้นโหมเข้าอย่างสกปรก ไฟตาเจ็ดคู่พุ่งมาในคราวเดียว ฮารุโตะยิงเปิดในจังหวะแรกดอกแรกเสียบเข้าซอกเบ้าตาขวาของหัวริมสุด เสียงหวีดลากยาวจนน่าหวาดหวั่น ลูคัสจึงพุ่งซ้อนสับกราดิอุสของเขากับโมนีก้าขึ้นพร้อมกันเป็นรูปกากบาท ตัดคอหัวกลางสะบั้นจนเลือดพิษพุ่งเป็นฝน วินเซนโซพุ่งพรวดเข้าไปเผาบริเวณคอที่เพิ่งขาดด้วยหมัดเพลิงจนได้กลิ่นเนื้อไหม้ดังกระพือไฟรอยขาดปิดทับด้วยคราบไหม้จนหยุดงอก
หัวที่สองก็พยายามเงื้อกัด เป็นช่วงที่เลสเตอร์ปล่อยศรหนักปักลงใต้กราม กดให้มันเงยหน้าไม่ขึ้น อีกดอกเจาะใต้ฐานเกล็ดให้เกิดบันไดของบาดแผลที่ลูคัสใช้ไถดาบตามทันที ในจังหวะนั้นอิซิเลียดึงเงาขึ้นเชือดตัดวิถีหางยักษ์ให้ช้าลง เงาเย็นตวัดรัดโคนคออีกหัวแน่นราวบ่วงน้ำแข็ง “อย่าหลงจังหวะหัวงอกในสามวินาทีมันเริ่มฟื้น” เธอเตือนเสียงราบ
ศีรษะที่สามและสี่พ่นพิษออกเป็นม่านควัน มองเห็นเป็นประกายเขียวหม่น ฮารุโตะลั่นศรต่อเนื่องเหมือนพิมพ์เครื่องจักรสังหารเป็นแถบคำสั่งเลาะไปตามขอบเกล็ดให้เกิดรอยปริพร้อมกันสามแนว “ตอนนี้แหละ!” ลูคัสบุกชิดหัวของมันทั้งคู่โมนีก้าก็ตามติดเขาเช่นเดียวกัน เธอสไลด์ต่ำแทงเข้าบานคออย่างแม่นแรง รู้สึกถึงแรงต้านเสี้ยวหนึ่งของเอ็นหนา หัวที่สามสี่ก็หลุดผึง วินเซนโซก็ขยับมาสาดไฟตามตำรา หัวเกือบสุดท้ายหันปะทะเลสเตอร์ทมี่ยิงธนูอย่างรวดเร็วก้านคอสะท้อนศรเหมือนเขาสีบทเพลง แต่นั่นพอให้โมนีก้ากระชับสองมือฟันซ้ำจนกลิ่นเนื้อไหม้ผสมคาวพิษแสบจมูกจนดวงตาร้อนผ่าว
“ดี…ยังพอมีค่า” โครนัสปรบมือทว่าเสียงนั้นมาพร้อมเงาหางมหึมากวัดเข้าด้านข้างโดยไร้สัญญาณเตือน
“ตูมมม”
เสียงฟาดดังอั้กเหมือนต้นปาล์มถูกฟ้าผ่า เลสเตอร์เห็นเพียงเสี้ยวแล้วกระชากโมนีก้าจะบัง แต่แรงหางม้วนเป็นแส้ เขาโดนเพียงปลายปัดจนไม่บาดเจ็บมาก ส่วนโมนีก้านั้นรับแรงเต็มสันดั้งจนตัวปลิวชนเสาหินและล้มแผ่ออกบนทราย หายใจไม่เข้าเหมือนหน้าอกถูกบีบด้วยกำปั้นของยักษ์ เลือดอุ่นทะลักริมฝีปากของเธอแผลถากยาวจากซี่โครงถึงสะโพก เสียงแตกในอกเป็นสัญญาณกระดูกเธอเองที่ขาด
“โมนีก้า!” เลสเตอร์ตะโกนออกมาเมื่อเห็นแบบนั้น เขาถีบทรายพุ่งถึงตัวเธอคุกเข่าคร่อมบังเงาหัวงูที่กำลังวกกลับ ฮารุโตะยิงสายเคเบิลศรผูกหัวนั้นแล้วงัดทิศขึ้น เป็นจังหวะให้ลูคัสกระแทกโล่ชนคางงูอีกหัวเปิดช่อง วินเซนโซก็กระโดดพรวดมาลงข้างเลสเตอร์ มือซ้ายระเบิดเปลวเล็กพอให้ไล่หัวที่พุ่งซ้ำ ส่วนมือขวารูดกระเป๋าพยุง “ช้ำซี่โครงสองสาม เส้นเลือดแตกผิวกับพิษกระเด็นเข้าบาดแผล ฮารุโตะ! รีบ!”
