[บันทึกการเดินทาง] From Lupa’s Kick to Jupiter’s Gates

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-9-7 19:48


Top Character
SUKI
MONEKA
Bottom Character

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 10844 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-5 17:50
โพสต์ 2025-9-6 02:55:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-9-6 03:12

sigil
บันทึกการเดินทาง From Lupa’s Kick to Jupiter’s Gates
วันที่ 05 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเช้ามืด เวลา 04.00 - 06.00 น. เริ่มต้นเดินทาง ณ บ้านหมาป่า หุบเขาโซโนมา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา


สายลมยามเช้ามืดพัดเบา ๆ ผ่านยอดไม้สูงแห่งหุบเขาโซโนมา กลิ่นดินชื้นและไอหมอกปะทะปลายจมูกของโมนีก้าแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่เคยมีกลางคืนมายาวนานแล้วแต่เธอก็จิตนาการถึงกลิ่นดิ้นชื้นที่แสนอุดมสมบูรณ์ได้ดี เธอกับซูกิยืนเคียงกันอยู่หน้าประตูบ้านหมาป่า กระเป๋าเป้สะพายหลังอยู่บนบ่า เสียงเหล็กของกราดิอุสที่กระทบฝักเบา ๆ ทุกครั้งที่ซูกิก้าวเดินทำให้บรรยากาศเคร่งขรึมยิ่งขึ้น เบื้องหน้าของทั้งคู่เป็นหมาป่าสีขาวสง่างาม ร่างสูงใหญ่ราวเงาสถิตของเทพีผู้พิทักษ์ 


ทันทีที่ทั้งสองหยุดตรงหน้า ลูปาแปรสภาพเป็นร่างสตรีงาม ผมสีเงินยาวระยับไหลลงมาถึงเอว ร่างนั้นเต็มไปด้วยรัศมีอันเย็นสงบ แต่แฝงไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่เกินมนุษย์ ดวงตาสีอำพันจับจ้องทั้งโมนีก้าและซูกิราวกับอ่านทะลุถึงแก่นจิตใจ “พวกเจ้ามาไกลแล้ว” เสียงของนางอบอุ่นแต่แฝงความหนักแน่นดั่งระฆังศักดิ์สิทธิ์ “ข้าภูมิใจในตัวเจ้าทั้งสอง”


โมนีก้ากัดริมฝีปากเบา ๆ หัวใจเต้นแรง เธอไม่เคยชอบกับการที่ต้องฝึกฝนตัวเองสักเท่าไรสักเท่าไร ความฝันของเธอไม่ใช่การใส่เกราะยืนอยู่แนวหน้า แต่เป็นการได้ใช้ชีวิตอิสระร้องเพลง เต้น เรียน หัวเราะ และมองฟ้าในยามค่ำคืนที่เธอแสนคิดถึง แต่เธอก็รู้ดีว่าโลกใบนี้ไม่ปล่อยให้ใครอยู่ในความฝันตลอดไป หากอยากรอดหากอยากปกป้องคนที่รักและตนเองเธอก็ต้องแข็งแกร่ง


ดวงตาสีเงินเทาใสของโมนีก้าสบเข้ากับสายตาของลูปา เธอสูดลมหายใจเข้าลึกยืนหลังตรงโดยไม่บ่นแม้แต่คำเดียว แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความลังเลก็ตาม ซูกิยกมือแตะที่ด้ามกราดิอุสข้างตัวเล็กน้อย แววตาเย็นนิ่งของเธอสะท้อนถึงความพร้อม เธอไม่พูดพร่ำอะไร เพียงก้าวมายืนข้างโมนีก้าเหมือนเป็นกำแพงที่มั่นคง ลูปามองทั้งสองด้วยรอยยิ้มที่แฝงด้วยความภาคภูมิ


“การเดินทางจากนี้ไม่ใช่เพียงการทดสอบกำลังแต่เป็นการทดสอบหัวใจ หากเจ้าผ่านไปได้ ค่ายจูปิเตอร์จะเปิดประตูต้อนรับ และเจ้าจะได้เป็นหนึ่งในกองทหารที่สิบสองฟุลมินาตา” เสียงของลูปาก้องกังวานเหมือนเสียงป่าเองกำลังสวดมนต์


ดวงตาของโมนีก้าสั่นไหววูบหนึ่งแต่เธอก็ยิ้มสดใสขึ้นมาเหมือนเดิม พยายามกลบความกลัวในใจ “เข้าใจแล้วค่ะ…หนูกับซูกิจะไปให้ถึง” ซูกิเพียงพยักหน้าเล็กน้อย แววตาหนักแน่นไม่สั่นไหว ต่างจากโมนีก้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลายชั้น แต่สุดท้ายทั้งสองก็ยืนเคียงกันอย่างพร้อมจะออกเดินทาง


ลูปาในร่างสตรีงามยกมือขึ้นเหนือศีรษะ แสงอำพันระยิบระยับคลี่ออกเหมือนม่านแห่งรุ่งอรุณ ก่อนจะค่อย ๆ ก่อตัวเป็นแผ่นแผนที่โบราณเก่าแก่ที่ทำจากหนังสัตว์ บนแผนที่นั้นเต็มไปด้วยลายเส้นสลักเป็นอักษรละตินโบราณและสัญลักษณ์ที่แปลกตา เส้นทางทอดยาวคดเคี้ยวผ่านป่า ภูเขา และแม่น้ำไปยังสัญลักษณ์ของตราค่ายที่สลักไว้ ค่ายจูปิเตอร์นั่นเอง พร้อมกันนั้นในมืออีกข้างของนางก็เผยให้เห็นเข็มทิศเล็ก ๆ ทำจากทองสัมฤทธิ์หน้าปัดฉลุลายดวงดาว เข็มสีเงินส่องประกายไหวเล็กน้อยราวกับจะหันตามลมหายใจของโชคชะตาเอง 


“สิ่งนี้คือแผนที่โบราณและนี่คือเข็มทิศแห่งโชคชะตา” ลูปากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “มันจะไม่ชี้ไปทางทิศเหนือ แต่มันจะชี้ไปยังเส้นทางที่หัวใจของเจ้าจำเป็นต้องเดินต่อไป”


โมนีก้ารับของทั้งสองมาด้วยดวงตาเทาสีเงินที่เบิกกว้างตอนที่มองเห็นแผนที่ แอบเบะปากเล็ก ๆ ตอนเห็นระยะทาง “60?…70 ไมล์?…จริงดิ? โลกนี้ไม่มี ปักหมุด GPS แล้วเหรอคะ?” แต่ทันใดนั้นเธอก็หยุดหันไปหัวเราะแห้ง ๆ “อ้อ ลืมไป เปิดโทรศัพท์ก็โดนพวกมอนสเตอร์ตามล่าแน่ ๆ …” เธอพยายามยกของที่ได้มาไปให้ซูกิทันที “เอาเถอะฝากเธอถือดีกว่าซูกิ ฉันเชื่อมือเธอนะ” น้ำเสียงเหมือนเด็กขี้กังวลที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก


แต่ซูกิขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง ๆ ตามนิสัย “แล้วแหวนที่แม่เธอให้มาวันแรกที่มาถึงบ้านหมาป่าล่ะ? แหวนดาราจรัสนั่นมีมิติพิเศษอยู่ข้างใน เธอเก็บทุกอย่างไว้ในนั้นสิปลอดภัยกว่ามากนะ อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว”


โมนีก้ากะพริบตาปริบ ๆ เหมือนเพิ่งนึกออก มือซ้ายยกขึ้นมองแหวนสีเงินบนนิ้วกลางของตัวเองที่ประดับด้วยอัญมณีสีน้ำเงินอมม่วงแวววาว “เชี่ย…จริงด้วย! ลืมไปเลยอะ นี่แม่อุตส่าห์ส่งจดหมายมากับแหวนให้ตั้งแต่วันแรก… ฉันนี่มัน…โง่จริง ๆ” ซูกิเพียงส่ายหน้าเล็กน้อย แต่ในแววตาแฝงรอยยิ้มที่ยากจะมองเห็น ขณะที่โมนีก้ารีบเก็บแผนที่โบราณและเข็มทิศลงในมิติของแหวน เสียงแหวนสั่นสะท้อนเบา ๆ เหมือนกลืนวัตถุเหล่านั้นหายวับเข้าไปในแสงดารา


“โอเค…ปลอดภัยแล้ว!” โมนีก้ายกมือขึ้นทำท่าชูสองนิ้วแบบสดใสเหมือนเดิม แม้ใจลึก ๆ จะยังตื่นเต้นไม่หายกับระยะทางอันยาวไกลที่รออยู่ตรงหน้า


“ก็ดี อย่างน้อยคราวนี้เธอไม่ลืมอีกแล้ว” ซูกิเอ่ยสั้น ๆ 


โมนีก้าเลยแลบลิ้นใส่เพื่อนบัดดี้สาวทอมบอย “ก็อย่าพึ่งมั่นใจไปสิ ฉันนี่แหละ ตัวลืมขั้นเทพ แต่ครั้งนี้จะทำให้ดีที่สุดแน่นอน!” ก่อนที่เธอจะหันกลับไปยังร่างสตรีงามของลูปา รอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏบนใบหน้า เธอยกมือไหว้แบบงุ่มง่ามนิด ๆ ตามสไตล์ของคนที่มีพี่เลี้ยงเป็นคนไทยตั้งแต่ 2 ขวบจนถึง 10 กว่าปี “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ ยินดีที่ได้พบกันนะคะหวังว่าเราจะได้เจอกันอีก” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจและความอบอุ่นจากใจ

 

ลูปาไม่ตอบทันที นางเพียงก้าวเข้ามาใกล้ ใช้ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไปตามเส้นผมสีม่วงครามอ่อนที่สะท้อนแสงแดดเหนือศีรษะของโมนีก้า ก่อนจะโน้มตัวลงมาสบตาโดยตรง ดวงตาสีอำพันของนางประกายระยิบราวกับกักเก็บแสงดาวเอาไว้ “ดวงตาของเจ้า…สีเทาเงินบริสุทธิ์ งดงามนัก เหมือนกับดวงตาของเทพีมิเนอร์วา เทพีแห่งปัญญาและการศึก หากเป็นในของเทพีกรีกคนจะเรียกว่า Athena of Grey eye


โมนีก้ากะพริบตาปริบ ๆ ปากเล็กอ้าอย่างงงงวย “หา? หนูเป็นลูกของเทพีเซเรสนะคะ ไม่ใช่เทพีมิเนอร์วา…คนละสายเลยค่ะ” เธอเอียงหัวน้อย ๆ เหมือนแมวสงสัย แต่กลับทำให้ภาพนั้นน่ารักจนแม้แต่ซูกิยังต้องเหลือบตามองเล็กน้อย


“ข้าเพียงเปรียบเปรย ดวงตาของเจ้ามีประกายที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่เจ้ารู้ตัว นั่นคือสิ่งที่ทำให้เจ้าแตกต่าง” ลูปาหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงทุ้มนุ่มราวกับสายลมพัดผ่าน จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นประสานตรงอก หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนเอ่ยพรโบราณเป็นภาษาละติน เสียงนั้นกังวานก้องในใจโมนีก้าและซูกิ คล้ายเสียงของผืนป่าทั้งป่าและสายลมที่พัดผ่านภูเขามารวมกันเป็นถ้อยคำอวยพรอันศักดิ์สิทธิ์


“เดินไปเถิด เด็กน้อยแห่งเซเรส และเจ้า เด็กน้อยผู้ถือสติอันมั่นคง ฟ้าจะเปิดทางให้พวกเจ้า แม้เส้นทางจะยากเย็นแต่ความกล้าหาญและมิตรภาพจะเป็นดวงไฟนำทาง”


โมนีก้ากัดริมฝีปากน้อย ๆ เหมือนกำลังกลั้นไม่ให้ร้องไห้ เธอก้มศีรษะอย่างแรงแล้วบอกสั้น ๆ “หนูจะไม่ลืมค่ะ” ทันใดนั้นซูกิที่ยืนเงียบมาตลอดเพียงยกมือจับบ่าโมนีก้าแน่น ๆ เป็นการให้กำลังใจเงียบ ๆ ก่อนทั้งสองจะหันหลังกลับ เดินก้าวแรกออกจากบ้านหมาป่าไปพร้อมกัน กระเป๋าสะพายแนบตัว กราดิอุสและแผนที่เก็บในแหวนดาราจรัส แสงแดด 24 ชั่วโมงสาดส่องลงมาทาบเงายาวไปบนเส้นทางหินกรวดที่ทอดออกจากบ้าน


และเบื้องหลังคือพื้นที่สงบเงียบของบ้านหมาป่าและสายตาของลูปาที่ยังคงมองส่งแผ่นหลังทั้งสองอย่างเอ็นดู จนกว่าจะถึงวันที่ได้พบกันอีกครั้ง…สักวันหนึ่ง


รางวัล : กระเป๋าคาดเอวจากลูปา 1 ชิ้น

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปรานของเทพ +25

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-29] ลูปา เพิ่มขึ้น 40 โพสต์ 2025-9-6 02:57
โพสต์ 41142 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-6 02:55
โพสต์ 41,142 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-9-6 02:55
โพสต์ 41,142 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 เกียรติยศ จาก เกมคอนโซลพกพา  โพสต์ 2025-9-6 02:55
โพสต์ 41,142 ไบต์และได้รับ +7 EXP +7 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก กล่องดนตรี  โพสต์ 2025-9-6 02:55
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-6 05:29:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-9-6 05:32

sigil
บันทึกการเดินทาง From Lupa’s Kick to Jupiter’s Gates
วันที่ 05 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเช้า เวลา 06.00 - 09.00 น. ออกเดินทางจาก หุบเขาโซโนมา ไปที่ Sonoma County Library รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ดวงตาสีเทาเงินของโมนีก้าเป็นประกายระยิบวาวยามต้องแสงแดดที่ลอดผ่านกิ่งไม้ลงมา เธอก้าวเดินไปพลางยกมือกอดกระเป๋าสะพายแน่นเหมือนกำลังตัดสินใจจะสารภาพอะไรบางอย่าง ก่อนในที่สุดก็หันหน้ามาทางซูกิที่เดินเคียงอยู่ด้านข้าง “ซูกิ…เราไปที่ห้องสมุดโซโนมาก่อนได้ไหม? Sonoma County Library น่ะ” ซูกิที่ได้ยินจึงเลิกคิ้วเธอสะพายกราดิอุสไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง เสียงเรียบติดห้าวเอ่ยถาม “ห้องสมุด? ทำไม อยู่ ๆ ถึงอยากไปที่นั่น” น้ำเสียงไม่ใช่การปฏิเสธ แต่เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างจริงจัง


โมนีก้ากัดริมฝีปากน้อย ๆ สายตาเลื่อนลอยเหมือนกลัวว่าคำพูดตัวเองจะถูกปฏิเสธ “ก็…ฉันอยากส่งอีเมลหาพ่อน่ะ อยากบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง ถึงแม้โทรศัพท์ฉัน…ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าโดนลูปาโยนทิ้งไปตั้งแต่วันแรกก่อนมาถึงบ้านหมาป่าเสียอีก” เธอหัวเราะแห้ง ๆ แฝงความเจ็บใจปนน้อยใจ “ก็เพราะโทรศัพท์มันจะล่อพวกอสูรกับมอนสเตอร์มานี้เนอะ ฉันเข้าใจได้ แต่ฉันว่าพ่อฉันต้องเป็นห่วงมากแน่ ๆ” สายลมพัดผมสีม่วงครามของเธอปลิวคลอเคลียแก้มซีดใส ดวงตาแสดงความกังวลอย่างปิดไม่มิด เธอขยับเข้าใกล้ซูกิแล้วเอียงคออ้อนแบบเด็ก ๆ 


“นะนะ…ไปด้วยกันเถอะ นิดเดียวเอง แค่ส่งเมลไม่เกินห้านาทีฉันสัญญา”


ซูกิถอนหายใจเบา ๆ แต่แววตาคมใต้เรือนผมสีบลอนด์กลับอ่อนลง เธอหยุดก้าว หันไปมองโมนีก้าเต็ม ๆ ดวงตาสีเข้มสะท้อนทั้งความลังเลและความยอมรับ “เธอนี่…เอาแต่ใจจริง ๆ นะ”


โมนีก้ายิ้มกว้างทันทีที่เห็นท่าทางนั้น รีบสอดแขนคล้องแขนซูกิแล้วแกว่งไปมาเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ “แปลว่าไปได้ใช่ไหม เย้!!” เสียงหัวเราะสดใสของเธอดังก้องไปตามทางเดินกลางป่าที่เริ่มเชื่อมเข้าสู่ถนนลูกรัง ซูกิส่ายหัวน้อย ๆ แต่ปากกลับกระตุกยิ้มจาง “ก็ได้…แต่ถ้าเกิดเรื่อง ฉันจะลากเธอออกมาก่อนทันที เข้าใจไหม”


โมนีก้าพยักหน้าหงึกหงักจนผมปลิวสะบัด “เข้าใจค่า! ว่าแต่…เธอว่าที่ห้องสมุดมีคาเฟ่เล็ก ๆ ไหมนะ ฉันเริ่มอยากกินเค้กละ” เสียงบ่นกึ่งเล่นกึ่งจริงของเธอทำให้บรรยากาศการเดินทางเช้าตรู่เต็มไปด้วยความขบขันและอบอุ่น ทั้งสองเดินเคียงกันต่อไป โดยมีจุดหมายแรกคือ Sonoma County Library ที่กำลังรออยู่ไม่ไกลนัก


เมื่อเดินทางถึง Sonoma County Library ประตูไม้บานใหญ่เปิดออกสู่โถงที่เงียบสงบ กลิ่นกระดาษเก่าเจือปนกับกลิ่นกาแฟอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ โมนีก้าหอบกระเป๋าสะพายสีชมพูใบเล็กติดตัวมากับซูกิ สายตาสีเทาเงินบริสุทธิ์กวาดมองไปรอบ ๆ พลางยิ้มบาง ๆ อย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าภายในแทบไม่มีคนอยู่ นอกจากเจ้าหน้าที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ที่นั่งจัดเอกสารอยู่


“ดีเลย คนน้อย…” เธอกระซิบกับซูกิ ก่อนจะเดินไปตรงเคาน์เตอร์อย่างมั่นใจทั้งที่ในอกยังเต้นแรง ซูกิเหลือบมองตามเธอ สีหน้าครึ่งอึ้งครึ่งระแวดระวัง


โมนีก้าหยุดตรงหน้าเจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคน แล้วยกมือไหว้เล็ก ๆ แบบติดสไตล์คนไทย เธอเอียงคอเล็กน้อยทำสีหน้าอ่อนโยน น้ำเสียงอ้อนวอน “คุณคะ…พอดีโทรศัพท์ของหนูเสีย แล้วหนูเองไม่ใช่คนพื้นที่ เลยลงทะเบียนใช้อีเมลของที่นี่ไม่ได้ หนูมีเรื่องสำคัญมาก อยากฝากคุณช่วยส่งอีเมลให้หน่อยได้ไหมคะ”


เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงเล็กน้อย “เอ่อ…ได้ค่ะ แต่ส่งไปที่ไหนล่ะหนู?” หลังจากนั้นโมนีก้าจึงหยิบกระดาษที่จดชื่อร้านขายยาพร้อมที่อยู่ในเมืองเอแวนส์วิลล์ รัฐอินเดียนา ยื่นไปให้ “ส่งไปที่นี่ค่ะ ร้านขายยาชื่อนี้ บอกเขาว่า ‘ลูกสาวคุณ M. โทรศัพท์พังติดต่อไม่ได้ หากได้รับโทรศัพท์จะติดต่อกลับ’ แค่นี้ก็พอค่ะ” เธอจงใจทำเสียงให้สั่นนิด ๆ คล้ายคนกำลังตกทุกข์ เจ้าหน้าที่เลยพยักหน้ารับด้วยท่าทีเห็นใจทันที


ซูกิที่ยืนกอดอกพิงเสาข้าง ๆ ถึงกับชะงัก เธอมองโมนีก้าแล้วแทบอยากหัวเราะออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะสิ่งที่เห็นคือเพื่อนร่าเริงจอมดื้อของเธอกำลังใช้หัวสมองอย่างจริงจังเนียนเสียจนเหมือนเด็กสาวที่หลงทางและต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ โมนีก้าหันมาทางซูกิ ดวงตาสีเงินเป็นประกายแวววาวแล้วยักคิ้วให้เล็ก ๆ ราวกับจะบอกว่า เห็นไหมล่ะ ฉันก็ฉลาดเป็นเหมือนกันนะ


ซูกิส่ายหัวเบา ๆ พึมพำในลำคอ “เรื่องใหญ่ไม่เคยจริงจัง เรื่องเล็ก ๆ ดันทำเป็นเนียนได้เป็นงานเป็นการ…” แต่สายตากลับมีแววเอ็นดูปนขำจาง ๆ


เจ้าหน้าที่รีบพิมพ์ข้อความตามที่โมนีก้าบอกแล้วกดส่งออกไป “เรียบร้อยแล้วค่ะ หวังว่าทางบ้านจะเข้าใจนะคะ” โมนีก้ายกมือไหว้อีกครั้ง ยิ้มกว้างจนแก้มป่อง “ขอบคุณมากเลยค่ะ! ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือนะคะหนูซาบซึ้งจริง ๆ”


เมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากห้องสมุด แสงแดดแรงของโลกที่ไม่มีกลางคืนส่องต้องร่างทั้งสองอย่างอบอุ่น โมนีก้ายืดตัวอย่างภาคภูมิใจ “เรียบร้อย! พ่อฉันต้องโล่งใจแล้วแน่ ๆ” ซูกิมองเธอด้วยหางตา พลางแสยะยิ้มบาง “โล่งใจแน่ แต่ฉันน่ะสิ ปวดหัวกว่าเดิม…” โมนีก้าแกล้งหัวเราะร่าแล้วเกี่ยวแขนเพื่อนสาวไว้ “เอาน่า อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้บื้อไปซะทุกเรื่องหรอกใช่ไหมล่ะ” ซูกิหลุดหัวเราะในที่สุด


แต่ทว่าโมนีก้าที่กำลังจะเดินออกจากห้องสมุดกลับชะงักกึก เหมือนสมองแล่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอหมุนตัวหันกลับไปทางเจ้าหน้าที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ทันที เสียงหวานสดใสดังขึ้น 


"อ๊ะ! ขอโทษนะคะ ขอถามอีกอย่างค่ะ พวกเรากำลังจะเดินทางเข้าเมือง ไปที่ Larkspur Ferry Terminal น่ะค่ะ อยากรู้ว่ามีบริการแท็กซี่ใกล้ ๆ แถวนี้ไหมคะ? หนูหามานานแล้วไม่เจอเลยค่ะ" เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ยิ้มอ่อน ๆ อย่างเอ็นดู "ถ้าเดินออกไปตรงหัวมุมถนนด้านทิศใต้ จะมีป้ายแท็กซี่จอดประจำค่ะ บางคันก็เข้ามาส่งนักเรียนที่นี่บ่อย พอจอดพักก็รับผู้โดยสารต่อ ลองไปตรงนั้นดูนะคะ" โมนีก้าแทบจะตบมือดีใจ ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์เป็นประกาย "โอ้ ขอบคุณมากเลยค่ะ! ดีจริง ๆ คิดว่าต้องเดินหาให้ทั่วเมืองแล้วเสียอีก" เธอก้มหัวน้อย ๆ แบบมีมารยาทแต่เต็มไปด้วยความสดใสตามสไตล์


ข้าง ๆ ซูกิยืนกอดอกถอนหายใจเบา ๆ พึมพำออกมาเสียงเรียบ "อีกนิดก็คงถามทางไปสนามบินแน่ ๆ" แต่ในใจกลับโล่งขึ้นมากเพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินหลงไปทั่วเมือง โมนีก้าได้ยินเข้าหูพอดีก็แกล้งทำปากยื่นหันมาแยกเขี้ยวใส่เพื่อน "หึ๊ย อย่ามาดักคอสิ! อย่างน้อยฉันก็ยังคิดออกนะยะ"


ซูกิเลิกคิ้วแล้วหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แค่พูดตามจริง…" บรรยากาศระหว่างทั้งสองเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ โมนีก้ากุมแขนซูกิแล้วดึงให้เดินตามตนออกจากห้องสมุด เส้นทางต่อไปคือการหาป้ายแท็กซี่ที่เจ้าหน้าที่บอกไว้ เพื่อมุ่งหน้าสู่ Larkspur Ferry Terminal


เมื่อออกมาจากห้องสมุดเสียงก้าวเท้าของโมนีก้าที่กำลังเดินเคียงคู่ซูกิไปยังป้ายแท็กซี่ชะงักลงกลางทางอย่างกะทันหัน ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์เบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นแววเคร่งเครียด เธอขมวดคิ้วและยกมือขึ้นจับแขนของซูกิแน่น ร่างกายแข็งเกร็งราวกับสัญชาตญาณกำลังเตือนถึงภัยที่ซ่อนอยู่ "เดี๋ยวก่อนซูกิ…" เสียงเธอเบาหวิวแต่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะท้านจากความรู้สึกอันชัดเจน โมนีก้าหันมองรอบตัว เห็นเพียงถนนร้างและลมที่พัดใบไม้ให้ปลิวว่อน ไม่มีแม้แต่เงาของมนุษย์สักคน แต่ความรู้สึกถูกจับจ้องนั้นกลับรุนแรงขึ้นทุกขณะ ราวกับสายตาหลายสิบคู่กำลังซ่อนตัวอยู่หลังม่านอากาศ


เธอรีบกระชากแขนซูกิให้วิ่งออกนอกเส้นทางตรงไปยังลานกว้างที่ปราศจากผู้คน ลานที่เงียบสงัดมีเพียงแสงแดดอาบทาทุกซอกมุม ทำให้ยากต่อการซ่อนตัว แต่กลับเพิ่มความตึงเครียดเข้าไปแทน เพราะที่โล่งยิ่งเผยให้รู้ว่าหากศัตรูโผล่มาจะไม่มีที่ให้หลบ ซูกิที่วิ่งเคียงข้างไม่เสียเวลาเอ่ยถามอะไร เพียงปรายตามองรอบด้านด้วยสัญชาตญาณนักรบ ก่อนเสียงทุ้มต่ำแต่มั่นคงเล็ดลอดออกจากริมฝีปาก 


"จำนวนมาก… ฉันนับไม่ได้เลย แต่รับรู้ได้… กำลังล้อมเราอยู่" 


เมื่อพูดจบซูกิเธอก็ขยับมืออย่างแม่นยำ กราดิอุสของซูกิถูกชักออกมาเป็นดาบไม้เรียวขัดเงาในมือเธอกลายเป็นเส้นสายที่สะท้อนแสงราวกับเปลวเพลิงที่พร้อมจะเผาผลาญศัตรู ดวงตาของซูกิแคบลงเย็นเฉียบแต่ร่างกายตั้งมั่นไม่หวั่นไหว


โมนีก้ากลืนน้ำลายแล้วพยักหน้าช้า ๆ มือเธอก็กำกราดิอุสของตัวเองแน่นเหมือนกัน ใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก แต่สายตาเป็นประกายอย่างแน่วแน่ "อืม…ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน" เธอกระซิบตอบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความพร้อมที่จะเผชิญหน้า อากาศรอบตัวเริ่มอึดอัดอย่างประหลาด ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดเบา ๆ ของกรงเล็บ เสียงฝีเท้าเล็กใหญ่ที่ก้องสะท้อนจากทุกทิศ ทั้งสองสาวยืนหลังพิงกันกลางลาน ราวกับนักรบผู้รอคอยศึกใหญ่ที่กำลังเปิดม่าน


!!!!!?


และทันทีที่สายลมคราวนี้พัดผ่านพร้อมกับใบไม้ที่ผลิวเสียงแสยะฟันและหัวเราะแหบห้าวดังลั่นรอบลานโล่ง ก่อนที่ร่างพิกลพิการตาโปนขาโก่งของก๊อบลินจะโผล่มาเป็นแถว ๆ ทะลักออกจากพุ่มไม้กับท่อระบายน้ำเก่า เสียงกรงเล็บข่วนพื้นดังแกรก ๆ ทำเอาอากาศหนาวเย็นลงอย่างน่าประหลาด โมนีก้าเบิกตากว้าง แต่เพราะเสียงกระซิบแห่งพงไพรแว่วเข้ามาในหัว เธอสูดลมหายใจลึกแล้วหันไปบอกเพื่อนสาว "มี 32 ตัว!! หัวหน้า 1 รองหัวหน้า 1 ที่เหลือลูกกระจอกอีกสามสิบ!" ทันทีที่พูดจบ พวกมันก็กู่ร้องโหยหวนวิ่งเข้ามาเป็นฝูง ราวกับคลื่นทะเลสาดซัดเข้าหาผืนทราย ดินใต้เท้าสั่นสะเทือน โมนีก้าดึงกราดิอุสขึ้นสูงกัดฟันพลางสบถ 


"เวรเอ๊ยยยย! พวกมันจะมากันเยอะขนาดนี้ทำห่าอะไร๊!!!" เสียงของเธอดังก้องปนโกรธเกรี้ยว แววตาสีเทาเงินเปล่งประกายราวกับจะฝืนโชคชะตาทั้งหมดด้วยกำลังใจของตัวเอง


ซูกิที่ยืนข้างหลังไม่พูดพร่ำทำแค่สะบัดกราดิอุสออกไปตรง ๆ จังหวะแรกก๊อบลินตัวที่วิ่งนำถูกเฉือนล้มทันที เลือดสีทองกระจายกลางอากาศ ร่างของเธอเต็มไปด้วยสมาธิ เย็นเยียบ มั่นคงราวกับนักรบที่ถูกฝึกมาชั่วชีวิต ต่างกับโมนีก้าที่ด่าไม่หยุดตั้งแต่เริ่มเพราะในใจหมายคิดว่ามันจะแค่การทดสอบอะไร ขอที่ไม่ใช่การต่อสู้บ้างไม่มีหรอ!!! 


