
วันที่ 25 เดือนสิงหาคม ปี 2025
ช่วงเช้ามืด 04.00 - 06.00 น. ณ เมืองเอแวนส์วิลล์ รัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา
ยามรุ่งสางของเมืองเอแวนส์วิลล์เงียบสงัดแม้โลกทั้งใบจะไม่รู้จักความมืดอีกแล้วก็ตาม แสงสว่างที่เหมือนฟ้าเช้าไม่สิ้นสุดคอยบดบังดวงดาวและดวงจันทร์ไปอย่างไร้ร่องรอย ห้องนอนของโมนีก้าทอประกายอ่อน ๆ จากไฟหรี่ที่ผสมเข้ากับโทนสีม่วง ฟ้า และชมพูพาสเทลของการตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางเป็นระเบียบแต่แฝงไปด้วยความเป็นตัวเอง ทำให้ที่นี่เป็นรังเล็ก ๆ ของเธอในโลกที่ไม่เคยหยุดหมุน เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลา 04.00 น. มือเรียวยาวของหญิงสาวเลื่อนปิดมันอย่างรวดเร็ว เธอลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ลมหายใจยาวสะท้อนถึงความเหนื่อยล้าที่สั่งสมตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ตั้งแต่โลกนี้ไร้เวลากลางคืน เธอแทบไม่เคยได้พักผ่อนอย่างแท้จริงอีกเลย ความเงียบในเมืองถูกแทนด้วยความสับสน ความหวาดกลัว และผู้คนที่พยายามปรับตัว แต่ในห้องนี้ยังคงอบอุ่นและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ที่เธอปลูกไว้ริมหน้าต่าง
โมนีก้าลากร่างตัวเองไปยังห้องน้ำภายในห้องนอน เปิดก๊อกน้ำ ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจัดที่ทำให้ผิวซีดขาวตื่นขึ้นทีละน้อย เธอก้มหน้าลงมองน้ำหยดไหลตามไรผมสีม่วงอมฟ้าที่สะท้อนอยู่ในอ่าง พอเงยหน้าขึ้น เธอก็มองเห็นตัวเองในกระจก ดวงตาสีเงินเทาอันเป็นเอกลักษณ์ยังคงงดงาม ทว่าขอบตาที่คล้ำเป็นเงาม่วงอ่อนทำให้ภาพตรงหน้านั้นเหมือนตุ๊กตากระเบื้องที่ถูกแต่งแต้มความอ่อนล้า
“แม่ง…ดูไม่สดใสเลยนี่นา…” เธอพึมพำกับเงาของตัวเองในกระจก เสียงแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แบบที่มักใช้ปกปิดความอ่อนแอ
ผมยาวที่ย้อมเป็นโทนม่วงครามถูกเธอใช้นิ้วเรียวจัดให้เข้าที่ ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันทั้งความเปราะบาง ความเข้มแข็ง ความอ่อนหวานและความเด็ดเดี่ยว ยังคงหมุนวนอยู่ในดวงตาคู่นั้น เช้านี้... เป็นอีกวันหนึ่งที่ไม่มีราตรีมาบดบัง…ช่างน่าขำจริง ๆ
เสียงบันไดไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดเบา ๆ ขณะโมนีก้าก้าวลงจากชั้นบน กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยมาแตะจมูกทันทีที่เท้าเปล่าของเธอสัมผัสพื้นไม้เรียบเย็น คุณพ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะครัวตัวเก่า เปิดหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นพลางจิบกาแฟไปด้วย เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มอ่อน ๆ ให้ลูกสาวเพียงคนเดียว "ตื่นเช้าอีกแล้วนะโม"
