
วันที่ 17 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025
ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย
แสงหมอกสีขาวที่ปกคลุมทั่วทั้งนครทวารกาเริ่มเจือจางลงเล็กน้อยเมื่อโมนีก้าและซูกิเดินลึกเข้ามาถึงส่วนในสุดของเกาะซึ่งสูงตระหง่านดั่งมหาราชวังเก่าที่ถูกสลักขึ้นจากหินสีทองซีด แต่ปกคลุมด้วยเงาแห่งกาลเวลาจนดูหม่นเศร้า บันไดหินผุกร่อนทอดยาวขึ้นไปสู่วิหารกลางที่ยอดแหลมแทบทะลุเมฆ ฟองคลื่นยังคงซัดกระแทกฐานหินด้านล่างราวกับเตือนให้รู้ว่านครนี้ถูกตัดขาดจากโลกมนุษย์ไปนานแสนนาน
เมื่อก้าวเข้าสู่ลานกว้างหน้าอาคารหลัก โมนีก้าก็ต้องหยุดหายใจไปวูบหนึ่งเมื่อมองเห็นเศษเสื้อสีส้ม ที่ถูกฉีกขาดตกอยู่บนพื้นหินเปียกชื้น เธอทรุดตัวลง ค่อย ๆ หยิบมันขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง มือซีดสั่นเล็กน้อยเมื่อนิ้วแตะลวดลายที่เธอคุ้นเคยดีเกินไป “นี่มัน…เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด” เธอพึมพำเบา ๆ น้ำเสียงสั่นจนแทบกลืนหายไปกับเสียงคลื่น
ซูกิที่เดินตรวจรอบ ๆ พบร่องรอยที่ทำให้เธอขมวดคิ้วทันที เธอเอี้ยวตัวเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “โมนีก้า รอยพวกนี้ยังใหม่อยู่เลยนะ ไม่กี่วันแน่ ๆ และดูนี่…” เธอก้มลงเก็บเกล็ดขนาดเท่าฝ่ามือ ที่มีสีเขียวมรกตอมทองเปล่งประกายแผ่ว ๆ แม้ในหมอกทึบ ลักษณะนั้นเด่นชัดจนไม่มีวันเดาผิด “เกล็ดของพญานาค” ซูกิเอ่ยเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยแรงกดดันอย่างปิดไม่มิด โมนีก้าเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเทาเงินไหวระริกด้วยความกังวล ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วแต่แน่วแน่ “หมายความว่า…ก่อนเรามาถึง มีเดมิก็อดจากค่ายฮาล์ฟบลัดถูกลากเข้ามาที่นี่ และต้องสู้กับอะไรสักอย่าง ลูกเรือสำรวจอาจหนีมาขอความช่วยเหลือ แต่เจออสุรกายก่อน…”
ซูกิกวาดตามองรอบลานกว้างที่เต็มไปด้วยเครื่องปั้นแตก เศษดาบหัก ๆ และ… เถาวัลน์
“เถาองุ่น?” เธอชี้ไปยังเส้นเถาพันยุ่งเหยิงราวกับเคยถูกควบคุมให้เป็นอาวุธ “นี่มันสัญลักษณ์พวกดีโอนีซัสชัด ๆ หรือว่าคนจากค่ายฮาล์ฟบลัดเป็นคนทำลายคณะสำรวจ?”
