12345
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป

[บันทึกการเดินทาง] Beamed into Duty: Saving Mr. Freckles

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-10-6 10:24:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 40 : ไม่ต้องขับเรือแล้วโว้ย (เสียงวินเซนโซ)
วันที่ 01 เดือน ตุลาคม ปี 2025
เป็นต้นไป ณ ช่องแคบยิบรอลตาร์ ยุโรป จนถึง ชายหาดอาวห์ราน แอลจีเรีย

เสียงคลื่นกระทบหัวเรือ Heesen Yachts Superyacht ดังสม่ำเสมอ จนกระทั่งวินาทีที่ลมหยุดนิ่ง ความเงียบปกคลุมเหนือผิวน้ำ ทุกอย่างดูปกติในชั่วขณะก่อนที่เงาหนึ่งจะทอดยาวบนหัวเรือ  อยู่ ๆ ก็เกิดเสียงฟ้าร้องจากท้องฟ้าที่ควรจะสดใสกลับดังสนั่นราวกับคำเตือนจากเทพเจ้าแห่งพายุ ก่อนที่ลมแรงจะโหมกระหน่ำ เสียงหวีดหวิวของมันดังกลบเสียงเครื่องยนต์ในพริบตา แล้วภาพของชายคนนั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหัวเรือ เขายืนอยู่บนขอบหัวเรือราวกับยืนบนแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์แห่งทวยเทพ อาภรณ์ของเขาเหมือนชาวมายาโบราณ แต่หรูหราจนเกินกว่ามนุษย์ธรรมดา ผิวทองแดงเรืองรอง ดวงตาแฝงประกายอาฆาต และศิราภรณ์ทองคำที่สลักลวดลายงูพันรอบศีรษะดั่งเทพแห่งลมและฟ้า  ผ้าคลุมสีทองแดงและครามสะบัดพลิ้วในลมแรง แต่แสงจากมันกลับดูหนักอึ้งเหมือนแรงของพายุในคราเดียวกัน ชุดของเขามองอย่างไรก็เป็นชุดเครื่องทรงแบบชาวมายาโบราณประดับด้วยขนนกสีแดงอมชมพูปีกใหญ่สะท้อนแสงดั่งเปลวไฟจากสุริยัน ดวงตาของเขามีสีทองเรืองรอง ราวกับมองทะลุจิตใจทุกคนได้ในคราเดียว


“ข้าคือคูคูลคาน” เสียงของเขาแผ่วต่ำแต่กลับดังสะท้านไปทั่วทั้งเรือ ทุกคนชะงัก หัวใจเต้นแรงโดยไม่รู้สาเหตุ แม้แต่ลูคัสที่กล้าท้าทายยักษ์ไซคลอปส์มาก่อนยังรู้สึกเหมือนมีมือมองไม่เห็นบีบรัดลำคออยู่ในตอนนี้  เขากวาดสายตามองทุกคนด้วยแววเย็นชาและเมื่อสายตานั้นหยุดที่โมนีก้า สีหน้าของเด็กสาววัยสิบห้าก็ซีดเผือดลงในทันที ความรู้สึกเย็นเฉียบแล่นเข้าครอบงำ ร่างเธอสั่นสะท้านโดยไม่รู้สาเหตุ สายตาของเธอสั่นไหวจนแทบมองไม่เห็น เธอไม่รู้ว่าทำไม แต่เพียงได้สบตาชายผู้นี้ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจกลับตื่นขึ้นมาอย่างรุนแรง หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก เหมือนเธอเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน


หรือว่า…ฝันนั้น


“ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะต้องชดใช้... โลกใบนี้ต้องถูกฟื้นฟูใหม่ ภายใต้ผู้ที่ข้าเลือกสรร” ทุกคำที่หลุดจากริมฝีปากนั้นเหมือนแรงอัดของอากาศที่แทงทะลุเข้าในจิต วิญญาณของเขาหนักแน่นราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับโลกทั้งใบ “พวกเจ้าผู้แย่งชิงเกียรติแห่งเรา... ข้าจะทวงสิ่งที่พวกเจ้าขโมยไปจากชาวมายาคืนมา ทำไม…ทำไม ชาวมายาผู้เคยมอบความรู้แห่งดวงดาวและพลังอาทิตย์ให้แก่โลกนี้ แต่กลับถูกลืม ถูกทรยศ และถูกเหยียบย่ำ”


เสียงอิซิเลียดังขึ้นขัดพร้อมยกมือขึ้นเตรียมพลัง “ระวัง! พลังเขาไม่ใช่มนุษย์—!”


แต่ไม่ทันจบประโยค พื้นน้ำเบื้องหลังคูคูลคานก็ปั่นป่วนเหมือนมีพายุหมุนกลางมหาสมุทร เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังขึ้นจากใต้ทะเลก่อนสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาจะโผล่ขึ้นมา มันคืองูมีปีกขนาดเท่าภูเขาเล็ก ผิวเกล็ดสีเขียวหยกแซมทองแดง มีกลิ่นกำมะถันปะปนลมหายใจทุกครั้งที่อ้าปากเผยเขี้ยวคมยาวเท่าเสาเรือ มันสะบัดหัวขึ้นเหนือผิวน้ำปีกสีแดงปนม่วงกางออกอย่างอลังการจนบดบังท้องฟ้า


“เอาแล้วไง...” วินเซนโซสบถเสียงต่ำ มือบีบพวงมาลัยแน่นขณะเรือเริ่มสั่นสะเทือนจากแรงคลื่น “ทุกคน เกาะไว้ให้แน่น!” เขาพยายามหักพวงมาลัยหลบอย่างสุดแรง 


คูคูลคานเพียงยกมือขึ้นชี้ พริบตานั้น งูปีกยักษ์ก็ฟาดหางลงใส่เรือเต็มแรง เสียง ตูมมม! ดังลั่น น้ำกระเด็นสูงราวตึกสิบชั้น เสียงแตกของไม้ เสียงเครื่องยนต์ระเบิดดังตามมาเป็นลูกโซ่ เรือทั้งลำแหลกกระจายราวกับของเล่น ตัวเรือแตกกลางลำทันที แรงระเบิดกระแทกทุกคนกระเด็นออกไปคนละทิศ


แต่เสียงของเธอถูกกลืนหายไปในเสียงพายุ เธอเห็นเลสเตอร์บนดาดฟ้าโยนตัวออกมาคว้าแขนเธอไว้ทัน “เกาะฉันไว้!” เสียงของเขาดังก้อง แต่แรงกระแทกครั้งต่อมาก็ทำให้ทั้งคู่ปลิวออกจากเรือที่กำลังแตกเป็นสองเสี้ยว เลสเตอร์จับมือเธอแน่นจนรู้สึกถึงแรงสั่นในปลายนิ้ว ดวงตาสีฟ้าของเขาฉายแสงสีทองวาบในเสี้ยววินาทีที่ไม่มีใครทันเห็นและหายไปละลายราวกับละอองน้ำ “อย่าปล่อยนะ โมนีก้า!”


สายตาของคูคูลคานเหลือบมองทั้งคู่ ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธและบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่ามันเหมือนความแค้นผสมเศร้าสร้อย “ดวงอาทิตย์จอมปลอม!...แต่ข้าไม่ได้เลือกเจ้า!!” สิ้นคำเขาเหยียบอากาศเข้ามาใกล้ มือของเขายื่นตรงมาหาโมนีก้าราวจะคว้าเธอจากกลางอากาศหมายกระชากตัวเธอออกจากมือของเลสเตอร์ แต่ยังไม่ทันสัมผัสตัวเธอ ลมพายุขาวบริสุทธิ์ก็โหมกระหน่ำขึ้นทันที เป็นลมกระโชกแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนพัดกระหน่ำขึ้นจากผิวน้ำ เสียงหวีดแหลมของมันดังราวเสียงนกนับร้อยโบยบิน


แสงสีขาวอมฟ้าแตกกระจายออกมารอบตัวโมนีก้า วินาทีถัดมา เงาร่างโปร่งแสงจิตวิญญาณแห่งสายลมก็ปรากฏขึ้นซ้อนทับอยู่กับเหล่าเดมิก็อดทั้งหกคน ปีกแห่งลมขนาดมหึมาพาดปกคลุมร่างทั้งหกที่กำลังจะจมหาย


“บังอาจ!!” คูคูลคานคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เสียงของเขาทำให้ทะเลทั้งผืนสั่นไหว


แต่ทว่าเขากลับมิได้เอ่ยคำตอบ ดวงตาแห่งลมเพียงมองตอบกลับด้วยความเยือกเย็น ก่อนจะพัดพลังมหาศาลออกมาจนคูคูลคานต้องยกแขนขึ้นป้อง แรงลมพัดจนทุกอย่างสว่างจ้าจนมองไม่เห็นสิ่งใด และแล้ว ความมืด…ก็กลืนกินทุกสิ่นให้หายไปจากดวงตาของทั้งหก


เมื่อทุกอย่างสงบลง เหล่าเดมิก็อดทั้งหกก็ตื่นขึ้นท่ามกลางชายหาดกว้างไกลที่ไม่รู้ชื่อ ผืนทรายสีทองอมส้มทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแผ่ว แต่ในอากาศยังมีกลิ่นกำมะถันเจืออยู่…


เสียงคลื่นกระทบหาดดังขึ้นช้า ๆ พร้อมกับแสงแดดอุ่นสาดผ่านเปลือกตา เมื่อโมนีก้าลืมตาอีกครั้ง เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนชายหาดทรายขาวแห่งหนึ่ง ทะเลทอดยาวสุดสายตา เรือ Heesen ที่เคยหรูหรากลายเป็นเศษเหล็กกระจายเต็มฝั่ง เธอยังรู้สึกถึงลมเย็นที่ลูบแก้มอย่างอ่อนโยน ขณะที่เลสเตอร์ที่นั่งข้าง ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนทรายแต่ยังคงหายใจแรง ๆ สายตาทั้งคู่สบกันไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมา มีเพียงลมหายใจและความโล่งใจที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่


แสงแดดยามสายสาดลอดผ่านผืนเมฆสีทองอ่อนลงมาทาบบนชายหาดยาวเหยียด เสียงคลื่นซัดเบา ๆ กระทบฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กลิ่นเกลือทะเลเจืออยู่ในอากาศเย็นที่โชยเข้ามา หลังจากเหตุการณ์โกลาหลเมื่อคืนที่พวกเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากเงื้อมมือของคูคูลคาน บัดนี้ทั้งหกคนถูกพัดมาเกยตื้นอยู่บนผืนทรายโดยไม่รู้ว่ามันคือที่ใด


เลสเตอร์ขยับตัวก่อนใครเพื่อน เขาไอเบา ๆ แล้วมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเหนื่อยล้า “โอ้ย...ท่าทางต้องส่งจดหมายไปขอบคุณเทพฤดูหนาวแล้ว” เขาพูดพลางปัดทรายออกจากเสื้อ ขณะหันมามองเพื่อน ๆ ที่กำลังทยอยลุกขึ้นจากพื้น “แต่สงสัยฉันต้องชดใช้ค่าซ่อมเรือให้เพื่อนซะแล้วสิ...ราคาซักกี่ล้านนะเนี่ย?” เขาว่าอย่างขบขันทั้งที่ในใจรู้ดีว่ามันคงไม่เหลือซากให้ซ่อมแล้ว


เสียงหัวเราะของเลสเตอร์ทำให้บรรยากาศหนักอึ้งค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ลูคัสกลอกตาแล้วพูดเสียงเข้ม “นายก็ยังมีอารมณ์เล่นได้อีกนะทั้งที่เรือพังยับขนาดนั้น” ส่วนฮารุโตะหัวเราะแห้ง ๆ พลางยกมือป้องแดดมองไปทางทะเล “ก็ยังดีกว่าตายกันหมดนะครับ อย่างน้อยเราอยู่ครบหกคน ไม่มีใครบาดเจ็บเลย”


อิซิเลียที่ยืนอยู่ไม่ไกลพึมพำเสียงเรียบ “ไม่มีเรือ...แต่มาถึงเร็วกว่าแผนตั้งหลายวัน” ดวงตาสีเทาของเธอหรี่ลง มองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย ก่อนที่เธอจะพูดเสียงหนักแน่น “ที่นี่คือชายหาดอาวห์ราน ประเทศแอลจีเรีย พวกเรามาถึงฝั่งยุโรปเร็วกว่ากำหนด” วินเซนโซที่กำลังสะบัดทรายออกจากขากางเกงหันมา “อาวห์รานเหรอ...โอเค อย่างน้อยเรายังอยู่บนผืนดิน ไม่ใช่ในท้องปลาวาฬ” เขาพูดพลางส่งยิ้มบาง ๆ ให้อิซิเลีย ส่วนลูคัสก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ดีล่ะ งั้นเราคงต้องหาทางที่จะไปต่อ”


แต่ในขณะที่ทุกคนเริ่มพูดคุยวางแผน เสียงของโมนีก้ากลับไม่ดังขึ้นเลย เธอนั่งเงียบอยู่ตรงก้อนหินริมชายหาด ดวงตาสีเทาเงินมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่มีคลื่นสะท้อนแสงส้มจากแดดยามสาย ดวงหน้าเล็กที่ปกติจะมีรอยยิ้มกลับซีดขาว เธอกำลังขยับนิ้วมือตัวเองเบา ๆ เหมือนพยายามกลั้นบางสิ่งไว้


เลสเตอร์เห็นเข้าก็เดินเข้ามาใกล้ “เฮ้...เธอโอเคไหมน่ะ โมนีก้า?” เขาถาม น้ำเสียงพยายามให้ฟังขี้เล่นแต่ก็ยังมีแววเป็นห่วง โมนีก้าสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้น ยิ้มบางแต่ดูฝืน “ฉันไม่เป็นไรหรอก แค่...ยังมึน ๆ อยู่นิดหน่อย”


ฮารุโตะที่เห็นแบบนั้นจึงเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ โมนีก้าแล้วยื่นขวดน้ำให้ “แน่ใจนะครับ ไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่ไหม” เขาถามอย่างอ่อนโยน แต่โมนีก้ากลับส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่เจ็บ...แค่...” เธอเงียบไปชั่วครู่ก่อนเสียงจะอ่อนลง “เสียงของเขา...คูคูลคาน เสียงนั้น...เหมือนในฝันของฉันเลย”


คำพูดนั้นทำให้ทุกคนเงียบลงทันที อิซิเลียชะงักหันมามองโมนีก้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ในฝัน?” เธอทวนคำ ดวงตาเข้มขึ้นในทันที แต่โมนีก้ายังคงยิ้มบาง ๆ อย่างพยายามกลบความกลัวที่สะท้อนในแววตา “ใช่ค่ะ ฉันเคยฝันเห็น...เสียงแบบนั้น มันพูดถึงดวงอาทิตย์สีดำแล้วก็บอกว่าจะล้างโลกเก่า ฉันคิดว่าเป็นแค่ฝันธรรมดา แต่ตอนนี้...” เธอกลืนคำลงในลำคอมือของเธอกำชายเนื้อแน่น “ฉันไม่แน่ใจอีกแล้วว่ามันคือฝันหรือคำเตือน”


เลสเตอร์ที่อยู่ข้างหลังเธอเงียบไปนานก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของเธอเบา ๆ “ไม่ว่าเสียงนั้นจะมาจากไหน มันไม่ได้เปลี่ยนอะไรทั้งนั้นแหละโมนีก้า” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เรารอดมาได้ นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด ถ้ามันจะมาอีก...ฉันก็จะอยู่ตรงนี้ไง” โมนีก้าเงยหน้ามองเลสเตอร์ที่บอกแบบนั้นดวงตาเธอสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะพยายามฝืนยิ้มอีกครั้ง “อืม...ขอบคุณนะ เลสเตอร์”


อิซิเลียหันกลับมามองพวกเพื่อนที่ยังง่วนกับการตรวจดูของที่เหลือจากเรือที่แตกพังจนเหลือแต่ไม้ผุพังไม่กี่แผ่นและโมนีก้าที่ยังซึมไม่หาย เธอถอนหายใจแล้วพูดเสียงเรียบแต่แฝงแววขุ่นเคืองนิด ๆ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นตอนนั้น” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจและทิฐิอย่างคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา “แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้เศร้าแล้ว เราต้องรีบไปโรมก่อนที่อะไรจะตามมาทันอีก”


คำพูดของเธอทำให้ทุกคนเงียบไปชั่วครู่ ลูคัสยกคิ้วขึ้นแล้วพยักหน้า “เห็นด้วย เราต้องรีบเคลื่อนที่ ถ้าเรายังอยู่ตรงนี้นานกว่านี้คงโดนอะไรอีกแน่” เขาว่าพร้อมกับหันไปมองซากไม้ที่เกยอยู่บนชายหาด “แต่ปัญหาคือ...ตอนนี้เราไม่มีเรือ”


ฮารุโตะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โมนีก้าเอามือเท้าคางแล้วพึมพำ “เครื่องบินก็คงเสี่ยงเกินไปสินะครับ...” เขายิ้มบางแต่แฝงด้วยความกังวล “รถก็ต้องอ้อมรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จะถึงเมื่อไหร่กัน...”


“งั้นก็เหลือแค่ทางเดียวใช่ไหมล่ะ” เสียงทุ้มขี้เล่นของวินเซนโซดังขึ้น เขากำลังถือแก้วกาแฟเย็นที่ไม่รู้ไปหามาจากไหน พร้อมรอยยิ้มสบาย ๆ ที่ดูไม่เดือดร้อนเลยสักนิด “นั่งเรือเฟอร์รีสิ พวกนายลืมไปหรือเปล่าว่าที่นี่เป็นเมืองท่าระดับใหญ่ของแอลจีเรียน่ะ ยังมีเรือข้ามประเทศไปยุโรปได้อยู่”


เลสเตอร์ที่ยืนมองเส้นขอบฟ้าอยู่ก่อนแล้วหันกลับมา “เฟอร์รีเหรอ ฟังดูดีแฮะ อย่างน้อยไม่ต้องขับเองล่ะสิ ใช่ไหมล่ะ?” เขาแกล้งพูดล้อวินเซนโซก่อนจะยิ้มมุมปาก “นายคงขี้เกียจขับเรือแล้วสินะ”


“แน่นอน” วินเซนโซหัวเราะในลำคอ “ฉันเกิดมาเพื่อคิดมากกว่าทำไงล่ะ” เขาวางแก้วกาแฟลงบนกล่องไม้เก่า ๆ ก่อนอธิบายอย่างจริงจังขึ้น “เส้นทางที่เร็วที่สุดคือจากอาวห์รานไปอัลเมเรีย หรือไม่ก็ตรงไปบาร์เซโลนา จากนั้นนั่งเรือต่อไปยังท่าเรือชิวิตาเวกเกียของอิตาลี นั่นแหละโรม พวกเราจะไปถึงในวันเดียวโดยไม่ต้องขับเรือเองสักนิด”


อิซิเลียหรี่ตาแล้วพยักหน้าช้า ๆ “สมองยังใช้การได้สินะ เจ้าอิตาเลียนขี้เกียจ” เธอพูดเสียงเรียบแต่แฝงด้วยรอยยิ้มมุมปากที่หาได้ยาก “ฉลาดดี” ฮารุโตะยิ้มกว้างตอนที่ทุกคนเริ่มมีกำลังใจ “งั้นเรามีแผนแล้วสินะครับ” เขาดูโล่งใจขึ้นถนัดตา ลูคัสก็กำหมัดแน่นอย่างมีความหวัง “เยี่ยม อย่างน้อยเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการหาทางใหม่”


โมนีก้านั่งอยู่บนทรายเงียบ ๆ เธอยังไม่พูดอะไรต่อตอนนี้ ดวงตาสีเทาเงินจ้องมองทะเลเบื้องหน้า แสงแดดสะท้อนในแววตาเป็นประกายสวยแต่แฝงด้วยความกังวลบางอย่างที่ยังไม่คลาย เลสเตอร์สังเกตเห็นแล้วเอ่ยเบา ๆ “ดูเหมือนเธอยังไม่ค่อยสบายใจนะ โมนีก้า”


“หืม?” โมนีก้าสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่หรอก แค่...ฝันนั้นมันยังติดอยู่ในหัวฉันนิดหน่อย” เธอพูดเสียงเบา ดวงหน้าเรียวเล็กเงยขึ้นยิ้มบาง “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ”


เลสเตอร์พยักหน้าช้า ๆ สายตาเขานุ่มนวลขึ้นตอนที่บอกแบบนั้น “งั้นก็ดี เพราะฉันไม่อยากให้เธอฝืนเกินไปนะโมนีก้า” เขาว่าก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าที่ไม่มีดวงอาทิตย์ลับเลย เพราะในโลกที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกนี้แสงสว่างไม่เคยพัก และพวกเขาเองก็ไม่มีเวลาหยุดพักเช่นกัน


อิซิเลียตะโกนเรียกจากอีกฟาก “พวกนาย ไปได้แล้ว! ถ้าช้ากว่านี้เรือรอบเที่ยงจะออก!”

วินเซนโซยกแก้วกาแฟขึ้นชู “เธอจะไม่รอให้ฉันจิบกาแฟหมดก่อนจริง ๆ เหรอ”

“ไม่!” อิซิเลียตะโกนกลับใส่วินเซนโซทันควัน


เลสเตอร์หัวเราะเมื่อเห็นอิซิเลียกับวินเซนโซกับลูคัสและฮารุโตะที่รออยู่ ก่อนจะลุกขึ้นยื่นมือให้โมนีก้า “ไปกันเถอะ ก่อนที่ผู้ใหญ่ในร่างเด็กสาวคนนั้นจะเดินมาลากคอเราเอง” โมนีก้ายิ้มบางรับคำของเลสเตอร์ เธอขยับมือจับมือของเขาแล้วลุกขึ้นยืน แสงแดดกระทบเส้นผมสีม่วงครามของเธอจนดูราวกับมีประกายเงินส่องวาบ ทั้งหกคนเริ่มออกเดินไปตามถนนเลียบชายฝั่งอาวห์ราน เสียงเกลียวคลื่นยังคงดังอยู่เบื้องหลังราวกับกล่อมพวกเขาให้ก้าวต่อไปสู่หนทางที่เต็มไปด้วยอันตรายครั้งใหม่


เสียงเครื่องยนต์ของเรือเฟอร์รี่ Trasmediterranea ค่อย ๆ ดังก้องในอากาศ เมื่อเรือขนาดใหญ่แล่นออกจากท่าเรืออาวห์รานไปบนผิวน้ำเมดิเตอร์เรเนียนอันกว้างใหญ่ ดวงอาทิตย์ยังคงลอยอยู่กลางฟ้า ราวกับไม่คิดจะลับขอบฟ้าอีกต่อไป แสงสีทองส่องประกายระยิบระยับบนผืนน้ำที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ขณะที่สายลมเค็มกรุ่นจากทะเลพัดเข้ามาในห้องโดยสาร ทำให้ผมสีม่วงครามของโมนีก้าปลิวไหวอย่างเบา ๆ


หลังจากเปลี่ยนชุดเปียกชุ่มเป็นเสื้อผ้าแห้งสะอาด ทั้งหกก็ดูเหมือนมนุษย์มากกว่าลูกหมาตกน้ำ เขาเองก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นฮารุโตะกำลังพยายามเป่าผมให้โมนีก้าด้วยผ้าขนหนูอย่างใจดีจนน่าหมั่นไส้ปนความรู้สึกบางอย่าง วินเซนโซในเสื้อเชิ้ตพับแขนขึ้นอย่างสบาย ๆ นั่งเอนหลังดื่มกาแฟร้อนที่ซื้อมาจากคาเฟ่ในเรือ กลิ่นหอมของมันอบอวลอยู่ในอากาศจนลูคัสที่นั่งใกล้ ๆ ยังอดหันไปมองอย่างตำหนิ “นายจะไม่พักบ้างหรือไง” วินเซนโซยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันพักอยู่ไง แค่ไม่หลับเท่านั้นเอง”


ส่วนอิซิเลียในตอนนี้กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงโซฟากลางห้อง สวมหมวกเล็ก ๆ ปักลูกไม้ดำให้เข้ากับชุดโกธิคโลลิต้าของเธอ มือข้างหนึ่งถือหนังสือแผนที่เรือ อีกข้างถือหัวกะโหลกอลันที่วางอยู่บนตัก พลางพูดเสียงนิ่งแต่น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดขาด “เรากำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าอัลเมเรีย ประเทศสเปน ต้องใช้เวลาประมาณหกชั่วโมงถึงจะถึงที่นั่น ที่นั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนเส้นทางต่อไปอิตาลี…ระหว่างนี้ทุกคนพักซะ”


คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศคลายลงอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะดีดฝาแก้วมาม่าขึ้น กลิ่นน้ำซุปโชยุร้อน ๆ ลอยคลุ้งไปทั่วห้อง “โอ้ย กลิ่นดีจังเลยเลยครับ~” เขาว่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะยื่นตะเกียบให้โมนีก้า “ลองไหม ของอร่อยสุดในเรือแล้วนะ”


โมนีก้าไม่มีทางปฏิเสธของอร่อยอยู่แล้ว เธอรับตะเกียบมาพร้อมยิ้มจาง ๆ แล้วคีบบะหมี่ที่พันกันยุ่งเหยิงขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะสูดเสียงเบา ๆ “อืมมม…โคตรดีเลยง่า”  ฮารุโตะหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนสิครับ ของนำเข้าจากญี่ปุ่นเลยนะครับเนี้ย” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของทั้งคู่ทำให้เลสเตอร์ที่นั่งอยู่มุมห้องเหลือบมองขึ้นมา เขากำลังทำท่าทีเหมือนสนใจแค่กีตาร์คลาสสิกที่หยิบมาจากห้องดนตรีของเรือ แต่ความจริงสายตาเจ้ากรรมดันชำเลืองมาที่โมนีก้าทุกครั้งที่เธอยิ้ม เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องคอยมองเธอขนาดนั้น เพราะกลิ่นกายที่คุ้นเคยจนไม่อาจถอนตัวได้ หรือเพราะเสียงหัวเราะของเธอชวนให้เขารู้สึก...สบายใจแบบแปลก ๆ


วินเซนโซที่นั่งข้าง ๆ สังเกตอาการนั้นได้อย่างชัดเจน เขายกแก้วกาแฟขึ้นจิบพลางยิ้มกริ่ม “เลสเตอร์ นายมองเธอจนบะหมี่จะสุกเพิ่มอีกรอบแล้วนะ” เสียงล้อเล่นเรียบง่ายแต่แฝงเจตนาแหย่ เลสเตอร์ชะงักตอนโดนวินเซนโซพูดงั้นแล้วรีบเบือนหน้าหนีแล้วตอบเสียงขรึม “ฉันแค่มองว่าพวกนั้นกินเสียงดังไปหน่อยต่างหาก”


“แน่ะ แน่ะ...” วินเซนโซหัวเราะบางครั้งเขาก็จับไต๋เลสเตอร์ได้บางอย่างเลยแซวไปงั้นแหละ ทำไงได้ก็คนมันหัวสมองดีเข้าขั้นอัจฉริยะนี้น่า? “นายอาจจะเป็นเทพดนตรีแสนคลาสโนว่า แต่เล่นคุมอารมณ์ตัวเองไม่เก่งเลยนะ” เลสเตอร์เลยกลอกตา “ฉันเป็นมนุษย์นะ เลิกเดาสุ่มมั่วได้แล้ว” เขาตอบเรียบ ๆ แม้ในใจจะขบขันอยู่ไม่น้อยกับคำพูดนั้น เพราะมันคือความจริงที่สุดแสนขมขื่น ที่ตอนนี้เขาไม่ใช่อะพอลโล่ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียงเลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส ที่กำลังเรียนรู้ที่จะเป็นแค่คนธรรมดา


ระหว่างที่ทุกคนผ่อนคลายไปกับมื้อเล็ก ๆ และบทสนทนา เสียงคลื่นจากนอกเรือก็กล่อมให้บรรยากาศสงบลง แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอาบไหล่ของพวกเขาไว้ในโทนทองอบอุ่น ราวกับจะเตือนว่าแม้จะผ่านพายุของภัยคุกคามและยักษ์ไซคลอป์มาได้ แต่หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล


อิซิเลียที่นั่งมองพวกเขาอยู่นานในที่สุดก็พึมพำเบา ๆ ราวกับพูดกับหัวกะโหลกในตักตนเอง “ให้ตายสิพวกนี้ ทำไมดูเหมือนเด็กน้อยในทัศนศึกษามากกว่านักรบกู้โลก...” อลันเหมือนจะตอบกลับในหัวเธอแต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยินเสียงนั้น ขณะที่คนอื่นกำลังหัวเราะ วินเซนโซเติมกาแฟอีกแก้ว ลูคัสระวังภัย ฮารุโตะยื่นขนมหวานให้โมนีก้าเพิ่ม และเลสเตอร์ก็ยังคงแสร้งทำเป็นไม่สนใจโมนีก้าทั้งที่สายตาแอบเฝ้ามองทุกครั้งที่เธอยกยิ้ม

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์และเพื่อน ๆ พบกับชาวมายา คูคูลคาน นั้นมันเทพของชาวมายา เลสเตอร์รู้ว่ามันหมายความว่ายังไงแต่คนอื่น ๆ ไม่รู้เขาเลยไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ทว่าเขาทำลายเรือจนแตก ทั้งหมดต้องมาเกยอยู่ที่ชายหาดของอาวห์ราน อัลจีเรีย แต่มันก็มีเส้นทางอีก ต้องขอบคุณวินเซนโซที่เป็นคนในพื้นที่แหละนะ โมนีก้ายังซึมนิดหน่อยเป็นห่วงแหละ แต่บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าช่วงนี้เริ่มถล่ำลึกไปทุก ๆ ที


[โดนพันมาเกยตื้นที่ อาวห์ราน แอลจีเรีย]

[เดินทางต่อไปที่ อัลเมเรีย สเปน ด้วยเรือเฟอร์รี่ของบริษัทขนส่ง เพื่อเปลี่ยนเส้นทางไป อิตาลี]

[ใช้เวลาเดินทางจนถึงจุดหมายปลายทาง 6 ชั่วโมง]

avatar

Moneka M. Blossom

ไม่สบายใจเลย...ตอนที่ได้ยินเสียงคือกลัวมาก ทำไมต้องเป็นแบบนั้นด้วยนะ แล้วก็ทำให้คนอื่นเป็นห่วง พยายามเข้าโมนีก้า เธอต้องเข้มแข็งนะ 

avatar

Vincenzo Bergamotto

ไม่ ต้อง ขับ รถ หรือ ขับ เรือ แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

avatar

Icilia Dominicus

เหนื่อยใจ..เห่อ ช่วยเป็นผู้ใหญ่กันทีเจ้าพวกนี้

avatar

Lucas Aquinas

ก็พักแค่ไม่ได้หลับตาไป

avatar

Haruto Higa

ผมคิดถึงอาหารญี่ปุ่นที่สุดเลย!!!

[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-10-6 12:39
โพสต์ 106906 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-6 10:24
โพสต์ 106,906 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-6 10:24
โพสต์ 106,906 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-6 10:24
โพสต์ 106,906 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-6 10:24
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-6 15:10:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 41 : เริ่มแปลก ๆ แล้วนะ
วันที่ 01 - 02 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเย็น เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ อัลเมเรีย สเปน จนถึง บาร์เซโลนา สเปน

เสียงหวีดเรือดังขึ้นยาวเมื่อเรือเฟอร์รี่เทียบท่าที่เมืองอัลเมเรียในเวลา 18.00 น. แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดกระทบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นประกายสีทองอ่อน ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิทแต่ก็เริ่มแต้มด้วยสีส้มอมชมพูที่ปลายขอบฟ้า ลมทะเลพัดกลิ่นเกลือเข้าปะทะใบหน้า ทั้งหกคนก้าวลงจากเรือท่ามกลางเสียงผู้โดยสารมากมายที่กำลังทยอยออกจากท่า ทันทีที่เท้าแตะพื้นคอนกรีตของท่าเรืออัลเมเรีย พวกเขารู้สึกถึงความแตกต่างทันที กลิ่นอาหารทะเลสด เสียงภาษาสเปนที่คุ้นบ้างไม่คุ้นบ้าง และแสงไฟนีออนจากร้านกาแฟเล็ก ๆ ริมถนนที่เริ่มเปิดให้บริการในยามค่ำ


วินเซนโซสูดหายใจลึก “อา... กลับมายุโรปทีไรเหมือนกลับบ้านทุกที” เขาว่าอย่างสบายอารมณ์ มือซ้ายถือแก้วกาแฟที่ไม่รู้ไปซื้อมาตอนไหน ส่วนมือขวาก็ล้วงกระเป๋ากางเกง เดินนำหน้าทุกคนอย่างคนคุ้นทางเต็มที่


“กลับบ้านของนายสิ ของฉันนี่มันคือเขตศัตรูชัด ๆ” ลูคัสบ่นพึมพำ สีหน้าไม่ไว้ใจนักกับความพลุกพล่านรอบตัวพลางดึงเสื้อคลุมให้กระชับแน่นขึ้น ส่วนโมนีก้าที่เพิ่งก้าวพ้นจากทางเดินลงเรือมาก็ชะงักเล็กน้อย เธอมองรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง มือจับกระเป๋าแน่นราวกับกลัวจะหล่น “ฉันว่า... นี่มันยุโรปของจริงเลยสินะ” เสียงเธอเบาเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าคนอื่น แสงจากโคมไฟริมท่าเรือสะท้อนในดวงตาเทาเงินของเธอจนดูราวกับกระจก


ฮารุโตะหัวเราะเบา ๆ แล้วตบไหล่เธอ “อย่ากังวลเลยน่า อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องแอบขึ้นฝั่งเหมือนโจรสลัดแล้วนี่นา” เขาหยิบพาสปอร์ตขึ้นมาชูอย่างภูมิใจ “ผมถือพาสปอร์ตญี่ปุ่นนะครับ เห็นไหม ของมันแรงจริง ๆ!”


เลสเตอร์กลอกตาใส่ “อย่าอวดนักเลย นายก็แค่โชคดีที่ประเทศนายไม่ต้องขอวีซ่าเชงเก้น”


และทันทีที่ได้ยินแบบนั้นโมนีก้ากับลูคัสหันมามองหน้ากัน สีหน้าทั้งคู่ไม่ต่างกันนัก หน้าของพวกเขาซีดเผือดและมีแววกังวลชัดเจน “เอ่อ...ฉันไม่มีพาสปอร์ตยุโรปนะ แล้วเราจะผ่านด่านได้ยังไง?” โมนีก้าถามเบา ๆ ส่วนลูคัสที่ปกติไม่เคยกลัวอะไรถึงกับพยักหน้าเห็นด้วยทันที “ฉันก็เหมือนกัน นายจะให้เราปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวงั้นเหรอ? นั้นมันหลบหนีเข้าเมืองเป็นผีน้อยชัด ๆ”


อิซิเลียที่เดินนำหน้าด้วยท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนก่อนหยุดเท้าแล้วหันกลับมาทางด้านหลัง ดวงตาเทาเย็นเยียบสะท้อนแสงจากโคมไฟราวกับกระจก “ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นจัดการไว้แล้ว” เธอพูดเรียบ ๆ พร้อมหยิบซองเอกสารบางออกมาจากกระเป๋าชุดเดรส “นักบินเพื่อนสนิทของเลสเตอร์น่ะ เขาให้วีซ่าเชงเก้นไว้ก่อนที่เราจะออกจากแคนาดาแล้ว สำหรับทุกคนที่ไม่ใช่พลเมืองยุโรป”


เลสเตอร์ไอแห้ง ๆ แล้วพยายามเปลี่ยนเรื่อง “อืม...ใช่ เขาเป็นคนดีมาก ๆ เลยล่ะ ฮะ ๆ” พยายามทำเสียงให้ร่าเริง แต่แววตากลับหลบเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำว่า ‘เพื่อนนักบิน’ แต่ดวงตาเขากลับหันเหลือบไปทางโมนีก้าแบบไม่รู้ตัวดูว่าเธอทำหน้าแบบไหน แต่เมื่อเห็นว่าโมนีก้าไม่มีท่าทีสงสัยก็เหมือนกับโดนภูเขาออกจากอก


เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้อย่างไม่มีปัญหา พวกเขาทั้งหกก็ได้สูดอากาศยุโรปเต็มปอดครั้งแรกในรอบหลายวัน แสงแดดยามเย็นเริ่มจางลง ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นม่วงอ่อนก่อนจะกลืนเข้าสู่ช่วงเวลาพลบค่ำ 18.30 น. พอดี เสียงคลื่นจากทะเลด้านหลังยังดังคล้ายเสียงลมหายใจของโลกที่ไม่มีวันหลับ “ปลอดภัยแล้วสินะ...ใช่ไหม?” โมนีก้าเอ่ยเบา ๆ ขณะยืนมองเส้นขอบฟ้า เธอยกมือป้องตา แสงสุดท้ายของวันสะท้อนบนผิวทะเลราวกับแผ่นกระจกเงิน เธอรู้สึกเหมือนใจเบาลงเล็กน้อยหลังจากหลายวันที่ผ่านพายุคลื่นยักษ์และความกลัวที่ไม่สิ้นสุด


“ยังไม่หมดหรอก” อิซิเลียพูดขัดขึ้นทันที น้ำเสียงเธอเยือกเย็นแต่ไม่ใช่ไร้ความเมตตา “ต่อไปเราต้องนั่งรถไฟความเร็วสูงไปบาร์เซโลนา แล้วค่อยต่อเรือจากที่นั่นไปโรม เส้นทางนี้ปลอดภัยที่สุดและไวที่สุด”


วินเซนโซหัวเราะเบา ๆ “พูดง่ายเหมือนขับรถเล่นเลยนะ คุณผู้กำกับการ”

“แน่นอน เพราะฉันไม่ได้เป็นคนขับ” อิซิเลียตอบกลับเสียงนิ่ง ดวงตาไม่แม้แต่จะหันมามองเขา

ลูคัสก้าวขึ้นมาข้างหน้าพวกเขามือจับกระเป๋าเป้ของตนเองแน่น “ไม่ว่าทางไหน เราก็ควรไปถึงโรมให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นวันใหม่ถ้าทัน”


“แต่โลกนี้ไม่มีวันใหม่หรอกนะ จำได้ไหม?” เลสเตอร์พูดขึ้นเสียงเบา สายตาเขาเหม่อมองท้องฟ้าที่ค่อย ๆ มืดลงเพราะช่วงพลบค่ำ “ตั้งแต่พระอาทิตย์ไม่ยอมตกจริง ๆ โลกนี้ก็เหมือนติดอยู่ระหว่างกลางวันตลอดเวลา” โมนีก้ามองเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเบา ๆ ราวกับพึมพำกับตัวเอง “งั้นเราก็แค่ต้องหาทางทำให้ดวงอาทิตย์กลับมาตกอีกครั้ง…ใช่ไหม?”