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพ่อ” เสียงทักทายใส ๆ แต่ยังแฝงความง่วงงุนเล็กน้อยหลุดออกมาจากริมฝีปากของเธอ ดวงตาสีเงินยังมีรอยคล้ำเล็กน้อยบ่งบอกถึงการพักผ่อนไม่เต็มอิ่ม ทว่ารอยยิ้มที่ส่งให้บิดาก็ยังอบอุ่นเหมือนเคย เธอเดินผ่านครัวไปนั่งโซฟาในห้องนั่งเล่น มือเอื้อมหยิบรีโมทกดเปิดทีวี ภาพบนจอกำลังรายงานข่าวสดจากกรุงโรมใหม่เมืองที่ถูกเปิดเผยขึ้นมา ในเน็ตว่ากันว่าถอดแบบจากสถาปัตยกรรมโรมโบราณอย่างพิถีพิถัน ทั้งวิหาร เสาโรมัน และจัตุรัสกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยฝูงชน นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกำลังเดินชมด้วยสายตาตื่นตะลึง เสียงผู้ประกาศกล่าวด้วยน้ำเสียงเร้าใจถึงการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมที่กำลังเกิดขึ้นแม้จะผ่านไปหนึ่งปีแล้วก็ตาม
โมนีก้านั่งจ้องมองภาพนั้นนิ่ง ๆ ขณะที่เสียงพากย์บรรยายเรื่องค่าเงินดีนาเรียสที่กำลังพุ่งสูงลิบ แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนก็ยังยินดีจ่าย เพียงเพื่อได้สัมผัสกลิ่นอายประวัติศาสตร์ที่เหมือนหลุดพ้นมาจากกาลเวลา
ในแววตาเธอปรากฏประกายบางอย่าง ไม่ใช่แค่ความสนใจในความงดงามของโรมัน แต่เป็นความรู้สึกที่ลึกกว่านั้น เหมือนหัวใจถูกกระตุกจากความคุ้นเคยบางอย่าง เธอพึมพำเบา ๆ ราวกับคุยกับตัวเอง “โรม… ที่ไม่เคยหายไป ที่ยังคงอยู่จริง ๆ สินะ?” สำหรับใครหลายคนเมืองนี้อาจเป็นแค่สถานที่ท่องเที่ยวหรือการแสดงพลังวัฒนธรรม แต่สำหรับโมนีก้าแล้ว มันเหมือนสานที่ ที่รอเรียกหาเธออยู่เงียบ ๆ ทั้งที่เธอเองยังไม่เข้าใจว่าทำไมเลือดเนื้อของเธอถึงสั่นสะท้านเพียงแค่เห็นภาพเหล่านั้น
ข้างหลังของเธอตนนี้คุณพ่อเดินมาวางแก้วน้ำส้มคั้นสดลงบนโต๊ะหน้าทีวี “ดูท่าจะสนใจข่าวนี้มากเลยนะโมนีก้า พ่อเห็นเราชอบหยุดดูข่าวนี้ทุกที” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ในน้ำเสียงมีแววกังวลเล็ก ๆ เหมือนเขาเองก็รู้ดีว่าโรมไม่ใช่แค่เมืองในข่าวธรรมดาสำหรับลูกสาวคนนี้ เธอหันไปยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ได้ตอบ เพียงแค่ยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ ปล่อยให้รสหวานอมเปรี้ยวไหลผ่านลำคอ ในใจกลับเต็มไปด้วยความคิดว่า…บางที เรื่องราวที่ถูกซ่อนเร้นมาทั้งชีวิต อาจใกล้ถึงเวลาถูกเปิดเผยแล้วก็ได้
หลังจากนั้นเธอและพ่อก็มุ่งหน้าตรงไปยังโซนด้านข้างที่เป็นร้านขายยา แสงเช้าที่ไม่เคยจางหายสาดลอดผ่านม่านกรองแสงที่พ่อบรรจงเลือกมาติดไว้ทุกบานหน้าต่างในบ้าน ทำให้บรรยากาศข้างในร้านขายยาดูอบอุ่นและนุ่มนวล ไม่ร้อนแรงเหมือนโลกภายนอกที่ไร้ช่วงเวลากลางคืน โมนีก้าเดินตามพ่อไปเปิดร้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนถนนเดียวกับบ้านหลังเล็กของพวกเขา ประตูไม้สีขาวถูกผลักเปิดออกพร้อมเสียงกระดิ่งเบา ๆ ดังต้อนรับวันใหม่ กลิ่นยาและสมุนไพรลอยอบอวลไปทั่วร้าน ขวดแก้วเรียงรายอย่างเป็นระเบียบบนชั้นสูงเรียบ ๆ พ่อของเธอกำลังตรวจสอบตู้ยา เช็กสต็อกกับบัญชีอย่างเคร่งครัด ขณะที่โมนีก้าเดินไปหยิบผ้าสะอาดมาค่อย ๆ เช็ดเคาน์เตอร์หน้าร้าน ดวงตาสีเงินเหลือบไปเห็นถุงยาที่เตรียมไว้สำหรับลูกค้าประจำพ่อของเธอเป็นคนจัดมันเองกับมือ
