[เขตน่านน้ำหมอก ตอนใต้มหาสมุทรอินเดีย] DWARKA ⋘ นครทวารกา ⋙

[คัดลอกลิงก์]

หากท่านเป็นกึ่งเทพผู้หลงทาง สามารถสมัครสมาชิกเข้าร่วมกับเราได้ที่นี่ https://t.me/+etLqVX17bGg5ZjBl

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×




DWARKA


⋘ นครทวารกา ⋙



          นครทวารกา คือเมืองโบราณในตำนานของศาสนาฮินดู ซึ่งเคยรุ่งเรืองและปกครองโดย พระกฤษณะ เมืองแห่งนี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นสถานที่ที่งดงามตระการตาและเต็มไปด้วยความมั่งคั่งมหาศาล แต่ท้ายที่สุดก็ถูก น้ำท่วมใหญ่และจมหายไปสู่ก้นทะเล ซึ่งเป็นการสิ้นสุดยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ลงอย่างน่าเศร้า ปัจจุบันมีการค้นพบซากโบราณใต้น้ำนอกชายฝั่งรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย ซึ่งนักโบราณคดีหลายคนเชื่อว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของนครทวารกาในตำนานที่จมหายไป


          ปัจจุบันพื้นที่นี้กลายเป็นเกาะปริศนาที่อยู่นอกเขตการสำรวจใด ๆ และปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกหนาทึบตลอดเวลา ว่ากันว่าเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยมนตร์สะกดลึกลับที่สามารถหลอกหลอนและกลืนกินนักเดินทางที่หลงเข้าไปได้ ผู้ที่พยายามจะสำรวจนครที่สาบสูญนี้มักจะหายตัวไปอย่างลึกลับและไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย ทำให้ทวารกาในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่ซากเมืองโบราณใต้ทะเล แต่เป็นเกาะที่ถูกสาปและเต็มไปด้วยวิญญาณของผู้ที่หลงทางซึ่งรอคอยการกลับมาของกษัตริย์ของพวกเขาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด



สถานที่แห่งนี้จะเปิดให้คนทั่วไปแวะมาพบเจอหลังจากมีคนทำเควสกระดานของค่ายจูปิเตอร์
ค้นพบเกาะแห่งนี้ จากภารกิจ [กู้ภัยเรือสำรวจทองคำจักรพรรดิ]



เงื่อนไขการพบเจอ



หลังถูกพิชิต จะใช้เวลาก่อรูปร่างกลับมาจากทาร์ทารัส 3 เดือนถัดไป


ตัวอย่าง ถูกสังหารวันที่ 9/1/2025 มันจะกลับมาในวันที่ 9/4/2025







แสดงความคิดเห็น

God
โพสต์ 10899 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-20 01:15
โพสต์ 2025-11-18 14:24:58 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 17 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


เรือเฟอร์รี่ลำหรูของอาดิตค่อย ๆ แล่นทะลุม่านหมอกที่ข้นหนาราวกำแพงหิน เมื่อหัวเรือขยับพ้นขอบหมอกเพียงอึดใจ โมนีก้าก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ลมหายใจของเธอสะดุดราวกับถูกกระชากออกจากอก เพราะภาพที่เผยขึ้นตรงหน้าไม่ใช่เพียงเกาะแต่เป็นนครอันยิ่งใหญ่ที่ผุดขึ้นกลางมหาสมุทรอินเดียราวสิ่งต้องห้ามของโลกเก่า


แสงแดดอ่อนยามเช้าทะลุลงมาเพียงเล็กน้อยบางส่วนของมันสะท้อนกับสถาปัตยกรรมที่ผุกร่อนครึ่งหนึ่งแต่ยังคงรูปทรงงดงาม ราวกับโครงกระดูกของอารยธรรมอันรุ่งเรืองที่สิ้นสลายไปนานแสนนาน เสาหินสูงตระหง่านถูกพันด้วยสาหร่ายทะเลสีเขียวครามเหมือนผ้าคลุมของวิญญาณโบราณที่คอยเฝ้ามองผู้บุกรุก ทั้งถนนที่ทอดยาวเข้าไปกลางเมืองจมน้ำครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งกลับโผล่ขึ้นเหนือระดับทะเลอย่างผิดธรรมชาติ ทำให้มันดูเหมือนเมืองที่ถูกยกขึ้นมาด้วยมือของบางสิ่งที่ไม่มีชื่อเรียก


โมนีก้าจับราวเรือแน่นจนข้อขาว เธอรู้สึกเหมือนความทรงจำเก่าแก่ที่ไม่ใช่ของตัวเองพยายามไหลบ่าทะลักเข้าหัว ราวกับสถานที่แห่งนี้มีสายโซ่ของประวัติศาสตร์บางอย่างที่กระตุกดวงวิญญาณเธอให้สะดุ้งในอก ความรู้สึกเหมือนไม่ควรเห็น ไม่ควรเหยียบย่าง แต่ก็ไม่อาจละสายตาได้


อาดิตที่ปกติมีแต่เสียงหัวเราะและเพลงอินเดียในลำคอ กลับนิ่งจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ เขาพึมพำออกมาด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย-อินโดที่สั่นพร่าเล็กน้อยราวกับมนต์ต้องห้ามที่ไม่ควรถูกเอ่ย “Dwaraka… by the gods… is this a blessing from Lord Krishna or a warning?”


โมนีก้าและซูกิหันขวับมาทันที ดวงตาทั้งสองคู่เบิกกว้าง “เมืองอะไรนะคะ?” โมนีก้าถามเสียงเบาแต่หวาดหวั่นอย่างตื่นเต้น


อาดิตกลืนน้ำลายก่อนอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา “In our stories… in the Mahabharata… Dwaraka was the golden city built by Lord Krishna himself. A city of miracles, floating above the sea. And when Krishna left the world… the entire city sank into the ocean. No trace was ever found. It was said to be a sacred place, hidden from mortals.”


ซูกิชะงักไปหนึ่งจังหวะ ก่อนเอ่ยเบา ๆ “ถ้ามันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้น ทำไมมันถึงโผล่มาให้เราเห็น?”


อาดิตส่ายหัวช้า ๆ ไม่ละสายตาจากนครทองคำกลางทะเล “I do not know. But we should not go there. People are not supposed to walk in the lands of gods. If this really is Dwaraka… then no living soul belongs to that place.” โมนีก้าเกือบจะเห็นด้วยกับอาดิตจนกระทั่งสายตาของเธอสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างคล้ายเศษไม้สีอ่อนที่ลอยเอื่อยอยู่ริมกำแพงเมือง เธอเพ่งมองทันที และหัวใจเธอหล่นวูบ ไม่ใช่เศษไม้ แต่คือซากเรือกู้ชีพขนาดกลางที่มีตราเดียวกับเรือสำรวจทองคำ


โมนีก้าอ้าปากค้าง หันสบตาซูกิที่ชะงักไปเช่นกัน ก่อนเสียงของโมนีก้าจะหลุดออกมาด้วยความแน่วแน่ที่เปลี่ยนบรรยากาศทั้งเรือในทันที “ต้องมีผู้รอดชีวิตอยู่สักคน… อย่างน้อยก็ต้องมี เราจะไม่ปล่อยให้ใครถูกทิ้งไว้ที่นี่” เธอหันไปพูดกับอาดิตอย่างมั่นคง ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงทะเลราวกับกลืนเอาความน่าพรั่นพรึงทั้งหมดแล้วถมทับด้วยความมุ่งมั่น “I know you’re worried. But we didn’t come here to disrespect anyone or any god. We came to save people. So please… stay with the ship. Pray for us if you need to. But me and Suki we have to go.” 


อาดิตอ้าปากเหมือนจะคัดค้าน แต่เมื่อเห็นสายตาของทั้งสอง เขาเพียงกำริมพวงมาลัยแน่นแล้วพยักหน้าช้า ๆ “May the gods watch over you both.” 