เลสเตอร์เงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาสีฟ้าลึกวูบหนึ่งดูเศร้ากว่าปกติ แต่เขากลับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “อืม...ถ้าเธอพูดแบบนั้น ฉันก็ไม่กล้าเถียงหรอก”


อิซิเลียเดินนำหน้ากลับเข้าเมือง ท่ามกลางแสงไฟริมทางที่เริ่มส่องสว่างขึ้นทั่วอัลเมเรีย “หยุดพูดมากได้แล้ว ทุกคน ไปที่สถานีรถไฟ เรามีเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนขบวนสุดท้ายจะออก” เสียงฝีเท้าของทั้งหกดังสะท้อนบนพื้นหินกรวดของถนนที่ทอดยาวเข้าสู่เมืองเก่าของอัลเมเรีย แสงไฟจากร้านอาหารและเสียงดนตรีสเปนคลอเบา ๆ อยู่ในอากาศ แต่ในใจของพวกเขากลับรู้ดีว่า หลังจากคืนนี้...เส้นทางสู่กรุงโรมจะยิ่งอันตรายขึ้นทุกขณะ


แสงไฟจากสถานีรถไฟความเร็วสูงแห่งอัลเมเรียส่องสว่างไปทั่ว ยามนี้เป็นช่วงหัวค่ำที่ฟ้าถูกย้อมด้วยเฉดม่วงอ่อนแซมด้วยแสงไฟนีออนสีเหลืองทอง เสียงประกาศขบวนรถไฟดังเป็นระยะ พร้อมกับเสียงล้อเหล็กบดไปตามรางราวกับจังหวะหัวใจของเมืองใหญ่ ทั้งหกคนเดินเรียงแถวกันเข้าไปในสถานี ท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังรอขึ้นขบวนกลับบ้านหรือเดินทางไปเมืองอื่น อิซิเลียเดินนำหน้า ดวงตาเทาสว่างราวกับสะท้อนทุกการเคลื่อนไหวรอบตัว เธอชะงักเล็กน้อยเมื่อเหลือบเห็นชายในเครื่องแบบตำรวจสองคนที่ยืนอยู่ข้างเสา ดวงตาพวกเขาเหลือบมองมาทางกลุ่มอย่างจับผิด


“ไม่ชอบสายตาพวกนั้นเลย...” อิซิเลียพูดเสียงเบาแต่ชัดเจนพอให้ทุกคนได้ยิน เธอไม่ละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว มือข้างหนึ่งกำหัวกะโหลกอลันไว้แน่นราวกับกำลังสื่อสารอะไรกับมันทางจิต “เราจะไม่ขึ้นโบกี้กลางนะขึ้นโบกี้สุดท้าย ฉันไม่ไว้ใจคนพวกนั้น” วินเซนโซพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขายกมือขึ้นเกาศีรษะเล็กน้อยพลางยิ้ม “โอเค ได้สิ ขบวนท้ายสุดนี่เสียงเครื่องจักรดังหน่อยแต่ฉันชอบแบบนั้นอยู่แล้ว” เขาพูดติดตลกเหมือนจะคลายบรรยากาศตึงเครียด แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะ


ลูคัสมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง มือจับห่วงกระเป๋าสะพายที่มีดาบซ่อนอยู่ข้างในที่โดนหมอกปิดบัง เขากล่าวสั้น ๆ “ฉันเห็นด้วยกับอิซิเลีย เราควรอยู่ให้ห่างจากฝูงชนไว้ก่อนจนกว่าจะถึงบาร์เซโลนา”


เมื่อพวกเขาซื้อตั๋วเสร็จ ทั้งกลุ่มก็เดินขึ้นรถไฟความเร็วสูง AVE สีขาวสะอาดตา เสียงประตูเลื่อนปิดตามหลังช้า ๆ ก่อนที่ขบวนจะเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาอย่างราบเรียบ เสียงหวีดเบา ๆ จากแรงดันอากาศดังขึ้นพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่แทบไม่รู้สึก


ในโบกี้สุดท้ายนั้นเงียบกว่าที่คิดไว้มาก มีเพียงเสียงลมหวีดผ่านกระจกและเสียงเครื่องยนต์ที่พึมพำในจังหวะสม่ำเสมอ ทั้งหกเลือกที่นั่งอย่างเป็นระเบียบ อิซิเลียนั่งริมหน้าต่างโดยมีวินเซนโซข้าง ๆ ส่วนลูคัสกับเลสเตอร์เลือกที่นั่งตรงข้ามกัน ส่วนโมนีก้าหลังจากเหลือบมองเลสเตอร์สั้น ๆ ก็เอ่ยเบา ๆ “งั้นฮารุโตะคะ ขอนั่งกับฮารุโตะได้ไหม?”


“เอ๊ะ? อ่า ได้สิครับ!” ฮารุโตะรีบขยับของให้ทันที ใบหน้าเขามีรอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับของเขาเสมอ แม้ในสถานการณ์ที่ใครต่อใครตึงเครียดก็ตาม


เลสเตอร์ชะงักไปครู่หนึ่ง มือที่กำลังจะวางกระเป๋ากลับหยุดกลางอากาศ เขามองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจปนงุนงงเพราะปกติโมนีก้าจะนั่งข้างเขา ดวงตาสีฟ้าสะท้อนแสงไฟในโบกี้เป็นประกายเย็นวาบ “ได้สิ นั่งตรงนั้นก็ดีนะ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างหน่วงแน่น เขาไม่รู้ว่าทำไม... แค่เห็นเธอนั่งหัวเราะแบบนั้นแล้วมันขัดหูขัดตาไปหมด


ลูคัสเหลือบมองเขาแล้วหัวเราะในลำคอ “อะไรล่ะ นายดูไม่สบายนะ ปวดหัวเหรอ หรืออิจฉาเด็กญี่ปุ่นนั่น?” เลสเตอร์สะดุ้งตอนโดนแซว “เฮ้! ฉันไม่ได้อิจฉาใครทั้งนั้น แค่—” เขาหยุดพูดเมื่อเห็นลูคัสยักคิ้วล้ออย่างเจ้าเล่ห์แล้วเบือนหน้าออกไปมองหน้าต่างแทน เสียงหัวเราะเบา ๆ ของลูคัสทำให้เขาอยากกลืนคำพูดตัวเองกลับทั้งหมด...ใครมันจะอิจฉาลูกตัวเองกันนะ?


อิซิเลียวางหัวกะโหลกอลันไว้บนโต๊ะกลาง “อย่าพูดเสียงดัง ฉันยังรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างตามเรามา” วินเซนโซหันไปมองทางอิซิเลียเหมือนกัน “พูดจริงเหรอ? ฉันเห็นแค่ตำรวจเมื่อกี้เอง”


“ตำรวจนั่นแหละ... ไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นคน หรือเปล่า” เธอตอบนิ่ง ๆ แล้วหันไปมองหน้าต่าง แสงไฟข้างทางลอดเข้ามาเป็นเส้น ๆ วูบผ่านในความมืด “แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรมีอยู่ในโลกมนุษย์แน่...หรือว่า…”


โมนีก้าหันไปมองนอกหน้าต่างด้วยเช่นกัน ดวงตาเทาเงินของเธอสะท้อนแสงไฟสีส้มจากเสาไฟข้างราง “ฉันก็รู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่ลงเรือมาแล้ว เหมือนมีใครบางคนมองอยู่ตลอดเลยค่ะ...” ฮารุโตะพยายามยิ้มปลอบ “อาจเป็นเพราะเหนื่อยเกินไปก็ได้นะครับ โมนีก้าจะพักสายตาหน่อยไหม? เดี๋ยวผมจะคอยเฝ้าให้เอง” โมนีก้าพยักหน้าเบา ๆ แต่ยังไม่วางใจ ขณะรถไฟแล่นผ่านชนบทของสเปน ความมืดที่ปกคลุมภายนอกเริ่มกลืนกินท้องฟ้า แสงพลบค่ำแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงหม่น เสียงเครื่องยนต์ดังก้องเหมือนหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่กำลังเต้นอยู่ใต้พื้นโลก


ในความเงียบนั้นเอง อิซิเลียหลับตาและกระซิบกับหัวกะโหลกเบา ๆ เป็นภาษาที่ไม่มีใครฟังออก วินเซนโซมองเธอจากหางตาแล้วถอนหายใจ “ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าเราจะได้ถึงโรมโดยไม่เจอเรื่องอะไรอีกไหม”


ระหว่างการเดินทาง 9 ชั่วโมงยังไม่ถึงครึ่งทางอยู่ ๆ เสียงฝีเท้าของตำรวจสองนายดังขึ้นในโบกี้ราวกับจังหวะเหล็กที่ถูกเคาะซ้ำในความเงียบ พวกเขาเดินตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้มแข็งทื่อ ใบหน้าขาวซีดไร้รอยย่น ร่างสูงใหญ่เกินมนุษย์ทั่วไปในเครื่องแบบตำรวจสเปนที่สะอาดจนผิดปกติ แสงไฟบนเพดานรถไฟสะท้อนแวววาวจากโลหะใต้ผิวหนังบริเวณข้อมือของทั้งคู่จนวินาทีหนึ่ง ลูคัสจับสังเกตได้และมือเขาก็เลื่อนไปจับด้ามดาบโดยสัญชาตญาณ


“ขอตรวจเอกสารการเดินทางของพวกคุณหน่อยครับ” หนึ่งในนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเกินมนุษย์ ดวงตาสีเทาเย็นเฉียบจ้องอิซิเลียที่นั่งไขว่ห้างอยู่ริมหน้าต่าง เธอไม่ขยับแม้แต่น้อย ก่อนจะถอนหายใจยาว “รำคาญ” เสียงเธอเย็นเยียบราวกับคมมีด “เอามาตรง ๆ เลยดีกว่า ฉันรู้ว่าแกไม่ใช่มนุษย์”


ทันทีที่สิ้นคำ ผิวหนังของตำรวจทั้งสองก็แยกออก เผยให้เห็นเกราะโลหะดำขลับใต้ผิว กล้ามเนื้อสังเคราะห์สั่นไหวพร้อมเสียงโลหะบด เสียงคำรามกลไกต่ำลึกดังขึ้นจากลำคอที่ไม่มีเส้นเสียง “ยืนยันเป้าหมาย... เดมิก็อด พบ 5 หน่วย เป้าหมายลำดับหนึ่ง กำจัด” 


“เดธแมชชีน...” วินเซนโซสบถเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบวัตถุทรงกระบอกจากกระเป๋า “ไม่ใช่ปืนหรอก ฉันฉลาดกว่านั้น” เขาหมุนมันเบา ๆ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนร่างเป็นกรงเล็บแม่เหล็กพลังงานที่เงียบแต่รุนแรง เลสเตอร์กระชากคันธนูออกจากหลัง ม่านตาเขาสั่นไหวสีทองวาบขึ้นชั่วขณะ แต่เขารีบก้มหน้าปิดบังแสงนั้นก็จางหายไปในเสี้ยววินาที “ไม่มีเวลาเล่นแล้ว ฮารุโตะ!”


“จัดให้!” ฮารุโตะพุ่งตัวขึ้นยืน ธนูแสงปรากฏในมือก่อนที่ลูกศรพลังแสงอัดแน่นจะพุ่งทะลุช่องอกของเดธแมชชีนตัวหนึ่งจนเกิดเสียงระเบิดแผ่ว ๆ โลหะสีดำขาดสะบั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยแทบไม่มีเสียงก้องสะท้อนในโบกี้


“โมนีก้า ขวา!” ลูคัสตะโกน พลันดาบของเขาฟาดเข้าที่คอของอีกตัว พลังเทพมาร์สแผ่กระจายออกเป็นเส้นแสงสีแดงราวเปลวเพลิงเลือด เศษโลหะปลิวว่อนแต่เครื่องจักรยังไม่ตาย มันจับคมดาบไว้ด้วยมือข้างเดียวและผลักกลับด้วยแรงมหาศาล โมนีก้าหันตัวไวพอที่จะใช้กราดิอุสแทงทะลุจุดข้อต่อบริเวณชายโครง เสียงโลหะฉีกดังลั่นก่อนที่เธอจะกระโดดถอยกลับไปพิงเบาะ เธอหอบหายใจแรงแต่ยังฝืนยิ้ม “โอ้โห... กล้ามเนื้อเหล็กแท้ ๆ เลยนะเนี่ย...”


“หลบไป!” อิซิเลียยื่นมือขึ้น ม่านพลังสีดำหมุนวนรอบหัวกะโหลกอลันก่อนจะปล่อยแสงเย็นเฉียบออกมาเหมือนหมอกในยามค่ำ มันแผ่ซ่านไปทั่วพื้นและผนังในชั่วอึดใจ เสียงโลหะถูกกัดกร่อนดังแผ่ว ๆ ทั้งสองเครื่องเริ่มสั่น ก่อนที่ร่างของมันจะค่อย ๆ จางลงกลายเป็นผงสีเทาดำ ทุกอย่างจบลงภายในสี่นาที ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีระเบิดใหญ่ มีเพียงเสียงลมหายใจแรง ๆ ของทุกคนและกลิ่นเหล็กไหม้จาง ๆ ในอากาศ


เลสเตอร์นั่งพิงพนักเบาะ ถอนหายใจยาว “พระเจ้า... พวกนี้ฉลาดขึ้นเยอะเลยนะ คราวก่อนยังไม่แฝงตัวขนาดนี้”

“ใช่” อิซิเลียตอบพลางหันมามองศพโลหะที่กำลังสลายเป็นละอองสีทอง “และคราวนี้มันน่าจะรู้ด้วยว่าเราอยู่ตรงนี้ นั่นหมายความว่า—”


“—มันมีมากกว่านี้” วินเซนโซพูดต่อเสียงเรียบ มือเขาหยิบกรงเล็บแม่เหล็กขึ้นมาหมุนเช็กพลังงาน โมนีก้าที่อยู่ข้างฮารุโตะ เธอยกมือแตะต้นคอที่มีคราบเขม่าจากการระเบิดเล็ก ๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าต่าง เห็นเพียงความมืดของพลบค่ำที่มาแทนกลางคืนของภายนอกที่สะท้อนแสงสีขาวจากไฟในโบกี้ ดวงตาเทาเงินของเธอสั่นระริก


เลสเตอร์มองโมนีก้าผ่านกระจกสะท้อน ใจหนึ่งเขาอยากปลอบแต่ก็รู้ว่าการแตะต้องเธอในตอนนี้คงมีแต่จะทำให้ความหวาดกลัวหนักขึ้น เขาจึงเพียงยกธนูขึ้นพาดขาแล้วพูดเสียงเบา “ให้มันลองมาอีกสิ คราวหน้า... ฉันจะไม่ออมมือแล้ว” อิซิเลียมองทุกคนก่อนจะพูดช้า ๆ “อย่าชะล่าใจ พวกมันไม่มีอารมณ์ ไม่มีความกลัวมีแค่คำสั่งและถ้ามีสองสามตัวนี้แสดงตัวในขบวน... ก็อาจจะมีอีกหลายตัวรออยู่ข้างหน้า”


การเดินทาง 9 ชั่วโมงนั้นสิ้นสุดลงเมื่อรถไฟความเร็วสูงเทียบท่าที่สถานีของบาร์เซโลนา ยามตีสามครึ่งของบาร์เซโลนา... แสงไฟสลัวจากสถานีรถไฟสะท้อนกับหมอกบางที่เกาะอยู่เหนือรางเหล็ก เสียงเครื่องยนต์ของรถไฟความเร็วสูงค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงเสียงลมพัดเย็นเฉียบในคืนที่ทั้งเมืองยังคงนิ่งสงัดเหมือนหลับไหล ทั้งหกคนก้าวลงจากขบวนโดยไม่พูดอะไร มองไปรอบ ๆ ที่แทบไม่มีใครอยู่เลยนอกจากเสียงประกาศภาษาสเปนเบา ๆ ที่ก้องในอากาศ แต่ไม่ทันไรอิซิเลียก็หยุดเดิน สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปในทันที เธอยกมือขึ้นเล็กน้อยราวกับจะห้ามทุกคนก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “อย่าขยับ... มีบางอย่างผิดปกติ”


ที่ทางออกของชานชาลาตำรวจสี่นายยืนเรียงกันอยู่ในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้ม แววตาไร้ชีวิตและยืนนิ่งจนน่าขนลุก ไม่มีใครพูด ไม่มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา มีเพียงเสียงคลิกเบา ๆ เหมือนกลไกที่กำลังตั้งค่าใหม่ในร่างกายอิซิเลียหรี่ตามอง “พวกมัน... ไม่ได้มาเพื่อคุยแน่”


“ล่อพวกมันออกไปที่ไม่มีคน” เธอกระซิบต่อ และคนอื่นก็ทำตามทันที ฮารุโตะกับโมนีก้าเดินนำ ลูคัสตามคุมหลัง ส่วนเลสเตอร์กับวินเซนโซช่วยปิดท้าย พวกเขาเคลื่อนไปตามตรอกเปลี่ยวด้านหลังสถานี รถเมล์และตึกสูงรายรอบให้เงามืดเพียงพอจะซ่อนตัวได้ เมื่อถึงจุดที่ไม่มีใครเห็น อิซิเลียหันขวับไปยังตำรวจทั้งสี่ที่เดินตามมาช้า ๆ


“พอแค่นี้” เสียงเธอเย็นเยียบ ก่อนร่างของตำรวจทั้งสี่เริ่มสั่น เสียงโลหะเสียดสีแหลมบาดหูดังขึ้นจากข้างใน ชุดเครื่องแบบแยกออก เผยเกราะดำหนาทึบเต็มไปด้วยแสงแดงวาบราวกับตาอสูร เสียงโลหะหนักกระแทกพื้นดัง ตึง! จังหวะเดียวกับที่คำสั่งจากระบบภายในมันดังขึ้นพร้อมกัน “เป้าหมายยืนยัน เดมิก็อดห้าหน่วย เริ่มกระบวนการกำจัด”


“เดธแมชชีนอีกแล้วสินะ!” ลูคัสตะโกนพร้อมคว้าดาบโลหะมาร์สในมือ เสียงโลหะเสียดแสงกระทบกันทันที แรงปะทะแรกทำให้พื้นปูนแตกร้าว ฮารุโตะรีบชักธนูแสงออกแล้วยิงพุ่งใส่หัวของตัวหนึ่ง ทว่ามันเอียงหลบก่อนจะพุ่งด้วยความเร็วเหนือมนุษย์เข้ามา


วินเซนโซทิ้งกล่องกลไกลงพื้น ปลดสวิตช์แล้วมันก็แปลงเป็นแขนกลพลังงานสองข้าง “ขอเวลาสักนาที!” เขาตะโกนก่อนจะพุ่งเข้าไปขวาง ชกเข้าที่ข้างลำตัวของเดธแมชชีนตัวหนึ่งจนมันกระเด็นแต่แทบไม่สะเทือน “ชิบหาย มันอัปเกรดโครงสร้างแล้ว!” เสียงระเบิดพลังจากธนูของเลสเตอร์สาดผ่านกลางตรอก เขายิงสามนัดติดต่อกันเป๊ะทุกจุดแต่มันเพียงแค่ทำให้โล่พลังงานของอีกฝ่ายสั่น “พวกมันมีระบบชาร์จกลับอัตโนมัติ! เล็งให้ดี” เขากัดฟันพูด หัวใจเต้นแรง ความทรงจำเรื่องการรบเก่ากับเครื่องพวกนี้ย้อนเข้ามาไม่ขาดสาย


ทว่าในการต่อสูู้นั้นโมนีก้าเองถูกเพ่งเล็งมากที่สุดเพราะเธอ่อนแอที่สุด เดธแมชชีนอีกตัวพุ่งเข้ามาพร้อมแขนปืนใหญ่ที่หมุนวนด้วยพลังงานสีแดง เธอเบี่ยงตัวหลบในเสี้ยววินาที กราดิอุสในมือสะท้อนแสงไฟนีออน เธอฟันเข้าที่ข้อมือเหล็กของมันจนเกิดประกายแต่แรงกระแทกมหาศาลก็ผลักเธอถอยจนเกือบล้ม “มันหนักมาก!” เธอร้อง ก่อนที่เลสเตอร์จะเข้ามาคว้าข้อมือเธอแล้วดึงกลับ “อยู่หลังฉัน!” เสียงระเบิดย่อม ๆ ดังอีกครั้งจากการประสานของพลังอิซิเลีย เงาแสงสีเทาเข้มแผ่เป็นวงรอบร่างเธอ แรงกดอากาศพุ่งใส่เดธแมชชีนจนมันชะงัก แต่ยังคงเคลื่อนไหวต่อ “ฉันบอกแล้วอย่าชะล่าใจ!” อิซิเลียตะโกน “มันเรียนรู้จากรูปแบบการโจมตีเราได้!”


เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง การต่อสู้กลายเป็นสงครามย่อยในตรอกเมือง แทบทุกคนต่างบาดเจ็บเล็กน้อย ฮารุโตะมีรอยไหม้บนแขนเล็ก ๆ จากคลื่นพลัง ลูคัสมีเลือดซึมที่คิ้ว ส่วนเลสเตอร์มีรอยข่วนยาวที่ไหล่จากแรงระเบิด มีแค่วินเซนโซที่ไม่มีการบาดเจ็บ “พอเถอะ!” เธอตะโกนขึ้น เสียงดังสะท้อนตรอก “ฉันจะปกป้องตัวเองค่ะกลับรับการโจมตีของพวกมัน ทุกคนโจมตีเลย!”


“ได้! ตอนนี้แหละ!” ลูคัสตะโกนบอกสัญญาณก่อนที่ทุกคนจะระดมพลังพร้อมกัน ฮารุโตะยิงศรพลังปิดทางหนี วินเซนโซปล่อยแขนกลบีบระเบิดพลังในตัวเครื่อง ส่วนเลสเตอร์ยิงลูกศรเรืองแสงเข้าที่จุดศูนย์กลางของเครื่องสุดท้าย พลังปะทะรวมกลายเป็นแสงขาวจ้าสะเทือนทั้งตรอกแต่ทว่ามันโดนคุมสถานะการณ์ไม่ให้ใครรู้ด้วยเงาของอิซิเลีย เมื่อลำแสงจางลงเหลือเพียงเศษละอองทอง


เสียงลมหายใจหอบดังระงมอยู่ในตรอกที่มืดและกลิ่นควันเหล็กไหม้ยังคงคลุ้ง โมนีก้ายกมือแตะอกตัวเอง พยายามควบคุมลมหายใจที่สะท้านตามจังหวะหัวใจ เธอรู้สึกเหมือนขาแทบจะไม่มีแรงยืนแล้ว อยากจะทรุดลงนั่งกับพื้นสกปรกตรงนั้นเสียให้ได้ แต่สายตากลับเผลอมองไปยังร่างของเลสเตอร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขากำลังเช็ดเลือดจากแผลที่หัวไหล่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งที่ผิวซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะเสียเลือดจากแรงระเบิดที่โดนถากเมื่อครู่


หัวใจโมนีก้ากระตุกวูบขึ้นทันทีโดยไม่ทันรู้ตัว เธอรีบสาวเท้าเข้าไปหาเขาจนเสียงรอยเท้าดังชัดเจนบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษเกราะไหม้ “เลสเตอร์! นายเป็นอะไรมากไหม?” น้ำเสียงเธอสั่นนิด ๆ ทั้งที่พยายามไม่ให้เป็นแบบนั้น เธอยื่นมือไปหมายจะจับแขนเขาแต่พอปลายนิ้วแตะถึงผิวร้อนระอุของเขา เธอกลับรู้สึกแปลกเหมือนความห่วงนั้นกำลังจะล้นจนออกนอกใจไป


เลสเตอร์ชะงักเล็กน้อย แต่สายตายังมองไปข้างหน้าไม่สบตาเธอ “ก็... แค่โดนเฉียดนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เขาว่าพลางพยายามยิ้มมุมปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นรอยแดงบนไหล่และเศษโลหะฝังอยู่ในเนื้อยังคงเห็นชัดจนโมนีก้ารู้ว่าคำพูดนั้นโกหกแน่


“เฉียด? แบบนั้นน่ะเหรอเรียกว่าเฉียด…” เธอพึมพำออกมาเบา ๆ พลางจ้องแผลนั้นนิ่ง ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเสียงตัวเองเริ่มสั่นเกินไป เธอเลยรีบขยับถอยออกเล็กน้อยทำเป็นยืดตัวขึ้นแล้วยิ้มกลบเกลื่อน “งั้นก็ดีแล้ว นายยังดูเก็กได้อยู่เลยนี่แปลว่าคงไม่เจ็บมากสินะ” เลสเตอร์หัวเราะในลำคอเบา ๆ ตอนเห็นปฎิกิริยาของโมนีก้า พลางหันมามองเธอเต็มตา “แน่นอนสิ ฉันไม่ปล่อยให้เลือดออกแค่นี้ทำให้ดูเสียฟอร์มหรอก” เขาพูดติดตลก แต่ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกลับมีแววอบอุ่นแปลก ๆ ที่ทำให้โมนีก้าต้องเบือนหน้าออกหลบเสียเอง ความรู้สึกบางอย่างในอกเธอเริ่มตีรวนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล


ขณะนั้นเอง ฮารุโตะก็เดินเข้ามาพร้อมชุดปฐมพยาบาลในมือ “โอเคครับ พักหายใจกันก่อน เดี๋ยวผมดูแผลให้ทุกคน” น้ำเสียงร่าเริงของเขาทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แม้จะมีเหงื่อเกาะทั่วใบหน้าแต่แววตาเขายังเต็มไปด้วยพลังบวกเหมือนเดิม


“ฉันโอเค” ลูคัสเอ่ยพลางหมุนไหล่ทดสอบความเจ็บ พลางใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดคราบเลือดที่หน้าผากก่อนจะนั่งพิงกำแพงสูดลมหายใจ “ถ้าไม่มีใครตายถือว่าโชคดีสุด ๆ แล้วนะ” วินเซนโซพูดยิ้มขำในแบบของตัวเอง อิซิเลียที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เพียงยกตาขึ้นมองด้วยหางตา “ฉันเคยบอกแล้วไม่ให้ประมาท พวกนั้นแค่หน่วยลาดตระเวนเท่านั้น” น้ำเสียงเย็นเยียบและหนักแน่นของเธอทำให้ทุกคนเงียบลง เสียงลมหายใจของทุกคนเงียบลงในชั่วขณะ ก่อนฮารุโตะจะยิ้มบาง ๆ “งั้นก็รีบไปกันเถอะครับ ท่าเรืออยู่ไม่ไกล ถ้าเราออกตอนนี้จะทันเรือตอนรุ่งสางพอดี” คำพูดนั้นทำให้ทุกคนเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง


โมนีก้าเก็บดาบเข้าฝักแล้วเอาคืนกลับใส่แหวนดาราจรัส พลางเหลือบมองเลสเตอร์ที่เดินอยู่ข้างหน้า เขายังไม่พูดอะไรแต่เธอเห็นรอยเลือดจาง ๆ ตรงแขนเสื้อที่ยังไม่หายดีในตอนนี้  ก่อนจะยกมือขึ้นกุมอกตัวเองแน่นราวกับพยายามเก็บความรู้สึกบางอย่างไว้ไม่ให้มันหลุดออกมา เธอหันไปพูดกับฮารุโตะแทน “งั้นไปกันเลยก็แล้วกันค่ะ เดี๋ยวเรือออกแน่”


“ครับ ไปกันเถอะ” เขายิ้มให้ แล้วพวกเขาทั้งหกก็เริ่มออกเดินอีกครั้ง เสียงรองเท้ากระทบพื้นเปียกชื้นดังเป็นจังหวะในตรอกเงียบงัน แสงไฟจากเมืองเริ่มสว่างขึ้นทีละน้อย เมื่อฟ้ากำลังเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มเป็นสีส้มอ่อนของรุ่งอรุณ และท่ามกลางความเงียบงันนั้น โมนีก้าก็เหลือบมองเลสเตอร์อีกครั้ง เธอไม่รู้ว่ามันคือความห่วงหรือบางอย่างที่ลึกกว่านั้น แต่รู้เพียงว่าหลังจากคืนนี้เธอไม่อาจมองเขาเป็นเพื่อนธรรมดาอีกต่อไป

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

การเดินทางมาจนประเทศสเปนจนได้ พวกเขานั่งรถไฟไปยังบาร์เซโลนาเพื่อขึ้นเรืออีกต่อหนึ่ง การเดินทางครั้งนี้ไม่ราบรื่นเพราะต้องคอยรับการปะทะของพวกเดธแมทชีนและโมนีก้าที่ทำตัวแปลก ๆ กับเลสเตอร์ และเขาเองก็ไม่ปฎิเสธว่าก็แปลกเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันจะเป็นความอึดอัดหรือเปล่า พวกเขานั่งรถไฟความเร็วสูงก็เจอเดธแมทชีนระหว่างทาง จนถึงบาร์เซโลนาก็ยังเจอพวกมันดักรอเป็นกลุ่ม พวกเขาจัดการแล้วมุ่งหน้าไปที่ท่าเรือ


[อยู่ระหว่างการเดินทาง ถึง อัลเมเรีย สเปน เดินทางต่อไปที่ บาร์เซโลนา สเปน]

[เดินทางต่อไปด้วยเรือเฟอร์รี่ของบริษัทขนส่ง เพื่อเปลี่ยนเส้นทางไป อิตาลี]

[ใช้เวลาเดินทางจนถึงจุดหมายปลายทาง 20 ชั่วโมง]

avatar

Moneka M. Blossom

โมนีก้ารู้สึกว่าการอยู่กับเลสเตอร์มาก ๆ ทำให้เธอรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นทุกครั้ง และสุดท้ายตอนที่ผ่านการต่อสู้มาเธอแทบอยากจะเอาหัวโขกกับถังขยะให้ได้ เพราะตอนนี้เธอแทบจะไม่มองเลสเตอร์เป็นเพื่อนอีกแล้ว สเป็คก็ไม่ใช่ หน้าก็จืด ขี้เก็กแล้วก็ไม่รวย ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ดีอยู่อย่างเดียวคือใช้งานเธอกับปกป้องเธอ...เห่อ เพราะแบบนี้ไงถึงอยากเอาหัวโขกถังขยะตายไปเลย แม่งเอ้ย!

avatar

Vincenzo Bergamotto

บ้านนนนนน

avatar

Icilia Dominicus

รู้สึกว่ามันยากขึ้นเรื่อย ๆ 

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

ผมดีใจที่มีพาสปอร์ตของคนญี่ปุ่นครับ ขอโทษนะ ผมแทบจะไม่ต้องเป็นผีน้อย

มีค่า LUK 100 หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ เซลล์พลังงาน จำนวน 2 ชิ้น 2 x 2 = 4 ชิ้น

ได้รับ โลหะผสมพิเศษ จำนวน 70 ชิ้น 70 x 2 = 140 ชิ้น

ได้รับ น้ำมันหล่อลื่น จำนวน 3 ชิ้น 3 x 2 = 6 ชิ้น

ได้รับ มอเตอร์ไฮดรอลิก จำนวน 1 ชิ้น 1 x 2 = 2 ชิ้น

สรุป ได้รับ เซลล์พลังงาน 2 ชิ้น, โลหะผสมพิเศษ 70 ชิ้น, น้ำมันหล่อลื่น 3 ชิ้น, มอตอร์ไฮดรอลิก 1 ชิ้น


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20


แสดงความคิดเห็น

God
และเข้าโจมตีพวกคุณ  โพสต์ 2025-10-6 16:45
God
"ได้โปรดเถอะ ชั้นไม่อยากฆ่าใครตามคำสั่งคนพวกนี้อีกแล้ว..." ก่อนสติดับวูบเมื่อกระแสไฟฟ้าในชิปที่โดนฝังไว้ช็อคเพราะหัวหน้าหน่วยเห็นเธอหยุดชะงักไป  โพสต์ 2025-10-6 16:45
God
ในระหว่างต่อสู้กับเอ็มพูซาพวกคุณเผลอรู้ว่าเอ็มพูซาตนนั้นคือธิดาแห่งเฮคาที และเขาขอให้คุณสังหารเขาให้ได้ ก่อนความคลุ้มคลั่งจะทำงานต่อ  โพสต์ 2025-10-6 16:44
God
เผชิญหน้าดันเจี้ยน ทหารรับจ้างองค์กรลึกลับ [และงานนี้พวกเขานำเอ็มพูซาที่องค์จักรพรรดิให้หน่วยงานหนึ่งในองค์กรทดลองจนเปลี่ยนเดมิกอตเป็นเอมพูซาคลั่ง]  โพสต์ 2025-10-6 16:43
God
ในขณะลงรถไฟที่บาร์เซโรน่า   โพสต์ 2025-10-6 16:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-6 22:56:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 42 : โชคชะตา?
วันที่ 02 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเช้ามืด เวลา 03.00 น. เป็นต้นไป ณ บาร์เซโลนา สเปน

ระหว่างทางเดินมุ่งหน้าสู่ท่าเรือยังไม่ทันจะออกจากเขตของสถานีรถไฟความเร็วสูงสิ่งที่เกิดขึ้นคืออยู่ ๆ เสียงรองเท้าทหารกระทบพื้นหินดังก้อง เมื่อได้ยินแบบนั้นฝีเท้าทั้งหกคนชะงักพร้อมกันเมื่อแสงจากป้ายสถานี Barcelona-Sants ส่องสะท้อนบนพื้นหินเย็นเฉียบ ขณะนั้นเอง เสียงกริ๊กของสลักปืนและฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากเงามืดด้านหน้า กลุ่มทหารในชุดยุทธเต็มรูปแบบกว่า 12 นายเดินออกมาทีละคนพร้อมเครื่องหมาย LoNex ที่เด่นชัดบนปลอกแขน พวกมันเรียงแถวโอบล้อมรอบขวางทางออกทั้งหมดไว้แน่นหนา แสงไฟสีขาวเหนือหัวสะท้อนกับหมวกกันน็อกของพวกมันจนแสบตา


ลมหายใจของทุกคนกลายเป็นเสียงเดียวในความเงียบชั่วขณะวินเซนโซสบถต่ำ “เอาอีกแล้วเหรอ…” เขากระชับกล่องเครื่องมือในมือราวกับถือระเบิดเตรียมระเบิดตนเอง ส่วนอิซิเลียเลิกคิ้วต่ำ ดวงตาเทาเยือกเย็นมองไปรอบ ๆ สังเกตตำแหน่งศัตรูทั้งหมด “สิบสอง?… มีบางอย่างไม่ถูก” เธอพึมพำเบา ๆ 


แต่ทันใดนั้นเสียงรองเท้าหนัก ๆ ดังจากทางเดินด้านหลัง กลับกลายเป็นชายในชุดสูทแนบตัวดำสนิทปิดทั้งตัว หมวกกันน็อกสะท้อนเงาแดงจากไฟนีออน ข้างหลังเขามีหญิงสาวคนหนึ่ง งามอย่างผิดธรรมชาติ ร่างสูงในชุดหนังแนบเนื้อสีเลือด เส้นผมยาวลุกไหม้ที่ปลายราวเปลวไฟจากนรก ดวงตาสีแดงเรื่อเหมือนมีประกายของคำสั่งฝังอยู่ในนั้น


“เธอ… นั่นมัน…” เลสเตอร์พูดไม่ทันจบฮารุโตะกลับพูดต่อแทน “เอ็มพูซา” เสียงเขาแผ่วแต่หนักแน่น อิซิเลียชะงักตอนที่เห็นดวงตาของเธอส่องแสงเงินแวววับเล็กน้อยเมื่อใช้พลังตรวจจับพลังรอบ ๆ “เอ็มพูซาไม่ควรอยู่ตรงนี้… มีใครบางคนควบคุมเธออยู่”


ชายหัวหน้า LoNex เอนฟอร์เซอร์ยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้า เสียงเครื่องกลในเกราะของเขาขยับตามแรงกล้ามเนื้อ “ดี… พวกเดมิก็อดพร้อมให้ทดลองพอดี” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ เสียงโลหะเสียดสีกันจากมือข้างขวาขณะยกขึ้น แล้วในวินาทีถัดมา เสียงแหลมของอาวุธพลังงานก็ดังขึ้นพร้อมกันจากทุกทิศ


“เข้าที่!” ลูคัสคำรามพลางผลักโมนีก้าไว้ด้านหลังแล้วคว้าโล่พลังงานขึ้นมาป้องกันกระสุนพลังแรกที่พุ่งเข้ามา มันกระแทกโล่ของเขาอย่างรุนแรงจนเกิดคลื่นกระแทกสะท้อนกลับ ส่วนเลสเตอร์หยิบธนูขึ้นในจังหวะเดียวกัน แสงทองสว่างขึ้นจากคันธนูที่ยังไม่ได้ดึงเต็มแรง เขาปล่อยลูกศรพลังทะลวงกลางหมวกของนายทหารคนหนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะลั่นไกได้ด้วยซ้ำ


เอ็มพูซาเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินตาเห็น เส้นผมเพลิงของนางพุ่งเข้าหาอิซิเลียราวกับหอกไฟ เธอชูมือเรียกเงามืดขึ้นมาป้องกันไว้ “บ้าชิบ มันเร็ว!” อิซิเลียสบถขณะถอยหลัง วินเซนโซหมุนแขนกลพลังแรงเหวี่ยงด้วยเสียงโลหะดัง “อยู่กลางเมืองนี้มันลำบากจริง ๆ !! มันเสียงดังเกิน” เขาพุ่งเข้ากลางวงแล้วหมุนข้อมือ เหล็กกล้าเปลี่ยนเป็นค้อนขนาดใหญ่กระแทกพื้นจนเกิดแรงสั่นสะเทือนทั้งสถานี


ฮารุโตะหยิบธนูไม้ขึ้นพลังดวงอาทิตย์แผ่วเบาออกจากริมฝีปาก ลูกศรแห่งแสงพุ่งเข้าชนกับเปลวเพลิงของเอ็มพูซา กลางอากาศเกิดการระเบิดแสงเจิดจ้า “ขอโทษนะครับ คุณสาวผมไฟแต่คุณมาผิดเวลา!” เขาเอ่ยทั้งที่เหงื่อชุ่มหน้าทว่ามือยังมั่นคงไม่สั่น


โมนีก้าในด้านหลังพยายามตั้งสติ หัวใจเธอเต้นแรงราวจะทะลุอก เธอไม่เคยเห็นอสูรที่ดูทรมานและงดงามขนาดนี้มาก่อน “เธอไม่อยากสู้…” เสียงเธอสั่น แต่สายตากลับจับจ้องไปยังเอ็มพูซาอย่างแน่วแน่ “ฉันเห็นมันในตาเธอ” เธอกระชับกราดิอุสในมือและย่อตัวต่ำ เตรียมสวนกลับทุกเมื่อ ไฟนรกพุ่งกระแทกกำแพงรอบ ๆ เศษหินกระเด็นกระจาย เลสเตอร์ตะโกนเรียกทุกคนให้รู้ตัว “ทุกคน แยกกันปีกขวาซ้าย! อย่าให้มันใช้ไฟล้อม!” 


