ช่วงเวลายามค่ำคืน ของ วันที่ 3 กรกฎาคม วันที่แสงจันทร์อ่อนโยน กำลังตกกระทบผ่านลงมายังตรงบริเวณหน้าต่างบานเล็ก และค่อยๆ ส่องแสงลงตรงบริเวณพื้นไม้เรียบเงา ของ บ้านหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณมุมที่เงียบสงบ ของ ชานเมือง ทุกๆ อย่างภายในบ้านหลังนี้ยังคงเงียบงัน เหมือนในทุกๆ ค่ำคืนที่ผ่านมา มีแค่เพียงเสียงลมหายใจ ของ เด็กหญิงคนหนึ่งที่แผ่วเบาราวกับจะกลืนหายไปกับอากาศ

เธอกำลังนั่งอยู่เพียงึนเดียวลำพัง ที่ตรงบริเวณมุมโต๊ะเขียนหนังสือ ใต้แสงเทียนเล่มเล็กที่กำลังส่องไหวอยู่เหนือสมุดหนังสีดำ ดวงตา ของ เด็กหญิงตัวน้อยๆ ช่างดูแน่นิ่ง พร้อมกับเฝ้ามองดูเปลวไฟที่กำลังเต้นระริก ราวกับกำลังรอฟังเสียงของบางอย่าง และเป็นเสียงที่บุคคลทั่วไปอาจจะไม่เคยได้ยิน เด็กหญิงผู้นั้น คือภริดา อารยภักดีเทวราช เธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เติบและโตมา กับ ความเงียบ และเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่เลือกที่จะเรียนรู้ที่จะสื่อสาร กับ ผู้คนบนโลก ผ่านทางการฟัง ไม่ใช่การพูด

คืนนี้ช่างเป็นค่ำที่แปลกประหลาด และ มันไม่เหมือน กับ ค่ำคืน ของ วันอื่นๆ ที่ผ่านมา หลังจากที่เด็กหญิงตัวน้อยๆ ริดาเดินทางกลับมาจากโรงเรียน ด้วยสีหน้าและท่าทางที่ดูเงียบงันยิ่งกว่าในทุกๆ วันที่เธอเคยเป็นมา ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามว่า "เธอเป็นอะไรหรือเปล่า!!" เด็กหญิงริดาตัวน้อยๆ เธอทำได้แค่เพียงส่งรอยยิ้มบางๆ ให้กับผู้เป็นพ่อ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเดินทางกลับเข้าไปภายในบริเวณห้องนอน ของ ตัวเอง เธอไม่มีแม้แต่จะเอ่ยคำพูดบอกเล่า หรือ แม้แต่จะอธิบายอะไรให้ผู้เป็นพ่อได้รับรู้เลยแม้แต่นิด เพราะว่าเธอเอาแต่เงียบ เหมือนโลกภายในใจ ตอนนี้ ของ เด็กหญิงตัวน้อย ๆ ทุกอย่างกำลังหมุนอย่างช้าๆ กว่าโลกของคนอื่นเสมอ

ภายในจิตใจ ของ เด็กหญิงตัวน้อยๆ ริดา มันยังคงมีภาพสะท้อน จากความทรงจำที่ถูกเก็บงำซ่อนอยู่ เสียงกรีดร้อง ของ เด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่แทบจะไร้เสียงเปล่งออกมา ภาพของเงาร่างสูงใหญ่ที่ไม่ใช่มนุษย์ และดวงตาสีแดงเพลิงที่กำลังจ้องมองเธอมาจากความมืด ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างเธอยังคงจำมันได้ดีและแม่นยำ และ เธอเองก็รู้ตัวดีว่า สิ่งที่เธอกำลังมองเห็นอยู่ไม่ใช่แค่เพียงภาพลวงตา และเธอเองก็มีความรู้สึกเป็นห่วงพ่อ เพราะว่าพ่อเป็นบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในชีวิต ของ เธอ และเขาไม่ควรที่จะต้องมาได้ยิน หรือ รับฟังเรื่องราวที่ไร้สาระนี้ เพราะเธอเองก็รู้ดีว่า "ถ้าเขารับรู้เรื่องราว เหล่านี้จากปาก ของ เธอ เขาจะต้องรู้สึกหวาดกลัวเขาจะต้องมีความรู้สึกกังวลใจ แล้วเขาคงไม่อาจที่จะข่มตานอนหลับได้อย่างสนิท เพราะเขาเป็นห่วงเธอ" สิ่งที่เด็กหญิงตัวน้อยๆ อย่างริดาคิดคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เธอควรเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ให้เงียบที่สุด และ ปล่อยให้ความหวาดกลัวกลืนกินความเงียบงันในตัว ของ เธอ ลงไปอย่างช้าๆ