ลมทะเลพัดเอื่อยราวกับกำลังเตือนให้ถอย แต่โมนีก้าและซูกิก็ยืนประจันหน้าเมืองลับแลแห่งทวารกาที่ผุดขึ้นมาจากห้วงลึก พร้อมก้าวเท้าสู่ความลับที่ถูกกลบฝังมาเป็นพันปี


แผ่นหินของท่าเกาะลับแลส่งเสียงครืดเบา ๆ ใต้ฝ่าเท้าของโมนีก้าและซูกิเมื่อทั้งคู่ก้าวลงจากเรือเฟอร์รี่ ความเย็นของหมอกสีเงินทำให้ลมหายใจกลายเป็นไอทันทีที่สัมผัสอากาศ สายลมพัดพาเอากลิ่นเค็มของทะเลปะปนกับกลิ่นฝุ่นเก่าแก่ที่เหมือนแผ่วผ่านมาจากอีกยุคหนึ่ง ไม่ใช่เพียงความเย็นของอากาศ แต่เป็นความเย็นที่แผ่ออกมาจากเมืองทั้งเมือง ราวกับมันกำลังเฝ้าดูผู้บุกรุกทั้งสองที่เพิ่งเหยียบเข้ามา


โมนีก้าไม่รู้ว่าควรโทษอะไรระหว่างเสียงคลื่นกระทบฐานวิหารหรือเสียงสะอื้นเบาบางที่เหมือนลอยมาตามลม แต่ทั้งหมดนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกปล่อยตัวลงกลางความฝันที่ไม่ควรมีใครฝันถึง แท็บเล็ตเดดาลัสในมือเธอขึ้นสัญญาณศูนย์แทบไม่เหลือแม้แต่ความร้อนจากตัวเครื่อง และความรู้สึกถึงแสงอ่อน ๆ ของอะพอลโลที่เธอคุ้นเคยก็ลดระดับลงจนแทบไม่เหลือร่องรอย ราวกับว่าเทพพระอาทิตย์เองก็ไม่อาจส่องมาถึงที่นี่ หรือไม่ก็ไม่กล้ามองลงมาที่นี่ด้วยซ้ำ


ความคิดนั้นทำให้หัวใจโมนีก้าสั่นวูบ “เขาจะเป็นห่วงไหมนะ…” เธอพึมพำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะผลักความกังวลออกจากหัวแล้วจงใจก้าวเท้าให้หนักขึ้นเพื่อเรียกสติกลับคืนมา ไม่ใช่เวลามานั่งกลัว ไม่ใช่เวลาคิดถึงว่าเลสเตอร์จะรู้ไหมว่าเธอกำลังอยู่ในแดนต้องห้ามของเทพเจ้า


ซูกิเดินอยู่ข้างเธอ ย่างก้าวมั่นคงเหมือนนักรบกองร้อยที่ได้รับคำสั่งให้สำรวจกำแพงเมืองศัตรู แต่แม้เธอจะนิ่งเพียงใด ดวงตาสีฟ้าหม่นก็แสดงความตึงเครียดชัดเจน ทั้งคู่เดินผ่านบันไดหินที่ถูกน้ำซัดจนเรียบ ทางเดินที่เคยงดงามของนครทวารกากลับเหมือนประติมากรรมหินที่ถูกถล่มแล้วประกอบขึ้นใหม่ด้วยมือของทะเล และไม่นานนัก วิญญาณดวงแรกก็ปรากฏขึ้น


เป็นเงาโปร่งแสงซีดเลือน ลอยอยู่เหนือบันไดหินเพียงไม่กี่เมตร เงารูปร่างมนุษย์ตรงหน้าไม่มีใบหน้า ไม่มีเสียง มีเพียงดวงตาที่ว่างเปล่าเหมือนโพรงท้องฟ้ายามหมอกหนา วิญญาณอีกดวงโผล่ขึ้นข้างซุ้มประตูตามมา จากนั้นก็ตามด้วยอีกดวงหนึ่งและอีกดวงหนึ่งจนทางเดินทั้งสายเหมือนถูกขบวนศพโปร่งแสงอันไม่มีที่สิ้นสุดปิดคั่นเอาไว้ ซูกิหยุดหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเสียงเบาแต่จริงจัง แถมยังมองไปทางโมนีก้าแบบอึ้ง ๆ และแปลกใจ “เธอทนได้ยังไง โมนีก้า? นั้นแสงอะไรจากตาเธอ?”


เพราะตอนนี้ ดวงตาของโมนีก้าสว่างขึ้นด้วยแสงสีทองอ่อน ๆ เหมือนประกายพระจันทร์เต็มดวงกลางคืนที่ไร้ลม หากปกติคงมองไม่ชัด แต่ตอนนี้มันค่อนข้างเห็นจากหมอกที่มี รัศมีแผ่วบางนั้นไหลออกจากม่านตาของเธอตามพลังเนตรแห่งฟีบี้ที่เพิ่งเปิดใช้งานโดยสัญชาตญาณ มันไม่เพียงแต่ป้องกันการโจมตีทางจิตใจ แต่ยังเผยให้เห็นความจริง และทำให้เธอไม่ถูกสิ่งลี้ลับกลืนลงไปในความลวงของสถานที่ต้องสาปนี้


โมนีก้าบีบมือซูกิแน่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายตามสไตล์เธอ “เทพีฟีบี้ให้ของชิ้นนี้กับฉันเอาไว้ปราบหลานชายเขาน่ะ”

ซูกิชะงักไปหนึ่งวินาที ดวงตาขยายขึ้นเล็กน้อยก่อนหัวคิ้วจะย่นเข้าหากันช้า ๆ “…เลสเตอร์น่ะเหรอ?”

โมนีก้าเม้มปากอย่างช่วยไม่ได้ เธอถึงกับหลุดหัวเราะเบา ๆ จากจมูก “อืม ใช่ เลสเตอร์นั่นแหละ”

ซูกิถอนหายใจเบา ๆ เหมือนคนที่มีหลายคำถามแต่เลือกจะเก็บไว้ในหัว ไม่ใช่เพราะไม่อยากถาม แต่เพราะรู้ดีว่าเพื่อนสาวของเธอคงยังไม่พร้อมอธิบายทุกอย่างที่เกี่ยวกับแฟนหนุ่มลึกลับคนนั้น


ทั้งสองจึงเดินต่อไป ดวงตาของวิญญาณนับสิบคู่หันตามราวกับพวกมันรู้ว่าคนที่ก้าวเข้ามาคือต่างถิ่นที่ยังมีเลือดอุ่น ในขณะที่ซากวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระกฤษณะยืนลอยเด่นเหนือพื้นน้ำที่ค่อย ๆ ไหลทะลุรอยร้าวของแผ่นดิน เสียงคลื่นประหลาดที่ไม่เคยหยุดพัดเข้าประตูหินทำให้ทุกย่างก้าวฟังดูเหมือนพิธีกรรมปลุกวิญญาณ ไม่มีลม ไม่มีเสียงนก ไม่มีชีวิตใดนอกจากสิ่งโปร่งแสงที่ยังไม่ยอมละทิ้งเมืองที่จมหายไปเมื่อแปดหรือเก้าพันปีก่อน

[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-18 14:54
โพสต์ 36450 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-18 14:25
โพสต์ 36,450 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-18 14:25
โพสต์ 36,450 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความกล้า +25 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-18 14:25
โพสต์ 36,450 ไบต์และได้รับ +15 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก เนตรแห่งฟีบี้  โพสต์ 2025-11-18 14:25
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-18 17:03:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 17 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


หมอกสีขาวหม่นยังคงลอยหนาทึบเหนือพื้นหินแตกร้าวของนครทวารกา เสียงคลื่นสงบประหลาดเกินกว่าจะเป็นเสียงทะเลธรรมดา ยิ่งทั้งโมนีก้าและซูกิก้าวลึกเข้าไปในเมืองโบราณ ความเงียบก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับแม้แต่ลมหายใจก็ถูกดึงเข้าไปในอกของนครที่เคยรุ่งเรืองแห่งนี้ ทว่าท่ามกลางเหล่าวิญญาณโปร่งแสงที่ล่องลอยอยู่ทุกหนแห่ง โมนีก้ากลับไม่สนใจพวกมันแม้แต่น้อย เธอกำลังพยายามมองหาสิ่งที่สำคัญกว่า สิ่งที่อาจหมายถึงความหวังสุดท้ายของภารกิจนี้ ร่องรอยของผู้รอดชีวิต