สิ้นคำลูคัสพุ่งเข้าขวางด้านหน้า ปะทะกับชายในเกราะ LoNex ที่ยกโล่พลังงานขึ้นต่อสู้ เสียงกระแทกของโล่ชนกันดังสนั่น “เดี๋ยวนี้ฉันเริ่มเบื่อพวกคนใส่เกราะแล้วนะ!” ลูคัสสบถ ก่อนจะกระแทกโล่ใส่เต็มแรงจนเกราะอีกฝ่ายแตกกระจาย


อิซิเลียมองเอ็มพูซาที่เริ่มกรีดร้อง ดวงตานางสลับสีแดงเป็นดำชั่วขณะ “มีคนฝังอะไรไว้ในสมองเธอ…” เธอกระซิบก่อนจะชูมือขึ้น “อลัน ช่วยฉันที” กะโหลกในมือเรืองแสงสีม่วงเข้มปล่อยคลื่นพลังชนกับพลังของเอ็มพูซาจนเกิดประกายสีแดงกับม่วงฟาดกันกลางอากาศ


วินเซนโซใช้จังหวะนั้นโยนเครื่องลูกเล็ก ๆ คล้ายลูกข่างพลังไฟฟ้าเข้าไป มันกลิ้งไปใต้ขาของเหล่าทหาร LoNex ก่อนจะช็อตไฟฟ้าสีฟ้าเปรี้ยง! ทั้งสิบสองตัวชะงักชั่วขณะแล้วสลบลงไปทันที ฮารุโตะใช้จังหวะนั้นยิงลูกศรพลังแสงอีกชุด ส่วนเลสเตอร์ปล่อยลูกศรทองคำเข้าเป้ากลางแผงเกราะของหัวหน้า LoNex เต็มแรง


เอ็มพูซาแผดเสียงกรีดร้องอย่างทรมาน เปลวเพลิงรอบกายเธอสลายลง เสียงโซ่พลังแตกหักดังคล้ายกระจกแตกในอากาศ นางทรุดลงคุกเข่า ผมเพลิงดับเหลือเพียงปลายแดงเรื่อ “ฉัน…ไม่อยาก…ฆ่าใครอีก…” น้ำเสียงสั่นสะท้านและเศร้าจนทุกคนหยุดมือ


“ฆ่า...ที” เสียงหอบหายใจของเอ็มพูซายังดังแผ่วเบาท่ามกลางกลิ่นไหม้และควันคละคลุ้งในอากาศ เส้นผมของนางที่เคยลุกเป็นไฟตอนนี้กลับสั่นไหวเหมือนเปลวเทียนที่กำลังจะดับ โมนีก้ามองภาพนั้นอย่างหวาดหวั่น ดวงตาสีเทาเงินของเธอสั่นระริก มือที่กำดาบสั้นไว้แน่นค่อย ๆ คลายลงเมื่อเห็นว่านางไม่ขยับโจมตีกลับมา เธอเดินช้า ๆ เข้าไปใกล้โดยไม่ฟังเสียงตะโกนเตือนของลูคัสที่ดังจากด้านหลัง "โมนีก้า! ถอยออกมา เธอยังใช้พลังได้อยู่นะ!"


คำห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่เด็กสาวกลับส่ายหน้าเบา ๆ สายตาเธอเต็มไปด้วยความลังเลและเมตตา “ไม่… เธอไม่ได้อยากสู้…” เสียงเธอเบาจนแทบกลืนไปกับเสียงลม เอ็มพูซาเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงของนางหม่นลง ริมฝีปากแห้งผากเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนชะงัก “ฆ่าฉันเสียที… ได้โปรดเถอะ… ฉันไม่อยากฆ่าใครอีกแล้ว…ขอร้อง...ขอร้องฆ่าฉัน” เสียงนั้นสั่นพร่าอย่างสิ้นหวัง ดั่งคำสารภาพของคนที่หลงทางในความมืดมิดมานานเกินไป


โมนีก้าเบิกตากว้าง นัยน์ตาสีเงินสะท้อนภาพสัญลักษณ์รอยสักสีดำคล้ำที่ลามอยู่บนแขนขวาของเอ็มพูซา รอยสักบุตรแห่งไทรเวีย เครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ของผู้สืบเชื้อสายจากเทพีแห่งเวทมนตร์ มันไม่ใช่ตราของปีศาจ หากแต่เป็นรอยสักของเดมิก็อดเช่นเดียวกับพวกเธอ


“ไม่ใช่ปีศาจ…” โมนีก้าพึมพำ ดวงตาสีเทาของเธอเบิกกว้าง “เธอเป็น—”


แต่ยังไม่ทันที่ประโยคนั้นจะจบ เสียงช็อตไฟฟ้าดังเปรี๊ยะ!! ดังขึ้นพร้อมกับแสงสีน้ำเงินจากขั้วไฟที่ฝังอยู่ตรงท้ายทอยของเอ็มพูซา ร่างของนางกระตุกอย่างแรงก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น เปลวเพลิงที่เคยโอบร่างดับมอดจนเหลือเพียงกลิ่นไหม้ของหนังเนื้อและโลหะ


“ตัวทดลองรหัส H-03 ขัดขืนคำสั่ง… รีเซ็ตสัญญาณสมอง” เสียงเย็นเฉียบของหัวหน้าเอนฟอร์เซอร์ดังขึ้น เขายกมือขึ้น หมวกกันน็อกสะท้อนแสงไฟจากร่างที่ยังไหม้อยู่ตรงหน้า ปากของเขายกยิ้มภายใต้หมวก “ไร้ประโยชน์นัก เจ้าสัตว์ทดลองนี่มันยังดื้อด้านเกินไป…”


“แกมันคนเหี้—” วินเซนโซสบถออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มภารกิจมา ฮารุโตะรีบพุ่งมาจับแขนเขาไว้แต่ก็สายไปแล้ว เพราะหัวหน้าเอนฟอร์เซอร์ก้าวเข้ามาในระยะจู่โจมและออกคำสั่งสุดท้าย “ฆ่าพวกมันให้หมด”


ร่างของเอ็มพูซาที่ทรุดลงกลับชะงักอีกครั้ง ดวงตาที่เคยหม่นแสงลุกเป็นไฟขึ้นมาใหม่ เปลวเพลิงสีเลือดระเบิดออกจากตัวเธอ พลังที่ถูกควบคุมด้วยชิปอิเล็กทรอนิกส์ในสมองกระตุ้นให้ร่างกายขยับทั้งที่ไร้วิญญาณ เสียงกรีดร้องหลุดออกมาอย่างบ้าคลั่ง "อ๊าาาาา... กรรรรร์!!!”  นางพุ่งเข้าหาโมนีก้าโดยตรง ร่างของเด็กสาวกระเด็นล้มเมื่อพยายามหลบแต่ไม่ทัน เปลวเพลิงครูดผ่านต้นแขนข้างซ้าย เผาผิวจนไหม้เป็นแผลยาว


“โมนีก้า!!” เลสเตอร์คำราม ร่างของเขาเคลื่อนที่เร็วกว่าความคิด ดวงตาสีฟ้าของเขาส่องแสงทองชั่ววูบก่อนจะหรี่ลง เขากระชากตัวเธอออกจากวงไฟอย่างแรงจนได้ยินเสียงลมหายใจขาดห้วงของเธอ เขาคุกเข่าลงข้างเธอ มองแผลที่ไหม้จนกลิ่นเลือดผสมกลิ่นเนื้อไหม้ลอยขึ้นมา เขากัดฟันกรอด เลสเตอร์ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ เสียงธนูที่ถูกสร้างจากพลัง แสงทองเจิดจ้าปรากฏในมือของเขา ความเงียบชั่วขณะก่อนที่ทุกอย่างจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง ลูกศรแรกพุ่งทะลวงร่างของเอ็มพูซาอย่างแม่นยำ กลางอกของนางเกิดรูไหม้ขนาดใหญ่เปลวเพลิงสว่างวาบราวกับดาวตกก่อนดับลง


ร่างของหัวหน้าเอนฟอร์เซอร์หันไปจะยิงสวน แต่ยังไม่ทันยกปืนขึ้น วินเซนโซก็ขว้างกลไกพลังระเบิดรูปทรงแปลกใส่หน้าเขา ระเบิดพลังแม่เหล็กช็อตไฟฟ้าระเบิดกลางอากาศ เสียงระเบิดดังก้องในสถานี ร่างชายในเกราะกระตุกก่อนจะล้มลงกับพื้นควันโขมง


เมื่อฝุ่นจางลง…


ร่างของเอ็มพูซาค่อย ๆ ทรุดลงอย่างช้า ๆ เปลวไฟดับ เหลือเพียงหญิงสาวร่างผอมบางในชุดขาดรุ่งริ่งที่มีรอยสักตราไทรเวียเด่นชัดบนแขน ดวงตาสีเทาของเธอพร่ามัวก่อนหลับลงชั่วนิรันดร์ ไม่มีเปลวไฟ ไม่มีปีศาจมีเพียงมนุษย์ลูกครึ่งเทพที่ถูกหลอกใช้ทดลองไม่ต่างจากสัตว์ โมนีก้าคืบคลานไปหาเธออย่างช้า ๆ มือสั่นจนควบคุมไม่ได้ “เธอเป็น… เดมิก็อด… ของไทรเวีย…” เสียงของเธอแทบไม่ออกเป็นคำ ดวงตาเธอพร่าเลือนด้วยน้ำตา ประโยคที่ยังวนอยู่ในหัวเหมือนถูกสลักลงไปในกระดูก เธอปิดหูแต่เสียงนั้นยังดังไม่หยุด ภาพร่างของเอ็มพูซาที่กลายเป็นเพียงซากมนุษย์ครึ่งเทพตรงหน้า ทำให้ร่างของโมนีก้าสั่นเทิ้ม ความกลัว ความโกรธ ความเสียใจถาโถมใส่เธอจนทุกอย่างขาวโพลน


“กรี๊ดดดดดด!!!!”


เสียงกรีดร้องของโมนีก้าดังก้องสะเทือนทั่วอาคารสถานีจนกระจกหลายบานสั่นสะเทือน เสียงกรี๊ดนั้นแหลมสูงจนบาดแก้วหูแต่ในขณะเดียวกันก็สั้นและขาดห้วง ไม่ใช่การกรี๊ดยาว ๆ เหมือนความเจ็บปวด แต่เหมือนวงจรสมองถูกตัดขาดด้วยความช็อก 


ลมหายใจของโมนีก้าขาดห้วง ร่างเล็กของเธอสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เสียงกรีดร้องเมื่อครู่ยังสะท้อนอยู่ในอากาศ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนเพื่อฟังเสียงความสิ้นหวังของเด็กสาววัยสิบห้าผู้แบกรับสิ่งที่หนักเกินกว่าจะรับไหว เปลวเพลิงจากร่างเอ็มพูซาที่ดับไปแล้วทิ้งไว้เพียงเถ้าธุลีอุ่น ๆ กลิ่นไหม้และเลือดคลุ้งจนแสบจมูก


เลสเตอร์พุ่งเข้ามาก่อนใคร เขาทรุดเข่าลงตรงหน้าเธอ มือสั่นที่เคยถือคันธนูแน่นเมื่อครู่กลับกลายเป็นอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ เขาคว้าร่างของโมนีก้าที่สั่นสะท้านเข้ามาในอ้อมแขน เสื้อของเธอเปื้อนเลือดและเขม่าดำ กลิ่นไหม้ติดเส้นผมสีม่วงครามของเธอจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาสีฟ้าของเลสเตอร์วูบไหวด้วยความเจ็บปวด เขาเคยเห็นสงครามนับพันครั้งแต่ไม่มีสิ่งใดเจ็บเท่าการเห็นเด็กที่มีหัวใจบริสุทธิ์พังทลายตรงหน้า


“โมนีก้า… มองฉันสิ” เสียงของเขาสั่น เธอส่ายหน้าเบา ๆ ริมฝีปากซีดสั่นระริก

“เลส…ฉันได้ยินเธอขอชีวิต… ได้ยินว่าเธอไม่อยากฆ่าใครอีกแล้ว…” เธอพร่ำพึมพำทั้งน้ำตา เสียงสั่นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง “ทำไมพวกนั้นถึง… ทำแบบนั้นกับเธอ…”


“ไม่…โมนีก้า…ไม่…เธอไม่ต้องพูดแล้ว” เลสเตอร์ก้มหน้าลง ดวงตาเขาเต็มไปด้วยแสงทองอุ่นที่เปล่งออกมาจาง ๆ จากมือข้างขวา เขากดมือลงบนบาดแผลไหม้ตรงแขนซ้ายของเธอ แสงสีทองอบอุ่นไหลรินออกจากมือเหมือนน้ำจากแสงอาทิตย์ในยามรุ่งสาง แต่มันแผ่วเบาเหลือเกินราวกับเทพแห่งแสงกำลังฝืนทุกขีดจำกัดของร่างมนุษย์นี้เพื่อรักษาเธอ


โมนีก้าสะดุ้งเบา ๆ เมื่อรู้สึกถึงความร้อนอบอุ่นที่แผ่ซ่านผ่านแขน เหมือนมีแสงอาทิตย์ไหลผ่านเส้นเลือด เธอหอบถี่ขึ้น แต่เสียงสะอื้นเริ่มเบาลงทีละน้อย แผลที่ไหม้เริ่มปิดตัวอย่างช้า ๆ กลายเป็นเพียงรอยแดงจาง ๆ ที่ทิ้งไว้เป็นเครื่องเตือนใจ


“นี่นายบ้าไปแล้วหรือเลสเตอร์?” อิซิเลียพูดขึ้น น้ำเสียงเย็นเฉียบแต่แฝงความสั่น “ฉันเห็นแล้วว่านายทำอะไร นั่นมันพลั—”

“หุบปาก” เลสเตอร์ตัดคำเยือกเย็นโดยไม่มองใครทั้งนั้น


วินเซนโซเดินเข้ามาช่วยเลสเตอร์มือข้างหนึ่งดึงเสื้อคลุมสวมของตัวเองออกคลุมให้โมนีก้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นเลือด “ให้ตายสิ… เธอแค่เด็กอายุสิบห้า แต่ดูสิ...เหมือนโดนโยนเข้าขุมนรก” เขาพูดพลางขบฟันแน่น ก่อนหันไปทางหัวหน้าเอนฟอร์เซอร์ที่ยังนอนแน่นิ่ง “ฉันจะลากแกไปให้หน่วยพิพากษาเห็นกับตาว่าพวก LoNex ทำอะไรกับลูกครึ่งเทพบ้าง”


ฮารุโตะคิดว่าจะเข้ามาช่วยอีกแรง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น "เดี๋ยวผมดูแผลให้เองครับ" เขาหยิบชุดปฐมพยาบาลออกมา แต่เลสเตอร์ยกมือห้ามไว้ “ไม่ต้อง โมนีก้ากำลังไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นให้เธอหลับสักพัก...” เขาพูดเสียงแผ่ว มือยังคงค้ำศีรษะของเธอไว้เบา ๆ “ถ้าเธอตื่นมาอีกที… อย่าบอกเธอว่าเอ็มพูซาตายเพราะเรา”


“ทำไมล่ะ?” ลูคัสถาม สีหน้าหนักแน่นแต่แววตาเต็มไปด้วยความสับสน

“เพราะโมนีก้าจะไม่ให้อภัยตัวเอง” เลสเตอร์ตอบเรียบ ๆ ก่อนยกตัวโมนีก้าขึ้นในอ้อมแขน ชุดของโมนีก้าสกปรกไปด้วยเลือดและเขม่าแต่เขากลับอุ้มเธอราวกับสิ่งล้ำค่าในโลก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตังใหญ่เหมือนวินเซนโซแต่ก็อุ้มเธอขึ้นมาได้ “โมนีก้าจิตใจอ่อนไหวมากนะ…แต่โลกนี้ของเราไม่มีที่ให้คนแบบเธอหรอก” แม้มันจะเป็นคำที่แสนโหดร้ายแต่เลสเตอร์กลับพูดออกมา สำหรับเขาแล้วที่ขอให้โชคชะตาเล่นตลกกับตัวเอง


เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งแผ่วเบา ลมร้อนจากบาร์เซโลนาในยามเช้าเฉียดผ่านกลิ่นเกลือทะเลและควันจากเพลิงที่เพิ่งมอดไปไม่นาน ร่างของโมนีก้านอนสงบนิ่งอยู่บนพื้นริมทางใต้สะพานหินที่เหล่าพวกเขาหลบซ่อนชั่วคราว โมนีก้ายังไม่ฟื้นจากการช็อกเมื่อครู่เส้นผมสีม่วงครามของเธอพลิ้วไปตามแรงลม อาบด้วยแสงแดดสีทองราวกับประกายจากท้องฟ้าในโลกที่ไม่รู้จักกลางคืน ตอนนี้ลูคัสกับวินเซนโซกำลังไปติดต่อเรื่องเรือทำให้ยังเหลือคนอยู่ตรงนี้ไม่กี่คน


อิซิเลียยืนพิงกำแพงหินแขนกอดอก นัยน์ตาสีเทาเย็นเฉียบทอดมองภาพตรงหน้า น้ำเสียงเธอเรียบแต่เฉือนใจราวกับใบมีด “นายจะโอ๋เด็กคนนั้นต่อไปไม่ได้นะ เลสเตอร์ พวกเรากำลังอยู่ในโลกที่ไม่เหลือพื้นที่ให้คนอ่อนแอ การสงสารไม่ทำให้ใครรอด”


เลสเตอร์เงยหน้าขึ้นมองอิซิเลีย ดวงตาสีฟ้าที่สะท้อนแสงแดดในเช้านั้นดูอ่อนล้ากว่าปกติ เส้นเลือดข้างขมับเต้นแรง ริมฝีปากเขาขบแน่นก่อนพูดเสียงต่ำ “เธอไม่ได้อยากมาอยู่ตรงนี้แต่แรก” เสียงนั้นราบเรียบแต่หนักแน่นราวค้อนเหล็กที่กระทบหิน “ฉันต่างหากที่อัญเชิญเธอมา”  แววตาเขาเต็มไปด้วยบางอย่างที่ผสมระหว่างความเสียใจและความเหนื่อยล้า “ตอนนั้นฉันขอพรจากฟ้าด้วยพิธีโบราณของเทพ ฉันสิ้นหวังเพราะพวกนายโดนจับตัวไปภาวนาให้โชคชะตาส่งใครสักคนมา... แค่สักคน ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระการเดินทางนี้เพราะถ้าไปก็เหมือนกับเขาชีวิตไปทิ้ง ฉันภาวนาให้เป็นผู้กล้าที่พร้อมต่อสู้มีพลังมีศรัทธา...” เขาหัวเราะในลำคอแผ่วเบา เสียงนั้นปนเศร้า 


“แล้วดูสิว่าโชคชะตาส่งใครมาให้ฉันเด็กสาวอายุสิบห้าที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเดมิก็อดไม่ถึงเดือน พลังยังไม่มั่นคง จิตใจก็อ่อนไหว แต่เธอกลับเป็นคนเดียวที่เลือกจะอยู่แทนที่จะหนี...แล้วก็ยังจะตามพวกเรามาจนถึงนี้” 


มือของเลสเตอร์ขยับไปแตะผมของโมนีก้าที่ปลิวอยู่ข้างแก้มเบา ๆ กลิ่นหอมจาง ๆ ของไลแลคและเบอร์รี่หวานลอยขึ้นมากระทบจมูก เขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะดวงตาเขาวูบไหวเหมือนกำลังจมลงในห้วงอดีตอันแสนเจ็บปวดมันคือกลิ่นที่เขาจำได้ไม่ลืม กลิ่นเดียวกับดาฟนี รักแรกของเขาในอดีตกาล เมื่อครั้งยังเป็นเทพแห่งแสงและดนตรี ผู้หลงใหลในความงามจนตามไล่ความรักอย่างคนโง่ จนเทพีอาร์เทมิสสาปให้เขาเห็นดอกลอเรลทุกต้นแล้วเจ็บปวดไปตลอดกาล


“กลิ่นของไลแลค…” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “…และความทรงจำของการสูญเสียที่ไม่อาจชดใช้” ท้องฟ้าที่ควรเป็นกลางวันกลับหม่นลงเล็กน้อย เหมือนโลกทั้งใบกำลังฟังคำสาบานที่ไม่ต้องเอ่ยออกมา และกลิ่นไลแลคในอากาศนั้น...ยิ่งเข้มข้นจนแทบละลายความเจ็บปวดของทุกสิ่งสำหรับเลสเตอร์


ไม่นานเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังขึ้นบนพื้นทรายหยาบของท่าเรือที่ยังคลุ้งไปด้วยกลิ่นเกลือทะเลและควันจากเรือขนส่ง วินเซนโซเดินนำกลับมาโดยมีลูคัสตามหลัง มือข้างหนึ่งของเขาถือแก้วกาแฟควันกรุ่น ส่วนอีกข้างถือเอกสารท่าเรือที่เขาเพิ่งไปยืนยันกำหนดการเรือเดินสมุทรช่วงเช้า เขาเงยหน้ามองพวกที่ยังอยู่ตรงจุดหลบภัยใต้สะพานหิน รอยยิ้มเอื่อยตามแบบฉบับของคนที่ไม่เคยตื่นตกใจต่อเรื่องใดนักปรากฏขึ้นบนใบหน้า "เรือรอบเช้าจะออกในอีกยี่สิบนาที ปลุกเจ้าหนูได้หรือยังล่ะ?" เขายกแก้วกาแฟขึ้นดื่มหนึ่งอึก ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงติดขบขัน "อุ้มไปทั้งอย่างนี้คงได้โดนหาว่าค้ามนุษย์แน่ ๆ"


ฮารุโตะที่นั่งพับผ้าคลุมบนตักโมนีก้าเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบาง "ไม่ต้องห่วงครับ พอดีตรวจอาการแล้ว ตอนนี้โมนีก้านอนราบทำให้เลือดกลับมาเลี้ยงสมองได้เต็มที่ ความดันเริ่มกลับสู่ปกติ เดี๋ยวก็คงฟื้นเอง ไม่ต้องทำอะไรซับซ้อน" เสียงของเขานุ่มจนฟังดูเหมือนเสียงปลอบใจมากกว่าการรายงานอาการ และเหมือนคำพูดนั้นจะเป็นจริง เพราะไม่นานหลังจากนั้นเปลือกตาสีซีดของโมนีก้าก็ค่อย ๆ สั่นไหว ดวงตาเทาเงินบริสุทธิ์เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ สะท้อนกับแสงแดดยามเช้าที่เริ่มสาดเข้ามาทางปากอุโมงค์ เส้นผมสีม่วงครามของเธอชื้นเล็กน้อยเพราะเหงื่อ กลิ่นหอมอ่อนของไลแลคปะปนกับกลิ่นทะเลจาง ๆ เธอพยายามยันตัวขึ้นอย่างมึน ๆ แต่ยังไม่มั่นคงนัก

 

"ช้า ๆ หน่อยครับ" ฮารุโตะขยับเข้าประคองอย่างใจเย็น เขาตรวจชีพจรอีกครั้งแล้วพยักหน้าให้เลสเตอร์ซึ่งยืนเงียบอยู่ข้างหลัง "ดีขึ้นมากครับ ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว"


โมนีก้าใช้หลังมือแตะขมับของตนเองพยายามเรียบเรียงความจำ เสียงทะเล เสียงเครื่องจักรจากท่าเรือ และเสียงสนทนาเบา ๆ ของเพื่อนร่วมทางประสานกันอย่างสับสนในหัว "เกิดอะไรขึ้นเหรอ..." เธอถามเสียงแผ่ว ราวกับกลัวคำตอบของตัวเอง


ฮารุโตะหัวเราะน้อย ๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่มีแววหลบเลี่ยง "ไม่มีอะไรหรอกครับ โมนีก้า... น่าจะเหนื่อยจัดจนเผลอหลับไปน่ะ เดินทางมาตลอดทั้งคืนก็คงไม่แปลก" เขาเหลือบมองเลสเตอร์ที่ยังนิ่งอยู่เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะพูดหรือไม่พูด เลสเตอร์เพียงกอดอกขยับไปยืนพิงเสาไม้เก่า ๆ ของท่าเรือ ริมฝีปากขยับเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย "ไหวพอจะลุกไหม? เรือจะออกแล้ว เราจะถึงโรมในไม่ช้า" น้ำเสียงเขานุ่มแต่แฝงแรงกดดันที่คนฟังสัมผัสได้


โมนีก้าพยักหน้าเบา ๆ พยายามยืนขึ้นเองแม้จะยังเซเล็กน้อย "ไหวสิ..." เธอยิ้มจาง ๆ แม้จะซีดเผือด “แค่มึนหัวนิดหน่อย... คงเพราะเดินทางนานไปหน่อย”


“เธอนี่เก่งกว่าที่คิดนะ” วินเซนโซพูดขณะยื่นแก้วโกโก้อุ่นให้ “ไม่ต้องดื่มหมดหรอก แต่อุ่นไว้ในมือสักหน่อยจะช่วยให้ร่างกายกลับมาเร็วขึ้น” โมนีก้ารับแก้วไว้ทั้งที่มือยังสั่นเล็กน้อย กลิ่นโกโก้หอมเข้มข้นชวนให้เธอรู้สึกเหมือนกลับมามีสติอีกครั้ง แต่ภายในใจยังเต็มไปด้วยเสียงสะท้อนบางอย่าง เธอกะพริบตาไล่ภาพที่ไม่ชัดเหล่านั้นออกไป ก่อนจะหันไปมองเลสเตอร์ที่ยื่นมือมาช่วยพยุงเธอโดยไม่พูดอะไร ดวงตาสีฟ้าของเขามีประกายแปลก ๆ มันไม่ใช่ความสงสารแต่เหมือนแรงดึงดูดจากบางสิ่งที่ลึกกว่านั้น เธอไม่รู้ว่าทำไมแต่ความอบอุ่นจากมือเขาทำให้ความสั่นไหวในใจเธอค่อย ๆ สงบลง


ลูคัสซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้าเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ “อย่าชักช้า เราไม่ควรอยู่ตรงนี้นานเกินไป เสียงปะทะเมื่อคืนอาจทำให้พวก LoNex ส่งกำลังเสริมมาอีก”


อิซิเลียพยักหน้าเบา ๆ ผมสีเทาเงินสะท้อนแดดจ้า “ถูกต้อง ทุกนาทีที่เรายังอยู่ตรงนี้คือการรอให้พวกมันเล็งเป้ายิงเท่านั้นแหละ” เธอปรายตาไปทางโมนีก้าเพียงชั่วครู่ “หวังว่าเด็กคนนั้นจะไม่กลายเป็นจุดอ่อนอีก”


เลสเตอร์ชำเลืองตามองโมนีก้าทันทีแต่ไม่พูดอะไร เขาเพียงขยับตัวมายืนด้านข้างโมนีก้าอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดเสียงต่ำ “ถ้าไม่ไหว... ก็จับฉันไว้ก็ได้” โมนีก้าหันมองไปทางเขาก่อนที่ใบหน้าเธอขึ้นสีเล็กน้อย “ฉันไม่ใช่เด็กนะ...”


“อ้อ…หรอ?” เลสเตอร์พูดพลางเอียงคอยิ้มนิด ๆ สายตาทั้งสองสบกันครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงหวูดเรือจากท่าเทียบฝั่งจะดังขึ้น ตัดบรรยากาศทั้งหมดให้กลับมาสู่ความจริง กลุ่มควันจากเครื่องยนต์เรือแล่นผ่านฟ้าเป็นเส้นขาว พวกเขาเริ่มก้าวเดินไปบนสะพานไม้ที่โยกเล็กน้อยจากแรงคลื่น ทั้งหกขึ้นเรือข้ามฟากมุ่งหน้าไปยังโรมเก่า ประเทศอิตาลี สถานที่ซึ่งจะเป็นเวทีสุดท้ายสำหรับปริศนาที่สั่นไหวเกินกว่าจะคิด โชคชะตายังคงเล่นตลกกับพวกเขาและจะมีใครสักคนได้เรียนรู้ว่าบางครั้งไม่มีใครคุมสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญได้

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

และแล้วพวกเขาก็พบเจอกับพวกองค์กรนั้นอีกจนได้พวก LoNex เลสเตอร์และเพื่อน ๆ โจมตีและรับการต่อสู้มีเอมพูซาด้วย พวกเขาต้องกำจัดทิ้ง ดูเหมือนโมนีก้าจะรู้ว่าเอ็มพูซานั้นจะเป็นเดมิก็อดเชื้อสายไทรเวียที่โดนเอาไปทดลอง ทำให้โมนีก้าสติแตก...(หลังจากนี้ก็ไปอ่านเอาเองอุสส่าเขียน) หลังจากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าขึ้นเรือ ปลายทางหน้าคือโรม อิตาลี 


[อยู่ระหว่างการเดินทาง ถึง บาร์เซโลนา สเปน]

[เดินทางต่อไปด้วยเรือเฟอร์รี่ของบริษัทขนส่ง เพื่อเปลี่ยนเส้นทางไป อิตาลี]

[ใช้เวลาเดินทางจนถึงจุดหมายปลายทาง 20 ชั่วโมง]

avatar

Moneka M. Blossom

(ไม่มีแรงเขียนรายงาน)

avatar

Vincenzo Bergamotto

(คร่อกก ก ก ก ก)

avatar

Icilia Dominicus

บางครั้งเธอก็ไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์ของพวกน่ารำคาญ แต่ความจริงแล้วมีคนเป็นห่วงแบบนั้นมันก็ดีเหมือนกัน

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-

มีค่า LUK 60 หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ ขาทองแดง จำนวน 4 ชิ้น 4 x 2 = 8 ชิ้น

ได้รับ น้ำมันคบเพลิง จำนวน 2 ชิ้น 2 x 2 = 4 ชิ้น

สรุป ได้รับ ขาทองแดง 4 ชิ้น, น้ำมันคบเพลิง 2 ชิ้น

+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด เอ็มพูซา ครั้งแรก


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20


แสดงความคิดเห็น

God
เพียงคุณก้าวออกมาจากสเปนเมืองเดียว ก็ถูกจู่โจมโดยพวกแก๊งมาเฟียในยุโรปหลายแก๊ง (พิชิตดัน ทหารรับจ้างลึกลับ) พวกเขาได้รับคำสั่งจาก LoNex ให้จับเด็กทั้ง6 เพื่อไปรับรางวัลที่เหนือความคาดหมาย  โพสต์ 2025-10-6 23:13
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-10-6 23:11
โพสต์ 120475 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-6 22:56
โพสต์ 120,475 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-6 22:56
โพสต์ 120,475 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-6 22:56

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-7 05:17:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 43 : ผมหางม้า
วันที่ 02 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเช้า เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป ณ บาร์เซโลนา สเปน จนถึง ท่าเรือชิวิตาเวกเกีย โรม อิตาลี

ระยะห่างจากท่าเรือบาร์เซโลนาได้เพียงเมืองเดียว คลื่นยังซัดท้องเรือเป็นจังหวะเดิม ๆ อยู่ดี ๆ เสียงระเบิดก็ดังกัมปนาทขึ้นใกล้กราบซ้ายจนพื้นเหล็กสั่นสะเทือน ฝุ่นควันผสมไอเกลือกับกลิ่นดีเซลฟุ้งกระจาย เรือเร็วหลายลำแหวกผิวน้ำแล่นประกบ บางลำเงาวับราคาแพง บางลำดิบหยาบติดคราบน้ำมัน เรียงตัวเคียงกันน่ากลัวราวกับตั้งใจปิดทางถอยทุกทิศทาง อิซิเลียหรี่ตาเพียงนิดเดียวก็อ่านออกรวดเดียว “คนธรรมดา…มาเฟีย?” เสียงเธอเรียบและสั้น วินเซนโซเหลือบมองสัญลักษณ์ตามลำเรือและท่าทางการถืออาวุธ เขาพยักหน้าเห็นพ้อง ขณะที่เลสเตอร์กวาดตามองแนวปืนกลแบบบ้าน ๆ ที่ตั้งบนหัวเรือยาง มาเฟียต่างแก๊ง ไม่ใช่อสุรกาย และทั้งหมดเล็งมาที่พวกเขาอย่างจงใจ คำถามเดียวผุดขึ้นพร้อมกันของพวกเขาคือ ทำไมต้องเป็นพวกเรา?