หลังจากนั้นเด็กหญิงริดา ตัวน้อยๆ ก็ค่อยๆ เริ่มทำการหันไปมองดูนาฬิกา ในตอนนี้เป็นเวลาประมาณตีหนึ่งพอดี สมุดบันทึกค่อยๆ ถูกปิดลงไปอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเด็กหญิงตัวน้อยๆ ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาทำการเอื้อมมือข้างขวาไปหยิบถุงผ้าสีเทาใบเล็ก และค่อยๆ เริ่มทำการหยิบ ของ เพียงไม่กี่ชิ้นที่จำเป็น อาทิเช่น ชุดลำลอง สมุดเล่มที่รักและโปรดปราณมากที่สุด ปากกาหมึกเงิน ถุงสมุนไพรบัวหลวง และอย่างสุดท้ายก็คือ ผ้าพันคอที่ผู้เป็นพ่อ ได้ทำการซื้อให้เธอเป็น ของขวัญเมื่อปีก่อน ทุกๆ อย่างถูกจัดใส่ลงไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และถึงแม้ว่าจะไม่มีแม้แต่เสียงใดที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากบาง ของ เด็กหญิงตัวน้อยๆ แต่ทว่าการกระทำ ของ เธอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่ เธอกำลังทำการเขียนโน๊ตข้อความสั้นๆ ไว้ที่ตรงบริเวณตู้เย็น โดยมีใจความของข้อความที่เขียนไว้ดังต่อไปนี้
"พ่อจ๋า !!! ต่อไปนี้พ่อไม่ต้องรู้สึกเป็นห่วงหนูนะคะ หนูมีเหตุผลที่จำเป็นที่จะต้องจากไป และสักวันหนึ่งหนูจะกลับมา และเมื่อวันนั้นมาถึงพ่อก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกหวาดกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว"
รักพ่อที่สุดในโลก
ริดา
หลังจากที่เด็กหญิงตัวน้อย ได้ทำการเขียนข้อความ และ แป๊ะโน๊ตไว้ที่ตู้เย็นเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็ค่อยๆ เริ่มทำการเดินก้าวเรียวขาบางเดินทางออกไปจากตรงบริเวณบ้านอารยภักดีเทวราชโดยที่ตัว ของ เด็กน้อยริดาเองไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปเหลียวมองดูบ้าน อันเป็นที่รักยิ่ง ของ เธอเลยแม้แต่น้อย ค่ำคืน ของ วันนี้ ทุกๆ อย่างก็ยังคงเงียบสงบอย่างน่าประหลาด เด็กหญิงตัวน้อยริดา ค่อยๆ นั่งลงตรงบริเวณม้านั่งไม้ ที่อยู่ภายในบริเวณสถานีขนส่งเก่าแห่งหนึ่ง และภายใต้เสาไฟฟ้าที่กำลังมืดสลัว เปลวไฟที่สุ่มอยู่ภายในใจ ของ เด็กหญิงตัวเล็กๆ ในตอนนี้เริ่มพร่ามัว หลังจากนั้นเธอก็เริ่มได้ยินเสียง ของ ฝีเท้า ของ ใครสักคน กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้ๆ
มีชายหนุ่นคนหนึ่ง ค่อยๆ เดินมาทำการหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณหน้า ของ เด็กหญิงตัวน้อยๆ เขาทำการสวมใส่กางเกงยีนต์ซีด เสื้อแจ็คเก็ตเก่าๆ ใบหน้าของเขาคม แต่มีรอยยิ้มจางๆ ที่ไม่ชวนบ่งบอกว่า เขาคือบุคคลอันตราย ในขณะเดียวกันสายตาของเขา ก็กำลังจ้องมองดูเธออยู่ อย่างพิจารณา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เริ่มเปล่งน้ำเสียง และ เอ่ยคำพูด ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเรียบและลึกว่า
“ฉันเป็นแซเทอร์… ถ้าหนูพร้อมเดินทาง ฉันจะพาไปยังที่ที่เข้าใจโลกแบบที่หนูเห็น” แววตา ของ ผู้ชายคนนี้ที่เด็กหญิงตัวน้อยๆ ริดากำลังมองเห็น สำหรับเธอแล้วเขาดูไว้ใจได้ และเขามีแต่ความจริงใจ จริงใจเกินกว่าจะเป็นใครสักคนที่เพิ่งพบกัน ริดารู้ว่าเธอควรกลัว แต่เธอกลับรู้สึกสงบ เหมือนเปลวเทียนในใจหยุดไหว ริดาไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ ออกไปเลยแม้แต่นิด เพียงแต่เธอรีบลุกขึ้น พร้อม กับ ทำการสะพายกระเป๋า ก่อนจะค่อยๆ เดินเคียงข้างเขาไปในความมืดที่ไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป โดยที่มีแค่เสียงภายในจิตใจ ของ เธอ ยังคงกระซิบเบาๆ ว่า
"นี่คือเส้นทางใหม่... และแสงเทียนในใจของเธอจะไม่ดับลง ตราบใดที่ยังมีใครบางคนเข้าใจ" และถึงแม้ว่าเธอจะ คือ ภริดา เด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่วันๆ เอาแต่เงียบ แต่เธอก็เป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ หัวใจอ่อนโยน และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ไม่ใช่เพื่อหนี แต่เพื่อเข้าใจในสิ่งที่เธอเห็น และในสิ่งที่โลกยังไม่เคยมองเห็น.