"บัดซบ! แกอย่ามาโดดข้างหลังนะโว้ย! ซูกิ!! ข้างซ้าย ๆๆ!!" เสียงดาบฟาดฟันปะทะกับกระดูกหนา ๆ ของก๊อบลินดังฉับ ฉับ ฉับ กรีดอากาศผสมกับเสียงโวยวายของโมนีก้าที่ไม่ยอมเงียบแม้แต่วินาที "ส้นตีน! พวกแกเตี้ยแล้วยังจะกล้ากัดฉันอีกเรอะ! ไปตายซะ เจ้าพวกขี้เรื้อนนนนน!!!" เธอฟันฉับลงกลางหัวก๊อบลินอีกตัวเลือดทองสาดเลอะพื้นหิน ฝูงก๊อบลินแผ่กว้างออกเป็นวงล้อม แต่แทนที่สองสาวจะถอยพวกเธอกลับยืนแนบหลังสู้หลัง กราดิอุสสองเล่มส่องประกายกลางแสงแดด 24 ชั่วโมง


 "ซูกิ!" โมนีก้าตะโกน ทั้งยังหัวเราะหอบ "วันนี้พวกมันได้เจอฉันเวลาหงุดหงิดแล้ว!!!" หลังคำพูดบ่นเสียงปะทะก้องไปทั่วลาน ราวกับสนามรบเล็ก ๆ ถูกกางขึ้นตรงนั้น ดวงตาของโมนีก้าแม้เต็มไปด้วยความหงุดหงิด แต่ลึก ๆ ก็ลุกโชนด้วยความมุ่งมั่นไม่แพ้เพื่อนคู่หูของเธอเลย


เสียงกราดิอุสฟาดฟันดังสนั่นไปทั่วลานโล่ง ทุกการฟาดลงคือประกายทองที่สาดกระจาย เมื่อก๊อบลินถูกแทง ท้องฟ้าเหนือหัวที่สว่างโร่ยิ่งทำให้เลือดทองระยิบระยับราวกับเศษดาวที่แตกกระจาย พวกมันกรีดร้องทีละตัว ก่อนสลายหายไปเหมือนฝันร้ายที่ถูกฉีกทิ้ง โมนีก้าแม้หอบจนอกกระเพื่อม แต่แววตาสีเทาเงินยังไม่ยอมแพ้ เธอฟันก๊อบลินไปพลางสบถไปพลาง "แม่ง!! มาเดินหากู๊ดแท็กซี่! ไม่ใช่มารบโว้ยยย!!! พวแกไปตายซะ!!" ดาบในมือเธอฟาดลงอีกครั้ง เสียงเนื้อแตกดังแฉะ ร่างอัปลักษณ์ทรุดฮวบลงก่อนจะกลายเป็นละอองทองลอยหาย


ซูกิยืนมั่นคงเหมือนเงาเย็น ดาบในมือเธอคมกริบไร้ความลังเล ทุกท่วงท่าที่สะบัดออกไปทำให้ก๊อบลินร่วงอย่างแม่นยำไม่เปลืองแรงสักนิด ราวกับคำนวณทุกจังหวะไว้หมดแล้ว เธอเหลือบตามองโมนีก้าที่บ้าดีเดือดอยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยสั้น ๆ 


"โวยวายให้น้อยกว่านี้สิ จะได้ไม่เหนื่อยเกิน"


"ไม่เหนื่อยหรอก!!" โมนีก้าตะโกนกลับทั้งที่เหงื่อท่วมหน้าผาก ก่อนจะฟันอีกดาบใส่ตัวหนึ่งที่พุ่งมา "โอ๊ยยย! ตายไปอีกตัวแล้ว! เหลือกี่ตัวแล้ววะ!!" เธอกวาดตามอง "ยี่สิบ…สิบห้า…สิบสอง!!"


จำนวนก๊อบลินค่อย ๆ ลดลง ฝูงที่เคยเป็นคลื่นมหึมาก็เริ่มแตกกระจาย ซูกิใช้ดาบแทงสวนเข้าหน้าอกอีกตัวแบบเฉียบคม เลือดทองสาดใส่ปลายคางของเธอ แต่เจ้าตัวไม่ขยับหนีแม้แต่นิด ร่างนั้นสลายไปทันทีเหลือเพียงไออุ่นในอากาศ โมนีก้าที่หอบหายใจแรงเริ่มกัดฟัน ยกดาบขึ้นแม้แขนสั่น "ฉันยังไม่ตายโว้ย!! จะมากี่ตัวก็จะส่งกลับหาไปญาติในนรกให้หมด!!!" เสียงประกาศกร้าวสะท้อนทั่วลาน เหมือนคำสาบานว่าเธอไม่มีวันยอมล้มลงตรงนี้เด็ดขาด 


หลังจากนั้นไม่นานฝูงก๊อบลินก็สลายหายไปหมดเพราะโดนทั้งโมนีก้าและซูกิจัดการ โมนีก้าที่หอบก็เหลือบมองไปรอบ ๆ เธอทรุดตัวนั่งลงกับพื้นหญ้า หอบแรงจนไหล่กระเพื่อม ผมสีม่วงครามที่รวบลวก ๆ หลุดรุ่ยลงมาเกะกะหน้า เธอใช้มือปัดเช็ดเหงื่อออกพลางบ่น “โอ้ยยย…ฉันจะเป็นลมแล้วนะ…มันอะไรนักหนาเนี้ย จะไปห้องสมุด จะหารถแท็กซี่ ไม่ได้จะมาสู้กับก๊อบลิน 30 กว่าตัวอย่างกับสงครามมมม…”


ซูกิยืนเท้าเอวอยู่ไม่ไกล หอบเหมือนกันแต่ยังคุมสีหน้าได้ เธอเหลือบตามองโมนีก้าที่แทบจะนอนแผ่กับพื้นแล้วถอนหายใจ “งั้นพักก่อน เดี๋ยวถ้าไปต่อแบบนี้จะล้มกันหมด” เสียงทุ้มเย็น ๆ แต่แฝงความเป็นห่วงทำให้โมนีก้าเงยหน้ามองแล้วพยักหน้ารัว “พัก ๆๆๆ ใครไม่พักฉันพัก!”


ไม่นานนัก ซูกิก็พยุงโมนีก้าให้เลื่อนไปนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ ทิ้งให้เธอหอบอยู่คนเดียวก่อนจะเดินหายไปเงียบ ๆ โมนีก้าทำหน้างง “หายไปไหนอีกวะเนี้ย…อย่าทิ้งฉันนะซูกิ๊~~” เสียงลากยาวแบบงอน ๆ ก่อนจะเอนหลังพิงต้นไม้หลับตาลงสักพักให้หัวใจเต้นสงบลง แล้วเสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้น ซูกิเดินกลับมาพร้อมกับอะไรบางอย่างในมือเป็นกระป๋องโค้กสีแดงเย็นเจี๊ยบ มีหยดน้ำเกาะราวกับเพิ่งออกจากตู้เย็น เธอยื่นมาเงียบ ๆ ให้โมนีก้าเหมือนเรื่องเล็กน้อย “เอ้า…ดื่มซะ จะได้มีแรง”


โมนีก้าตาโตเป็นประกายทันที “โอโหหหหห ซูกิ๊!!! นี่มันของศักดิ์สิทธิ์ในตำนานนนน!!” เธอรีบคว้าไป กอดกระป๋องไว้เหมือนเจอของรักแล้วกระดกซวบแรก มือเล็กจับกระป๋องมาแนบแก้มให้ความเย็นซึมเข้าผิวก่อนจะเปิดฝา ซ๊าาาาา เสียงดังเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมกับฟองซ่า ไม่นานรสซ่าหวานเย็นวิ่งลงคอทำเอาเธอตาเคลิ้ม “อ๊าาาาาา…สวรรค์มีจริงงงงง” 


โมนีก้ายกขึ้นดื่มรวดเดียวจนคอเปียก ลมหายใจหอบเมื่อครู่กลายเป็นเสียงครางเบา ๆ อย่างฟิน “อ๊าาาา โคตรสดชื่นนนน! อย่างกับกับได้พลังชีวิตคืนมาเลยง่ะ!”


ซูกิยืนกอดอกมองแล้วส่ายหน้าเบา ๆ แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบาง ๆ “เหนื่อยแทบตาย ดาบก็แทบหัก แต่โค้กกระป๋องเดียวทำให้ยิ้มได้… เธอนี่มันประหลาดจริง ๆ”


ซูกิกลั้นหัวเราะไว้แทบไม่อยู่ ส่ายหน้าเบา ๆ “โอเวอร์ทุกเรื่องจริง ๆ เลยนะเธอ…” แต่ดวงตาก็อ่อนลง เหมือนจะยินดีที่ได้เห็นเพื่อนมีความสุขหลังผ่านศึกหนัก โมนีก้าเช็ดปากหันมายิ้มแฉ่งทั้งที่เหงื่อยังท่วม “ขอบคุณนะซูกิ ถ้าไม่มีเธอ ฉันตายไปแล้วแน่ ๆ…ทั้งสู้ ทั้งโค้ก…นี่แหละเพื่อนแท้!” แล้วก็หัวเราะเสียงดังพลางยกกระป๋องขึ้นชนกับอากาศเหมือนกำลังฉลองชัย เมื่อเห็นแบบนั้นซูกิหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เธอ เอาหลังพิงต้นไม้ใหญ่ เสียงใบไม้ไหวตามแรงลมพัดคลอไปกับเสียงหอบหายใจที่ค่อย ๆ เบาลงของทั้งคู่ โมนีก้าดื่มไปพลางก็แอบเอียงตัวไปซบหัวไหล่ซูกิเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวเหมือนร่างกายที่เหนื่อยอ่อนแค่หาที่พักพิง


“ซูกิ…ถ้าไม่มีเธอ ฉันคงจะได้ตายก่อนที่จะได้ดื่มโค้กเย็น ๆ แบบนี้แน่” โมนีก้าพูดย้ำอีกครั้งเสียงเธอเบาจนเหมือนกำลังพึมพำกับสายลม แต่ความจริงพูดให้คนข้าง ๆ ได้ยินชัดเจน


ซูกิเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้ผมสีม่วงครามของโมนีก้าเบา ๆ “พักซะ เดี๋ยวค่อยไปต่อ…ฉันจะอยู่ตรงนี้เอง ไม่ต้องห่วง”


หลังจากทั้งสองนั่งพักกันประมาณ 10 - 20 นาที ก็ลุกขึ้น แต่ทว่าซูกิต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นโมนีก้าเอาแต่บ่นไม่หยุด ทั้งน้ำเสียงออดอ้อนทั้งใบหน้าที่ทำแก้มป่องเหมือนเด็กน้อยที่ไม่อยากไปโรงเรียน “โมนีก้า ลุกได้แล้ว เราต้องไปหาแท็กซี่นะ” น้ำเสียงเข้มแต่แฝงความอ่อนโยนดังขึ้น แต่แทนที่โมนีก้าจะลุก เธอกลับทิ้งตัวพิงต้นไม้ กอดกระป๋องโค้กเปล่าไว้แน่นแล้วส่ายหน้า “ไม่อ่ะ เหนื่อยยยยย จะพักตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น!” ดวงตาสีเทาเงินมองขึ้นมาอย่างดื้อ ๆ ราวกับกำลังท้าทายให้ซูกิทำอะไรสักอย่าง


ซูกิเม้มปากแน่น ก่อนจะพึมพำเบา ๆ “เธอนี่มันจริง ๆ เลยนะ…” จากนั้นไม่รอให้โมนีก้าตั้งตัว สาวทอมบอยก็โน้มตัวลงจับแขนเล็ก ๆ ของเพื่อนร่างบางแล้วอุ้มขึ้นมาอย่างง่ายดาย ราวกับกำลังหิ้วแมวดื้อที่กำลังโวยวาย โมนีก้ายังไม่ทันจะตั้งหลักดีนักร่างบางก็ถูกแขนแข็งแรงของซูกิสอดเข้ามาใต้รักแร้แล้วช้อนขึ้นเหมือนหิ้วแมวตัวโตที่ไม่อยากไปไหน เสียงร้องโวยวายลั่นดังขึ้นทันที 


“เห้ยยยย! ซูกิ ปล่อยฉันลงนะเว้ยยย! ฉันเดินเองก็ได้! อ๊าา อย่าจับตรงนั้นนนน เดี๋ยวผมยุ่งหมดดด!”


ดวงตาสีเทาเงินของเธอเบิกกว้าง มือเล็กทั้งสองฟาดอากาศพัลวันเหมือนจะดิ้นให้หลุด แต่แรงของซูกิที่ผ่านการฝึกมาเข้มข้นทุกวันกลับแน่นและมั่นคงยิ่งกว่าเหล็กกล้า เดินดุ่ม ๆ ไปข้างหน้าพร้อมโมนีก้าที่ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในอ้อมแขน “หยุดดิ้นได้แล้วโมนีก้า เงียบหน่อยเถอะ เดี๋ยวคนแถวนี้คิดว่าฉันลักพาตัวใครอยู่” ซูกิถอนหายใจเฮือกใหญ่แต่ยังคงน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าเธอยังเอาแต่งอแง ไม่ถึงป้ายแท็กซี่สักทีหรอก” ซูกิพูดพลางขยับอุ้มแบบสบาย ๆ เหมือนไม่ได้ลำบากอะไรเลย น้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูปนปวดหัว


“ฉันไม่งอแงซะหน่อย! แค่พักยังไม่ครบโควต้านี่นา! ซูกิใจร้ายที่สุด!” โมนีก้าทำปากยื่น ตาเอ่อด้วยความขุ่นเคืองแบบเด็กโดนแกล้ง แต่พอหันมองด้านข้างแล้วเห็นว่าซูกิกำลังอุ้มเธออย่างมั่นคงเหมือนกับไม่มีอะไรหนักเลย ความเขินก็ค่อย ๆ แทรกเข้ามาในอก คนถูกอุ้มจ้องแก้มซูกิใกล้ ๆ แล้วบ่นเสียงอู้อี้ “ถ้าไม่ใช่เพื่อนนะ ฉันจับทำผัวไปแล้วจริง ๆ ให้ตายสิ…”


ซูกิชะงักนิดเดียวตอนได้ยินหูแดงวาบแต่ทำเป็นไม่สนใจ แค่กระชับแขนให้มั่นแล้วก้าวยาว ๆ ต่อไปเหมือนไม่ได้ยินอะไร ทว่ามุมปากกลับกระตุกขึ้นน้อย ๆ แบบไม่อาจห้ามได้ ซูกิเพียงแค่กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ท่ามกลางแสงแดดที่ยังสว่างจ้าเหมือนกลางวันตลอดเวลา เหมือนทุกย่างก้าวมีทั้งเสียงโวยวาย ขี้บ่น และเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ที่ค่อย ๆ ทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองอบอุ่นอย่างประหลาด ทิวทัศน์รอบข้างค่อย ๆ เปิดออกจากป่ามาเป็นถนนลูกรังที่นำไปสู่จุดรอแท็กซี่ 


แสงแดดตลอด 24 ชั่วโมงส่องลงบนเงาทั้งสองที่ทอดยาวไปตามทาง เงาของสาวทอมบอยผู้แข็งแรง และเงาของเด็กสาวผมม่วงที่ยังดิ้นงอแงเหมือนแมว แต่หัวใจกลับเต้นแรงเพราะรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



[ปักตะไคร้]


อื่น ๆ : มีค่า LUK 50 หน่วย ดรอปดาบก๊อบลินเพิ่ม 1 ชิ้น

จัดการก๊อบลินไปทั้งหมด 31 ตัว = 31 ชิ้น

(นับแบบนี้ไหมคะ? ไม่มั่นใจ หรือได้แค่ 1 เท่านั้น)


รางวัล : ดาบก๊อบลิน

แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
God
ดี: 5
  โพสต์ 2025-9-6 19:07
โพสต์ 90579 ไบต์และได้รับ 72 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-6 05:29
โพสต์ 90,579 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-9-6 05:29
โพสต์ 90,579 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 เกียรติยศ จาก เกมคอนโซลพกพา  โพสต์ 2025-9-6 05:29
โพสต์ 90,579 ไบต์และได้รับ +7 EXP +7 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก กล่องดนตรี  โพสต์ 2025-9-6 05:29
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-6 18:18:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด
sigil
บันทึกการเดินทาง From Lupa’s Kick to Jupiter’s Gates
วันที่ 05 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงสายถึงเที่ยง เวลา 09.00 - 13.00 น. ออกเดินทางจาก Sonoma County Library เพื่อไปที่ Larkspur Ferry Terminal รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
Part. 1

ระหว่างทางการเดินทางไปท่ารถแท็คซี่ไม่มีการว่างเว้นเสียงโวยวายของโมนีก้าดังไม่หยุดเมื่อถูกซูกิอุ้มพามายังท่ารถแท็กซี่ พอถึงที่เธอรีบตะโกนลั่น “พอได้แล้ว ปล่อยยยย!” ซูกิถอนหายใจแรง ๆ แล้วทำตามคำพูดนั้นทันที ปล่อยลงแบบไม่ออมแรง “ตุ๊บ!” ก้นของโมนีก้ากระแทกพื้นจนสะดุ้งตาโต “โอ๊ยยย! ก้นฉันแทบหักแล้วนะ!” เธอตะโกนเสียงดังพร้อมทำหน้าบูดบึ้งสุดฤทธิ์ แต่ไม่ทันไรโมนีก้าก็ลุกพรวด วิ่งกระโดดเกาะหลังซูกิเหมือนแมวแสบที่ไม่ยอมเลิกรา “เอาคืนบ้างละนะ!” มือเล็ก ๆ ขยี้หัวทอมบอยเต็มแรง ทำเอาผมซูกิยุ่งเป็นรังนก


“เฮ้ย! หยุดนะโมนีก้า!” ซูกิพยายามแกะตัวเพื่อนออก แต่โมนีก้าก็หัวเราะคิกคัก ขยี้หัวแรงขึ้นเรื่อย ๆ “นี่แหละโทษฐานปล่อยฉันตกก้นจ้ำเบ้า!” คนรอแท็กซี่ที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างหันมามองเป็นสายตาเดียว บางคนแอบยิ้มกับภาพสองสาวที่เล่นกันเหมือนเด็กนักเรียนมัธยมต้นไม่มีผิด ขณะที่โมนีก้าเองก็ยิ่งได้ใจ ขยับมือทำผมซูกิให้ฟูจนแทบกลายเป็นเฮดจ์ฮ็อก


  “โมนีก้า! ถ้าไม่หยุดนะ ฉันจะอุ้มเธอไปโยนใส่แท็กซี่จริง ๆ ด้วย” ซูกิขู่เสียงเข้ม แต่โมนีก้าก็ยื่นหน้าออกมาข้างไหล่แล้วแลบลิ้นใส่ “แล้วยังไงล่ะ~ ใครจะห้ามฉันได้!” บรรยากาศระหว่างรอแท็กซี่จึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงโวยวายและความอบอุ่นแบบเพื่อนสนิท เสียงหัวเราะใส ๆ ของโมนีก้ายังคงดังสะท้อนอยู่ในลานรอรถ แต่ก็ถูกหยุดลงเมื่อซูกิเอามือดันตัวเธอออกไปนิดหนึ่งเพราะเธอตัวเล็กกว่า แรงดันแค่นั้นก็ทำให้โมนีก้าถอยหลังไปหนึ่งก้าวเหมือนลูกแมวโดนปัดออกจากอกเจ้าของ


ซูกิยกมือเสยผมให้เข้าที่ แล้วจัดแว่นกันแดดสีเข้มบนใบหน้าตัวเอง พูดด้วยเสียงนิ่ง “พอเลย ๆ เล่นพอแล้ว ไปถามแท็กซี่กันดีกว่า ว่าคันไหนจะไป Larkspur Ferry Terminal ได้บ้าง” โมนีก้าชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเบ้ปากใส่เพื่อนเสียงดังชัด “หึ ทำเป็นจริงจังไปได้!” เธอกอดอกเชิดคอเหมือนจะไม่ยอมง่าย ๆ สายตาก็ยังคงมองซูกิแบบหมั่นไส้


ซูกิถอนหายใจเบา ๆ แต่เสียงเรียบนิ่งนั้นกลับแฝงด้วยน้ำหนักจนโมนีก้าต้องหยุดเถียง “จะถึงเร็ว ๆ หรือจะถึงช้า เลือกเอา”


โมนีก้าถูกตอกจนเงียบกริบไปชั่วขณะก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง “ก็ได้ ๆ! ไปถามเลยสิ ไป๊!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความงอแง แต่สายตาที่แอบมองตามแผ่นหลังกว้างของซูกิก็มีแววขำ ๆ ละมุนใจ เธอยังคงยืนกอดอกเชิดคอ ทำเป็นไม่สนใจ ขณะที่ปล่อยให้ซูกิก้าวตรงไปหาคนขับแท็กซี่ที่จอดเรียงรายอยู่ริมถนน ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องจ้าไม่มีวันดับของโลกใบนี้


ไม่นานเสียงรองเท้าของซูกิดังกึกก้องเบา ๆ บนพื้นคอนกรีตเมื่อเธอก้าวตรงไปยังแถวแท็กซี่ที่จอดเรียงรายอยู่ข้างลานกว้าง ท่าทางมั่นใจและจริงจังราวกับทหารตรวจแนวรบในสนามศึก ต่างจากโมนีก้าที่พองแก้มงอนตุ๊บป่อง ยืนกอดอกเชิดคออยู่ข้างหลัง แต่สายตากลมโตสีเทาเงินก็ยังคอยเหลือบมองตามเพื่อนสาวอย่างแอบอยากรู้อยากเห็น ซูกิสอบถามทีละคัน แต่เสียงตอบกลับจากคนขับก็แทบจะเหมือนกันหมด 


“มีคนจองแล้วครับ”

“ต้องรออีกหน่อย” 


จนโมนีก้าเริ่มถอนหายใจแรง ๆ อยู่ด้านหลัง กระแทกเท้ากับพื้นดังปังอย่างเด็กดื้อ ทำเอาคนผ่านไปมาบางคนแอบหันมามอง แต่แล้วเสียงเครื่องยนต์จากแท็กซี่คันสีเหลืองคันใหม่ที่พึ่งขับเข้ามาก็ดึงความสนใจของทั้งคู่ทันที ซูกิรีบก้าวไปถามและในที่สุดคนขับชายวัยกลางคนท่าทางใจดีก็พยักหน้าตอบรับ “ได้เลย ขึ้นมาเถอะหนู ไป Larkspur Ferry Terminal ใช่ไหม?” คำตอบนั้นทำให้บรรยากาศที่อึน ๆ คลายลงทันที โมนีก้าที่แอบฟังอยู่ข้างหลังถึงกับเผลอหรี่ตาลงแล้วยิ้มบาง ๆ เหมือนจะดีใจ แต่ก็ยังคงทำท่าทีงอนอยู่เหมือนเดิม พอซูกิหันกลับมาเธอก็รีบเชิดหน้าทำเป็นไม่สนใจทันที


ซูกิไม่พูดพร่ำอะไร เธอก้าวมาหยุดตรงหน้าโมนีก้า ก่อนเอื้อมมือคว้าข้อมือเล็กแล้วลากเบา ๆ ให้เดินตาม “ไปได้แล้วคุณหนูขี้บ่น” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงความดุ ทำเอาโมนีก้าที่โวยวายมาตลอดทางหน้าขึ้นสีแดงจัด


“ฉันเดินเองได้ย่ะ!” เธอโวยวายออกมาแต่ก็ยังยอมให้ซูกิลากขึ้นรถแท็กซี่อย่างง่าย ๆ ในที่สุด พอประตูปิดลงเสียงดังปัง รถก็เคลื่อนออกจากลานช้า ๆ ทิ้งแสงแดดจ้า 24 ชั่วโมงไว้เบื้องหลัง


โมนีก้าทรุดตัวลงกับเบาะรถ พลางทำแก้มป่อง ๆ อยู่ต่อ แต่สายตาสีเงินบริสุทธิ์กลับสะท้อนความโล่งใจที่ในที่สุดพวกเธอก็หารถได้เสียที ส่วนซูกิก็นั่งลงข้าง ๆ พลางถอนหายใจยาว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังแอบขำเพื่อนสาวที่งอแงราวกับเด็กน้อย แต่กลับเดินทางมุ่งหน้าสู่เส้นทางใหม่อย่างกล้าหาญในเวลาเดียวกัน


บรรยากาศในรถแท็กซี่คันสีเหลืองที่แล่นออกจากตัวเมืองโซโนมาไปตามถนนสายกว้างเงียบสงบ กลายเป็นเหมือนฉากหนังสบาย ๆ อย่างน่าประหลาด คนขับแท็กซี่หันมาทักด้วยรอยยิ้มกว้าง เสียงทุ้มอบอุ่นถามว่า “ไป Larkspur Ferry Terminal ใช่ไหม? เด็ก ๆ ดูเหมือนจะมาจากค่ายหรือโรงเรียนฝึกอะไรสักอย่างเลยนะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นกันเองที่ทำให้รถทั้งคันดูผ่อนคลายขึ้นทันตา โมนีก้าอมยิ้ม หันไปตอบสั้น ๆ แบบขี้เล่น “ก็คล้าย ๆ แบบนั้นค่ะ” แล้วหันไปหาซูกิที่นั่งนิ่งเหมือนกำลังคุมสีหน้าไม่ให้แสดงอะไรออกมา แต่แววตาคมกริบใต้กรอบแว่นกลับยังคงจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวรอบรถอยู่เงียบ ๆ


ไม่นานนัก คนขับก็เอื้อมไปเปิดวิทยุเสียงบีทจังหวะดนตรีดังขึ้นมา โมนีก้าที่กำลังเหม่ออยู่ในทันทีดวงตาสีเงินบริสุทธิ์ก็วาววับขึ้นมาราวกับเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ “โอ้ว! เพลงนี้มัน…” เธอรีบเอื้อมตัวไปข้างหน้าแทบจะพาดเบาะคนขับ “ขอเปิด SexyBack ของ Justin Timberlake ได้ไหมคะะะะ!!” เสียงสดใสเกินจะห้าม คนขับหัวเราะแล้วกดเปลี่ยนช่องตามที่เธอบอก ทันทีที่ท่อนแรกดังขึ้น โมนีก้าก็โยกหัวตามจังหวะฮัมเนื้อร้องเบา ๆ อย่างเพลิดเพลิน ราวกับลืมไปเลยว่าเมื่อกี้ยังนั่งงอแงอยู่


ซูกิปรายตามองเพื่อนสาวแล้วส่ายหัวอย่างปลง ๆ ก่อนเอ่ยแซวเสียงเรียบแต่ชัดเจน “จริงดิ? เพลงนี้น่ะนะ? รสนิยมเธอนี่มัน…คลาสสิกปนป่วงสุด ๆ” น้ำเสียงเหมือนจะบ่น แต่หางเสียงกลับมีความขำเจืออยู่


“อะไร๊! SexyBack มันเพราะจะตาย ไม่ได้ป่วงนะยะ! เพลงเซ็กซี่สำหรับคนเซ็กซี่ไง” โมนีก้าหันมาเถียงทันควันพร้อมทำแก้มป่อง ดวงตาเปล่งประกายตบมือเบา ๆ ตามจังหวะเพลง ซูกิกลั้นหัวเราะไม่อยู่ หลุดยิ้มกว้างออกมา “โอเค ๆ เอาที่เธอชอบก็แล้วกัน แต่อย่าร้องตามดังจนคนขับหูดับก็พอ” โมนีก้ายิ่งได้ทีก็ทำเป็นร้องท่อนฮุคเบา ๆ พร้อมโยกตัวนิด ๆ บนเบาะเหมือนคนกำลังอยู่ในคอนเสิร์ตย่อม ๆ คนขับหัวเราะชอบใจ เธอเองก็สนุกเต็มที่ ส่วนซูกิถึงจะทำหน้าเหมือนไม่สน แต่ในใจกลับแอบโล่งอกที่เห็นเพื่อนยังยิ้มได้ แม้การเดินทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน


เสียงเครื่องยนต์ของแท็กซี่ก้องกังวานเป็นจังหวะสม่ำเสมอขณะรถเคลื่อนไปตามทางลาดยาวของหุบเขา ถนนเริ่มเบาบางจากผู้คนและรถคันอื่น ๆ แสงแดดที่เจิดจ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสาดลงมาบนผิวถนนให้ดูเหมือนสีเงินวับวาวตัดกับเงาต้นไม้สูงใหญ่สองข้างทางที่เริ่มหนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ


โมนีก้านั่งเอนตัวไปข้างหน้าคุยกับคนขับอย่างออกรส ดวงตาเทาเงินของเธอเป็นประกายทุกครั้งที่เจอนกตัวแปลกบินผ่านหรือเมื่อเห็นผืนป่าเขียวเข้มแทรกตัวระหว่างโขดหิน “ว้าววว ตรงนั้นเหมือนนกเหยี่ยวเลยใช่ไหมคะ? ปีกมันสวยมาก! …อ๊ะ คุณลุงขับรถอยู่แถวนี้บ่อย ๆ ต้องเคยเห็นอะไรเจ๋ง ๆ เยอะเลยแน่” เธอถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จนคนขับหัวเราะแล้วเล่าเรื่องชาวบ้านเจอหมีกับกวางแถวนี้อยู่บ่อย ๆ 


ขณะที่โมนีก้าเอียงตัวไปติดกระจกมองออกนอกหน้าต่างอย่างเพลิดเพลิน ปากก็ถามไม่หยุด รอยยิ้มสดใสจนคนขับพลอยคุยไปด้วยอย่างสนุก ซูกิที่นั่งข้าง ๆ กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม เธอไม่ใช่คนชอบพูดมากอยู่แล้ว แถมตอนนี้สายตาคมคอยกวาดไปรอบ ๆ ตลอดเวลา ทุกครั้งที่รถเลี้ยวเข้าสู่ทางโค้งที่ต้นไม้หนาแน่น เธอก็จะขยับตัวเล็กน้อยจับกราดิอุสแน่นขึ้นราวกับสัญชาตญาณกำลังเตือน เสียงหัวเราะใส ๆ ของโมนีก้ากับคนขับตัดกับบรรยากาศเงียบสงัดนอกตัวรถที่มีเพียงเสียงนกร้องประปรายและลมพัดใบไม้ เส้นทางเริ่มเปลี่ยนจากถนนเมืองกว้าง ๆ กลายเป็นถนนคดเคี้ยวที่มีเงาป่าทึบทอดยาวเป็นฉากหลัง ความตื่นตัวของซูกิชัดเจนยิ่งขึ้น เธอมองออกไปยังความเงียบที่ผิดปกติ พลางคิดว่า…เส้นทางนี้อาจไม่ธรรมดาเหมือนที่เห็นก็ได้


ระหว่างทางอยู่ ๆ เสียงล้อเสียดถนนดังครืด ๆ จนทั้งคันรถส่ายไปมา ทำให้โมนีก้าที่กำลังหัวเราะอยู่เงียบลงทันที ใบหน้าของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ ดวงตาสีเทาเงินหันไปมองซูกิที่กำลังจับพนักเบาะไว้แน่น “อะ อะไรอ่ะ!?” เธอร้องถามเสียงสูง คนขับแท็กซี่สีหน้าตื่นเล็กน้อย พยายามประคองพวงมาลัยให้รถชิดขอบถนน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจแรง ๆ แล้วบอกเสียงหนัก “ขอโทษนะเด็ก ๆ เหมือนยางแตกเมื่อกี้หรือเปล่าไม่แน่ใจ เดี๋ยวขอลงไปดูหน่อยนะ”


โมนีก้ารีบพยักหน้าแรง ๆ “ค่ะ ๆ เมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงดังปังเลย!” ส่วนซูกิก็เพียงตอบสั้น ๆ แต่สายตาคมเข้มจ้องออกไปนอกกระจกอย่างระแวดระวัง “ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน”


รถหยุดที่ไหล่ทางซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตะคุ่ม ๆ ลมพัดใบไม้ไหวกราว บรรยากาศเงียบจนได้ยินเพียงเสียงจักจั่นกับเสียงเครื่องยนต์ดับลง คนขับแท็กซี่หยิบไฟฉายออกจากประตูแล้วก้มลงสำรวจล้อหลัง เสียงเคาะโลหะเบา ๆ ดังขึ้นตามจังหวะมือเขาที่ตรวจ ซูกิไม่ยอมอยู่นิ่ง เธอผลักประตูฝั่งตัวเองแล้วก้าวลงมาพร้อมกราดิอุสที่เหน็บไว้ด้านหลังแต่คนขับไม่น่าจะเห็นละมั้ง? น่าจะโดนบังอยู่ ความเคยชินทำให้เธอคอยระแวดระวังรอบป่า เธอกวาดสายตาไปรอบ ๆ ทางโค้งที่รถผ่านเมื่อครู่ เงามืดของป่าลึกทำให้เธอไม่ไว้ใจเอาเสียเลย


โมนีก้าซึ่งนั่งอยู่ในรถชะโงกหน้าออกไปมองตามทั้งสองคน สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เป็นยังไงบ้างคะ? แตกจริงหรือเปล่า?” เสียงสดใสเอ่ยถาม แต่ดวงตาเธอเป็นประกายเหมือนกำลังมองหาอะไรสนุก ๆ คนขับเงยหน้าขึ้นพร้อมถอนหายใจอีกครั้ง “อืม แตกจริง ๆ เดี๋ยวคงต้องเปลี่ยนยางสำรอง…โชคดีที่ยังพอมีอยู่หลังรถ” เขาพูดพร้อมจะลุกไปเปิดกระโปรงหลัง แต่ซูกิขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เธอไม่ได้ห่วงแค่เรื่องยางสัญชาตญาณกำลังบอกเธอว่า บางอย่างในป่ารอบ ๆ นี่ ไม่ได้เงียบไปทั้งหมดอย่างที่ควร


ซูกิขยับก้มตัวลงเล็กน้อยดวงตาคมกริบกวาดผ่านลายเส้นที่ยางด้านข้างมันไม่ใช่การสึกหรอ ไม่ใช่หินแหลมทิ่ม แต่เหมือนรอยมีดกรีดทแยงชัดเจนหรือรอยจากกระสุนเล็ก ๆ ตรงนั้น?? หืม?  สายตาของเธอแข็งขึ้นทันที แต่ยังคงทำเสียงเรียบขรึมถามคนขับ “ยางฉีกเป็นรอยยาวเลยนะคะ…เจอแบบนี้บ่อยเหรอ?”


คนขับแท็กซี่หัวเราะเบา ๆ เพื่อตอบแต่แฝงความเกร็ง “ก็…ถนนป่าแบบนี้ เจอบ้างแหละหนู ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวลุงจัดการเอง” เขาเดินไปที่ท้ายรถเตรียมจะเปิดกระโปรงหลัง


ในเวลาเดียวกัน โมนีก้าที่นั่งอยู่ด้านในกลับรู้สึกเหมือนหัวใจเธอถูกบีบรัด เสียงกระซิบเบา ๆ แผ่วผ่านเข้ามาในหู ไม่ใช่เสียงใครที่อยู่ตรงนี้ แต่เป็นเสียงของพงไพร เสียงลมที่พัดผ่านกิ่งไม้ดังเหมือนถ้อยคำที่แปลได้ชัดเจน อย่าไว้ใจ…อย่าไว้ใจคนเขา…


ดวงตาสีเทาเงินของโมนีก้าเบิกกว้างทันที ความร้อนวูบวิ่งผ่านแผ่นหลังเธอพยายามกลืนลมหายใจไม่ให้สั่นเกินไป โมนีก้าเดินลงมาจากรถแท็คซี่หญิงสาวทำทีเป็นบ่นเสียงดังเหมือนคนรำคาญสถานการณ์ “โธ่! ต้องเสียเวลาอีกแล้วเหรอเนี่ย ฉันอยากไปต่อเร็ว ๆ นะ!” น้ำเสียงนั้นเรียบง่าย เหมือนคนไม่พอใจธรรมดา แต่ในจังหวะเดียวกัน มือเรียวของเธอก็เอื้อมไปคว้ามือของซูกิที่อยู่ใกล้ บีบแน่นแรงจนผิดปกติ


ซูกิสะดุ้งเล็กน้อยแต่เข้าใจทันที ดวงตาคมเหลือบลงสบสายตาโมนีก้า เธออ่านได้ชัดจากประกายหวาดระแวงในดวงตาคู่นั้นโมนีก้ารู้บางอย่างที่เธอเองก็สงสัยอยู่แล้ว ซูกิเลยแสร้งทำเป็นถอนหายใจแล้วพึมพำเบา ๆ “ก็ต้องรอเขาเปลี่ยนล่ะนะ จะทำยังไงได้” น้ำเสียงฟังเหมือนยอมแพ้ แต่แววตากลับกดต่ำลง เต็มไปด้วยการจับตามองทุกฝีก้าวของคนขับแท็กซี่ที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ด้านท้ายรถ ในความเงียบนั้น ทั้งคู่รับรู้ตรงกันอย่างไม่ต้องพูดมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลและตอนนี้คือการแสดงละครตบตา


ลมป่าพัดโชยผ่านถนนลูกรัง กลิ่นดินผสมกลิ่นยางรถยนต์ที่แตกยังคงคลุ้งอยู่ คนขับแท็กซี่วัยกลางคนปาดเหงื่อพลางหัวเราะเก้อ ๆ ก่อนจะหันมาพูดเสียงทุ้มนุ่มเหมือนพ่อบ้านใจดี “ยางที่มีไม่ได้สูบอ่ะสิ งั้นเราก็น่าจะต้องรอหน่อยนะ เดี๋ยวฉันโทรไปบอกให้ร้านมาเปลี่ยนหรือยกรถแล้วกัน ขอโทษนะแม่หนู” น้ำเสียงอ่อนโยนจนแทบไม่ต่างจากคุณลุงข้างบ้าน แต่ในดวงตากลับไม่มีความซื่อจริง ซูกิที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลือบมองด้วยสายตาคมเข้ม พลางบีบมือโมนีก้าแน่นขึ้นเหมือนจะส่งสัญญาณว่า อย่าเพิ่งไว้ใจ


โมนีก้าเองก็ยังคงทำหน้าร่าเริง เธอฉีกยิ้มกว้างแล้วเอียงคอพูดติดขำ “ไม่เป็นไรค่า~” แต่แววตาสีเงินกลับวาวด้วยความหวาดระแวง แก้มพองตุ่ย ๆ คล้ายงอนที่การเดินทางต้องสะดุด เธอกอดอกบ่นเสียงดัง “เฮ้อ ไปช้าแน่เลย แบบนี้กว่าจะถึงเฟอร์รี่ก็ปาไปบ่ายแล้วมั้ง!” 


ซูกิก็ยังไม่ปล่อยมือเพื่อน เธอทำเพียงพยักหน้ารับคำคนขับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดอะไรเกินจำเป็น เพียงแต่ขยับตัวนิด ๆ บังโมนีก้าไว้ด้านหลัง ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ป่ารอบข้างที่เงียบผิดปกติ โมนีก้าพยายามหัวเราะกลบเกลื่อน “แต่ก็โอเคแหละ อย่างน้อยก็มีเวลาชมนกชมไม้เพิ่มอีกนิด” เธอแกล้งพูดเสียงสดใส ยกมือทำท่าเหมือนกำลังชี้นกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ ทั้งที่ในใจกลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเพราะเสียงกระซิบแผ่วเบาของพงไพรที่ยังคงดังก้องเตือนอยู่


บรรยากาศรอบตัวจึงเหมือนมีสองชั้น ชั้นบนคือรอยยิ้มสดใสของเด็กสาวที่ทำทีไม่รู้เรื่องอะไร ส่วนชั้นล่างคือความตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้นในเงามืดเงียบของป่า ราวกับทุกใบไม้ที่ไหวเอนกำลังเฝ้าดูว่าพวกเธอจะก้าวต่อไปอย่างไร…


และทันทีที่ทำเช่นนั้น!! เสียงหวีดวูบของกระสุนฉีกอากาศดังขึ้นชัดเจน ปัง!ศษหินกระจายกระแทกพื้นถนนห่างจากโมนีก้าไปไม่ถึงหนึ่งคืบ ไม่นานเสียงหวีดเฉียดอากาศ ฟิ่ววว! ดังขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่กระสุนจะฝังลงบนตัวถังรถแท็กซี่จนโลหะบุ๋มดัง ปัง! โมนีก้าตกใจตาโตแทบกรีดร้องออกมา หากซูกิไม่คว้าแขนกระชากร่างเพื่อนสาวหลบลงกับพื้นเสียก่อน ตอนนี้อาจจะมีเลือดแดงแทนละอองทอง โมนีก้าหัวใจเต้นแรงรัว เธอแทบไม่ทันตั้งตัว ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้างตกใจสุดขีด ก่อนจะสบเข้ากับแววตาคมเข้มของซูกิที่โน้มตัวทับกันไว้ต่ำติดกับพื้นหญ้า “อย่าขยับ…มีคนซุ่มอยู่ในป่า” ซูกิเอ่ยเสียงต่ำกระซิบชิดหู น้ำเสียงเย็นจัดแต่มั่นคง


คนขับแท็กซี่วัยกลางคนที่เมื่อครู่ยังตีหน้าใจดี ตอนนี้กลับสะดุ้งโหยงและกะพริบตาปริบ ๆ แต่ไม่มีความตกใจจริงในแววตาเลยสักนิด กลับเหมือนคนที่รู้อยู่แล้วมากกว่า โมนีก้าเห็นเข้าก็พ่นลมหายใจสั้น ๆ พลางกัดฟันแน่น ความร่าเริงปลอมเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นความขุ่นเคืองผสมหวาดระแวงในทันที


เสียงกระซิบแห่งพงไพรตื่นก้องในหัวโมนีก้าอีกครั้งเสียงไม้ใบเสียดสีกันดังคล้ายคำพูด ระวัง…เขาเป็นเหยื่อล่อ…


โมนีก้าหอบหายใจแรงมือสั่นเทาแต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์ “ชิบหายจริง ๆ…ยิงมาเลยเรอะ!” เธอพึมพำรัวเป็นภาษาอังกฤษปนไทยอย่างลนลาน แต่ยังคงสวมรอยเป็นคนที่แค่ตกใจไม่ใช่ใครที่มีพลังพิเศษ โมนีก้าหน้าซีดเล็กน้อย แต่กัดริมฝีปากเรียกสติกลับมา เธอกระซิบตอบซูกิ “มีพวกมัน…ซ่อนในป่า…ไม่ใช่แค่คนเดียว” ดวงตาสีเงินของเธอส่องประกายมั่นคงขึ้นท่ามกลางเหงื่อเย็นที่เกาะขมับ ซูกิขยับตัวช้า ๆ มือหนึ่งยังจับกราดิอุสไว้แน่น ปลายนิ้วอีกข้างกดลงบนมือโมนีก้าเหมือนจะบอกว่า ใจเย็น เดี๋ยวจัดการเอง แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจเตรียมเคลื่อนไหว


“ฉันบอกแล้ว…ตรงนี้ไม่ปลอดภัย” ซูกิพึมพำเสียงต่ำก่อนหันมาสบตาโมนีก้า ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความจริงจังและการเตรียมใจจะปะทะ โมนีก้าเองกัดริมฝีปากแน่น ความกลัวบีบคั้น แต่หัวใจกลับเต้นแรงด้วยความมุ่งมั่น รู้แล้วว่าหนีไม่ได้แน่ คราวนี้คงไม่ใช่มอนสเตอร์ธรรมดา…แต่มนุษย์ที่กำลังล่าเธอ 


ในขณะที่เงียบสงัดเพียงไม่กี่อึดใจ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่กลับดังขึ้นจากในพงไม้ มาพร้อมกับแสงวาววับของโลหะไม่ใช่เพียงกระสุนเดียวที่พวกเขาต้องเจอ แต่คือกลุ่มคนติดอาวุธที่กำลังล้อมเข้ามาช้า ๆ… ซูกิหรี่ตามอง เห็นเงาดำเลือน ๆ ของคนสวมหมวกคลุมใบหน้าเล็งปืนจากแนวไม้ สอง…สาม…สี่ เธอนับเงียบ ๆ แล้วกัดฟันแน่น ก้าวมาขวางด้านหน้าโมนีก้าดาบกราดิอุสในมือสะท้อนแสงแดดจัดจ้า


เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดินแห้งกรังเป็นจังหวะหนัก ๆ ดังขึ้นจากพงไม้ข้างทาง เงาของร่างสิบร่างค่อย ๆ ปรากฏออกมา แต่ละคนสวมชุดธรรมดาอย่างชาวบ้านทั่วไป ทว่าในมือกลับเต็มไปด้วยอาวุธมีทั้งปืนสั้น มีดปลายแหลมและกระบองเหล็กที่ส่องแสงสะท้อนแดดจ้า พวกเขาเคลื่อนเข้ามาล้อมรอบรถแท็กซี่อย่างเป็นระบบราวกับฝึกมา โมนีก้าที่เดิมยังทำท่าโวยวายเล่น ๆ ถึงกับชะงัก ดวงตาสีเงินเบิกกว้างทันที เธอจับแขนเสื้อซูกิแน่น เหงื่อเย็นผุดขึ้นตรงขมับ ความรู้สึกจากเสียงกระซิบพงไพรเมื่อครู่ชัดเจนขึ้นอันตรายตรงหน้าเป็นจริงแล้ว


ซูกิเองไม่รอช้า เธอขยับก้าวครึ่งคืบเข้าข้างหน้ามือจับดาบกราดิอุสที่เหน็บไว้ข้างเอวทันที ดวงตาคมเรียวหรี่ลง ประเมินระยะและจำนวนศัตรูอย่างรวดเร็ว


แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองสะดุดใจไม่ใช่การมาของคนกลุ่มนี้ หากเป็นปฏิกิริยาของคนขับแท็กซี่ ที่ตอนแรกแสร้งทำหน้าเหลอหลาว่าไม่รู้เรื่องแต่เด็กหนุ่มในกลุ่มโจรคนหนึ่งกลับร้องบอกเสียงดัง “มาแล้วครับหัวหน้า!”


เสียงนั้นเหมือนดาบฟันลงกลางอากาศ ตัดความสงสัยที่ยังเหลืออยู่ออกเป็นเสี่ยง คนขับแท็กซี่หน้าเสียทันที เขาตวัดมือเขกกบาลลูกน้องดัง ป๊อก! แล้วสบถ “เสียแผนหมดเลยไอ้เวรเอ๊ย!” จากนั้นเขาหันหน้ามาทางโมนีก้าและซูกิ สีหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ถูกเปิดเผยอย่างเต็มที่น้ำเสียงไม่เหลือเค้าความใจดีเหมือนก่อนหน้า “เด็กเดมิก็อดสองคน…จับไปเข้ากองทัพเราตามคำสั่งนายซะ อย่าทำพลาด!”


โมนีก้าเบิกตาโพลง หัวใจเต้นแรง “หา?! พวกนี้มันรู้ว่าเราเป็นเดมิก็อดตั้งแต่แรกเหรอ!” เธอเผลอพูดออกมาเสียงหลง แต่ยังคงยกมือเหมือนจะขึ้นตั้งรับอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูกเพราะเธอกำลังกลัว


ซูกิกัดฟันแน่นตวัดสายตาไปรอบวงล้อม เสียงของเธอทุ้มต่ำเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ต่างจากท่าทีขี้เล่นของเพื่อนสาว “หึ…ดูเหมือนจะเลี่ยงไม่ได้แล้วสินะ” เงียบงันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เหล่าคนติดอาวุธเริ่มก้าวเข้ามาใกล้ วงล้อมแคบลงเรื่อย ๆ ความตึงเครียดปกคลุมจนทุกการหายใจเหมือนจะกลายเป็นประกายไฟรอเพียงการปะทุ… หลังจากนั้นซูกิเบี่ยงตัวเข้าข้างโมนีก้า กราดิอุสในมือสะท้อนแสงแดดวาบอย่างน่าเกรงขาม สายตาของเธอคมดุจมีดโกน ร่างสูงเพรียวทอมบอยที่ไม่เคยลังเลในสนามฝึกหันหน้าตรงเข้าหาศัตรูจริงเป็นครั้งแรก เสียงของเธอเย็นเฉียบ “โมนีก้า…ตั้งสติ เตรียมตัวสู้”


โมนีก้าสะดุ้งเฮือก เธอส่ายหน้ารัว ๆ ดวงตาสีเงินสั่นไหว “แต่ว่า…นั้นคนจริงนะ ไม่ใช่มอนสเตอร์! เราไม่ได้ซ้อมหรือฝึกมาเพื่อฆ่าคนนะซูกิ!” เสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ร่างกายเธอสั่นระริกจนจับกราดิอุสที่เอาออกมาแทบไม่อยู่


ซูกิไม่หันมามองเพียงเอ่ยเสียงหนักแน่นราวกับกำลังบังคับให้เพื่อนรักตื่นขึ้น “อาวุธของเราไม่ได้ฆ่าคนธรรมดาได้หรอก จำไม่ได้เหรอ แร่สัมฤทธิ์วิเศษมันเลือกเป้าหมาย ถ้าฟันใส่มนุษย์ธรรมดา มันจะทะลุไปเหมือนไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น แต่กับคนพวกนี้…มันทำให้สลบได้”


“แต่ว่า…!” โมนีก้าโวยลั่นริมฝีปากสั่นเครือ ร่างเล็กถอยหลังหนึ่งก้าวมองเหล่าคนติดอาวุธที่กำลังเข้ามาใกล้ “แต่นั่นพวกผู้ชายจริง ๆ เลยนะ! ดูดิ อาวุธครบมือแถมเป็นทหารด้วย! เราสู้ไม่ได้หรอก…ฉัน…ฉันไม่ไหวหรอก!” เสียงของเธอเต็มไปด้วยความกลัวที่ไม่เคยปิดบังได้ ดวงตาสีเงินพร่าเลือนราวกับจะร้องไห้ออกมา ซูกิกัดฟันแน่น ก่อนขยับเข้าประชิดบีบข้อมือโมนีก้าแรงพอสมควรเพื่อเรียกสติ ดวงตาคมกริบของเธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของโมนีก้า 


“ฟังฉัน โม เธอจะสู้หรือจะโดนจับตัวไปตลอดชีวิต เลือกเอา” คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางอก โมนีก้าถึงกับตัวแข็งชะงัก หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด ขณะที่วงล้อมแคบเข้ามาเรื่อย ๆ และเสียงฝีเท้าของศัตรูดังก้องสะท้อนหัวใจเธอ


และนั้นคือการเริ่มต้น…การต่อสู้กับมนุษย์ครั้งแรกของ มนก บซ



[ปักตะไคร้]


อื่น ๆ : -

รางวัล : -

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 100815 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-6 18:18
โพสต์ 100,815 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-9-6 18:18
โพสต์ 100,815 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 เกียรติยศ จาก เกมคอนโซลพกพา  โพสต์ 2025-9-6 18:18
โพสต์ 100,815 ไบต์และได้รับ +7 EXP +7 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก กล่องดนตรี  โพสต์ 2025-9-6 18:18
โพสต์ 100,815 ไบต์และได้รับ +8 EXP +9 ความกล้า +9 ความศรัทธา จาก กระซิบแห่งพงไพร  โพสต์ 2025-9-6 18:18
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-6 18:18:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
sigil
บันทึกการเดินทาง From Lupa’s Kick to Jupiter’s Gates
วันที่ 05 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงสายถึงเที่ยง เวลา 09.00 - 13.00 น. ออกเดินทางจาก Sonoma County Library เพื่อไปที่ Larkspur Ferry Terminal รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
Part. 2

เสียงเหล็กกระทบเหล็กดังขึ้นทันทีที่ซูกิพุ่งเข้าชนกับชายติดอาวุธ เธอใช้กราดิอุสตวัดเบี่ยงดาบของอีกฝ่ายออกไปด้านข้างอย่างแม่นยำ ร่างเพรียวของทอมบอยเคลื่อนไหวอย่างนักสู้ตัวจริง ขณะที่โมนีก้าซึ่งยังลังเล ใจเต้นระส่ำ แต่เมื่อเห็นทหารอีกคนพุ่งเข้ามา เธอกัดฟันกรอดแล้วตะโกนออกมาในหัวแบบคนสติแตก ตายเป็นตายโว้ย! โมนีก้าไม่ใช้ท่วงท่าแบบนักรบ แต่ใช้สัญชาตญาณดิบล้วน ๆ เธอก้มหลบคมมีดยาวที่ฟาดมาเฉียดเส้นผม ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ท้องน้อยของชายตรงหน้า มือเรียวยกขึ้นรวบกำปั้นแน่นแล้วฟาดเปรี้ยงลงไปตรงกล่องดวงใจของเขาอย่างแม่นยำ


“โอ๊ยยยยยย!!” เสียงกรีดร้องดังลั่น ปนกับสีหน้าบิดเบี้ยวของทหารคนนั้น ก่อนร่างจะทรุดฮวบลงไปกับพื้นมือกุมหว่างขาแน่น


“โดนไปซะเถอะ!!!” โมนีก้ากรีดร้องต่อเนื่อง เตะซ้ำ ๆ แบบไม่ยั้ง ราวกับระบายทั้งความกลัวและความโกรธที่ถูกบังคับให้สู้ทหารผู้นั้นดิ้นจนแน่นิ่งไปในที่สุด


ซูกิที่หันมาเห็นพอดี ถึงกับชะงักกลางสนามประลอง เธอต่อสู้มาไม่น้อยเจอทั้งท่วงท่าดาบและกลยุทธ์มากมาย แต่สิ่งที่เห็นต่อหน้าตอนนี้…โมนีก้าที่ใช้วิธีบีบไข่กับเตะซ้ำจนอีกฝ่ายสลบ เธออึ้งกิมกี่ไปเลย “……แม่เจ้า” ซูกิพึมพำเบา ๆ ตาโตแบบคาดไม่ถึง แต่ก็รีบหันกลับไปตั้งการ์ดรับการโจมตีจากศัตรูอีกสองคน พลางเหลือบมองเพื่อนสาวผมสีม่วงครามที่ยืนหอบแฮ่ก ๆ อยู่กับพื้น นี่มัน…โคตรน่ากลัว แต่โคตรได้ผลว่ะ


โมนีก้าสะบัดผมเถิกออกจากหน้า กราดิอุสในมือยังสั่นเล็กน้อย แต่แววตาเทาเงินตอนนี้กลับเปล่งประกายอย่างบ้าระห่ำ “ใครมันจะมาขวางอีกมั้ย…ห๊ะ?!” เหล่าทหารที่เหลือบางคนถึงกับผงะถอยโดยไม่รู้ตัว เพราะนี่ไม่ใช่การต่อสู้แบบนักรบ แต่มันคือความดิบเถื่อนที่ใครเจอก็ต้องขนลุก


ไม่นานเสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมไปทั่วทางโค้งกลางป่า เหล่าทหารรับจ้างสิบชีวิตที่ตอนแรกกรูเข้ามาอย่างมั่นใจ ตอนนี้ต่างนอนเกลื่อนอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว มือกุมหว่างขา ร้องโอดโอยเหมือนคนใกล้สิ้นใจ บางคนหมดสติไปแล้วด้วยซ้ำ กลิ่นเหล็กจากอาวุธผสมกับกลิ่นเหงื่อคละคลุ้งเต็มอากาศ แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นเสียงหอบหายใจแรง ๆ ของโมนีก้า หญิงสาวผมม่วงครามยืนหอบเหงื่อท่วม ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้างอย่างคลั่งแค้น กราดิอุสในมือยังสั่นด้วยแรงที่ไม่รู้ว่ามาจากความเหนื่อยหรือความคุ้มคลั่ง เธอไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้นตอนต่อสู้ มีแค่สัญชาตญาณล้วน ๆ ที่พุ่งเป้าไปตรงจุดตายของเพศชายทุกคน


เธอก้มตัวกระแทกเข่าเข้าที่หว่างขาคนหนึ่งอย่างแรงจนเขาหมอบไปกับพื้น ก่อนจะหันไปอีกคน ฟาดกราดิอุสเบี่ยงวิถีมีดของมัน แล้วใช้มือซ้ายคว้ากล่องดวงใจ บีบแน่น….ไม่สิ บิดเหมือนบิดผลส้ม!! เสียงกรีดร้องโหยหวนดังสนั่นราวกับเสียงสัตว์ถูกเชือด ก่อนร่างนั้นจะทิ้งตัวลงอย่างหมดสภาพ “หลับไปซะ!!” โมนีก้าตะโกนสุดเสียง ฟาดเท้าเข้าที่ข้อพับอีกคนจนร่างทรุด ก่อนจะตามด้วยการเตะรัว ๆ ตรงหว่างขาไม่ยั้ง แม้ฝ่ายนั้นจะหมดสติไปแล้วเธอก็ยังไม่หยุด


“โมนีก้า! พอได้แล้ว!” ซูกิรีบกระโจนเข้ามาจับแขนดึงเธอออก เสียงของทอมบอยเต็มไปด้วยความกังวลและจริงจัง ดวงตาสีนิลเบิกกว้างอย่างตกใจ “เขาจะทำพันธุ์ไม่ได้แล้วนะเว้ย!”