โมนีก้าก้าวผ่านซากเสาไม้แกะสลักที่พังลงตรงตำแหน่งทางเข้าวิหาร รอยเท้าที่ถูกน้ำซัดเลือนจนแทบมองไม่ออก กระเบื้องหินบางส่วนที่เหมือนมีคนลากผ่านเมื่อไม่นานมานี้ และเศษผ้าฟ้าจางที่ติดอยู่กับขอบเชิงเทินหิน ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเศษชิ้นเล็ก ๆ แต่สำหรับโมนีก้า มันคือสัญญาณชัดเจนว่าใครบางคนเคยมาอยู่ตรงนี้จริง ๆ


ซูกิที่เดินเคียงข้างกันก็สังเกตเห็นเช่นกัน เธอถอนหายใจออกเบา ๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งจริงจังและห่วงใย “ถ้าใครสักคนพลัดเข้ามาเจอที่แบบนี้ ต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าไม่สู้ทางจิตใจเก่งพอ ก็คงหายไปในหมอกหมดแล้วล่ะ โมนีก้า…”


โมนีก้าหยุดก้าว พลิกเศษผ้าฟ้านั้นระหว่างนิ้ว ลมเย็นพัดผ่านผิวจนเธอขนลุก แต่ในดวงตากลับมีประกายแน่วแน่ เธอส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะตอบ “ฉันก็รู้ แต่บางอย่างมันบอกฉันว่าที่นี่ต้องยังมีคนรอดอยู่แน่ ๆ ฉันไม่รู้หรอกว่าเราจะช่วยสำเร็จไหม แต่ถ้าไม่พยายามเลยก็คงเป็นฉันที่นอนไม่หลับไปตลอดทั้งปีแน่”


ซูกิเหมือนจะอยากโต้ตอบอะไรสักอย่าง ทว่ากลับทำได้แค่ถอนหายใจหนัก ๆ แล้วเดินตามเพื่อนสาวต่อไป เธอรู้จักโมนีก้าดีเกินกว่าจะห้ามความดื้อเงียบแบบนี้ และรู้ดีว่าความหวังของโมนีก้าบางครั้งก็อันตราย แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่เคยยอมแพ้กับใครง่าย ๆ เสียงก้าวเท้าของทั้งคู่ดังสะท้อนเบา ๆ ไปทั่วเพดานเมืองที่จมครึ่งหนึ่งในทะเล หมอกยังคงหนาทึบจนแทบมองไม่เห็นขอบฟ้า ซูกิกวาดมองรอบ ๆ พลางขมวดคิ้ว


“ที่นี่ไม่มีคลื่นสัญญาณอะไรเลยจริง ๆ นะ ไม่ใช่แค่โทรศัพท์นะ คลื่นไฟฟ้าที่ใช้เครื่องมือธรรมดายังไม่ขึ้นเลย เหมือนมีอะไรขัดขวางมันทั้งหมด”


โมนีก้าวางเศษผ้าลงแล้วมองขึ้นไปยังปลายยอดวิหารสีทองซีดที่ชูตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมกว่าปกติ “อาจเป็นเพราะพลังเทพฮินดู บางทีเทพพวกนั้นอาจจะไม่ชอบให้ยุ่งเรื่องของพวกเขา ฉันไม่รู้ว่าพวกเทพฝั่งฮินดูเป็นยังไง แต่จากที่เห็นตอนนี้…ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์ควรจะเดินเข้ามาง่าย ๆ แน่”


ซูกิพยักหน้าเบา ๆ เหมือนเห็นด้วย ครู่หนึ่งก่อนถามด้วยเสียงเรียบ “แล้วเทียบกับเลสเตอร์ล่ะ? เทพฝั่งเรานี่ชอบทำอะไรซับซ้อนไปหมด แต่ก็ยังเห็นช่วยคนอยู่บ้างนะ” ซูกิเอ่ยถาม เธอพอเริ่มเดาออกแล้วคำว่าคนธรรมดาที่มีพลังนิดหน่อยของโมนีก้าน่าจะหมายถึงอะไรแบบนี้แน่ ๆ ซูกิเป็นคนฉลาด แน่นอน…


คำตอบของโมนีก้ามาอย่างรวดเร็ว ราวกับมันเป็นความจริงที่เธอเรียนรู้จากประสบการณ์มากกว่าการสันนิษฐาน “พลังของเทพกับเดมิก็อดต่างกันเหมือนมดกับไดโนเสาร์นั่นแหละ เลสเตอร์เองก็…มีด้านที่ฉันยังไม่กล้าแตะอยู่เหมือนกัน” พอพูดถึงแฟนหนุ่มของตัวเอง น้ำเสียงเธอก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว แววตาเต็มไปด้วยความคิดถึงปนความเป็นห่วงที่ไม่กล้าบอกใคร


ลมเย็นพัดผ่านอีกครั้ง วิญญาณจำนวนหนึ่งลอยผ่านเหนือหัวทั้งสอง พร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ฟังไม่ออกว่าเป็นคำพูดหรือแค่เสียงลม และในจังหวะนั้นเอง โมนีก้าก็เงยหน้าขึ้น เหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอหยุดยืนกลางทางเดินหิน แตกต่างจากท่าทีเมื่อครู่ที่พยายามเข้มแข็ง ตอนนี้เธอดูเหมือนกำลังตั้งใจฟังบางสิ่งที่ไม่มีใครได้ยิน


“เราเดินทางกันต่อเถอะ… ฉันว่ามันต้องมีอะไรอีกแน่ตรงพระราชวังเก่านั้น...”

สำรวจเกาะอยู่จ้า เขาบอกให้สำรวจอย่างน้อย 1 โรล นี้ไงล่ะ 1 โรลพอ 555
ป๋ม..จะไปพระราชวังเก่าแร๊ววว

[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
ดูเหมือนก่อนคุณมาถึงไม่กี่วันก่อนหน้าจะมีชาวค่ายฮาล์ฟบลัดคนหนึ่งมาถึงก่อน ดูเหมือนจะมีเศษซากเถาองุ่นกระจัดกระจายเต็มพื้น หรือว่าคณะสำรวจถูกค่ายฮาล์ฟบลัดลอบสังหาร!!  โพสต์ 2025-11-18 18:45
God
คุณเห็นร่องรอยการต่อสู้เศษเสื้อค่ายฮาล์ฟบลัดสีส้มตกอยู่และเกล็ดพญานาค   โพสต์ 2025-11-18 18:45
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-18 18:20
โพสต์ 21429 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-18 17:03
โพสต์ 21,429 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-18 17:03
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-19 01:32:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 17 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


แสงหมอกสีขาวที่ปกคลุมทั่วทั้งนครทวารกาเริ่มเจือจางลงเล็กน้อยเมื่อโมนีก้าและซูกิเดินลึกเข้ามาถึงส่วนในสุดของเกาะซึ่งสูงตระหง่านดั่งมหาราชวังเก่าที่ถูกสลักขึ้นจากหินสีทองซีด แต่ปกคลุมด้วยเงาแห่งกาลเวลาจนดูหม่นเศร้า บันไดหินผุกร่อนทอดยาวขึ้นไปสู่วิหารกลางที่ยอดแหลมแทบทะลุเมฆ ฟองคลื่นยังคงซัดกระแทกฐานหินด้านล่างราวกับเตือนให้รู้ว่านครนี้ถูกตัดขาดจากโลกมนุษย์ไปนานแสนนาน


เมื่อก้าวเข้าสู่ลานกว้างหน้าอาคารหลัก โมนีก้าก็ต้องหยุดหายใจไปวูบหนึ่งเมื่อมองเห็นเศษเสื้อสีส้ม ที่ถูกฉีกขาดตกอยู่บนพื้นหินเปียกชื้น เธอทรุดตัวลง ค่อย ๆ หยิบมันขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง มือซีดสั่นเล็กน้อยเมื่อนิ้วแตะลวดลายที่เธอคุ้นเคยดีเกินไป “นี่มัน…เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด” เธอพึมพำเบา ๆ น้ำเสียงสั่นจนแทบกลืนหายไปกับเสียงคลื่น


ซูกิที่เดินตรวจรอบ ๆ พบร่องรอยที่ทำให้เธอขมวดคิ้วทันที เธอเอี้ยวตัวเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “โมนีก้า รอยพวกนี้ยังใหม่อยู่เลยนะ ไม่กี่วันแน่ ๆ และดูนี่…” เธอก้มลงเก็บเกล็ดขนาดเท่าฝ่ามือ ที่มีสีเขียวมรกตอมทองเปล่งประกายแผ่ว ๆ แม้ในหมอกทึบ ลักษณะนั้นเด่นชัดจนไม่มีวันเดาผิด “เกล็ดของพญานาค” ซูกิเอ่ยเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยแรงกดดันอย่างปิดไม่มิด โมนีก้าเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเทาเงินไหวระริกด้วยความกังวล ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วแต่แน่วแน่ “หมายความว่า…ก่อนเรามาถึง มีเดมิก็อดจากค่ายฮาล์ฟบลัดถูกลากเข้ามาที่นี่ และต้องสู้กับอะไรสักอย่าง ลูกเรือสำรวจอาจหนีมาขอความช่วยเหลือ แต่เจออสุรกายก่อน…”


ซูกิกวาดตามองรอบลานกว้างที่เต็มไปด้วยเครื่องปั้นแตก เศษดาบหัก ๆ และ… เถาวัลน์

“เถาองุ่น?” เธอชี้ไปยังเส้นเถาพันยุ่งเหยิงราวกับเคยถูกควบคุมให้เป็นอาวุธ “นี่มันสัญลักษณ์พวกดีโอนีซัสชัด ๆ หรือว่าคนจากค่ายฮาล์ฟบลัดเป็นคนทำลายคณะสำรวจ?”