โมนีก้าสะบัดหน้าแรงจนผมไฮไลท์สีฟ้าปลิว “ไม่มีทาง พวกเขาไม่ทำแบบนั้นแน่ ไม่มีใครทำร้ายมนุษย์บริสุทธิ์โดยไม่มีเหตุผล…ฉันว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้ อสุรกายที่นี่ไม่ใช่ระดับธรรมดาแน่ ๆ ซูกิ เกล็ดพญานาคแบบนี้ไม่ใช่พวกงูปกติ มันใหญ่มากด้วย” เสียงลมเย็นพัดเฉือนผ่านลานหินราวกับเตือนภัย เสียงครางต่ำ ๆ ของวิญญาณที่ลอยอยู่ใกล้กำแพงวิหารเริ่มดังขึ้นเหมือนโชยออกมาจากยุคสมัยที่ไม่มีมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว
แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้ขยับไปไหน เสียงบางอย่างก็ดังแหลมขึ้นมาจากทิศเหนือของลานกว้าง เสียงที่ไม่มีทางเป็นสิ่งอื่นนอกจากเสียงการต่อสู้ เสียงปะทะรุนแรงกระแทกผนังวิหารจนฝุ่นหินร่วง เสียงคำรามแผ่วลึกของอสุรกายบางตัวผสานกับเสียงกรีดร้องของใครบางคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ โมนีก้ากับซูกิหันมองหน้ากัน ดวงตาของทั้งคู่สั่นระริกด้วยความตระหนักว่าเวลานี้อาจเป็นวินาทีตัดสินความเป็นตายของผู้รอดชีวิตที่กำลังดิ้นรนอยู่ที่นั่น ซูกิไม่พูดอะไร เธอเพียงดึงผมบลอนด์อ่อนของตัวเองมัดให้แน่น พลางดึงดาบคู่ของเธอออกมา
โมนีก้าก็กระชับกำไลดาบสุริยคติบนข้อมือซ้ายที่เปล่งแสงออกมาทันทีเมื่อเธอพร้อมสู้
อีกเพียงเสี้ยววินาที ทั้งสองก็พุ่งตัวออกไปตามทางเดินหินโบราณที่ทอดยาวสู่ทิศของเสียงสู้รบ หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิดทั้งจากความวิตกและความหวัง
เพราะหากยังมีเสียงแบบนั้นอยู่ ย่อมแปลว่ายังมีคนที่ยังไม่ยอมตาย
เสียงลมหนาวหวีดหวิวลอดผ่านยอดวิหารโบราณที่พังทลายเหมือนเสียงคร่ำครวญจากยุคสมัยที่ถูกลืมเลือน ขณะที่โมนีก้าและซูกิพุ่งทะยานไปตามโถงทางเดินหินอันแคบ สองร่างเคลื่อนที่เหมือนลูกศรที่ถูกยิงออกจากคันธนูแห่งความจำเป็น ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะทำให้หัวใจของทั้งคู่บีบรัดอย่างรุนแรงทันที
เด็กสาวจากค่ายฮาล์ฟบลัดคนหนึ่ง ผมยุ่งเปียกเหงื่อ ใบหน้ามีเลือดเปื้อน ลมหายใจขึ้นถี่แรง เธอกำลังตวัดเถาองุ่นสีม่วงเข้มที่แทงทะลุพื้นหินโบราณขึ้นมาเป็นขดตาข่ายพยายามพันสองร่างสุนัขโลหะที่ขยับด้วยความแม่นยำราวเครื่องจักรสังหาร สุนัขโลหะตัวหนึ่งเป็นสีทองทั้งตัว ลวดลายแกะสลักบนแผ่นเกราะเป็นสัญลักษณ์ของช่างเทพเฮเฟตัสที่แม้แต่ซูกิก็จำได้ทันที ส่วนอีกตัวเป็นสีเงินขาว เย็นเยียบราวกับถูกตีขึ้นมาจากแร่ที่ไร้วิญญาณ แสงในดวงตาของสุนัขล่าเนื้อทั้งสองเปล่งประกายสีฟ้าน้ำแข็ง มันวาวคมเหมือนแสงมีดหมอ มองทุกสิ่งด้วยสายตาของอัลกอริทึม ไร้ความรู้สึกความลังเล
“นั่นมันลูกของไดโอนีซุสแน่ ๆ…” โมนีก้าพึมพำอย่างตกใจเมื่อเห็นเด็กสาวแต่งตัวเพียงบราเซียสีดำโชว์กล้ามท้องแน่นเป็นลอนๆ พร้อมกางเกงขาสั้นทีดูเหมือนจะใส่ไปปั่นจักรยานมากกว่าใส่มาสู้กับหุ่นสังหารโบราณ
เสียงคำรามเชิงกล ‘กรรรด’ ดังลั่นก่อนที่สุนัขทองคำจะกระโจนขึ้นฟ้าเหมือนลูกธนูร่วงลงมาด้วยน้ำหนักที่มากกว่ารถมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน เถาองุ่นแตกกระจายไม่อาจทานแรงกระแทก
“เดี๋ยว—!”