หมอสนามอย่างฮารุโตะมาถึงแทบจะในห้วงเดียวกับคำเรียก เขาดึงชุดผ้าพันกับหลอดแก้วยาถอนพิษออกมาปลายนิ้วกดตรวจอย่างเชี่ยว “อย่าขยับนะครับ คุณกำลังหายใจสั้นเกินไปโมนีก้า” สายตาสีเขียวสั่นวูบแต่เสียงยังอ่อนโยน “ผมจะชะลอพิษให้ก่อน” เขารินสารสีอำพันลงบนแผลมันเดือดซู่เมื่อสัมผัสพิษไฮดร้า กลิ่นสมุนไพรแหลมตีกับกลิ่นคาวจนแสบคอ
ในขณะนั้นเลสเตอร์เอาฝ่ามือประคองหัวของโมนีก้าเอาไว้ อิซิเลียที่ยืนแผ่เงาเป็นกำแพงระหว่างพวกเขากับคออสุรกายที่ยังเหลือ เงานั้นหนืดเย็นเหมือนทะเลน้ำดึก เธอหันดวงตาสีเถ้าเหล็กมามอง “เลสเตอร์! ฉันจะค้ำเวลาให้สามสิบวินาที แล้วพวกเราจะปิดงาน” น้ำเสียงเธอเหมือนออกคำสั่งมากกว่าขอร้อง แต่ปลายเสียงสั่นแผ่วจนสัมผัสได้ว่านั่นคือความห่วงที่เธอไม่คุ้นเคยจะแสดง
“เอาให้เร็วกว่านั้น!” เลสเตอร์กัดฟัน เขาเอามืออีกข้างกดเหนือบาดแผลของโมนีก้าอย่างถูกตำแหน่งเพื่อหยุดเลือดในทันที ฮารุโตะก็ฉีกผ้าพันแน่นร้อยกับสันเกราะของเลสเตอร์ให้กลายเป็นเฝือกชั่วคราว “ถ้าพิษขึ้นหัวใจ—” หมอสนามเริ่มพูด
“ไม่ให้ถึง” เลสเตอร์ขัดทันควัน แววตาเขาแข็งขึ้นเหมือนแสงเช้าฟาดยอดเขา โมนีก้ารู้สึกได้จริง ๆ ว่าความร้อนแสบที่วิ่งอยู่ใต้ผิวมันทรมารพอสมควร เหมือนถนนลื่นถูกโรยทรายทับ เธอหอบลึกหนึ่งครั้งแล้วพยักหน้าแผ่วเพราะว่ายังไม่สลบและหากเธอสลบโมนีก้าก็คิดว่าตัวเองคงจะบาดเจ็บหนัก
ในจังหวะที่มีทีมปฐมพยาบาลลูคัสก็คำรามนำทางกการต่อสู เขากับวินเซนโซผ่าด้านซ้ายเผาด้านขวาเป็นจังหวะคู่ แทบไม่ต้องมองก็รู้ว่ากันและกันอยู่ไหน ฮารุโตะที่ปฐมพยาบาลเสร็จก็สาดศรตาบอดจนหัวสองหัวหันชนกันเอง ลูคัสเริ่มฟันคอพวกมันให้หมด วินเซนโซก็หวดหมัดเพลิงปิดแผลทุกครั้งที่คอถูกตัด เลสเตอร์ยังคุกเข่าบังโมนีก้าแต่ยกธนูยิงสอดเป็นเส้นนำทิศให้เพื่อนร่วมรบ แม้ไม่ขยับจากจุดนั้นเขาก็โจมตีด้วยลูกศรจนไฮดร้าเสียเปรียบทุกด้าน
“น่าผิดหวัง” โครนัสควงนิ้วอย่างขี้เกียจ เดมิก็อดคนนี้เป็นเพียงตัวถ่วงที่โชคดีละมั้ง” เขาเหยียดคำแล้วปรายตาไปทางโมนีก้าราวกับว่าในสายตาของเขาเด็กสาวผมม่วงคนนั้นก็เพียงจิตวิญญาณที่มีเลือดของเทพเจ้าที่น่าผิดหวังและอ่อนแอที่ต้องให้แต่คนอื่นปกป้อง