โมนีก้าหยุดหอบหายใจแรง ๆ ใบหน้าแดงก่ำจากทั้งแรงและอารมณ์ เธอหันมามองซูกิด้วยตาโตคล้ายเพิ่งได้สติ หญิงสาวเหลือบไปมองรอบ ๆ ภาพที่เห็นคือทหารรับจ้างเกือบสิบชีวิตนอนเกลื่อนพื้น บางคนหมดสติ บางคนร้องโอดโอยเสียงครางเบา ๆ ดังระงมเหมือนฝันร้ายกลางวัน โมนีก้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ หัวใจยังเต้นรัวไม่หยุด แล้วกระซิบเสียงแหบ “เรา…เราทำไปขนาดนี้เลยเหรอ…”


ซูกิยังจับแขนเธอแน่นเหมือนกลัวว่าเธอจะพุ่งเข้าไปซ้ำอีก ร่างทอมบอยหอบเบา ๆ เช่นกัน แต่ยังพยายามทำตัวมั่นคง “ใช่…แต่มันก็ช่วยให้เราไม่โดนจับตัวไป ถึงเธอจะทำเกินกว่าเหตุไปนิดหนึ่งก็เถอะแต่นี่คือการเอาตัวรอด เข้าใจไหม?”


โมนีก้ายังคงยืนตัวสั่น เธอมองคนขับแท็กซี่ซึ่งเป็นหัวหน้า สลบเหมือดนอนกุมหว่างขาอยู่ไม่ไกล สีหน้าเขาบ่งบอกได้ชัดว่า เจ็บไปทั้งชาติ แล้วเธอก็เบือนหน้าหนีไปทางซูกิ ดวงตาเทาเงินเต็มไปด้วยทั้งความโล่งใจและความสับสน ก่อนที่ซูกิจะจับมือโมนีก้าให้วิ่งออกไปจากตรงนี้ปล่อยพวกนี้ทิ้งไว้ เสียงหอบหายใจดังแข่งกับฝีเท้าของทั้งคู่ที่กระทบพื้นถนนอย่างเร่งรีบ ซูกิยังคงจับข้อมือโมนีก้าแน่นลากเธอให้วิ่งไปด้วยกัน ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองเหล่าทหารรับจ้างที่นอนเกลื่อนอยู่เบื้องหลัง หญิงสาวทอมบอยเอ่ยสั้น ๆ แต่หนักแน่น 


“ไปกันเถอะ ผ่านเนินตรงนี้ไปก็พ้นแล้ว อย่าหยุดเด็ดขาด”


เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านถนนคดโค้งที่เพิ่งเต็มไปด้วยเสียงต่อสู้ไม่นาน โมนีก้าเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก ขณะมองทหารรับจ้างกว่า 10 ชีวิตนอนกองระเกะระกะอยู่กับพื้นดิน บางคนโอดโอยเบา ๆ แต่ส่วนใหญ่หมดสติสนิทแล้ว สายตาเธอเป็นประกายแบบเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากยกยิ้มร้าย ๆ ก่อนพึมพำ “เดี๋ยวก่อนสิ....อืม… จัดการแล้วไม่แฮบของมันก็เสียดายแย่สิ” ว่าแล้วเธอก็ย่องเข้าไปค้นกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง และเป้ใบเล็กของพวกมันทีละคน สภาพเหมือนนักล่าที่กำลังรื้อของล่าซาก จนซูกิยืนกอดอกถอนหายใจ มองภาพนั้นแล้วส่ายหน้าแรง ๆ


“มีคนตั้งสิบกว่าคน…” โมนีก้าพึมพำเสียงสูง พลางหยิบธนบัตรที่ยับยู่ยี่ขึ้นมาชู “แต่แม่งพกเงินกันมาแค่ 100 ดอลลาร์… ฮะ? จริงดิ นี่มันอะไรกันเนี่ย โจรกระจอกหรือก๊อบลินยังคุ้มกว่าอีก”


ซูกิกลอกตา พูดเสียงเรียบแต่ฟังแล้วฟาดแรง “นี่เธอคิดจะนับกำไรขาดทุนจากการอัดพวกทหารติดอาวุธจริง ๆ เหรอโม?”


โมนีก้าไม่สนยังคุ้ยต่อจนเจอเพียงอาหารฉุกเฉินห้าหกซองแท่งโปรตีน รสชาติดูไม่น่ากินเอาซะเลย เธอเบะปาก ใส่เสียงบ่นยาวเหยียด “เหอะ! ต่อให้ไปฆ่าก๊อบลินยังได้ดาบก๊อบลินไว้ขายแพงกว่าอีก พวกแกนี่มันไม่คุ้มค่าแรงเลยว่ะ โธ่เอ๊ยยย…” ก่อนที่โมนีก้าจะทันยกเท้าจะไปซ้ำใส่พวกนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด ซูกิก็รีบเข้ามาลากแขนแรง ๆ กระซิบเสียงเข้ม “พอได้แล้วโม! ไปก่อนเถอะ ถ้ามีคนอื่นผ่านมาเห็นเราจะซวยจริง ๆ”


“แต่ฉันยังไม่ได้—”


“ไป!!”


โมนีก้าถูกดึงกระชากจนเกือบเซ ร่างบางเลยถูกซูกิลากออกไปจากจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ร้องโวยวายอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่มีทางสู้แรงทอมบอยสาวที่เอาจริงเอาจังได้ ทิ้งไว้เพียงภาพหญิงสาวที่ยังหันกลับไปมองเหล่าทหารสลบไสลตาละห้อยเหมือนเสียดาย โอกาสจะทำพันธ์ไม่ได้จริง ๆ


บรรยากาศบนถนนจึงเหลือเพียงความเงียบกับกองทหารรับจ้างไร้สติ ขณะที่สองสาววิ่งหายลับไปกับเส้นทางโค้ง


เสียงฝีเท้าทั้งคู่ดังประสานกันไปตามเส้นทางโค้ง ป่ารอบข้างสั่นไหวด้วยแรงลมและเสียงใบไม้กระซิบเหมือนจะบอกให้วิ่งไปข้างหน้า อย่าหยุด อย่าหันกลับ เสียงหัวใจของโมนีก้าดังก้องในหู เธอกัดฟันบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น


เมื่อทั้งสองก้าวข้ามพ้นเนิน เสียงโอดครวญและความวุ่นวายด้านหลังก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ท่ามกลางแสงแดดที่ยังคงส่องแรงราวกับไม่มีค่ำคืนอยู่บนโลกนี้ โมนีก้าทรุดตัวลงคุกเข่าหอบแรง มือกดที่อกพยายามดึงลมหายใจกลับมา ซูกิก็หยุดตาม ใบหน้าของเธอแดงจัดจากความเหนื่อย แต่ยังคงยืนมั่นคง คอยระแวดระวังรอบด้าน “รอดแล้ว…” ซูกิพูดสั้น ๆ ดวงตาคมยังไม่วางใจนักแต่ก็ผ่อนลมหายใจยาวออกมา เธอเหลือบมองเพื่อนสาวข้าง ๆ ที่นั่งคุกเข่าเหมือนแมวหอบแดด แล้วอดยิ้มบาง ๆ ไม่ได้


โมนีก้ายกหน้าขึ้นเหงื่อไหลผ่านแก้มสีซีดแต่ริมฝีปากกลับยิ้มจาง ๆ อย่างโล่งอก “ขอบคุณนะซูกิ…ถ้าไม่มีเธอ ฉันคงจบตรงนั้นไปแล้ว” เสียงใบไม้พลิ้วไหวเหมือนธรรมชาติกำลังตบมือยินดีกับการรอดพ้นครั้งนี้ ขอบคุณแรงฝึกฝนที่บ้านหมาป่า ขอบคุณเสียงกระซิบของพงไพรที่ช่วยเตือน และเหนือสิ่งอื่นใด ขอบคุณที่พวกเธอยังมีแรงก้าวต่อไปข้างหน้าสู่เส้นทางที่รออยู่เส้นทางที่จะพาไปถึงค่ายจูปิเตอร์ในไม่ช้าหรือช้ากันนะ?


ระหว่างนั่งพักโมนีก้านั่งพิงเข่าสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อพยายามปรับจังหวะการเต้นของหัวใจให้สงบลง แม้ใบหน้าจะยังมีเหงื่อซึม แต่ดวงตาสีเทาเงินกลับจับจ้องไปยังซูกิที่ยืนระแวดระวังอยู่ไม่ห่าง เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังมากกว่าทุกครั้ง “เราจะปล่อยพวกเขาไปแบบนั้นจริงเหรอ… ถ้ามีใครผ่านมาเห็นเข้าล่ะ? จะไม่เป็นปัญหาหรือ?”


ซูกิเงียบไปอึดใจ ก่อนถอนหายใจเบา ๆ พลางก้มมองโมนีก้าด้วยสายตาสงบนิ่ง “ไม่น่าจะมีใครมาเห็นหรอก แถวนั้นมันเปลี่ยวมาก ถึงมีก็คงอีกนานกว่าคนจะผ่าน” เธอหยุดเล็กน้อย ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พวกนั้นไม่ใช่กุ๊ยทหารธรรมดา ดูจากอาวุธกับอุปกรณ์ เจ้านายของพวกเขาต้องเงินหนาแน่นอน”


โมนีก้าขมวดคิ้วใจเต้นแรงขึ้นอีกครั้งด้วยความกังวล เธอถามต่อทันที “ขนาดเจ้านายเงินหนานะเนี้ยพกเงินแค่ 100 ดอล แม่ง...ว่าแต่ทำไมต้องจับเรา? เราก็แค่จะไปค่ายจูปิเตอร์เองนะ…”


ซูกิกัดริมฝีปากข้างในเล็กน้อยแววตาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเอ่ยตอบ “ไม่รู้เหมือนกัน แต่เดาได้อย่างหนึ่งพวกนั้นคงมาเพื่อจับเดมิก็อดโดยเฉพาะ ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่าเราไม่ใช่คนธรรมดา” ลมพัดผ่านกิ่งไม้เหนือศีรษะ เสียงใบไม้เสียดสีกันเหมือนย้ำคำพูดของซูกิ โมนีก้ารู้สึกหนาววาบทั้งที่แดดแรงตลอด 24 ชั่วโมง เธอหันไปสบตาเพื่อนสาวทอมบอย ก่อนที่ซูกิจะเอ่ยต่อน้ำเสียงเย็นแต่แฝงความมุ่งมั่น “หลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอแค่มอนสเตอร์แล้วล่ะ แต่จะเจอคนด้วย… อุปสรรคมันจะโถมเข้ามาทั้งสองทางเราต้องเตรียมใจไว้”


โมนีก้ากำมือแน่นเธอพยักหน้าช้า ๆ แม้แววตาจะยังมีร่องรอยความกังวล แต่ในนั้นกลับมีไฟที่เริ่มติดขึ้นอีกครั้ง “เข้าใจแล้ว… ถ้างั้นเราต้องไปให้ถึงค่ายจูปิเตอร์ให้ได้ ไม่ว่ามันจะมีใครรออยู่ข้างหน้า” ซูกิปรายตามองโมนีก้าที่พูดออกมาแบบนั้นก่อนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย คล้ายจะบอกว่าใช่แล้วโดยไม่ต้องพูดอะไรออกมาอีกเลย


ลมอุ่น ๆ พัดผ่านสองร่างที่ยืนอยู่ริมถนน เสียงจิ้งหรีดแว่วมาแผ่วเบา ทั้งที่ท้องฟ้ายังคงสว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์ที่ไม่เคยลับของโลกใบนี้ แต่กลับให้ความรู้สึกวังเวงจนผิดปกติ โมนีก้ายืนกอดอก ดวงตาสีเงินวาวส่องสะท้อนความไม่สบายใจ เธอหันมามองซูกิน้ำเสียงออกแนวกวนแต่ปนกังวล 


“นี่… เราจะเดินจากตรงนี้ไปจริง ๆ เหรอ? คือ… จะมีรถผ่านตรงนี้บ้างมั้ยเนี่ย?”


ซูกิเองก็ไม่ได้ดูมั่นใจไปกว่ากันนัก เธอกวาดตามองไปตามถนนที่ทอดยาวคดเคี้ยวลับไปในป่าใหญ่ ก่อนถอนหายใจยาว มือหนึ่งจับดาบกราดิอุสที่เหน็บเอวไว้แน่นพลางตอบ “ก็ดูไม่ค่อยจะมีรถหรอก…ถนนเปลี่ยวขนาดนี้แต่เราก็ไม่มีทางเลือก ต้องไปต่อให้ถึง Larkspur Ferry ยังไงก็ต้องลอง” โมนีก้ากับซูกิหันมามองหน้ากันพร้อม ๆ กัน ความเงียบกดทับอยู่ชั่วขณะเหมือนจะถามกันด้วยสายตาว่า จะเอาไงต่อดี? โมนีก้าเป็นฝ่ายทำหน้ามุ่ยออกมาก่อน 


เธอเตะกรวดก้อนหนึ่งกระเด็นออกไปไกล “โอ๊ยยย แบบนี้มันซวยชัด ๆ นะ เดินก็ได้…แต่ถ้าเจอพวกเมื่อกี้อีกล่ะ? จะสู้ไหวเหรอ?”


ซูกิยกคิ้วมองเพื่อนสาวก่อนยักไหล่ ตอบเรียบ ๆ แต่จริงจัง “ไม่ไหวก็ต้องไหวแล้วล่ะ โม เอาแบบนี้ เราเดินไปเรื่อย ๆ ก่อน เผื่อโชคดีเจอรถสักคันก็โบก ถ้าไม่เจอ…อย่างน้อยเราก็ยังคืบไปข้างหน้า” โมนีก้าเบ้ปากใส่ซูกิแต่สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างจำยอม ดวงตาสีเงินยังคงเต็มไปด้วยความดื้อรั้น 


“ก็ได้… แต่ถ้าฉันเมื่อยนะ ฉันจะขึ้นหลังเธออีกแน่ ๆ เลยบอกไว้ก่อน”


ซูกิถอนหายใจพึมพำเบา ๆ “จะเอาแต่ใจอะไรกันนักหนานะเธอเนี้ย” แต่ดวงตากลับมีแววอ่อนโยนเล็กน้อยที่มองไม่พ้นสายตาของโมนีก้า ทั้งคู่จึงยืนอยู่ข้างทางริมป่า มองหน้ากันอีกครั้งเหมือนจะย้ำคำถามเดิมในใจว่า ยังไงดีต่อไปนะ… แล้วทั้งคู่ก็ก้าวออกพร้อมกันสู่ถนนสายเปลี่ยวที่ทอดยาวโดยไม่รู้เลยว่าข้างหน้าจะเจอสิ่งใดรออยู่


อื่น ๆ : -

รางวัล : -

แสดงความคิดเห็น

God
https://percyjackson.mooorp.com/dzs_npc-dzs_npc#46  โพสต์ 2025-9-6 19:14
God
มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงข้ามถนนในขณะทั้งสองกำลังวิ่งหนี (โรลเห็นแวบๆ แต่ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์อะไร หญิงสาวคนนั้นยิ้มให้โมนีก้าแวบหนึ่งก่อนรถบรรทุกแล่นผ่านถนนไปและเธอก็หายไปแล้ว)  โพสต์ 2025-9-6 19:14
โพสต์ 65654 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-6 18:18
โพสต์ 65,654 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-9-6 18:18
โพสต์ 65,654 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 เกียรติยศ จาก เกมคอนโซลพกพา  โพสต์ 2025-9-6 18:18
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-6 20:33:00 | ดูโพสต์ทั้งหมด
sigil
บันทึกการเดินทาง From Lupa’s Kick to Jupiter’s Gates
วันที่ 05 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงบ่าย เวลา 13.00 - 16.00 น. ออกเดินทางเพื่อไปที่ Larkspur Ferry Terminal รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ถนนลูกรังทอดยาวผ่านแนวป่าและเนินหญ้าที่ดูเวิ้งว้างจนผิดปกติ เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังสม่ำเสมอเหมือนจังหวะกลองเบา ๆ ของการเดินทางที่ไร้รถผ่าน ทั้งสองสาวดูไม่ต่างจากเด็กหลงที่กำลังเดินดุ่ม ๆ อยู่กลางที่เปลี่ยว โมนีก้าเอียงหน้า ถอนหายใจเสียงดังพลางกอดอกแน่นด้วยท่าทีหงุดหงิด “นี่มันถนนหรือทางลับไปสวรรค์เนี่ย? ทำไมไม่มีรถผ่านสักคันเลย… รู้สึกเหมือนซวยทั้งวันแล้วนะ ใช้โชคไปหมดกับตอนอัดก๊อบลินกับพวกทหารหรือไง…” น้ำเสียงกึ่งบ่นกึ่งประชดทำให้บรรยากาศที่ว่างเปล่าไม่เงียบจนเกินไป


ซูกิเดินเคียงข้างมีสีหน้าตั้งมั่นเหมือนเดิม พลางหันมามองเธอด้วยสายตาที่แฝงความใจเย็น “ทนอีกหน่อยน่าโม ถ้าหิวหรือเหนื่อยก็ดื่มน้ำก่อนสิ เธอมีแหวนดาราจรัสอยู่ไม่ใช่เหรอ? น้ำที่เก็บไว้น่าจะยังเย็นเหมือนตอนแรกนั่นแหละ”


โมนีก้าหรี่ตาใส่เพื่อนทอมบอยเหมือนอยากหาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้า ขยับมือไปที่แหวนประดับอัญมณีเล็ก ๆ บนปลายนิ้ว เสี้ยวแสงสะท้อนออกมาเมื่อเธอหมุนแหวนเบา ๆ ทันใดนั้นก็ปรากฏขวดน้ำเย็นหยดเกาะไหล่ข้างออกมาราวกับเพิ่งถูกหยิบจากตู้แช่ โมนีก้าหยิบมาดื่มแล้วทำเสียง “อา~” อย่างโล่งใจ


“เย็นจริงด้วย แม่ฉันนี้ใจดีนะเนี้ยให้ของดีมาแบบนี้” เธอยกขวดขึ้นยื่นให้ซูกิพลางยักคิ้ว “เอ้า ดื่มด้วยกันหน่อย จะได้สดชื่นทั้งคู่” ซูกิรับมาอย่างไม่พูดมาก แต่รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก เธอยกน้ำขึ้นดื่มแล้วคืนให้โมนีก้า จากนั้นเดินต่อไปอย่างมั่นคง สองเงาบนถนนเปลี่ยวทอดไปข้างหน้าเป็นภาพที่ดูเหมือนธรรมดา แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความผูกพันที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกย่างก้าว


เดินไปไม่นานเสียงเครื่องยนต์แว่วมาแต่ไกล ทำให้ทั้งโมนีก้าและซูกิที่กำลังเดินด้วยสภาพเหมือนเด็กหลงกลางถนนลูกรังสะดุ้งหันมองแทบพร้อมกัน ดวงตาสีเทาเงินของโมนีก้าเบิกกว้างทันที “เฮ้ย! ได้ยินใช่ไหม เสียงรถแน่ ๆ เลย!” เธอเอามือจับแขนซูกิเขย่าอย่างตื่นเต้นเหมือนเด็กเจอร้านขนม ทั้งสองหยุดยืนกลางไหล่ทาง เงี่ยหูฟังจนแน่ใจว่าเสียงนั้นไม่ใช่ภาพลวงหู และแล้วรถบรรทุกขนไม้คันใหญ่ก็ค่อย ๆ โผล่พ้นทางโค้ง เสียงเครื่องดังครืน ๆ มาพร้อมกับกลิ่นน้ำมันและฝุ่นดินที่ลอยคลุ้งขึ้นมา มันเป็นรถขนท่อนซุงขนาดยักษ์ที่ด้านหลังบรรทุกไม้เรียงกันเป็นตั้งสูงจนแทบชนฟ้า ล้อเหล็กฝุ่นจับหนาแน่นบ่งบอกว่าคันนี้เพิ่งลากไม้จากป่าลึกมาไม่นาน ซูกิไม่รอช้า ยกแขนเรียวยาวโบกแรง ๆ สองสามครั้งเพื่อส่งสัญญาณให้หยุด ใบหน้าคมเข้มของเธอยังคงนิ่งเรียบอย่างตั้งใจ


แต่รถคันนั้นกลับแล่นตรงต่อไปเหมือนไม่เห็นเสียงเรียกขอความช่วยเหลือจากเด็กสาวสองคน คนขับชายแก่เคราขาวที่นั่งหลังพวงมาลัยเพียงเหลือบตามองแวบเดียวก่อนจะหันกลับไปสนใจถนน สายตาเย็นชาและเฉยเมยจนทำให้โมนีก้าที่เฝ้ารอหวังแทบหน้าคว่ำ


“หา?! นี่เขาไม่คิดจะหยุดเลยเหรอ?!” โมนีก้าโวยลั่น มือเท้าสะเอวพลางทำหน้าเบ้ “แหม…สงสัยคนขับคงไม่ชอบแนวทอมบอยมั้ง เลยไม่อยากรับขึ้นรถ” น้ำเสียงเธอเจือแกล้งแขวะ กัดเพื่อนด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


ซูกิหันขวับมามองทันที ดวงตาคมกริบสะท้อนแสงแดดที่สาดเปรี้ยงตลอด 24 ชั่วโมง ริมฝีปากกระตุกขึ้นอย่างหมั่นไส้ “พูดอะไรของเธอห๊ะ!” ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวเพื่อนแรง ๆ จนเส้นผมสีม่วงครามของโมนีก้ากระเซอะกระเซิงฟูฟ่องเหมือนหญ้าโดนลมพายุพัด


“โอ๊ย ๆ ๆ ๆ หัวฉัน! หยุดนะซูกิ! เดี๋ยวฉันหัวฟูเหมือนรังนกแล้วเนี่ย!” โมนีก้าโวยวายเสียงหลง 


แต่ใบหน้ากลับยิ้มกว้างจนหูแทบฉีก ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดการเดินเท้าหลายชั่วโมงดูเหมือนจะเบาลงไปชั่วขณะ สองเงาเล็กยังคงเดินเคียงข้างกันไปบนถนนที่ทอดยาวไร้สิ้นสุด แม้จะไม่รู้ว่ารถคันต่อไปจะเป็นมิตรหรือศัตรู แต่เสียงหัวเราะและการหยอกล้อของทั้งคู่กลับดังกลบความวังเวงของเส้นทางเปลี่ยวได้อย่างน่าประหลาด


ต่อมาแดดยังส่องแรงกล้าเหมือนเดิม แม้เวลาจะเลยเข้าสู่ช่วงสายถนนเปลี่ยวก็ยังคงวังเวงมีเพียงเสียงนกป่ากับสายลมที่พัดพาใบไม้ปลิวไปมา ผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที เสียงเครื่องยนต์ก็ดังแว่วขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นรถกระบะสีเงินเก่า ๆ ที่แล่นมาจากทางไกล โมีก้าเบิกตาเป็นประกายเหมือนเจอแสงแห่งความหวัง เธอยกมือห้ามซูกิทันที “หยุด! ไม่ต้องโบกนะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง!” น้ำเสียงมั่นใจแบบโอเวอร์สุด ๆ จนซูกิหรี่ตาจับตามองด้วยความสงสัย


โมนีก้าก้าวฉับ ๆ ออกไปยืนกลางถนน หน้าตาเหมือนฮีโร่สาวที่จะหยุดรถทั้งโลกได้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเริ่มแสดงท่วงท่าที่เรียกได้ว่าการโบกรถขั้นเทพทั้งที่เธอไม่เคยทำในชีวิตมาก่อน มือทั้งสองกางออกแล้วโบกขึ้นลงแรง ๆ จากนั้นก็ทำท่าประกอบเหมือนนักเต้นโคฟเวอร์เพลง SexyBack ของ Justin Timberlake ที่เธอเพิ่งฟังไปเมื่อเช้า พร้อมทั้งส่งยิ้มระยิบระยับแบบเวอร์ ๆ


ซูกิที่ยืนกอดอกมองอยู่ด้านหลังถึงกับเอามือกุมขมับแล้วพึมพำ “นี่เธอจะหยุดรถ…หรือออดิชันเกิร์ลกรุ๊ปกันแน่”


รถกระบะขับใกล้เข้ามา คนขับเป็นชายวัยกลางคนสวมหมวกแก๊ปสีซีด เขาชะลอรถลงเหมือนกำลังงงกับสิ่งที่เห็น ภาพสาวผมสีม่วงครามยืนเต้นโบกรถกลางถนน มือนึงโบก มือนึงทำท่าหัวใจ แล้วก็ส่งสายตาปิ๊ง ๆ ใส่รัว ๆ เสียงเบรกดังเอี๊ยดดดด รถหยุดจริง ๆ …แต่เพราะตกใจจนต้องเหยียบเบรกแทบมิดเท้า คนขับยื่นหน้าออกมาแล้วร้องลั่น “เฮ้ย! หนูทำอะไรของหนูเนี่ย เกือบหัวใจวายแล้วรู้ไหม!”


โมนีก้ารีบยกมือพนมเหมือนขอโทษเขา แต่ยังยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “เห็นไหม! ฉันบอกแล้วว่าฉันทำได้!” 


ซูกิถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่ายหน้าอย่างระอาแต่ก็แอบยกยิ้มบาง ๆ “ถ้าฉันไม่อยู่ด้วยนะเธอคงโดนใครหาว่าบ้าไปแล้วแน่ ๆ …แต่เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็หยุดจริง ๆ” แล้วทั้งสองก็หันมามองหน้ากัน โมนีก้าเงยคางเชิดเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่า ชัยชนะของฉัน ส่วนซูกิก็ส่ายหัวพลางตบไหล่เพื่อนเหมือนจะบอกว่า เออ เก่งแล้ว ยัยเพี้ยน 


เสียงลมร้อนพัดโชยมากับถนนโล่ง ๆ ขณะโมนีก้าหันไปทำตาเป็นประกายใส่คนขับกระบะที่กำลังมองมาทางเธอ ชายวัยกลางคนหรี่ตาเล็กน้อยเหมือนยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเจอเด็กสาวแบบไหนกันแน่ แต่ด้วยท่าทางที่ดูอ้อน ๆ และน้ำเสียงหวาน ๆ ของโมนีก้า เขาก็ยอมใจอ่อน “จะไปที่ไหนล่ะ หนู?” เขาถามเสียงทุ้มต่ำ มือยังจับพวงมาลัยแน่น ๆ


โมนีก้าตอบทันทีพร้อมส่งยิ้มใส่แบบเต็มร้อย “กำลังจะไปที่ Larkspur Ferry Terminal ค่ะคุณอา ถ้าเกิดผ่านตรงไหนใกล้ ๆ หนูลงก็ได้ค่ะ เดี๋ยวค่อยต่อแท็กซี่ไปเอง ไม่อยากรบกวนคุณอามาก” น้ำเสียงเธอเหมือนเจ้าหญิงมาขอร้องคนใช้ แต่ในสายตาคนฟังก็ดูน่าหลงเชื่ออยู่ไม่น้อย ชายขับรถหัวเราะเบา ๆ พลางเกาศีรษะ “อ้อ ๆ ได้สิ ได้สิ งั้นขึ้นตรงกระบะหลังนั่นแหละ ร้อนหน่อยทนเอานะ ฉันต้องขับเข้าเมืองอยู่แล้ว”


“ขอบคุณค่าาา” โมนีก้าร้องเสียงใส ก่อนจะหันมาเลิกคิ้ว ยักคิ้วให้ซูกิแบบสะใจเต็มที่ แววตาเธอชัดเจนว่า เห็นไหมล่ะ ฝีมือฉัน!


ซูกิยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ ถอนหายใจยาวแล้วกลอกตาเบา ๆ แต่ปากกลับยกขึ้นนิดหน่อยเหมือนกลั้นขำไม่อยู่ “อื้อหือ…สุดยอดไปเลยแม่สาวสายปิ๊ง ถ้าเธอไปออดิชันละครเวทียังไงก็ได้บทแน่นอน” โมนีก้าหัวเราะคิกแล้วสะบัดผมสีม่วงครามเบา ๆ อย่างภาคภูมิใจ “ก็ว่าแล้ว…ฉันนี่มันโบกรถขั้นเทพจริง ๆ” จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่ท้ายกระบะ กระเป๋าสะพายวางไว้ข้างตัว ก่อนจะปีนขึ้นนั่งเรียบร้อย ขณะที่รถค่อย ๆ เคลื่อนออกไปตามถนนลูกรังฝุ่นตลบ เสียงหัวเราะเบา ๆ ของโมนีก้าก็ยังไม่หยุดเหมือนกำลังดื่มด่ำกับชัยชนะเล็ก ๆ ของเธอ ส่วนซูกิก็นั่งพิงขอบกระบะ มองเพื่อนสาวข้าง ๆ ด้วยความเอ็นดูปนระอา รู้ดีว่าเส้นทางที่รออยู่ข้างหน้านั้นยังยาวไกลนัก แต่ก็ชัดเจนว่า…อย่างน้อยจะไม่เงียบเหงาแน่นอน


ระหว่างการนั่งรถกระบะท้ายสั่นเป็นจังหวะตามล้อรถที่บดไปบนถนนลูกรัง ลมเย็นพัดตีกับใบหน้าโมนีก้าจนผมสีม่วงครามปลิวสะบัด เธอนั่งกอดเข่า เอนหลังพิงขอบกระบะเหมือนปล่อยตัวให้ลอยไปกับการเดินทาง สายตาเหม่อเล็กน้อย ราวกับจมอยู่กับความคิดที่ซ่อนลึกในใจ “เฮ้ ซูกิ…” เธอหันมาหาเพื่อนสาวทอมบอย เสียงแผ่วลงราวกับกำลังสารภาพความลับ “เมื่อครั้งเราวิ่งหนีพวกทหารที่นอนเกลื่อนอ่ะ…ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนะ” ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์ไหววูบเล็กน้อย “เธอเหมือนแม่ฉันมากเลย แต่ผมสีบลอนด์ทองสวยมากเลยนะ ไม่เหมือนเดิมเท่าไหร่ แต่ฉันมั่นใจว่าใช่จริง ๆ…”


ซูกิที่นั่งข้าง ๆ ขยับตัวหันมามองเต็มตา แววตานิ่งแต่แฝงความอ่อนโยน “บางทีแม่เธออาจเป็นห่วงก็ได้นะโมนีก้า เทพีเซเรสไม่ใช่แค่เทพีแห่งพืชผลนี่นา…แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความรักของมารดาด้วย” เธอพูดช้า ๆ เหมือนอยากให้คำพูดซึมลึกลงไปในใจเพื่อน


โมนีก้ากัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนหัวเราะเบา ๆ คล้ายจะกลบเกลื่อน “ก็ใช่ แต่…ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นแม่จริง ๆ ไหม หรือเป็นแค่ภาพลวงตา ตอนนั้นฉันหันกลับไปอีกทีเธอก็หายไปแล้ว” เมื่อพูดแบบนั้นลมก็พัดแรงขึ้น โมนีก้าหันหน้ากลับไปมองเส้นทางเบื้องหน้า ดวงตาสีเทาเงินพราวระยับท่ามกลางแดดจัดที่ยังคงไม่เคยลับขอบฟ้า “แม่กับพ่อน่ะ ขี้เป็นห่วงสุด ๆ เลยล่ะ แม่ฉันเข้มงวดนะ บางทีก็ทำฉันหงุดหงิด แต่ก็รู้แหละว่าเพราะแม่รักฉันมาก ๆ …ส่วนพ่อก็คอยตามใจจนบางทีแม่ก็บ่น แต่ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็รู้ว่าทั้งคู่รักฉันมากที่สุด”


ซูกิฟังเงียบ ๆ สายลมตีใบหน้าเธอเหมือนกัน แต่สีหน้าสงบลงอย่างเห็นได้ชัด เธอเอื้อมมือมาตบเข่าโมนีก้าเบา ๆ ไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่ให้สัมผัสเล็กน้อยแทนคำปลอบใจ โมนีก้าเหลือบตามองแล้วหัวเราะนิด ๆ “อย่าทำเป็นเท่นักเลย ขอบคุณก็แล้วกันนะ” จากนั้นก็พิงหัวลงกับแขนตัวเอง ปล่อยให้รถกระบะแล่นไปบนถนนทอดยาว ทิ้งให้เสียงลมและบรรยากาศอบอุ่นระหว่างเพื่อนสองคนคลออยู่ข้างหู ราวกับความผูกพันนั้นยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นทุกครั้งที่ได้เผชิญสิ่งไม่คาดฝันร่วมกันท่ามกลางรถกระบะยังคงวิ่งไปเรื่อย ๆ ล้อบดเข้ากับผิวถนนที่เริ่มเปลี่ยนจากลูกรังขรุขระมาเป็นถนนลาดยางกว้างขวางขึ้นเรื่อย ๆ เสียงเครื่องยนต์ต่ำ ๆ กลายเป็นจังหวะกล่อมใจให้ทั้งคู่เหมือนกำลังเข้าสู่โลกอีกใบที่แตกต่างจากความอันตรายกลางป่าที่ผ่านมา


“อยากนอนไหม? เหนื่อยมามากนี้เธอน่ะ เห็นบ่นไม่อยู่” ซูกิเริ่มประโยคถามก่อน


โมนีก้าหันมองซูกิด้วยแววตาล้อเล่นเล็กน้อย ยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ไม่หรอก ไม่อยากหลับ…ฉันอยากเอาหน้าปะทะลม รู้สึกสดชื่นกว่าเยอะเลย” ว่าแล้วเธอก็เอนหลังพิงขอบกระบะ เงยหน้าขึ้นให้ลมเย็นที่พัดผ่านตีเข้ามาเต็ม ๆ ผมสีม่วงครามปลิวว่อนราวกับเปลวเพลิงต้องลม ซูกิหรี่ตามองเพื่อนสาวท่ามกลางแสงแดดที่ยังสว่างตลอดเวลา ปล่อยให้รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า เธอพยักหน้าช้า ๆ “งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าเผลอหลับหัวโขกกระบะอย่ามาโวยนะ” เสียงกึ่งล้อกึ่งจริงของซูกิทำให้โมนีก้าหัวเราะคิกเบา ๆ


บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปทีละน้อย ต้นไม้ใหญ่สองข้างทางค่อย ๆ เว้นระยะห่างมากขึ้นแทนที่ด้วยเสาไฟสูงเรียงราย ถนนเริ่มกว้างขึ้น รถราที่ผ่านมาเริ่มมีมากขึ้น บ่งบอกว่าพวกเธอกำลังใกล้เข้าสู่เขตเมืองใหญ่เข้าไปทุกที


โมนีก้ายกมือกางออกไปกลางอากาศเหมือนเด็กที่ลองจับสายลม ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงอาทิตย์วาววับราวกับกระจกใส เธอหันไปมองซูกิอีกครั้งแล้วบอกเบา ๆ “ขอบคุณนะ ที่ยังอยู่ข้าง ๆ กัน…ไม่งั้นฉันคงไม่รอดมาถึงตรงนี้หรอก” ซูกิเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยกมือตบไหล่โมนีก้าเบา ๆ แบบไม่ต้องการคำพูดให้มากความ รถกระบะยังคงแล่นไปข้างหน้า เส้นทางที่ทอดยาวบนทางหลวงกำลังพาทั้งคู่เข้าใกล้ความท้าทายครั้งใหม่ทีละนิด

 

เมื่อเข้าตัวเมืองเสียงเครื่องยนต์กระบะค่อย ๆ ดับลงเมื่อชายวัยกลางคนชะลอรถและจอดสนิทตรงสี่แยกไฟแดง โมนีก้าที่กำลังเงยหน้ารับลมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองคนขับด้วยความงุนงง เขาหัวเราะเบา ๆ พลางพยักพเยิดไปทางด้านนอก “ตรงนี้แหละ ลงได้เลย ฉันต้องไปต่อแล้ว” โมนีก้ากะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนประกายสดใส เธอประนมหัวเล็กน้อยพลางพูดเสียงนุ่ม “ขอบคุณมากนะคะคุณอา ช่วยชีวิตหนูกับเพื่อนไว้จริง ๆ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจ ซูกิที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็โค้งศีรษะให้เล็กน้อยตามมารยาท


ตอนที่ก้าวลงจากกระบะ โมนีก้าพึ่งสังเกตว่าบริเวณนี้ไม่ใช่ที่เปลี่ยวเลย กลับเป็นสี่แยกในเขตชุมชนเล็ก ๆ มีผู้คนเดินสวนกัน รถวิ่งขวักไขว่ และที่สำคัญคือมีแท็กซี่สีเหลืองจอดรอผู้โดยสารเรียงกันอยู่ด้านข้างถนนพอดี “โห…จอดตรงนี้พอดีเลยเหรอคะ” เธอหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความทึ่ง


ชายเจ้าของรถหัวเราะในลำคอ ยักคิ้วส่งให้ราวกับบอกเป็นนัยว่า เห็นไหมล่ะ ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายอะไรหรอก รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าที่คร่ำหวอดกับการใช้ชีวิตบนท้องถนนทำให้โมนีก้าเผลอยิ้มกว้างตอบกลับไปด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก “ไปกันเถอะโมนีก้า” ซูกิเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความเร่งเร้า เธอสะพายกระเป๋าแน่นพลางหันไปมองเพื่อนสาวที่ยังยืนยิ้มค้าง “อ๋อ ๆ ไปแล้ว ๆ” โมนีก้าตอบพลางหัวเราะคิก เดินไปคว้าแขนซูกิแล้วพากันตรงไปยังแถวรถแท็กซี่


เพียงไม่นานทั้งคู่ก็เลือกแท็กซี่ได้คันหนึ่ง คนขับหญิงที่เปิดประตูรออย่างสุภาพ โมนีก้าก้าวขึ้นไปนั่งก่อนแล้วหันกลับไปยิ้มให้ซูกิที่ตามขึ้นมานั่งข้าง ๆ ประตูปิดลงอย่างมั่นคง แท็กซี่คันใหม่ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากแถว ทิ้งเสียงผู้คนและความจอแจไว้เบื้องหลัง ถนนในเมืองใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนและรถที่สัญจรไปมาไม่ขาดสาย แท็กซี่สีเหลืองคันที่ทั้งโมนีก้าและซูกินั่งอยู่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางอย่างราบรื่น บรรยากาศคราวนี้แตกต่างจากครั้งก่อนมาก เพราะอยู่ในเขตชุมชนหนาแน่น ปลอดภัยกว่าระหว่างทางหลวงหรือป่าเงียบเหงาเสียอีก ทำให้ความกังวลในใจทั้งคู่เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด


โมนีก้านั่งเอนหลังพิงเบาะพลาสติกสีเทาพร้อมยิ้มกว้างอย่างมีความสุข คุณคนขับแท็กซี่ครั้งนี้เป็นผู้หญิงวัยกลางคน ใบหน้าใจดีและท่าทางกระฉับกระเฉง เธอเปิดเพลง Smart ของ LE SSERAFIM ผ่านลำโพงรถ เสียงบีททันสมัยกับจังหวะเร้าใจดังก้องในรถพอดี ทันทีที่ท่อนแรกดังขึ้น ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์ของโมนีก้าก็เป็นประกาย “โอ้ยยย เพลงนี้! ซูกิ ๆ ฉันชอบมากเลยอ่ะ” เธอพูดพลางโยกหัวตามจังหวะอย่างสนุกสนาน ริมฝีปากฮัมเนื้อเพลงอย่างมั่นใจ ราวกับกำลังอยู่ในคอนเสิร์ตส่วนตัวกลางเบาะหลังแท็กซี่


ซูกิหันมามองพลางถอนหายใจเล็กน้อย แต่สายตาก็เต็มไปด้วยความขำที่พยายามซ่อน “ฉันรู้แล้วน่า…” เธอพูดเรียบ ๆ แต่ในใจคงจะอมยิ้มกับความเป็นตัวของตัวเองของเพื่อนสาว


โมนีก้าไม่สนใจ กลับโน้มตัวเข้าไปกระซิบเสียงดังพอให้เพื่อนฟัง “ฉันเต้นเพลงนี้ได้นะเว้ย! เต้นเป๊ะด้วย” แล้วก็หัวเราะคิกคักเหมือนเด็กอวดความลับใหญ่โตที่สุดในโลก เธอทำท่าขยับแขนเล็กน้อยตามท่อนฮุค แต่ก็ต้องรีบหยุดเพราะเกรงใจพื้นที่ในรถ “อย่าเพิ่งโชว์ที่นี่ล่ะ เดี๋ยวไปทำให้คนขับตกใจขับรถหลุดเลน” ซูกิพูดติดตลก ดวงตาเรียวยาวเหลือบไปทางด้านหน้าเหมือนจงใจแซว


โมนีก้าหันไปทางกระจก มองเงาตัวเองที่สะท้อนกลับมาแล้วหัวเราะเสียงใส “หึ้ยยย ไม่เอาไว้ถึงค่ายก่อนค่อยโชว์ก็ได้” เสียงหัวเราะสดใสของเธอผสมกับทำนองเพลงที่ยังคงเล่นต่อ ทำให้บรรยากาศการเดินทางครั้งนี้ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ความตึงเครียด ไม่ใช่การวิ่งหนีตาย แต่เป็นช่วงเวลาเล็ก ๆ ของความสุขที่ทั้งโมนีก้าและซูกิได้แบ่งปันร่วมกัน ก่อนที่เส้นทางสู่ Larkspur Ferry Terminal จะค่อย ๆ ใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที


เมื่อรถแท็กซี่สีเหลืองจอดสนิทตรงหน้าอาคาร Larkspur Ferry Terminal โมนีก้าแทบไม่รอให้รถหยุดดีด้วยซ้ำเธอรีบเปิดประตูก้าวลงไปทันที ร่างเล็กในชุดเดินทางดูราวกับเด็กที่พึ่งได้ปล่อยออกจากโรงเรียน ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์ทอประกายวิบวับเมื่อเงยหน้ามองท่าเรือกว้างใหญ่เบื้องหน้า กลิ่นน้ำเค็มจากอ่าวซานฟรานซิสโกพัดมาแตะปลายจมูก คลุกเคล้ากับเสียงนกนางนวลที่บินโฉบเหนือศีรษะ


“ว้าวววว ที่นี่แหละเหรอ ซูกิ! เราจะได้ไปซานฟรานซิสโกจริง ๆ แล้ว!!” โมนีก้าตะโกนเสียงใส ทั้งที่ยังวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ได้หันกลับมามอง


ด้านหลัง ซูกิถอนหายใจยาวอย่างระอาปนเอ็นดู มือหนึ่งหยิบกระเป๋าอีกใบขึ้นมาสะพายแทนเพื่อน ส่วนอีกมือยื่นเงินสดให้กับคุณคนขับแท็กซี่หญิงที่ส่งยิ้มใจดีตอบรับ “ขอบคุณที่มาส่ง” เสียงทอมบอยราบเรียบแต่แฝงด้วยความสุภาพ เมื่อจัดการเรื่องค่าโดยสารเสร็จ ซูกิก็เดินตามโมนีก้าที่ตอนนี้วิ่งไปหยุดตรงขอบทางเดินไม้ มองไปยังเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่สีขาวสลับน้ำเงินที่จอดเทียบท่าอยู่ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นเหมือนเด็กที่เห็นขนมชิ้นโปรดเป็นครั้งแรก “ซูกิ! ดูสิ ๆ ลำใหญ่กว่าที่คิดอีกนะ แล้วเราจะได้ขึ้นไปนั่งตรงดาดฟ้าใช่ไหม อยากให้ลมปะทะหน้าแบบเต็ม ๆ เลยอ่ะ!”


ซูกิเดินมาถึงข้าง ๆ พลางยกมือกดแว่นกันแดดที่สวมอยู่ ดวงตาจับจ้องไปยังฝูงคนที่กำลังทยอยต่อแถวซื้อตั๋ว “ใจเย็นหน่อยเถอะโมนีก้า เดี๋ยวโดนคนอื่นมองว่าบ้าเอานะ” โมนีก้าหันกลับมายู่ปากใส่ แต่ก็ยังยิ้มกว้างอย่างห้ามไม่อยู่ เส้นผมสีม่วงครามปลิวสะบัดตามแรงลมจากอ่าว เธอยกแขนขึ้นโบกไปมาราวกับกำลังต้อนรับการผจญภัยครั้งใหม่ที่รออยู่ตรงหน้า ในที่สุดก็ก้าวมาถึงจุดหมายแรกของการเดินทางสู่ค่ายจูปิเตอร์อย่างแท้จริง


อื่น ๆ : -

รางวัล : -

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 80,427 ไบต์และได้รับ +7 EXP +7 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก กล่องดนตรี  โพสต์ 2025-9-6 20:33
โพสต์ 80,427 ไบต์และได้รับ +8 EXP +9 ความกล้า +9 ความศรัทธา จาก กระซิบแห่งพงไพร  โพสต์ 2025-9-6 20:33
โพสต์ 80,427 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 เกียรติยศ +9 ความศรัทธา จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-9-6 20:33
โพสต์ 80,427 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2025-9-6 20:33
โพสต์ 80,427 ไบต์และได้รับ +5 EXP +6 เกียรติยศ จาก ต่างหูเงิน  โพสต์ 2025-9-6 20:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-6 22:33:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด
sigil
บันทึกการเดินทาง From Lupa’s Kick to Jupiter’s Gates
วันที่ 05 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเย็น เวลา 16.00 - 18.00 น. ออกเดินทางจาก Larkspur Ferry Termina Golden Gate Ferry เส้น Larkspur–San Francisco ไป San Francisco Ferry Building รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา


เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารดังแว่วก้องไปทั่วท่าเรือ Larkspur Ferry Terminal ก่อนที่กลุ่มผู้คนจะทยอยเดินขึ้นบันไดเหล็กสู่เรือเฟอร์รี่ลำใหญ่สีขาวน้ำเงินที่เทียบท่าอยู่ โมนีก้ากับซูกิยืนอยู่ในแถวค่อนข้างท้าย ๆ มือหนึ่งของโมนีก้ากำตั๋วแน่น ส่วนอีกมือจับแขนเพื่อนสาวทอมบอยแน่นด้วยความตื่นเต้น ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์กวาดมองรอบ ๆ ไม่หยุด เมื่อก้าวเข้าสู่ตัวเรือ กลิ่นเค็มของน้ำทะเลผสมกับกลิ่นน้ำมันดีเซลลอยมาแตะจมูก เสียงผู้โดยสารพูดคุยกันเบา ๆ คลอไปกับเสียงคลื่นกระทบตัวเรืออย่างสม่ำเสมอ โมนีก้าแทบไม่ลังเล เธอลากซูกิพรวดขึ้นบันไดไปยังดาดฟ้าด้านบนสุด เลือกที่นั่งติดราวเหล็กที่มองเห็นวิวเบื้องหน้าได้กว้างไกลที่สุด


“โอ้โห…สวยมากเลยซูกิ!” เสียงของโมนีก้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขณะเอื้อมมือยันราวแล้วโน้มตัวมองออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ ดวงตาเปล่งประกายสะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายที่ยังสว่างไสว แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงสี่โมงเย็นแล้วก็ตาม


ซูกิถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งลงข้าง ๆ พร้อมวางกระเป๋าเป้เดินทางเล็ก ๆ ไว้บนตัก “เธอนี่นะ…เหนื่อยมาตั้งแต่เช้ายังมีแรงตื่นเต้นได้อีกเนอะ” น้ำเสียงติดประชดเล็กน้อยแต่ดวงตาที่มองเพื่อนก็แฝงความเอ็นดู


โมนีก้าหันมายักคิ้วพลางยิ้มกว้าง “ก็ไม่รู้สิ บรรยากาศมันดีนี่นา ลมเย็น วิวสวย แถมไม่มีใครมาลอบยิงเราด้วย…แค่นี้ก็คุ้มแล้ว!” 


ลมทะเลพัดแรงขึ้น เส้นผมสีม่วงครามของโมนีก้าปลิวสะบัด เธอกางแขนออกเล็กน้อยปล่อยให้สายลมโอบกอดร่างกายเหมือนกับนกน้อยกำลังจะโบยบิน ซูกิขยับแว่นกันแดดลงเล็กน้อยมองภาพนั้นแล้วส่ายหัวเบา ๆ แต่ในใจกลับแอบโล่งใจที่เห็นโมนีก้าอารมณ์ดี เรือค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากท่า แหวกคลื่นทะเลกว้างตรงไปยังเส้นทาง Larkspur–San Francisco ขณะที่โมนีก้ายังคงเกาะราวเหล็กแน่น ดวงตาทอประกายคาดหวังกับสิ่งที่จะรออยู่ ณ San Francisco Ferry Building ปลายทางของการเดินทางครั้งนี้


เสียงคลื่นซัดกระทบเรือดังเบา ๆ คลอไปกับเสียงลมพัดแรงบนดาดฟ้า โมนีก้าที่นั่งหันหน้าออกไปทางทะเลก็หันกลับมาทางซูกิด้วยแววตาวาววับเหมือนคิดอะไรสนุก ๆ ได้ เธอเท้าคางกับราวเหล็กแล้วเอียงหัวถามเสียงใส “ซูกิ…เราลองมาเล่นละครกันไหม? แบบว่า–” แต่ยังไม่ทันที่คำพูดจะออกมาเต็ม ซูกิก็รีบพุ่งตัวมากดมือปิดปากเพื่อนสนิทแน่นทันที แรงกดเต็มไปด้วยความสิ้นหวังแบบคนที่รู้ทางหนีทีไล่ของเพื่อนดีเกินไป 


“หยุดเลยนะ…อย่าแม้แต่จะคิดร้องเพลงนั้นออกมาเชียว!” น้ำเสียงเข้มขรึมตัดผ่านสายลมจนโมนีก้าตาโต อู้อี้ๆๆ ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนเหมือนแมวโดนจับอาบน้ำ


“อื้อออ อุอิอิอุ๊อออ!!” เสียงอู้อี้ดังลอดมือที่ปิดปากอยู่ แต่ซูกิไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ เพราะรู้ทันว่าโมนีก้าต้องเตรียมจัดเต็ม My Heart Will Go On จังหวะยืนกางแขนแน่ ๆ


ซูกิยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางกัดฟันกระซิบ “อยากให้คนทั้งเรือหันมามองรึไง? จะเป็นแจ๊คกับโรสเหรอ? ฝันไปเถอะ! แล้วอีกอย่าง…เขาห้ามพูดเรื่องเรือล่มบนเรือ เข้าใจไหม!” โมนีก้าเบิกตากว้างกว่าเดิม พยายามสะบัดหัวหนีแต่ก็หัวเราะอู้อี้ในลำคอ เสียงหัวเราะสั่นสะท้านไปกับมือที่กดปิดปากไว้ ยิ่งโดนกดก็ยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีกจนไหล่สั่นไปหมด ซูกิถึงกับถอนหายใจแรง ๆ แล้วพูดเสียงเครียดปนเหนื่อย 


“เฮ้อ…ยัยบ้าพลัง นี่มันเรือเฟอร์รี่ ไม่ใช่เรือไททานิกนะโว้ย!”


ในที่สุดซูกิก็ยอมปล่อยมือออกเพราะเริ่มเหนื่อยกับการจับฟัด เพียงแค่ชั่วพริบตาโมนีก้าก็ยกมือขึ้นปาดน้ำลายตัวเองที่เลอะนิด ๆ จากการโดนปิดปาก แล้วแกล้งหันไปกอดอกเชิดหน้าเหมือนน้อยใจ แต่ดวงตากลับมีประกายซุกซน “ก็แค่จะเล่นนิดเดียวเองนี่นา…ใจร้ายชะมัดเลยซูกิ” 


ซูกิปรายตามองแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นจิบ “ถ้าร้องขึ้นมาจริง ๆ ฉันจะโยนเธอลงทะเลให้ฉลามพาไปเป็นเพื่อนเลยคอยดู” น้ำเสียงราบเรียบแต่มุมปากยกขึ้นนิด ๆ เหมือนกลั้นขำไม่ไหว บรรยากาศบนดาดฟ้าเลยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอันสดใสของโมนีก้า กับสีหน้าขึงขังแต่ก็แพ้ทางเพื่อนของซูกิ ทั้งสองยังคงยืนเคียงข้างกัน มองทะเลกว้างใหญ่เบื้องหน้าปล่อยให้ลมทะเลพัดเล่นไปตามบทละครตลก ๆ ของพวกเธอเอง


เสียงเครื่องยนต์เรือเฟอร์รี่ดังก้องอยู่เบื้องหลัง ขณะที่สายลมทะเลพัดแรงจนเส้นผมสีม่วงครามของโมนีก้าปลิวสะบัด เธอหันไปทางเพื่อนสาวทอมบอยที่ยืนพิงราวเรือพลางถามเสียงใส “ซูกิ…เราต้องลงตรงไหนหรอ?” ซูกิเหลือบตามองออกไปทางเส้นขอบฟ้า ก่อนตอบเรียบ ๆ “San Francisco Ferry Building ไง ตรงท่าเรือหลักน่ะ เราต้องไปที่นั่นแหละ” จากนั้นก็หันมามองโมนีก้าตรง ๆ ดวงตาคมที่ซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดสะท้อนแสงแดดวาววับ “แล้วนี่…เรามาถูกทางใช่ไหม? แน่ใจนะว่าไม่พาอ้อมโลกไปโผล่อะลาสก้านะ?”


โมนีก้าเบะปากน้อย ๆ แต่ก็ยิ้มแล้วพยักหน้า “ถูกทางแล้วล่ะ ก่อนขึ้นเรือฉันดูเข็มทิศที่ลูปาให้มาแล้ว มันชี้ทางตรงมาที่นี่เป๊ะ ๆ ไม่ต้องห่วง” เธอแตะเบา ๆ ที่กระเป๋าคาดอกเหมือนจะยืนยันว่าของวิเศษนั้นยังอยู่กับตัวจริง ๆ


ซูกิถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อยแล้วตอบ “ก็ดี งั้นรอหน่อยนะ กว่าจะถึงฝั่งก็อาจจะค่ำ ๆ หน่อย”


โมนีก้าหันขวับใบหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดแต่ก็มีแววคิดถึงอยู่ในนั้น “ดึกหรือไม่ดึกมันก็ไม่มีความต่างหรอก! ก็ไม่เห็นมีช่วงเวลากลางคืนจริง ๆ เลยนี่นา อาทิตย์มันส่องหัวอยู่ตลอดเวลา…” เธอกอดอกแน่นแล้วบ่นอุบ แววตาสีเทาเงินสะท้อนความหม่นเศร้านิด ๆ “อีกชาติเศษมั้งกว่าฉันจะได้เห็นดาว ได้เห็นฟ้าค่ำที่มืดจริง ๆ อีกครั้ง…”


ซูกิมองเพื่อนเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วเอื้อมมือมาตบไหล่เบา ๆ “อดทนไว้ เดี๋ยวพวกเดมอก็อดคนอื่น ๆ ก็จะหาทางได้เห็นเองสักวัน” น้ำเสียงแม้ราบเรียบแต่แฝงความจริงใจอย่างที่สุด โมนีก้าเลยยิ้มบาง ๆ ตอนได้ยินแม้จะยังบ่นแต่ก็คลายใจขึ้นนิดหน่อย เธอเอนศีรษะลงกับแขนที่กอดอกอยู่แล้วมองออกไปสู่ทะเลกว้าง ปล่อยให้เสียงเครื่องเรือและลมทะเลกลบความคิดถึงฟ้ายามค่ำคืนที่เธอโหยหาอยู่ในใจ


สายลมทะเลพัดเย็นพาเอากลิ่นเกลือทะเลลอยมาแตะจมูก เส้นผมสีม่วงครามของโมนีก้าปลิวสะบัด เธอวางข้อศอกพาดราวเรือพลางเหม่อมองออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ที่ทอดตัวไกลสุดสายตา คลื่นกระทบกับท้องเรือดังซ่าเบา ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับเสียงดนตรีที่คอยกล่อมใจให้เธอสงบลง หญิงสาวเหลือบสายตาไปยังเพื่อนข้างกายอย่างซูกิที่นั่งพิงเก้าอี้เหล็กด้วยท่าทีสบาย ๆ ดวงตาคมใต้กรอบแว่นกันแดดมองออกไปข้างหน้าไม่ต่างจากเธอ เสี้ยวหน้านั้นทำให้โมนีก้าเผลอยิ้มมุมปากออกมา ก่อนจะถามเสียงแผ่วแต่แฝงความกังวล 


“ซูกิ…เห็นว่าในค่ายจะมีกองร้อยหลายกอง ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน…เธอจะคิดถึงฉันบ้างไหม?”