โมนีก้าวิ่งพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องคิด ร่างของเธอพุ่งเสียจนลมที่พัดผ่านแก้มแสบผิวและผมสีน้ำตาลเข้มที่มีไฮไลท์ฟ้าอิเล็กทริกสะบัดเป็นเส้นยาว ความเร็วของเธอฉีกสายตาของซูกิจนเด็กสาวต้องตาเบิกกว้างไปชั่วครู่ เธอคว้าร่างเด็กสาวไว้ทันทีในเสี้ยววินาทีก่อนสุนัขทองคำจะเหวี่ยงขากลไกลงบดร่างของอีกฝ่ายให้แหลกเป็นชิ้น ๆ แรงกระแทกแผดผันฟ้า โมนีก้ากลิ้งไปด้านข้างกับเด็กสาวในอ้อมแขน ขณะที่สุนัขสองตัวกระแทกพื้นจนหินแตกร้าวเป็นระแหง เศษหินปลิวกระเด็นไปทั่ว ซูกิพุ่งเข้ามารับตัวเด็กสาวค่ายฮาล์ฟบลัดทันที เธอคุกเข่าลงและตรวจอาการอย่างรวดเร็วจนเห็นว่าทั้งแขนและขาด้านซ้ายของเด็กคนนั้นมีรอยไหม้จากพลังงานของเครื่องกลและรอยกัดของเกราะเหล็กเป็นเส้นลึก
“ฉันจะดูแลคนนี้เองโมนีก้า เธอสู้ไปเถอะ!” ซูกิบอกเสียงดุดัน มีเลือดนักรบแห่งมาร์สพุ่งพล่านเต็มสายตา
โมนีก้าพยักหน้า ดวงตาเทาเงินของเธอเปล่งประกายขึ้นทันทีเหมือนถูกจุดไฟด้วยพลังงานจากฟีบี้ ดวงตาเป็นสีทองเรืองรองแผ่ว ๆ ก่อนที่กำไลสุริยคติบนข้อมือซ้ายจะแตกประกายสว่างและแปรสภาพกลายเป็นดาบยาวสีทองอ่อน สุนัขโลหะทั้งสองตัวหันมามองเธอพร้อมกัน มันขยับคออย่างเป็นจังหวะพร้อมจะล็อกเป้าหมายใหม่ มันเป็นเสียงของระบบพูดขึ้นน้ำเสียงเหมือนหุ่นยน “ระบบตรวจจับภัยคุกคาม: TARGET IDENTIFIED.” สุนัขทองคำคำรามโลหะต่ำ ๆ สุนัขเงินขยับขาที่มีข้อต่อหลายชั้นราวกับงูเหล็ก
โมนีก้ากระชับดาบแน่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ พร้อมน้ำเสียงเหนื่อยใจปนประชด “เฮเฟตัสคะ…สร้างอะไรไว้ให้โลกวุ่นวายอีกแล้วเนี่ย” เสียงฟ้าผ่าที่ไม่มีสายฟ้าดังสั่นเมื่อสุนัขทั้งสองพุ่งเข้าหาเธอพร้อมกันราวกับสมองกลกำลังทำงานเต็มกำลัง
โมนีก้าสูดลมหายใจ แล้วพึมพำเบา ๆ “เอาล่ะ…ถ้าจะกัดฉันก็ต้องยอมให้พืชของฉันกัดกลับนะ” พื้นหินใต้ฝ่าเท้าของเธอไหววูบเหมือนมีสิ่งมีชีวิตกำลังตื่นขึ้น รากไม้แหลมคมสีมรกตพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินจำนวนมากเหมือนงูพิษร้อยตัว เข้าพันขาของสุนัขโลหะทั้งสองในจังหวะที่มันกระโจนพุ่งมาหาเธอพอดี เสียงคำรามเชิงกลของสุนัขล่าเนื้อทองคำและเงินดังก้องสะท้อนในอากาศเหมือนระฆังเตือนภัยจากโลกโอลิมปัสที่หลงติดอยู่ในเมืองสาบสูญแห่งทวารกา
โมนีก้าฟาดดาบสุริยคติใส่ข้อต่อของสุนัขเงินในการสู้ แรงปะทะทำให้ประกายไฟกระจายไปในอากาศเหมือนฝนดาวตก เธอถอยหลังเล็กน้อยและสูดลมหายใจอย่างหงุดหงิด เพราะแม้จะมีพลังและความเร็วระดับที่ซูกิเคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เจ้าสิ่งประดิษฐ์ของเฮเฟตัสพวกนี้ก็ยังคงยืนหยัดด้วยความดื้อด้านแบบโลหะบริสุทธิ์ที่ไม่รู้จักคำว่าถอย ซูกิพึ่งโดนโจมตีเพียงไม่กี่ครั้งเธอก็ไม่ไหวแล้ว
