หมายเหตุ — เนื่องจากสายเลือดโรมันของเอวานเจลีน วิเวียน แมคลาวด์มีประวัติความเป็นมายาวนาน สืบทอดสายเลือดมาหลายต่อหลายรุ่น จึงขอกล่าวถึงเพียงรุ่นที่มีความสำคัญเท่านั้น
1st Generation

ชื่อ-นามสกุล — ไกอัส เอมิลิอุส | Gaius Emilius
วันเกิด — 24 กรกฎาคม 410
สถานที่เกิด — กรุงโรม, จักรวรรดิโรมัน (อิตาลี)
ฐานะ — บุตรแห่งเบลโลน่า
ประวัติความเป็นมา
เดมิก็อดชายที่เกิดในปี 410 ปีเดียวกับที่กรุงโรมแตก เขาคือบุตรของ "เทพีเบลโลน่า" กับ "ลูเครเทีย เอมิลิอุส" สตรีนักรบผู้องอาจแห่งกองพันที่ 12 ฟุลมินาตา ความห้าวหาญของลูเครเทียเป็นที่ประจักษ์ หลังคลอดไกอัสได้เพียง 3 วันลูเครเทียก็หยิบดาบขึ้นมาต่อสู้กับอริศัตรูที่หมายทำลายเมือง แต่จนแล้วจนรอดกรุงโรมก็แตกพ่ายให้แก่เหล่าอนารยชน หากไม่เพิ่งให้กำเนิดทารกน้อยนักรบหญิงคงสู้ตายถวายชีวิตเพื่อบ้านเกิดไปแล้ว นางและทารกน้อยไกอัสจึงหลบหนีไปยังแผ่นดินใหม่พร้อมกับกองพันฟุลมินาตาที่เหลือรอด
ในเมื่อเกิดมาจากมารดาผู้เป็นนักรบกับเทพีแห่งสงคราม เป็นไปไม่ได้เลยที่ไกอัสน้อยจะเติบโตมาโดยไม่จับดาบ เขามีพรสวรรค์จากมารดาทั้งสองอย่างเต็มเปี่ยม ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งใน "กองร้อยที่ 2 แห่งกองพันฟุลมินาตา" ตั้งแต่อายุ 12 ขวบปี รับใช้กองทัพโรมันหลายปี สร้างผลงานด้านการรบเป็นที่ประจักษ์มากมาย เขาและเพื่อนร่วมกองร้อยรับภารกิจกวาดล้างอสุรกายท้องถิ่นที่เป็นภัยแก่ชาวนิวโรม จนได้ฉายาว่า "ไกอัส ผู้กำราบชูปาคาบราพันตัว" ทว่าไกอัสไม่ได้ภูมิใจกับฉายานั้นเขาชอบฉายา "ไกอัส นักรบร้อยรัก" มากกว่า
ไกอัส เอมิลิอุส เติบโตมาสมชายชาตรีทุกประการ กอปรกับหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาจนถึงขนาดมีผู้ขนานนามเขาว่าเป็น "อโดนิส ที่ 2" เป็นที่ชื่นชอบของทั้งสาวน้อยและสาวใหญ่ในนิวโรม ไกอัสเป็นชายเจ้าชู้ มากรัก มากราคะ จากฉายาที่ว่า "นักรบร้อยรัก" ไม่เกินจริง ไม่มีใครนับว่าเขามีภรรยากี่คนอาจถึงร้อยจริงก็เป็นได้ "โสเภณีแห่งกรุงโรมใหม่" ก็เป็นอีกหนึ่งฉายาที่เขาได้รับจากผู้ที่เกลียดชัง ชื่อเสียงและชื่อเสียของวีรบุรุษมีมากพอ ๆ กัน ทว่ากองทัพเลือกที่จะสถาปนาคุณงามความดีของเขามากกว่า
มีจุดรุ่งโรจน์ย่อมมีจุดตกต่ำ ไกอัส เอมิลิอุส เสียชีวิตในภารกิจบุกเบิกทวีปอเมริกาโดยถูก "ยาคูมามา" อสรพิษร้ายแห่งลุ่มน้ำอเมซอนกลืนกิน แม้เขาจะเสียชีวิตในอายุที่ไม่มาก แต่ไกอัสก็ได้เผยแผ่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขามากมายจนพอจะหลงเหลือสายเลือดแห่งเทพมายังลูกหลานปัจจุบัน
วันที่เสียชีวิต — 4 พฤศจิกายน 464 【อายุ 54 ปี】
39th Generation

ชื่อ-นามสกุล — แอนโธเนีย รูฟีน่า | Anthonia Rufina
วันเกิด — 18 กันยายน 1550