เลสเตอร์เงยหน้าช้า ๆ มองไปทางโครนัสดวงตาสีฟ้าของเขาแทบลุกร้อนจนเกือบขาว “พูดอีกสิ แล้วฉันจะทำให้เครื่องของนายมันหายไปตอนนี้” โมนีก้ารีบพยายามขยับนิ้วจับชายเสื้อเขาเบา ๆ ดึงให้เขากลับมามองเธอ “เลส…เตอร์” เด็กสาวพยายามกัดฟันพูดเสียงเธอเบาราวลมหายใจ “ฉันไม่เป็นอะไร…จริง…จริงนะ” เธอฝืนยิ้มทั้งเลือด ริมฝีปากเปื้อนแดงเป็นสีของกลีบไลแลตยามค่ำที่ตามหลอกหลอนเลสเตอร์มาหลายพันปี
ระหว่างนั้นเสียงลูคัสตะโกนส่งสัญญาณเข้ากระบวนคมขวาง ฮารุโตะยิงลวดตรึงหัวซ้ายสุดอย่างรุนแรง อิซิเลียดึงเงาให้พื้นทรายกลายเป็นบึงหนืด ในขณะที่วินเซนโซวิ่งเอียงองศาจนแรงเหวี่ยงพาเปลวไฟลากเส้นโค้ง เผาจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ทั้งหมดในคราวเดียว หัวสุดท้ายของไฮดร่ากระชากขึ้นหมายฝ่าหนี ขณะนั้นเลสเตอร์ก็ดึงสายเข้าไปหนึ่งนิ้วปล่อยลูกศรหนักที่สุดของเขาไปในอากาศก่อนปักกึ่งกลางฐานคอราวกดโน้ตสุดท้ายลงบนลิ้นเปียโน หัวนั้นสะดุด ก้านคอเผยรอยอ่อนแล้วหลุดรุยจากการโจมตีอีกครั้ง วินเซนโซเลยปิดด้วยกระแสไฟ เผารอยขาดจนเกรียมสนิท จนตอนนี้การงอกถูกตัดสิทธิ์อย่างสมบูรณ์
ร่างของไฮดร้าล้มโครมจนสังเวียนสะท้อนเสียงเหมือนท้องฟ้าถล่ม เลือดพิษค่อย ๆ ซึมลงทรายกลายเป็นสีหมึกย้อมขอบรองเท้าของพวกเขา ฮารุโตะปาดเหงื่อจากขมับก่อนที่จะวิ่งไปทางโมนีก้าตรงเข้าไปตรวจชีพจรโมนีก้าอีกครั้ง สีหน้าคลายลงน้อยนิด “ชีพจรเริ่มเสถียรแล้วครับ ดีมากเลย” เขาพันผ้าแน่นชั้นสุดท้ายและฉีดสารกดและถอนพิษทีละหยด “รอให้ยาครบจังหวะแล้วค่อยย้ายนะครับ จะเจ็บหน่อยแต่ไม่ตายที่นี่แน่นอน ผมสัญญา”
แต่เหมือนโชคชะตาจะไม่มีเวลาให้พวกเขาพัก เมื่อโครนัสยืนบนระเบียงยกสองนิ้วให้ลมหมุน เขาใช้ลมหายใจของซุสควบคุมกระแสลมยกตัวลงมาสู่ผืนทรายอย่างง่ายดาย เสื้อสูทดำสะบัดเป็นคลื่นเงา ในจังหวะเดียวกันนั้นประตูลับรอบอัฒจันทร์ก็เปิดขึ้นจนหน่วยเอนฟอร์เซอร์ของ LoNex สวมชุดเกราะคาร์บอนดำพุ่งกรูออกมาล้อมเป็นวงแหวนปืนกลและหอกช็อต