ด้านหลังเธอ ซูกิกึ่งคุกเข่ากึ่งนั่งไปกับพื้นหินแตก เสียงหอบของเด็กสาวดังแผ่ว ๆ น้ำเสียงของคนที่หมดเรี่ยวแรงจากการป้องกันทั้งตัวเองและลูกเดมิก็อดไดโอนีซุสที่บาดเจ็บหนัก คนค่ายฮาล์ฟบลัดคนนั้นพยายามยันตัวขึ้นแต่ร่างกายไม่ตอบสนอง เถาองุ่นที่เธอเรียกออกมากระจัดกระจายเต็มพื้น บางเส้นไหม้เป็นสีดำเพราะโดนพลังงานร้อนจากสุนัขทองคำ “โมนีก้า…มันไม่ไหว…” เสียงซูกิสั่นเล็กน้อย แม้ปกติจะเป็นเด็กแข็งแกร่งและไม่ค่อยแสดงความกลัว แต่สายตาที่มองสุนัขโลหะตรงหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจและความจริงจัง
“เจ้าพวกนี้มันเก่งเกินไป ต่อให้เป็นฉันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่ ๆ”
เด็กสาวไดโอนีซุสที่มีเลือดไหลเปื้อนกรามตอบแผ่ว ๆ เสริมขึ้นเหมือนเจ็บทุกคำพูด “มัน…มันเก่งยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดทั่วไป พวกมันไม่ได้มีชีวิต ไม่มีความกลัว ไม่มีความเจ็บ…เธอสู้นานไม่ได้แน่” โมนีก้าไม่ตอบในทันที เธอเพียงลดดาบลงชั่วครู่แล้วมองสุนัขสองตัวที่ค่อย ๆ เดินเวียนเข้าหาราวกับหมาป่ากลไกที่กำลังล็อกเป้าหมายสุดท้าย แล้วเธอก็ถอนหายใจยาวแบบหงุดหงิดที่สุดในสัปดาห์นั้น “โอ้ย…ไอ้สองตัวนี่น่ะเหรอเก่ง ไม่หรอก กระจอกกว่าไพธอนเยอะ”
สิ้นคำนั้น ซูกิกับเด็กสาวค่ายฮาล์ฟบลัดชะงักเหมือนโดนสาปทันที สองคู่ตาเบิกกว้างเหมือนหลอดไฟเสียบปลั๊ก
“…หา?” ซูกิพูดออกมาก่อน น้ำเสียงจริงจังปนงงจนเห็นได้ชัด
“เธอเคย…เจอไพธอน?” เด็กสาวไดโอนีซุสถามเหมือนถามว่าคนตรงหน้าเธอเคยไปเตะหน้าไททันมาแล้วหรือยัง
โมนีก้าไม่เหลือบตามอง เดินกลับไปหารอยเท้าของสุนัขทองคำอย่างสงบและเอียงคอเหมือนกำลังคิดว่าจะฟาดมันยังไงให้พังเร็วที่สุด “เคยสิ ถึงจะไม่ใช่ตัวหลักก็เถอะ ก็โดนมันพยายามฆ่านั่นแหละ แล้วฉันก็โดนกระแทกหางครั้งเดียวเกือบตายคิดเอาเถอะ…ก็เรื่องธรรมดาแหละของฉันกับเลสเตอร์”
ซูกิแทบจะหยุดหายใจไปหนึ่งวินาทีเต็ม ๆ ผู้ชายธรรมดา (เลสเตอร์ - ผมเก่งขนาดนี้ยังจะเรียกว่าธรรมดาอีกหรอ?) ที่โมนีก้าชอบคือคนที่สามารถสู้กับงูยักษ์ระดับล้มโลกที่แม้แต่เทพยังเกรงใจ…? และโมนีก้ายังพูดด้วยน้ำเสียงปกติราวกับกำลังบ่นเรื่องรถติดเวลาไปเที่ยวกรุงเทพ? ซูกิกลืนน้ำลายช้า ๆ จู่ ๆ ก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมคำว่า แฟนหนุ่มของโมนีก้า ถึงฟังดูอันตรายแบบบ้าเลือด เห็นทีผู้ชายคนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ และต้องเก่งกว่าที่เธอจะจินตนาการได้มากกว่านี้หลายชั้นจนเทียบกันไม่ติดด้วยซ้ำ
แต่ยังไม่ทันที่ใครจะเอ่ยอะไรต่อ สุนัขทองคำก็กระโจนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง เสียงโลหะเสียดสีกับหินดังลั่นเหมือนกลไกโบราณกำลังขยับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดงานพิธีสังหาร
โมนีก้าพึมพำแผ่ว ๆ “งั้นจัดเต็มก็ได้วะ…”