สถานที่เกิด — กรุงโรมใหม่, จักรวรรดิโรมัน (ซานฟรานซิสโก, สหรัฐอเมริกา)
ฐานะ — ลูกหลานแห่งโรมัน
ประวัติความเป็นมา
กาลเวลาผ่านไปหนึ่งพันปี ความรุ่งโรจน์ของตระกูลเอมิลิอุสย่อมเสื่อมถอยเป็นธรรมดา รุ่นแรก ๆ บุตรหลานของตระกูลรับใช้กองทัพแห่งโรมันอย่างเข้มข้น ทว่ารุ่นถัด ๆ มามีแนวคิดเป็นของตัวเอง พวกเขาไม่ได้เดินทางสายนักรบอีกต่อไป บ้างก็ผันตัวเป็นพ่อค้า หรือไม่ก็ขุนนางในสภาเซเนท ผู้สืบสายตระกูลจากร้อยลดลงเรื่อย ๆ จนชื่อของ "เอมิลิอุส" ได้สาปสูญไปเมื่อธิดาคนสุดท้ายเกิดเป็นหญิง
"แอตแลนต้า เอมิลิอุส" สายเลือดคนสุดท้ายแห่งเอลิมิอุสแต่งงานกับคหบดีผู้ร่ำรวยสายเลือดฮิสแปนิก ผู้สืบเชื้อสายลูกหลานโรมันจากเทพเมอร์คิวรี่ ให้กำเนิดทารกน้อยเพศหญิงนามว่า "แอนโธเนีย รูฟิน่า" นางเสมือนกับเด็กที่เกิดบนกองเงินกองทอง ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างเพียบพร้อมไร้ข้อบกพร่อง แอนโธเนียเป็นคนฉลาดเฉลียวและรู้จักใช้เสน่ห์ในแบบของตัวเอง
เมื่ออายุ 18 ปี แอนโธเนียได้แต่งงานกับ "มาร์คัส ซิเซโร่" หนึ่งในสมาชิกวุฒิสภาเซเนทที่อายุห่างจากนางถึง 12 ปี ด้วยเหตุผลทางการเมืองและผลประโยชน์ของตระกูล "อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง" ใช้ไม่ได้กับสตรีทรงเสน่ห์อย่างแอนโธเนีย ความต่างของวัยทำให้คู่รักไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ มิหนำซ้ำมาร์คัสยังเป็นบุรุษแสนจืดชืด เขาร่วมหอกับนางเพียงเพื่อแค่ต้องการมีบุตรแต่ไม่สนใจเสพความสุขสมตามสัญชาตญาณของมนุษย์จนคล้ายกับเป็นกามตายด้าน
แม้ว่านางจะมีบุตรและธิดารวม 2 คน ก็ยังเนื้อหอมในหมู่ชายหนุ่ม เข้ากับสำนวน “Senectus ipsa est pulchritudo.” (ยิ่งอายุมากยิ่งงดงาม) นางแอบลอบคบชู้อยู่บ่อยครั้งกับคนสวนบ้าง คนรับใช้บ้าง แต่ไม่มีบุตรร่วมกัน สามีของนางไม่สามารถจับได้อย่างคาหนังคาเขา มีแต่เพียงแค่ข่าวลือเหม็นโฉ่ที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
จนเมื่ออายุ 34 แอนโธเนียได้คบหากับชู้รักบุตรแห่งมาร์สที่เป็นหนุ่มฉกรรจ์อายุน้อยกว่า "วีตัส คอร์เนียลิอุส" ผู้มีความทะเยอทะยาน เขาเป็นนักรบมือดีของกองพันฟุลมินาตา แต่มีความไม่พอใจบางอย่างในกฎเกณฑ์ของกองทัพ วีตัสจึงก่อการกบฏโดยมีแอนโธเนียร่วมด้วยโดยการยุยงปั่นหัวสามี ทว่าในเมื่อชื่อถูกจารึกว่าเป็นกบฎหมายความว่าวีตัสก่อการรัฐประหารไม่สำเร็จ เขาเสียชีวิตในการต่อสู้ ส่วนผู้สมคบคิดทั้งหลายได้รับการลงโทษตามความผิดของตน ไม่ว่าด้วยพระเจ้าหรือแม่ทัพในขณะนั้นเมตตา "แอนโธเนีย ซิเซโร่" และลูก ๆ ของนางถูกละเว้นโทษประหารแต่ถูกเนรเทศออกจากนิวโรม