คำถามนั้นทำให้ซูกิหันหน้ามามองเต็ม ๆ สีหน้าของเพื่อนสาวทอมบอยไม่มีร่องรอยลังเลเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงหนักแน่นจนโมนีก้าใจอุ่นขึ้นทันที “คิดถึงสิ ไม่ต้องห่วง ถึงจะถูกแยกไปอยู่คนละกองร้อย แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนเหมือนเดิมเสมอไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก” โมนีก้าชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์เบิกกว้างขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มจริงใจที่แฝงความโล่งใจ เธอหันกลับไปมองทะเลกว้างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หัวใจเธออบอุ่นขึ้นมากกว่าตอนแรก ราวกับไม่ว่าอนาคตจะยากลำบากแค่ไหน เธอก็ยังมีเพื่อนที่มั่นคงอยู่ข้าง ๆ เสมอ


อื่น ๆ : -

รางวัล : -

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 40280 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-6 22:33
โพสต์ 40,280 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-9-6 22:33
โพสต์ 40,280 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 เกียรติยศ จาก เกมคอนโซลพกพา  โพสต์ 2025-9-6 22:33
โพสต์ 40,280 ไบต์และได้รับ +7 EXP +7 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก กล่องดนตรี  โพสต์ 2025-9-6 22:33
โพสต์ 40,280 ไบต์และได้รับ +8 EXP +9 ความกล้า +9 ความศรัทธา จาก กระซิบแห่งพงไพร  โพสต์ 2025-9-6 22:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-7 14:25:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
sigil
บันทึกการเดินทาง From Lupa’s Kick to Jupiter’s Gates
วันที่ 05 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงค่ำ เวลา 18.00 - 21.00 น.เดินทางถึง San Francisco Ferry Building และออกเดินทางไป Lomas Cantadas Rd รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

เสียงหวูดเรือดังก้องไปทั่วอ่าวซานฟรานซิสโก ขณะเฟอร์รี่เคลื่อนตัวเข้าเทียบท่าอย่างมั่นคง ทิวทัศน์ตรงหน้าเผยให้เห็นอาคาร San Francisco Ferry Building สีขาวโอ่อ่า ประดับด้วยหอนาฬิกาสูงตระหง่านกว่า 75 เมตร ด้านหลังทอดยาวไปถึงสะพาน Bay Bridge ที่ตัดกับฟ้าสีครามและน้ำทะเลระยิบระยับราวกับเพชรที่กระจายทั่วผืนฟ้าและน้ำ 


โมนีก้าในชุดกระโปรงสีสวยโดนลมพัดผมปลิวสะบัด เธอยืนเกาะราวกั้นดาดฟ้าเรือ ก่อนเบิกตากว้าง ดวงตาสีเทาเงินเป็นประกายสะท้อนความตื่นเต้น “สวยมากเลยอ่ะซูกิ! ดูสิ ตึกหอนาฬิกานั่น สูงตั้งเจ็ดสิบห้าเมตรเลยนะ รู้มั้ย ที่นี่เขาไม่ได้เป็นแค่ท่าเรือ แต่ยังเป็นศูนย์กลางคมนาคมของเมืองนี้มาตั้งแต่ก่อนแล้วด้วยนะ มีตลาดอาหารท้องถิ่นด้วย ของกินเยอะมากเลยล่ะ!” น้ำเสียงสดใสผสมความอวดรู้เล็กน้อยจนคนรอบ ๆ เผลอหันมามองด้วยรอยยิ้ม


ซูกิที่สะพายกระเป๋าอยู่ข้างหลังหันมามองเพื่อนสาวอย่างเอือม ๆ แต่ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างขำขัน “นี่เรามาทัวร์ประวัติศาสตร์หรอ? หรือจะมาลงเรียนเป็นไกด์นำเที่ยวอีกงานหนึ่ง?” โมนีก้าหันมาเบ้ปากอย่างไว ใบหน้าที่แดงน้อย ๆ เพราะแดดตลอดทางยิ่งดูน่าหยิก “เล่าให้ฟังเฉย ๆ ย่ะ! จะได้ไม่บื้อไง” พูดจบยังหันไปแลบลิ้นใส่เพื่อน ทำเอาซูกิกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่


เมื่อเรือเปิดประตูให้ผู้โดยสารลง โมนีก้าก็ก้าวลงบันไดพร้อมกับผู้คนจำนวนมาก กลิ่นกาแฟหอม ๆ ลอยมาตามลม กลิ่นขนมปังอบใหม่และผลไม้สดผสมเข้าด้วยกัน เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วหันมามองซูกิด้วยรอยยิ้มสดใส ราวกับเด็กสาวที่ได้ออกผจญภัยในดินแดนใหม่ที่รอคอยการค้นพบ โมนีก้าเดินออกมาจากตัวอาคาร Ferry Building อย่างอารมณ์เสียเล็ก ๆ ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนความผิดหวังเมื่อเห็นแผงตลาดที่ปิดเก็บของกันเกือบหมดแล้ว แม่ค้าและพ่อค้าต่างทยอยเก็บลังไม้ ผลไม้สด และขนมอบที่เหลือกลับเข้ารถเข็น เสียงกุญแจล็อกแผงดังขึ้นเป็นระยะ ๆ เธอเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือบอกเวลา 18.00 น. พอดี ทว่าท้องฟ้าที่สว่างจ้าเหมือนเวลาเที่ยงตรงกลับทำให้หญิงสาวไม่รู้เลยว่าความจริงมันค่ำแล้ว


“เห้ออออ…” โมนีก้าพ่นลมหายใจยาว ๆ จนผมสีม่วงครามปลิวสะบัดเล็กน้อย แก้มป่องขึ้นด้วยความงอแง “นึกว่าจะได้เดินตลาด หาอะไรอร่อย ๆ กินก่อนขึ้นรถแท็กซี่ไปอุโมงค์คัลลีคอตต์ซะอีก แบบนี้ก็อดเลยดิ…” เธอเอ่ยเสียงหงุดหงิดพร้อมกอดอกแน่นเหมือนเด็กถูกขัดใจ


ซูกิที่เดินเคียงข้างเอียงคอมองแล้วหัวเราะหึในลำคอ ก่อนจะยกมือเกาท้ายทอยพลางบอกอย่างใจเย็น “เฮ้อ โม ถ้าหิวขนาดนั้น เราหาอะไรกินแถวนี้ก่อนไหม? ถึงตลาดจะปิดแล้ว แต่ร้านรอบ ๆ ท่าเรือยังพอมีอยู่นะ อย่างน้อยคงมีคาเฟ่หรือร้านฟาสต์ฟู้ดเปิดอยู่บ้างล่ะ” โมนีก้าหันมามองเพื่อนด้วยสายตาเป็นประกายเหมือนได้ยินข่าวดี แต่ก็ยังทำเชิดปากน้อย ๆ “ก็ได้… แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่เอาอะไรเบา ๆ แล้วก็ไม่กินสลัดผักหรอกนะ ถ้าเจอเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ ๆ หรือพิซซ่าหน้าแน่น ๆ ล่ะใช่เลย”


ซูกิหลุดหัวเราะ “เธอนี่เอาแต่กินจริง ๆ นะ” แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพียงจับมือโมนีก้าให้เดินตามไปตามถนนด้านข้างท่าเรือที่เริ่มคึกคักด้วยผู้คนที่กำลังจะกลับบ้าน บรรยากาศรอบ ๆ ยังเต็มไปด้วยแสงแดดอุ่นเจิดจ้าที่ไม่เคยลับขอบฟ้า แต่สำหรับโมนีก้ากลิ่นหอมของอาหารจากร้านเล็ก ๆ ตามทางต่างหากที่กำลังเป็นแสงนำทางในใจเธอ


ระหว่างการเดินหาร้านอาหารเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของผู้คนที่กำลังเดินกลับบ้านดังคลอเคลียไปกับบรรยากาศริมท่าเรือ แต่ทันทีที่โมนีก้าเหลือบตาไปเห็นรถฟู้ดทรักคันหนึ่งที่มีป้ายไฟเล็ก ๆ เขียนว่า Hainanese Chicken Rice ดวงตาสีเทาเงินก็เปล่งประกายราวกับเจอขุมทรัพย์ เธอแทบจะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว รีบคว้าแขนซูกิลากพุ่งตรงเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล


“เฮ้ย! โม เบา ๆ หน่อยสิ!” ซูกิร้องประท้วงเบา ๆ แต่ก็ถูกลากมาจนเกือบสะดุดเท้าไปกับขอบฟุตปาธ


“ซูกิ!! ข้าวมันไก่! เห็นป้ายไหม ข้าวมันไก่! แบบไทยหรือสิงคโปร์ก็ไม่รู้ แต่ฉันไม่สนแล้ว หิว!” โมนีก้าเอ่ยเสียงดังจนเจ้าของรถฟู้ดทรักหัวเราะออกมาเบา ๆ หญิงสาวก้าวไปถึงหน้าเคาน์เตอร์ก็แทบจะทุบมือลงบนโต๊ะอย่างคนหิวโซ “เอาข้าวมันไก่พิเศษค่ะ ไม่เอาเลือดกับเครื่องในนะคะ ขอน้ำซุปถ้วยใหญ่ แล้วข้าวเยอะ ๆ เลย 1 จานค่ะ!” เธอสั่งแบบไม่ปล่อยให้เจ้าของร้านได้พักหายใจ ก่อนหันหน้ากลับไปหาเพื่อนสาวทอมบอย “ซูกิ สั่งเองนะ ฉันไม่ยุ่ง”


ซูกิยืนกอดอกถอนหายใจหนัก ๆ แต่แววตาแอบเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ครับ ๆ งั้นผม(?)…เอาแบบธรรมดาก็พอ ไม่ต้องพิเศษ อกไก่ก็พอ” น้ำเสียงนิ่ง ๆ ของเธอตัดกับความตื่นเต้นเว่อร์วังของโมนีก้าเสียจนเจ้าของรถฟู้ดทรักอดยิ้มกว้างไม่ได้ โมนีก้ายืนโยกตัวไปมาอย่างกับเด็กกำลังรอขนม ระหว่างนั้นเธอก็เหลือบมองกลิ่นข้าวหอมมันที่ลอยมาแตะจมูก น้ำลายแทบไหลออกมาเลยทีเดียว “โอ๊ยยย ฉันรักอเมริกาตรงนี้แหละ ฟู้ดทรักก็ยังมีข้าวมันไก่ให้กิน! ซูกิ นี่คือสวรรค์ชัด ๆ”


ซูกิส่ายหัวเบา ๆ พร้อมหัวเราะหึในลำคอ “สวรรค์หรือท้องแตกกันแน่วะวันนี้…” แต่ก็ยอมยืนรอข้าง ๆ โดยมีโมนีก้าที่กำลังตาเป็นประกายเหมือนรอของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิต


ไม่นานทั้งโมนีก้าและซูกิก็ได้กินข้าวมันไก่สมใจอยากสตรีผมม่วง กลิ่นหอมของข้าวมันไก่ร้อน ๆ ลอยอบอวลอยู่รอบโต๊ะเล็ก ๆ ที่ตั้งไว้ข้างรถฟู้ดทรัก เสียงผู้คนเดินผ่านไปมาบ้างประปราย แต่สำหรับโมนีก้าแล้วโลกทั้งใบเหมือนจะหยุดลงตรงหน้าจานข้าวของเธอ หญิงสาวคีบชิ้นไก่ขึ้นมากินพร้อมข้าวคำใหญ่ ๆ ดวงตาสีเทาเงินแทบจะเปล่งประกาย เธอเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยจนแทบอยากร้องเพลงสรรเสริญ แน่นอนว่าพอเจอแตงกวาข้างจานเธอก็เบ้ปากเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนทั้งหมดไปใส่จานของซูกิอย่างไม่ลังเล “เอ้า เอาไปเลย ฉันไม่กิน”


ซูกิที่กำลังตักข้าวคำเล็ก ๆ ใส่ปากเลิกคิ้วมอง “นี่คือการแบ่งปันหรือการกำจัดของเหลือกันแน่นะ?” แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รับแตงกวาไปกินต่อโดยไม่บ่นมาก


โมนีก้าเงยหน้าขึ้นจากจาน หัวเราะคิก “อย่างน้อยถ้ากินข้าวมันไก่ก็ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเขี่ยผัก ง่ายดีออก” เพื่อนสาวทอมบอยถอนหายใจยาวแต่แววตากลับมีรอยขำจาง ๆ แฝงอยู่ เธอถามขึ้นเรียบ ๆ “เธอชอบอาหารเอเชียมากเลยเหรอ?”


โมนีก้าพยักหน้าแรง ๆ ทันที พลางตักไก่เข้าปากอีกคำ “ชอบสิ! แต่ที่ชอบที่สุดคืออาหารไทยกับอาหารญี่ปุ่นนะ” เธอเอ่ยเสียงสดใส ก่อนสายตาจะอ่อนลงเล็กน้อยเหมือนระลึกความหลัง “หลังจากแม่เสียไป พี่เลี้ยงที่บ้านเป็นคนไทย…เธอทำอาหารอร่อยมาก ๆ ฉันเลยติดรสชาติแบบนั้นมาตลอด กินเผ็ดได้ด้วยนะ ไม่ได้แพ้อะไรพวกนั้นเลย” ซูกิฟังแล้วก็พยักหน้าเบา ๆ แววตาเหมือนจะเห็นโมนีก้าในมุมที่ลึกขึ้นกว่าเดิม “อ๋อ…งั้นไม่แปลกที่เวลาเจอของกินไทย เธอถึงตาโตทุกที”


โมนีก้าหัวเราะคิกก่อนจะตักข้าวคำใหญ่ใส่ปากแล้วพูดอู้อี้ “ก็ของมันอร่อยนี่นา! ไม่เชื่อก็ลองสิ” เธอเลื่อนชิ้นไก่ไปตรงหน้าซูกิแบบยื่นซ้อมให้


ซูกิส่ายหัวปฎิเสธพร้อมหัวเราะหึในลำคอ “เออ ๆ กินไปเถอะ เดี๋ยวก็อิ่มจนเดินไม่ไหวอีกตามเคย” เป็นการกินข้าวที่แสนอร่อยสำหรับคนสองคนแหละนะ ถึงบรรยากาศมันจะเป็นช่วงเวลากลางวันตลอดเวลาก็ตามที


หลังจากอิ่มท้องด้วยข้าวมันไก่แสนอร่อยแล้ว โมนีก้าก็ลุกขึ้นคว้าจานพลาสติกกับช้อนส้อมไปทิ้งในถังขยะที่เจ้าของรถฟู้ดทรักจัดไว้ หญิงสาวเช็ดมือกับทิชชู่แล้วพ่นลมหายใจอย่างพอใจ “เรียบร้อย ไม่ทิ้งเกลื่อนกลาดแน่นอน” เธอหันไปยักคิ้วให้ซูกิที่ยืนกอดอกมองอย่างเอือม ๆ แต่ก็ยิ้มบาง ๆ เหมือนรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นพวกที่ถึงจะซุ่มซ่ามแต่ก็ใส่ใจรายละเอียดพวกนี้เสมอ ทั้งสองเดินออกจากลานอาหารชั่วคราวเข้าสู่ถนนใหญ่ที่ยังคงคึกคักด้วยรถรา แม้จะเป็นเวลาเย็นแล้วแต่ท้องฟ้าก็ยังคงสว่างไสวเหมือนเที่ยงวันไม่มีผิดเพี้ยน ความจริงข้อนี้ทำให้โมนีก้าบ่นอุบ “เห้อ เมื่อไหร่โลกนี้จะมีกลางคืนจริง ๆ ซะทีนะ ฉันอยากเห็นดวงดาวแล้วเฟ้ย…”


ซูกิปรายตามองแล้วตอบเสียงเรียบ “ถ้าอยากเห็นดวงดาวก็รอให้ไปถึงค่ายจูปิเตอร์ก่อนเถอะ ตอนนี้หารถไป Lomas Cantadas Rd ให้ได้ก็พอแล้ว” โมนีก้าพยักหน้าหงึก ๆ แต่พอเห็นป้ายแท็กซี่เท่านั้นแหละ เธอก็รีบลากแขนเพื่อนสาวไปทันที “เร็วเข้า ๆ ก่อนจะโดนใครแย่งไป!”


แท็กซี่คันหนึ่งพอดีเพิ่งเทียบจอด คนขับเป็นชายเชื้อสายลาตินท่าทางใจดี เขาลดกระจกลงถามปลายเสียงเหนื่อย “ไปไหนกันครับ?” ซูกิขยับก้าวไปอธิบายด้วยท่าทีสุภาพ “ไป Lomas Cantadas Road ค่ะ ช่วยไปส่งตรงทางเข้าหน่อยนะคะ เราไม่สามารถลงเดินบนทางหลวงได้”


“ได้ครับ แต่ต้องลงตรงจุดที่ปลอดภัยที่สุดนะเป็นจุดลงชมวิว ไม่งั้นตำรวจเห็นมีปัญหาแน่” คนขับพยักหน้าช้า ๆ แล้วทำมือประมาณว่าขึ้นรถได้เลย


โมนีก้าโผล่หน้าไปเสริมทันทีด้วยรอยยิ้มกว้าง “โอเคค่ะคุณอา แค่นี้ก็ดีใจมากแล้ว!” หลังจากนั้นทั้งสองก็รีบขึ้นรถไปนั่งเบาะหลัง เสียงประตูปิดดังปังเหมือนเป็นสัญญาณเริ่มต้นของเส้นทางใหม่ รถแท็กซี่ค่อย ๆ แล่นออกจากย่านตลาด มุ่งหน้าสู่เส้นทางหลวงที่ทอดยาวไปยังสันเนินเขาของ Lomas Cantadas อย่างเงียบสงบ ทว่าภายในหัวใจของทั้งโมนีก้าและซูกิกลับรู้ดีว่า การเดินทางนี้เพิ่งเริ่มต้น และสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคงไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน


บนเบาะหลังของแท็กซี่ที่กำลังแล่นออกจากตัวเมืองเข้าสู่ทางหลวง โมนีก้านั่งเหยียดขาเล็กน้อยเหมือนคนหมดแรง สายตาเธอทอดออกไปนอกกระจกมองวิวตึกสูงที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นป่าริมทางและไหล่เขา เธอหันหน้ากลับมาแล้วเอียงหัวพิงไหล่ของซูกิอย่างเกียจคร้าน น้ำเสียงอ่อนล้าแต่แฝงด้วยความกังวลเอ่ยขึ้น “เราจะถึงแล้วใช่ไหม… คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า?”


ซูกิที่นั่งตรงข้าง ๆ หันสายตามามอง เห็นใบหน้าของเพื่อนสาวที่แม้จะพยายามทำเป็นสบาย ๆ แต่แววตากลับซ่อนความหวาดระแวงเอาไว้ เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ก็คงมีแหละ…อย่าลืมว่าตอนที่เราลง มันไม่ใช่ตรงเมือง แต่เป็นจุดชมวิวบนทางหลวง หลังจากนั้นต้องเดินเท้าไปต่ออีก ถ้ามีมอนสเตอร์หรือพวกคนประหลาดก็เลี่ยงไม่ได้”


โมนีก้าฟังแล้วพยักหน้าเบา ๆ พลางยกมือขึ้นกอดอก “อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ขอเถอะ…ไม่เอาอีกแล้วพวกทหาร รับมือยากกว่ามอนสเตอร์อีก” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายปนหงุดหงิดที่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ 


ซูกิมองเธอแล้วพ่นลมหายใจสั้น ๆ ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่เพื่อนสาว บีบเบา ๆ เป็นเชิงปลอบ “ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะมีอะไรโผล่มาอีกเราก็ผ่านมันไปด้วยกันได้เหมือนเดิม” โมนีก้าเหลือบตาขึ้นสบกับซูกิดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงแดดลอดเข้ามาในรถ เธอไม่พูดอะไร แค่ยิ้มบาง ๆ อย่างขี้เล่นเหมือนเคย แล้วเอียงหัวพิงไหล่ซูกิแน่นขึ้นเล็กน้อยเหมือนหาที่พึ่ง รถแท็กซี่ก็ยังคงแล่นไปบนถนนยาวเหยียด เสียงเครื่องยนต์และเสียงลมปะทะกระจกคือท่วงทำนองเดียวที่อยู่รอบตัวพวกเขาในเวลานั้น


อื่น ๆ : -

รางวัล : -

แสดงความคิดเห็น

God
+10 ความโปรดปราน เควเรลล่าพูดขึ้นก่อนจะลุกไป ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะทั้งสองสาว  โพสต์ 2025-9-7 14:35
God
((โดยสตอรี่โมมุส เควเรลล่าจะถามเรื่องตลกที่สุดของทั้งสองคน ให้เล่าเรื่องตลกมา ถ้าเล่าถูกใจเขาจะเลี้ยงฟาสฟูคมื้อนี้ +30 ความโปรดปราน หากไม่ถูกใจเขาจะเดินออกไปและให้คุณจ่ายเงินเอง +5 ความโปรดปรา))  โพสต์ 2025-9-7 14:35
God
มีคนผู้หนึ่งชวนทั้งสองไปนั่งกินฟาสต์ฟู้ค https://percyjackson.mooorp.com/dzs_npc-dzs_npc#88 (หากตอบรับรอคูลดาวน์โพสต์และสร้างสตอรี่พาร์ทเสริมไม่นับบทหลักในร้านฟาสต์ฟู้คแถวนั้น) หากปฏิเสธ-----  โพสต์ 2025-9-7 14:33
โพสต์ 54157 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-7 14:25
โพสต์ 54,157 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-9-7 14:25
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-7 16:39:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
sigil
บันทึกการเดินทาง From Lupa’s Kick to Jupiter’s Gates
วันที่ 05 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงค่ำ เวลา 18.00 - 21.00 น.เดินทางถึง San Francisco Ferry Building และออกเดินทางไป Lomas Cantadas Rd รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา (ก่อนขึ้นรถ)

ระหว่างที่โมนีก้าและซูกิกำลังจะเดินออกจากโซนอาหารเพื่อไปหาแท็คซี่ไม่นานเสียงหัวเราะทุ้ม ๆ ก้องขึ้นกลางอากาศ เหมือนมาจากงานเลี้ยงที่ไม่เห็นหน้าเจ้าภาพ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ดูสิ…สองสาวเดมิก็อดหน้าตาบึ้งตึงเหมือนคนเพิ่งถูกแฟนเท!” เสียงนั้นแฝงไปด้วยความกวนโอ๊ยและเสียดสี จนโมนีก้ากับซูกิหันไปมองตามเสียงแทบพร้อมกัน


ชายผิวเข้มคนหนึ่งเดินยิ้มกว้างเข้ามา ท่าทางทะเล้น สบาย ๆ เหมือนคนไม่มีพิษมีภัย เขาสวมเสื้อยืดเรียบ ๆ แต่รอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวนี่แหละที่สะดุดตา รอยยิ้มแบบคนที่พร้อมจะกวนประสาทใครสักคนทุกเมื่อ “โอ้โห ๆ ทำไมทำหน้าเหมือนเพิ่งแพ้พนันมาได้ล่ะฮะ สองสาว? พักหน่อยไหม ร้านฟาสต์ฟู้ดตรงนั้นเขากำลังทอดเฟรนช์ฟรายส์ใหม่ ๆ เลยนะ…ว่ากันว่าใครได้กินก็จะลืมความซวยไปชั่วคราวล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”


โมนีก้าเลิกคิ้วทันที หันไปกระซิบกับซูกิว่า “เขาเป็นใครน่ะเดินมาอยู่ ๆ ก็มากวนตีนได้กวนจริงจังเลยนะเนี้ย…” แต่ดวงตาเธอดันแพรวพราวเมื่อมองไปที่ร้านอาหารที่ชายคนนั้นชี้ไป เฟรนช์ฟรายส์สีทองกรอบ ๆ กับกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกพอดี


ซูกิทำหน้าขรึม มือข้างหนึ่งวางที่ด้ามกราดิอุสอย่างระแวดระวัง แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้ตรง ๆ เธอเหลือบมองผู้ชายคนนั้นแล้วถอนหายใจ “โมนีก้า…อย่าเพิ่งหลงไปกับคำพูดคนแปลกหน้า…” ชายคนนั้นยักคิ้ว ยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ยังคงท่าทางขี้เล่นเต็มที่ 


“แหม ทำไมจริงจังกันนักเล่า โลกก็โหดร้ายพอแล้วนี่นา อย่างน้อยปล่อยให้ท้องพอมีความสุขบ้างก็ไม่เสียหายหรอก จริงไหม?” โมนีก้าที่ได้ยินก็เม้มปากกลอกตาอย่างลังเล เหมือนครึ่งหนึ่งอยากพุ่งไปสั่งเฟรนช์ฟรายส์ อีกครึ่งก็รู้สึกว่าคนตรงหน้ามันกวนใจเกินไปอย่างบอกไม่ถูก…


ซูกิที่ตอนแรกทำท่าเหมือนจะดึงแขนโมนีก้าไว้กลับชะงักไปนิดเดียว ดวงตาหรี่มองชายปริศนาตรงหน้าอย่างจับผิด เหมือนจะพยายามแยกแยะว่าเขาเป็นคนธรรมดาหรือไม่ใช่ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร ชายคนนั้นก็หัวเราะพรืดออกมาอีกครั้ง เสียงกวนหูเสียจนทั้งบรรยากาศรอบ ๆ เปลี่ยนเป็นเหมือนตลาดสดชั่วคราว “เอ้า ๆ อะไรกันน่ะ ทำหน้าเหมือนเด็กห้ามกินขนมอย่างนั้นทำไมล่ะหนูสาว ถ้าเฟรนช์ฟรายส์ไม่ถูกใจก็เพิ่มชีสเยิ้ม ๆ หน่อยดีไหม? รับรองหายงอนปุ๊บ!” เขาพูดไปก็ทำท่าราวกับกำลังยืดชีสจากพิซซ่าตรงหน้า ทั้งที่ตรงนั้นไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากอากาศเปล่า


โมนีก้าเบ้ปากทันที แก้มพอง ๆ เหมือนลูกโป่งจนดูน่าหมั่นไส้ “ไม่เอาค่ะ...หนูอยากกินของหวานมากกว่าเฟรนช์ฟรายส์น่ะ” น้ำเสียงฟังดูเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่ถูกแกล้งเข้าเต็ม ๆ


แต่ดูเหมือนคำพูดนี้จะเข้าทางชายคนนั้น เขายกคิ้วขึ้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายบนใบหน้า “ของหวานเหรอ? อ้อ งั้นง่ายเลย ตรงหัวมุมนั้น ร้านโดนัทไง! โรยน้ำตาลผสมอบเชย หอมฟุ้งหวานกรอบ กัดเข้าไปแล้วละลายในปากเลยนะ…แถมยังมีแบบไส้ครีมวนิลาที่พอแหวกออกมา ครีมก็ไหลเยิ้มเหมือนลาวา…” แค่คำบรรยาย เสียงทุ้มกวน ๆ ก็ทำเอาตาของโมนีก้าเป็นประกายทันที แทบจะกลายเป็นรูปหัวใจ เธอหันไปทางซูกิอย่างรวดเร็ว “ซูกิฉันอยากกิน นะ ๆ ไปกันเถอะ ฉันอยากกินสุด ๆ เลย!” ล่อง่ายชะมัด…


ซูกิถอนหายใจเฮือกใหญ่ยกมือกุมขมับแต่ก็ไม่ได้ห้าม เพื่อนสาวของเธอเวลามีของกินมาตั้งตรงหน้ายังไงก็แพ้ทุกที แถมชายแปลกหน้าคนนี้ก็ดูเหมือนจะเจาะจงปั่นหัวโมนีก้าให้ยิ่งน่าหมั่นไส้เข้าไปใหญ่


ชายคนนั้นหัวเราะอีกครั้ง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เห็นไหมล่ะ ของกินนี่มันคืออาวุธทรงพลังที่สุดในโลกจริง ๆ” เสียงหัวเราะสะท้อนก้อง ราวกับเขาไม่ได้พูดแค่กับสองสาว แต่พูดเพื่อประกาศให้ทั้งจักรวาลได้ยินเลยด้วยซ้ำ โมนีก้าที่ตอนแรกทำท่าจะงอแง ตอนนี้กลับยิ้มแก้มแทบแตก เดินนำไปทางร้านโดนัตอย่างร่าเริง ราวกับลืมความระแวดระวังไปสิ้น…


ไม่นานพวกเขาก็เดินมาที่ร้านโดนัทกลิ่นหอมหวานของโดนัทเพิ่งทอดใหม่ ๆ ลอยคลุ้งไปทั่ว มันผสมกับไออุ่นของช็อกโกแลตละลายจนทำให้โมนีก้าตาลุกวาวเธอหยิบโดนัทวานิลลาขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ก่อนกัดเข้าไปหนึ่งคำ แป้งนุ่มฟูราวกับก้อนเมฆ ตัดกับกลิ่นหอมละมุนของวานิลลาที่กระจายเต็มปาก ซูกิที่นั่งข้าง ๆ ก็กินด้วยเช่นกัน ถึงเธอจะไม่ใช่สายของหวาน แต่ก็ยอมกัดโดนัทเคลือบช็อกโกแลตไปคำหนึ่ง พอได้รสเข้มข้นก็เผลอยิ้มบาง ๆ ออกมา โมนีก้าเห็นก็หันมาแซวทันที “ของหวานคือพลังชีวิตจริง ๆ!”


ขณะนั้นชายผิวดำร่างสูงก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้ามอย่างสบาย ๆ วางข้อศอกบนโต๊ะแล้วเท้าคาง ดวงตาวิบวับเหมือนกำลังหาความสนุก เขายิ้มกวน ๆ จนเห็นฟันขาววับ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มเต็มไปด้วยจังหวะของการล้อเล่น


“เอาล่ะ สาว ๆ เรากินไปหัวเราะไปดีกว่าใช่ไหม? ฉันชื่อโมมุส เควเรลล่า …นักเล่าเรื่อง ผู้ชื่นชอบเสียงหัวเราะและเรื่องน่าขันที่สุดในโลก” เขาทำท่ากวาดมือเหมือนประกาศบนเวที “แล้วยัยหนูพลังสดใส กับเพื่อนสาวทอมบอยผู้เงียบขรึมนี่…ใครจะเล่าเรื่องตลกที่สุดของตัวเองให้ฉันฟังบ้างล่ะ?”