“เด็กผู้หญิงผมม่วงคนนั้น เดี๋ยวซากเธอฉันดูแลเอง” โครนัสพูดเสียงราบ ท่าทีชื่นบานหลังไฮดร่าล้มละลาย “ส่วนพวกเธอก็ลองพยายามดูนะ”
คำพูดของโครนัสเสียดแทงหัวใจโมนีก้าพอสมควรเธอพยายามยันตัวนั่ง ใบหน้าซีดจางจนกลายเป็นสีเทาเงินแบบดวงตา เธอกลืนเลือดในปากลงคอแล้วฝืนยิ้มเล็ก ๆ “ไหวค่ะ…ทุกคนสู้นะ ฉัน…จะพยายามทนเอาค่ะ…จะลองกินแอมโบรเชียด้วย” เธอว่าพลางหยิบห่อเล็กจากแหวนดาราจรัสออกมามันคือชิ้นขนมเทพ เธอหักขนาดที่ควรกินเท่านั้น
ฮารุโตะพยักหน้าเร็ว “แค่คำเล็ก ๆ พอ นะครับอย่าเกินนี้” โมนีก้าพยักหน้าตอบรับเขาเธอแตะลิ้นเล็ก ๆ รสชาติเหมือนความรักและแสงอันอบอุ่นวิ่งผ่านอก แต่มันไม่ทันห้ามความเจ็บหรือทำให้แผลสมานขนาดนั้นแค่ให้สติไม่ดับวูบตายไปเสียก่อน
ลูคัสคำรามพร้อมสับโล่กลมเข้าปะทะด้ามหอกศัตรูเสียงสนั่น! ฮารุโตะก็ปล่อยลูกศรแซมเป็นเส้นสายดุจผืนตาข่ายคลุมเหนือหัว เพื่อกดดันแนวหลัง เลสเตอร์เลยยิงลูกเดียวตัดข้อต่อปืนของศัตรูอย่างแม่นยำจนกลไกงอพับ วินเซนโซพุ่งเข้าคลุกวงในเพื่อรัวหมัดวัลแคนระเบิดเปลวไฟสั้น ๆ เป็นดอกไม้ไฟจาง ๆ บนหมวกเกราะ ในขณะที่อิซิเลียเหยียบเงาตัวเองให้ผืนทรายกลายเป็นหล่มกองเอนฟอร์เซอร์สะดุดทีละคู่เหมือนโดนเชือกล่องหนเกี่ยวขา
“ซ้ายสาม” เลสเตอร์ร้องเตือนทุกคนก่อนปล่อยลูกศรสองดอกตัดวิถีกระสุนอย่างรวดเร็ว ราวกับวาดตัวโน้ตดนตรีบังคับให้มือคนยิงชะงัก ลูคัสก็ขยับตัวเขามาปิดระยะรวดเดียวเพื่อฟันก้านหอกช็อตขาดผึงแล้วเอาศอกกระแทกหมวกเกราะศัตรูจนคอหัก วินเซนโซก็รัวหมัดไม่พักในขณะที่ ฮารุโตะวิ่งเฉียง ม้วนตัวสไลน์เข้ามาปกป้องโมนีก้าจากด้านข้าง
สิบห้านาทีถัดมา วงล้อมเอนฟอร์เซอร์แตกกระเจิงเหมือนโดนพายุทราย บางรายนอนกอง บางรายอาวุธหลุดบางรายคุกเข่าหอบหายใจ ขณะที่ทั้งห้าคนยังยืนครบ ขอบโล่ของลูคัสเปื้อนฝุ่นจากเหตุการณ์เมื่อครู่ สันหมัดของวินเซนโซควันคลุ้งด้ายเงาของอิซิเลียหายไปในพื้นเหมือนไม่เคยมี