ระหว่างการร่อนเร่พเนจรแอนโธเนียได้สูญเสียบุตรและธิดาทั้งสองของนางไปจากโรคร้ายและอุบัติเหตุ นั่นคือช่วงเวลายากลำบากที่สุดในชีวิต นางต้องทำงานเป็นนางบำเรอที่ท่าเรือเพื่อหาเงินประทังชีวิต ใช้เสน่ห์ที่ยังพอเหลือเกี้ยวพาหนุ่มฐานะดีมาอุปถัมป์เป็นสามีคนใหม่ จนกระทั่งนางได้พบรักกับ "เอ็ดการ์ เดอ ลา โรแชลล์" ขุนนางนักเดินเรือชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาบุกเบิกทวีปอเมริกา เขารับนางกลับไปอยู่ที่ลา โรแชลล์ ประเทศฝรั่งเศสและแต่งงานอย่างสมศักดิ์ศรี นางเปลี่ยนนามสกุลอีกครั้งเป็น "แอนโธเนีย เดอ ลา โรแชลล์" และใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขกับลูกหลาน
วันที่เสียชีวิต — 8 ธันวาคม 1622 【อายุ 72 ปี】
48th Generation

ชื่อ-นามสกุล — แจ็กกี้ เดอ ลา โรแชลล์ | Jacquy de La Rochelle
วันเกิด — 2 กุมภาพันธ์ 1850
สถานที่เกิด — เมืองออร์เลอ็อง, ประเทศฝรั่งเศส
ฐานะ — ลูกหลานแห่งโรมัน
ประวัติความเป็นมา
ประวัติศาสตร์ของตระกูลไม่มีความสำคัญอีกต่อไป แจ็กกี้ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของเขาเป็นเดมิก็อดที่มาจากนิวโรม จากครอบครัวเคยเป็นขุนนางแห่ง "ลา โรแชลล์" แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองมากมายทำให้ตระกูล "ลา โรแชลล์" ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ทรัพย์สินบางส่วนถูกยึด บ้างก็ถูกปล้น หลายคนถูกจับไปประหารชีวิตโดยความผิดเพียงแค่เขาเป็นขุนนางเก่า จนบางคนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ส่วนครอบครัวของ "แจ็กกี้ เดอ ลา โรแชลล์" คือกลุ่มคนที่เหลืออยู่ไม่กี่หยิบมือ แม้ตระกูลจะตกต่ำลงไปมากจากแต่ก่อน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไปก็ถือว่ายังดีกว่ามาก
แจ็กกี้ไม่ชอบบ้านเกิดของเขาเลยแม้แต่น้อย เขามักจะไถ่ถามที่บ้านอยู่เสมอว่าเหตุไฉนปู่ทวดของเขาถึงได้ย้ายจากลา โรแชลล์มาที่ออร์เลอ็องในช่วงสงครามกลางเมือง ชายหนุ่มมีความฝันที่จะเดินทางออกจากบ้านเกิดของตนทุกขณะจิต จนเมื่อมีโอกาสเขาจึงไม่ลังเลที่จะฉกฉวยโอกาสนั้นเอาไว้ ยอมไปเผชิญโชคที่อังกฤษดีกว่าอยู่กับความอดอยากและโจรเต็มเมืองที่ฝรั่งเศส และแน่นอนว่าลอนดอนปี 1870 ในช่วงปลายยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมย่อมดีกว่าแม้แออัดยัดเยียดเหมือนกับสลัม ที่นี่มีอะไรให้แจ็กกี้ได้เรียนรู้มากมาย ในช่วงนี้เขาได้งานเป็นนักหนังสือพิมพ์ของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในฐานะล่ามและนักแปลภาษา