โมนีก้าสะบัดหน้าแรงจนผมไฮไลท์สีฟ้าปลิว “ไม่มีทาง พวกเขาไม่ทำแบบนั้นแน่ ไม่มีใครทำร้ายมนุษย์บริสุทธิ์โดยไม่มีเหตุผล…ฉันว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้ อสุรกายที่นี่ไม่ใช่ระดับธรรมดาแน่ ๆ ซูกิ เกล็ดพญานาคแบบนี้ไม่ใช่พวกงูปกติ มันใหญ่มากด้วย” เสียงลมเย็นพัดเฉือนผ่านลานหินราวกับเตือนภัย เสียงครางต่ำ ๆ ของวิญญาณที่ลอยอยู่ใกล้กำแพงวิหารเริ่มดังขึ้นเหมือนโชยออกมาจากยุคสมัยที่ไม่มีมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว


แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้ขยับไปไหน เสียงบางอย่างก็ดังแหลมขึ้นมาจากทิศเหนือของลานกว้าง เสียงที่ไม่มีทางเป็นสิ่งอื่นนอกจากเสียงการต่อสู้ เสียงปะทะรุนแรงกระแทกผนังวิหารจนฝุ่นหินร่วง เสียงคำรามแผ่วลึกของอสุรกายบางตัวผสานกับเสียงกรีดร้องของใครบางคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ โมนีก้ากับซูกิหันมองหน้ากัน ดวงตาของทั้งคู่สั่นระริกด้วยความตระหนักว่าเวลานี้อาจเป็นวินาทีตัดสินความเป็นตายของผู้รอดชีวิตที่กำลังดิ้นรนอยู่ที่นั่น ซูกิไม่พูดอะไร เธอเพียงดึงผมบลอนด์อ่อนของตัวเองมัดให้แน่น พลางดึงดาบคู่ของเธอออกมา


โมนีก้าก็กระชับกำไลดาบสุริยคติบนข้อมือซ้ายที่เปล่งแสงออกมาทันทีเมื่อเธอพร้อมสู้

อีกเพียงเสี้ยววินาที ทั้งสองก็พุ่งตัวออกไปตามทางเดินหินโบราณที่ทอดยาวสู่ทิศของเสียงสู้รบ หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิดทั้งจากความวิตกและความหวัง

เพราะหากยังมีเสียงแบบนั้นอยู่ ย่อมแปลว่ายังมีคนที่ยังไม่ยอมตาย

เสียงลมหนาวหวีดหวิวลอดผ่านยอดวิหารโบราณที่พังทลายเหมือนเสียงคร่ำครวญจากยุคสมัยที่ถูกลืมเลือน ขณะที่โมนีก้าและซูกิพุ่งทะยานไปตามโถงทางเดินหินอันแคบ สองร่างเคลื่อนที่เหมือนลูกศรที่ถูกยิงออกจากคันธนูแห่งความจำเป็น ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะทำให้หัวใจของทั้งคู่บีบรัดอย่างรุนแรงทันที


เด็กสาวจากค่ายฮาล์ฟบลัดคนหนึ่ง ผมยุ่งเปียกเหงื่อ ใบหน้ามีเลือดเปื้อน ลมหายใจขึ้นถี่แรง เธอกำลังตวัดเถาองุ่นสีม่วงเข้มที่แทงทะลุพื้นหินโบราณขึ้นมาเป็นขดตาข่ายพยายามพันสองร่างสุนัขโลหะที่ขยับด้วยความแม่นยำราวเครื่องจักรสังหาร สุนัขโลหะตัวหนึ่งเป็นสีทองทั้งตัว ลวดลายแกะสลักบนแผ่นเกราะเป็นสัญลักษณ์ของช่างเทพเฮเฟตัสที่แม้แต่ซูกิก็จำได้ทันที ส่วนอีกตัวเป็นสีเงินขาว เย็นเยียบราวกับถูกตีขึ้นมาจากแร่ที่ไร้วิญญาณ แสงในดวงตาของสุนัขล่าเนื้อทั้งสองเปล่งประกายสีฟ้าน้ำแข็ง มันวาวคมเหมือนแสงมีดหมอ มองทุกสิ่งด้วยสายตาของอัลกอริทึม ไร้ความรู้สึกความลังเล


“นั่นมันลูกของไดโอนีซุสแน่ ๆ…” โมนีก้าพึมพำอย่างตกใจเมื่อเห็นเด็กสาวแต่งตัวเพียงบราเซียสีดำโชว์กล้ามท้องแน่นเป็นลอนๆ พร้อมกางเกงขาสั้นทีดูเหมือนจะใส่ไปปั่นจักรยานมากกว่าใส่มาสู้กับหุ่นสังหารโบราณ


เสียงคำรามเชิงกล ‘กรรรด’ ดังลั่นก่อนที่สุนัขทองคำจะกระโจนขึ้นฟ้าเหมือนลูกธนูร่วงลงมาด้วยน้ำหนักที่มากกว่ารถมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน เถาองุ่นแตกกระจายไม่อาจทานแรงกระแทก


“เดี๋ยว—!”


โมนีก้าวิ่งพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องคิด ร่างของเธอพุ่งเสียจนลมที่พัดผ่านแก้มแสบผิวและผมสีน้ำตาลเข้มที่มีไฮไลท์ฟ้าอิเล็กทริกสะบัดเป็นเส้นยาว ความเร็วของเธอฉีกสายตาของซูกิจนเด็กสาวต้องตาเบิกกว้างไปชั่วครู่ เธอคว้าร่างเด็กสาวไว้ทันทีในเสี้ยววินาทีก่อนสุนัขทองคำจะเหวี่ยงขากลไกลงบดร่างของอีกฝ่ายให้แหลกเป็นชิ้น ๆ แรงกระแทกแผดผันฟ้า โมนีก้ากลิ้งไปด้านข้างกับเด็กสาวในอ้อมแขน ขณะที่สุนัขสองตัวกระแทกพื้นจนหินแตกร้าวเป็นระแหง เศษหินปลิวกระเด็นไปทั่ว ซูกิพุ่งเข้ามารับตัวเด็กสาวค่ายฮาล์ฟบลัดทันที เธอคุกเข่าลงและตรวจอาการอย่างรวดเร็วจนเห็นว่าทั้งแขนและขาด้านซ้ายของเด็กคนนั้นมีรอยไหม้จากพลังงานของเครื่องกลและรอยกัดของเกราะเหล็กเป็นเส้นลึก


“ฉันจะดูแลคนนี้เองโมนีก้า เธอสู้ไปเถอะ!” ซูกิบอกเสียงดุดัน มีเลือดนักรบแห่งมาร์สพุ่งพล่านเต็มสายตา