โครนัสถอนใจยาวเหมือนคนชิมไวน์แล้วพบว่าหวานไปครึ่งโน้ต “พวกไม่ได้เรื่อง ไร้ประโยนช์สิ้นดีเลี้ยงเสียข้าวสุก ต้องลงมือเองจนได้ น่ารำคาญชะมัด” เขาโยนสายตาเฉือนลูกน้องรอบสังเวียนก่อนหันกลับมา “เอาล่ะ เด็ก ๆ โชคดีของพวกเธอใช้ไปเยอะแล้ว ถึงคราวฟังบทเรียนจริง ๆ แล้ว” สิ้นคำก็เกิดลมสะบัดทรายยกตัวเป็นเงาศร ผืนอากาศไหวอย่างคนสะอื้นก่อนสงบ โครนัสลงแตะพื้นนุ่มเท้าราวไม่มีแรงโน้มถ่วง เขาก้าวทีละก้าวมาทางกลางวงที่เลสเตอร์บังโมนีก้าไว้
“ส่วนเธอ...ช่วยตายไปก่อนได้ไหม” โครนัสเอ่ยกับทางโมนีก้าเพราะตอนนี้เขาเห็นว่าเธอไม่จำเป็นสำหรับเขา ก็แค่เดมิก็อดอ่อนแอคนหนึ่ง
“ถ้าเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันจะทดลองให้เครื่องของแกรู้จักคำว่าเสียใจ” เลสเตอร์พูดเรียบ ดวงตาสีฟ้าของเขาคมจนดูเหมือนใบมีดน้ำแข็ง เขายกธนูค้างระดับหัวใจของโครนัสแต่ไม่ยิง เพราะรู้ว่าคนตรงหน้ามีทั้งกลของมนุษย์และพรของเทพซ้อนทับกันเป็นเกราะที่มองไม่เห็น
โครนัสหัวเราะในคอ “น่ารักดีแต่ไม่พอหรอกนะ” เขาตวัดมือจนคิวบ์พลังงานสามลูกจากเครื่องใต้สังเวียนลอยขึ้นมาวนรอบตัวเขาเหมือนวงโคจรส่วนตัว แสงภายในวูบวาบเป็นสัญญาณของอำนาจที่เขาเคยปล้นมา “ทดสอบสุดท้ายก่อนขึ้นแท่นจริง ใจของพวกเธอจะสั่นเป็๋นเพลงไหนกันนะ เมื่อแสงของเอเรบัสจ้องกลับมา” โครนัสดันแว่นที่ไม่มีอยู่จริงบนสันจมูกท่าทางเสียดสีตัวเอง “งั้นเริ่มกันเลย…และหวังว่าเธอจะไม่ตายเร็วเกินไปนะ เด็กผมม่วง ฉันยังอยากลองฆ่าเธอดูด้วยตัวเองอยู่”
เสียงเครื่องใต้โคลอสเซียมฮัมต่ำลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนทรายสั่นเป็นระลอก โครนัสลอยต่ำเหนือผืนทรายเหมือนเงานกแร้งลากลมของซุสไว้ที่ฝ่ามือ ขณะที่คิวบ์สามลูกหมุนวนรอบตัวเขาเป็นวงโคจรส่วนตัว แสงสีหมึกในนั้นกะพริบราวนัยน์ตาของสิ่งโบราณที่กำลังจ้องตอบ
การต่อสู้แตกเป็นชั้น ๆ ในพริบตา เลสเตอร์กับฮารุโตะถอยลงประกบสองข้างของโมนีก้า จับเส้นทางกระสุนพลังและสายลมเฉือนแทนเธอจนรับแรงปะทะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลูกศรของฮารุโตะพุ่งไปเหมือนฝนเรียงเส้น บางดอกแฉลบเกราะลมของโครนัสกลับมาเป็นคลื่นสวนจนเขาต้องกัดฟันรับด้วยไหล่จนเลือดซึมผ่านแขนเสื้อแต่ยังยิ้มบาง “ไม่เป็นไรนะครับโมนีก้า คุณจะปลอดภัย”