เมื่ออายุ 22 ปี แจ็กกี้ได้พบรักกับหญิงสาวสูงศักดิ์ชาวอังกฤษคนหนึ่งที่ชื่อว่า "โรซาลินน์ คิงสลีย์" บ้านของเธอเป็นขุนนางเก่าที่มีฐานะร่ำรวย หากพูดถึงชาติตระกูลแล้วทั้งคู่ถือว่าเหมาะสมกันเป็นอย่างมาก เพียงแต่ตอนนี้ตระกูลลา โรแชลล์แห่งฝรั่งเศสไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนแต่ก่อน ตรงกันข้ามกับตระกูลคิงสลีย์แห่งอังกฤษที่คงอำนาจในสายการเมืองอังกฤษอย่างแข็งแกร่ง ทั้งคู่มีความรักต่อกันเป็นที่ประจักษ์แกสายตาญาติ เพียงแต่โรซาลินน์เป็นธิดาเพียงคนเดียวของสายเลือด มารดาของเธอจึงขอให้ลูกเขยอย่างแจ็กกี้เปลี่ยนมาใช้นามสกุลเป็น "แจ็กกี้ คิงสลีย์" ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้ติดขัดเพราะเขาเองก็แทบจะตัดขาดกับครอบครัวไปแล้ว
ความจริงแล้วโรซาลินน์มีความลับที่ไม่อาจเปิดเผยกับใครได้แม้แต่กับสามีที่รักที่สุด "เธอคือธิดาแห่งซุส" เทพกรีกที่มีอิทธิพลอยู่แถวนิวยอร์ก เรื่องนี้ถูกปิดเป็นความลับมากพอ ๆ กับที่แจ็กกี้ไม่รู้ว่าเขาเองก็มีสายเลือดของเทพเจ้าถึงสององค์ที่ไหลเวียนอยู่ในสายตระกูลมานับพันปี สองคู่รักใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ไม่หลงไปกับอำนาจและฐานะของตนเอง มีบุตรธิดาด้วยกันจำนวนหนึ่ง
ในปี 1912 สองคู่รักพ่อแม่เฒ่าตัดสินใจเดินทางไปท่องเที่ยวฉลองครบรอบการแต่งงานครบ 50 ปีที่มหานครนิวยอร์ก เนื่องจากโรซาลินน์โหยหาคืนวันวัยเด็กที่เธอเคยได้มาใช้ชีวิตที่ลองไอแลนด์ในช่วงอายุ 12-18 ปี แจ็กกี้เองก็สนใจไปเปิดหูเปิดตาด้วยเช่นกัน พวกเขาจึงตัดสินใจจองตั๋วเรือเดินสมุทรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น ออกเดินทางจากเซาต์แทมตันสู่นิวยอร์ก ทว่าระหว่างเดินทางเรือที่ทั้งสองโดยสารมาชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งจนทำให้เรือที่ถูกขนานนามว่า "ยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีวันจม" ล่มสู่ทะเลแอตแลนติก ทั้งแจ็กกี้และโรซาลินน์เสียชีวิตในเหตุการณ์ "เรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก" ล่ม
วันที่เสียชีวิต — 15 เมษายน 1912 【อายุ 62 ปี】
50th Generation

ชื่อ-นามสกุล — เฮนรี่ คิงสลีย์ | Henry Kingsley
วันเกิด — 30 พฤษภาคม 1900
สถานที่เกิด — เมืองลอนดอน, ประเทศอังกฤษ
ฐานะ — ลูกหลานแห่งโรมัน, มนุษย์ที่มองทะลุผ่านหมอกบังตา
ประวัติความเป็นมา
ชีวิตวัยเด็กของเฮนรี่ควรจะสงบสุข ทว่าเมื่ออายุได้ 12 ปี เขากลับมีความสามารถพิเศษที่มองทะลุผ่านหมอกบังตาเฉกเช่นเดมิก็อด อาจเพราะด้วยสายเลือดของเขาตั้งแต่โบราณมีเชื้อไขของเทพหลายองค์ไหลผ่านจนสำแดงพลังในตอนนี้ (เบลโลน่า, เฮอร์มีส และซุส) เขาเคยเห็นเด็กผู้หญิงโรงเรียนเดียวกันถูกอสุรกายเคลพีลากลงน้ำไปกินต่อหน้าต่อตา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นบ้าไปเสียก่อนเทพีเฮร่าทรงมีเมตตาส่งนิมิตไปหาเดมิก็อดที่ลอนดอนเพื่อขอให้ช่วยพาเฮนรี่มาที่ค่ายฮาล์ฟบลัด (หากเทพีเฮร่ารู้ว่าเขามีสายเลือดของซุสไหลเวียนอยู่ในตัวคงไม่ช่วย) เขาได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกแห่งทวยเทพเช่นเดียวกับเดมิก็อดวัยไล่เรี่ยกัน ทว่าเขาเป็นเด็กคนเดียวในค่ายที่ไม่ใช่บุตรแห่งเทพและมีไม่พลังใด ๆ ปรากฎขึ้นมาเลย