โมนีก้าพยักหน้า ดวงตาเทาเงินของเธอเปล่งประกายขึ้นทันทีเหมือนถูกจุดไฟด้วยพลังงานจากฟีบี้ ดวงตาเป็นสีทองเรืองรองแผ่ว ๆ ก่อนที่กำไลสุริยคติบนข้อมือซ้ายจะแตกประกายสว่างและแปรสภาพกลายเป็นดาบยาวสีทองอ่อน สุนัขโลหะทั้งสองตัวหันมามองเธอพร้อมกัน มันขยับคออย่างเป็นจังหวะพร้อมจะล็อกเป้าหมายใหม่ มันเป็นเสียงของระบบพูดขึ้นน้ำเสียงเหมือนหุ่นยน “ระบบตรวจจับภัยคุกคาม: TARGET IDENTIFIED.” สุนัขทองคำคำรามโลหะต่ำ ๆ สุนัขเงินขยับขาที่มีข้อต่อหลายชั้นราวกับงูเหล็ก


โมนีก้ากระชับดาบแน่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ พร้อมน้ำเสียงเหนื่อยใจปนประชด “เฮเฟตัสคะ…สร้างอะไรไว้ให้โลกวุ่นวายอีกแล้วเนี่ย” เสียงฟ้าผ่าที่ไม่มีสายฟ้าดังสั่นเมื่อสุนัขทั้งสองพุ่งเข้าหาเธอพร้อมกันราวกับสมองกลกำลังทำงานเต็มกำลัง


โมนีก้าสูดลมหายใจ แล้วพึมพำเบา ๆ “เอาล่ะ…ถ้าจะกัดฉันก็ต้องยอมให้พืชของฉันกัดกลับนะ” พื้นหินใต้ฝ่าเท้าของเธอไหววูบเหมือนมีสิ่งมีชีวิตกำลังตื่นขึ้น รากไม้แหลมคมสีมรกตพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินจำนวนมากเหมือนงูพิษร้อยตัว เข้าพันขาของสุนัขโลหะทั้งสองในจังหวะที่มันกระโจนพุ่งมาหาเธอพอดี เสียงคำรามเชิงกลของสุนัขล่าเนื้อทองคำและเงินดังก้องสะท้อนในอากาศเหมือนระฆังเตือนภัยจากโลกโอลิมปัสที่หลงติดอยู่ในเมืองสาบสูญแห่งทวารกา


โมนีก้าฟาดดาบสุริยคติใส่ข้อต่อของสุนัขเงินในการสู้ แรงปะทะทำให้ประกายไฟกระจายไปในอากาศเหมือนฝนดาวตก เธอถอยหลังเล็กน้อยและสูดลมหายใจอย่างหงุดหงิด เพราะแม้จะมีพลังและความเร็วระดับที่ซูกิเคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เจ้าสิ่งประดิษฐ์ของเฮเฟตัสพวกนี้ก็ยังคงยืนหยัดด้วยความดื้อด้านแบบโลหะบริสุทธิ์ที่ไม่รู้จักคำว่าถอย ซูกิพึ่งโดนโจมตีเพียงไม่กี่ครั้งเธอก็ไม่ไหวแล้ว


ด้านหลังเธอ ซูกิกึ่งคุกเข่ากึ่งนั่งไปกับพื้นหินแตก เสียงหอบของเด็กสาวดังแผ่ว ๆ น้ำเสียงของคนที่หมดเรี่ยวแรงจากการป้องกันทั้งตัวเองและลูกเดมิก็อดไดโอนีซุสที่บาดเจ็บหนัก คนค่ายฮาล์ฟบลัดคนนั้นพยายามยันตัวขึ้นแต่ร่างกายไม่ตอบสนอง เถาองุ่นที่เธอเรียกออกมากระจัดกระจายเต็มพื้น บางเส้นไหม้เป็นสีดำเพราะโดนพลังงานร้อนจากสุนัขทองคำ “โมนีก้า…มันไม่ไหว…” เสียงซูกิสั่นเล็กน้อย แม้ปกติจะเป็นเด็กแข็งแกร่งและไม่ค่อยแสดงความกลัว แต่สายตาที่มองสุนัขโลหะตรงหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจและความจริงจัง 


“เจ้าพวกนี้มันเก่งเกินไป ต่อให้เป็นฉันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่ ๆ”


เด็กสาวไดโอนีซุสที่มีเลือดไหลเปื้อนกรามตอบแผ่ว ๆ เสริมขึ้นเหมือนเจ็บทุกคำพูด “มัน…มันเก่งยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดทั่วไป พวกมันไม่ได้มีชีวิต ไม่มีความกลัว ไม่มีความเจ็บ…เธอสู้นานไม่ได้แน่” โมนีก้าไม่ตอบในทันที เธอเพียงลดดาบลงชั่วครู่แล้วมองสุนัขสองตัวที่ค่อย ๆ เดินเวียนเข้าหาราวกับหมาป่ากลไกที่กำลังล็อกเป้าหมายสุดท้าย แล้วเธอก็ถอนหายใจยาวแบบหงุดหงิดที่สุดในสัปดาห์นั้น “โอ้ย…ไอ้สองตัวนี่น่ะเหรอเก่ง ไม่หรอก กระจอกกว่าไพธอนเยอะ”


สิ้นคำนั้น ซูกิกับเด็กสาวค่ายฮาล์ฟบลัดชะงักเหมือนโดนสาปทันที สองคู่ตาเบิกกว้างเหมือนหลอดไฟเสียบปลั๊ก 

“…หา?” ซูกิพูดออกมาก่อน น้ำเสียงจริงจังปนงงจนเห็นได้ชัด

“เธอเคย…เจอไพธอน?” เด็กสาวไดโอนีซุสถามเหมือนถามว่าคนตรงหน้าเธอเคยไปเตะหน้าไททันมาแล้วหรือยัง


โมนีก้าไม่เหลือบตามอง เดินกลับไปหารอยเท้าของสุนัขทองคำอย่างสงบและเอียงคอเหมือนกำลังคิดว่าจะฟาดมันยังไงให้พังเร็วที่สุด “เคยสิ ถึงจะไม่ใช่ตัวหลักก็เถอะ ก็โดนมันพยายามฆ่านั่นแหละ แล้วฉันก็โดนกระแทกหางครั้งเดียวเกือบตายคิดเอาเถอะ…ก็เรื่องธรรมดาแหละของฉันกับเลสเตอร์”


ซูกิแทบจะหยุดหายใจไปหนึ่งวินาทีเต็ม ๆ ผู้ชายธรรมดา (เลสเตอร์ - ผมเก่งขนาดนี้ยังจะเรียกว่าธรรมดาอีกหรอ?) ที่โมนีก้าชอบคือคนที่สามารถสู้กับงูยักษ์ระดับล้มโลกที่แม้แต่เทพยังเกรงใจ…? และโมนีก้ายังพูดด้วยน้ำเสียงปกติราวกับกำลังบ่นเรื่องรถติดเวลาไปเที่ยวกรุงเทพ? ซูกิกลืนน้ำลายช้า ๆ จู่ ๆ ก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมคำว่า แฟนหนุ่มของโมนีก้า ถึงฟังดูอันตรายแบบบ้าเลือด เห็นทีผู้ชายคนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ และต้องเก่งกว่าที่เธอจะจินตนาการได้มากกว่านี้หลายชั้นจนเทียบกันไม่ติดด้วยซ้ำ


แต่ยังไม่ทันที่ใครจะเอ่ยอะไรต่อ สุนัขทองคำก็กระโจนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง เสียงโลหะเสียดสีกับหินดังลั่นเหมือนกลไกโบราณกำลังขยับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดงานพิธีสังหาร 

โมนีก้าพึมพำแผ่ว ๆ “งั้นจัดเต็มก็ได้วะ…”

ดวงตาทองจากเนตรแห่งฟีบี้ลุกวาบขึ้นเหมือนแสงโคมไฟเทพี เธอยกมือซ้ายขึ้นกำสร้อยเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต พลังพุ่งทะลุออกไปตามพื้นดินเป็นรากไม้แหลมคมและหนามเถาวัลย์นับร้อยที่ปะทุขึ้นเหมือนพายุพืชพรรณ พื้นดินแตก เสาหินพัง รากเหล็กธรรมชาติแทงเข้าที่ข้อต่อโลหะของสุนัขเงินในจังหวะที่สมบูรณ์แบบ เสียง ‘กึก’ ดังสะท้อนก่อนร่างโลหะจะล้มคว่ำด้วยแรงดึงของรากไม้ที่ม้วนพันมันเหมือนงูรัดเหยื่อ สุนัขทองคำพยายามจะถอยหนี แต่โมนีก้าหมุนดาบสุริยคติแล้วฟันขวางกลางอากาศ แสงสีทองกระแทกใส่แผ่นเกราะตรงหน้าอกของมันจนวงจรภายในส่งเสียงแตกดังปะทุขึ้น