“โชคดีนะคะ ที่คนเราปรับตัวเก่งกับไอ้ความไม่มีเวลากลางคืนเนี้ย” เสียงหวานเอ่ยขึ้นขณะมือยังขยับไม่หยุด เธอมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นผู้คนเดินผ่านไปมาบนถนน แต่ละคนก็เหมือนคุ้นชินกับโลกที่ไม่มีค่ำคืนเสียแล้ว บางคนสวมแว่นกันแดดตลอดเวลา บางคนใช้เสื้อคลุมที่ปกปิดผิวจากแสงที่ไม่เคยหยุด
คุณพ่อแคนทัสหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า “มนุษย์น่ะ มีสิ่งที่เรียกว่าวิทยาการ...เขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาปกป้องตัวเอง อย่างม่านบังแดดนี่ไง แสงผ่านไม่ได้ถึงบ้านเราจะเล็กแต่พ่อก็อยากให้หนูได้มีที่สงบเย็นบ้าง” โมนีก้ายิ้มหวานให้กับเขารอยยิ้มที่เหมือนดอกไม้แรกแย้มในเช้าวันอุ่น เธอเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วตอบเบา ๆ “หนูรู้ค่ะ...พ่อห่วงหนูเสมอเลย”
ขณะนั้นเธอหยุดมือมองพ่อสักครู่ แววตาสีเงินสะท้อนถึงความรักและผูกพันอย่างแน่นแฟ้น ตั้งแต่แม่จากไป พ่อก็เป็นทั้งที่พึ่งทั้งร่มเงาและหัวใจดวงเดียวที่เธอยึดไว้ในโลกที่ไม่เคยปกติอีกต่อไป แม้ในใจเธอรู้ดีว่าที่นี่ เมืองเอแวนส์วิลล์ ยังไม่ใช่บ้านจริง ๆ ของเธอ แต่เพราะอยู่กับพ่อทุกมุมมองทุกเสียงหัวเราะ และทุกการทำงานเล็ก ๆ อย่างเช็ดโต๊ะ จัดยา มันก็ทำให้โลกที่ไม่เคยมีค่ำคืนดูไม่โหดร้ายเกินไปนัก และบางที...นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่เธออยากหยุดไว้ให้นานที่สุด ก่อนที่เส้นทางแห่งโชคชะตาที่ซ่อนอยู่ในสายเลือดจะเรียกหาเธอออกไปไกลจากบ้านหลังเล็กนี้
หลังจากนั้นไม่นานโมนีก้าก็เดินทางออกมาจากร้านค้า เธอพึ่งย้ายมาที่เมืองนี้ได้ประมาณไม่ถึงสองเดือนเลยชอบเดินเล่นรอบ ๆ เมืองเสียหน่อย อย่างน้อยก็อาจจะช่วยทำให้เธอสบายใจขึ้นกับความรู้สึกที่ค่อนข้างอึดอัดในตัว เธอเดินผ่านสายลมในสวนสาธารณะพัดเอื่อย ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความอึดอัดบางอย่างที่โมนีก้าสัมผัสได้ทันทีที่เธอเงยหน้ามองต้นไม้ตรงหน้า กิ่งไม้แห้งกรอบเหมือนไม่เคยมีใครเหลียวแล เธอก้าวเข้าไปใกล้ ก้มลงเปิดก๊อกน้ำสาธารณะแล้วใช้ฝ่ามือเรียวรองน้ำเย็น ๆ ก่อนจะยกขึ้นพรมน้ำหยดใส่ดินรอบโคนต้นอย่างอ่อนโยน
ทันใดนั้นกลีบใบที่เหี่ยวเฉากลับฟื้นตัวเล็กน้อย ราวกับตอบสนองต่อสัมผัสของเธอเอง ดวงตาสีเงินของโมนีก้าเบิกกว้างเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกแบบนี้...เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ซึมซับความประหลาดนั้น เสียง "หืดหอบ" หนัก ๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ราวกับสัตว์ร้ายกำลังสูดดมอากาศเพื่อจับกลิ่น มันหนาแน่นและดังก้องจนต้นคอเธอเย็นวาบ เธอค่อย ๆ หันหลังกลับอย่างระมัดระวังและภาพที่เห็นทำให้ร่างกายชะงักงันในทันที
“!!!?”