โมนีก้าวางโดนัทลงแล้วเช็ดคราบน้ำตาลบนแก้มพลางยกมืออย่างร่าเริง “หนูชื่อโมนีก้านะคะ! ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ!” น้ำเสียงสดใสเหมือนเด็กนักเรียนตอบคำถามคุณครู ก่อนหันไปดันแขนซูกิ “เร็วสิ แนะนำตัวบ้างน่า” ซูกิถอนหายใจแต่ก็ยิ้มมุมปากเล็ก ๆ “ซูกิ” เธอตอบสั้น ๆ ตามสไตล์เรียบง่าย “เพื่อนของยัยนี่แหละ”


โมมุสหัวเราะพรืดออกมา ก้มหน้าลงแล้วตบโต๊ะเบา ๆ “ดีมาก! งั้นบอกมาสิ เรื่องไหนที่ตลกที่สุดในชีวิตของพวกเธอ อยากฟังเรื่องแบบ…เอาให้อายจนอยากมุดดินนั่นแหละ ฮ่า ๆ ๆ”


โมนีก้าเหลือบตามองซูกิ ตาเป็นประกายซน ๆ ทันที “หืม? เยอะด้วยสิ แต่เดี๋ยว ๆ มีเรื่องหนึ่งตลกมากกก หนูเล่าก่อน ๆๆ!” เธอหันกลับมาหัวเราะคิกคักเหมือนกำลังนึกเรื่องเด็ดขึ้นมาแล้ว โมนีก้าวางโดนัทไว้ข้าง ๆ ทำท่าจริงจังขึ้นเล็กน้อยเหมือนนักเล่าเรื่องมืออาชีพ ก่อนจะเอียงตัวโน้มเข้ามาใกล้ทั้งซูกิและโมมุส ดวงตาสีเทาเงินของเธอเปล่งประกายราวกับพร้อมจะระเบิดความฮาออกมาในทันที “อันนี้ไม่ใช่เรื่องของหนูนะคะ แต่เป็นเรื่องที่คุณแม่บ้านเล่าให้ฟัง…คุณแม่บ้านเป็นคนไทย เขาเล่าว่าที่เมืองไทยมีนักเลงพวกหนึ่งนะคะ แบบฟีลมาเฟียครองเมืองอะไรทำนองนั้น วันหนึ่งพวกเขาจะไปตามหาคู่อริที่เคยเป็นเพื่อนกัน”


โมนีก้าทำเสียงเข้มเลียนแบบนักเลงไทย “มันก็เดินเข้าไปในร้านเพื่อนคู่อริ แล้วก็บอกเสียงโหด ๆ ว่า… ‘ไอ้เปี๊ยกอยู่ไหน!’” ซูกิที่นั่งฟังอยู่ถึงกับเอามือปิดหน้า หันหนีเพราะรู้สไตล์เพื่อนดีว่าเรื่องนี้ต้องมีหักมุมแน่นอน ส่วนโมมุสหัวเราะคิกตั้งแต่ยังไม่จบเรื่อง


โมนีก้าเล่าต่อด้วยท่าทางประกอบเต็มที่ “ทีนี้เจ้าของร้านที่ชื่อมงคลนะคะ พอได้ยินชื่อเพื่อนรัก ก็ใจหายแว้บ! ด้วยความรักเพื่อนสุดชีวิต เขาเลยบอกว่า… ‘ไม่เจอมันหลายปีแล้ว ไม่ได้ติดต่อกันเลย!’” เธอหยุดเว้นจังหวะ ยกมือประกอบทำหน้ากังวลเลียนแบบ แล้วก็ระเบิดประโยคเด็ดออกมา “แล้วทันใดนั้น! ไอ้เปี๊ยกตัวจริงก็เคาะประตูร้านดังปั้ง!! พร้อมพูดว่า ‘เฮ้ย มึงปิดร้านทำไมวะ ดูหนังโป้อยู่อ่ะสิ’”


หลังจากนั้นโมนีก้าก็เล่าแบบถึงพริกถึงขิง…



เสียงหัวเราะดังลั่นโต๊ะ โมมุสหัวเราะก๊ากจนต้องก้มหน้าตบโต๊ะ น้ำตาแทบไหล “โอ๊ยยย! นี่มัน…! นี่มันปลาหมอตายเพราะปากของแท้ ฮ่า ๆ ๆ ๆๆ!” ซูกิเอามือกอดอกแต่ก็ยิ้มไม่หยุด “โคตรพีค คือพยายามช่วยเพื่อนสุดใจ แต่เปี๊ยก…แกทำลายกำแพงทั้งหมดด้วยปากตัวเอง”


โมนีก้าหัวเราะจนตัวงอ “ใช่! สุดท้ายก็เลยโดนคู่อริจับไปทั้งคู่เลยนั่นแหละ กลายเป็นปลาหมอตายเพราะปากจริง ๆ ฮ่า ๆ ๆ” โมมุสยกแก้วน้ำโค้กขึ้นชูเหมือนกับจะประกาศ “เพื่อเกียรติของไอ้เปี๊ยก ผู้สอนเราว่า บางทีปากก็คมยิ่งกว่าดาบ!” แล้วก็หัวเราะต่ออีกยก


เสียงหัวเราะของโมมุสยังคงดังระงมอยู่ในอากาศ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่เคยหายจากใบหน้า เขายกมือปาดน้ำตาที่เล็ดออกมาเพราะขำจัด ๆ แล้วหันมาพูดพลางส่ายหัวเบา ๆ “บางทีคนไทยก็แปลกจริง ๆ นะพวกเธอว่าไหม? เรื่องฮา ๆ แบบนี้มีไม่รู้จบ ฟังยังไงก็ไม่หมด ประเทศนี้มันบันเทิงของแท้เลย ฮ่า ๆ ๆ”


โมนีก้าที่กำลังเลียซอสช็อกโกแลตจากปลายนิ้วหัวเราะคิก พยักหน้าอย่างแรง “จริงค่ะ! คนไทยนี่ขำไม่หยุด พวกเขาเหมือนคนที่ไม่ค่อยเครียดเลย ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็กก็หาเรื่องขำได้ตลอด”


ซูกินั่งพิงเก้าอี้มองทั้งสองอย่างระอา ๆ แต่ก็ยิ้มตามบรรยากาศ “ก็จริงนะ คนไทยบางทีเหมือนมีพลังพิเศษด้านตลก…เจออะไรพวกเขาก็หาทางปล่อยมุขได้หมด”


 โมมุสทำท่าชี้นิ้วไปข้างหน้าเหมือนเพิ่งคิดอะไรเด็ด ๆ ขึ้นมา “งั้นว่าง ๆ ฉันควรไปเที่ยวที่นั่นบ้างนะ! ขึ้นชื่อว่าดินแดนแห่งเสียงหัวเราะแบบนี้ ฉันต้องลองสัมผัสดูสักครั้ง ฮ่า ๆ ๆ” และก่อนที่โมนีก้าจะได้ตอบ เขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงในท่วงท่าลำลองแต่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ เขากวาดตามองทั้งสองสาวแล้วเอ่ยขึ้นเสียงกังวาน “ขอบคุณสำหรับอาหารและเรื่องตลกมื้อนี้นะ…ทั้งสองสาว” เขาเท้าคางยิ้มบาง ดวงตาเป็นประกายกรุ้มกริ่ม “มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าที่ทำให้ท้องไส้ฉันแทบปั่นป่วน หวังว่าเราจะได้พบกันอีก…ทั้งแม่สาวผมทองกับแม่สาวน้อยดวงตาเทาเงินบริสุทธิ์” ว่าพลางขยิบตาให้โมนีก้าด้วยก่อนจากไป


คำพูดท้ายของเขาทำให้โมนีก้ากะพริบตาปริบ ๆ หัวใจเต้นแปลก ๆ อย่างไม่เข้าใจ ส่วนซูกิเลิกคิ้วทันที จับจ้องผู้ชายปริศนานี้ด้วยสายตาไม่ไว้ใจ แต่โมมุสเพียงหัวเราะหึในลำคอแล้วหมุนตัวเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะและความรู้สึกปริศนาให้สองสาวนั่งมองหน้ากัน


โมนีก้านั่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้ามาทางซูกิพร้อมกับทำแก้มป่อง “ตาเทานี่มันแปลกหรอ? ก็เห็นคนก็มองตาฉันบ่อย ๆ เหมือนกันนะ” น้ำเสียงเจือความสงสัยจริง ๆ ซูกิเหลือบตามองเพื่อนสาวแล้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนอธิบายเสียงเรียบ “มันไม่ได้แปลกหรอก แต่ปกติดวงตาสีเทาของคนทั่วไปมันจะคล้ายฟ้าที่อ่อนมาก ๆ เหมือนละอองหมอก แต่ของเธอนี่สิ…มันเป็นเทาล้วน ๆ เลย เหมือนสีเงินที่ถูกขัดจนใส ไม่มีสีอื่นเจือปนเลยสักนิด”


โมนีก้าได้ยินก็ยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ “อืม ก็ช่างเถอะน่า ฉันไม่คิดว่ามันสำคัญอะไรหรอก” ว่าแล้วก็ยืนขึ้น ปัดกระโปรงและเสื้อให้เข้าที่ แล้วหันมายิ้มกว้างให้เพื่อนสาว


ซูกิเองก็ลุกตาม เธอสะพายกระเป๋าเก็บดาบกราดิอุสไว้แน่นอย่างเป็นนิสัย ก่อนเอ่ยเรียบ ๆ “งั้นไปกันเถอะ…อย่าเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย เรามีเส้นทางต้องเดินอีกยาว” โมนีก้าเดินเคียงข้างเพื่อน ก้าวเท้าออกไปบนถนนที่ทอดสู่จุดหมายใหม่ ใบหน้าเธอยังคงยิ้มร่าเริงราวกับไม่ได้ยึดติดกับคำพูดแปลก ๆ เมื่อครู่ แต่ในแววตาเทาเงินนั้นกลับมีแววบางอย่างที่ทั้งซูกิและใครก็ตามที่มองเห็น…คงสัมผัสได้เพียงลาง ๆ ว่ามันไม่ใช่ดวงตาธรรมดา



อื่น ๆ : -

รางวัล : โบนัสความโปรดปรานของ [God-38-1] โมมุส

โบนัสจาก จากเหตุการณ์เลี้ยงอาหาร - โบนัสความโปรดปราน +10

โบนัสจาก เรื่องเล่าตลกที่ถูกใจ - โบนัสความโปรดปราน +30

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปรานของเทพ +25


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-38-2] เควเรลล่า เพิ่มขึ้น 80 โพสต์ 2025-9-7 17:11
โพสต์ 64197 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-7 16:39
โพสต์ 64,197 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-9-7 16:39
โพสต์ 64,197 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 เกียรติยศ จาก เกมคอนโซลพกพา  โพสต์ 2025-9-7 16:39
โพสต์ 64,197 ไบต์และได้รับ +7 EXP +7 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก กล่องดนตรี  โพสต์ 2025-9-7 16:39
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-7 19:47:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-9-7 19:49

sigil
บันทึกการเดินทาง From Lupa’s Kick to Jupiter’s Gates
วันที่ 05 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 21.00 - 23.00 น. เดินทางถึง Lomas Cantadas Rd เดินตามป้าย East Bay Skyline National Recreation Trail จนถึง อุโมงค์คัลลีคอตต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

แท็กซี่คันเก่าค่อย ๆ ชะลอแล้วหยุดที่จุดชมวิวบนถนนสายแคบที่โอบล้อมด้วยเนินเขาเขียวชอุ่ม กลิ่นหญ้าสดใหม่หลังลมพัดแรงโชยมากระทบหน้า โมนีก้าลงจากรถทันทีที่ซูกิยื่นแบงค์ให้คนขับเรียบร้อย เธอสูดลมหายใจลึกรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างจากในเมืองโดยสิ้นเชิง "ที่นี่มัน…โล่งดีจัง" โมนีก้าว่าพลางกวาดสายตาไปตามเส้นทางป่าเล็ก ๆ ที่ทอดยาวลงไปเหมือนเชิญชวนให้ก้าวต่อ เสียงนกร้องระงมจากแนวไม้ข้างทางสายลมพัดใบไม้ไหวเป็นจังหวะ เธออดไม่ได้ที่อยากจะยกมือถือขึ้นมาแต่ก็ต้องนึกได้ว่าเปิดไม่ได้เดี๋ยวมอนสเตอร์โผล่ อีกอย่างตอนนี้ไม่มีมือถือติดตัวด้วย…


"ให้ตายสิ อยากถ่ายเก็บไว้มากเลย" โมนีก้าบ่นแบบงอแงเล็กน้อย


ซูกิเหลือบมองหน้าเพื่อนสาวที่กำลังทำแก้มป่อง ก่อนพูดเรียบ ๆ แต่แฝงความอบอุ่น "ไม่ต้องถ่ายหรอก จำเอาไว้ในหัวก็ได้บางทีแบบนั้นมันชัดกว่าภาพถ่ายอีก"


"พูดเหมือนคนแก่เลยนะเธอเนี่ย" โมนีก้าเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนแล้วหัวเราะนิด ๆ ระหว่างเดิน ซูกิไม่ตอบเพียงสะพายกระเป๋าให้กระชับขึ้นแล้วชี้ไปยังเส้นทาง "เดินไปเรื่อย ๆ เถอะ เส้นทางนี้จะค่อย ๆ โอบรอบไป พอถึงจุดสูงหน่อยเธอจะมองเห็น Oakland Hills อยู่ตรงนั้นเป็นเหมือนภาพวาดเลยล่ะ"


หญิงสาวดวงตาเทาเงินเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น “จริงเหรอ! งั้นไปกันเลยสิ อยากเห็นแล้ว” เธอเริ่มออกก้าวนำไปสองสามก้าว ร่างอ้อนช้อยแต่เต็มไปด้วยพลังงานเหมือนเด็ก ๆ ที่กำลังจะได้เที่ยวเล่น ซูกิส่ายหัวเบา ๆ แต่ก็เดินตามไปเคียงข้าง ระหว่างทางต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่าน ขอบทางเต็มไปด้วยดอกหญ้าเล็ก ๆ ที่บานตามฤดูกาล เสียงลมเสียดใบไม้ดังเหมือนเสียงกระซิบ ทั้งสองเดินไปด้วยกันอย่างไม่เร่งรีบ ปล่อยให้วิวตรงหน้าและท้องฟ้าสว่างไสวตลอดกาลเป็นฉากหลัง


เสียงฝีเท้าของทั้งคู่ดังเบา ๆ บนทางเดินที่โรยด้วยใบไม้แห้งสีแดงส้มที่ปลิวลงมาจากยอดไม้ โมนีก้าแกว่งแขนไปมาอย่างลั้ลล้า ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มสดใสราวกับเด็กหญิงกำลังวิ่งเล่นในสวน "จะว่าไป…นี่มันก็ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวแล้วสินะ พวกพืชผลคงเริ่มออกรวงเต็มที่" เธอพูดออกมาอย่างเพลินใจ ก่อนจะหมุนตัวเบา ๆ ผมสีม่วงครามสะบัดตามแรงหมุน แล้วเสียงใส ๆ ของเธอก็เริ่มขับขานเป็นท่วงทำนอง เพลงที่ออกจากริมฝีปากคล้ายบทกวีแห่งฤดูใบไม้ร่วง


“♪เป็นเวลาจะเปลี่ยนสีสันบนใบไม้~ เป็นเวลาตกแต่งแสงฉายแดงฉาน~ เป็นเวลาผลิตลูกไม้ที่สุกหวาน~ เป็นเวลาเป่าผ่านลมเย็นจากใจ~ ความ~หนาว~ย่าง~กราย~ปก~คลุม~ทุก~ทาง~♪” เสียงของเธอก้องสะท้อนเบา ๆ ไปตามแนวเนินเขา ใบไม้เหนือศีรษะไหวเอนเสมือนตอบรับ นกตัวเล็ก ๆ ที่เกาะกิ่งไม้ก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วคลอไปกับเพลงของเธอ ทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสดใสเกินบรรยาย ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบของเส้นทาง Lomas Cantadas Rd ท่วงทำนองที่เธอขับขานไม่ได้หวือหวาเหมือนนักร้องมืออาชีพ แต่แฝงด้วยความสดใสเป็นธรรมชาติ ราวกับเธอกำลังสื่อสารกับฤดูใบไม้ร่วงที่คืบคลานเข้ามา ทุกถ้อยคำที่เธอร้องสอดประสานเข้ากับสายลมอุ่น ๆ ที่พัดผ่านใบไม้จนเกิดเสียงพลิ้วไหว


ซูกิที่เดินเคียงข้างถึงกับหันมามอง แวบแรกเธอเหมือนจะตำหนิ แต่สุดท้ายกลับหลุดหัวเราะในลำคอ "เธอนี่มัน…จริง ๆ เลยนะโมนีก้า คนอื่นเดินป่าก็ระวังอันตราย แต่เธอกลับร้องเพลงซะงั้น" น้ำเสียงกวนประสาท แต่สายตากลับแฝงความเอ็นดูก่อนหลุดหัวเราะเบา ๆ "นี่เธอ…ร้องเพลงเดินกลางป่าเฉยเลยนะ ลั้ลล้าเกินไปหรือเปล่าเนี่ย"


โมนีก้าหันมายักคิ้ว ตาเทาเงินระยิบระยับเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนแสงแดด "ก็ฤดูใบไม้ร่วงมันโรแมนติกนี่นา จะให้ฉันเดินเงียบ ๆ ได้ยังไง" เธอชูแขนออกไปกวาดอากาศ แล้วหมุนตัวเบา ๆ ผมสีม่วงครามสะบัดไล้ไปตามจังหวะเพลงเหมือนสายไหมพลิ้ว เธอยังร้องต่อด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเด็กหญิงที่กำลังเล่นกับธรรมชาติ "เป็นเวลาจะเปลี่ยนสีสันบนใบไม้~…" ระหว่างนั้น เสียงกระซิบแผ่วเบาในหูของโมนีก้าเสียงแห่งพงไพรที่เธอเพิ่งได้พลังมา ดูเหมือนจะประสานเข้ากับบทเพลง เสียงไม้ไหวเหมือนตอบรับ เสียงนกเล็ก ๆ ส่งเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนร้องคลอตาม ทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความกลมกลืน


ซูกิส่ายหัวเหมือนยอมแพ้ "เอาเถอะ ร้องไปเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าบ่นว่าเหนื่อย" เธอเอ่ยพร้อมยกยิ้มมุมปาก เดินตามเพื่อนที่ตอนนี้กำลังแผ่รัศมีความสุขออกมาจนทำให้ทางเดินดูสดใสขึ้นเป็นพิเศษ โมนีก้าหัวเราะสดใสแล้ววิ่งนำหน้าไปสองสามก้าว เธอแหงนหน้ามองยอดไม้สีแดงส้มที่เริ่มเปลี่ยนสี "นี่แหละ ฤดูเก็บเกี่ยวที่แม่ชอบเล่าให้ฟังบ่อย ๆ สมัยฉันเด็ก ๆ … ถึงจะไม่มีเวลากลางคืน แต่ก็ยังมีฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปนะ" เมื่อพูดจบก็ฮัมเพลงจนเสียงของเธอประสานไปกับสายลมที่พัดแผ่วเหมือนธรรมชาติเองกำลังตั้งใจฟังอยู่


เวลาผ่านไปสักพักเสียงรองเท้ากระทบทางเดินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ โมนีก้าและซูกิเดินไปตามป้ายไม้ที่เขียนว่า East Bay Skyline National Recreation Trail เส้นทางทอดผ่านไปท่ามกลางต้นไม้สูงใหญ่และทุ่งหญ้าที่ลู่เอนไปตามแรงลม เมื่อผ่านโค้งหนึ่งออกมา ปรากฏเป็นเนินเขา Oakland Hills อันงดงามตัดกับท้องฟ้าที่สว่างไสว และเบื้องล่างคือแถวบ้านสวยงามที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ โมนีก้าเหมือนเด็กเจอของเล่นใหม่ เธอวิ่งไปข้างหน้าแทบจะลืมความเหน็ดเหนื่อย เส้นผมสีม่วงครามสะบัดไปตามแรงก้าวเท้า ก่อนจะหยุดยืนตรงขอบทางแล้วโน้มตัวมองลงไปยังบ้านเรือนสีอ่อนที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางต้นไม้ "ว้าว…ซูกิ ดูสิ บ้านเต็มไปหมดเลย!" เธอร้องตาโตเป็นประกาย

 

แต่แล้วทันใดนั้นก็ทำหน้าบูดบึ้งเหมือนคนเพิ่งคิดอะไรได้ "เอาเข้าจริงนะ บ้านพวกนี้ต้องแพงแน่เลยอ่ะ เธอดูสิ วิวดีจะตาย อยู่ตรงเขาแบบนี้ ต้นไม้ร่มรื่น…อย่างน้อยก็หลายล้านดอลลาร์แน่นอน" 


ซูกิที่เดินตามมาช้า ๆ แค่ส่ายหน้า หัวเราะหึในลำคอ "เธอนี่นะ…เดินป่ามาตั้งไกลเพื่อจะมาบ่นเรื่องราคาอสังหาฯ ?" เธอพูดพลางหยิบขวดน้ำออกมาดื่ม โมนีก้ากอดอกเชิดคอ "ก็ฉันอดคิดไม่ได้นี่นา บ้านเล็ก ๆ ยังไงก็คงแพงกว่าที่ฉันเคยอยู่มาทั้งชีวิตฉันแน่ ๆ" น้ำเสียงออกจะประชด แต่ในดวงตากลับยังเปล่งประกายตื่นเต้นกับทิวทัศน์เบื้องล่าง


ซูกิยกมือแตะไหล่เพื่อนเบา ๆ "เลิกคิดเรื่องเงินเถอะโมนีก้า ตอนนี้เรายังต้องหาทางไปค่ายจูปิเตอร์ให้ได้ก่อน ไม่ใช่มานั่งนับเงินพวกเศรษฐี Oakland"


โมนีก้าเบ้ปาก หันมามองซูกิแล้วยักคิ้ว "ก็จริง…แต่จะว่าไปนะ ถ้าเราเป็นเศรษฐีบ้างก็คงดีใช่ไหม? ฉันจะสร้างบ้านหลังใหญ่แล้วเอาไว้เลี้ยงสัตว์ขนฟูตัวอ้วนที่แสนน่ารักให้หมดเลย" คำพูดนั้นทำให้ซูกิหัวเราะพรืดออกมา "เธอนี่ฝันได้ทุกที่จริง ๆ เลยนะ" แล้วทั้งคู่ก็ยืนชมวิวต่ออีกครู่ ปล่อยให้ลมเย็นพัดผ่าน เสียงใบไม้เสียดสีกันดังซู่ซ่าเหมือนกำลังหัวเราะเบา ๆ ไปพร้อมกับพวกเธอ


เมื่อเดินออกจากช่วงเนินเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและกระชั้นดังสะท้อนออกมาจากแนวต้นไม้หนาทึบข้างทาง จนพื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย โมนีก้าหยุดก้าวทันที ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจจากวิวเนินเขากลับแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึม ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์เหลือบมองไปทางซูกิพลางขมวดคิ้ว 


“ได้ยินไหม เสียงฝีเท้า…”


ซูกิที่จับด้ามกราดิอุสแน่นอยู่แล้วก็พยักหน้าช้า ๆ ดวงตาคมเข้มกวาดมองรอบด้าน “อืม ได้ยิน…และมันไม่ใช่แค่ไม่กี่ตัวแน่ ๆ จังหวะฝีเท้าเร็ว แถมไม่เป็นระเบียบด้วย” เธอกัดฟันต่ำพลันหันกลับมาสบตาเพื่อนสาวที่ยืนเตรียมพร้อมเคียงข้าง “ฉันเดาได้แล้ว…ก๊อบลิน”


โมนีก้าเบิกตาเล็กน้อยก่อนจะหันมายักคิ้วกวน ๆ “เดี๋ยวเถอะ…ไม่ใช่ว่าช่วงเช้ารอบก่อนก็เพิ่งเจอไปใช่มั้ย? หรือว่านี้เป็นงานประจำของเราล่ะ ก๊อบลินสเลเยอร์เลยดีไหมซูกิ?”


ซูกิไม่ได้ตอบแค่ขยับดาบขึ้นตั้งการ์ด คำตอบแทนด้วยสายตาที่ชัดเจนจนไม่ต้องพูดอะไรเพิ่ม แต่โมนีก้ายังไม่วายพึมพำต่อ “โอเค ๆ ก๊อบลิน…แต่อย่างน้อยขอให้มันไม่ใช่ 30 ตัวขึ้นนะ…” ทว่าก่อนที่เธอจะได้พูดจบ เสียงแหลมแสบหูดังขึ้นพร้อมกันจากในพุ่มไม้ และทันใดนั้นเงาร่างเล็กสีเขียวคลาน วิ่ง และกระโจนออกมาเป็นฝูง ดวงตาเรืองแสงแดงก่ำสะท้อนแดด ดาบสนิมและหอกแหลมคมสะบัดวาววับ “แว๊กกกกกกกกก!!!” เสียงโหยหวนของมันสอดประสานกันราวกับเสียงฝูงปีศาจ


โมนีก้าแทบจะอยากกลอกตาจนมองข้างหลังตัวเอง “เอ้า…ชิบหายแล้วซูกิ ไม่ใช่ 30 แต่ 32 ตัวไม่เป๊ะ ๆ เลยวุ้ย” เธอหัวเราะแห้ง ๆ พลางขยิบนิ้วเลื่อนแหวนดาราจรัสหยิบกราดิอุสออกมาจากฝักด้วยความเร็ว เส้นผมสีม่วงครามปลิวสะบัดพร้อมลมที่ก่อตัวขึ้นจากแรงก้าวของฝูงอสุรกาย ซูกิปรายตามองเพื่อนสาวพร้อมยกดาบขึ้นขนานลำตัว เสียงทุ้มสั้นกระแทกออกมา “แหม่…นับดีเอาซะละเอียดด้วย…งั้นก็พร้อมหรือยังล่ะโมนีก้า?”


หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก พลันดวงตาสีเงินเทาวาววับสะท้อนแสงราวกับโลหะที่เพิ่งถูกขัดใหม่ “พร้อมสิ…เอาให้มันรู้ไปเลยว่าก๊อบลินกับมนุษย์ ใครจะได้กลับบ้าน” เสียงฝีเท้าของก๊อบลินใกล้เข้ามาเต็มที ฟุ้งฝุ่นดินลอยขึ้นคลุ้งในอากาศ ขณะที่สองสาวเพื่อนซี้กำดาบแน่นเตรียมพุ่งเข้าหาฝูงปีศาจอย่างไม่มีทางเลือก


หลังจากนั้นเสียงกรีดร้องของก๊อบลินระงมไปทั่วบริเวณเมื่อพวกมันโถมเข้ามาเป็นระลอกแรก ซูกิพุ่งตัวออกไปอย่างมั่นคง กราดิอุสในมือฟาดฉับเข้าที่ลำตัวของตัวที่วิ่งนำมา ดวงตาคมกริบของเธอหันไปมองโมนีก้าด้วยความสงสัยทันทีที่เห็นเพื่อนสาวทำหน้าเรียบนิ่งผิดปกติ “เฮ้ ทำไมตอนนี้ไม่บ่นแฮะ? ปกติปากเธอแทบจะดังยิ่งกว่าดาบนี่อีกนะ”


โมนีก้ายกกราดิอุสขึ้นหมุนสวนแรงโจมตีของก๊อบลินอีกสองตัว ก่อนจะฟันฉับเดียวจนพวกมันสลายกลายเป็นละอองทอง เธอหอบนิด ๆ แต่ยังหัวเราะในลำคอ เส้นผมสีม่วงครามสะบัดไปตามแรงเหวี่ยงของคมดาบ 


“บ่นก็เปลืองแรงน่ะสิจ๊ะ ปลงแล้วว่ะ จะมากี่สิบกี่ร้อยตัวก็เข้ามาเหอะ ตอนนี้ฆ่าก๊อบลินก็เหมือน…หั่นผักสด ๆ จากตลาดยังไงยังงั้น ฆ่าเหมือนผักเหมือนปลาแล้วตอนนี้น่ะ”


ซูกิขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ริมฝีปากกลับเผลอยกยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของโมนีก้า เธอแทงดาบทะลุอกก๊อบลินอีกตัวจนมันสลายไปในทันที “ก็จริง…ถ้าเลือกได้ระหว่างมอนสเตอร์พวกนี้กับคนจริง ๆ เธอกับฉันก็เลือกฆ่ามอนสเตอร์เหมือนกัน อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องรู้สึกผิดมาก” โมนีก้าไม่ตอบทันที แต่กลับก้าวข้ามซากละอองของก๊อบลินที่เพิ่งโดนเธอฟันร่วง มุมปากยกยิ้มราวกับนักล่าที่กำลังได้ของเล่นใหม่ เธอหมุนดาบไปรอบ ๆ แล้วตะโกนบอกเพื่อนสาวเสียงดัง 


“ซูกิ! ดูนี่สิ ฟันฉับเดียว!” พูดจบก็ก้าวพุ่งเข้าหาก๊อบลินที่กระโดดจากกิ่งไม้เหนือหัวมา ฟันขึ้นจากล่างขึ้นบนจนร่างมันแหลกคากลางอากาศ ก่อนจะสลายหายไปเหมือนควัน เสียงหอบผสมเสียงหัวเราะของโมนีก้าดังก้องเหนือสนามรบเล็ก ๆ นี้ เธอหันไปสบตาซูกิที่กำลังจัดการตัวสุดท้ายในระลอกนั้น “เห็นไหมล่ะ? รอบนี้ฉันไม่ต้องบ่น แค่ฆ่าอย่างเดียวก็พอแล้ว!” 