พลังงานสีน้ำเงินจากแกนกลางสว่างจ้าขึ้น แล้วระเบิดเป็นเศษทองคำกระจายลงพื้นเหมือนแผ่นทองคำที่ถูกทุบจนร่วงกราว


สุนัขเงินตามหลังไปติด ๆ เมื่อโมนีก้าบิดดาบเปลี่ยนจังหวะแล้วแทงเข้าที่ช่องโหว่ของท่อพลังงานด้านหลัง จุดที่ซ่อนอยู่ลึกจนแทบจะมองไม่ออกว่าควรทำลายยังไง แต่เธอทำเหมือนกำลังปอกส้มมากกว่า เสียงสุดท้ายคือเสียงโลหะทรุดตัวลงบนหินที่เปียกชื้น ก่อนสุนัขเงินจะกลายเป็นเศษโลหะเงินวาวระยิบระยับปนกับทรายทะเล


สุดท้าย โมนีก้ายืนอยู่กลางซากโลหะที่ถูกทำลายหมดสิ้น ลมหอบน้อย ๆ ทำให้หน้าอกของเธอขยับขึ้นลง แต่แววตาไม่สะทกสะท้าน “โอเค…เจ้านี่พอไหว”


ซูกิกับเด็กสาวไดโอนีซุสที่มองเหมือนพยายามถามตัวเอง หรือจริง ๆ คือเรียกว่าพยายามยันตัวลุกขึ้นเพื่อมองโมนีก้าด้วยสีหน้าที่คนทั่วไปเรียกว่าช็อกจนสมองดับไปแล้วก็ตาม เพราะโมนีก้ายังถูกโจมตีไปเพียงเจ็ดเปอร์เซ็นต์ แล้วศัตรูระดับสุนัขพิทักษ์ของกษัตริย์อัลซินอุสที่เฮเฟตัสเป็นคนสร้างก็ถูกทำลายราวกับกิ่งไม้แห้ง ซูกิซีดเหมือนคนขาดเลือดแต่ยังฝืนถามโมนีก้าแผ่ว ๆ “นี่คือ…ระดับความอันตรายของเพื่อนฉันปกติเลยใช่ไหม?”


โมนีก้าเช็ดเหงื่อแล้วตอบอย่างเรียบเฉยเหมือนบ่นเรื่องราคาเครื่องสำอาง “ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งหรอก ถ้าเป็นไพธอนจริง ๆ นะ…อันนั้นฉันตายได้เลยอ่ะบอกเลย รอบเดียว ฉันจอดสนิท”


ซูกิถึงกับล้มตะแคงไปอีกครั้งที่พื้น ส่วนเด็กสาวไดโอนีซุสก็มองโมนีก้าราวกับกำลังมองคนที่เดินออกมาจากบททดสอบของเทพเจ้าโดยไม่เหลือรอยขีดข่วน และในใจของซูกิมีเพียงประโยคเดียวผุดขึ้นมาชัดเจนมาก งั้นแฟนโมนีก้าที่เก่งกว่าโมนีก้าเนี่ย…มันต้องเป็นปีศาจในร่างมนุษย์ชัด ๆ เลยสิวะ…


โมนีก้ากระพริบตาเพียงหนึ่งครั้งก่อนจะหันกลับไปมองซูกิและสาวเดมิก็อดสายเลือดไดโอนีซุสที่กำลังพยายามตั้งหลัก เธอก้าวเข้าไปใกล้ด้วยท่าทีเยือกเย็นแต่เต็มไปด้วยความห่วงใย ลมเค็ม ๆ พัดผมสีน้ำตาลเข้มไฮไลต์สีฟ้าอิเล็กทริกของเธอปลิวไปด้านหลัง เผยให้เห็นสีตาเทาเงินที่ยังคงเรืองรองจากพลังเนตรแห่งฟีบี้ที่พึ่งถูกปลุกใช้เมื่อครู่ “ฉันชื่อโมนีก้า เป็นเดมิก็อดจากค่ายจูปิเตอร์นะ ส่วนคนนี้คือซูกิ เพื่อนสนิทของฉันจากค่ายเดียวกัน” น้ำเสียงของเธอนุ่มแต่ชัดเจน เธอนั่งลงเล็กน้อยเพื่อให้ระดับสายตาเท่ากับสาวไดโอนีซุส “ที่นี่…มีใครรอดนอกจากเธออีกไหม?” 


สาวค่ายฮาล์ฟบลัดผู้บาดเจ็บหอบลมหายใจเล็กน้อย เลือดที่แก้มแห้งติดอยู่เป็นทาง สีหน้าเธอแข็งแกร่งแต่แฝงความหมดหวัง “ไม่…ไม่มีแล้ว ทุกคนถูกฆ่าตายหมดบางคนก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว อสุรกายที่นี่มันไม่ใช่แบบที่ฉันเคยเจอ…มันเร็ว มันฉลาด แล้วก็…โหดเกินไป” โมนีก้าชะงักเมื่อได้ยิน เธอไม่พูดต่อ แต่สายตาแข็งขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนที่เก็บซ่อนความรู้สึกลึก ๆ ไว้ใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเล็ก ๆ ที่แหวนดาราจรัสเคยเก็บสิ่งของไว้ ก่อนหยิบแท่งแอมโบรเซียสีน้ำตาลทองอ่อนออกมา ยื่นให้ทั้งซูกิและสาวไดโอนีซุส


“กินซะ จะได้พอฟื้นตัว อย่างน้อยให้ขยับไหวก่อน”


ซูกิที่เจ็บแต่ยังคงแข็งใจรับแท่งแอมโบรเซียมากัด ทันทีที่รสชาติในปากปรากฏขึ้น เธอหรี่ตาเล็กน้อย คล้ายกำลังลิ้มรสปลายรสของข้าวญี่ปุ่นหุงร้อนกับปลาย่างที่พ่อเคยทำให้ตอนเด็ก เธอสูดหายใจช้า ๆ ความเจ็บตามแขนและสีข้างเริ่มทุเลาลงจนสามารถยันตัวขึ้นได้อีกครั้ง ส่วนสาวไดโอนีซุสกลับกำแท่งแอมโบรเซียไว้แน่นเหมือนกลัวมันจะหลุดลอย เธอยิ้มอ่อน ๆ “ขอบใจนะ ฉัน…เดี๋ยวกินละกัน ขอพักหายใจก่อนนิดหนึ่ง”


และในจังหวะที่ทุกอย่างดูเหมือนสงบลง เสียงกระซิบจากพื้นหิน กำแพงพืช มอสบนเสา และกระแสน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านซอกหินก็ผสานกันขึ้นเป็นเสียงเดียว เสียงที่มีเพียงลูกของเซเรสเท่านั้นที่ได้ยิน เสียงของธรรมชาติที่สั่นสะเทือนมาถึงโสตประสาทของเธออย่างชัดเจน


…เข้ามาสิ เดินเข้าวังไป จะพบสิ่งที่ตามหา…


โมนีก้าเงยหน้าเล็กน้อย ดวงตาเทาเงินไหววูบเหมือนคนที่ได้ยินสิ่งไม่ควรได้ยิน เธอเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันมาทางซูกิที่ตอนนี้เริ่มยืนได้โดยใช้ดาบเป็นไม้เท้า “ซูกิ พาเด็กคนนี้กลับไปที่เรือก่อนนะ อาดิตอยู่บนเรือ และในเรือก็มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลครบ ฉันอยากให้พวกเธอปลอดภัยก่อน”


ซูกิทำหน้าไม่ค่อยอยากปล่อยเพื่อนสนิทไว้คนเดียว แต่ก็รู้ดีว่าขืนเถียงก็จะโดนโมนีก้าพูดกลับด้วยความแข็งกร้าวแบบอบอุ่นจนแพ้ราบคาบเหมือนทุกครั้ง “แล้วเธอล่ะ?” โมนีก้าเหลือบมองวังโบราณตรงหน้า ความมืดสลัวและกลิ่นลี้ลับแผ่ซ่านราวกับกำลังเชื้อเชิญผู้กล้าที่ถูกเลือกให้ก้าวเข้ามา “ธรรมชาติบอกให้ฉันเข้าไปข้างใน บอกว่าจะเจออะไรบางอย่าง” เธอกล่าวอย่างเรียบง่ายแต่หนักแน่น “ฉันไปคนเดียวจะสะดวกกว่า ถ้าพวกเธอตามมา ฉันจะเป็นห่วง”