สัตว์ประหลาดตัวยักษ์สูงเกือบสี่เมตรยืนตระหง่านอยู่ไม่ไกล ผิวกายเต็มไปด้วยขนสีเทาแข็งแกร่ง หัวกระทิงที่ดวงตาแดงวาวก้มต่ำลงมาสบตากับเธอ ในมือใหญ่ถือขวานสองคมอันมหึมาที่สะท้อนประกายแดดลอดก้อนเมฆราวกับเตือนว่า มันสามารถฉีกทุกอย่างเป็นชิ้น ๆ ได้ง่ายดาย กล้ามเนื้อแข็งราวกับเหล็กเคลื่อนตัวช้า ๆ แต่มั่นคง มันก้าวเท้าแผ่นดินสะเทือนเล็กน้อย ทุกฝีเท้าคือการข่มขู่ เงาของมันทอดยาวคลุมร่างโมนีก้าไว้ราวกับเหยื่อที่ถูกหมายตา
มิโนทอร์ อสุรกายแห่งตำนานกรีกที่ไม่ควรปรากฏตัวในสวนสาธารณะเงียบ ๆ ของเมืองเล็ก ๆ แต่ตอนนี้...มันอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
หัวใจของโมนีก้าเต้นแรงความหวาดกลัวพุ่งเข้ามา แต่ก็ปะปนกับความรู้สึกคุ้นแปลก ๆ ในเส้นเลือด เหมือนสายเลือดกำลังตอบสนองต่อภัยตรงหน้าอย่างเงียบงัน มิโนทอร์ส่งเสียงคำรามต่ำ ๆ ราวกับจะประกาศว่าเธอคือเป้าหมายต่อไปของมัน และตอนนี้เจ้าของดวงตาสีเงินของโมนีก้าสั่นสะท้อนพร้อมกับมือเรียวที่เผลอกำแน่นจนเล็บจิกผิว
“ตึกกก!! ตึก โคร่ม!!” เสียงก้าวเท้าโครมครามดังก้องไปทั่วสวนสาธารณะ มิโนทอร์พุ่งเข้ามาเหมือนพายุร้าย โมนีก้าแทบไม่ทันคิด เธอหมุนตัวแล้วออกวิ่งสุดแรงเกิด ขาเรียวเล็กขยับเร็วเสียจนแทบไม่ทันหายใจ ลมหายใจหอบแรงจนเหมือนหน้าอกกำลังจะระเบิดออกมา
“ไม่นะ… เชี่ย!! ไม่จริง มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม มิโนทอร์มีจริงได้ยังไงวะ!!?” ความคิดแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในหัวจนเผลอพูดออกมาตามที่คิด สติแทบไม่เหลือแต่สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของเธอถูกปลุกขึ้นมาเต็มที่ หัวใจเต้นรัวเหมือนกลองศึก ขณะที่เสียงคำรามต่ำ ๆ ของสัตว์ร้ายไล่ตามมาติด ๆ ร่างกายของเธอสั่นสะท้านไปหมด มือเย็นชืดดวงตาสีเงินพร่ามัวจากทั้งเหงื่อและน้ำตาที่เอ่อรื้น แต่เธอยังวิ่ง สับตีนแตกเหมือนวิ่งผลัด 4x100 ที่เส้นชัยคือการมีชีวิตรอดของตัวเอง
นั้น!!!
ถนนด้านหน้ามีผู้คนพลุกพล่าน เธอพุ่งไปทางนั้นหวังว่าความวุ่นวายของฝูงชนจะเป็นเกราะกำบังชั่วคราว แต่ไม่ทันที่ความหวังจะสมบูรณ์ เสียงหวีดหวิวของโลหะหนักแหวกอากาศก็ดังขึ้น
ฟึ่บ!