และแล้วฝุ่นดินคละคลุ้งกับละอองทองที่ปลิวว่อนรอบตัว สองสาวยืนหอบหายใจกลางวงล้อมก๊อบลินที่เหลือกำลังฮือเข้ามา แต่สายตาของทั้งคู่กลับไม่ได้หวาดหวั่นแม้แต่น้อย มีเพียงประกายความมาดมั่นราวกับนักรบผู้เริ่มชินกับกลิ่นอายของสงคราม


ฉับ!!


โมนีก้าฟันก๊อบลินตัวสุดท้ายจนมันสลายหายไปเป็นละอองทอง เธอหอบแรง ๆ สองสามที ก่อนจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เส้นผมสีม่วงครามปลิวไปตามลมที่พัดผ่านเบา ๆ รอบตัวเต็มไปด้วยหมวกเหล็กก๊อบลินที่ตกเกลื่อนกลาดทั้งสามสิบสองใบเหมือนกองขยะ เธอมองแล้วก็ถอนหายใจยาว “เห้อ…นี่คือของที่ได้จากการฆ่าก๊อบลินทั้งหมดใช่มั้ยเนี่ย…หมวกนี่นะ? เราต้องเอาไปขายใช่ปะ หรือแบบ…บริจาคได้มั้ย? กองเป็นเข่งแบบนี้มันตลกอะ”


ซูกิที่ยังยืนถือกราดิอุสหอบไม่ต่างกัน หันมามองกองหมวกที่เกลื่อนพื้นแล้วหัวเราะจาง ๆ “ก็น่าจะได้นะ แต่ฉันว่าน่าจะมีค่าอยู่บ้างแหละ เดี๋ยวพอถึงค่ายลองถามพวกผู้ใหญ่ในค่ายดูแล้วกันว่าเขารับไหม หรือจะให้บริจาคไปเลยก็คงไม่มีใครว่าอะไร”


โมนีก้าถอนหายใจอีกทีแต่ก็ยักไหล่ ก่อนจะยกมือขึ้นขยับนิ้วเรียกพลังจากแหวนดาราจรัส วงแหวนส่องแสงวาบเบา ๆ แล้วหมวกก๊อบลินทั้งหมดก็ลอยขึ้นจากพื้น หายเข้าไปในมิติพิเศษของแหวนเหมือนถูกดูดเข้าไปทีละใบจนหมดเกลี้ยง พื้นกลับมาสะอาดราวกับไม่เคยมีสงครามขนาดย่อม ๆ เกิดขึ้นเลย เธอมองแล้วก็หัวเราะนิด ๆ “สะอาดเอี่ยมเลยอะ อย่างกับเราไม่ต้องมาสู้ตายสู้รอดกันเมื่อกี้เลย”


ซูกิยกดาบพาดบ่าแล้วมองเพื่อนสาวที่ยังหายใจแรงอยู่ ก่อนจะยกมือแตะไหล่เบา ๆ “เอาน่า อย่างน้อยเราก็รอดมาได้แบบไม่มีแผลใหญ่ ถือว่าเป็นกำไรแล้ว”


โมนีก้าหันมายิ้มให้ ดวงตายังคงเป็นสีเทาเงินที่สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เธอพยักหน้าช้า ๆ “อืม…จริงด้วย ไปกันต่อเถอะก่อนจะมีฝูงใหม่มาอีก ฉันไม่อยากจะสะสมหมวกเพิ่มแล้วอะ” ซูกิหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินเคียงข้างเธอออกจากสนามรบเล็ก ๆ ท่ามกลางละอองทองที่ยังลอยค้างกลางอากาศเหมือนประกายฝุ่นในแสงแดด


ซูกิก้าวเดินช้า ๆ ตามเส้นทางดินที่ทอดไปตามแนวป่า ข้างทางมีใบไม้ร่วงกราวเป็นพรมบาง ๆ เธอหันไปมองโมนีก้าที่เดินกระโดดขาเดียวบ้าง เหวี่ยงแขนเล่นบ้างเหมือนคนอารมณ์ดี แล้วก็ถามขึ้นมาเสียงนิ่ง ๆ แต่แฝงด้วยความอยากรู้ “ปกติเธอเจอมอนสเตอร์บ่อยมั้ยเนี่ย ดูเหมือนเธอชินกับมันเร็วเกินไปนะ” โมนีก้าหัวเราะเบา ๆ ตอนได้ยินพลางโยนก้อนกรวดลงไปตามทางให้มันกลิ้งกระทบก้อนหินอีกก้อน 


“ไม่บ่อยหรอก จริง ๆ นะ…ครั้งแรกที่เจอน่ะจำได้แม่นเลย มิโนทอร์ ตัวเบิ้ม ๆ นั่นแหละ มันไล่ตามฉันอยู่พักใหญ่ ทำให้รู้เลยว่าโลกที่อยู่มันแฟนตาซีชิบหาย ไม่ใช่โลกธรรมดา ๆ อย่างที่เคยคิดแล้ว” เธอพูดพลางส่ายหัวน้อย ๆ เหมือนนึกย้อนถึงตอนนั้น


เธอยกมือไพล่หลังแล้วเดินต่อหันมายิ้มให้ซูกิ “แล้วก็หลังจากนั้นถึงได้มาที่บ้านหมาป่าหุบเขาโซโนมา พอมาอยู่ที่นั่นก็…เรียกว่าครบเซ็ตเลยล่ะ เจอก๊อบลินกวนประสาท เจอฮาร์ปี้โวยวาย แล้วก็มีไซคลอปส์ที่วิ่งไล่พวกเรากับลูปัสตอนฝึกพิเศษในป่าเร้ดวู้ดนั่นอีก จำได้ใช่มั้ย? วิ่งกันเกือบขาติดดินเลยนะ”


ซูกิพยักหน้าพร้อมหัวเราะหึ ๆ ออกมาเบา ๆ “จำได้สิ ข้าว่าฉันเกือบเสียปอดไปวันนั้นแล้วด้วยซ้ำ บาดเจ็บก็บาดเจ็บยังจะต้องวิ่งอีก” เธอส่ายหัวกับภาพความวุ่นวาย แต่สายตากลับอ่อนลงเมื่อมองโมนีก้า “แต่เอาจริง ๆ นะ เธอรับมือได้ดีกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย”


โมนีก้าแกล้งเชิดคอขึ้นแล้วทำเสียงทะเล้น “แน่นอนสิ ก็ฉันมันคนเก่งไงล่ะ ไม่งั้นจะรอดมาจนถึงตอนนี้เหรอ? แต่เพราะมีเธอนั้นแหละ ไม่งั้นฉันก็คงจะไม่เข้มแข็งขนาดนี้หรอก” ซูกิกลอกตาแต่ยกยิ้มน้อย ๆ เดินต่อไปเคียงข้าง เหมือนสองสาวที่กำลังชินกับการเดินท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยอสูร แต่ยังคงหาความสนุกและเสียงหัวเราะได้ทุกย่างก้าว


ระหว่างนั้นการเดินทางก็มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งใกล้ถึงอุโมงค์แล้ว แต่ทว่าโมนีก้าและซูกิกลับหยุดพร้อมกันอย่างทันทีเพราะมีเสียงสะเทือนหนักหน่วงราวกับแผ่นดินไหวเบา ๆ แทรกเข้ามาในจังหวะก้าวเดินของทั้งสอง สายลมพัดพาเอากลิ่นคาวสนิมเหล็กปนกลิ่นสัตว์ป่าเก่าแก่ลอยมากับอากาศจนโมนีก้าชะงัก ซูกิเองก็หยุดทันทีแทบจะในวินาทีเดียวกัน ดวงตาของทั้งคู่สบกันโดยไม่ต้องพูดอะไรทั้งสองต่างรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพียงชั่วครู่เงาดำมหึมาก็ทาบลงบนเส้นทางเบื้องหน้า มิโนทอร์ปรากฏตัว ร่างกายกำยำล่ำสันกล้ามเนื้อพองโตเหมือนถูกสลักขึ้นมาจากหิน ศีรษะเป็นวัวดุร้าย ดวงตาสีแดงฉานราวกับเปลวเพลิงแห่งนรก จมูกกว้างพ่นลมหายใจฟืดฟาดออกมาราวกับกระทิงคลั่ง ทุกย่างก้าวทำให้พื้นสั่นสะเทือนจนฝุ่นปลิวขึ้นมา


โมนีก้าเบิกตากว้างทันที ความทรงจำเก่าแวบขึ้นมาภาพครั้งแรกที่เธอถูกมันไล่ล่าที่สวนสาธารณะเมืองเอแวนส์วิลล์ รัฐอินเดียน่า ความหวาดกลัวเจือปนความไม่เชื่อในตอนนั้นยังติดตรึงอยู่ในใจ เธอกัดริมฝีปากแน่นก่อนเอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อย 


“นี่มัน…ตัวนั้น…หรือเปล่านะ?...จะจริง ๆ เหรอ?”


ซูกิยกดาบกราดิอุสขึ้นในท่าพร้อมทันทีแต่สายตาก็เหลือบไปยังโมนีก้าเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของมิโนทอร์กวาดตามองเธอไม่วางตา มันก้าวเข้ามาช้า ๆ ท่าทางเหมือนสัตว์นักล่าที่เจอเหยื่อถูกใจ ความโกรธเกรี้ยวผสมความกระหายสะท้อนออกมาในแววตาแดงฉานนั้น


เสียงหอบหายใจของมันดังประหนึ่งคำรามก้องในอก มันยกขวานสองคมขึ้นสูงจนแสงแดดกระทบใบมีดวาววับ แล้วตะโกนคำรามออกมาจนเสียงสะท้อนก้องไปทั่วทั้งเส้นทาง เหมือนจะประกาศว่าเหยื่อในคราวนี้คือโมนีก้าเท่านั้น โมนีก้าก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมา เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยที่ถูกมันไล่ครั้งแรก แต่ในขณะเดียวกันก็มีประกายไฟแห่งความมุ่งมั่นแวบขึ้นในดวงตาสีเทาเงิน เธอกำหมัดแน่นแล้วหันไปสบตาซูกิ สายตาสื่อเพียงคำเดียว


"ฉันจะสู้…" 


ซูกิพยักหน้ารับเงียบ ๆ ก้าวมายืนเคียงข้างเธอ กราดิอุสและดาบสองเล่มสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ ในวินาทีนั้น เสียงคำรามของมิโนทอร์ดังก้องสะท้านฟ้า กลบทุกเสียงรอบข้าง เหมือนการประลองครั้งนี้ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นอีกครั้งแต่ต่างกันตรงที่คราวนี้โมนีก้าไม่ได้ยืนลำพัง ฉันจะคุ้มกันให้” ซูกิเอ่ยก่อนที่เธอจะก้าวออกไปข้างหน้า โมนีก้าพยักหน้ารับ สายตาจริงจัง มือขยับหมุนแหวนดาราจรัสที่สวมอยู่บนนิ้วทันทีแสงสีเงินแวบวับแล่นผ่านปลายนิ้ว ก่อนที่กราดิอุสจะปรากฏขึ้นในมือ น้ำหนักอาวุธที่คุ้นเคยทำให้หัวใจเธอเต้นแรงขึ้น ดวงตาสีเทาเงินเพ่งตรงไปยังมิโนทอร์ตรงหน้า


ร่างยักษ์ครึ่งคนครึ่งวัวคำรามลั่น เสียงดังก้องสะท้อนก้องไปทั่วอุโมงค์ ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นออกมาเป็นควันหนา มันยกขวานขึ้นสูง สายตาแดงก่ำเหมือนสัตว์ป่าที่หิวกระหายเลือด แล้วทันใดนั้นมันก็ก้าวพุ่งเข้ามาเร็วราวกับภูเขาที่เคลื่อนที่ได้


ซูกิเป็นคนแรกที่พุ่งไปขวาง เธอขยับดาบขึ้นรับการโจมตี แต่แรงของมิโนทอร์นั้นมหาศาลเกินไปสันขวานที่เหวี่ยงลงมาฟาดเข้ากับร่างของซูกิเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่น ปังงง! ร่างเธอถูกเหวี่ยงปลิวกระแทกต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอย่างรุนแรง ต้นไม้สั่นสะเทือน ใบไม้ร่วงพร่างพรู เธอร่วงลงกับพื้นอย่างจัง เสียงหอบหายใจขาดห้วง เลือดซึมจากขมับและซึมออกมาตรงมุมปาก แขนขาอ่อนแรงแทบจะขยับไม่ได้


โมนีก้าช็อกจนยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาเบิกกว้าง “ซูกิ!!” เสียงตะโกนหลุดออกมาอย่างเจ็บปวด ความโกรธและความหวาดกลัวประดังเข้ามาในหัวใจ ร่างกายเธอสั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์ กราดิอุสในมือถูกกำจนแน่นจนเส้นเลือดบนแขนปูดขึ้นชัดเจน ลมหายใจของเธอถี่รัว เสียงกระซิบแห่งพงไพรดังขึ้นรอบตัว คล้ายกับธรรมชาติกำลังโอบล้อมและกระตุ้นให้ลุกขึ้นสู้ ใบไม้ไหวเอนตามแรงลมที่ไม่รู้มาจากไหน ราวกับป่าเองก็กำลังยืนอยู่ข้างเธอ ลมพัดแรงขึ้นจนเส้นผมสีม่วงครามพลิ้วสะบัด ใบไม้ไหวตามแรงลมราวกับร่วมเป็นสักขีพยาน พลังสายเลือดแห่งเซเรสพลุ่งพล่านทั่วร่างจนแทบควบคุมไม่อยู่


โมนีก้าก้าวเท้าออกไปข้างหน้า ดวงตาไม่วอกแวกไปทางอื่นอีกแล้ว เธอจ้องตรงไปยังมิโนทอร์ที่ยืนคำรามอยู่ข้างหน้า เสียงของเธอสั่นน้อย ๆ แต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ถ้าแกอยากได้เลือด…มาลองดูสิ” มือเรียวหมุนกราดิอุสขึ้นในท่าพร้อม ฟันกรามขบแน่น หัวใจเต้นถี่รัวไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะเลือดนักสู้ในตัวเริ่มเดือดพล่าน เสี้ยววินาทีนี้เองน้ำเสียงของเธอแม้จะสั่นเล็กน้อย แต่ชัดเจนและแน่วแน่ 


“แกทำร้ายเพื่อนฉัน…งั้นเตรียมใจไว้เถอะ”


เสียงหอบหายใจของซูกิยังหนักหน่วง เธอพยายามยันกายขึ้นจากลำต้นไม้ที่กระแทกเมื่อครู่ ดวงตาคมหรี่ลงมองเพื่อนสาวตรงหน้า แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เลือดในกายเย็นวาบ โมนีก้าที่เธอรู้จัก…เด็กสาวผู้สดใส ขี้บ่น ขี้เล่น บางครั้งก็ขี้งอแง แต่ตอนนี้ ร่างตรงหน้ากลับไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไป ดาบกราดิอุสในมือเธอวาววับในแสงแดดที่ไม่มีวันลับคา ฟาดฟันออกไปอย่างแม่นยำและเฉียบคม ทุกการเคลื่อนไหวแฝงความเย็นเยือก แข็งกระด้าง ราวกับเป็นนักรบที่ผ่านสงครามนับพันปีไม่ใช่โมนีก้าที่หัวเราะง่าย ๆ เมื่อไม่กี่นาทีก่อน


ดวงตาสีเทาเงินที่มักเปล่งประกายตอนเจอของกินหรือเวลาได้แกล้งใคร ตอนนี้กลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งอารมณ์ ราวกับถูกน้ำแข็งเกาะกินทั้งดวงใจ เธอพุ่งเข้าหามิโนทอร์ที่สูงใหญ่กว่าหลายเท่า โดยไร้ความลังเล ปลายกราดิอุสกรีดลึกเข้าไปในกล้ามเนื้อสัตว์ร้ายอย่างแม่นยำ ทุกจังหวะคือความโหดเหี้ยมที่ไม่เหลือพื้นที่ให้ศัตรูแม้แต่วินาทีเดียว


เสียงคำรามของมิโนทอร์สะท้านสะเทือนป่ารอบด้าน แต่ไม่นานนักก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางต่ำ ๆ ก่อนจะถูกเงียบงันลงด้วยการแทงสุดท้ายที่เฉียบขาด ดาบสีเงินทะลวงเข้ากลางอก สะบัดแรงหนึ่งที เลือดสีทองพุ่งกระเซ็นเปื้อนแขนเสื้อและผิวของโมนีก้า เธอไม่สะทกสะท้าน ไม่แม้แต่จะหลบ เลือดสีทองไหลย้อยลงตามแนวใบมีด ก่อนที่โมนีก้าจะสะบัดกราดิอุสแรง ๆ ให้หยดเลือดกระเซ็นหลุดร่วงไปกับพื้น เสียงโลหะสะท้อนออกมาเย็นเยียบ


ร่างยักษ์ของมิโนทอร์โงนเงนอยู่เพียงอึดใจ ก่อนจะทรุดฮวบลงตรงหน้าเธอ ดินสะเทือนเล็กน้อยเมื่อร่างมันกระแทกพื้น ฝุ่นผงฟุ้งขึ้นปกคลุม เสียงทุกอย่างเงียบงันลงทันตา


โมนีก้ายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเย็นชา ดวงตาไร้ประกาย มองร่างสิ้นใจของศัตรูเหมือนสิ่งไร้ค่าเหมือนการสังหารนั้นเป็นเพียงเรื่องปกติที่ไม่ต้องคิด ไม่ต้องรู้สึกอะไร 


ซูกิที่นั่งพิงต้นไม้ร่างกายยังเจ็บหนัก แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก นี่มัน…ไม่ใช่โมนีก้าแน่นอน เธอคิดในใจความสงสัยความกลัวและความห่วงใยปะปนกันยุ่งเหยิง ภาพนั้นที่เธอเห็นในวินาทีนั้นคือเพื่อนสาวคนเดิม ยืนเหนือร่างมิโนทอร์ที่ล้มตาย สง่างามแต่เย็นชา ดุจดั่งนักรบที่โลกไม่เคยรู้จักมาก่อน…


เสียงลมหายใจของป่ารอบด้านกลับคืนมาอีกครั้งหลังจากร่างมิโนทอร์ยักษ์นั้นสลายหายไปเป็นละอองทองที่ลอยคลุ้งกลางอากาศ แสงแดดที่ไม่เคยดับสะท้อนประกายละอองเหล่านั้นให้ดูราวกับเกล็ดดาวตกจากฟ้า โมนีก้าสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนคนเพิ่งตื่นจากฝันร้าย เธอกะพริบตาปริบ ๆ แล้วหันมองมือที่ยังจับกราดิอุสอยู่ สัมผัสโลหะเย็นเฉียบทำให้สติของเธอค่อย ๆ กลับคืนมา ดวงตาสีเทาเงินของเธอไม่ได้เย็นชาหรือว่างเปล่าอีกต่อไป แต่กลับมีประกายชีวิตแบบเดิมแบบที่ซูกิรู้จัก โมนีก้าหันขวับไปทันทีเมื่อเห็นเพื่อนสาวทอมบอยของเธอยังคงนั่งพิงต้นไม้ หน้าเปื้อนฝุ่น หายใจแรง และมีเลือดซึมตามแขนจากแรงกระแทกเมื่อครู่


“ซูกิ! ไหวไหม?” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคราวนี้เต็มไปด้วยความห่วงใย ไม่ใช่โทนลมหายใจที่แข็งกระด้างอย่างเมื่อครู่ โมนีก้าทิ้งกราดิอุสให้สลายกลับเข้าไปในแหวน ก่อนรีบก้าวไปคุกเข่าข้าง ๆ ซูกิ มือทั้งสองสั่นน้อย ๆ ขณะพยายามพยุงเธอขึ้น “เดี๋ยวฉันช่วยนะ ลุกไหวหรือเปล่า?”


ซูกิเงยหน้ามองเพื่อนสาว ดวงตาคมยังแฝงความระแวดระวังแต่พอเห็นประกายห่วงใยที่แท้จริงในดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์คู่นั้น เธอก็ผ่อนลมหายใจยาวราวกับยอมรับว่านี่คือโมนีก้าคนเดิมที่เธอรู้จัก


โมนีก้าไม่พูดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเลย เหมือนมันเป็นแค่เงามืดที่ถูกลบออกจากใจไปแล้ว เธอเพียงโอบแขนซูกิขึ้นมาคล้องคอ พลางยิ้มบาง ๆ แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ “เราไปกันเถอะ จะถึงแล้ว…อย่าหยุดตรงนี้นานเลยนะ” เสียงหัวใจของทั้งคู่ดังประสานกันในความเงียบของป่า เหมือนคำถามมากมายถูกกดทับเอาไว้ในอก โดยไม่มีใครยอมพูดออกมาในตอนนี้ ทั้งสองต่างรู้ว่าเวลาและการเดินทางต่อไปจะค่อย ๆ เปิดเผยความจริงทั้งหมดเอง


เสียงก้องสะท้อนในอุโมงค์คัลลีคอตต์ทำให้ทุกก้าวเดินของโมนีก้ากับซูกิยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที ซูกิอาศัยแรงเพื่อนสาวพยุงเดิน แม้บาดแผลจากแรงกระแทกเมื่อครู่จะยังแสบช้ำ แต่แววตาของเธอกลับไม่ได้จ้องมองทางข้างหน้า หากแต่เหลือบไปที่โมนีก้าครั้งแล้วครั้งเล่า ความสงสัยกัดกินใจ แต่เธอเลือกจะกลืนคำถามลงไปในลำคอ…คำถามต้องมาแต่ไม่ใช่เวลานี้


ปลายอุโมงค์สว่างวาบขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินใกล้ออกไป เสียงเกราะกระทบกันเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมเงาสองร่างปรากฏเด่นชัดออกมา ทหารในชุดเกราะโรมันยืนเฝ้าเวรยามตรงทางเข้าสู่ค่ายจูปิเตอร์ ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนสีทันทีที่เห็นสภาพสองสาวที่คนหนึ่งร่างกายสะบักสะบอม มีเลือดซึมไหลลงตามแขน ส่วนอีกคนกลับแทบไร้รอยขีดข่วนมีดวงตาสีเทาเงินยังส่องประกายมั่นคง


“เดมิก็อด…” หนึ่งในนั้นพึมพำเสียงแผ่วเมื่อเห็นสัญลักษณ์ที่โมนีก้ายกแขนขวาขึ้น รอยสักเรืองรองเล็กน้อยด้วยพลังเทพีเซเรสประสานกับเสี้ยวสัญลักษณ์ของเทพเจนัส มันคือหลักฐานแน่ชัดที่ไม่อาจปลอมแปลงได้


สตรีผมแดงดวงตาเข้มที่ยืนเฝ้ายามอยู่แทบไม่รอให้คิดซ้ำ เธอรีบวิ่งเข้ามาพยุงซูกิออกไปจากแขนโมนีก้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? สภาพแบบนี้…” โมนีก้าเม้มปากแน่นเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงหนักแน่นแต่ยังคงนุ่มนวล “มิโนทอร์ค่ะ”


คู่หูของสตรีผมแดงเป็นชายหนุ่มในเกราะโรมันตะลึงไปชั่วขณะ ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นทันที “มิโนทอร์? งั้นเราต้อง…” เขาหันไปเตรียมเรียกกำลังเสริมทันควัน แต่โมนีก้ารีบก้าวข้างหนึ่งไปขัด “ไม่ต้องค่ะ”


“มันตายแล้ว”


ความเงียบชั่วขณะปกคลุมรอบ ๆ อุโมงค์ มีเพียงเสียงลมหายใจแรง ๆ ของซูกิที่ยังเจ็บจากบาดแผล ทหารทั้งสองหันมองหน้ากัน สีหน้าผสมระหว่างความประหลาดใจและความเคารพ ก่อนจะหันมามองโมนีก้าอีกครั้งด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป 


ไม่นานเสียงฝีเท้ากระหึ่มไปตามพื้นอุโมงค์เมื่อหญิงสาวผมแดงโบกมือเรียกเพื่อนผู้ชายของเธอ “ดานิโล มาช่วยหน่อยสิ!” น้ำเสียงเธอเด็ดขาดแต่แฝงความแกล้งยั่วนิด ๆ แบบที่คนคุ้นนิสัยจะรู้ว่ามีทั้งความจริงจังและความเจ้าเล่ห์ปนอยู่ในที ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในเกราะโรมัน ดวงตาคมกริบแต่เงียบงัน ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ก้าวเข้ามาหยัดตัวอย่างมั่นคงก่อนก้มลงช้อนแขนซูกิขึ้นอย่างระมัดระวัง ใบหน้าของเขานิ่งสนิทไม่เผยอารมณ์ แต่แรงอุ้มมั่นคงราวกับหินผา


โมนีก้าก้าวตามไปอย่างใกล้ชิด เธอไม่วางตาจากซูกิเลยสักวินาที ขณะที่ซูกิแม้เจ็บหนักแต่ก็ยังพยายามฝืนยกมือส่งสัญญาณเล็ก ๆ ว่าไม่เป็นไร โมนีก้ารู้ทันทีว่าซูกิแค่ไม่อยากให้ตัวเองกังวล


หญิงสาวผมแดงหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ ริมฝีปากโค้งขึ้นเหมือนแมวขโมยที่รู้ความลับของทุกคน “ฉันชื่อเลธิเซีย อะลอนโซ่ จะนำพวกเธอผ่านอุโมงค์ไปยังค่ายเองนะ” แววตาสีแดงไวน์ของเธอวับวาวในแสงไฟตะเกียงราง ๆ คล้ายจะอ่านความคิดคนตรงหน้าได้ทั้งหมด เธอกวาดสายตาขึ้นลงที่โมนีก้าเหมือนจะสำรวจแต่ไม่พูดอะไรเกินจำเป็น “ส่วนเจ้าคนเงียบ ๆ นั่น” เธอพยักพเยิดไปทางชายที่อุ้มซูกิ “ชื่อดานิโล โคเกลียเนเซ่ เขาไม่ค่อยพูดหรอก แต่ไว้เดี๋ยวพอถึงค่ายก็คงได้รู้จักกันมากกว่านี้เอง”


บรรยากาศในอุโมงค์เงียบสงัด เสียงน้ำหยดตามผนังดังก้องคลอไปกับก้าวเท้าของทั้งสี่คน เลธิเซียเดินนำหน้าอย่างสง่างาม ดานิโลอุ้มซูกิไว้แน่นส่วนโมนีก้าเดินเคียงข้าง แม้ทุกอย่างดูปลอดภัย แต่ในใจเธอเต็มไปด้วยคำถามก้าวแต่ละก้าวในอุโมงค์นี้เหมือนพาพวกเขาเข้าใกล้ชะตากรรมมากขึ้นทีละน้อย…




[ปักตะไคร้]



[ปักตะไคร้]



รางวัล: +100 พลังใจ, 35 ดีนาเรียส, อาหารเทพ 1 แท่ง, +50 EXP, +3 Point

ผ่านการทดสอบเส้นทางวีรบุรุษ - โบนัสความโปรดปราน + 35 [God-29] ลูปา


รางวัลพิเศษ : +2 ตื่นรู้, +5 Point

ผ่านการทดสอบเส้นทางวีรบุรุษ - โบนัสความโปรดปราน +20 [God-29] ลูปา

ผ่านการทดสอบเส้นทางวีรบุรุษ - โบนัสความโปรดปราน +20 [God-07-2] มาร์ส

ผ่านการทดสอบเส้นทางวีรบุรุษ - โบนัสความโปรดปราน +20 [God-27] เบลโลน่า


รางวัลเพิ่มเติม : 

มีค่า LUK 50 หน่วย ดรอปดาบก๊อบลินเพิ่ม 1 ชิ้น

จัดการก๊อบลินไปทั้งหมด 32 ตัว = 32 ชิ้น

ได้รับดาบก๊อบลิน 32 ชิ้น


+2 ตื่นรู้จากการกำจัด มิโนทอร์ ครั้งแรก


พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7 เลธิเซีย อะลอนโซ่

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15


พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7 ดานิโล โคเกลียเนเซ่

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15


พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7 [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15

(ทำไมพึ่งมีซูกิ 555 ฮืออ ไม่ได้ใส่มาตั้งเยอะ)

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 7 โพสต์ 2025-9-8 10:14
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-29] ลูปา เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-9-7 20:06
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-07-2] มาร์ส เพิ่มขึ้น 20 โพสต์ 2025-9-7 20:06
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-27] เบลโลน่า เพิ่มขึ้น 20 โพสต์ 2025-9-7 20:06
God
คุณได้รับ 50 EXP โพสต์ 2025-9-7 20:05

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +100 เหรียญดีนาเรียส +35 ตื่นรู้ +4 ย่อ เหตุผล
God + 100 + 35 + 4

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้