ดวงตาทองจากเนตรแห่งฟีบี้ลุกวาบขึ้นเหมือนแสงโคมไฟเทพี เธอยกมือซ้ายขึ้นกำสร้อยเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต พลังพุ่งทะลุออกไปตามพื้นดินเป็นรากไม้แหลมคมและหนามเถาวัลย์นับร้อยที่ปะทุขึ้นเหมือนพายุพืชพรรณ พื้นดินแตก เสาหินพัง รากเหล็กธรรมชาติแทงเข้าที่ข้อต่อโลหะของสุนัขเงินในจังหวะที่สมบูรณ์แบบ เสียง ‘กึก’ ดังสะท้อนก่อนร่างโลหะจะล้มคว่ำด้วยแรงดึงของรากไม้ที่ม้วนพันมันเหมือนงูรัดเหยื่อ สุนัขทองคำพยายามจะถอยหนี แต่โมนีก้าหมุนดาบสุริยคติแล้วฟันขวางกลางอากาศ แสงสีทองกระแทกใส่แผ่นเกราะตรงหน้าอกของมันจนวงจรภายในส่งเสียงแตกดังปะทุขึ้น
พลังงานสีน้ำเงินจากแกนกลางสว่างจ้าขึ้น แล้วระเบิดเป็นเศษทองคำกระจายลงพื้นเหมือนแผ่นทองคำที่ถูกทุบจนร่วงกราว
สุนัขเงินตามหลังไปติด ๆ เมื่อโมนีก้าบิดดาบเปลี่ยนจังหวะแล้วแทงเข้าที่ช่องโหว่ของท่อพลังงานด้านหลัง จุดที่ซ่อนอยู่ลึกจนแทบจะมองไม่ออกว่าควรทำลายยังไง แต่เธอทำเหมือนกำลังปอกส้มมากกว่า เสียงสุดท้ายคือเสียงโลหะทรุดตัวลงบนหินที่เปียกชื้น ก่อนสุนัขเงินจะกลายเป็นเศษโลหะเงินวาวระยิบระยับปนกับทรายทะเล
สุดท้าย โมนีก้ายืนอยู่กลางซากโลหะที่ถูกทำลายหมดสิ้น ลมหอบน้อย ๆ ทำให้หน้าอกของเธอขยับขึ้นลง แต่แววตาไม่สะทกสะท้าน “โอเค…เจ้านี่พอไหว”
ซูกิกับเด็กสาวไดโอนีซุสที่มองเหมือนพยายามถามตัวเอง หรือจริง ๆ คือเรียกว่าพยายามยันตัวลุกขึ้นเพื่อมองโมนีก้าด้วยสีหน้าที่คนทั่วไปเรียกว่าช็อกจนสมองดับไปแล้วก็ตาม เพราะโมนีก้ายังถูกโจมตีไปเพียงเจ็ดเปอร์เซ็นต์ แล้วศัตรูระดับสุนัขพิทักษ์ของกษัตริย์อัลซินอุสที่เฮเฟตัสเป็นคนสร้างก็ถูกทำลายราวกับกิ่งไม้แห้ง ซูกิซีดเหมือนคนขาดเลือดแต่ยังฝืนถามโมนีก้าแผ่ว ๆ “นี่คือ…ระดับความอันตรายของเพื่อนฉันปกติเลยใช่ไหม?”
โมนีก้าเช็ดเหงื่อแล้วตอบอย่างเรียบเฉยเหมือนบ่นเรื่องราคาเครื่องสำอาง “ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งหรอก ถ้าเป็นไพธอนจริง ๆ นะ…อันนั้นฉันตายได้เลยอ่ะบอกเลย รอบเดียว ฉันจอดสนิท”
ซูกิถึงกับล้มตะแคงไปอีกครั้งที่พื้น ส่วนเด็กสาวไดโอนีซุสก็มองโมนีก้าราวกับกำลังมองคนที่เดินออกมาจากบททดสอบของเทพเจ้าโดยไม่เหลือรอยขีดข่วน และในใจของซูกิมีเพียงประโยคเดียวผุดขึ้นมาชัดเจนมาก งั้นแฟนโมนีก้าที่เก่งกว่าโมนีก้าเนี่ย…มันต้องเป็นปีศาจในร่างมนุษย์ชัด ๆ เลยสิวะ…
โมนีก้ากระพริบตาเพียงหนึ่งครั้งก่อนจะหันกลับไปมองซูกิและสาวเดมิก็อดสายเลือดไดโอนีซุสที่กำลังพยายามตั้งหลัก เธอก้าวเข้าไปใกล้ด้วยท่าทีเยือกเย็นแต่เต็มไปด้วยความห่วงใย ลมเค็ม ๆ พัดผมสีน้ำตาลเข้มไฮไลต์สีฟ้าอิเล็กทริกของเธอปลิวไปด้านหลัง เผยให้เห็นสีตาเทาเงินที่ยังคงเรืองรองจากพลังเนตรแห่งฟีบี้ที่พึ่งถูกปลุกใช้เมื่อครู่ “ฉันชื่อโมนีก้า เป็นเดมิก็อดจากค่ายจูปิเตอร์นะ ส่วนคนนี้คือซูกิ เพื่อนสนิทของฉันจากค่ายเดียวกัน” น้ำเสียงของเธอนุ่มแต่ชัดเจน เธอนั่งลงเล็กน้อยเพื่อให้ระดับสายตาเท่ากับสาวไดโอนีซุส “ที่นี่…มีใครรอดนอกจากเธออีกไหม?”