ขวานยักษ์ขนาดมหึมาพุ่งเฉียดศีรษะของเธอไปเพียงไม่กี่เซนติเมตรก่อนจะปักลงกลางพื้นถนนด้านหน้า ด้วยแรงมหาศาลจนพื้นแตกสะเทือนฝุ่นและเศษดินพุ่งกระจายไปทั่ว โมนีก้าชะงักกึก ร่างกายแข็งทื่อขาแทบไม่ขยับได้หัวใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เธอหอบหายใจรุนแรง ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว
มิโนทอร์ยืนห่างออกไปเล็กน้อย มันหอบลมหายใจแรง ๆ ผ่านจมูกใหญ่ คำรามต่ำ ๆ อย่างเจตนาจะข่มขู่ แต่แทนที่จะเข้ามาปลิดชีพ มันกลับค่อย ๆ ถอนสายตาออกไป เหมือนเพียงต้องการประกาศตัวว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเธออีกต่อไป เสียงกีบเท้ากระแทกพื้นดังก้อง ก่อนเงามหึมานั้นจะถอยหายไปกับแนวไม้ด้านหลัง ทิ้งไว้เพียงขวานที่ฝังลึกอยู่ในพื้นถนน กับความจริงที่ทำให้เลือดในกายของโมนีก้าเย็นเยียบ
หญิงสาวทรุดฮวบลงกับพื้น มือสั่นระริก กำเสื้อตัวเองแน่น หัวใจยังเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก เธอหอบหายใจแทบไม่เป็นจังหวะ ภาพเหตุการณ์ยังคงวนซ้ำในหัวไม่หยุด “พระเจ้า…นี่มันเรื่องอะไรกัน…” เสียงสั่นพร่าเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมสัตว์ประหลาดจากตำนานถึงปรากฏตรงหน้าเธอ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือชีวิตธรรมดาของเธอไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้นเสียงกระดิ่งประตูร้านยาดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อโมนีก้าวิ่งเข้ามาในร้านขายยาของพ่อ ร่างบางของเธอสั่นสะท้าน หอบหายใจแรงเหมือนจะขาดใจในทุกจังหวะ เธอแทบไม่สนใจลูกค้าที่พึ่งออกจากร้านไปเมื่อครู่ รีบพุ่งตัวเข้าหาคุณพ่อที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ กอดเขาแน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อย “พ่อ! พ่อคะ…มันมีสัตว์ประหลาด! มีเขา มีขวานใหญ่ยักษ์ มัน…มันเกือบฆ่าหนูแล้ว!” เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาเอ่อรื้นเต็มดวงตาสีเงิน ดวงหน้าซีดขาวยิ่งกว่าปกติ ขาทั้งสองข้างแทบไม่มีแรงยืน
คุณพ่อแคนทัสตกใจแต่รีบวางทุกอย่างลง กอดลูกสาวกลับแน่น มือใหญ่ลูบเส้นผมยาวสีม่วงครามของเธอเบา ๆ ราวกับจะกลบเสียงสั่นกลัวนั้นให้หายไป “ชู่ว…ไม่เป็นไรแล้วโม ไม่เป็นไรแล้ว พ่ออยู่นี่แล้ว” เสียงทุ้มอ่อนโยนแต่แฝงความร้อนรนสะท้อนออกมา เขารู้ดีว่าลูกสาวไม่ได้พูดโกหกเพราะตั้งแต่ย้ายมาเอแวนส์วิลล์ โมนีก้าเป็นคนบอกเขาเองว่าสัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดที่เหมือนเฝ้ามองอยู่รอบ ๆ
โมนีก้าซุกหน้าเข้ากับอกพ่อ น้ำตาไหลเปียกเสื้อเชิ้ตของเขา “พ่อคะมัน…มันจ้องหนูเหมือนหนูเป็นเหยื่อ หนูไม่ใช่คนกล้านะพ่อ หนูกลัว หนูไม่อยากเจออีกแล้ว…” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวาจริงแท้ ร่างเล็กในอ้อมแขนเหมือนจะหายใจไม่ทัน
แคนทัสหลับตาลงชั่วขณะ เขาไม่รู้คำตอบไม่รู้เหตุผลว่าทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงเกิดขึ้น “พ่อไม่รู้หรอกว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง…แต่พ่อเชื่อหนูโมนี่ พ่อเชื่อทุกคำที่หนูเล่า” เขาผละออกเล็กน้อย ประคองใบหน้าของเธอขึ้นมาให้สบตากัน “ใจเย็น ๆ ยัยหนูของพ่อ จำไว้นะ ไม่ว่าอะไรจะตามหนูมา…พ่อจะปกป้องหนูจนถึงที่สุด” คำพูดนั้นทำให้หัวใจที่เต้นระส่ำของโมนีก้าคลายลงเล็กน้อย แต่ความจริงที่ฝังอยู่ในหัวก็ยังชัดเจน นี่ไม่ใช่ภาพหลอน ไม่ใช่ฝันร้าย หลังจากนั้นตลอดทั้งวันโมนีก้าอยู่ที่ร้านกับพ่อจนกลับบ้าน เธอขังตัวเองอยู่ในห้องนอนของตนเอง