ส่วนเลสเตอร์จงใจยืนสูงกว่าโมนีก้าครึ่งก้าวทุกวินาที มือหนึ่งยิง มือหนึ่งยกโล่บาง ๆ คั่นระหว่างแสงหมึกกับร่างเปราะบางของเด็กสาวครั้งแล้วครั้งเล่า เปลวแสงตีกลับกระแทกซี่โครงเขาเป็นริ้วช้ำ ทว่าดวงตาฟ้ายังนิ่งเหมือนทำแผนที่ลม
โครนัสมองภาพนั้นอย่างขบขัน “ความรู้สึกที่อ่อนไหวเป็นตัวแปรที่คาดเดาได้ยาก ส่วนใหญ่ทำให้สมการรวนจนพังเสียมากกว่า” เขากวาดมือ คิวบ์ลูกหนึ่งพ่นเส้นแสงล่อเลี้ยวลงต่ำ เป้าเดียวของเขาในตอนนี้คือโมนีก้าที่หากเธอตายคงจะสร้างความสะใจให้เขาได้ไม่น้อยเพราะสำหรับเขาแล้ว เธอ ไม่ จำ เป็น
เลสเตอร์ยิงสวนซ้อนกับฮารุโตะ ลูกศรสองดอกตัดกันกลางอากาศกลายเป็นรูปกางเขนพอดีรับเส้นแสงนั้นจนแตกพร่า หากแรงสะท้อนก็ย้อนไปกระแทกอกทั้งคู่เหมือนค้อน ลมหายใจหลุดพร้อมกัน เลสเตอร์ทรุดเข่าซ้ายลงชั่ววูบ ฮารุโตะหายใจสั้นเจ็บดังซี๊ดแต่ฝืนลุกปักศรใหม่ทันที
การต่อสู้นี้โมนีก้าทำได้เพียงมอง ดวงตาสีเทาเงินสั่นจนภาพเบลอมือบางขยับกำมือแน่น เล็บจิกลงเนื้อจนเลือดซึม ความรู้สึกไร้ค่ากัดกินเหมือนไฟช้า ๆ เธออยากลุก อยากตะโกน อยากแทนที่เขาให้หมด แต่ร่างกายมันไม่ยอม เธอจึงทำสิ่งเดียวที่ทำได้คือไม่กะพริบตา ไม่หันหนีจากความจริง และจำให้หมดว่าทุกบาดแผลนี้เกิดขึ้นเพื่อเธอจะไม่มีวันปล่อยให้กลายเป็นซากอย่างที่โครนัสพูด
แนวหน้าการต่อสู้กับพลังของโครนัสนั้นกระชับเข้ามาทุกครั้งเมื่อลูคัสและอิซิเลียรับการต่อสู้ด้านหน้า วินเซนโซที่เห็นจังหวะดี คิ้วเขาเชิดขึ้นอย่างคนเจอปริศนาชิ้นใหม่ “คอมโบนี้ฉันชอบ” เขาพุ่งต่ำหลบลมเฉือน ล้วงแผงเชื่อมต่อเส้นใยจากสนับมือแทงเข้าสะดือเครื่องวงแหวนชั้นนอก “อรุณสวัสดิ์ครับระบบรักษาความปลอดภัย เอสเปรสโซช็อตแรง ๆ จากวัลแคน” นิ้วเขาเต้นรัว เสียงล็อกสลับดังติ๊ดๆ ไล่กันเป็นเมโลดี้ “ปิดไฟร์วอลล์หนึ่ง…สอง…โอ้ นี่อะไร ลิงก์แอบดูดพลังเอเรบัสตรงเข้าสนับสนุนวงจรควบคุม สกปรกใช้ได้เลยนะเนี้ย” เขากระตุกแผงควบคุมพลางกัดฟัน
“ฉันดึงฟิวส์ทิ้งแล้วนะ!”