สาวค่ายฮาล์ฟบลัดผู้บาดเจ็บหอบลมหายใจเล็กน้อย เลือดที่แก้มแห้งติดอยู่เป็นทาง สีหน้าเธอแข็งแกร่งแต่แฝงความหมดหวัง “ไม่…ไม่มีแล้ว ทุกคนถูกฆ่าตายหมดบางคนก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว อสุรกายที่นี่มันไม่ใช่แบบที่ฉันเคยเจอ…มันเร็ว มันฉลาด แล้วก็…โหดเกินไป” โมนีก้าชะงักเมื่อได้ยิน เธอไม่พูดต่อ แต่สายตาแข็งขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนที่เก็บซ่อนความรู้สึกลึก ๆ ไว้ใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเล็ก ๆ ที่แหวนดาราจรัสเคยเก็บสิ่งของไว้ ก่อนหยิบแท่งแอมโบรเซียสีน้ำตาลทองอ่อนออกมา ยื่นให้ทั้งซูกิและสาวไดโอนีซุส
“กินซะ จะได้พอฟื้นตัว อย่างน้อยให้ขยับไหวก่อน”
ซูกิที่เจ็บแต่ยังคงแข็งใจรับแท่งแอมโบรเซียมากัด ทันทีที่รสชาติในปากปรากฏขึ้น เธอหรี่ตาเล็กน้อย คล้ายกำลังลิ้มรสปลายรสของข้าวญี่ปุ่นหุงร้อนกับปลาย่างที่พ่อเคยทำให้ตอนเด็ก เธอสูดหายใจช้า ๆ ความเจ็บตามแขนและสีข้างเริ่มทุเลาลงจนสามารถยันตัวขึ้นได้อีกครั้ง ส่วนสาวไดโอนีซุสกลับกำแท่งแอมโบรเซียไว้แน่นเหมือนกลัวมันจะหลุดลอย เธอยิ้มอ่อน ๆ “ขอบใจนะ ฉัน…เดี๋ยวกินละกัน ขอพักหายใจก่อนนิดหนึ่ง”
และในจังหวะที่ทุกอย่างดูเหมือนสงบลง เสียงกระซิบจากพื้นหิน กำแพงพืช มอสบนเสา และกระแสน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านซอกหินก็ผสานกันขึ้นเป็นเสียงเดียว เสียงที่มีเพียงลูกของเซเรสเท่านั้นที่ได้ยิน เสียงของธรรมชาติที่สั่นสะเทือนมาถึงโสตประสาทของเธออย่างชัดเจน
…เข้ามาสิ เดินเข้าวังไป จะพบสิ่งที่ตามหา…
โมนีก้าเงยหน้าเล็กน้อย ดวงตาเทาเงินไหววูบเหมือนคนที่ได้ยินสิ่งไม่ควรได้ยิน เธอเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันมาทางซูกิที่ตอนนี้เริ่มยืนได้โดยใช้ดาบเป็นไม้เท้า “ซูกิ พาเด็กคนนี้กลับไปที่เรือก่อนนะ อาดิตอยู่บนเรือ และในเรือก็มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลครบ ฉันอยากให้พวกเธอปลอดภัยก่อน”
ซูกิทำหน้าไม่ค่อยอยากปล่อยเพื่อนสนิทไว้คนเดียว แต่ก็รู้ดีว่าขืนเถียงก็จะโดนโมนีก้าพูดกลับด้วยความแข็งกร้าวแบบอบอุ่นจนแพ้ราบคาบเหมือนทุกครั้ง “แล้วเธอล่ะ?” โมนีก้าเหลือบมองวังโบราณตรงหน้า ความมืดสลัวและกลิ่นลี้ลับแผ่ซ่านราวกับกำลังเชื้อเชิญผู้กล้าที่ถูกเลือกให้ก้าวเข้ามา “ธรรมชาติบอกให้ฉันเข้าไปข้างใน บอกว่าจะเจออะไรบางอย่าง” เธอกล่าวอย่างเรียบง่ายแต่หนักแน่น “ฉันไปคนเดียวจะสะดวกกว่า ถ้าพวกเธอตามมา ฉันจะเป็นห่วง”
ซูกิเม้มปากช้า ๆ แล้วพยักหน้ารับ ถึงแม้หัวใจจะกังวลแทบระเบิด แต่เธอรู้จักโมนีก้า คนแบบนี้ถ้าตัดสินใจแล้วก็หยุดไม่ได้ เธอได้แต่ถอนหายใจ “โอเค…แต่รีบกลับมา อย่าทำให้ฉันต้องลากศพเธอออกมาเข้าเรือก็แล้วกัน” โมนีก้ายิ้มมุมปากแบบเหนื่อยใจนิด ๆ กับเพื่อนสาว “เธอนี่นะ…” ก่อนที่เธอจะหมุนตัวกลับ เสียงน้ำกระทบโขดหิน เสียงกระซิบของใบไม้ที่ไม่ควรจะมีในเมืองจมน้ำ และเสียงลมหายใจของวิญญาณที่เฝ้าดูอยู่ทุกมุมก็ประสานกันขึ้นอีกครั้ง