ซูกิเม้มปากช้า ๆ แล้วพยักหน้ารับ ถึงแม้หัวใจจะกังวลแทบระเบิด แต่เธอรู้จักโมนีก้า คนแบบนี้ถ้าตัดสินใจแล้วก็หยุดไม่ได้ เธอได้แต่ถอนหายใจ “โอเค…แต่รีบกลับมา อย่าทำให้ฉันต้องลากศพเธอออกมาเข้าเรือก็แล้วกัน” โมนีก้ายิ้มมุมปากแบบเหนื่อยใจนิด ๆ กับเพื่อนสาว “เธอนี่นะ…” ก่อนที่เธอจะหมุนตัวกลับ เสียงน้ำกระทบโขดหิน เสียงกระซิบของใบไม้ที่ไม่ควรจะมีในเมืองจมน้ำ และเสียงลมหายใจของวิญญาณที่เฝ้าดูอยู่ทุกมุมก็ประสานกันขึ้นอีกครั้ง


โมนีก้าก้าวเท้าช้า ๆ เข้ามาภายในพระราชวังโบราณ รู้สึกถึงอากาศแปลกประหลาดที่แตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่เงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง และเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์กำลังแผ่วก้องอยู่ในกำแพงทุกชั้น บันทึกโบราณนับไม่ถ้วนถูกจัดวางกระจัดกระจายตามโต๊ะหินและแท่นศิลาจารึก บางเล่มขึ้นรา บางแผ่นสลักด้วยตัวอักษรที่เธอไม่รู้จัก รูปทรงคล้ายภาษาสันสกฤตแต่เก่าแก่กว่านั้นมาก แม้จะอ่านไม่ออก แต่เธอกลับรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ยังคงอวลอยู่ในหมึกและรอยแกะสลัก ราวกับเจ้าของบันทึกเหล่านั้นยังคงเฝ้ามองผู้บุกรุกอย่างเงียบงัน


โมนีก้าพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะเดินลึกเข้ามา “อาดิตบอกว่านี่คือเมืองทองคำที่สร้างขึ้นกลางทะเล…หรือที่เขาเรียกกันว่า เมืองทองคำที่ลอยอยู่เหนือผืนน้ำ…”

แต่สิ่งที่เธอพบเมื่อเดินถึงโถงด้านในทำให้ลมหายใจของเธอกระตุกทันที

พื้นที่เบื้องหน้ากว้างใหญ่จนต้องหยุดมอง แสงสะท้อนจากผนังหินทำให้ทุกอย่างส่องประกาย เธอเห็นโถงบัลลังก์อันเร้นลึกของพระกฤษณะ ราชวังทองคำที่เคยถูกกล่าวขานในมหาภารตะ อยู่ต่อหน้าเธออย่างสมบูรณ์ราวกับพึ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อวาน โครงสร้างปราสาทประดับด้วยรัตนชาตินานาชนิด ไม่ใช่ความหรูหราฟุ่มเฟือยที่ไร้รสนิยม แต่เป็นความวิจิตรที่สะท้อนจิตวิญญาณของผู้สร้าง งดงาม เรียบสง่าและสมบูรณ์แบบในแบบศิลปะอินเดียยุกต์โบราณ


เพดานสูงประดับคริสตัลใสจนเหมือนประกายดาวนับพันถูกตรึงไว้ ลำแสงเทียนโบราณที่ยังคงส่องสว่างเองราวกับได้รับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนบนพื้นหินจนเกิดภาพระยิบระยับ และที่ใจกลางโถง…


ทองคำจักรพรรดิ์จำนวนมหาศาลถึงสองพันก้อนถูกเรียงเป็นชั้นสูงต่ำสวยงามราวงานศิลป์มากกว่าการถูกเก็บเป็นทรัพย์สิน เงาของมันสะท้อนสีทองอุ่นพาดไปทั่วโถง ทำให้โมนีก้าชะงักนิ่งราวกับเวลาหยุดเดิน ริมฝีปากเธอเผยอเล็กน้อย “นี่มัน…ไม่น่าเชื่อเลย…” ตอนแรกเธอคิดว่าจะไม่แตะต้องมัน ไม่ควรแตะต้องสิ่งที่เทพเจ้าทิ้งไว้ แต่แล้วเสียงกระซิบลึกล้ำบางอย่างกลับดังชัดในหัวของเธอ เป็นน้ำเสียงที่ทั้งนุ่มและทรงอำนาจจนหัวใจสั่น


...เอาไปเถิด ทองคำนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจและปาฏิหาริย์บารมี เช่นเดียวกับเมืองนี้ที่ถือกำเนิดด้วยโยคะมายา หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะไร้ผู้ใช้ เอาไป และใช้มันเพื่อปกป้องโลก…นั่นคือคำอนุญาตของเรา ผู้ถือปกครอง...


โมนีก้าชะงักเหมือนถูกกระตุกหัวใจ เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินจริงหรือเป็นเพียงเสียงในใจ แต่พลังอันอบอุ่นที่โอบล้อมร่างเธอนั้น มันไม่ผิดแน่เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของมนุษย์ เธอคุกเข่าช้า ๆ ต่อหน้ากองทอง ก่อนที่จะภาวนาถึงเหล่าเทพเจ้าที่ดลให้พบและอนุญาตให้รับขุมทรัพท์นี้ รอยยิ้มบางเบาแต้มที่มุมปาก ผมสีน้ำตาลเข้มปลิวเบา ๆ ตามแรงลมที่ไม่รู้มาจากไหน “ขอบคุณค่ะ…ไม่รู้ว่าท่านได้ยินหรือเปล่า แต่ฉันจะเอามันไปใช้เพื่อช่วยโลกนี้และปกป้องเหล่าเดมิก็อดอย่างดีที่สุด สัญญาเลยค่ะ” สิ้นคำนั้นเธอยื่นมือออกไป แหวนดาราจรัสบนปลายนิ้วส่องแสงขึ้นมาเป็นวงแสงสีฟ้านวล ก่อนจะเปิดประตูมิติเล็ก ๆ ทองคำจักรพรรดิ์ทีละก้อนค่อย ๆ ลอยขึ้นอย่างมีระเบียบราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นเรียงเข้าภายในแหวนเหมือนถูกเก็บเข้าโกดังลับไร้ขอบเขต 


ก้อนแล้วก้อนเล่า… จนทองคำจักรพรรดิสองพันก้อนหายไปหมดภายในแหวนเพียงไม่กี่นาที


เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอก้มศีรษะให้ตำหนักทองคำอีกครั้ง เป็นการขอบคุณและให้เกียรติผู้สร้างที่แม้เวลาจะลบเลือนไปหลายพันปี ก็ยังคงทิ้งความยิ่งใหญ่ไว้ในโลกใบนี้ จากนั้นโมนีก้าก็ลุกขึ้น หันหลังกลับและเดินออกจากโถงบัลลังก์ด้วยหัวใจที่เบาลงอย่างประหลาด ราวกับได้พลังบางอย่างมาหล่อเลี้ยง


แสงอุ่นสีทองยังคงไล้ตามหลังไปจนถึงประตูพระราชวัง…

คล้ายเป็นการส่งผู้ถูกเลือกกลับออกไปสู่โลกเบื้องนอก…

เสียงกระซิบสุดท้ายทอดยาวอยู่ในความเงียบงันของวังลับแล…

สวดส่งผู้มาเยือนที่ได้รับอนุญาตให้รับสุวรรณากลับไป....