หลังจากใช้ชีวิตที่ค่ายฮาล์ฟบลัดได้หลายปีเฮนรี่ก็ได้ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตที่ลอนดอนเพื่อประกอบสัมมาอาชีพ สืบตระกูลและมีลูกหลานต่อไป ด้วยความที่เขารู้เรื่องราวของทวยเทพจึงมีความศรัทธาต่อเทพเจ้ากรีกโดยเฉพาะเทพีเฮร่าที่เคยมีเมตตาต่อเขา ในวัยชราเฮนรี่เป็นโรคสมองเสื่อม เขามักจะเพ้อถึงชีวิตที่ฮาล์ฟบลัดบ่อยครั้งจนลูกหลานเรียกเขาว่า "คุณตาเพี้ยน"
วันที่เสียชีวิต — 17 มีนาคม 1984 【อายุ 83 ปี】
53rd Generation

ชื่อ-นามสกุล — แอนนาเบลล์ คิงสลีย์ | Annabelle Kingsley
วันเกิด — 28 มกราคม 1984
สถานที่เกิด — เมืองลอนดอน, ประเทศอังกฤษ
ฐานะ — ลูกหลานแห่งโรมัน
ประวัติความเป็นมา
แอนนาเบลล์เป็นเด็กหญิงที่มีความฝันเป็นนักแสดงละครเวทีตั้งแต่ยังเล็ก ทว่าครอบครัวของเธอไม่สนับสนุนซ้ำยังมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะครอบครัวคิงสลีย์มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ดีเก่าแก่และคนในครอบครัวมักประกอบอาชีพเป็นข้าราชการ ตั้งแต่นักการเมือง หมอ ตำรวจ ครู และผู้พิพากษา โดยที่แอนนาเบลล์เกิดจาก "ทราวิส คิงสลีย์" บุตรชายคนรองของผู้นำตระกูลรุ่นก่อนที่บริหารงานโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในลอนดอน ทราวิสต้องการให้ลูกสาวเรียนรู้วิชาทางการแพทย์แต่เธอกลับมีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะการร้องรำทำเพลงมากกว่าจดจำตารางธาตุ
แอนนาเบลล์มีปัญหากับทางบ้านหลายครั้งจนสุดท้ายเธอตัดสินใจหนีออกจากบ้านมาพร้อมกับเงินเก็บจำนวนหนึ่งหลังเรียนจบไฮสคูล ด้วยอิทธิพลของทางบ้านแอนนาเบลล์ต้องหนีไปให้ไกลกว่าเกาะอังกฤษ ด้วยความที่เธอสนใจในละครเวทีอยู่แล้ว บอร์ดเวย์จึงเป็นจุดมุ่งหมายที่เธอต้องไปให้ถึง
หญิงสาวเดินทางมาถึงนิวยอร์กด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว จากนั้นก็เป็นโรบินฮู้ดทิ้งชื่อเก่าใช้ชื่อใหม่ "วิเวียน แมคลาวด์" แล้วใช้ทักษะความสามารถทั้งหมดที่ซุ่มซ้อมมาดันตัวเองไปให้ถึงเวทีบอร์ดเวย์ให้ได้ ทว่าการใช้ชีวิตในฐานะคนลักลอบเข้าเมืองเพียงคนเดียวไม่มีอะไรง่ายดาย เธอต้องทำงานพิเศษหลายอย่างไปพร้อม ๆ กับฝึกฝนตนเองให้กลายเป็นดาวเด่นบนเวที ไม่ใช่แค่เอาตัวรอดให้ได้แต่ต้องโด่งดังด้วย แม้ว่าเธอจะหน้าตาสะสวยและมีความสามารถ แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากว่าเธอไม่สามารถโดดเด่นขึ้นมาได้เหนือกว่าหญิงสาวหน้าตาดีอีกร้อยคนที่เป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่ง วิเวียนทำงานที่โรงละครมาหลายปียังไม่ได้บทนำ เธอเป็นได้แค่นักแสดงบทเล็ก ๆ ที่ได้พูดและร้องอยู่ไม่กี่คำ