เรือเร็วตีวงล้อม ทุ่นกระโดงสบัดน้ำกระเซ็นเป็นม่าน เสียงชายคนหนึ่งตะโกนจากหัวเรือ “แค่เด็กหกคน ทำไมราคามันสูงงี้วะ! ไอ้พวก LoNex นั่นไม่มีปัญญาจับเก้าอี้แค่เด็กเรอะ!” เสียงหัวเราะกระด้างไล่หลังมาอีกระลอก 


ลูคัสเลื่อนโล่มาบังช่วงอกยืนเท้ากว้างล็อกจุดถ่วง ฮารุโตะยกคันธนูเช็กสายอย่างรวดเร็ว วินเซนโซก้มตรวจอุปกรณ์ที่เอว อิซิเลียยืนเยื้องลมประเมินมุมยิงกับความเร็วคลื่น ส่วนเลสเตอร์สอดลูกธนูเข้ากับสายอย่างเงียบ ๆ 


ทว่า...ท่ามกลางเสียงกู่ตะโกนและการขึ้นคันปืนของอีกฝ่าย เสียงโลหะใสดัง “ฉวัด” แหวกอากาศวับเดียวที่มีดสั้นพูจิโอจากมือของโมนีก้าพุ่งเป็นเส้นโค้ง ขอบใบมีดสะท้อนแดดพลบสลัวเฉือนกรีดกลางอากาศ ก่อนปัก “ฉึบ” เข้าที่ลำคอคนพูดอย่างแม่นยำ เลือดพุ่งเป็นเส้นแดงเข้มจากเส้นเลือดใหญ่ที่ถูกตัดขาดราวกับก๊อกน้ำที่ถูกเปิด เข่าของชายคนนั้นทรุดชนขอบเรือยางดังอั้ก ร่างเอนหงายกลับลงกับพื้นดาดเรือในจังหวะเดียวกับที่เสียงปืนของพวกมันชะงักไปทั้งแถบ


หญิงผมม่วงครามยืนนิ่งกลางสายลมของเรือเฟอร์รี่เธอไม่ใช่โมนีก้าที่ทุกคนคุ้นตาอีกต่อไป ดวงตาของเธอว่างเปล่าแต่ทอประกายเย็นเยียบผิดปกติ รอยยิ้มหวานจัดคลี่ละมุนบนริมฝีปาก ราวกับสิ่งที่เพิ่งทำนั้นไม่ใช่การฆ่า แต่เป็นเพียงการเด็ดดอกไม้ เธอไม่แสดงความรังเกียจต่อกลิ่นคาวเลือดที่เริ่มฟุ้งกระจาย แต่กลับผิวปากเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบที่น่าสะพรึงกลัวนั้น


มือเรียวเม้มยางรัดขึ้นจากข้อมือรวบเส้นผมสีม่วงครามหนาแน่นมัดเป็นหางม้าอย่างใจเย็น ราวกับจัดเตรียมตัวเองสำหรับการแสดงครั้งใหญ่ ปลายผมสะบัดแตะต้นคอ ก่อนจะเงียบลงเหลือเพียงเสียงคลื่นที่กระแทกท้องเรือกับลมหายใจที่หอบหนักด้วยความตื่นตระหนกของศัตรู


เธอเหลือบมองร่างที่กำลังชักกระตุกบนพื้นเรือมองดวงตาของเหยื่อที่เบิกค้าง สบเข้ากับสายตาสีเทาเงินของเธอ เลือดสีแดงฉานยังคงไหลทะลักจากบาดแผลราวกับน้ำพุ ภาพนั้นไม่ได้ทำให้โมนีก้าสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มของเธอยิ่งกว้างขึ้นอย่างน่าขนลุก ความเยือกเย็นที่เธอแสดงออกมานั้นไม่ใช่การควบคุมอารมณ์ แต่เป็นความสุขดิบของการได้ทำลายชีวิต


โมนีก้าที่ท่าทางเปลี่ยนไปทำให้ทุกคนชะงักไปชั่วคราว พวกเขามองหน้าเธอไม่ออกว่าคนตรงหน้าคือโมนีก้าคนเดิมหรือบุคคลอื่นที่แฝงอยู่ในร่างเดียวกัน เธอหันมายิ้มหวาน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงใส ๆ ราบเรียบ “ไม่ฆ่าหรอคะ? ต้องฆ่าสิคะ คนไหนขวางก็ต้องฆ่าใช่ไหมล่ะ?” แล้วหันไปมองทั้งห้าคนที่เหลืออย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ทันที่ใครจะได้ตอบอะไร การต่อสู้ก็เกิดขึ้นและจบลงเร็วเกินคาดภายในสองนาที สถานการณ์กลายเป็นความโกลาหล พวกที่เข้ามาจู่โจมถูกจัดการอย่างรุนแรง หลายคนบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีก เธอขยับตัว ถีบร่างที่เหลือลงจากเรืออย่างไร้ความปราณี ราวกับไม่แยแสว่าพวกเขาจะตายตรงไหน


ทุกคนยืนอึ้งไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เพราะคนที่โมนีก้าทำร้ายล้วนเป็นผู้ที่เข้ามาทำร้ายเธอก่อนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ขนลุกยิ่งกว่าคือคำพูดสุดท้ายของเธอ ที่แฝงด้วยความขี้เล่นและเย็นชาในคราวเดีย “เราสามารถชกคนโดยไม่ผิดกฎหมายได้นี่คะ? ไม่ใช่กฎหมู่ แต่เป็นกฎหมายหากได้รับอันตรายจากคนนั้นเนอะ” เธอหัวเราะแผ่ว ๆ แล้วทำตัวน่ารักสดใสจนทุกคนรู้สึกแปลกประหลาดในอก รู้สึกเหมือนความจริงถูกแบ่งออกเป็นหลายชิ้นในคนคนเดียวกัน


ลมทะเลกระแทกขอบเรือเป็นจังหวะ น้ำกระเซ็นละอองขาวเหนือผิวน้ำสีฟ้าเข้ม เรือโดยสารค่อย ๆ ลดความเร็วหลังหลุดจากแนวเรืออื่น ๆ ที่ยังแตกตื่นกับเสียงระเบิดเมื่อครู่ ดาดฟ้าด้านท้ายว่างเปล่าพอให้ลมพัดแรงจนปลายผมหางม้าของเธอโบกสะบัด โมนีก้าคนนั้นยืนเอียงสะโพห หยอกยิ้มด้วยดวงตาเทาเงินที่ดูสดใสเกินเหตุ


เลสเตอร์ยืนตรงข้าม เขาเว้นระยะพอดี มือหนึ่งวางบนราวเรือ อีกมือห้อยคันธนูไว้หลังไหล่ เขาพูดเบา ทว่าเสียงนิ่งมั่นใจแบบคนเก๊กเหมือนเดิม “โอเค ได้ ยินดีที่ได้รู้จักเธอนะ แต่ฉันอยากคุยกับโมนีก้าของฉันสักครู่ จะได้ไหม”


หญิงสาวหงายคางเล็กน้อยตอนที่โดนพูดใส่ก่อนยักคิ้วข้างหนึ่งด้วยท่าทางไม่แยแส “ไม่อ่ะ…ไม่้ให้เจอฉันกลับอ่ะ ไม่เอา พวกนายดูแลไม่ดีเองนี่หน่า? ฉันก็จะออกมาโลดแล่น มาดูโลกไงล่ะ”


เธอเอนตัวพิงราวเรือลมทะเลพัดผมยาวที่ถูกรวบหางม้าให้สะบัดพลิ้ว ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงแดดยามเช้า เธอยกคางขึ้นนิดหนึ่งแล้วพูดพลางยิ้มกว้าง “นี่ก็ห่างไกลจากฝั่ง ไม่มีใครตามมาได้หรอก แถมมาเฟียเยอะขนาดนี้ พวกนั้นคงคิดว่าเป็นพวกมาเฟียตีกันเองแน่ ๆ ยุโรปนี่อันตรายดีจังเลยนะ” เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมาทางพวกเขาอีกครั้ง “ว่าไหม?” เสียงพูดของเธอนุ่มนวลแต่มีความมั่นใจแปลก ๆ ที่ไม่ใช่โมนีก้าปกติแววตาเธอสดใสราวกับเด็กที่ได้เล่นสนุกในสนามใหม่ แต่ทุกท่วงท่ากลับมีความเยือกเย็นที่แฝงอยู่ลึก ๆ หางม้าที่แกว่งไกวอยู่ด้านหลังกลายเป็นสัญลักษณ์ชัดเจนของใครบางคนที่ไม่สนใครหน้าไหนบนโลกนี้อีกแล้ว แม้แต่ตัวเธอเองก็ตาม


เลสเตอร์สูดลมหายใจตั้งหลักนับหนึ่งถึงสี่ในใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ตามสไตล์เขา “ฝั่งอันตรายทะเลก็อันตราย แต่เธอปลอดภัยกับพวกเรา ถ้าจะโลดแล่นเดี๋ยวฉันเลือกเวทีให้ ไม่ใช่บนเรือสาธารณะข้างชายฝั่งสเปนแบบนี้”


เสียงรองเท้าของลูคัสดังกุกกักอยู่ด้านหลัง เขายืนบังลมให้ทุกคน โล่พาดข้างตะกร้ามีดของฮารุโตะที่ยังไม่ได้เก็บ ฮารุโตะเหลือบมองเลสเตอร์ส่งสัญญาณว่าเขาพร้อมรับช่วงถ้าเกิดอะไรขึ้น ส่วนวินเซนโซยืนพิงเสาเหล็ก ชะเง้อมองนาฬิกาแล้วอมยิ้มจาง ๆ แบบคนเตรียมเครื่องมือไว้ในกระเป๋าเสื้ออยู่แล้ว แต่อิซิเลียยืนนิ่งในเงาเสากระโดง แขนไขว้ หน้าเรียบเฉย ดวงตาเทาเย็นประเมินระยะหนีและจุดตรึงสถานการณ์อย่างเคร่งครัด


“ยินดีที่ได้รู้จักแล้วกันฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ ฉันจะมาอยู่สักพัก” เธอ…หรือโมนีก้าทรงหางม้ายิ้มหวานอีกครั้ง “ถ้าไม่ชิน จะเรียกว่าโมนีก้าเหมือนเดิมก็ได้”


เลสเตอร์เอียงศีรษะนิดเดียว รอยยิ้มกะล่อนแบบประจำตัวผุดขึ้นเหมือนสุริยันลอดเมฆ “งั้นฉันเรียกโมนีก้าเหมือนเดิมนะ เพราะชื่อเดียวกันทำให้ทีมไม่สับสน… แล้วก็เพราะฉันชอบชื่อเธอเวอร์ชันที่ชอบขนมซอฟต์ครีมกับหัวเราะจนหลุดจมูกน่ะ พอดีฉันผูกพันกับคนนั้นมากกว่า”


แววตาหญิงสาววาบขึ้นเสี้ยววินาที ก่อนกลับมานิ่งเฉียบ เธอหัวเราะหึในคอ “อ่อยเหรอ? ไม่ได้ผลหรอกนะ คุณขี้เก๊ก”


“ก็จริง ฉันเก๊กเสมอ” เลสเตอร์ยักไหล่ “แต่ฉันก็จำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ดีเวลากลัว เธอชอบกำชายเสื้อด้านซ้าย เวลาขำจริง ๆ จะเผลอกัดริมฝีปากล่าง เวลาภูมิใจจะยืดหลังตรง ๆ เหมือนตอนถือถาดอาหารที่ชอบ… เธอยังอยู่ในนี้” เขาแตะอกตัวเองหนึ่งครั้ง แล้วชี้ปลายนิ้วแตะกลางอกของเธอห่าง ๆ ในอากาศ ไม่ล้ำเส้นแต่พยายามที่จะปลุกโมนีก้าภายในให้ออกมา


ลูคัสกระแอมเบา ๆ เป็นสัญญาณเตือนภัยรอบนอก ริมฟ้าข้างกราบขวายังมีควันที่ระเบิดหลงเหลือเป็นริ้วฝั่งกราบซ้ายเป็นผืนน้ำเปิดโล่ง อิซิเลียสบตาเลสเตอร์ชั่วแล่นเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง


“ถ้าคุณจะอยู่สักพัก… อย่างน้อยให้ผมเช็คชีพจรแป๊บเดียวได้ไหมครับ เดี๋ยวจะเวียนหัวเอา” ฮารุโตะพูดอย่างนุ่มนวลแบบไม่เร่งเขามีความรู้ทางการแพทย์อะไรแบบนี้ก็พอรู้ว่าควรทำยังไงก่อนเขาชูสองมือแสดงความว่างเปล่า ไม่มีอาวุธในมือ มีเพียงผ้าพันแผลและสเปรย์น้ำเกลือ


“กล้าดีนี่ หมอหนุ่ม… ก็ได้ค่ะ แค่สิบวินาทีนะ” โมนีก้าหางม้ากะพริบตา มุมปากยกขึ้นคล้ายท้าทายที่มีรอยยิ้มแสนแพรวพราว ฮารุโตะขยับเข้าไปนุ่มนวล นิ้วแตะข้อมือเบา ๆ นับในใจด้วยน้ำเสียงพึมพำเกือบไม่เป็นคำ “สม่ำเสมอ… ดีครับ” แล้วถอยออกมาอย่างรู้จังหวะ ไม่ละเมิดขอบเขต


วินเซนโซโผล่หน้ามาพอดีระหว่างนั้นในมือถือแก้วกาแฟก่อนขยับยกไปทางเลสเตอร์แบบส่งลับ ๆ “ถ้าเธอจะอยู่สักพักต้องมีกฏทีมสองข้อนะ” ชายผมตาสีน้ำตาลเข้มเอ่ยเสียงราบ “หนึ่ง ไม่ทำให้เรือโดนสาดเลือด สองฟังสัญญาณมือของอิซิเลียเวลาเราต้องเงียบ พอดีฉันชอบดาดฟ้าที่สะอาดนะขัดง่ายกว่าขัดคราบดรามา”


“พวกนายตั้งกติกาเก่งนะ… ก็ได้ ฉันจะลองอยู่ตามกติกาสักพักอยากดูเหมือนกันว่าพวกนายจะดูแลได้ดีแค่ไหน” โมนีก้าเอ่ยยิ้ม ๆ ผมหางม้าของเธอสะบัดเล็กน้อยก่อนที่จะเอนตัวพิงเรือ ดวงตาเทาเงินสั่นริกนิดเดียวเหมือนคลื่นเล็กกระทบหิน แล้วกลับเรียบสนิท เธอหมุนมีดสั้นในมือเป็นวงโค้งแคบพอให้เห็นทักษะ แล้วเสียบกลับฝักข้างต้นขาอ่อน “ขอเก็บอย่างน้อยหนึ่งเล่มไว้ใกล้ตัวนะคะเผื่อมาเฟียอยากต่อยกสอง” เธอบอกเสียงขำ “สบายใจได้ ไม่จิ้มพวกเดียวกันหรอก… ถ้าไม่ชี้นำให้หงุดหงิด”


ลูคัสผ่อนลมหายใจที่อั้นไว้ “งั้นก็ดี เราจะไปถึงโรมให้เร็วที่สุด” เขาปักคำอย่างทหาร “ถ้าศัตรูเป็นคนอีก ฉันจัดการให้เธอไม่ต้องสกปรกมือ” หญิงสาวเหลือบตามองลูคัสดวงใจวูบผ่านหน้าเธอแวบเดียว… แล้วหายไป ก่อนตอบด้วยรอยยิ้มเฉียง “พูดเท่ดีนะ โรมันบอย”


“โรมันแมนต่างหาก” ลูคัสแก้โดยอัตโนมัติ


ลมเค็มจากทะเลพัดกรูอยู่เหนือดาดฟ้า เฟอร์รีโคลงรับสันคลื่นอย่างสม่ำเสมอ โมนีก้าผูกผมหางม้าก้าวฉับ ๆ ไปทั่วทั้งลำเรือเหมือนมอเตอร์ที่ไม่รู้จักพัก สายตามองผู้โดยสารและลูกเรือไม่ใช่ในฐานะคนแต่เป็นสิ่งกีดขวางที่เธออยากทดลองขยับผ่านไปให้ได้ มือก็เผลอแตะราว บิดลูกบิด ลองล็อก ลองปลดไปหมดทุกอย่างราวกับกำลังทดสอบสนามเด็กเล่นส่วนตัว พลังงานพุ่งพล่านราวเครื่องยนต์เทอร์โบที่ไม่รู้จักคำว่าเบรก เลสเตอร์เกือบกรี๊ดตอนเห็นโมนีก้าเหลือแค่เสื้อบิกินี่กับกางเกงขาสั้น เขารีบคลุมเสื้อแจ็กเก็ตยาวทับลงบ่าเธอแทบจะทันที



“ใส่ไว้ เดี๋ยวเป็นหวัด” น้ำเสียงทำเป็นนิ่ง แต่หางคิ้วกระตุกจนฮารุโตะแอบกลั้นขำไม่อยู่ โมนีก้าขยับไหล่ไล่ผ้าที่โดนคลุมลงมาแบบรำคาญก่อนคลี่ยิ้มหวานไม่ใช่หวานแบบใจดีแต่หวานแบบคมกริบ “ก็ร้อนนี่นา” แต่เลสเตอร์กับแทบถลึงตาใส่โมนีก้า “เรือทั้งลำมีแอร์ไหมล่ะ” เลสเตอร์สวนสั้น ๆ กดปลายเสื้อให้ปิดช่วงอกอย่างแน่นหนา “ขอเถอะปิดหน่อย”


ห้าชั่วโมงถัดมา เธอเดินตั้งแต่หัวเรือถึงท้ายเรือขึ้นลงบันไดวนไม่รู้กี่รอบ มองโน้นมองนี้เหมือนลูกลิงพึ่งได้ขึ้นเรือเป็นครั้งแรก ลูคัสคุมระยะเฝ้าดูอยู่ครึ่งดาดฟ้า โล่พาดแขนไว้ สายตาคอยอ่านคนแปลกหน้า “อย่าจ้องผู้โดยสารมากเกินไปสิ” เขาเตือนเสียงทุ้มตามหน้าที่ “ไม่ได้จ้องคนสักหน่อยนะ …แค่ดูสิ่งที่ขวางทาง” เธอตอบหน้าตาเฉย ทำเอาฮารุโตะเงียบจดจำคำของเธอไว้ว่าโหมดนี้ไร้ความปรานีโดยสิ้นเชิง


อิซิเลียขึ้นมาสำรวจสั้น ๆ เหลือบตามองภาพรวมแล้วสรุปเหมือนคำสั่งรบ “อย่าให้เธอตื่นถี่ ๆ ในสิบห้าชั่วโมงข้างหน้า ไม่งั้นวุ่นวายตายชัก” เธอหันให้เลสเตอร์รับผิดชอบหลัก ส่วนตัวเองกลับไปคุมแผนที่เพื่อดูเส้นทางต่อไป ฮารุโตะจึงพาเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจากดาดฟ้าเปิดสู่เลาจน์ที่ไฟสลัวกว่า จัดหมอนรองคอ ผ้าห่มบางและแรงกดเบา ๆ บนบ่าให้รู้สึกปลอดภัย “ลองหลับตาสามสิบนาทีก่อนครับ ผมจับเวลาให้” โมนีก้าเชิดคางเหมือนจะปฏิเสธเพราะโดนล่อด้วยการนอนแต่เลสเตอร์โน้มตัวลงให้ร่างของเขาบังแสงพอดี พูดเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงเดียวกับคืนที่ดึงเธอจากฝันร้าย “โมนีก้า… พักก่อน เดี๋ยวฉันเฝ้าเอง”


โมนีก้าขยับมือเหมือนจะขับมีดสั้นที่เธอซ่อนไว้ แต่พอได้ยินเสียงนั้นเปลือกตาของเธอที่กั้นระหว่างดวงตาสีเทาเงินค่อย ๆ หนักลง ลมหายใจเริ่มยาวและสม่ำเสมอ เลสเตอร์จึงดึงผ้าคลุมให้ปิดตั้งแต่ไหล่ถึงเข่า วินเซนโซเอาผ้าห่มที่เพิ่งอบแห้งมาวางเพิ่ม ลูคัสยืนเฝ้าหน้าเลาจน์จับเวลาเวรเปลี่ยนทุกสองชั่วโมง ส่วนอิซิเลียเพียงพยักหน้าบาง ๆ เป็นการอนุมัติขั้นตอนทั้งหมด


เสียงคลื่นด้านนอกกลายเป็นฉากหลังอู้อี้ โมนีก้าขยับศีรษะซุกหมอน ยิ้มกวนค่อย ๆ เลือนหาย เหลือเพียงความผ่อนคลายของหน้าผากเหมือนเธอคนเดิมโผล่พ้นผิวน้ำมาหายใจอย่างปลอดภัย ทีมทั้งห้าจึงกระจายวงนั่งเงียบ ๆ ล้อมเธอไว้ตรงกลาง ให้ยาหลับตามธรรมชาติทำงานเต็มที่ และให้พรุ่งนี้ของโมนีก้าคนเดิม… มีที่ทางจะกลับมาอีกครั้ง

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

การเดินทางครั้งนี้ไม่ง่ายโดนพวกมาเฟียมาดักอีก และโมนีก้าก็...ไม่ใช่โมนีก้าไปแล้วหวังว่าเธอจะกลับมาเร็ว ๆ นี้นะ ทำไมเธอถึงไม่ชอบใส่เสื้อผ้ากันนะ...


[อยู่ระหว่างการเดินทาง ระหว่าง บาร์เซโลนา สเปน ไปยัง โรม อิตาลี]

[เดินทางต่อไปด้วยเรือเฟอร์รี่ของบริษัทขนส่ง เพื่อเปลี่ยนเส้นทางไป อิตาลี]

[อยู่กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน]

[ใช้เวลาเดินทางจนถึงจุดหมายปลายทาง 15 ชั่วโมง]

avatar

Moneka M. Blossom

กระดาษหรอ? เขียนทำไม?

avatar

Vincenzo Bergamotto

เหนื่อยแทน..อ๊า..เธอมีเลือดเจนัสสินะ ไม่แปลกเท่าไร

avatar

Icilia Dominicus

เตมิก็อดเชื้อสายเจนัสเป็นงี้กันหมดไหมนะ...อ่ะ ลืมไปเธอเชื้อสายเซเรสแค่เป็นลูกหลานมรดกของเจนัส

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-10-7 11:38
โพสต์ 75901 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-7 05:17
โพสต์ 75,901 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-7 05:17
โพสต์ 75,901 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-7 05:17
โพสต์ 75,901 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-7 05:17
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-7 10:44:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-7 15:04

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 44 : ผัดเผ็ดงู
วันที่ 03 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 04.00 น. เป็นต้นไป ณ กรุงโรม อิตาลี

การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะยาวนานเกินกว่าที่คิดและมีแต่ความตึงเครียด ยิ่งใกล้โรมยิ่งเครียดเกินกว่าที่จะสามารถคิดได้ด้วยซ้ำ เสียงประกาศจากลำโพงบนเรือดังแว่วสะท้อนในโถงโล่ง “อีกสามสิบนาทีจะถึงท่าเรือชิวิตาเวกเกีย กรุงโรม เทียบท่าเวลา 04.00 น. ของวันที่ 3 ตุลาคม” เสียงนั้นแผ่วแต่กลับทำให้ทุกคนที่ฟังรู้สึกเหมือนก้อนหินที่แบกอยู่บนบ่าค่อย ๆ เบาลงเล็กน้อย การเดินทางครั้งนี้ช่างยาวนานและหนักหนากว่าที่ใครคาดไว้ ยิ่งใกล้ถึงโรมเท่าไร ความตึงเครียดก็ยิ่งกดทับในอกเหมือนทะเลที่ไม่มีวันสงบ


เลสเตอร์ยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่างมือข้างหนึ่งถือแจ็กเก็ตของโมนีก้าไว้แน่นพลางมองทะเลสำหรับรุ่งอรุณสาดเฉียงขึ้นมาจากขอบฟ้าอยู่ตลอดเวลา ฮารุโตะค่อย ๆ ปลุกหญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนโซฟาภายในเลาจน์ เสียงเรียกแผ่วเบา “โมนีก้า... ตื่นได้แล้วครับ อีกไม่นานจะถึงโรมแล้วนะ” เปลือกตาสีเทาเงินของเธอสั่นไหวช้า ๆ ก่อนจะลืมขึ้นทีละน้อย แววตาในตอนนี้ไม่ใช่สายตาเยียบเย็นแบบเมื่อวาน แต่เป็นดวงตาใสซื่อและสับสน เหมือนเด็กที่เพิ่งตื่นจากฝันร้ายและยังไม่แน่ใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน “ถึงแล้วเหรอ…” เสียงเธอสั่นนิด ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบขมับที่ยังมึน “ฉัน… หลับไปนานแค่ไหนกันนะ”


“ยี่สิบชั่วโมงเต็มครับผม” ฮารุโตะตอบพลางยิ้มอ่อน “ตอนนี้ร่างกายกลับมาสมดุลแล้วครับ ไม่ต้องห่วง” เขาเช็กชีพจรอีกครั้ง สีหน้าโล่งใจเมื่อทุกอย่างกลับเป็นปกติ เลสเตอร์เดินเข้ามาใกล้ ย่อตัวลงตรงหน้าเธอ มองเธออยู่อย่างนั้นเนิ่นนานก่อนจะพูดเบา ๆ แต่ชัด “ดีแล้ว… เธอกลับมาแล้ว”


โมนีก้ามองหน้าเขา สีแดงระเรื่อขึ้นที่แก้มโดยไม่รู้ตัว “อืม… ขอโทษนะ ที่ทำให้วุ่นวาย หลับไปนานคงแปลก ๆ ใช่ไหม?” เสียงเธอแผ่วหวานอย่างคนรู้สึกผิด เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ พลางเอามือแตะผมเธอเบา ๆ “อย่าคิดมาก” คำพูดนั้นทำให้เธอเบิกตากว้างก่อนจะหลุดหัวเราะเขินอย่างจริงใจครั้งแรกในรอบวัน


ลูคัสที่ยืนพิงราวฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นบ้าง “ตอนนี้เราใกล้ถึงเขตท่าเรือแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม พอเทียบท่าเราจะออกเดินทางต่อทันที ห้ามแวะที่ไหน เข้าใจนะ” น้ำเสียงของเขายังคงเด็ดขาดและมั่นคงเช่นเคย แต่แววตาที่มองโมนีก้ากลับอ่อนลงกว่าเดิมเล็กน้อย อิซิเลียซึ่งเงียบอยู่นานเพียงพูดขึ้นแผ่วเบา “อย่างน้อยเธอคนนี้… ดูน่าคบกว่าคนก่อน” น้ำเสียงเรียบ แต่แฝงความประชดไว้ชัด ฮารุโตะหันมาส่งสายตาให้เบา ๆ เป็นเชิงว่าอย่าไปพูดแรงนัก แต่เจ้าตัวก็แค่เบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่างแทน


เสียงเรือประกาศซ้ำอีกครั้ง เตือนว่ากำลังลดความเร็วเพื่อเทียบท่า เสียงเครื่องยนต์ดังต่ำเหมือนคำรำลาที่ค่อย ๆ แผ่วลง พวกเขาทั้งหกมองหน้ากันโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดเพิ่ม ไม่มีใครรู้ว่าบนแผ่นดินโรมนี้จะรออะไรอยู่ แต่ในวินาทีที่ลมเช้าพัดผ่าน เสียงหัวใจของทุกคนเหมือนจังหวะเดียวกันเตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่กำลังจะมาถึง


แสงของเช้าวันใหม่สาดกระทบพื้นท่าเรือหินเก่าของชิวิตาเวกเกีย ราวกับผืนกระจกสีทองที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา กลิ่นเกลือทะเลปะปนกลิ่นน้ำมันจากเครื่องยนต์เรือยังคงลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ลมจากทะเลเอื่อยพัดกลิ่นฝนจาง ๆ จากฟากฟ้าเข้ามาปะทะใบหน้า ราวกับเตือนว่าจากนี้คือดินแดนใหม่ที่ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะรออยู่ ทั้งหกคนก้าวเท้าลงจากเรือโดยมีเสียงรองเท้ากระทบพื้นหินดังเป็นจังหวะเดียวกัน พื้นที่โดยรอบยังเงียบสงัด มีเพียงเสียงคลื่นที่ซัดเข้ากระแทกเสากันท่า


โมนีก้าเดินนำเพียงครึ่งก้าว เสื้อคลุมสีขาวที่เธอสวมพริ้วตามแรงลม ผมสีม่วงครามสะท้อนแสงแดดอ่อนจนกลายเป็นสีลาเวนเดอร์แวววาว เธอหาววอดหนึ่งแล้วขยับหมวกขึ้นคลุมศีรษะ มือหนึ่งล้วงขนมปังจากถุงในกระเป๋าเป้มาเคี้ยวไปพลาง “มีใครรู้บ้างไหมว่าจะไปโรมยังไงคะ จากตรงนี้” เธอพูดเสียงใสแต่ดวงตายังมึนงงเล็กน้อยจากอาการหลับยาว ฮารุโตะหัวเราะเบา ๆ แล้วเปิดแผนที่“มีรถไฟออกทุกชั่วโมงครับ แต่ดูเหมือนขบวนเช้าเพิ่งออกไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ถ้าจะไปก็ต้องรออีกเกือบชั่วโมง”


“รออีกชั่วโมงงั้นเหรอ…” วินเซนโซพูดพลางกดปุ่มปลดล็อกกล่องเหล็กพกพาที่ด้านในเต็มไปด้วยอุปกรณ์กลไกและชิ้นส่วนโลหะ เขาหยิบเครื่องมือออกมาตรวจสอบชิ้นส่วนเรือจำลองจิ๋วในมือ “ถ้ามีเวลา ฉันอาจทำหาอะไรทำไว้นะเนี้ยจะได้ไม่เบื่อ” อิซิเลียที่ยืนกอดอกเหลือบมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “หรือไม่ก็ระเบิดมือเอาไว้เล่นหรือไง”


ลูคัสกวาดตามองรอบบริเวณ สวมแว่นกันแดดท่ามกลางแสงสว่างที่ไม่มีเงา “เราจะยืนเล่นกันอยู่นี่อีกนานไหม ขบวนต่อไปออกจากสถานีตอนหกโมงเช้า ถ้าเดินทางจากที่นี่ไปถึงสถานีต้องใช้เวลาสามสิบนาที ถ้าไม่รีบจะตกขบวนอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังแต่ไม่ก้าวร้าว พวกเขาเคยชินกับความเป็นระเบียบของเขาอยู่แล้ว “นายนี้กังวลไปทุกเรื่องเลยนะ” อิซิเลียพึมพำในลำคอ ดวงตาเย็นเฉียบใต้ร่มหมวกโลลิต้ามองเขาอย่างคนเบื่อโลก “ถ้าทหารโรมันทุกคนระแวดระวังแบบยสบก็คงไม่มีสงครามเหลือให้เล่นแล้วละ” ลูคัสเหลือบตามองกลับแต่ไม่ตอบ เขาแค่ยกกระเป๋าสัมภาระขึ้นบ่าแล้วเดินนำหน้าออกไปตามถนนหินโบราณที่ทอดยาวเข้าสู่เมือง


ระหว่างการเดินฮารุโตะเก็บอุปกรณ์แล้วเดินข้างโมนีก้า “โมนีก้าครับ แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไรแล้ว” ท่าทางของเขาเหมือนจะยังเป็นห่วงอยู่อย่างเห็นได้ชัด “แน่ใจสิคะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มบาง “เมื่อเช้าฉันฝันว่าอยู่ในทุ่งข้าวหอมมะลิ มีลมพัดแรง แล้วมีเสียงใครบางคนบอกว่าอย่ากลัวฉันคิดว่าฉันโอเคแล้วละ”


เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินดังสลับกับเสียงนกทะเลบินวนอยู่เหนือศีรษะ พวกเขาเดินเรียงกันไปตามถนนเล็ก ๆ ที่ทอดเข้าสู่ตัวเมือง ถนนเต็มไปด้วยอาคารเก่าสไตล์อิตาเลียนที่เคยสวยงามแต่บัดนี้ร้างผู้คน เหมือนโลกนี้ถูกลืมโดยเวลา เลสเตอร์มองรอบ ๆ แล้วพูดขึ้นเบา ๆ “โรม…” โมนีก้าเงยหน้ามองฟ้าที่สว่างอยู่ตลอดเวลา ดวงตาเธอสะท้อนภาพของกลีบเมฆขาวระยิบระยับเหมือนเศษกระจกเงินที่ไม่มีจุดจบ เธอยกมือบังแสงเล็กน้อย รอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากอย่างที่ไม่มีใครทันสังเกต


เสียงหวูดรถไฟดังต่ำลอดผ่านอากาศอุ่นของยามเช้าที่ไม่สิ้นสุด ล้อเหล็กเสียดสีกับรางจนเกิดประกายแสงวาบเล็ก ๆ ก่อนที่ประตูโบกี้ท้ายสุดจะเปิดออกพร้อมลมร้อนจากภายนอกที่พัดพาเอากลิ่นเหล็กและน้ำมันเข้ามาปะทะจมูก ทุกคนก้าวขึ้นมาอย่างระมัดระวังเพราะในสถานการณ์แบบนี้ความเงียบมักไม่ใช่สิ่งที่น่าไว้ใจ ภายในโบกี้สุดท้ายว่างเปล่าเกินไป เก้าอี้กำมะหยี่สีแดงเข้มเรียงเป็นแถวสองข้าง ที่นั่งริมหน้าต่างส่องแสงวับวาวจากแดดที่สาดลอดกระจกเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีใครอื่นอยู่ในนั้นนอกจากพวกเขาทั้งหก เหมือนทั้งขบวนถูกสงวนไว้เพื่อสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า


โมนีก้าขึ้นมาเป็นคนแรกเดินตรงไปทางที่นั่งด้านขวา รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าเมื่อเธอหยุดลงข้างฮารุโตะ “ขอนั่งตรงนี้ด้วยนะคะ” เธอพูดอย่างสบาย ๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งโดยไม่ทันมองว่าข้างหลังมีใครกำลังชะงักเล็กน้อยอยู่ตรงทางเดิน เลสเตอร์ที่เดินตามมาพอดีเงียบไปชั่วขณะ สายตาเขาเหลือบมองทั้งสองคนโดยเฉพาะรอยยิ้มอบอุ่นที่ฮารุโตะตอบกลับไปด้วยความสุภาพเสียจนอยากจะปาหมวกใส่


“แน่นอนครับ” ฮารุโตะตอบเสียงนุ่ม มือของเขาวางบนเข่าพร้อมส่งยิ้มที่ไม่มีพิษภัยให้โมนีก้า “นั่งข้างผมปลอดภัยสุดแล้ว” พูดแบบทีเล่นทีจริงแบบคนที่อารมณ์ดี


“งั้นเหรอคะ?” โมนีก้าหัวเราะคิก เบือนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง “หวังว่าอย่างนั้นนะ เพราะฉันไม่อยากเห็นเลือดแต่เช้าอีกแล้วค่ะเดี๋ยวกินข้าวไม่ลง…”


เลสเตอร์ทำเป็นไม่สนใจแต่ในอกกลับร้อนรน เหมือนมีอะไรบางอย่างจี้กลางอก เขาขยับไปนั่งข้างลูคัสแทน มือวางเท้าบนพนักหน้าอย่างไม่เรียบร้อยนัก “อย่างน้อยก็ยังมีใครบางคนที่ไม่พูดมากข้าง ๆ” เขาพึมพำ ลูคัสปรายตามองพลางเอ่ยเรียบ ๆ “ฉันพูดน้อยเพราะไม่มีอะไรให้พูด ไม่ใช่เพราะจะฟังนายบ่นนะเลสเตอร์”


“โอเค ได้ ๆ” เลสเตอร์ยกมือยอมแพ้ในทันที แต่สายตายังแอบเหลือบไปทางโมนีก้าเป็นระยะ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ควรทำแบบนั้น


อิซิเลียลากชุดโลลิต้าสีดำของตนขึ้นเบา ๆ ก่อนจะนั่งตรงมุมสุดใกล้ประตู เธอวางหัวกะโหลกของอลันไว้บนตักแล้วลูบมันช้า ๆ “อย่ามองคนอื่นมากเลยอลัน” เสียงของเธอเย็นเฉียบ “เด็กหนุ่มพวกนี้เสียงดังราวกับกลัวจะไม่มีใครเห็นว่าตัวเองมีค่า” วินเซนโซหัวเราะในลำคอจากอีกฟากหนึ่งของโบกี้ เขานั่งไขว่ห้างถือแก้วกาแฟที่เขาชงขึ้นระหว่างรอรถไฟตรงสถานี “อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มนักเลยคุณเจ๊ตัวเล็ก”


เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้ง รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาช้า ๆ ภาพท่าเรือค่อย ๆ ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แสงสีทองที่สะท้อนจากทะเลค่อยเปลี่ยนเป็นสีขาวจ้าเมื่อเข้าสู่พื้นดิน โมนีก้านั่งนิ่งมองวิวที่เลื่อนผ่าน ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงจนแทบดูเหมือนเปล่งประกาย “อีกไม่ถึงสองชั่วโมงก็จะถึงกรุงโรมแล้ว” ฮารุโตะพูดพลางหันมายิ้มให้เธอ “พอไปถึง เราคงต้องแยกหน้าที่กันให้ชัด จะได้ไม่เกิดเหตุแบบบนเรืออีกนะครับ”


“อืม…ได้ค่ะ” โมนีก้าตอบเบา ๆ “แต่ฉันยังจำอะไรตอนนั้นได้ไม่หมดนะ เหมือนฝัน ๆ เบลอ ๆ น่ะ” เลสเตอร์ที่ได้ยินประโยคนั้นเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง มุมปากเขาเกือบจะยกยิ้ม แต่กลับเปลี่ยนเป็นเม้มแน่นแทน สายตาเขาแอบอ่อนลงอย่างห้ามไม่ได้


ลูคัสหันไปมองนอกหน้าต่าง เสียงพูดของเขาดังขึ้นหลังความเงียบชั่วครู่ “เป้าหมายเราชัดเจนใจกลางโรม หยุด LoNex ก่อนที่พวกมันจะทำสำเร็จ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม”


“เราจะไม่ให้มีดวงอาทิตย์สีดำ” อิซิเลียกล่าวต่อเสียงเรียบ แต่ในน้ำเสียงนั้นมีบางอย่างหนักแน่นกว่าที่ทุกคนคาด “ฉันไม่ต้องการให้โลกนี้กลายเป็นอะไรแบบนั้น” รถไฟเร่งความเร็วขึ้น เสียงเหล็กบดรางก้องไปทั่วโบกี้ ขณะที่แสงที่ลอดกระจกสะท้อนบนใบหน้าของพวกเขาแต่ละคน ดวงตาของเลสเตอร์เป็นสีฟ้าเข้มราวกับเปลวไฟ ดวงตาของโมนีก้าสะท้อนแสงเงินราวกระจก ดวงตาของลูคัสแน่วแน่ไม่ไหวติง ส่วนของอิซิเลียเย็นชาจนแทบไร้วิญญาณ


วินเซนโซยกกาแฟขึ้นจิบก่อนพูดแผ่วเบา “ดูเหมือนการเดินทางนี้จะไม่มีใครได้หลับอีกเลยนะ”

โมนีก้าหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อย “นั้นสินะคะ”


ระหว่างการเดินทางที่เงียบสงบภายในโบกี้สุดท้ายของขบวนรถไฟที่มุ่งหน้าไปกรุงโรม เสียงเครื่องยนต์ดังสม่ำเสมอประสานกับจังหวะล้อเหล็กกระทบกับราง เสียงนั้นฟังดูปกติ จนกระทั่งประตูโบกี้เลื่อนเปิดออกอีกครั้ง พร้อมลมเย็นประหลาดที่พัดเข้ามาแตะหลังคอของทุกคน หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาในชุดคลุมยาวสีเทาเข้ม ผ้าโพกศีรษะปิดถึงหน้าผาก ปิดเกือบทุกส่วนของใบหน้า เห็นเพียงริมฝีปากบางที่ขยับขึ้นลงเล็กน้อยใต้แว่นกันแดดขนาดใหญ่ กลิ่นควันธูปและดินแห้งลอยอวลรอบร่างเธออย่างอธิบายไม่ได้


“เด็ก ๆ... เดินทางจากแดนไกลมาถึงนี่ทำไมกัน?” เสียงของเธอนุ่มแต่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง เหมือนเสียงที่ผ่านทรายพันปีมาจากสุสานใต้ทะเลทราย ลูคัสขยับมือแตะด้ามดาบทันที ส่วนอิซิเลียยกคิ้ว “คำถามแบบนี้ มักตามมาด้วยการต่อสู้ใช่ไหม?” เธอพูดเย็นเฉียบ ขณะหัวกะโหลกอลันในอ้อมแขนส่งเสียงกระซิบแหบพร่าเบา ๆ ว่า “กลิ่นปีศาจ...”