ในห้องนอนเล็กที่ถูกผ้าม่านหนาทึบปิดกั้นแสงจากโลกภายนอกจนมืดสนิท มีเพียงโคมไฟข้างเตียงที่ส่องแสงอุ่นสลัว ๆ โมนีก้านั่งอยู่บนเตียง มือเรียวขาวซีดเอื้อมไปจับกรอบรูปครอบครัวที่วางอยู่ตรงหัวเตียง ภาพถ่ายที่ซีดจางเล็กน้อยเผยให้เห็นเด็กหญิงตัวน้อยวัยเพียงสองขวบยิ้มสดใสในอ้อมกอดของพ่อข้าง ๆ และร่างของผู้หญิงที่สวยอ่อนหวาน ใช่…นั้นคือแม่ของเธอ นิ้วของโมนีก้าลูบไล้ไปบนรอยยิ้มของแม่ในรูป ใจเธอสั่นระริก ราวกับในห้วงความเงียบนี้ ความคิดถึงและความกลัวถูกขับออกมาจนแน่นอก น้ำตาคลอหน่วยช้า ๆ ดวงตาสีเงินพราวสะท้อนเงาไฟ “แม่คะ…ได้ยินหนูบ้างไหมคะ…ช่วยหนูกับพ่อทีช่วยปกป้องเราด้วย ถ้าแม่อยู่บนสวรรค์แล้วยังรออยู่ที่อาณาจักรของพระเจ้า...” เสียงแผ่วเบาแทบเหมือนคำภาวนา
ทันใดนั้น ความเงียบก็กลายเป็นสิ่งผิดปกติ ลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านห้องทั้งที่หน้าต่างปิดสนิท ม่านผ้าสั่นไหวเล็กน้อย แสงไฟสลัวกระพริบชั่วครู่ ดอกไม้แห้งในแจกันบนโต๊ะข้างเตียงกลับชูช่อขึ้นราวกับมีใครปลุกชีวิตให้คืนมา เสียงนั้นแว่วก้องมาในห้วงความเงียบ มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่สำเนียงอเมริกัน แต่เป็นถ้อยคำโบราณที่หนักแน่นและคมชัดเหมือนดาบกล้าแทงทะลุความมืด โมนีก้านิ่งค้าง หัวใจเต้นแรงจนเจ็บอก เธอขมวดคิ้วพยายามตั้งสติ ฟังให้ได้ว่าเป็นภาษาอะไร
ริมฝีปากเธอพึมพำเบา ๆ “…ภาษาโรมัน?” เสียงสั่นพร่า หลายคำเธอฟังไม่ออก แต่บางคำชัดเจนพอจะตีความได้ securitas… tutela… ความปลอดภัย…การคุ้มครอง… “ใครกัน…แม่เหรอ?” เธอหันซ้ายทีขวาที สายตาไล่หาต้นเสียง แต่กลับว่างเปล่า ห้องทั้งห้องเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังโครมคราม ความเย็นลึกลับเริ่มเกาะผิวเนื้อ
แล้วทันใดนั้น เพล้ง!
กรอบรูปที่เธอวางไว้บนหัวเตียงร่วงลงพื้นเองอย่างไร้สาเหตุ แก้วแตกเล็กน้อย เสียงก้องชัดจนเธอสะดุ้งเฮือก ทั้งที่ในห้องไม่มีพัดลมหน้าต่างปิด ไม่มีแม้แต่ลมลอดเข้ามา
มือสั่นระริกของโมนีก้าเอื้อมไปหยิบกรอบรูปขึ้นมา หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา เธอสังเกตเห็นว่าภาพถ่ายที่เคยแนบสนิทอยู่ในกรอบกลับหลุดออกมาเล็กน้อย และที่ด้านหลังภาพถ่ายนั้น มีลายมือหวัด ๆ เขียนเอาไว้ ร่องรอยหมึกซีดลงตามกาลเวลา แต่เธอจำได้ทันที มันคือลายมือของแม่…ลายมือที่เธอเคยเห็นจากบันทึกเก่า ๆ ที่พ่อเก็บไว้ ข้อความนั้นสั้น แต่กลับเหมือนคำสั่งเสียที่บาดลึกถึงขั้วหัวใจ
เมื่อไม่ปลอดภัย จงทำตามสัญชาตญาณแห่งโรม รักลูกเสมอไลแลคน้อยของแม่
มือเล็กของโมนีก้าสั่นจนแทบทำกระดาษหล่น น้ำตาไหลรินเงียบ ๆ บนแก้มซีดขาว เธอจ้องมองลายมือที่ไม่ได้เห็นมานาน…แต่กลับแน่นอนเกินกว่าจะเป็นภาพหลอน “แม่…นี่แม่เขียนไว้จริง ๆ ใช่ไหม…” เสียงกระซิบสะท้อนในห้องที่มืดสนิท ดวงตาสีเงินสั่นสะท้อนทั้งความกลัว ความสับสน และความอบอุ่นที่ปะปนกัน โลกทั้งใบของเธอเหมือนกำลังสั่นคลอน แต่ก็มีบางอย่างในเส้นเลือดที่เริ่มร้อนวูบขึ้นมามันคือบางสิ่งที่แม่ฝากเอาไว้…มันกำลังตื่นในร่างกายของเธอ…
แสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงสะท้อนในดวงตาสีเงินของโมนีก้า ขณะที่เธอยังคงถือรูปถ่ายครอบครัวนั้นแนบอก หัวใจยังคงเต้นแรงจากเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เมื่ออ่านลายมือที่อยู่ด้านหลังรูปแล้ว ความอบอุ่นบางอย่างก็แทรกเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัว เธอพึมพำเบา ๆ เหมือนคุยกับตัวเองและกับแม่ที่จากไป “บางที…พรุ่งนี้หนูอาจต้องเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟังแล้วล่ะ ถ้าแม่ทิ้งข้อความไว้แบบนี้แปลว่ามันต้องสำคัญจริง ๆ ใช่ไหมคะ…” รอยยิ้มบาง ๆ แต้มที่มุมปาก แม้จะยังมีน้ำตาคลอแต่รอยยิ้มนี้ดูอ่อนโยนและเปราะบางในเวลาเดียวกัน
ภาพในหัวเริ่มเล่นไปข้างหน้าเป็นจิตนาการที่เธอเห็นตัวเองกำลังหัวเราะอ้อนพ่อขอเงินค่าเครื่องบิน บอกว่าอยากลองไปโรมใหม่เมืองที่เพิ่งเปิดตัวและกำลังฮือฮาไปทั่วโลก บางทีนั่นอาจเป็นคำตอบ บางทีที่นั่นอาจเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเธอ แต่คืนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจ โมนีก้าวางรูปถ่ายกลับลงข้างหมอน ปิดโคมไฟจนห้องมืดสนิทอีกครั้ง ม่านหนาทึบทำให้โลกภายนอกที่ยังคงสว่างเหมือนกลางวันไม่อาจรบกวนเธอได้อีก เสียงลมหายใจเริ่มผ่อนคลายทีละน้อย
“คืนนี้…ขอให้ฝันดีถึงแม่ทีเถอะ…” เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนดวงตาจะค่อย ๆ ปิดลง ร่างเล็กขดกายใต้ผ้าห่ม ความอบอุ่นจากคำว่า รักลูกเสมอ ยังคงก้องอยู่ในใจ ในห้วงนิทราที่กำลังจะพาเธอดำดิ่งลงไปนั้น แสงเงินวูบหนึ่งส่องลอดเข้ามาในความมืด เหมือนมีใครกำลังรอเธออยู่ในความฝัน…
ทว่า..
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูสามครั้งแผ่วเบาดังขึ้นในห้องเงียบสนิท โมนีก้าที่นอนขดตัวใต้ผ้าห่มสะดุ้งตื่น ดวงตาสีเงินเบิกกว้างทันทีเพราะยังหลับไม่สนิท ใจหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ประหลาดยังคงตามมา แต่เมื่อได้ยินเสียงของพ่อดังขึ้นจากด้านนอก เธอจึงผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย “โม…ขอพ่อเข้าไปได้ไหม?” น้ำเสียงทุ้มที่พยายามคุมให้มั่นคง แต่แฝงความสั่นสะเทือนเล็กน้อย โมนีก้าลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูอย่างระมัดระวัง ภาพที่เห็นทำให้เธอใจหายผมของพ่อมีหยากไย่ติดอยู่ราวกับเพิ่งปีนป่ายห้องเก็บของเก่า ใบหน้าซีดเคร่งเครียดดวงตาคมนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้แค่กังวลธรรมดา แต่กำลังค้นหาทางออกให้ลูกสาวคนเดียวของเขาอย่างหัวใจแทบแตกสลาย
“พ่อ…เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” เธอถามเสียงแผ่ว มือยังจับลูกบิดแน่น
แคนทัสไม่ตอบทันที เขาส่งจดหมายเก่าเก็บฉบับหนึ่งที่ห่อด้วยซองกระดาษสีน้ำตาลซีดตามกาลเวลาให้กับเธอ “พ่อเพิ่งเจอ…มันอยู่ในหีบเก่าของตระกูลเรา”
โมนีก้ารับจดหมายนั้นมาอย่างสับสนนิ้วเรียวสั่นเล็กน้อยขณะคลี่มันออก กลิ่นกระดาษเก่าลอยแตะจมูก แสงไฟในห้องสลัวสะท้อนหมึกที่เลือนลางแต่ยังคงอ่านได้ชัดเจน ตัวอักษรเขียนไว้ว่า Asher Blossom …ชื่อที่เธอไม่คุ้น แต่พ่อพึมพำบอกช้า ๆ “ชื่อปู่ทวดของลูก…ทวดแอชเชอร์”
เธอเงยหน้าขึ้นงงงัน “ปู่ทวด? แล้วทำไมพ่อถึงเอามาให้หนูตอนนี้หรอคะ?”