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ด้วยต้องเอาด้วยกล วิเวียนลองทำสัญญากับซาตานเฉกเช่นตำนานช่าวลือที่ว่ามีนักแสดงชื่อดังผู้ล่วงลับหลายคนได้ลองทำ หลังจากนั้นพวงเขาก็ดังเปรี้ยงปร้าง เธอไปที่ทางสามแพร่งตอนเที่ยงคืนเฝ้าอ้อนวอนอธิษฐานต่อสิ่งลี้ลับ ขอให้เธอได้เป็นนางเอกหลักของละครเวทีเรื่องต่อไป ทว่าบุคคลที่บังเอิญพบเธอที่ทางสามแพร่ง ไม่ใช่เทพบุตรซาตานแต่เป็นสตรีรูปงามที่มีบุคลิกลึกลับในชุดเดรสสีดำ ใบหน้าของเธอเย็นชาราวกับรูปปั้น หญิงคนนั้นไล่ให้วิเวียนกลับบ้านเนื่องจากตรงนี้อันตราย
หลายวันถัดมาโชคเริ่มเข้าข้างวิเวียน แมคลาวด์ เนื่องจากเธอได้รับแคสต์บทเป็นนักแสดงสมทบหลักของบทละครเรื่อง "The Little Woman" แม้ไม่ได้เป็นนางเอกแต่วิเวียนรีบตะครุบบทนั้นทันที ในวันที่ทำการแสดงรอบแรกเธอพบกับหญิงชุดดำปริศนาอีกครั้งในที่นั่งแถวหน้าสุดของโรงละคร และได้พบกับเธออีกหลายครั้งจนตัดสินใจสานสัมพันธ์แบบเพื่อนจนสุดท้ายกลายมาเป็นคนรู้ใจ หน้าที่การงานของวิเวียนดีขึ้นตามลำดับหลังได้ฉายแสงจนสุดท้ายเธอก็ได้เป็นนางเอกละคนเวทีชื่อดังสมใจ
ตัวตนของ "ทริเวร่า แวงเกอเบิร์ก" ค่อนข้างลึกลับ วิเวียนแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้นอกจากรู้ว่าเป็นเศรษฐีนีผู้ร่ำรวยจากธุรกิจเครื่องหอมและยาสมุนไพร กระนั้นวิเวียนก็รักคู่รักเพศเดียวกันของเธออย่างสุดหัวใจ ทริเวร่าเองก็คงคิดไม่ต่างกัน ทั้งคู่เคยคุยถึงการมีลูกหลายครั้งตามประสาความฝันของสาว ๆ แต่วิเวียนก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้นอกเสียจากไปซื้อน้ำเชื้อจากธนาคารเสปิร์มแล้วเข้ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทว่าวันหนึ่งเธอกลับตั้งท้องขึ้นมาทั้งที่ไม่เคยหลับนอนกับบุรุษเพศ ทริเวร่าจูบท้องของเธอพร้อมกับบอกว่า "นี่คือลูกของเรา ไม่ต้องกลัว เธอจะไม่เป็นอะไร" ไม่รู้ด้วยอะไรทำให้วิเวียนเชื่อโดยสนิทใจ ในเมื่อมีคนรักอยู่เคียงข้างก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องกังวล
ช่วงท้องแก่ใกล้คลอดจู่ ๆ ทริเวร่าก็ติดภารกิจบางอย่างกระทันหัน เธอต้องออกเดินทางไกลไปสักแห่งที่ชื่อไม่คุ้นหูและติดต่อได้ยาก วิเวียนไม่รู้ว่าคืองานอะไร แต่เธอก็เชื่อใจคนรักอย่างเช่นทุกครั้ง ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ล้มป่วยอย่างรุนแรง เมื่อไปหาหมอก็พบว่าวิเวียนอยู่ในภาวะครรภ์เป็นพิษจำเป็นต้องเอาเด็กออก แต่ผู้เป็นแม่ไม่ยินยอม เธอยอมอดทนกับอาการป่วยจนกระทั่งลูกน้อยได้เกิดมา "แอนนาเบลล์ คิงสลีย์" เสียชีวิตในนาม "วิเวียน แมคลาวด์" ที่โรงพยาบาลนิวยอร์ก เพรสบิทีเรียน อัลเลน ก่อนที่เธอจะสิ้นลมได้มอบนามให้ทารกน้อยว่า "เอวานเจลีน"
วันที่เสียชีวิต — 9 กันยายน 2009 【อายุ 25 ปี】