โมนีก้าหยุดเคี้ยวลูกอมกลางคัน “เอ๋... ไม่ใช่แค่ฉันที่ได้กลิ่นแปลก ใช่ไหมคะ?” แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ หญิงลึกลับคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น แว่นกันแดดร่วงหล่นกระแทกพื้น สิ่งที่เผยให้เห็นเบื้องหลังคือดวงตาสีทองเรืองแสงและเส้นผมที่ขยับได้เองแต่ละเส้นขดเป็นงูมีชีวิตนับร้อย เลื้อยไปทั่วใบหน้าและบ่าของเธอพร้อมเสียงขู่แผ่ว ๆ 


“กอร์กอน...ทุกคนหลับตา!!” เสียงของฮารุโตะหลุดออกมาแทบจะพร้อมกันกับที่เลสเตอร์ลุกพรวด “ถอยหลัง!”


โมนีก้าอ้าปาก “กะ... กอร์กอนจริง ๆ เหรอคะ!?” โมนีก้าตกใจแล้วหลับตาทันทีแบบทันทีจริง ๆ เพราะกลัวตาย หนังไทยทำให้ทุกคนกลัวเมดูซ่าสุด ๆ “งือออ ฉันได้ยินเสียงงูอ๊า งูเต็มหัวอน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ ฉันกลัวงูนะ ถึงมันจะอร่อยเวลาเอาไปผัดเผ็ดก็เถอะ!!!”


ทั้งโบกี้ชะงักไปชั่วขณะไม่เว้นแม้กระทั่งกอร์กอน ก่อนที่วินเซนโซจะหันหน้าที่ยังคงหลับตาอยู่มองไปตามเสียงโมนีก้าด้วยสีหน้าไม่แน่ใจว่าได้ยินผิดหรือไม่ “ขอโทษนะ... เธอว่าอะไรนะ? ผัดเผ็ด...งู?” เขาเหมือนถามแบบอึ้ง ๆ ฝรั่งไม่เก็ตผัดเผ็ดงู ลาบงูคั่ว ไม่เข้าใจ “ใช่ค่ะ! แม่บ้านคนไทยเคยทำให้กิน!” เธอตอบพลางชักกราดิอุสออกมาแต่ยังหลับตาแน่น


กอร์กอนคำรามต่ำ ๆ เสียงงูพากันส่งเสียงสวบสาบทั่วโบกี้ “เจ้ากล้า...ลบหลู่ข้า?” ดวงตาสีทองของนางสว่างขึ้นเป็นประกายราวเปลวไฟจากนรก “ฉันไม่ได้ลบหลู่! ฉันแค่พูดถึงอาหารค่ะ!!!” โมนีก้าร้องลั่นพร้อมง้างดาบในมือมั่ว ๆ แต่ด้วยโชคชะตาหรือพรสวรรค์ เธอฟาดโดนงูเส้นหนึ่งจนหลุดออกไปจริง ๆ


เลสเตอร์รีบก้าวมาข้างหน้าเพราะเขาสัญชาตญาณไวมันเลยเหมือนเดินธรรมดาก่อนดึงธนูออกมาพร้อมลูกศรเงินที่เปล่งแสงจาง ๆ จากปลายลูก “อย่าให้เธอมองตา!” เขาตะโกน “ใครสบตาโดนสาปหินทันที!”


“ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ทุกคนรู้อยู่แล้วนะ!” ลูคัสสวนกลับพลางยกโล่ขึ้นกัน เขากระโจนเข้าข้างหน้า ดาบในมือกระทบกับเกล็ดสีเขียวเข้มของกอร์กอนจนเกิดเสียงแหลม “เจ้าหนูนั่น!” กอร์กอนเหวี่ยงหางงูพุ่งเข้าใส่ แต่เลสเตอร์ยิงลูกศรสกัดกลางอากาศจนประกายแสงระเบิดเป็นฝุ่นสีทอง วินเซนโซโยนวัตถุโลหะกลม ๆ เข้าไปในวง ก่อนมันจะเปิดกลีบกลายเป็นโล่พลังงานครอบป้องกันอิซิเลียและอลันไว้ได้ทัน


“ถ้าเราปล่อยให้เธออยู่บนรถไฟนี้นานกว่านี้ เราทั้งขบวนได้กลายเป็นรูปปั้นหมดแน่!” อิซิเลียกล่าวเสียงเย็น ทันใดนั้นหมอกดำทะมึนแผ่กระจายเต็มโบกี้ ทำให้แสงแดดจากนอกหน้าต่างถูกกลืนหายไปจนสิ้น เสียงกอร์กอนคำรามลั่น “เจ้าใช้เงามืดกับข้าไม่ได้หรอก เด็กหญิงแห่งราตรี!”


“แต่ฉันใช้ได้!” เลสเตอร์ตะโกนก่อนลูกศรอีกดอกจะพุ่งฝ่าอากาศ แสงทองวาบวับเฉือนเข้ากลางอกของนางในจังหวะที่ลูคัสพุ่งแทงพร้อมกัน งูหลายร้อยตัวบนศีรษะกรีดร้องในขณะที่ช่วงนั้นเป็นจังหวะให้ลูคัสพุ่งเข้ามาใช้ดาบฟันคอกอร์กอนให้ขาดสะบั้น


เสียงหอบหายใจหนักของแต่ละคนก้องสะท้อนอยู่ในโบกี้รถไฟที่เงียบสนิท เหงื่อไหลซึมตามขมับและต้นคอจนเส้นผมเปียกชื้น บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยกลิ่นฝุ่นหินและกลิ่นคาวโลหะที่ยังไม่จางจากการต่อสู้ เสียงโลหะหล่นกระทบพื้นดัง “แกร๊ง” เมื่อดาบของลูคัสตกจากมือ เขาโน้มตัวลงมองศีรษะของกอร์กอนที่กลิ้งอยู่บนพื้นข้างเก้าอี้โดยที่ตายังลืมโพลง ดวงตาทองคู่นั้นเต็มไปด้วยแสงที่ดับสิ้นแต่ยังคงความหลอนหลอกชวนขนลุก “ใครก็ได้...” ลูคัสเอ่ยพลางถอนหายใจ “ช่วยยืนยันที คอมัน...ขาดแล้วใช่ไหม?”


ความเงียบแผ่คลุมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่วินเซนโซจะลลืมตาพลางกะพริบตาแล้วพูดเสียงเบา “ฉันว่า...ขาดแล้วนะ เพราะหัวมันอยู่นี่ ส่วนตัวน่าจะอยู่ตรงนั้น” เขาใช้เท้าเตะเบา ๆ ไปยังเศษหินสีเทาที่กำลังแตกสลายเป็นผง โมนีก้าค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เห็นภาพนั้นเข้าก็ทำหน้าแหย “โว้ยยยยย สยองอ่ะ! เหมือนฉากสยองขวัญในหนังเลยค่ะ!” เธอยกมือปิดปาก แหวะเสียงดังจนเลสเตอร์ที่นั่งพิงกำแพงอยู่ถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ


“อย่าดูเลย” ลูคัสพูดเรียบพลางคว้าผ้าคลุมทหารขึ้นมาคลุมศีรษะกอร์กอนไว้ ก่อนที่ร่างนั้นจะเริ่มแตกร่วนเป็นฝุ่นสีทอง ละอองสีสองลอยอ้อยอิ่งกลางอากาศเหมือนควันธูปต้องแดด วินเซนโซหยิบอุปกรณ์บางอย่างจากเข็มขัด คล้ายกระเป๋าเครื่องมือเหล็กพับได้ มีเสียง “ชึก” ดังเมื่อมันเปิดออกเผยให้เห็นช่องว่างเรืองแสงข้างใน “ฉันเก็บไว้ในนี้ละกัน เผื่อมีค่าในตลาดมืดหรือใช้ทำยาได้” เขาพูดสบาย ๆ เหมือนเก็บหัวปลาที่ตลาด แล้วโยนหัวกอร์กอนลงในกระเป๋ามิติ เสียง “วูบ” ดังขึ้นก่อนมันจะปิดสนิท


โมนีก้าเดินหนีแทบจะทันที ขณะบ่นพึมพำ “ไม่ไหว ไม่ไหว ฉันนี่แทบอ้วกเลย...” เธอเดินกลับไปที่ที่นั่งเดิมแล้วทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง กราดิอุสยังคาอยู่ในมือเหมือนลืมวาง ฮารุโตะเดินตามไปนั่งข้าง ๆ พร้อมรอยยิ้มขี้เล่น “ไม่ยักรู้ว่าโมนีก้ากินของแปลกด้วยนะเนี่ย” เธอหันมามองฮารุโตะตาโต “ก็...ฉันลองหมดแหละค่ะ ถ้ามันกินได้ แล้วก็ไม่ใช่ผักนะคะ” เสียงพูดจบพร้อมท่าทางจริงจังเสียจนวินเซนโซหลุดหัวเราะ ลูคัสหลุดยิ้มมุมปากส่วนเลสเตอร์แอบกลั้นขำจนไหล่กระตุก


“ขอถามหน่อย” อิซิเลียที่เงียบอยู่นานในมุมห้องเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเรียบแต่ฟังแล้วเหมือนเหนื่อย “เธอกิน...ทุกอย่างที่ขยับได้ ยกเว้นผักงั้นเหรอ?”


“ก็...ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ!” โมนีก้ายกมือปฏิเสธอย่างร้อนรน “แต่ถ้ามันไม่ใช่ผัก แล้วไม่เป็นพิษ ฉันก็อยากลองสิ ของกินคือของขวัญจากธรรมชาติ!” พยายามหาข้ออ้างว่าทำไมตัวเองไม่กินผัก


อิซิเลียถอนหายใจยาวพลางพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาสีเทาเยือกเย็นจับจ้องที่เด็กสาวตรงหน้า “บางครั้งฉันก็ไม่เข้าใจเธอจริง ๆ โมนีก้า บลอสซัม” คำพูดนั้นเรียบเฉยแต่กลับทำให้โมนีก้าชะงักไป เธอกะพริบตา มองอิซิเลียด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “คุณอิซิเลียพูดกับฉัน...โดยไม่มีเสียงประชดนี่ครั้งแรกเลยนะคะ”


อิซิเลียเลิกคิ้วเบา ๆ เหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายกลับเพียงหลุบตาลง ลูบหัวกะโหลกอลันในอ้อมแขน “อย่าทำให้ฉันต้องพูดอีกเลย” เธอตอบสั้น ๆ ก่อนหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เลสเตอร์ที่พิงอยู่ตรงข้างเก้าอี้หัวเราะในลำคอเบา ๆ “เธอนี่...มีพรสวรรค์ในการทำให้คนเย็นชาเปิดปากพูดนะ” เขาเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “แต่ก็ดีแล้ว อย่างน้อยพวกเรายังไม่กลายเป็นหิน”


“ใช่ค่ะ” โมนีก้าตอบทั้งที่ยังหอบ “เพราะงั้นหลังจากนี้...ใครถามฉันอีกเรื่องงู ฉันจะไม่พูดอีกแล้วนะ!” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฮารุโตะกับวินเซนโซดังคลอไปราวกับจะกลบกลิ่นฝุ่นในอากาศที่ยังไม่จาง รถไฟส่ายสะเทือนเบา ๆ ขณะผ่านอุโมงค์ เสียงล้อเหล็กบดรางดังยาวเหมือนเสียงลมหายใจของยักษ์หลับใหล และเมื่อแสงแดดลอดผ่านหน้าต่างอีกครั้งทุกคนก็กลับมานั่งตามที่ของตน แต่สายตายังจับจ้องไปข้างหน้า ไม่มีใครพูดออกมา แต่ทุกคนรู้ดีว่า...นี่คงเป็นแค่การทักทายของสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ในโรม

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ถึง โรม แล้ว โว้ย


[เดินทางถึง โรม อิตาลี]

[เดินทางต่อไปด้วยรถไฟมุ่งหน้าสู่ใจกลางโรม อิตาลี]

[ใช้เวลาเดินทางจนถึงจุดหมายปลายทาง 1 ชั่วโมง 30 นาที]

avatar

Moneka M. Blossom

ผัดเผ็ดงูอร่อยนะ...

avatar

Vincenzo Bergamotto

-

avatar

Icilia Dominicus

แปลกดี...

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-

มีค่า LUK 80 หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ เลือดกอร์กอน จำนวน 6 ชิ้น 6 x 2 = 12 ชิ้น

สรุป ได้รับ เลือดกอร์กอน 6 ขวด

+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด กอร์กอน ครั้งแรก


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)



แสดงความคิดเห็น

God
รอคิวดันเจี้ยน กองทหารแพรทอเรี่ยน  โพสต์ 2025-10-7 11:42
God
นั่นจึงทำให้ทหารแพรทอเรี่ยนเป็นอมตะเหมือนท่านด้วย พวกเขาคือกลุ่มคนที่ควรตายไปนานแล้วการมีอยู่ของพวกเขาย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่  โพสต์ 2025-10-7 11:42
God
กองทหารแพรทอเรี่ยน คือกลุ่มทหารองครักษ์ของจักรพรรดิโรมัน และพวกเขาเป็นกลุ่มที่จักรพรรดิโดมิเซียนเชื่อใจได้ วันที่จักรพรรดิบรรลุหนทางเป็นอมตะ เขาได้แบ่งปันสิ่งนี้แก่กองทหารแพรทอเรี่ยนของพระองค์  โพสต์ 2025-10-7 11:41
God
ระหว่างทางจะถึงใจกลางเมือง คุณพบเจอกองทหารแพรทอเรี่ยนผู้เป็นอมตะ ในชุดเกราะโรมันเต็มยศ "พวกเราได้รับคำสั่งจักรพรรดิ สังหารพวกที่ขัดขวาง"  โพสต์ 2025-10-7 11:40
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-10-7 11:38
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-7 15:48:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 45 : วุ่นวาย
วันที่ 03 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเช้ามืด เวลา 05.30 น. เป็นต้นไป ณ กรุงโรม อิตาลี

เมื่อรถไฟหยุดลงที่ชานชาลารกร้างสุดสาย พวกเขาทั้งหกก้าวออกจากโบกี้สุดท้ายโดยมีลมร้อนพัดแรงจนเสื้อคลุมสะบัด เสียงเครื่องยนต์หายไป เหลือเพียงเสียงรองเท้ากระทบพื้นและหัวใจที่เต้นถี่ของทุกคน เลสเตอร์ชะงักทันทีที่ออกจากอุโมงค์ของสถานีรถไฟ ดวงตาสีฟ้าเข้มกวาดมองรอบบริเวณก่อนพูดเสียงนิ่ง “ตั้งแนวระวังไว้… มีอะไรกำลังมา” แสงแดดสะท้อนกับโลหะบางอย่างไกลออกไปจนเห็นแวบวับ เมื่อแสงเข้าตาทุกคนก็เห็นพวกมันชัดเจน


ทหารในเกราะโลหะทองแดงเต็มยศ เดินเป็นแถวเรียงตรงราวกับผ่านการฝึกแบบโบราณ เสียงเกราะกระทบกันดัง แคร้ง พร้อมกับเงาของกราดิอุสที่ยกขึ้นพร้อมเพรียง พวกเขาเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง ท่ามกลางความร้อนที่แผดเผาอากาศจนบิดเบี้ยว “ให้ตายสิ…” วินเซนโซพึมพำ พลางหยิบแว่นตาเชื่อมโลหะขึ้นสวม “นั่นมัน…ชุดเกราะแบบสมัยจักรวรรดิโรมันใช่ไหม”


เลสเตอร์พยักหน้าเบา ๆ รับคำถามนั้น “ใช่… กองทหารแพรทอเรี่ยนองครักษ์ของจักรพรรดิ”


“องครักษ์เหรอ?” โมนีก้าถามพลางขมวดคิ้ว “แต่ทำไมดูเหมือนพวกเขาเดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์มากกว่ากองทัพนะ?” คำตอบของเธอไม่ทันหลุดพ้นปากดี ทหารคนหนึ่งแยกออกจากแนว เดินตรงเข้ามาช้า ๆ เสียงโลหะจากรองเท้าเกราะกระทบหินดังสะท้อนทุกก้าว “พวกเราได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิให้สังหารผู้ที่ขัดขวางหนทางของพระองค์” เสียงทุ้มต่ำลอดออกมาจากหมวกเหล็กทรงกลมที่ปิดหน้าไว้


ลูคัสยกโล่ขึ้นตั้ง ท่าทางเข้มขึงขัง “กองทหารแพรทอเรี่ยนคือหน่วยองครักษ์ของจักรพรรดิจริง ๆ พวกเขาไม่เคยมีใครแตะต้องได้ แม้แต่นายพลเอง แต่…” ลูคัสหยุดพูดกลางประโยคเมื่อทหารอีกคนยกมือขึ้นช้า ๆ และพูดต่อเองแทน “แต่เรามิใช่ทหารสามัญอีกต่อไป” เสียงเกราะดังขึ้นพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง “จักรพรรดิโดมิเซียนทรงมอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์แก่เรา เมื่อพระองค์บรรลุหนทางแห่งความเป็นอมตะ พระองค์ได้แบ่งปันพลังนั้นแก่เราเช่นกัน” เสียงนั้นเย็นเฉียบและมั่นคง “เราคือผู้พิทักษ์นิรันดร์แห่งโรม ผู้ที่ไม่มีวันตาย”


“พวกเขาพูดจริงเหรอครับ?” ฮารุโตะพูดพลางหันไปหาเลสเตอร์ “อมตะเนี่ยนะ?”


เลสเตอร์ขมวดคิ้ว สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นความเคร่งเครียด “คำว่าอมตะไม่ใช่ของขวัญหรอก มันคือคำสาป…โดยเฉพาะถ้าได้มาจากคนที่ดูเหมือนไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร”


โมนีก้ายกมือขึ้น “ขอโทษค่ะ แต่พวกเขาเป็นคนตายที่ไม่ยอมตายแบบซอมบี้โรมันเหรอคะ? โห…ขอโทษนะคะ แต่พวกคุณไม่เหนื่อยบ้างเหรอคะ อยู่แบบอมตะเนี่ย?” โมนีก้ายังไม่หยุดถาม เสียงของเธอเหมือนเด็กที่ยังไม่รู้ว่ากำลังยืนอยู่ต่อหน้าภัยพิบัติ ทหารเหล่านั้นไม่ตอบ มีเพียงเสียงหอกที่แทงเข้ามาอย่างรวดเร็วและการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นทันที


ลูคัสเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไป ดาบของเขาปะทะกับโล่ทองแดงจนเสียงสะท้อนดังลั่นเหมือนสายฟ้าผ่า เศษไฟแล่นกระจายบนพื้นกรวด ฮารุโตะรีบวิ่งเข้าข้างหลังยิงธนูติดพลังแสงสีทองออกไป แต่ลูกศรที่ปักอกศัตรูกลับไม่สร้างบาดแผลเลย “ไม่มีผล!?!” เขาร้องอย่างตกใจ


“พวกมันไม่ใช่คนแล้วไงล่ะ!” เลสเตอร์ตะโกนตอบ ดึงคันธนูขึ้นพร้อมแสงสว่างแผ่ว ๆ ที่เริ่มล้อมรอบร่างเขา แต่เขารีบดับมันลงก่อนใครจะทันเห็น “โจมตีจุดข้อต่อ! อย่าใช้แสงหรือไฟ!”


“เข้าใจแล้ว!” วินเซนโซตะโกนตอบขณะโยนกล่องโลหะลงพื้น มันเปิดออกกลายเป็นแขนกลโลหะติดใบมีดพ่นไฟพุ่งออกไปแทนมือ เขากวาดมันฟาดใส่ขาทหารจนล้มไปสอง อิซิเลียยืนอยู่ด้านหลังสุดร่ายคำประหลาดด้วยเสียงเย็น เงาดำพวยพุ่งออกมาจากร่างทหารที่ถูกแทง พวกมันร้องโหยหวนแต่ก็ยังไม่ล้ม


“มันไม่ตายสักที!” โมนีก้าร้องขึ้นระหว่างสู้ที่ฟันเท่าไรก็ไม่เข้าเสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่ยังถือดาบแน่น เลสเตอร์จึงรีบวิ่งเข้าข้างหน้า ปล่อยลูกศรหนึ่งดอกแทงทะลุหน้ากากของทหารตรงหน้า เสียงแตกของโลหะดังขึ้นพร้อมกับเงาแสงทองที่ลุกไหม้จากข้างในร่างมัน ก่อนจะสลายกลายเป็นขี้เถ้าในอากาศ ทหารที่เหลือชะงักเพราะเห็นพวกพ้องของตนมอดไหม้


“พวกเจ้าคือผู้ที่ขัดขวางหนทางนิรันดร์!” เสียงหัวหน้ากองทหารคำราม “แต่เราจะไม่ตายอีก!”


“งั้นเราจะทำให้พวกแกได้พักจริง ๆ สักที!” ลูคัสตอบกลับ ดาบของเขาพุ่งทะลุแนวเกราะด้วยแรงทั้งหมดที่มี เสียงโลหะปริแตกและร่างอมตะล้มลงอย่างช้า ๆ ไม่นานฝุ่นสีทองจากพลังของเลสเตอร์และฮารุโตะกับเศษหมอกเงามืดของอิซิเลียลอยปะปนกันในอากาศ ร่างทหารอมตะสุดท้ายทรุดเข่าลง ก่อนพูดประโยคสุดท้ายด้วยเสียงที่แผ่วราวกับลมหายใจสุดท้ายของยุคสมัย 


“องค์จักรพรรดิ...ทรงพระเจริญ...”


ฝุ่นละอองยังคงลอยคลุ้งอยู่ในอากาศข้างซากร่างกองทหารแพรทอเรี่ยนที่เพิ่งสลายไป โมนีก้าทิ้งตัวพิงกำแพงหินอ่อน เธอหอบเบา ๆ ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้ออ… นึกว่าจะน่ากลัวกว่านี้อีก ที่จริงก็แค่เหมือนตีกับหุ่นเหล็กติดสเตียรอยด์…” เสียงของเธอเต็มไปด้วยความโล่งใจจนวินเซนโซหลุดหัวเราะออกมา “หุ่นเหล็กติดสเตียรอยด์เหรอ ฟังดูเหมือนชื่อสิ่งประดิษฐ์ของฉันเลยนะ” เขาพูดยิ้ม ๆ พลางเช็ดคราบเขม่าที่เปื้อนข้างแก้ม


อิซิเลียซึ่งยังไม่ละสายตาจากปลายทางเบื้องหน้าเอ่ยขึ้นเสียงเรียบแต่เฉียบขาด “หยุดพูดเล่นกันได้แล้ว เราไม่มีเวลา” เธอยกนาฬิกาพกเรือนเล็กขึ้นดู เข็มสั้นชี้บ่งเวลาอย่างเคร่งเครียด “จากตรงนี้ไปถึงโคลอสเซียมอีกยี่สิบนาทีเท่านั้น ถ้าช้าแม้แต่วินาทีเดียวไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น” คำพูดของเธอทำให้บรรยากาศกลับตึงเครียดขึ้นทันตา


เลสเตอร์ปรายตามองไปรอบซากหินที่มีเงาไหว ๆ เหมือนหมอกสีทองลอยอยู่ “เห็นด้วยกับเธอ ไปเถอะ เร็ว”


วินเซนโซตบบ่าลูคัส “โอเค งั้นตามฉันมา ฉันจำทางลัดได้เป็นคนอิตาลีก็ดีงี้แหละ” อิซิเลียพยักหน้า “ดี รีบไปเดี๋ยวนี้”


“รับทราบ!” ลูคัสตอบทันที เสียงฝีเท้าทุกคนเริ่มดังขึ้นพร้อมกันเมื่อทั้งหกออกวิ่งโดยมีวินเซนโซนำหน้า อิซิเลียตามมาติด ๆ ดวงตาสีเทาของเธอจับทุกเงาในเส้นทางแคบที่พวกเขาวิ่งผ่าน เสียงรองเท้ากระทบพื้นกรวดดังสะท้อนก้องในอาคารหินเก่า โมนีก้าวิ่งอยู่ตรงกลางข้างฮารุโตะ เธอหอบน้อย ๆ แต่ยังพอมีแรงหัวเราะ “ทำไมเวลาวิ่งในหนังมันดูเท่กว่านี้นะคะ… วิ่งจริงเหนื่อยจะตาย!”


“เพราะในหนังไม่มีฝุ่นเข้าปากแบบนี้มั้งคับ หรือไม่ก็วิ่งกันหลายเทคแน่ ๆ” ฮารุโตะหัวเราะหอบ ๆ ระหว่างวิ่งข้างโมนีก้า “อย่าพูดมาก วิ่งให้เร็ว” อิซิเลียหันกลับมาตวาดเสียงเย็นโดยไม่หยุดฝีเท้า เธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผิดกับร่างเล็กของตนจนกระโปรงลูกไม้สะบัดเป็นคลื่นสีดำ


ด้านหลังสุด เลสเตอร์กับลูคัสทำหน้าที่คอยปิดท้าย ลูคัสหันมองหลังเป็นระยะ “ไม่มีใครตามมาใช่ไหม?” แต่เลสเตอร์ส่ายหัวตอบ “ยังไม่มี”


ระหว่างการวิ่งมาสักพักเสียงวินเซนโซตะโกนจากข้างหน้า “ข้างหน้านั่น! เห็นโบสถ์โดมทรงกลมไหม ทางลงอุโมงค์อยู่ตรงฐานมันวิ่งอีกแค่ห้าร้อยเมตร!” พวกเขาวิ่งฝ่าซากกำแพงอิฐ ผ่านตรอกหินเก่าที่มีเถาวัลย์ขึ้นปกคลุม แสงอาทิตย์สาดลอดผ่านยอดโดมเหมือนเปลวไฟทองคำที่คอยไล่ตามหลัง ภายใน 20 นาทีตามที่อิซิเลียคำนวณ พวกเขาก็มาถึงประตูโบสถ์โบราณกลางเมืองกำแพงหินพังบางส่วนแต่ยังคงภาพจิตรกรรมเก่าจาง ๆ ของนักบุญถือคบเพลิง


เมื่อทั้งหกวิ่งและเดินทางมาจนถึงใกล้กับโคลอสเซียม ถนนปูหินคดเคี้ยวเปิดออกสู่ลานกว้างและภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาทั้งหกหยุดชะงักในจังหวะเดียวกัน กงล้อเหล็กขนาดมหึมาตั้งคร่อมเงาโคลอสเซียม เครื่องจักรทรงลูกบาศก์หลายชั้นยึดกับโครงค้ำถักไปทั่วเสาอัฒจันทร์เก่า แกนกลางเป็นทรงกระบอกสีดำเงา สลักรูนโรมันโบราณเรืองไหวเหมือนหมึกมีชีวิต ทุกครั้งที่มันเต้นเป็นจังหวะผืนอากาศรอบ ๆ ก็ร้าวเป็นเส้นสาย สีสันของเมืองค่อย ๆ ถูกรีดออกจนซีดขาว เหลือเพียงประกายดำวาวที่แผ่เป็นวงกดทับโลก


เหนือยอดแกนกลาง พลังงานสีดำขุ่นรวมตัวเป็นกลมดั่งสุริยะประหลาด มันคือพลังงานเอเรบัส ที่หมุนช้า ๆ และดูดแสงจากท้องฟ้ากลางวันให้มืดคล้ำราวพลบค่ำก่อนเวลา


“ให้ตายสิ…” วินเซนโซผิวปากเบา ๆ นิ้วมือที่คุ้นกับประแจเผลอกำแน่น “ถ้าพวกมันใหญ่อีกนิดก็ครอบทั้งกรุงโรมได้แล้ว” ลมแรงวาบหนึ่งพัดมาจากใจกลางอุปกรณ์ กลิ่นโลหะไหม้และหินร้อนลอยฟุ้ง เงาดำบนพื้นยืดยาวผิดธรรมชาติคล้ายแขนหลายเส้นกำลังคืบคลาน และบนแท่นควบคุมสูงสุด เงาคนผู้หนึ่งยืนหันหน้าเฉียงเข้าหาเอเรบัส เสื้อคลุมยาวกระเพื่อม พื้นที่รอบกายบิดเบี้ยวเหมือนแสงถูกหักงอให้หมุนรอบตัวเขา


“มีคนอยู่ข้างบนครับ…” ฮารุโตะกระซิบ “รู้สึกเหมือนแรงโน้มถ่วงมันเพี้ยนตรงนั้น”

อิซิเลียขมวดคิ้ว “ใครก็ตามที่ยืนได้ในเขตแรงเฉือนแบบนั้น…ไม่ใช่คนธรรมดาและอาจจะไม่ใช่คนก็ได้” เงาคนนั้นค่อย ๆ หันหน้ามาทางพวกเขา แสงดำบนท้องฟ้าเหมือนเต้นตามจังหวะการหายใจของเขา เสียงคล้ายกระดิ่งแตกหักดังจากในแกน ตึง…ตึง…ก่อนจะกลบด้วยฮัมต่ำของเครื่องจักรที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนพื้นสั่นสะเทือน


เลสเตอร์สูดลมหายใจ ทอดสายตามองพวกพ้องทีละคน “ขอให้โชคดีมีชัยนะพวกเรา”

ไม่มีใครตอบด้วยคำพูด มีแค่การพยักหน้าและขยับมือยกอาวุธ และการก้าวแรกที่หนักแน่นพร้อมกัน ตรงเข้าสู่ใจกลางเงามืดของโคลอสเซียม

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เดินทางถึงโคลอสเซียม เขาเขาพบกว่า LoNex กำลังจะติดตั้งอุปกรณ์เพื่อปลดปล่อยพลังงาน ดูเหมือนพวกเขาจะเดินทางมาถึงอย่างฉิวเฉียด ตอนนี้แหละน่าจะได้เวลาที่จะหยุดพวกนี้แล้ว


[เดินทางถึง ใจกลางโรม อิตาลี]

avatar

Moneka M. Blossom

-

avatar

Vincenzo Bergamotto

-

avatar

Icilia Dominicus

-

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20



แสดงความคิดเห็น

God
(ทานาทอสชี้นิ้วไปยังจุดที่มีอุโมงค์ก่อนเขาแหวกพสุธาเปิดทางให้เด็กๆ)  โพสต์ 2025-10-7 18:28
God
(ที่นั่นคือโคลอสเซียมที่แท้จริงก่อนกรุงโรมจะล่มสลาย ในส่วนที่จัดแสดงนี้เป็นเพียงสิ่งีท่บูรณะบางส่วน แต่ความจริงมันซ่อนอยู่ใต้ผืนดินนี้)  โพสต์ 2025-10-7 18:27
God
(ชายที่ยืนรออยู่ด้านบนก็คือทานาทอส) ก่อนเขาจะบอก จงเดินไปตามทางเก่าใต้ซากปรักหักพังโคลอสเซียมแห่งนี้เจ้าจะพบฐานวิจัยเขา  โพสต์ 2025-10-7 18:26
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-10-7 15:55
God
((+30 ความโปรดปรานจากทาทานอส))  โพสต์ 2025-10-7 15:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-8 09:46:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-8 17:43

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 46 : จบสักที...แม่งเอ้ย
วันที่ 03 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเช้ามืด เวลา 06.30 น. เป็นต้นไป ณ กรุงโรม อิตาลี