สิ้นคำนั้นเครื่องใต้ดินสะอึกจนเสียงต่ำลึกสะดุดครืดเดียว โครนัสที่เห็นก็หรี่ตามองวินเซนโซ “มือช่างซนนัก” เขากางนิ้วราวจะบีบอากาศ คิวบ์สองลูกพรวดลงล้อมวินเซนโซ แต่เงาสีเข้มของอิซิเลียผุดขึ้นเป็นบานพับมืดกว้างตัดแนวการล็อก เหมือนปิดประตูใส่หน้าคิวบ์ “มือช่างของเราอยู่ใต้การปกป้องของน็อกซ์” อิซิเลียเอ่ยเรียบ ผ้าคลุมเงากระเพื่อมเป็นริ้ว
ลูคัสกระแทกโล่ชนลมอย่างบ้าบิ่นแล้วฟันเส้นพลังให้เบนทิศ พลางพุ่งเข้าโจมตีตัวโครนัสโดยตรงชุดคอมโบของทหารโรมันที่ไม่มีอะไรซับซ้อนนอกจากแรงศรัทธา “พร้อมกัน!” เลสเตอร์สูดลม กางคันธนูจนสุด โน้ตสั้นสามจังหวะหลุดจากไรฟันเป็นสัญญาณ โหมรับกับศรของฮารุโตะ เงาของอิซิเลีย และไฟของวินเซนโซรวมเป็นพายุเดียวพุ่งใส่แกนควบคุมกับตัวโครนัสพร้อมกัน
การชนกันนั้นเหมือนสายฝนกระแทกผิวกลอง คิวบ์แตกสะเก็ด แกนภายนอกของวงแหวนสะท้าน ลมหายใจของเอเรบัสในเครื่องจากที่วางท่ามั่นคงก็เริ่มทำงานผิดพลาด พลังงานมืดเดือดพล่าน บิดงออย่างเหนื่อยหน่ายการถูกจองจำมานานเกินไป
“หยุด—!!!!” โครนัสสะบัดมือจะล็อกระบบกลับ แต่สายมือวินเซนโซชิงดึงสายกราวด์ปลอมเสียก่อน “เสร็จสิ้นภารกิจ” พ่อหนุ่มติดกาแฟหัวเราะหอบ
ตึง—!!!!
คลื่นพลังงานหลังจากนั้นไม่ใช่การระเบิด หากเป็นการหายใจแรงของสิ่งที่หลุดออกจากห่วงโซ่ ชั่วพริบตาผืนทรายทั้งสังเวียนเต้นเป็นคลื่น น้ำตะกอนในผนังหินไหลเป็นเส้นแวววับเหมือนดาวหาง ทุกคนถูกผลักถอยครึ่งก้าว แต่ไม่บาดเจ็บมีเพียงกระดูกสันหลังสั่นจนรู้สึกได้ว่ามีอะไรโบราณมากกำลังมองผ่านพวกเขาอยู่
และในคลื่นนิ่งนั้นกลับปรากฎบางอย่าง…เลสเตอร์เห็นก่อน ดวงวิญญาณทั้งสิบสองสายลอยขึ้นจากขอบเครื่องอย่างอ่อนโยน ร่างของเด็กหนุ่มสาวผู้ครึ่งหนึ่งเป็นแสง ครึ่งหนึ่งเป็นเงา แต่ไร้โซ่เสียแล้ว พวกเขาไม่ได้โกรธมีเพียงความโล่งและเศร้าแบบหวานปนขม ดวงตาของบุตรแห่งมาร์สยกมือคำนับลูคัสแบบทหารแม้ว่าเขาจะไม่เห็น ดวงตาของบุตรแห่งวัลแคนพยักหน้าหาเล็ก ๆ อิซิเลียเด็กหญิงยกคางเล็กน้อยอย่างคนไม่ชอบแสดงความรู้สึก แต่ปลายนิ้วกำชายผ้าคลุมแน่นขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเห็นภาพนั้น