โมนีก้าก้าวเท้าช้า ๆ เข้ามาภายในพระราชวังโบราณ รู้สึกถึงอากาศแปลกประหลาดที่แตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่เงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง และเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์กำลังแผ่วก้องอยู่ในกำแพงทุกชั้น บันทึกโบราณนับไม่ถ้วนถูกจัดวางกระจัดกระจายตามโต๊ะหินและแท่นศิลาจารึก บางเล่มขึ้นรา บางแผ่นสลักด้วยตัวอักษรที่เธอไม่รู้จัก รูปทรงคล้ายภาษาสันสกฤตแต่เก่าแก่กว่านั้นมาก แม้จะอ่านไม่ออก แต่เธอกลับรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ยังคงอวลอยู่ในหมึกและรอยแกะสลัก ราวกับเจ้าของบันทึกเหล่านั้นยังคงเฝ้ามองผู้บุกรุกอย่างเงียบงัน
โมนีก้าพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะเดินลึกเข้ามา “อาดิตบอกว่านี่คือเมืองทองคำที่สร้างขึ้นกลางทะเล…หรือที่เขาเรียกกันว่า เมืองทองคำที่ลอยอยู่เหนือผืนน้ำ…”
แต่สิ่งที่เธอพบเมื่อเดินถึงโถงด้านในทำให้ลมหายใจของเธอกระตุกทันที
พื้นที่เบื้องหน้ากว้างใหญ่จนต้องหยุดมอง แสงสะท้อนจากผนังหินทำให้ทุกอย่างส่องประกาย เธอเห็นโถงบัลลังก์อันเร้นลึกของพระกฤษณะ ราชวังทองคำที่เคยถูกกล่าวขานในมหาภารตะ อยู่ต่อหน้าเธออย่างสมบูรณ์ราวกับพึ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อวาน โครงสร้างปราสาทประดับด้วยรัตนชาตินานาชนิด ไม่ใช่ความหรูหราฟุ่มเฟือยที่ไร้รสนิยม แต่เป็นความวิจิตรที่สะท้อนจิตวิญญาณของผู้สร้าง งดงาม เรียบสง่าและสมบูรณ์แบบในแบบศิลปะอินเดียยุกต์โบราณ
เพดานสูงประดับคริสตัลใสจนเหมือนประกายดาวนับพันถูกตรึงไว้ ลำแสงเทียนโบราณที่ยังคงส่องสว่างเองราวกับได้รับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะท้อนบนพื้นหินจนเกิดภาพระยิบระยับ และที่ใจกลางโถง…
ทองคำจักรพรรดิ์จำนวนมหาศาลถึงสองพันก้อนถูกเรียงเป็นชั้นสูงต่ำสวยงามราวงานศิลป์มากกว่าการถูกเก็บเป็นทรัพย์สิน เงาของมันสะท้อนสีทองอุ่นพาดไปทั่วโถง ทำให้โมนีก้าชะงักนิ่งราวกับเวลาหยุดเดิน ริมฝีปากเธอเผยอเล็กน้อย “นี่มัน…ไม่น่าเชื่อเลย…” ตอนแรกเธอคิดว่าจะไม่แตะต้องมัน ไม่ควรแตะต้องสิ่งที่เทพเจ้าทิ้งไว้ แต่แล้วเสียงกระซิบลึกล้ำบางอย่างกลับดังชัดในหัวของเธอ เป็นน้ำเสียงที่ทั้งนุ่มและทรงอำนาจจนหัวใจสั่น
...เอาไปเถิด ทองคำนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจและปาฏิหาริย์บารมี เช่นเดียวกับเมืองนี้ที่ถือกำเนิดด้วยโยคะมายา หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะไร้ผู้ใช้ เอาไป และใช้มันเพื่อปกป้องโลก…นั่นคือคำอนุญาตของเรา ผู้ถือปกครอง...