ฝุ่นทรายจากซากก่ออิฐปลิวเป็นริ้วไปตามแรงลมที่พัดวนรอบโคลอสเซียม แสงดำจากเครื่องควบคุมเอเรบัสเต้นไหวเหมือนลมหายใจของยักษ์ เหนือชั้นดาดฟ้าของอุปกรณ์มีออร่าของพลังที่โดนดูดเข้าไปภายใน แต่ช่องทางตรงหน้ากลับถูกแหวกออกให้โล่งอย่างน่าประหลาด ลมร้อนจากเอเรบัสครวญฮัมเหนือโคลอสเซียมจนพื้นหินสั่นระริกและในเงาบันไดหินที่แตกเป็นซี่ ๆ ชายชุดดำคนหนึ่งก้าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน เสื้อลินินดำพับปลายแขน กางเกงเข้าทรง เงาหมวกปีกกว้างทาบครึ่งหน้า กลิ่นโคโลญจ์อ่อน ๆ ปะปนควันฝุ่นเมืองโรม


“ธานาทอส…” อิซิเลียชะงัก ดวงตาสีเทาไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างระวัง โมนีก้าที่เห็นคนที่เคยพบกันรอบก่อนเขายังตรงสเป็คเธอเหมือนเดิมจนเธอเผลอพูด “...หล่อโคตร…” เสียงเธอเบากว่าลม แต่ทุกคนได้ยินพร้อมกันแถมโมนีก้าที่เป็นคนพูดยังใบหูขึ้นสีอย่างห้ามไม่อยู่ จนกระทั่งเลสเตอร์กระแอมสั้น ๆ ไม่พูดจา แต่ไหล่ยกเกร็งนิด ๆ ยืนขยับบังด้านหน้าสาวน้อยผมม่วงครามโดยอัตโนมัติ


ธานาทอสยกสองนิ้วแตะปีกหมวกเป็นเชิงทัก “ดูเหมือนพวกเธอจะทำได้ดีนะ” เขาพูดเสียงนุ่มแต่เจือเย็น “อีกไม่นาน เราจะได้เคลียร์ผู้ฝืนกฎธรรมชาติออกจากกระดาษเสียที” เขาว่าพลางล้วงสมุดพกปกหนังสีเข้ม กรีดปากกาเส้นเดียวข้าม ‘รายชื่อ’ อะไรบางอย่างอย่างใจเย็น 


ก่อนเงยหน้าขยับดวงตามามองทั้งหกคน “ทางลงอยู่ใต้ซากเป็นทางเก่า ก่อนกรุงจะล่มสลาย โคลอสเซียมที่เธอเห็นวันนี้คือชั้นบูรณะ…ของจริงซ่อนอยู่ล่างนั้น” ปลายนิ้วเขาชี้เฉียงไปยังช่องอุโมงค์ที่ถูกเศษหินทับขวาง แล้วแค่สะบัดข้อมือเงาทมิฬก็ซัดผ่านราวคลื่นเศษอสุรกายที่ซุ่มเลื้อยอยู่แหวกแตกเป็นฝุ่นดำ เปิดทางโล่งยาวลงใต้ดิน


“เดี๋ยว!” ลูคัสยกโล่ระวัง “ทำไมท่านถึงช่วยเรา” ลูคัสดูจะสุภาพกับธานาทอสเป็นพิเศษอย่างไรเสียเขาก็เป็นเทพใต้พื้นพิภพ


“สมดุล” ธานาทอสยิ้มบาง ๆ “LoNex ลากสิ่งที่ควรจบให้ค้างอยู่ บิดกฎธรรมชาติ บีบโลก ถ้าพวกมันได้พระอาทิตย์สีดำโลกนี้จะไม่เหลือคิวของใครทั้งนั้น แม้แต่ข้า” แววตาเขาคมกริบเพียงชั่ววาบ ก่อนอ่อนลงเมื่อมองโมนีก้า “และ… มีหนี้เล็ก ๆ เรื่องครั้งก่อน” วินเซนโซมองเขาก่อนที่จะเอ่ยถาม “งั้นท่านมีข้อมูลเส้นทางในท่ออุโมงค์? หรือจะให้พวกเราเดาเอา”


“ไม่ต้องเดา ข้าไม่ใจร้าย” ธานาทอสลากปลายเท้าเขียนแผนผังง่าย ๆ ลงบนฝุ่นหิน สามแยกซ้ายตันขวาเจอโถงเสาโรมัน ต่อด้วยบันไดเกลียวลงแกนกลาง “ไปทางขวา ระวังพวกกับดักแล้วกัน เต็มไปหมดแบบยั่วเยี้ยสุด ๆ”


โมนีก้าก้มศีรษะเมื่อเขาบอกแบบนั้นแล้วเอ่ย “ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงเธอจริงใจแต่ทว่าแก้มยังอมชมพูเพราะความเขินในรอบก่อนที่เธอกับเขาเห็นกันเขาต้องเห็นแน่ ๆ เลยจากสายตาเมื่อครู่ และเป็นจังหวะที่ธานาทอสหรี่ตามองโมนีก้าอย่างขบขัน “คราวนี้แต่งตัวรัดกุมดีนี่…ก็ดีแล้ว” ประโยคแหย่เล่นนั้นทำให้โมนีก้าสะดุ้งน้อย ๆ เธอรียยกมือจับคอเสื้อคลุมแน่น เป็นจังหวะเดียวกันที่เลสเตอร์ขยับครึ่งก้าวยืนคั่ “คำเตือนรับไว้ ส่วนคำแซวน่ะ…พอแล้ว” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างสุภาพแต่หนักแน่นไปด้วยความไม่พอใจลึก ๆ 


แววตาของธานาทอสฉายรอยยอมรับคำของเทพพระอาทิตย์ เขายกมือเหมือนปัดฝุ่นอากาศก่อนเกิดเงาคลื่นแตกซ่าน กองอสุรกายที่เหลือในลานถูกกดราบอย่างไร้เสียง พร้อม ๆ กับที่เอเรบัสบนฟ้าสะท้อนฮัมต่ำเหมือนอารมณ์ไม่พอใจ ธานาทอสถอยหนึ่งก้าวให้ทาง เงาหมวกปีกกว้างทาบยิ้มบาง ๆ “ให้โชคดี เด็ก ๆ”


แสงจากคบเพลิงบนผนังอุโมงค์โบราณสะท้อนแสงส้มอ่อนระยิบระยับไปตามรอยหินและคราบเขม่า ทั้งหกเดินเรียงแถวกันลงสู่ทางลาดชันที่ทอดยาวไม่สิ้นสุด อากาศเริ่มอึดอัดและเย็นเฉียบลงทุกฝีเท้า เสียงก้าวของรองเท้าบูทเหล็กกระทบหินดังสะท้อนอยู่ในอุโมงค์ที่มีเพียงเสียงลมหายใจของพวกเขาเป็นสหายร่วมทางด้านหลัง วินเซนโซถือโคมไฟพลังงานเล็ก ๆ ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเอง ส่องแสงนวลอบอุ่นไล่เงาที่เกาะติดบนผนัง ส่วนอิซิเลียเดินนำด้วยท่าทีสง่างามเยือกเย็น ผ้าคลุมสีดำของเธอสะบัดเบา ๆ ตามแรงลมจากเบื้องล่าง หัวกะโหลกอลันในมือเธอส่องประกายแสงสีม่วงเรื่อ ๆ คล้ายมีชีวิต ด้านหลังคือ ลูคัส ผู้คอยคุมจังหวะก้าวของทีมให้เป็นระเบียบ ฮารุโตะตามมาติด ๆ พร้อมธนูสะพายหลังคอยเงี่ยหูฟังเสียงผิดปกติ ขณะที่สองคนสุดท้ายคือเลสเตอร์และโมนีก้าที่เดินปิดท้ายเป็นคู่


เลสเตอร์ก้มหน้าเล็กน้อย แววตานิ่งงันราวกับกำลังจมอยู่ในความคิดบางอย่าง รอยเงาบนผนังสะท้อนใบหน้าของเขาให้ดูเคร่งขรึมกว่าปกติ เมื่อโมนีก้าหันมามองก็อดสงสัยไม่ได้ เธอขยับเข้าใกล้พลางเอียงศีรษะ ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงคบเพลิงดูคล้ายระยิบของน้ำแข็ง “เลสเตอร์ นายเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เสียงเธอนุ่มแต่แฝงความกังวลในจังหวะลมหายใจ


ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขาหันกลับมา มุมปากยกขึ้นในรอยยิ้มที่ดูฝืนเล็กน้อย “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดเรื่องเส้นทางข้างหน้าเท่านั้นเอง” โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่เชื่อเท่าไร เธอขมวดคิ้วมองเขา “แน่ใจนะ นายดูเหมือนคนถูกใครขโมยกาแฟแก้วโปรดไปเลย”


“กาแฟนั้นสำหรับวินเซนโซต่างหาก” เลสเตอร์พูดพลางถอนหายใจเบา ๆ เขามองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ว่าแต่...เธอชอบเทพคนนั้นเหรอ”


“ใครอ่ะ?” โมนีก้าทำหน้างงจนกระทั่งเห็นสีหน้าของเขา “อ๋อ…ธานาทอสเหรอ” เธอหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นดังสะท้อนก้องในอุโมงค์อย่างสดใสผิดที่ผิดทาง “ก็เขาหล่อดีนี่นา นายไม่เห็นเหรอ? หนุ่มทรงแดดดี้แบบนั้นน่ะ ไม่ใช่ว่าฉันจะเจอบ่อย ๆ ซะหน่อย”


เลสเตอร์นิ่งไปแววตาเขาวูบแสงลงราวกับเปลวไฟที่ถูกแรงลมตี สายตาเขาเบือนหนีแต่เสียงในใจกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าหากเธอรู้ว่าเขาคืออะพอลโล่เธอจะยังพูดแบบนี้ไหม? เขากัดฟันแน่นแต่ยังฝืนทำเสียงเรียบ “หนุ่มทรงแดดดี้เนี่ยนะ...ฟังดูแปลกดี”


“ก็ใช่สิ! นายไม่ชอบเหรอ” เธอยิ้มขี้เล่นคิ้วเรียวเลิกขึ้นเหมือนจะท้าทาย “ไม่ได้ว่าไม่ชอบ แค่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นเขา” น้ำเสียงเลสเตอร์ต่ำลงนิด ราวกับพยายามกลบอะไรบางอย่างไว้ใต้ชั้นอารมณ์ “อ้าว...หวงหรือไงหืม?” เธอหันมายิ้มกว้าง ดวงตาเจือแววซุกซนแม้ว่าจะแค่หยอกเล่นเท่านั้น เขาสะอึกพอเห็นสายตานั้นก่อนเงยหน้ามองเพดานหินเหนือหัวราวกับต้องการหลีกหนีคำถามนั้น “ไม่มีทางหรอก”


ด้านหน้า วินเซนโซหัวเราะหึในลำคอเบา ๆ “พวกนายสองคน เสียงดังไปหน่อยนะ จะจีบกันก็เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวอสุรกายได้ยิน” เลสเตอร์เลยเงนหน้าขึ้นมองคนด้านหน้า “เงียบไปเลย วินเซนโซ” เลสเตอร์ตอบห้วน ๆ พลางกระแอมไอแก้เก้อ ฮารุโตะที่เดินนำอยู่หัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “ผมว่ามันไม่เลวเลยนะครับ บรรยากาศเริ่มเครียดมีกลิ่นเรียบ ๆ ก็ดีออก”


อิซิเลียหันขวับมามองด้วยดวงตาสีเทาเย็นเยียบ “พวกนายจะมาเดินเล่นหรือมาทำภารกิจ ถ้ายังไม่หยุดคุยฉันจะจับปิดปากให้หมด”


คบเพลิงโบราณลุกวาบเป็นแถวเมื่อทั้งหกก้าวพ้นช่วงอุโมงค์สุดท้าย แสงสีอำพันแผ่เป็นวงกว้างเผยให้เห็นสังเวียนยักษ์ที่ยังสมบูรณ์จนน่าขนลุก โคลอสเซียมที่ไม่มีท้องฟ้ามีแต่เพดานดินหนักทะมึนบีบลงมาราวหลุมฝังหัวใจของกรุงโรม เสาหินสูงเรียงเป็นชั้น ๆ โอบล้อมผืนทรายกลางวงกลมที่กว้างพอให้ทัพหนึ่งตั้งค่ายได้สบาย ฝุ่นผงลอยฟุ้งในลมหายใจเหมือนเถ้าถ่านของยุคสมัย และในความเงียบที่แหลมคมยิ่งกว่าใบมีด เสียงฝีเท้าของพวกเขาแตกกระจายเป็นประกายสะท้อนผนังทุกทิศทาง เมื่อก้าวสู่ใจกลางสังเวียนแผงอัศจรรย์ตามชั้นที่นั่งก็เริ่มกระเพื่อม แสงสว่างเรียงเป็นรูปคิวบ์ลอยวนเหนือศีรษะทีละลูก เหมือนฝูงดาวสีมืดที่ร่วงลงมาอยู่อุ้งมือใครบางคน


“ยินดีต้อนรับ เด็ก ๆ เดมิก็อดของโอลิมปัส” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากเงาบนระเบียงชั้นบนสุด ทุ้ม ชัด และเยือกเย็นพอจะทำให้สายลมสะดุด หุ่นสูงในสูทดำสนิทค่อย ๆ เดินออกมาจากเงามืด แสงคบเพลิงสะท้อนกรอบหน้าคมกับรอยย่นระหว่างคิ้วที่เหมือนร่องรอยของสมการนับพันที่แกะสลักทับลงบนผิวหนัง “พวกเธอจะได้รับเกียรติเป็นเชื้อเพลิงให้เครื่องอนุภาคของดวงอาทิตย์สีดำและเป็นสักขีพยานแห่งรุ่งอรุณของยุคใหม่” เขาหยุดยืนเหนือพวกเขา สายตาดำลึกไม่สะท้อนแสงใด ๆ ทั้งสิ้น “ขอแนะนำตัว ศาสตราจารย์เซเวรัส โครนัส”

“เซเวรัส? สเนปหรอ?” โมนีก้าเอ่ยพึมพำ แต่เหมือนคนที่ได้ยินจะหันไปมองเธอแบบเอาจริงดิ? จะเล่นมุกนี้ตรงนี้ทำไมเนี้ย ก่อนที่จะเลสเตอร์ยกแขนดึงโมนีก้าให้อยู่ด้านหลังโดยสัญชาตญาณ ลูคัสขยับก้าวครึ่งก้าวไปด้านหน้าโดยไม่ต้องสั่ง ส่วนฮารุโตะเงื้อมือแตะคันธนูแต่ยังไม่ดึงสาย วินเซนโซหมุนข้อมือให้สนับมือติดกลไกล็อกแนบสนิท อิซิเลียมุมปากกระตุกนิดเดียวความเย็นชาที่เหมือนสายน้ำใต้ธารน้ำแข็งก็ปรากฎออกมา


“LoNex…” เลสเตอร์เอ่ยช้า ๆ “พวกนายไล่ตามเงามืดจนลืมว่าความมืดก็ไล่ตามคืนเสมอ”


“เราไม่ไล่ตามเงามืด เรากลั่นกรองมันต่างหาก” โครนัสยิ้มบางรับคำของเลสเตอร์ ยิ้มของคนที่หลงใหลในคำตอบเสียยิ่งกว่าชีวิต เขากางมือและข้างหลังเขาก็เผยให้เห็นอุปกรณ์ขนาดมหึมาที่ฝังแน่นกับชั้นหินโครงสร้างเป็นวงแหวนซ้อนสามชั้น เชื่อมด้วยรางพลังงานสีเทาดำที่ไหลวนเหมือนหมึกในน้ำ แกนกลางคือแท่นทรงราบล้อมด้วยคิวบ์โปร่งแสงนับโหล ภายในแต่ละลูกคิวบ์วูบไหวด้วยเศษประกาย บางทีคือสัญชะตาเก่าที่ถูกหลอมรวม


“Black Sun Project เครื่องสังเคราะห์และควบคุมพลังงาน EREBUS จุดสังเกตคือแกน ‘Core Dark Essence’ ที่พวกเทพโบราณไม่เคยอธิบาย มนุษย์อย่างเราจึงต้องอธิบายแทนไง” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย “ในโลกเก่าฉันชื่อซามูเอล อาร์เดน คนโง่สติเฟื่องที่เห็นวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์เป็นภาษาเดียวกัน เคยถูกลากขึ้นแท่นประจานในยุคที่คนยังกลัวเงาตัวเอง และนี่…” นิ้วเขาชี้คิวบ์แสงข้างในก็กะพริบตอบรับภายในอัดเน่นไปด้วยพลังชีวิตและพลังงานของเดมิก็อดเชื้อสายทั้ง 12 เทพแห่งโอลิมปัส “คือคำพิสูจน์ว่าฉันพูดถูกตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหก”


“แกมันขยะ” ลูคัสคำรามต่ำ “แกฆ่าพวกเขาเพื่อพิสูจน์สมการชั่ว ๆของแกงั้นหรอ”


“แก่นแท้ไม่ตายหรอกมันแค่เปลี่ยนรูป” โครนัสตอบราบเรียบ “เดมิก็อดที่สูญเสียไป พลังของพวกเขาถูกรักษาไว้ภายในลูกบาศก์พวกนี้อย่างบริสุทธิ์ ไม่ดีหรอ? อมตะสำหรับการทดลอง ฉันสามารถเรียกใช้ได้ทุกเวลา ทุกคุณสมบัติ ทุกปาฏิหาริย์ของโอลิมปัสในมือของเหตุผล ไม่ใช่ในมือของอารมณ์”


โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นเธอกลับดวงตาสั่นไหวไปด้วยความอ่อนไหวต่อสิ่งที่รับรู้ดวงตาของเธอเหลือบมองเลสเตอร์ที่อยู่ด้านหน้า เพราะเหมือนว่าเธอจะพยายามที่จะกำมือของตนเองเพื่อคิดอะไรบางอย่าง


วินเซนโซหัวเราะเบาหวิว “พูดเหมือนกาแฟดี ๆ ที่นายชงแล้วคราฟต์ด้วยน้ำตาของคนอื่นน่ะสิ ศาสตราจารย์” เขาแตะสนับมือ คลิกหนึ่งทีเป็นเสียงฮัมบาง ๆ ดังขึ้น “แย่หน่อยนะ วันนี้ฉันยังไม่ได้กินเอสเพรสโซ ถ้าเครื่องนายช้ากว่าเครื่องคั่วมือของฉันล่ะก็นะ”


“เงียบ” อิซิเลียเอ่ยโดยไม่มองเขา ดวงตาสีเทาของเด็กสาวยกขึ้นสบกับโครนัส “คุณพูดถึงเหตุผลแต่นายคือผลของความหลงตัวเองที่ได้รับรางวัลเป็นความอมตะ คำถามที่ถูกต้องคือระบบของคุณบโหลดได้เท่าไร ก่อนจะเกิดการย้อนศรจากพลังดึกดำบรรพ์” ครานั้นคิวบ์แถวหนึ่งหรี่แสงลงคล้อยเดียวราวกับหัวเราะ โครนัสยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย “น่าสนใจ เด็กน้อยของน็อกซ์ ถ้าอยากรู้เรื่องโหลดก็ก้าวขึ้นแท่นเสียดี ๆ ไหมล่ะ? แล้วเธออาจได้ดูกราฟแบบเรียลไทม์จากขั้วสมองตัวเอง”


โมนีก้ากลืนน้ำลายกลิ่นทรายชื้นกับคบเพลิงทำให้ท้องเธอจุกแน่น มือที่กำด้ามกราดิอุสชื้นเหงื่อ เธอมองแผงเครื่องจักรที่เหมือนมหาวิหารของคนไร้เทพเจ้าตรงหน้า ก่อนหันขวับไปทางเลสเตอร์ “เราจะหยุดเขายังไง”


เลสเตอร์ยังคงยืนข้างเธอร่างสงบนิ่งอย่างคนทำสมาธิกลางพายุก่อนพึมพำเบา “ตัดแหล่งป้อนก่อน ไม่อย่างนั้นมันจะลากพลังของพวกเราเข้าระบบทันทีที่เราเข้าใกล้ ห้ามขึ้นแท่น ห้ามให้เขาจับตัวเราได้” เขาขยับหัวไหล่ เหมือนคนแบกท้องฟ้าที่หนักขึ้นทุกวินาที


ฮารุโตะสูดหายใจลึก ดวงตาสีเขียวฉายความลังเลที่พยายามซ่อน “พวกเราไม่ฆ่าใครถ้าไม่จำเป็น เราจะพังเครื่องดึงไฟ อพยพ แล้วค่อย—”

“ไม่มีเวลาแล้ว” ลูคัสกระชับดาบ “แผนเดียว ทะลวง ใครขวางฟันทิ้งซะ”


“ขอเวลาสิบวินาที” วินเซนโซกระซิบก่อนที่จะบอกกับทั้งหมด “บางครั้งฉันอาจจะปลดความปลอดภัยบางส่วนของอุปกรณ์ก็ได้” แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เสียงปรบมือดังหนึ่งครั้งจากเบื้องบนปรากฎคมชัดจนคบเพลิงไหวสั่น “ยอดเยี่ยม” โครนัสเอียงหน้า “กลยุทธ์ สัญชาตญาณ และความรู้สึกแบบมนุษย์ องค์ประกอบครบ” เขาดีดนิ้ว แท่นกลางเริ่มยกตัวขึ้นช้า ๆ รางพลังงานสามชั้นส่องวาบเป็นสีหมึกคล้ายแสงติดลบ “เริ่มการปรับเทียบ Erebus Energy Synthesis and Control เตรียมรับสัญญาณจากหัวใจทั้งหก”


พื้นใต้เท้าสั่นครืนเหมือนสัตว์ยักษ์ตื่น วินาทีต่อมาแสงทั้งสังเวียนก็ดับพรึ่บ และเลสเตอร์ก็เร็วพอที่จะคว้าข้อมือโมนีก้าแน่นในความมืดสนิท กลิ่นไลแลตนุ่มลึกฉาบในลมหายใจของเขา ราวกับใครขุดอดีตขึ้นมาวางไว้กลางทรวงอก เขากดเสียงต่ำ “ระวังตัวไว้”


คบเพลิงพรึ่บดับ พรึ่บติด เสียงปรบมือของโครนัสดังก้องเหมือนค้อนเคาะขอบถ้วยคริสตัล ก่อนพื้นทรายใจกลางสังเวียนจะแยกออกเป็นสี่กลีบ เผยให้เห็นฐานแท่นหมุนและรางพลังสีหมึกที่ไหลวน และจากช่องเปิดนั้นผู้เฝ้าสถานที่ในอดีตที่ถูกคัดแปลงก็ยกตัวขึ้นมาช้า ๆ เป็นยักษ์เกราะทองคำสองตน รูปร่างสง่าเย็นชาเหมือนรูปสลักเทพ แต่ในดวงตาเป็นหลุมลึกของแสงสีดำ พวกมันสั่นไหล่หนึ่งครั้ง เศษทรายปลิววูบเหมือนปลายคลื่น ก่อนจะยกดาบทองเรืองและง้างหมัดหนาเท่าดรัมชุดใหญ่เตรียมทุบทุกสิ่งตรงหน้า


“ลองดูหน่อยว่าพวกเธอมีค่าพอเป็นเชื้อเพลิงไหมนะ เด็ก ๆ ไม่ต้องห่วง ของเล่นฉันมีอีกเยอะ” โครนัสยิ้มบางและถอยไปยืนพิงราวระเบียงเหมือนศาสนจักรที่เสวยบุญจากการสังเกตการณ์


ลูคัสยกโล่ เขยิบก้าวเดียวบังด้านหน้าโดยอัตโนมัติ “รูปแบบขบวน กระจายซ้ายขวา เก็บระยะกลาง เน้นข้อต่อและแกนพลังงาน”


“รับทราบ” ฮารุโตะขานเบา ๆ ปลายนิ้วแตะสายธนู ลูกศรชุดแรกเรียงเป็นพัด เจาะเข้าช่วงข้อศอกของยักษ์ตนซ้ายสามดอกติด แรงสะท้อนทำให้แขนทองหยุดชะงักครึ่งวินาที “หุ่นซ่อมตัวเองได้ ระวังจังหวะฟื้น” อิซิเลียกางฝ่ามือ เงาสีเทาเข้มกวาดคลุมพื้นทรายรอบเท้าพวกมัน เหมือนแม่น้ำไร้แสงไหลวน หัวกะโหลกในมือเธอเปล่งแสงม่วงแหลมเฉียบ วาดจุดเรืองบนเกราะช่วงบั้นเอวและฐานคอเหมือนชอล์กฟอสฟอร์สขีดกากบาทไว้ให้เห็นชัดจากทุกมุม


วินเซนโซคล้องกล่องเหล็กผิวด้านจากเอว โยนขึ้นแล้วชกไปหนึ่งหมัด เสียงคลิกดังในอากาศ กล่องแตกเป็นลูกข่ายแม่เหล็กคลุมหัวไหล่หุ่นตนขวา “ของทดสอบแรงยึดเหนี่ยวเฉพาะกิจ ถ้าไม่เก่งกว่าผมก็อย่ากระดิก” เขาหัวเราะสั้น “ขาดกาแฟก็ยังสนุกดีแต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ขาดเลย”


โครนัสเอียงคอ “เยี่ยม ใช้ความรู้เข้าแลกเพื่อความอยู่รอด งามดี” เขาดีดนิ้ว หุ่นตนซ้ายกางบานเกราะอกเล็กน้อย เกิดแฉกแสงรวมตัวเป็นลำพลังงานเส้นเดียวพุ่งต่ำเฉียดพื้น เสียงฮึ้งสะเทือนไซนัสทุกคน 


“หลบแล้วเล็งยิงเล็งข้อพับกับซอกคอ ห้ามสู้ตรง ๆ นะ” เลสเตอร์สั่งนิ่ง ๆ แต่หางเสียงฟังแล้วไม่ค่อยพอใจใครบางคนในเนคไทดำ “โอเค” โมนีก้าหอบสั้นหนึ่งครั้งตามจังหวะหายใจที่เขาสอน สองมือจับกราดิอุสแน่นจนสั่น เธอปักเท้าลงกับทรายที่เริ่มแข็งขึ้นเป็นหย่อมจากคำขอเงียบ ๆ ในใจเมื่อครู่ ดวงตาสีเทาเงินกวาดไล่ไปตามชุดสลักเกราะทองคำ เธอเห็นมันไม่ใช่เกราะแต่เป็นบานพับและขอบประตูซ้อนกันเต็มไปหมด ข้อไหล่คือบานแกน คอคือลิ้นกลอน สะโพกคือห้องเครื่องที่ต้องไขกุญแจ


ลูคัสพุ่งเข้าใส่ตั้งดาบต่ำปาดใต้หัวเข่าหุ่นด้านขวา เสียงปลาบดังเหมือนสับใส่แท่งทองค้ำวิหาร เกราะร้อนฉ่า แต่ข้อต่อสะดุด หุ่นตนนั้นโงนเงน ฮารุโตะเลยซ้ำด้วยศรสายลวดเกี่ยวรัดพับหัวเข่าให้ลดองศาลงอีกนิดหนึ่ง “สี่วินาที มันจะเชื่อมเนื้อโลหะกลับ” อิซิเลียเตือน เงาของเธอกดทับรอยแตกให้ช้าลงเหมือนเอาน้ำแข็งโปะเหล็กร้อน


วินเซนโซวิ่งเฉียงเข้าความเร็วของเขาขัดกับอุปกรณ์หนัก ๆ อย่างน่าหงุดหงิด เขาชิงจังหวะทรุดของยักษ์ ปล่อยหมัดชุดเล็กจากสนับมือ เสียงป๊อก ๆ ติดเข้าไปที่ข้อต่อสะโพกหลายจุด “ล็อกไว้ก่อนนะเพื่อน ถ้าจะซ่อมตัวเองก็ช่วยผ่านหัวค้อนช่างก่อน” หุ่นฝั่งซ้ายเหวี่ยงดาบลงมาเกือบเฉือนไหล่โมนีก้า เลสเตอร์กระชากเธอให้หมุนต่ำแล้วสวนด้วยมีดเล่มบางดังฉับ เสียงดังคล้ายเคาะกระดูกงูเรือ เขาไม่มองหน้าเธอแต่ขยับกายอยู่ระยะหนึ่งฝ่ามือ “ดึงฉันไว้ด้านซ้ายเธอไปโจมตีมันที่ข้อต่อ ทำได้ไหม”


“ทำได้แหละ” โมนีก้าพึมพำตอบรับเขาระหว่างที่เหงื่อจับแนบแก้ม เธอสองก้าวพรวดขณะหุ่นยักษ์ก้มหมายจะกวาดแขน เธอแก่ก้าวขึ้นบนปลายเท้าเหยียบโล่ของลูคัสเป็นแท่นชั่วพริบตาแล้วกระโดดแทงกราดิอุสเข้าซอกปลอกคอพอดี ฟันเข้าร่องที่อลันขีดไว้ สะเก็ดทองวิบวับร่วงเป็นฝน เสียงแตกหักดังกรอบเหมือนกุญแจหมุนผ่านลิ้นที่ล็อกมานาน


หุ่นคำรามเป็นเสียงโลหะบด ทำท่าจะใช้ลำแสงซ้ำ ฮารุโตะยิงศรปักร่องคออีกดอก “ต่อ!” เลสเตอร์ผสานจังหวะ ยิงธนูเข้าไปที่จุดอ่อนนั้น เสียงนั้นกระแทกผ่านคมดาบของโมนีก้าเข้าไปในคอหุ่นเหมือนตีลิ่มเข้าเสา ตัวเกราะสั่นวูบ แสงใต้เกราะพร่าชั่ววาบนั้นหัวหุ่นชะงักและค้างเหมือนเครื่องดับจังหวะ “รายหนึ่งติดสตันแล้ว” วินเซนโซผิวปาก “ใครอยากแงะแบตบ้างตอนนี้” ลูคัสไม่รอ เขาเปลี่ยนมุมแทงลงซอกรักแร้ดันด้วยแรงทั้งร่าง รอยแตกวิ่งเป็นงูไปถึงบ่าหนัก ๆ จนแขนทองหลุดองศาหัวหุ่นเอียง โมนีก้าเลยดึงดาบและกระแทกส้นรองเท้าเข้ากับข้อต่อเดิมอีกครั้งเหมือนนักงัดกุญแจ ชุดเพลาหลุดออกเสี้ยวหนึ่ง เกราะช่วงคอเปิดเผยแกนพลังที่เต้นเหมือนหัวใจสีหมึก


“ตอนนี้เลย” ฮารุโตะปล่อยลูกศรวิ่งแสง แหลมคมพุ่งผ่านช่องเปิดตรงกลาง ตูมเงียบ ๆ แสงหมึกดับ ร่างยักษ์โคลง เหมือนเทพทองคำทำท่าจะคุกเข่า ฝุ่นทรายค่อย ๆ ตกพื้น ประกายทองจางหาย เหลือเพียงหุ่นยักษ์สองร่างคุกเข่าทรุดต่อหน้าทั้งหกคนราวขุนศึกที่ถูกปลดอาวุธ ลมหายใจของทีมกลับมาเป็นจังหวะเดียวกันช้า ๆ กลิ่นโลหะร้อนและทรายไหม้คลุ้งอยู่ในโพรงจมูก


โครนัสตบมืออีกครั้งกับทั้งหกคน คราวนี้ช้ากว่าเดิมเล็กน้อย “น่าพึงใจ น่าพึงใจมาก พวกเธอผ่านด่านทดสอบเบื้องต้นของเครื่องกล แต่การคัดเลือกเชื้อเพลิงก็น่าสนุกเพิ่มว่าไหม? ฉันหวังว่าพวกเธอจะยังยืนได้เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์สีดำเปล่งเสียงเรียกพลังงานของมันนะ งั้นเรามาเริ่มบทใหม่กันเลย” 


สิ้นคำของโครนัสกรงเหล็กเลื่อนเปิดด้วยเสียงกรีดโลหะ แผ่นดินทั้งสังเวียนก็สั่นวาบเหมือนมีหัวใจอีกดวงเต้นอยู่ใต้พื้น น้ำคร่ำสีดำพวยขึ้นจากรอยแยก และเงาที่ชะโงกขึ้นมาไม่ใช่เงามนุษย์มันคือศีรษะงูขนาดมหึมาหลายหัวที่คืบคลานพร้อมกัน ริมฝีปากมีหนามคมแยกเผยเขี้ยวหยัก พิษสีมรกตหยดเป็นฝอยไอ เสียงฟ่อทับกันเป็นคอรัสแหกโสตจนคบเพลิงไหว โครนัสยืนบนระเบียงยกมือราวพิธีกรงานเลี้ยง “เลอร์เนียนไฮดร้าที่เชื่องดีว่าไหม? ขอให้สนุกและอย่ากังวล หากใครไร้ค่า ข้าจะหาวิธีเก็บส่วนที่พอใช้ได้” คำพูดของเขาบาดลึกเกินกว่าจะเอ่ย แววตาดำของเขาไม่มีแม้เงาเมตตา


ลูคัสสับดาบให้เกิดเสียงแหลมปลุกใจแล้วรั้งโล่ขึ้นนำ ฮารุโตะถอยครึ่งก้าวดึงสายพร้อมชุดลูกศรเจาะเกล็ด เลสเตอร์ยกธนูยาวจัดลมหายใจให้จังหวะทีมแน่นขึ้นเหมือนตีฉาบในอก วินเซนโซดีดข้อมือให้ปลอกหมัดวัลแคนเผาประกายส้มจนอากาศวูบร้อน อิซิเลียเลยยืนศูนย์กลางผืนเงา เสื้อคลุมกางเหมือนรัศมีคืนเดือนดับ ขณะที่โมนีก้ากำกราดิอุสแน่น ดวงตาสีเทาเงินจับจ้องบั้นคอของอสุรกายแต่ละหัวคล้ายมองหาทางสู้ความตายของมัน


เฮือกแรกของการต่อสู้นั้นโหมเข้าอย่างสกปรก ไฟตาเจ็ดคู่พุ่งมาในคราวเดียว ฮารุโตะยิงเปิดในจังหวะแรกดอกแรกเสียบเข้าซอกเบ้าตาขวาของหัวริมสุด เสียงหวีดลากยาวจนน่าหวาดหวั่น ลูคัสจึงพุ่งซ้อนสับกราดิอุสของเขากับโมนีก้าขึ้นพร้อมกันเป็นรูปกากบาท ตัดคอหัวกลางสะบั้นจนเลือดพิษพุ่งเป็นฝน วินเซนโซพุ่งพรวดเข้าไปเผาบริเวณคอที่เพิ่งขาดด้วยหมัดเพลิงจนได้กลิ่นเนื้อไหม้ดังกระพือไฟรอยขาดปิดทับด้วยคราบไหม้จนหยุดงอก 


หัวที่สองก็พยายามเงื้อกัด เป็นช่วงที่เลสเตอร์ปล่อยศรหนักปักลงใต้กราม กดให้มันเงยหน้าไม่ขึ้น อีกดอกเจาะใต้ฐานเกล็ดให้เกิดบันไดของบาดแผลที่ลูคัสใช้ไถดาบตามทันที ในจังหวะนั้นอิซิเลียดึงเงาขึ้นเชือดตัดวิถีหางยักษ์ให้ช้าลง เงาเย็นตวัดรัดโคนคออีกหัวแน่นราวบ่วงน้ำแข็ง “อย่าหลงจังหวะหัวงอกในสามวินาทีมันเริ่มฟื้น” เธอเตือนเสียงราบ


ศีรษะที่สามและสี่พ่นพิษออกเป็นม่านควัน มองเห็นเป็นประกายเขียวหม่น ฮารุโตะลั่นศรต่อเนื่องเหมือนพิมพ์เครื่องจักรสังหารเป็นแถบคำสั่งเลาะไปตามขอบเกล็ดให้เกิดรอยปริพร้อมกันสามแนว “ตอนนี้แหละ!” ลูคัสบุกชิดหัวของมันทั้งคู่โมนีก้าก็ตามติดเขาเช่นเดียวกัน เธอสไลด์ต่ำแทงเข้าบานคออย่างแม่นแรง รู้สึกถึงแรงต้านเสี้ยวหนึ่งของเอ็นหนา หัวที่สามสี่ก็หลุดผึง วินเซนโซก็ขยับมาสาดไฟตามตำรา หัวเกือบสุดท้ายหันปะทะเลสเตอร์ทมี่ยิงธนูอย่างรวดเร็วก้านคอสะท้อนศรเหมือนเขาสีบทเพลง แต่นั่นพอให้โมนีก้ากระชับสองมือฟันซ้ำจนกลิ่นเนื้อไหม้ผสมคาวพิษแสบจมูกจนดวงตาร้อนผ่าว


“ดี…ยังพอมีค่า” โครนัสปรบมือทว่าเสียงนั้นมาพร้อมเงาหางมหึมากวัดเข้าด้านข้างโดยไร้สัญญาณเตือน 


“ตูมมม” 


เสียงฟาดดังอั้กเหมือนต้นปาล์มถูกฟ้าผ่า เลสเตอร์เห็นเพียงเสี้ยวแล้วกระชากโมนีก้าจะบัง แต่แรงหางม้วนเป็นแส้ เขาโดนเพียงปลายปัดจนไม่บาดเจ็บมาก ส่วนโมนีก้านั้นรับแรงเต็มสันดั้งจนตัวปลิวชนเสาหินและล้มแผ่ออกบนทราย หายใจไม่เข้าเหมือนหน้าอกถูกบีบด้วยกำปั้นของยักษ์ เลือดอุ่นทะลักริมฝีปากของเธอแผลถากยาวจากซี่โครงถึงสะโพก เสียงแตกในอกเป็นสัญญาณกระดูกเธอเองที่ขาด


“โมนีก้า!” เลสเตอร์ตะโกนออกมาเมื่อเห็นแบบนั้น เขาถีบทรายพุ่งถึงตัวเธอคุกเข่าคร่อมบังเงาหัวงูที่กำลังวกกลับ ฮารุโตะยิงสายเคเบิลศรผูกหัวนั้นแล้วงัดทิศขึ้น เป็นจังหวะให้ลูคัสกระแทกโล่ชนคางงูอีกหัวเปิดช่อง วินเซนโซก็กระโดดพรวดมาลงข้างเลสเตอร์ มือซ้ายระเบิดเปลวเล็กพอให้ไล่หัวที่พุ่งซ้ำ ส่วนมือขวารูดกระเป๋าพยุง “ช้ำซี่โครงสองสาม เส้นเลือดแตกผิวกับพิษกระเด็นเข้าบาดแผล ฮารุโตะ! รีบ!”