มีค่า LUK 100 หน่วย จะได้รับของดรอป x2

ได้รับ แร่สัมฤทธิ์วิเศษ จำนวน 1 ชิ้น = 1 x 2 = 2 ชิ้น

ได้รับ เฟืองออโตมาตอน จำนวน 3 ชิ้น = 3 x 2 = 6 ขวด

ได้รับ ทองคำจักรพรรดิ จำนวน 6 ชิ้น = 6 x 2 = 12 ชิ้น

ได้รับ น้ำมันหล่อลื่น จำนวน 4 ชิ้น = 4 x 2 = 8 ขวด


สรุป ได้รับ แร่สัมฤทธิ์วิเศษ 1 ชิ้น, เฟืองออโตมาตอน 3 ชิ้น, ทองคำจักรพรรดิ 6 ชิ่้น, น้ำมันหล่อลื่น 4 ชิ้น


+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด สุนัขล่าเนื้อทองคำและเงิน ครั้งแรก


มอบ แอมโบรเชีย 1 ชิ้นให้ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ (ซูกิกินยัดปากละ)

มอบ แอมโบรเชีย 1 ชิ้นให้ เดมิก็อดค่ายฮาล์ฟบลัด (อยากจะกินตอนไหนก็กิน)

เก็บ ทองคำจักรพรรดิจำนวน 2000 ก้อน เข้าแหวนดาราจรัส


[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
โดรนบันทึกภาพทองคำจักรพรรดิที่มีจำนวนกว่าสองพันถูกส่งไปยังสภาแล้ว  โพสต์ 2025-11-19 08:48
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-19 08:46
โพสต์ 103700 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-19 01:32
โพสต์ 103,700 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-19 01:32
โพสต์ 103,700 ไบต์และได้รับ +25 EXP +1 Point +40 เกียรติยศ +40 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-19 01:32

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-19 12:32:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 17 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


ลมทะเลยามเย็นพัดอ่อน ๆ เมื่อโมนีก้าก้าวขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่ลอยนิ่งรออยู่กลางท่าไม้เก่าแก่ เธอยกมือปัดเส้นผมที่ปลิวเข้าหน้าเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงชัดไปยังอาดิตที่กำลังยืนเช็กมาตรวัดท้ายเรือว่า “ออกเรือได้เลยค่ะอาดิต” อาดิตหันมาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนพยักหน้ารับ เขากดปุ่มควบคุมและดึงหางเสือด้วยความมั่นใจ เรือค่อย ๆ ขยับออกจากชายฝั่งเมืองทองคำแห่งทวารกา เสียงเครื่องยนต์เบา ๆ ดังประสานกับเสียงคลื่นกระทบตัวเรืออย่างต่อเนื่อง


โมนีก้าหันกลับมาด้านในเรือและเห็นภาพที่ทำให้เธอเผลอยิ้มกว้างอย่างเหนื่อยล้าแต่โล่งใจ ซูกิกำลังนั่งระวังหลังอยู่ข้างเดมิก็อดสาวลูกของไดโอนีซุสที่บาดเจ็บหนักเมื่อครู่ แต่ตอนนี้กำลังกินโจ้กปลาร้อน ๆ แบบไม่สนใจมาดอะไรสักนิดเลย หน้าตาของเธอตอนเคี้ยวเต็มปากเต็มแก้มจนเกือบสำลักนั้น…จริงใจอย่างที่สุด “อร่อยดีไหมคะ…. ดีแล้วที่แข็งแรงขึ้น” โมนีก้ากล่าวเสียงนุ่ม หย่อนตัวลงข้างซูกิและแตะหลังมืออีกฝ่ายเบา ๆ แบบคนที่เป็นห่วงกันจริง


ซูกิพ่นลมหายใจคล้ายจะบ่นแต่ก็ยิ้มบาง ๆ ย้อนกลับมา “โอเคแล้วล่ะ แอมโบรเซียช่วยไว้มาก เธอน่าจะฟื้นภายในวันสองวัน” เดมิก็อดสาวชะงักไปนิดเพราะโจ้กยังเต็มปาก ก่อนชูนิ้วโป้งเป็นเชิงบอกแถมยังพูดในขณะที่โจ๊กเต็มปาก “ฉันโอเค!” แม้ปากจะยังพะงาบเหมือนลูกนกเพราะข้าวร้อนจัด ทำให้โมนีก้าหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ


เรือค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากท่าเมืองลับแล แสงหม่นสีฟ้าของหมอกหนาทึบค่อย ๆ ล้อมรัดรอบตัวเรืออีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม ความกดดันและความหนาวเหน็บแปลกประหลาดที่เคยกรีดผิวหนังเมื่อยามก่อนหายไป เหลือเพียงบรรยากาศวังเวงที่นุ่มลงราวกับมีมือใดมือหนึ่งเปิดเส้นทางให้พวกเธอผ่าน อาดิตเป็นคนแรกที่สังเกต เขาหรี่ตาและพูดขึ้นอย่างจริงจังเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย–อินโดที่ฟังดูอบอุ่นและคุ้นหูอย่างยิ่ง


“Strange… the fog is guiding us back.” เขาเอียงศีรษะมองท้องทะเล “It feels like someone opened a path. As if… they want us to leave safely.”


โมนีก้ากับซูกิเงียบไปเล็กน้อย มองหน้ากันอย่างประหลาดใจ เพราะพวกเธอเองก็รู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ เหมือนมีแรงบางอย่างดึงเรือกลับอย่างนุ่มนวลราวกับส่งพวกเธอออกจากอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ ไม่นานนักอาดิตก็พูดต่อ น้ำเสียงคล้ายอาจารย์สอนประวัติศาสตร์แบบเข้มงวดแต่แอบตลกในที


“Hindu gods… they are full of virtue, you know. They always seek paths to peace. Well… except some of them who give blessings too randomly.” เขาหัวเราะนิด ๆ เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องฮา ๆ เกี่ยวกับเทพสักองค์ ก่อนจะเริ่มฮัมเพลงอินเดียเก่า ๆ อย่างผ่อนคลายขณะหมุนพวงมาลัยเรือออกจากวงล้อมแห่งหมอก

โมนีก้าพิงราวเรือมองท้องทะเลที่ค่อย ๆ สว่างขึ้น เธอรู้สึกถึงหัวใจที่หนักอึ้งเมื่อชั่วโมงก่อนค่อย ๆ เบาขึ้น คล้ายผ่านขีดเส้นแบ่งบางอย่างมาเรียบร้อย เส้นทางเบื้องหน้าถูกเปิดไว้ราวกับได้รับการปกป้องจากสิ่งที่เธอไม่อาจมองเห็น ซูกิถอนหายใจยาวแล้วบ่นงึมงำ “โครงงานสำรวจนี้น่ะ…ถ้ากลับถึงค่ายเมื่อไหร่ ฉันขอร้องลาพักยาวเลย โมนีก้า” โมนีก้าหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบอย่างจริงใจ “เอาสิ เดี๋ยวฉันไปนอนห้องเธอแล้วกินสุกี้ยากี้ที่เธอทำให้ด้วย แล้วอย่าบอกพวกกองร้อย 1 คนอื่นล่ะว่าฉันแอบเข้าหอของพวกเขา” ซูกิยิ้มมุมปากแบบเหนื่อยแต่พอใจ


ส่วนเดมิก็อดสาวลูกของไดโอนีซุสยกถ้วยโจ้กขึ้นแล้วประกาศเสียงดัง “ฉันจะไปนั่งกินไวน์ในกระท่อมตัวเองสองวันรวดหลังรอดตายมาได้!” เพียงเท่านั้นบรรยากาศตึงเครียดทั้งหมดก็สลายหายไปในเสียงหัวเราะของทุกคน


เรือค่อย ๆ ถอยห่างจากเมืองลับแลแห่งทะเล นครทวารกา และในขณะที่หมอกไล่เลือนออกไปด้านหลัง เธอได้ยินเสียงกระซิบของธรรมชาติแผ่วเบาอยู่ในอกเหมือนพรายน้ำกระทบหิน ดีแล้ว…กลับบ้านเถอะ เด็กแห่งฤดูใบไม้ผลิ โมนีก้ายิ้มเล็ก ๆ กับเสียงนั้น เธอนั่งลงข้างเพื่อนของเธอ และปล่อยให้เรือพาพวกเธอกลับสู่ท้องฟ้าที่ปลอดหมอก ซึ่งกำลังรอรับพวกเธออยู่ด้วยแสงอุ่นอ่อนยามเย็นของวันใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง


[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-19 16:17
โพสต์ 22005 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-19 12:32
โพสต์ 22,005 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-19 12:32
โพสต์ 22,005 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 เกียรติยศ +2 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-19 12:32
โพสต์ 22,005 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 เกียรติยศ +2 ความศรัทธา จาก เนตรแห่งฟีบี้  โพสต์ 2025-11-19 12:32
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้