โมนีก้าชะงักเหมือนถูกกระตุกหัวใจ เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินจริงหรือเป็นเพียงเสียงในใจ แต่พลังอันอบอุ่นที่โอบล้อมร่างเธอนั้น มันไม่ผิดแน่เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของมนุษย์ เธอคุกเข่าช้า ๆ ต่อหน้ากองทอง ก่อนที่จะภาวนาถึงเหล่าเทพเจ้าที่ดลให้พบและอนุญาตให้รับขุมทรัพท์นี้ รอยยิ้มบางเบาแต้มที่มุมปาก ผมสีน้ำตาลเข้มปลิวเบา ๆ ตามแรงลมที่ไม่รู้มาจากไหน “ขอบคุณค่ะ…ไม่รู้ว่าท่านได้ยินหรือเปล่า แต่ฉันจะเอามันไปใช้เพื่อช่วยโลกนี้และปกป้องเหล่าเดมิก็อดอย่างดีที่สุด สัญญาเลยค่ะ” สิ้นคำนั้นเธอยื่นมือออกไป แหวนดาราจรัสบนปลายนิ้วส่องแสงขึ้นมาเป็นวงแสงสีฟ้านวล ก่อนจะเปิดประตูมิติเล็ก ๆ ทองคำจักรพรรดิ์ทีละก้อนค่อย ๆ ลอยขึ้นอย่างมีระเบียบราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นเรียงเข้าภายในแหวนเหมือนถูกเก็บเข้าโกดังลับไร้ขอบเขต
ก้อนแล้วก้อนเล่า… จนทองคำจักรพรรดิสองพันก้อนหายไปหมดภายในแหวนเพียงไม่กี่นาที
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอก้มศีรษะให้ตำหนักทองคำอีกครั้ง เป็นการขอบคุณและให้เกียรติผู้สร้างที่แม้เวลาจะลบเลือนไปหลายพันปี ก็ยังคงทิ้งความยิ่งใหญ่ไว้ในโลกใบนี้ จากนั้นโมนีก้าก็ลุกขึ้น หันหลังกลับและเดินออกจากโถงบัลลังก์ด้วยหัวใจที่เบาลงอย่างประหลาด ราวกับได้พลังบางอย่างมาหล่อเลี้ยง
แสงอุ่นสีทองยังคงไล้ตามหลังไปจนถึงประตูพระราชวัง…
คล้ายเป็นการส่งผู้ถูกเลือกกลับออกไปสู่โลกเบื้องนอก…
เสียงกระซิบสุดท้ายทอดยาวอยู่ในความเงียบงันของวังลับแล…
สวดส่งผู้มาเยือนที่ได้รับอนุญาตให้รับสุวรรณากลับไป....
มีค่า LUK 100 หน่วย จะได้รับของดรอป x2
ได้รับ แร่สัมฤทธิ์วิเศษ จำนวน 1 ชิ้น = 1 x 2 = 2 ชิ้น
ได้รับ เฟืองออโตมาตอน จำนวน 3 ชิ้น = 3 x 2 = 6 ขวด
ได้รับ ทองคำจักรพรรดิ จำนวน 6 ชิ้น = 6 x 2 = 12 ชิ้น
ได้รับ น้ำมันหล่อลื่น จำนวน 4 ชิ้น = 4 x 2 = 8 ขวด
สรุป ได้รับ แร่สัมฤทธิ์วิเศษ 1 ชิ้น, เฟืองออโตมาตอน 3 ชิ้น, ทองคำจักรพรรดิ 6 ชิ่้น, น้ำมันหล่อลื่น 4 ชิ้น
+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด สุนัขล่าเนื้อทองคำและเงิน ครั้งแรก
มอบ แอมโบรเชีย 1 ชิ้นให้ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ (ซูกิกินยัดปากละ)
มอบ แอมโบรเชีย 1 ชิ้นให้ เดมิก็อดค่ายฮาล์ฟบลัด (อยากจะกินตอนไหนก็กิน)
เก็บ ทองคำจักรพรรดิจำนวน 2000 ก้อน เข้าแหวนดาราจรัส
[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ
พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7
โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5
กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10
(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)