แคนทัสถอนหายใจยาว ร่างสูงใหญ่โน้มลงนั่งขอบเตียงข้างเธอ “พ่อเองก็ไม่รู้รายละเอียด แต่ปู่ทวดของเราเคยพูดไว้…ถ้าวันหนึ่งตระกูลบลอสซัมตกอยู่ในอันตราย ให้ลูกหลานทำตามสัญชาตญาณแห่งโรม” หะ?! หัวใจโมนีก้ากระตุกแรงทันที เธอแทบปล่อยจดหมายหลุดมือ “ว่า…ว่าอะไรนะคะพ่อ? สัญชาตญาณแห่งโรม?” เสียงสั่นเครือเหมือนสายฟ้าฟาดในใจ เพราะมันคือประโยคเดียวกันกับที่เธอเพิ่งเห็นจากลายมือแม่บนรูปถ่ายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เธอหันไปมองพ่อ ดวงตาสีเงินพราวสะท้อนความสับสนและหวาดหวั่น “ทำไมถึงเป็นประโยคเดียวกันพ่อ? แม่ก็เคยเขียนไว้…”
แคนทัสจ้องลูกสาวด้วยแววตาแน่นิ่งแต่เปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด เขาส่ายหน้าเบา ๆ “แม่ลูกเขียนไว้งั้นหรอ?...พ่อไม่รู้หรอกโม…พ่อแค่รู้ว่า ตอนนี้หนูไม่ปลอดภัยแล้วจริง ๆ” มือใหญ่ของเขาวางลงบนไหล่เล็ก บีบแน่นอย่างคนที่ไม่อยากปล่อย “ลูกอาจต้องเดินทางไกลกว่าที่คิด…พ่อไม่อยากพูดแบบนี้ แต่ดูเหมือนลูกต้องห่างไกลพ่อเหลือเกิน” โมนีก้ารู้สึกเหมือนพื้นโลกทั้งใบกำลังโคลงไหว ข้างในอกเหมือนมีไฟและน้ำแข็งประทะกัน เธอสับสน กลัวและไม่อยากเชื่อ แต่ทุกคำ ทุกสัญญาณที่ได้รับมันเชื่อมโยงกันหมด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ปรากฏในสวนสาธารณะ ลายมือแม่ที่ฝากข้อความและตอนนี้ก็คือ…จดหมายของบรรพบุรุษ
เธอกอดจดหมายนั้นแนบอก น้ำตาเอ่อคลอ “หนูไม่เข้าใจเลยพ่อ…แต่ถ้าแม่กับทวดบอกเหมือนกัน…หนูคงไม่มีทางเลือกใช่ไหม?” แคนทัสลูบศีรษะลูกสาวเบา ๆ “ไม่ว่าลูกจะเลือกยังไง พ่อจะอยู่ข้างลูกเสมอ แต่บางครั้ง…สิ่งที่เขียนไว้ในสายเลือดมันก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกโมนี” ในห้องที่เงียบสงัด เสียงหัวใจสองดวงเต้นประสานกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความรักและความกลัวที่ผสมปนเปอย่างเข้มข้น และเหนือสิ่งอื่นใด มันคือเสียงก้าวแรกของเส้นทางที่จะพาโมนีก้าไปไกลจากบ้านเล็กแห่งนี้ สู่โลกที่เธอไม่เคยจินตนาการ
อื่น ๆ: มาเจอสัตว์ประหลาด มาเปงลูกแมร๊ มาสับสนวุ่นวายยย ก็ใจมันหายละลาย ๆ