หมอสนามอย่างฮารุโตะมาถึงแทบจะในห้วงเดียวกับคำเรียก เขาดึงชุดผ้าพันกับหลอดแก้วยาถอนพิษออกมาปลายนิ้วกดตรวจอย่างเชี่ยว “อย่าขยับนะครับ คุณกำลังหายใจสั้นเกินไปโมนีก้า” สายตาสีเขียวสั่นวูบแต่เสียงยังอ่อนโยน “ผมจะชะลอพิษให้ก่อน” เขารินสารสีอำพันลงบนแผลมันเดือดซู่เมื่อสัมผัสพิษไฮดร้า กลิ่นสมุนไพรแหลมตีกับกลิ่นคาวจนแสบคอ


ในขณะนั้นเลสเตอร์เอาฝ่ามือประคองหัวของโมนีก้าเอาไว้ อิซิเลียที่ยืนแผ่เงาเป็นกำแพงระหว่างพวกเขากับคออสุรกายที่ยังเหลือ เงานั้นหนืดเย็นเหมือนทะเลน้ำดึก เธอหันดวงตาสีเถ้าเหล็กมามอง “เลสเตอร์! ฉันจะค้ำเวลาให้สามสิบวินาที แล้วพวกเราจะปิดงาน” น้ำเสียงเธอเหมือนออกคำสั่งมากกว่าขอร้อง แต่ปลายเสียงสั่นแผ่วจนสัมผัสได้ว่านั่นคือความห่วงที่เธอไม่คุ้นเคยจะแสดง


“เอาให้เร็วกว่านั้น!” เลสเตอร์กัดฟัน เขาเอามืออีกข้างกดเหนือบาดแผลของโมนีก้าอย่างถูกตำแหน่งเพื่อหยุดเลือดในทันที ฮารุโตะก็ฉีกผ้าพันแน่นร้อยกับสันเกราะของเลสเตอร์ให้กลายเป็นเฝือกชั่วคราว “ถ้าพิษขึ้นหัวใจ—” หมอสนามเริ่มพูด


“ไม่ให้ถึง” เลสเตอร์ขัดทันควัน แววตาเขาแข็งขึ้นเหมือนแสงเช้าฟาดยอดเขา โมนีก้ารู้สึกได้จริง ๆ ว่าความร้อนแสบที่วิ่งอยู่ใต้ผิวมันทรมารพอสมควร เหมือนถนนลื่นถูกโรยทรายทับ เธอหอบลึกหนึ่งครั้งแล้วพยักหน้าแผ่วเพราะว่ายังไม่สลบและหากเธอสลบโมนีก้าก็คิดว่าตัวเองคงจะบาดเจ็บหนัก


ในจังหวะที่มีทีมปฐมพยาบาลลูคัสก็คำรามนำทางกการต่อสู เขากับวินเซนโซผ่าด้านซ้ายเผาด้านขวาเป็นจังหวะคู่ แทบไม่ต้องมองก็รู้ว่ากันและกันอยู่ไหน ฮารุโตะที่ปฐมพยาบาลเสร็จก็สาดศรตาบอดจนหัวสองหัวหันชนกันเอง ลูคัสเริ่มฟันคอพวกมันให้หมด วินเซนโซก็หวดหมัดเพลิงปิดแผลทุกครั้งที่คอถูกตัด เลสเตอร์ยังคุกเข่าบังโมนีก้าแต่ยกธนูยิงสอดเป็นเส้นนำทิศให้เพื่อนร่วมรบ แม้ไม่ขยับจากจุดนั้นเขาก็โจมตีด้วยลูกศรจนไฮดร้าเสียเปรียบทุกด้าน


“น่าผิดหวัง” โครนัสควงนิ้วอย่างขี้เกียจ เดมิก็อดคนนี้เป็นเพียงตัวถ่วงที่โชคดีละมั้ง” เขาเหยียดคำแล้วปรายตาไปทางโมนีก้าราวกับว่าในสายตาของเขาเด็กสาวผมม่วงคนนั้นก็เพียงจิตวิญญาณที่มีเลือดของเทพเจ้าที่น่าผิดหวังและอ่อนแอที่ต้องให้แต่คนอื่นปกป้อง


เลสเตอร์เงยหน้าช้า ๆ มองไปทางโครนัสดวงตาสีฟ้าของเขาแทบลุกร้อนจนเกือบขาว “พูดอีกสิ แล้วฉันจะทำให้เครื่องของนายมันหายไปตอนนี้” โมนีก้ารีบพยายามขยับนิ้วจับชายเสื้อเขาเบา ๆ ดึงให้เขากลับมามองเธอ “เลส…เตอร์” เด็กสาวพยายามกัดฟันพูดเสียงเธอเบาราวลมหายใจ “ฉันไม่เป็นอะไร…จริง…จริงนะ” เธอฝืนยิ้มทั้งเลือด ริมฝีปากเปื้อนแดงเป็นสีของกลีบไลแลตยามค่ำที่ตามหลอกหลอนเลสเตอร์มาหลายพันปี


ระหว่างนั้นเสียงลูคัสตะโกนส่งสัญญาณเข้ากระบวนคมขวาง ฮารุโตะยิงลวดตรึงหัวซ้ายสุดอย่างรุนแรง อิซิเลียดึงเงาให้พื้นทรายกลายเป็นบึงหนืด ในขณะที่วินเซนโซวิ่งเอียงองศาจนแรงเหวี่ยงพาเปลวไฟลากเส้นโค้ง เผาจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ทั้งหมดในคราวเดียว หัวสุดท้ายของไฮดร่ากระชากขึ้นหมายฝ่าหนี ขณะนั้นเลสเตอร์ก็ดึงสายเข้าไปหนึ่งนิ้วปล่อยลูกศรหนักที่สุดของเขาไปในอากาศก่อนปักกึ่งกลางฐานคอราวกดโน้ตสุดท้ายลงบนลิ้นเปียโน หัวนั้นสะดุด ก้านคอเผยรอยอ่อนแล้วหลุดรุยจากการโจมตีอีกครั้ง วินเซนโซเลยปิดด้วยกระแสไฟ เผารอยขาดจนเกรียมสนิท จนตอนนี้การงอกถูกตัดสิทธิ์อย่างสมบูรณ์


ร่างของไฮดร้าล้มโครมจนสังเวียนสะท้อนเสียงเหมือนท้องฟ้าถล่ม เลือดพิษค่อย ๆ ซึมลงทรายกลายเป็นสีหมึกย้อมขอบรองเท้าของพวกเขา ฮารุโตะปาดเหงื่อจากขมับก่อนที่จะวิ่งไปทางโมนีก้าตรงเข้าไปตรวจชีพจรโมนีก้าอีกครั้ง สีหน้าคลายลงน้อยนิด “ชีพจรเริ่มเสถียรแล้วครับ ดีมากเลย” เขาพันผ้าแน่นชั้นสุดท้ายและฉีดสารกดและถอนพิษทีละหยด “รอให้ยาครบจังหวะแล้วค่อยย้ายนะครับ จะเจ็บหน่อยแต่ไม่ตายที่นี่แน่นอน ผมสัญญา”


แต่เหมือนโชคชะตาจะไม่มีเวลาให้พวกเขาพัก เมื่อโครนัสยืนบนระเบียงยกสองนิ้วให้ลมหมุน เขาใช้ลมหายใจของซุสควบคุมกระแสลมยกตัวลงมาสู่ผืนทรายอย่างง่ายดาย เสื้อสูทดำสะบัดเป็นคลื่นเงา ในจังหวะเดียวกันนั้นประตูลับรอบอัฒจันทร์ก็เปิดขึ้นจนหน่วยเอนฟอร์เซอร์ของ LoNex สวมชุดเกราะคาร์บอนดำพุ่งกรูออกมาล้อมเป็นวงแหวนปืนกลและหอกช็อต


“เด็กผู้หญิงผมม่วงคนนั้น เดี๋ยวซากเธอฉันดูแลเอง” โครนัสพูดเสียงราบ ท่าทีชื่นบานหลังไฮดร่าล้มละลาย “ส่วนพวกเธอก็ลองพยายามดูนะ”


คำพูดของโครนัสเสียดแทงหัวใจโมนีก้าพอสมควรเธอพยายามยันตัวนั่ง ใบหน้าซีดจางจนกลายเป็นสีเทาเงินแบบดวงตา เธอกลืนเลือดในปากลงคอแล้วฝืนยิ้มเล็ก ๆ “ไหวค่ะ…ทุกคนสู้นะ ฉัน…จะพยายามทนเอาค่ะ…จะลองกินแอมโบรเชียด้วย” เธอว่าพลางหยิบห่อเล็กจากแหวนดาราจรัสออกมามันคือชิ้นขนมเทพ เธอหักขนาดที่ควรกินเท่านั้น 


ฮารุโตะพยักหน้าเร็ว “แค่คำเล็ก ๆ พอ นะครับอย่าเกินนี้” โมนีก้าพยักหน้าตอบรับเขาเธอแตะลิ้นเล็ก ๆ รสชาติเหมือนความรักและแสงอันอบอุ่นวิ่งผ่านอก แต่มันไม่ทันห้ามความเจ็บหรือทำให้แผลสมานขนาดนั้นแค่ให้สติไม่ดับวูบตายไปเสียก่อน


ลูคัสคำรามพร้อมสับโล่กลมเข้าปะทะด้ามหอกศัตรูเสียงสนั่น! ฮารุโตะก็ปล่อยลูกศรแซมเป็นเส้นสายดุจผืนตาข่ายคลุมเหนือหัว เพื่อกดดันแนวหลัง เลสเตอร์เลยยิงลูกเดียวตัดข้อต่อปืนของศัตรูอย่างแม่นยำจนกลไกงอพับ วินเซนโซพุ่งเข้าคลุกวงในเพื่อรัวหมัดวัลแคนระเบิดเปลวไฟสั้น ๆ เป็นดอกไม้ไฟจาง ๆ บนหมวกเกราะ ในขณะที่อิซิเลียเหยียบเงาตัวเองให้ผืนทรายกลายเป็นหล่มกองเอนฟอร์เซอร์สะดุดทีละคู่เหมือนโดนเชือกล่องหนเกี่ยวขา


“ซ้ายสาม” เลสเตอร์ร้องเตือนทุกคนก่อนปล่อยลูกศรสองดอกตัดวิถีกระสุนอย่างรวดเร็ว ราวกับวาดตัวโน้ตดนตรีบังคับให้มือคนยิงชะงัก ลูคัสก็ขยับตัวเขามาปิดระยะรวดเดียวเพื่อฟันก้านหอกช็อตขาดผึงแล้วเอาศอกกระแทกหมวกเกราะศัตรูจนคอหัก วินเซนโซก็รัวหมัดไม่พักในขณะที่ ฮารุโตะวิ่งเฉียง ม้วนตัวสไลน์เข้ามาปกป้องโมนีก้าจากด้านข้าง


สิบห้านาทีถัดมา วงล้อมเอนฟอร์เซอร์แตกกระเจิงเหมือนโดนพายุทราย บางรายนอนกอง บางรายอาวุธหลุดบางรายคุกเข่าหอบหายใจ ขณะที่ทั้งห้าคนยังยืนครบ ขอบโล่ของลูคัสเปื้อนฝุ่นจากเหตุการณ์เมื่อครู่ สันหมัดของวินเซนโซควันคลุ้งด้ายเงาของอิซิเลียหายไปในพื้นเหมือนไม่เคยมี


โครนัสถอนใจยาวเหมือนคนชิมไวน์แล้วพบว่าหวานไปครึ่งโน้ต “พวกไม่ได้เรื่อง ไร้ประโยนช์สิ้นดีเลี้ยงเสียข้าวสุก ต้องลงมือเองจนได้ น่ารำคาญชะมัด” เขาโยนสายตาเฉือนลูกน้องรอบสังเวียนก่อนหันกลับมา “เอาล่ะ เด็ก ๆ โชคดีของพวกเธอใช้ไปเยอะแล้ว ถึงคราวฟังบทเรียนจริง ๆ แล้ว” สิ้นคำก็เกิดลมสะบัดทรายยกตัวเป็นเงาศร ผืนอากาศไหวอย่างคนสะอื้นก่อนสงบ โครนัสลงแตะพื้นนุ่มเท้าราวไม่มีแรงโน้มถ่วง เขาก้าวทีละก้าวมาทางกลางวงที่เลสเตอร์บังโมนีก้าไว้ 


“ส่วนเธอ...ช่วยตายไปก่อนได้ไหม” โครนัสเอ่ยกับทางโมนีก้าเพราะตอนนี้เขาเห็นว่าเธอไม่จำเป็นสำหรับเขา ก็แค่เดมิก็อดอ่อนแอคนหนึ่ง 


“ถ้าเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันจะทดลองให้เครื่องของแกรู้จักคำว่าเสียใจ” เลสเตอร์พูดเรียบ ดวงตาสีฟ้าของเขาคมจนดูเหมือนใบมีดน้ำแข็ง เขายกธนูค้างระดับหัวใจของโครนัสแต่ไม่ยิง เพราะรู้ว่าคนตรงหน้ามีทั้งกลของมนุษย์และพรของเทพซ้อนทับกันเป็นเกราะที่มองไม่เห็น


โครนัสหัวเราะในคอ “น่ารักดีแต่ไม่พอหรอกนะ” เขาตวัดมือจนคิวบ์พลังงานสามลูกจากเครื่องใต้สังเวียนลอยขึ้นมาวนรอบตัวเขาเหมือนวงโคจรส่วนตัว แสงภายในวูบวาบเป็นสัญญาณของอำนาจที่เขาเคยปล้นมา “ทดสอบสุดท้ายก่อนขึ้นแท่นจริง ใจของพวกเธอจะสั่นเป็๋นเพลงไหนกันนะ เมื่อแสงของเอเรบัสจ้องกลับมา” โครนัสดันแว่นที่ไม่มีอยู่จริงบนสันจมูกท่าทางเสียดสีตัวเอง “งั้นเริ่มกันเลย…และหวังว่าเธอจะไม่ตายเร็วเกินไปนะ เด็กผมม่วง ฉันยังอยากลองฆ่าเธอดูด้วยตัวเองอยู่”


เสียงเครื่องใต้โคลอสเซียมฮัมต่ำลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนทรายสั่นเป็นระลอก โครนัสลอยต่ำเหนือผืนทรายเหมือนเงานกแร้งลากลมของซุสไว้ที่ฝ่ามือ ขณะที่คิวบ์สามลูกหมุนวนรอบตัวเขาเป็นวงโคจรส่วนตัว แสงสีหมึกในนั้นกะพริบราวนัยน์ตาของสิ่งโบราณที่กำลังจ้องตอบ


การต่อสู้แตกเป็นชั้น ๆ ในพริบตา เลสเตอร์กับฮารุโตะถอยลงประกบสองข้างของโมนีก้า จับเส้นทางกระสุนพลังและสายลมเฉือนแทนเธอจนรับแรงปะทะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลูกศรของฮารุโตะพุ่งไปเหมือนฝนเรียงเส้น บางดอกแฉลบเกราะลมของโครนัสกลับมาเป็นคลื่นสวนจนเขาต้องกัดฟันรับด้วยไหล่จนเลือดซึมผ่านแขนเสื้อแต่ยังยิ้มบาง “ไม่เป็นไรนะครับโมนีก้า คุณจะปลอดภัย” 


ส่วนเลสเตอร์จงใจยืนสูงกว่าโมนีก้าครึ่งก้าวทุกวินาที มือหนึ่งยิง มือหนึ่งยกโล่บาง ๆ คั่นระหว่างแสงหมึกกับร่างเปราะบางของเด็กสาวครั้งแล้วครั้งเล่า เปลวแสงตีกลับกระแทกซี่โครงเขาเป็นริ้วช้ำ ทว่าดวงตาฟ้ายังนิ่งเหมือนทำแผนที่ลม


โครนัสมองภาพนั้นอย่างขบขัน “ความรู้สึกที่อ่อนไหวเป็นตัวแปรที่คาดเดาได้ยาก ส่วนใหญ่ทำให้สมการรวนจนพังเสียมากกว่า” เขากวาดมือ คิวบ์ลูกหนึ่งพ่นเส้นแสงล่อเลี้ยวลงต่ำ เป้าเดียวของเขาในตอนนี้คือโมนีก้าที่หากเธอตายคงจะสร้างความสะใจให้เขาได้ไม่น้อยเพราะสำหรับเขาแล้ว เธอ ไม่ จำ เป็น 


เลสเตอร์ยิงสวนซ้อนกับฮารุโตะ ลูกศรสองดอกตัดกันกลางอากาศกลายเป็นรูปกางเขนพอดีรับเส้นแสงนั้นจนแตกพร่า หากแรงสะท้อนก็ย้อนไปกระแทกอกทั้งคู่เหมือนค้อน ลมหายใจหลุดพร้อมกัน เลสเตอร์ทรุดเข่าซ้ายลงชั่ววูบ ฮารุโตะหายใจสั้นเจ็บดังซี๊ดแต่ฝืนลุกปักศรใหม่ทันที


การต่อสู้นี้โมนีก้าทำได้เพียงมอง ดวงตาสีเทาเงินสั่นจนภาพเบลอมือบางขยับกำมือแน่น เล็บจิกลงเนื้อจนเลือดซึม ความรู้สึกไร้ค่ากัดกินเหมือนไฟช้า ๆ เธออยากลุก อยากตะโกน อยากแทนที่เขาให้หมด แต่ร่างกายมันไม่ยอม เธอจึงทำสิ่งเดียวที่ทำได้คือไม่กะพริบตา ไม่หันหนีจากความจริง และจำให้หมดว่าทุกบาดแผลนี้เกิดขึ้นเพื่อเธอจะไม่มีวันปล่อยให้กลายเป็นซากอย่างที่โครนัสพูด


แนวหน้าการต่อสู้กับพลังของโครนัสนั้นกระชับเข้ามาทุกครั้งเมื่อลูคัสและอิซิเลียรับการต่อสู้ด้านหน้า วินเซนโซที่เห็นจังหวะดี คิ้วเขาเชิดขึ้นอย่างคนเจอปริศนาชิ้นใหม่ “คอมโบนี้ฉันชอบ” เขาพุ่งต่ำหลบลมเฉือน ล้วงแผงเชื่อมต่อเส้นใยจากสนับมือแทงเข้าสะดือเครื่องวงแหวนชั้นนอก “อรุณสวัสดิ์ครับระบบรักษาความปลอดภัย เอสเปรสโซช็อตแรง ๆ จากวัลแคน” นิ้วเขาเต้นรัว เสียงล็อกสลับดังติ๊ดๆ ไล่กันเป็นเมโลดี้ “ปิดไฟร์วอลล์หนึ่ง…สอง…โอ้ นี่อะไร ลิงก์แอบดูดพลังเอเรบัสตรงเข้าสนับสนุนวงจรควบคุม สกปรกใช้ได้เลยนะเนี้ย” เขากระตุกแผงควบคุมพลางกัดฟัน 


“ฉันดึงฟิวส์ทิ้งแล้วนะ!”


สิ้นคำนั้นเครื่องใต้ดินสะอึกจนเสียงต่ำลึกสะดุดครืดเดียว โครนัสที่เห็นก็หรี่ตามองวินเซนโซ “มือช่างซนนัก” เขากางนิ้วราวจะบีบอากาศ คิวบ์สองลูกพรวดลงล้อมวินเซนโซ แต่เงาสีเข้มของอิซิเลียผุดขึ้นเป็นบานพับมืดกว้างตัดแนวการล็อก เหมือนปิดประตูใส่หน้าคิวบ์ “มือช่างของเราอยู่ใต้การปกป้องของน็อกซ์” อิซิเลียเอ่ยเรียบ ผ้าคลุมเงากระเพื่อมเป็นริ้ว


ลูคัสกระแทกโล่ชนลมอย่างบ้าบิ่นแล้วฟันเส้นพลังให้เบนทิศ พลางพุ่งเข้าโจมตีตัวโครนัสโดยตรงชุดคอมโบของทหารโรมันที่ไม่มีอะไรซับซ้อนนอกจากแรงศรัทธา “พร้อมกัน!” เลสเตอร์สูดลม กางคันธนูจนสุด โน้ตสั้นสามจังหวะหลุดจากไรฟันเป็นสัญญาณ โหมรับกับศรของฮารุโตะ เงาของอิซิเลีย และไฟของวินเซนโซรวมเป็นพายุเดียวพุ่งใส่แกนควบคุมกับตัวโครนัสพร้อมกัน


การชนกันนั้นเหมือนสายฝนกระแทกผิวกลอง คิวบ์แตกสะเก็ด แกนภายนอกของวงแหวนสะท้าน ลมหายใจของเอเรบัสในเครื่องจากที่วางท่ามั่นคงก็เริ่มทำงานผิดพลาด พลังงานมืดเดือดพล่าน บิดงออย่างเหนื่อยหน่ายการถูกจองจำมานานเกินไป 


“หยุด—!!!!” โครนัสสะบัดมือจะล็อกระบบกลับ แต่สายมือวินเซนโซชิงดึงสายกราวด์ปลอมเสียก่อน “เสร็จสิ้นภารกิจ” พ่อหนุ่มติดกาแฟหัวเราะหอบ


ตึง—!!!!


คลื่นพลังงานหลังจากนั้นไม่ใช่การระเบิด หากเป็นการหายใจแรงของสิ่งที่หลุดออกจากห่วงโซ่ ชั่วพริบตาผืนทรายทั้งสังเวียนเต้นเป็นคลื่น น้ำตะกอนในผนังหินไหลเป็นเส้นแวววับเหมือนดาวหาง ทุกคนถูกผลักถอยครึ่งก้าว แต่ไม่บาดเจ็บมีเพียงกระดูกสันหลังสั่นจนรู้สึกได้ว่ามีอะไรโบราณมากกำลังมองผ่านพวกเขาอยู่


และในคลื่นนิ่งนั้นกลับปรากฎบางอย่าง…เลสเตอร์เห็นก่อน ดวงวิญญาณทั้งสิบสองสายลอยขึ้นจากขอบเครื่องอย่างอ่อนโยน ร่างของเด็กหนุ่มสาวผู้ครึ่งหนึ่งเป็นแสง ครึ่งหนึ่งเป็นเงา แต่ไร้โซ่เสียแล้ว พวกเขาไม่ได้โกรธมีเพียงความโล่งและเศร้าแบบหวานปนขม ดวงตาของบุตรแห่งมาร์สยกมือคำนับลูคัสแบบทหารแม้ว่าเขาจะไม่เห็น ดวงตาของบุตรแห่งวัลแคนพยักหน้าหาเล็ก ๆ อิซิเลียเด็กหญิงยกคางเล็กน้อยอย่างคนไม่ชอบแสดงความรู้สึก แต่ปลายนิ้วกำชายผ้าคลุมแน่นขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเห็นภาพนั้น


วิญญาณผู้มีแสงทองที่นิ้ว บุตรแห่งอะพอลโล หันมาหาเลสเตอร์โดยตรง แววตาเขาเต็มไปด้วยความอุ่นที่ทำให้ทรวงอกปวดแปลก ๆ เขายิ้ม ทั้งที่น้ำตาค้างอยู่ตรงหางตา ขอบคุณ…พ่อ คำที่ไม่ได้เอ่ยด้วยเสียง แต่ชัดเจนยิ่งกว่าเสียงใดในโลก เลสเตอร์แข็งค้างเหมือนถูกน้ำทะเลเช้าโอบรัด ทั้งปลื้ม ทั้งเจ็บ ทั้งอยากเปิดอกบอกความจริงแต่เขาทำไม่ได้ เขาเลยทำเพียงสิ่งเดียว ยกนิ้วแตะคันธนูเบา ๆ ส่งโน้ตสั้นที่มีแต่เขาและลูกชายจะได้ยินกลับไป


อิซิเลียก็เห็น…เธอเห็นพวกเขาทั้งหมดและในเงาตาของเด็กหญิง นานมากแล้วที่คำว่า เพื่อน ไม่ได้หมายถึงแค่คนเป็น เธอค้อมศีรษะน้อย ๆ ห้ขบวนวิญญาณราวแม่ทัพทำความเคารพกองทหารที่ลาจาก แสงพวกนั้นจางลงทีละดวงสลายหายไปเหมือนละอองหิมะในลมหายใจอุ่น


คลื่นสะเทือนค่อย ๆ จางลงแต่โคลอสเซียมทั้งแท่งยังครางเหมือนสัตว์นอนดิ้น เปลวเงาตามผนังโบกไหว ฮารุโตะนั่งทรุดหอบข้างโมนีก้า แขนเสื้อชุ่มเลือดแต่ยังยิ้มได้ วินเซนโซนั่งแปะลงกับทราย หัวเราะหึ ๆ แบบคนโล่งทุกอย่างออกไปจากอก “โอเค งั้นขอช็อตอากาศแทนกาแฟสักหนึ่งนาที” อิซิเลียยืนเฉยเหมือนรูปสลักแต่เงาใต้เท้าของเธอแผ่ออกล้อมทุกคนไว้หนาแน่นกว่าทุกครั้ง ในขณะที่ลูคัสเดินไปทางโครนัสที่เหมือนกับมองเครื่องนั้นด้วยความอาลัยต่อสิ่งที่เขาทำมาตลอด เขาจับโครนัสมัดไว้ไม่ให้หนีเพราะเขาต้องไปชดใช้กับสิ่งที่ตัวเองทำทั้งหมดทั้งที่เขาทำกับเดมิก็อดและทุกคนและทั้งที่ องค์กร LoNex ทำกับโลกใบนี้


ภาพที่โมนีก้าเห็นเธอยิ้มเล็ก ๆ ก่อนที่จะพ่นลมหายใจเล็ก ๆ กับสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามันจบแล้วสักทีเป็นจังหวะที่เลสเตอร์เดินเข้ามาหาโฒนีก้าที่กำลังนั่งพิงเสาของห้องนี้ เธอมองหน้าเขาเล็กน้อยแล้วยิ้มเล็ก ๆ แล้วส่ายหัวประมาณว่าฉันไม่เป็นอะไร เพราะตอนนี้เธอพูดไม่ออกจากอาการบาดเจ็บและแผลกำลังสมาทเพราะกินแอมโบรเชียเมื่อครู่ เลสเตอร์จึงเลือกที่แค่นั่งข้าง ๆ เด็กน้อยที่โชคชะตาเล่นตลกมาให้เขาเดินทางกับเธอ


[God-49] ธานาทอส (เลตัส)

โบนัสเหตุการณ์พิเศษ - โบนัสความโปรดปราน +30

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปรานของเทพ +25


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5



แสดงความคิดเห็น

God
อย่าลืมแจ้งสาขาร้านมอนเตอร์โดนัสที่จะปักว่าของประเทศไหน เดี๋ยวจะส่งรายละเอียดให้ จากการตัดหัวไฮดร้า 1 หัวและหัวงอก 2 = 1 ร้าน  โพสต์ 2025-10-8 18:26
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-49] ธานาทอส (เลตัส) เพิ่มขึ้น 70 โพสต์ 2025-10-8 18:17
โพสต์ 199936 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-8 09:46
โพสต์ 199,936 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-8 09:46
โพสต์ 199,936 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-8 09:46
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-8 17:54:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 46.2 : เริ่มต้นจบลง
วันที่ 03 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเช้า เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป ณ กรุงโรม อิตาลี

คบเพลิงตามผนังยังสั่นไหวด้วยแรงสาบานของหินที่เพิ่งผ่านการฮัมของเครื่องจักรบ้า ๆ ไม่นาน ละอองทรายค่อย ๆ ตกลงช้าเหมือนหิมะสีอำพัน โมนีก้านั่งพิงเสาหินลายริ้ว เงียบและซีดแต่ดวงตาเทาเงินเริ่มกลับมามีประกาย เธอยิ้มเล็กน้อยให้เลสเตอร์ที่เดินเข้ามายิ้มแบบคนบอกว่าฉันโอเค โดยไม่ต้องใช้เสียง เขาเลยไม่พูดอะไรเพียงทรุดนั่งข้าง ๆ ปล่อยให้ไหล่เสื้อของตัวเองเป็นกำแพงกันลมและความกังวลให้เด็กที่โชคชะตาโยนมาวางในชีวิตเขา มุมปากของเขาเกือบยกขึ้นแต่ไม่ยก สายตายังคุมสนามรอบตัวอย่างคนที่ต่อให้โลกปลอดภัยแล้วก็ยังไม่ไว้ใจความเงียบง่าย ๆ


อิซิเลียที่กำลังยือยู่นไม่ไกล “ลูคัส ต้องติดต่อพวกเขา” เด็กสาวพูดน้ำเสียงนิ่งทั้งที่ลมหายใจยังถี่ เธอกดกำไลโลหะเล็ก ๆ ที่ข้อมือ สัญญาณรหัสวิ่งไปตามเครือข่ายใต้ดินของนิวโรม “เรียกหน่วยพิเศษสภาเซเนท เป้าหมาย เซเวรัส โครนัส สถานะถูกควบคุมตัว อุปกรณ์ทำลายแล้ว ต้องปิดพื้นที่และเก็บหลักฐานทันที” ลูคัสพยักหน้ารับคำสั้น ๆ และลากโซ่พลังงานที่ล็อกโครนัสอยู่ให้แน่นขึ้น “ไปชดใช้สิ่งที่แกทำซะ” เขาบอกก่อนจะดึงโซ่ให้ดังฉึบอีกที “เผื่อคิดถึงการหนี”


วินเซนโซนั่งยอง ๆ ข้างเครื่องที่กลายเป็นซาก เขาใช้ไขควงอันเล็กขูดป้ายหมายเลขชิ้นส่วนอย่างเป็นระบบพร้อมฮัมเพลงเบา ๆ “ใครว่าฉันขี้เกียจ นี่ไง งานเอกสารของคนมือดำ” เขาพึมพำแล้วเงยหน้ามาส่งยิ้มให้โมนีก้า “เดี๋ยวพอออกไปข้างบน ฉันจะทำลาเต้หวาน ๆ ให้ไหม? เธอจะได้ลืมรสเลือดในปาก”


ฮารุโตะนั่งฝั่งอีกด้านของโมนีก้า กำลังใช้ผ้าพันและยาสมุนไพรลงซ้ำอย่างชำนาญ แสงอุ่นบาง ๆ ไหลตามฝ่ามือเขาเหมือนลมหายใจของรุ่งเช้าที่คลี่ผืนหมอกออกจากทุ่งหญ้า “ดีขึ้นชัดเจนครับ แอมโบรเชียเริ่มทำงานแล้ว แต่งดต่อสู้อีกสักพักนะครับคุณคนเก่ง” เขาว่าพร้อมยิ้มละมุนจนบาดแผลที่ตัวเขายังอยากยิ้มตอบ โมนีก้าพยักหน้าเบา ๆ เคี้ยวชิ้นขนมเทพอีกคำ รสที่เธอชอบซึ่งคงไม่มีใครรู้ว่ามันคือรสชาติของความรัก มันค่อย ๆ เบี่ยงรสเลือดเหล็กออกไป เหลือความหวานนุ่มคล้ายเปลือกไลแลตยามเย็น เธอมองไปรอบสังเวียนที่เงียบลงแล้วกระซิบเกือบไม่เป็นเสียง “จบ…สักทีสินะ”


“ใช่” เลสเตอร์ตอบสั้น นักธนูหนุ่มไม่ค่อยปล่อยคำเกินจำเป็นในช่วงเวลาแบบนี้ แต่เสียงเดียวของเขาหนักแน่นพอจะยึดพื้นดินไว้ได้ โมนีก้ากะพริบตาแล้วยกคางนิด “ไปช่วยเจ้าหน้าที่หน่อยไหม” เลสเตอร์ที่ได้ยินก็หันมาค้อนอ่อน ๆ “ทั้งสองไหวแล้วหรอ” เขาหมายถึงทั้งโมนีก้าและฮารุโตะ โมนีก้าเลยขยับยิ้ม “ไหวแล้ว” ฮารุโตะพยักหน้า “ไม่มีปัญหาครับ แต่อย่าคิดวิ่งแข่งกับผมนะครับ คุณโมนีก้ายังต้องพึ่งใครสักคนหนึ่งไว้รักษาเธอ” 


พอได้ยินแบบนั้นเลสเตอร์ก็ลุกขึ้นก่อนและยื่นมือให้ โมนีก้าจับไว้แน่น พอลุกได้เขาก็ยังไม่ปล่อยเลยสักนิด เขาปล่อยให้มือเธอพาดแขนเขาแบบที่ทำให้ดูเหมือนคนดื้อ ๆ กำลังยอมรับความช่วยเหลือนิดเดียวเท่านั้น


ไม่นานเสียงล้อโลหะบดกับหินดังขึ้นก่อนคันเกราะสีม่วงทองของหน่วยพิเศษนิวโรมจะกรูเข้ามาในสังเวียน แถวทหารระเบียบคมอย่างใบมีดกลางแสงคบเพลิง นำโดยเเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งที่ตราระดับสภาเซเนทวาวบนอกเกราะ “หน่วย A ผ่านซ้าย เก็บหลักฐานและปิดทางออก หน่วย B เข้าคุมตัวเป้าหมาย เซเวรัส โครนัส ตามหมายจับพิเศษของสภา” เสียงเธอกังวานชัด เกราะทั้งแถวแตกขบวนอย่างไร้รอยต่อ 


ลูคัสส่งโซ่มือโครนัสให้เจ้าหน้าที่โดยไม่วายกำชับ “อุปกรณ์ดูดพลังระดับต้นแบบอาจยังซ่อนอยู่ในชุด เขายังมีทริคอีกเยอะ มัดสามชั้นเป็นอย่างน้อยแล้วกันครับ” โครนัสหัวเราะเบา ๆ “ทหารโรมัน ความระแวดระวังคือศกุนีบินในกรง” เขาใช้คำเก่าเพราะเป็นคนจากยุคก่อนและเขาก็ไม่คิดว่าพวกเด็กพวกนี้จะรู้ความหมาย 


อิซิเลียปรายตามองไปทางโครนัส “ขนศกุนีหลุดหมดแล้วล่ะ ศ.โครนัส พูดน้อยลงเสียบ้างจะดูฉลาดขึ้น” เด็กสาวหันไปทางเจ้าหน้าที่หญิงคนนั้น “รายงานเบื้องต้นอุปกรณ์ดวงอาทิตย์สีดำที่สร้างจากพลังงานกของเอเรบัสถูกทำลาย โครงสร้างพลังงานเอเรบัสไม่เสถียรแต่สงบลง วิญญาณผู้ถูกกักขังปลดปล่อยแล้ว ขอทีมพิสูจน์หลักฐานด้านจิตวิญญาณด้วย” น้ำเสียงพูดของอิซิเลียแข็งกร้าว ทว่าตอนเอ่ยคำว่า วิญญาณ เงาที่เท้าเธอขยายออกนิดเดียวราวแบมือให้ใครที่มองไม่เห็น