วิญญาณผู้มีแสงทองที่นิ้ว บุตรแห่งอะพอลโล หันมาหาเลสเตอร์โดยตรง แววตาเขาเต็มไปด้วยความอุ่นที่ทำให้ทรวงอกปวดแปลก ๆ เขายิ้ม ทั้งที่น้ำตาค้างอยู่ตรงหางตา ขอบคุณ…พ่อ คำที่ไม่ได้เอ่ยด้วยเสียง แต่ชัดเจนยิ่งกว่าเสียงใดในโลก เลสเตอร์แข็งค้างเหมือนถูกน้ำทะเลเช้าโอบรัด ทั้งปลื้ม ทั้งเจ็บ ทั้งอยากเปิดอกบอกความจริงแต่เขาทำไม่ได้ เขาเลยทำเพียงสิ่งเดียว ยกนิ้วแตะคันธนูเบา ๆ ส่งโน้ตสั้นที่มีแต่เขาและลูกชายจะได้ยินกลับไป
อิซิเลียก็เห็น…เธอเห็นพวกเขาทั้งหมดและในเงาตาของเด็กหญิง นานมากแล้วที่คำว่า เพื่อน ไม่ได้หมายถึงแค่คนเป็น เธอค้อมศีรษะน้อย ๆ ห้ขบวนวิญญาณราวแม่ทัพทำความเคารพกองทหารที่ลาจาก แสงพวกนั้นจางลงทีละดวงสลายหายไปเหมือนละอองหิมะในลมหายใจอุ่น
คลื่นสะเทือนค่อย ๆ จางลงแต่โคลอสเซียมทั้งแท่งยังครางเหมือนสัตว์นอนดิ้น เปลวเงาตามผนังโบกไหว ฮารุโตะนั่งทรุดหอบข้างโมนีก้า แขนเสื้อชุ่มเลือดแต่ยังยิ้มได้ วินเซนโซนั่งแปะลงกับทราย หัวเราะหึ ๆ แบบคนโล่งทุกอย่างออกไปจากอก “โอเค งั้นขอช็อตอากาศแทนกาแฟสักหนึ่งนาที” อิซิเลียยืนเฉยเหมือนรูปสลักแต่เงาใต้เท้าของเธอแผ่ออกล้อมทุกคนไว้หนาแน่นกว่าทุกครั้ง ในขณะที่ลูคัสเดินไปทางโครนัสที่เหมือนกับมองเครื่องนั้นด้วยความอาลัยต่อสิ่งที่เขาทำมาตลอด เขาจับโครนัสมัดไว้ไม่ให้หนีเพราะเขาต้องไปชดใช้กับสิ่งที่ตัวเองทำทั้งหมดทั้งที่เขาทำกับเดมิก็อดและทุกคนและทั้งที่ องค์กร LoNex ทำกับโลกใบนี้
ภาพที่โมนีก้าเห็นเธอยิ้มเล็ก ๆ ก่อนที่จะพ่นลมหายใจเล็ก ๆ กับสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามันจบแล้วสักทีเป็นจังหวะที่เลสเตอร์เดินเข้ามาหาโฒนีก้าที่กำลังนั่งพิงเสาของห้องนี้ เธอมองหน้าเขาเล็กน้อยแล้วยิ้มเล็ก ๆ แล้วส่ายหัวประมาณว่าฉันไม่เป็นอะไร เพราะตอนนี้เธอพูดไม่ออกจากอาการบาดเจ็บและแผลกำลังสมาทเพราะกินแอมโบรเชียเมื่อครู่ เลสเตอร์จึงเลือกที่แค่นั่งข้าง ๆ เด็กน้อยที่โชคชะตาเล่นตลกมาให้เขาเดินทางกับเธอ