เลสเตอร์กับฮารุโตะพาโมนีก้าเดินช้า ๆ ไปยังจุดรวมตัวรายงานภาพรวมกับเจ้าหน้าที่ตามลำดับขั้น “เริ่มต้นจากการถูกซุ่มโจมตีโดย LoNex ในอุโมงค์ล่างโคลอสเซียม เขาใช้ผู้เฝ้าเกราะทองคำและไฮดร้า จากนั้นยกระดับสู่การใช้คิวบ์พลังผสานกับเครื่องควบคุมเอเรบัส…” เลสเตอร์เริ่มเล่าเป็นคีย์เวิร์ดตรงและเร็ว ฮารุโตะเสริมรายละเอียดจังหวะการฟื้นตัวของเครื่องและอาการบาดเจ็บของทีม “ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสสองคนครับ แพทย์สนามควบคุมอาการได้แล้ว ไม่ต้องใช้การรักษาฉุกเฉิน แต่ควรย้ายขึ้นพื้นที่ปลอดภัยโดยเร็วครับ” 


ระหว่างทั้งสองรายงานโมนีก้ายืนพิงแขนเลสเตอร์ฟังอยู่เงียบ ๆ ปล่อยให้มือหมุนซองแอมโบรเชียที่ว่างเปล่า คล้ายจับจังหวะหัวใจตัวเองว่ากลับมาเต้นเป็นเพลงปกติแล้วจริง ๆ เมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มตรึงพื้นที่และขนโครนัสขึ้นโซ่ตรวนวิหาร วินเซนโซก็เดินโผล่มาจากกองซากเครื่องโดยมีชิ้นส่วนครึ่งกระบุง “ของที่ฉกได้แบบไม่ผิดจรรยาบรรณนะบอกไว้ก่อน อันนี้เพื่อการศึกษาหลังศึกไงล่ะ” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม


อิซิเลียยืนมองโครนัสถูกพาตัวผ่านหน้าของเธอโดยที่ไม่พูดอะไร แต่อลันในมือเธอหัวเราะคิกคักตามภาพที่เห็นที่มีแค่เธอที่รู้ “จบฉากหนึ่งสักที” เด็กสาวเอานิ้วแตะกะโหลกเบา ๆ แล้วสายตาสีเทาก็เหลือบกลับมาที่โมนีก้าเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่ง นานพอจะเรียกว่าความอ่อนโยนวูบผ่าน “พักเถอะโมนีก้าเธอทำได้ดีสำหรับวันแรกที่โลกเกือบดับ”


โมนีก้าหัวเราะเบา ๆ จนเจ็บซี่โครงเพราะว่าคุณอิซิเลียแสดงความอ่อนโยนไม่กี่ครั้ง “ขอบคุณนะคะคุณอิซิเลียแล้วก็…ทุกคน” เธอหันไปหาเลสเตอร์ตอนที่พูดแบบนั้นพลางพลั้งปากกระซิบที่มีแต่เขาได้ยิน “ขอบคุณที่ไม่ปล่อยมือนะ” เขาเลยส่ายหน้าแทบไม่ให้เห็น “ไม่เคยคิดจะปล่อยนี้” แล้วถึงจะทำหน้าขี้เก็กเหมือนเดิมแม้ปลายตาก็ยิ้มอยู่นั่นแหละ


วินเซนโซที่ยังยก ๆ ลาก ๆ กระบุงขึ้นจนของกระทบกันกรุ๊งกริ๊งเหมือนร้านของเก่าเคลื่อนที่ “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว แฮบของจากพวกมันซะทีเถอะ ของดีทั้งนั้นอย่าให้ตกถึงมือพวกบ้าโลกใหม่อีก” เขายิ้มเจ้าเล่ห์จากตอนที่เจ้าหน้าที่อยู่กลายเป็นพูดคำว่าแฮบได้เต็มปากเต็มคำ เลสเตอร์เลิกคิ้ว “มีอะไรบ้าง” แล้วก็ก้าวมาดูเป็นคนแรก


ชิ้นที่โผล่บนสุดคืกำไลแสงสุริยะตัวเรือนทองแดงอมดำมีไฟทองซ่อนเต้นอยู่ในเนื้อโลหะ เหมือนมีเช้าพักอยู่ข้างใน วินเซนโซเคาะเบา ๆ “แบตเวทสุริยะล้วน ๆ เติมไฟให้คาถาได้ทันที แล้วยิงลำแสงตัดหน้าศัตรูใช้ยามฉุกเฉิน แต่พอใช้แล้วต้องชาร์จแดดหนึ่งวันเต็มแถมชาร์จโทรศัพท์เดดาลัสได้อีกต่างหาก”


เลสเตอร์หัวเราะหยัน ๆ ตามสไตล์ “นายมีเตาไฟวัลแคนอยู่แล้วงั้นเก็บเข้าคลังส่วนกลาง ใครไม่ใช้ฉันจะเอาไป…ขายตลาดมืด เอ๊ย เอาไปฝากคลังสภา” น้ำเสียงกวน ๆ แต่ตาคมยังชั่งน้ำหนักของชิ้นนี้นานกว่าปกติ ก่อนเขาจะคาดไว้กับเป้ของทีมแบบยืมเก็บมากกว่าเก็บจริง


ต่อมาวินเซนโซก็งัดกล่องแบนสีดำด้านภายในมีเกราะพลังงานซีอุส “ฮู๊ว..ของดีอันนี้พรางในร่างกำไล แต่กางสนามพลังสีน้ำเงินได้ ดูดซับแรงระเบิด ปรับอุณหภูมิสุดขั้วเหมาะกับขั้วโลกเหนือชะมัด” ลูคัสไม่รอให้เสนอหรือพูดต่อ “งั้นก็ของฉัน” เขาหยิบไปสวมที่ข้อมือ ทดสอบเปิด–ปิด สนามพลังวาบครู่หนึ่งเหมือนผิวน้ำแข็งบาน “จะใช้ปกป้องแนวหน้าได้ดี” คำสั้น ๆ แต่หนักแน่นจนทุกคนสบายใจขึ้น


เลสเตอร์ก้มลงหยิบดาบยาวสีดำสนิทขึ้นมา ดาบนิลกาฬ โลหะสไตเจียนเย็นจนไล่ความอุ่นออกจากฝ่ามือ รัศมีความมืดของมันเหมือนดูดแสงคบเพลิง คำเตือนแกะสลักที่สันดาบอ่านได้ชัด ผู้ไม่ใช่สายโลกรัตติกาลจงอย่าแตะ


ยังไม่ทันที่ใครจะเตือน อิซิเลียก็เดินมากวาดมันไปอย่างเงียบ ๆ “มันมาหาฉัน” เธอว่าเรียบ ก่อนจะชูปลายดาบให้เงาสีเทาของเธอไหลขึ้นไปพันด้าม สลักอักษรของน็อกซ์เรืองวาบราวตราประทับ


ฮารุโตะมองอย่างกังวล “ระวังนะครับ คุณอิซิเลีย” เขาเหมือนจะเป็นห่วงเธอเพราะตัวดาบค่อนข้างพยศสำหรับคนธรรมดา “ฉันมีสายเลือดของน็อกซ์คิดว่ามันจะพยศหรอ” เธอกระตุกมุมปากนิดเดียว “อย่าห่วงไปเลย ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น” ดวงตาสีเถ้าเหล็กเหลือบไปทางเลสเตอร์วูบหนึ่งเหมือนกับสงสัยว่าทำไมเขาถึงถือมันไว้ได้แปปหนึ่ง ก่อนจะเก็บดาบเข้าผ้าคลุมอย่างนิ่งสนิท


วินเซนโซเทของต่อไปเหมือนกระบะลดราคาก่อนที่จะมีกล่องแหวนดาราจรัส ฝังเพชรใสสะอาด ตัวเรือนเย็นราวผิวนภา “คลังลูกบาศก์พกพานี้เอง…ส่วนใหญ่พวกเด็กใหม่ชอบนะเนี้ย โมนีก้าสนใจไหม?” โมนีก้าที่ได้ยินก็ยกมือซ้ายโชว์แหวนทรงเดียวกันบนนิ้วกลางก่อนยิ้มจาง ๆ “ฉันมีแล้วค่ะ” พอได้รับคำตอบวินเซนโซเลยคิดอะไรได้ “งั้นฉันขอละกัน แหวนนี้สวยพอดีแองจี้น่าจะชอบ” วินเซนโซคว้าทันที “เธอชอบเก็บของจุกจิกพอดีประหยัดชั้นวางไปครึ่งห้อง”


เลสเตอร์เลยเห็นอะไรบางอย่าง มันคือ กระเป๋าแพทย์ฟื้นฟู ผสานเทคโนโลยี LoNex กับความรู้การแพทย์ของแอสคลีปิอุส ภายในบรรจุนาโนเทคโนโลยีและสารชีวภาพจากน้ำอมฤต ความ เขาคิดว่าอันนี้เขารู้ว่าควรให้ใคร เลสเตอร์เดินไปหยิบมันมาแล้วส่งให้ฮารุโตะ “อันนี้ของนาย…” เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองคืออะพอลโล่พ่อของฮารุโตะ “ใช้ให้ดี ฉันเชื่อว่านายจะเข้มแข็งขึ้นและการมองโลกในแง่ดีเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่ายอมให้คนอื่น ๆ มาเอาเปรียบนะ” เลสเตอร์เอ่ยแบบนั้นฮารุโตะก็รับมายิ้ม ๆ ขอบคุณเพราะเขาเองก็สนใจกระเป๋าแพทย์แบบนี้เหมือนกัน


เลสเตอร์ขยับออกมายืนข้างหน้าหลังจากที่เสร็จทุกอย่าง คนที่เคยพูดมากที่สุดเรื่องตัวเอง กลับเลือกใช้คำให้น้อยที่สุด เขาไล่ตามสายตาทีละคน “ขอบคุณ…ทุกคน” เสียงทุ้มต่ำสะท้อนในหินราวคำมั่นที่จารไว้ “ฉันจะไม่ลืมมิตรภาพครั้งนี้ ไม่ลืมที่พวกนายลากฉันออกจากความพังของตัวเอง และไม่ลืมที่เราลากโลกกลับจากขอบเหว” เขาหยุด หายใจรับกลิ่นฝุ่นเก่าของโรม “แล้วก็เลิกตามหาเอเรบัสกันเถอะ สัญญาณมันชัดเจนพอแล้วล่ะเรือเหาะล่ม เครื่องจักรบ้า ๆ นี่ และสิ่งที่วันนี้สอนเรา…เทพโบราณไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง กลับค่ายจูปิเตอร์ของพวกนายไปเย็บแผล พัก เอาแรงไว้ให้วันที่โลกต้องการเราจริง ๆ”


โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็มองอีกฝ่าย เธอรู้สึกว่าเขากำลังจะไป เพราะงั้นเลยเดินผละออกไปจากไหล่ของฮารุโตะที่กำลังพยุงเธออยู่ เดินเซ ๆ หนึ่งครั้งก่อนทรงตัวได้ไปหาเลสเตอร์ ก้าวมาหยุดอยู่ด้านหน้าของเขา ดวงตาสีเทาเงินของเธอยังคงช้ำจากการต่อสู้แต่มีแววของความห่วยใยเขาอยู่เต็มไปหมด “แล้ว…นายไม่กลับไปกับพวกเราหรอ?” น้ำเสียงของเธอเมาเหมือนกลีบไลแลคที่ถูกลมกวาดต้อนไปช่วงเวลาของต้นฤดูใบไม้ผลิ


เลสเตอร์ก็ยักไหล่ตามสันดานคนขี้เก็กของตนเอง “ฉันบอกแล้วไง ต้องกลับบ้านไปพักบ้าง” คำว่าบ้านหล่นออกมาเหมือนกับหินในน้ำลึกแล้วก็เงียบ เขาไม่บอกว่าบ้านของเขาคือราชวังสุริยะของเทพพระอาทิตย์ เขามองโมนีก้าขึ้นเต็มตากลิ่นไลแลตจากผิวกายและเส้นผมของเธอทำให้เขายิ้มมุมปากขึ้นโดยไม่ยอมรับว่ากำลังยิ้มอยู่ เขายื่นมือออกมาแล้วพูด “ขอมือหน่อยสิ”


โมนีก้าที่ได้ยินก็ขมวดคิ้ว กระพริบตาปริบ ๆ “บ้าหรอ ฉันบอกว่าไม่ใช่หมาไง จะเล่นมุกไหนเนี้ย?” แต่เลสเตอร์กลับกรอกตาเพราะเธอเอาแต่คิดแบบนี้ว่าเขาจะแกล้งเธอตลอด “ไม่ได้ขอให้นั่งสักหน่อย ขอข้อมือต่างหากเร็ว” เสียงเขาติดจะกวนแบบที่ใช้บังความประหม่าของตเนอง จนกระทั่งโมนีก้ายอมยื่นข้อมือซ้ายให้ เขาจึงสวมกำลังโลหะผสมสีเงินเข้มเข้าไป ลวดลายเป็นวงแหวนซ้อนกันเหมือนสุริยุปราคาเงียบ ๆ บนท้องฟ้าที่ไร้ดวงดาว โลหะเย็นวาบนั้นเป็นสัมผัสแรกที่โมนีก้ารู้สึกได้แล้วก็อบอุ่นขจึ้นเหมือนจำชีพจรของตนที่เป็นเจ้าของ


“ดาบสุริยคติ…เก็บไว้ เธอต้องได้ใช้” เขาว่าช้า ๆ “แล้วก็ขอโทษที่ต้องพาเธอมาเจอทั้งหมดนี้ บางทีโชคชะตาก็มีอารมณ์ขันเฮงซวยของมันเอง”


โมนีก้ามองกำลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนเงยหน้ามองเลสเตอร์ในตอนนี้ ก่อนที่เธอจะเริ่มเอ่ยบางอย่างที่อัดแน่นในตัวเอง โมนีก้าเป็นคนนิสัยแบบนี้เป็นคนที่ไม่สามารถเก็บความรู้สึกรักหรือชอบของตนเองได้ดีเลย เพราะมันทรมารยิ่งเมื่อเลสเตอร์เธออาจจะไม่ได้เจอแล้ว โมนีก้าต้องทำอะไรบางอย่าง


“เลสเตอร์ นายจะว่าฉันบ้าไหม ถ้าฉันจะบอกว่าดีใจได้เจอนายนะ” เธอยิ้มเล็ก ๆ แล้วเอ่ยต่อ “ถึงช่วงเวลามันจะสั้นมากแต่ขอบคุณที่ไม่เคยทิ้งฉันแม้ฉันจะอ่อนแอเป็นตัวถ่วงของทุกคน ฉันจะเข้มแข็งขึ้นนะสัญญาเลย” เมื่อพูดตรงตรงนี้โมนีก้ากลับกลืนน้ำลายเบา ๆ มือของเธอเหมือนจะสั่นนิดหน่อย


“แต่มีอย่างหนึ่งนะเลสเตอร์ ตอนนี้ฉันไม่ได้มองนายว่าเป็นเพื่อนหรอก ฉันชอบนายนะ ชอบในแบบที่ชายหญิงชอบกันน่ะ แต่สัญชาตญาณบางอย่างบอกฉันว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าฉันบอกว่านายเป็นมนุษย์แล้วจะคบไม่ได้นะ แต่เพราะมันอันตรายมาก ๆ รู้ว่านายเก่ง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่าพวกเราโคตรแตกต่างกันเลยออกไปไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลบ้าบอคอแตกอะไรก็ตาม…ฉันก็อยากบอกไว้ ฉันมันก็แค่คนตกหลุมรักคนง่ายคนหนึ่ง…แค่อยากบอกนายไว้เท่านั้น”


โมนีก้าพรั่งพรูความรู้สึกของเธอออกไปพร้อมกับรอยยิ้มแม้ดวงตาสีเทาเงินของเธอจะคลอแสงแล้วแต่หยดน้ำตากลับไม่ยอมไหลออกมาจากตา


เลสเตอร์นิ่งไปเงาไฟเต้นในนัยตน์ตาสีฟ้าของเขาเหมือนตัวบทกลอ่นที่หาคีย์ลงไม่ได้เสี้ยววินาทีนั้นมีคำมากมายไหลมาถึงปลายลิ้น ทั้งคำสารภาพ ทั้งคำห้ามใจ ทั้งคำที่จะเปิดความจริงที่ไม่ควรถูกเปิด แต่เขาก็เพียงสูดลมสั้น ๆ อยากจะพูดบางอย่างแต่โมนีก้ากลับถอยหนึ่งก้าวเสียก่อน แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ว่าเธอจะไม่ก้าวไปมากกว่านี้ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร 


“ฮ่ะ ๆ …เอาเป็นว่าถ้านายหายตกใจแล้วอยากเจอหน้าฉันก็…ที่ค่ายจูปิเตอร์นะ” แล้วโมนีก้าก็ขยับมือแตะแนบกำไลใหม่ที่ข้อมือ “หวังว่านายจะไม่เกลียดฉันนะ…ฉันขอโทษสำหรับทุกอย่างที่นายต้องเจอ” โมนีก้าเอียงหน้านิดหน่อยเป็นการบอกลา จากนั้นก็หมุนตัวหันกลับเดินออกไปเส้นทางที่สว่างตามแสง ปลอ่นให้กลิ่นไลแลคและเบอร์รี่หวานของเธอนั้นจางไปเรื่อย ๆ ไกลขึ้นในทุกที 


เลสเตอร์ยืนอยู่กับเงาตัวเองครู่หนึ่งแต่กลับนานพอให้หัวใจของเขาตีคอร์ดที่เขาไม่ยอมเล่นต่อหน้าคนอื่น หัวใจของมนุษย์กับของเทพเจ้าเป็นอะไรที่ไม่สามารถเข้าใจได้แม้เขาจะเคยโดนสาปเป็นมนุษย์ก็ตาม เลสเตอร์ยกนิ้วแตะสายคันธนูเบา ๆ ปล่อยเสียงสั้น ๆ ที่มีแต่เขาได้ยิน รางกับเป็นตัวโน้ตตัวหนึ่งสำหรับคำที่พูดไม่ออก โลกทั้งใบเหลือเสียงรองเท้าของทีมที่ขยับตามขั้นตอนการเดินกับเสียงเจ้าหน้าที่ไกล ๆ เขาก้มมองฝ่ามือที่เพิ่งปล่อยข้อมือเธอไป กำไลสุริยุปราคาที่เขาสวมให้ยังอุ่นอยู่บนปลายนิ้ว เขาเงยขึ้นช้า ๆ เห็นเงาโมนีก้าลดหลั่นตามเปลวไฟ เล็กลง เล็กลง ก่อนกลืนเข้ากับทางโค้งของอุโมงค์…หายลับไป


ลมจากทางออกพัดแรงขึ้น กลบกลิ่นเลือดด้วยกลิ่นดินแห้งและสนแก่ เสียงรองเท้าพวกเขาสลับกันบนทางหินจังหวะไม่เท่ากันแต่ไปทางเดียวกัน ข้างบนยังเป็นกลางวันไม่มีดาว ทว่าแถบเงาบาง ๆ เริ่มทอดยาวกว่าเมื่อเช้าราวกับโลกกำลังฝึกจำวิธีที่จะเรียกเอาความมืดอีกครั้ง 


เลสเตอร์สูดลมหายใจเขาจะจำมิตรภาพนี้ไว้ทั้งหมด และถ้าฟ้าเคยหายไป เขาก็อยากจะเป็นคนพาเธอขึ้นไปดูตามสัญญาณด้วยกัน…แม้เธอจะบอกเป็นนัยน์ว่าแค่เพื่อนก็พอก็ตาม และด้วยคำนั้น บทของโคลอสเซียมใต้ดินก็ปิดลง ข้างบนจะยังไม่มีดาวหรือดวงจันทร์แต่วันนี้เขารู้ ว่าบนข้อมือเด็กสาวที่เดินนำลับโค้งไปนั้น มีสุริยุปรคาวงเล็กคอยกอดแสงไว้ให้พ้นมือความมืดได้อีกครั้ง และถ้าโชคชะตาจะเล่นตลกอีก…เขาก็พร้อมจะหัวเราะกลับใส่มัน…เมื่อถึงเวลาที่ต้องเจอกันใหม่ 

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ทุกคนมาจนถึงศึกสุดท้ายเพื่อจำกัดพระอาทิตย์สีดำและศาสตราจารย์เซเวอรัส (ที่โมนีก้าบอกว่าชื่อสเนป) พวกเขาจัดการทุกอย่างจนเสร็จสิ้น โมนีก้าและฮารุโตะบาดเจ็บสาหัดแต่รักษาเรียบร้อยฮารุโตะใช้พลังของตนเองโมนีก้าก็กินแอมโบรเชีย เจ้าหน้าที่มาพาตัวศาสตราจารย์นั้นกลับไปสำเร็จโทษและการเดินทางครั้งนี้ก็จบลง....แต่จบลงด้วยความรู้สึกแปลก ๆ หรือที่เขาบอกว่ารักแรกไม่สมหวังตลอดไปจะเป็นเรื่องจริง? ไม่รู้สิ...


[จบสิ้นภารกิจ The Dark Flame of Rome : แสงสว่างในความมืด (Epilogue)]

avatar

Moneka M. Blossom

(เขียนอะไรไม่ออก เป็นหน้าเปล่า ๆ ที่มีแต่คราบน้ำตา)

avatar

Vincenzo Bergamotto

-

avatar

Icilia Dominicus

-

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-

avatar

บทสรุป

[รางวัลภารกิจระดับ Heroes]

*ปลดล็อกอีเว้นท์ช่วยอะพอลโลวิจัยพลัง [อัคนีทมิฬ] เพื่อสร้างกลางคืนจำลองชั่วคราว แม้จะใช้ได้ 5 ปีก็ตาม

ปลดล็อกลิมิตเลเวล เป็น 120


รางวัลได้

+200 พลังใจ , +300 ดรักม่า (ผมอยู่ค่ายโรมันเปลี่ยนเป็นดีนาเรียสได้ไหมคับนี้มันภารกิจค่ายจูนะเฟ้ย) , +10 Point
+5 Level เพื่อนร่วมค่ายที่ร่วมภารกิจ
+30 ป้ายเกียรติยศ, +600 เกียรติยศ, +400 ความกล้าหาญ, +600 ศรัทธา
+4 หัวใจ กับ อะพอลโล

อื่น ๆ :
Moneka ได้รับ ดาบสุริยคติ
กำไลแสงสุริยะ - ส่วนกลางหรือเลสเตอร์
กระเป๋าแพทย์ฟื้นฟู - ฮารุโตะ ฮิกะ
เกราะพลังงานซีอุส - ลูคัส อควินัส
แหวนดาราจรัส - วินเซนโซ เบอร์กาม็อตโต
ดาบนิลกาฬ - อิซิเลีย โดมินิคัส


กำจัดไฮดร้า (เลอร์เนีย)

มีค่า LUK 60 หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ เกล็ดไฮดร้า จำนวน 9 ชิ้น 9 x 2 = 18 ชิ้น

พิเศษ * กำจัดไฮดร้าแห่งเลอร์เนียได้รับ ทับทิมขนาดมหึมา 1 ก้อน

สรุป ได้รับ เกล็ดไฮกร้า 9 ชิ้น, ทับทิมขนาดมหึมา 1 ก้อน


+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด ไฮดร้าแห่งเลอร์เนีย ครั้งแรก

+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด หุ่นยนต์ทองคำ ครั้งแรก


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-09] อะพอลโล เพิ่มขึ้น 400 โพสต์ 2025-10-8 18:31
God
คุณได้รับ +600 เกียรติยศ +400 ความกล้า +600 ความศรัทธา โพสต์ 2025-10-8 18:31
God
พาร์ทเสริม : ในขณะตกดึกที่ทุกคนพักที่ศูนย์นิวโรม โมนีก้าได้ยินเสียงบางอย่างจนต้องเดินออกมาดู (ดูต่อใน PM)  โพสต์ 2025-10-8 18:22
โพสต์ 105312 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-8 17:54
โพสต์ 105,312 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-8 17:54

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +200 เหรียญดีนาเรียส +300 ตื่นรู้ +4 ย่อ เหตุผล
God + 200 + 300 + 4

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-9 06:08:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ Special : จะรอดบ่หน่อ...ข้อย
วันที่ 03 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 23.00 น. เป็นต้นไป ณ กรุงโรม อิตาลี

ลมเย็นจากแม่น้ำไทเบอร์พัดแผ่วขึ้นมาถึงดาดฟ้า สีส้มทองที่เหลือจากขอบตะวันกลายเป็นริ้วซีดอยู่ทางตะวันตก เหนือเมืองเก่าของโดมวิหารเสาโรมันและซากกำแพง ไฟถนนเรียงตัวเป็นสายประกายเหมือนดาวที่ถูกหยอดลงมาในลุ่มน้ำ เวลาแบบนี้โรมดูอ่อนโยนกว่าทุกชั่วโมง เป็นพลบค่ำที่ยืดยาวผิดปกติราวถูกคาไว้ด้วยเวทเก่าแก่



โมนีก้าแง้มประตูบานเหล็กของศูนย์พักของนิวโรมที่สาขาอิตาลี ปลายนิ้วของเธอจับชายเสื้อเพื่อกันลมตีกลับแผล เธอยืนฟังเสียงบางอย่างที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นเสียงดนตรีนั้นอีกครั้งให้แน่ใจ มันเป็นกีตาร์จริง ๆ คอร์ดใสสะอาด วางจังหวะเหมือนหัวใจที่กำลังพยายามกล่อมตัวเองให้ช้าลง จากนั้นเสียงร้องก็ลื่นไหลตามมาประโยคภาษาอังกฤษที่เธอจำได้ทุกคำ


“I promise that one day I’ll be around I’ll keep you safe I’ll keep you sound”


ปลายเท้าของเธอขยับไปเองโดยไม่ถามอนุญาตจากสมอง เธอเดินตามเสียงผ่านระเบียงแคบและบันไดคดขึ้นอีกชั้น กลิ่นมะกอกแห้งกับฝุ่นหินอุ่น ๆ ลอยมาตามลม พอผลักประตูเหล็กขึ้น เธอก็เห็นคนคนนั้น…เลสเตอร์…เขานั่งพิงแนวกำแพงเตี้ย กีตาร์ไม้สีอำพันบนตัก คันธนูพิงอยู่ข้างเป้ของนักเดินทาง เส้นผมหยิกเข้มสะท้อนไฟเมือง คลื่นไหวเบา ๆ ตามลมเขาหลับตาเล็กน้อยเหมือนฟังตัวโน้ตที่ยังไม่เกิด แล้วไล่เสียงต่อ


“Take a piece of my heart And make it all your own So when we are apart You’ll never be alone”


โมนีก้าหยุดยืนจ้องมองเขาแต่ก็ห่างออกมาสองก้าว เธอไม่อยากให้เสียงรองเท้าแตะพื้นดังเกินไป ให้เขายังเล่นต่อราวไม่รู้ตัว แต่ท่าทางนั้นกลับมีมุมปากที่ยกนิดเดียวตอนเข้าอินโทรบอกชัดว่าชายหนุ่มรู้ว่ามีคนฟังอยู่ มันเป็นคนฟังที่เขาเองก็เฝ้ารอเช่นเดียวกัน


“You’ll never be alone When you miss me close your eyes I may be far but never gone” 


สายกีตาร์สั่นสีเงิน ใต้แสงพลบค่ำทาบเงาดำสนิทลงบนฝ่ามือที่มีรอยขีดจากคันธนู มือของนักรบที่แปลเสียงหัวใจออกมาเป็นดนตรีอย่างแม่นยำจนโน้ตสุดท้ายขยับเข้าท้ายเพลง


“When you fall asleep tonight just remember that we lay under the same stars.”


เขาปล่อยให้เสียงสุดท้ายลอยหายไปกับลม แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นจ้องมองภาพโรมในยามพลบค่ำแม้ว่ามันจะเป็นช่วงดึกแล้วก็ตาม ในนัยน์ตาฟ้ามีประกายไฟของโรมสะท้อนเป็นเกล็ดเล็ก ๆ “เฮ้” เขาวางปิ๊กใส่ในกระเป๋าเสื้อ วางกีตาร์พิงกำแพงเหมือนไม่อยากทำอะไรให้กะพริบตาคืนนี้ “รบกวนหรือเปล่า” คำถามนั้นทำให้เด็กสาวรู้สึกว่าเธอควรจะตอบยังไงดี โมนีก้ารวบผมที่ลมพัดให้ซนไปข้างแก้ม “ไม่คิด…ว่านายจะเล่นดนตรีเก่งขนาดนี้” เธอพูดตรง ๆ แม้เสียงจะยังเบาจากความล้าจากการต่อสู้ “เพลงนั้น…ฉันชอบมาก”


เลสเตอร์ยักไหล่นิด ๆ แบบคนรู้ตัวว่าดีแต่ทำเป็นไม่ตื่นเต้น “แน่นอนอยู่แล้ว” รอยยิ้มกวนกึ่งภูมิใจวูบผ่าน ครู่หนึ่ง เขาหันกลับมามองเธอ ดวงตาฟ้ากวาดมองตั้งแต่ปลายผมม่วงที่สะท้อนแสงไฟจนถึงปลอกกำไลบนข้อมือซ้ายของเธอ “แผลเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงไม่ดังแต่แน่นพอให้ลมเงียบลง


โมนีก้าเอื้อมแตะผ้าพันแผลเบา ๆ เมื่อได้รับคำถามจากอีกฝ่าย “ก็โอเคดีนะ” เธอยิ้มนิด ๆ ก่อนที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัย “ฉันนึกว่านายกลับไปแล้วซะอีกนะเนี้ย ทำไมยังอยู่ล่ะ? แถมขึ้นมานั่งเล่นกีตาร์บนดาดฟ้าเนี่ย ไม่รู้จะเรียกว่าโรแมนติกหรือขี้เก็กดี”


มุมปากเลสเตอร์ยกอย่างคนรับคำว่าเป็นทั้งสองอย่าง “อาจจะทั้งสองอย่าง” คำตอบนั้นยังอุ่นอยู่ระหว่างลมหายใจ ขณะที่เขาก้าวเข้ามา…ทีละก้าว ไร้เสียงรองเท้าถูพื้นหิน ราวกับโรมทั้งเมืองเต็มใจช่วยกลบฝีเท้าของเขา โมนีก้านั้นยืนอยู่กับที่ไม่ได้ขยับไปไหน ในดวงตาเทาเงินมีแต่ความสับสนกะพริบวูบไหวเพราะเธอก็ไม่ได้คิดว่าจะพบเขาได้อีกเร็ว ๆ นี้หลังจากเหตุการณ์เมื่อเย็น  แต่ในดวงตาของเลสเตอร์กลับนิ่งเกินกว่าที่โมนีก้าจะคุ้นชิน


ระยะที่ชายหนุ่มหยุดยืนนิ่งไม่ใกล้จนคุกคามโมนีก้าแต่ก็ไม่ห่างจนกลายเป็นแค่คำว่าเพื่อนร่วมทีม เลสเตอร์เอียงหน้าเล็กน้อย มองเส้นผมสีม่วงครามที่หล่นปิดขอบตาของเธอ แล้วปลายนิ้วก็ยกขึ้นอย่างช้า ๆ และเบาพอให้เธอถอยได้ถ้าไม่สบายใจสำหรับสัมผัสนั้นก่อนขยับปัดปอยผมนั้นออกจากกรอบหน้าให้กลับไปอยู่หลังใบหู ยางรัดผมที่เธอมัดลวก ๆ มาทั้งวันหลุดหล่นลงพื้นอย่างบังเอิญ ติ๊ก เดียว ผมยาวสลวยปล่อยคลื่นลงมารอบบ่า กลิ่นไลแลคกับเบอร์รี่หวานพลุ่งขึ้นทันทีมันหอมหวานแบบที่ไม่พยายาม อมเปรี้ยวตัดความสดชื่ดเหมือนความรู้สึกของรักแรกที่ทั้งหวานหอมอมเปรี้ยวกลมกล่อมที่ดื่มกินเท่าไรก็ไม่มีวันเปิด หวนคิดมาถึงทุกครั้งก็ไม่มีวันจางหาย ทำให้กลางดึกโรมเหมือนใส่น้ำตาลเพิ่มอีกช้อน


โมนีก้ากะพริบตาช้า ๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าขณะนี้โลกขยับไปถึงไหนแล้ว แต่ก็ยังเงยหน้าสบเขาอย่างตรงไปตรงมา เลสเตอร์ก้มลงเพียงนิดพูดชัดจนหัวใจฟังรู้เรื่องก่อนหูจะทัน 


“แล้วเจอกันนะแม่สาวดอกไลแลค ฉันจะไปหาเธอที่ค่ายเอง ไม่ต้องห่วง”


ปลายคำยังไม่ทันจาง ริมฝีปากของเขาก็แตะลงบนหน้าผากเธอ เบาพอเป็นลมหายใจ แต่แน่นพอให้โลกทั้งใบหยุดหมุนชั่วครู่ ความอุ่นแล่นจากผิวหน้าผากลงสู่กระดูกสันหลัง โมนีก้าชะงักอึ้งกับสิ่งที่เลสเตอร์ได้ทำ หัวใจของเธอนั้นตีจังหวะเร็วเกินกำหนด ใบหน้าที่เธอเคยบ่นว่าหน้าจืด ตอนนี้กลับทำให้เลือดขึ้นแก้มอย่างง่ายดาย ความนิ่งในดวงตาแปรเป็นแดงระเรื่อ ไล่สีจนถึงซอกหู มือที่วางข้างลำตัวค้างเกร็งเหมือนใครสั่งให้หยุดเวลา


เลสเตอร์ผละออกครึ่งก้าว กระตุกยิ้มขำของคนรู้ตัวว่าทำให้ใครบางคนสติหลุดไปชั่วอึดใจ “ฝันดี” เขาเอ่ยสั้น ๆ ตรง ๆ ก่อนที่เธอจะหาสติของตัวเองเจอ เขาก็ก้าวไปที่ขอบดาดฟ้าอย่างคุ้นทิศ กระโดดลงอย่างแม่นยำ เสยมือคว้าท่อโลหะข้างตึก ร่างสูงรูดสไลด์ลงไปเงียบเกือบไร้เสียง เงาเขาตัดผ่านผนังเหมือนเส้นหมึกหนึ่งขีด แล้วก็หายวับไปกับมุมอาคาร ทิ้งไว้เพียงไออุ่นของลมหายใจ และกลิ่นไลแลคที่ยังลอยค้าง


โมนีก้ายืนอยู่นิ่ง ๆ หัวใจของเธอนั้นยังสั่นสะท้อนกับกระเบื้องใต้ฝ่าเท้า ตึก…ตึกคัก…ตึกคัก สติที่หลุดกลับเข้าร่างช้า ๆ หน้าแดงยังไม่ยอมจาง เธอก้มมองยางรัดผมที่ตกอยู่ เก็บขึ้นมาบนฝ่ามือที่ยังสั่นเบา ๆ และเผลอยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยยอมให้ใครเห็นง่าย ๆ


“ไอ้บ้าเอ๊ย…” เธอพึมพำกับตัวเอง แต่เสียงนั้นมีน้ำตาลผสมมากกว่าคำด่า


ทั้งขี้เก็ก ทั้งหลงตัวเอง แต่หัวใจเธอกลับเผลอหลงเขาเสียแล้ว และดูท่าจะถอนตัวยากยิ่งกว่าถอดดาบออกจากปลอกในครั้งแรกเสียอีก เธอแตะปลอกกำไลสุริยุปราคาเบา ๆ เหมือนซีลสัญญา ลมหายใจค่อย ๆ เข้าออกตามจังหวะที่เขาเคยสอน แสงไฟของโรมยังทอริ้ว เล่นเงาบนเส้นผมสีม่วงครามที่ปล่อยยาว เธอหันหลังกลับสู่ประตูดาดฟ้า ใจยังเต้นแรง แต่ก้าวเท้ากลับห้องเบาขึ้นเหมือนเมืองทั้งเมืองกำลังฮัมเพลงท่อนเดิมให้เธอฟังอีกครั้ง You’ll never be alone

avatar

บทสรุป

[จบปิดท้ายภารกิจ Heroes]

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) 

ทำภารกิจเดินทางสำเร็จได้รับความชื่นชอบจากวุฒิสมาชิกสภาอาวุโสทั้งสาม ค่าความสัมพันธ์ +50
เกียรติยศ +200, +5 Point



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับ +180 เกียรติยศ โพสต์ 2025-10-9 11:30
God
คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-10-9 11:28
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-15] บรูตัส แวนเดอร์บิลท์ เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2025-10-9 11:28
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] แฟรงค์ จาง เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2025-10-9 11:28
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-19] เฮเซล เลเวสก์ เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2025-10-9 11:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
12345
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้