[รัฐนิวเม็กซิโก] The Falcon Community ⋘ คอมมูนิตี้ฟอลคอน ⋙

[คัดลอกลิงก์]

หากท่านเป็นกึ่งเทพผู้หลงทาง สามารถสมัครสมาชิกเข้าร่วมกับเราได้ที่นี่ https://t.me/+etLqVX17bGg5ZjBl

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×




The Falcon Community

⋘ คอมมูนิตี้ฟอลคอน ⋙





⋘ คลิกที่ภาพเพื่อเยี่ยมชมด้านใน ⋙




คอมมูนิตี้ฟอลคอน
The Falcon Community


          ท่ามกลางซากปรักหักพังอันเก่าแก่ของเมืองสเปนที่ถูกทิ้งร้างใน ซานตา เฟ ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นชุมชนแห่งความหวังนามว่า คอมมูนิตี้ฟอลคอน ไม่ใช่เพียงหมู่บ้านที่หลงเหลือจากอดีต แต่เป็นดั่งรังเหยี่ยวที่ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ของ เวสลีย์ คาสเทลโล ผู้รวบรวมเด็กๆ ผู้พลัดหลงและถูกทอดทิ้งให้มาอยู่ร่วมกัน ณ ที่แห่งนี้ เพื่อเรียนรู้ศิลปะแห่งการเอาชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยอสุรกาย ชุมชนแห่งนี้คือหลักฐานของความมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง


          ในยุคแห่ง The Last Olympian หลังชัยชนะเหนือเหล่าไททัน และคำร้องขอของ เพอร์ซีย์ แจ็กสัน ที่ทำให้เหล่าเทพหันกลับมาใส่ใจลูกหลาน กลุ่มฟอลคอนได้รับการรับรองจากพ่อแม่เทพเจ้าและล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของค่ายฮาล์ฟบลัดและค่ายจูปิเตอร์ ทว่าด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นอิสระ พวกเขากลับเลือกที่จะ ยืนหยัดอยู่ที่คอมมูนิตี้แห่งนี้ต่อไป ไม่ใช่เพราะความดื้อรั้น แต่เพราะพวกเขาได้ค้นพบ "เกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด" นั่นคือ "กันและกัน" ความผูกพันและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันคือหัวใจที่ขับเคลื่อนให้พวกเขายังคงเติบโตอย่างมั่นคง ท่ามกลางโลกที่ไร้ซึ่งเขตแดนป้องกันทางกายภาพ


          ภายหลังเหตุการณ์ ยุคเจ็ดวีรบุรุษ กลุ่มฟอลคอนได้ผันบทบาทจากการเอาชีวิตรอดเพียงลำพัง สู่การเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศแห่งโลกเดมี่ก็อตอย่างมีกลยุทธ์ พวกเขาได้ค้นพบวิถีทางใหม่ในการ หารายได้และทรัพยากร โดยการใช้ทักษะการเอาตัวรอดและการล่าสัตว์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน เพื่อ ล่าอสุรกาย ที่ร่อนเร่อยู่นอกเขตแดนป้องกันของค่ายต่างๆ ชิ้นส่วนอันมีค่าของอสุรกายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นหนังพิษ เขี้ยวคมกริบ หรือพลังงานเวทมนตร์ ล้วนถูกนำมา แลกเปลี่ยนกับค่ายต่างๆ เพื่อนำผลตอบแทนมา พัฒนาคอมมูนิตี้ ของตนเองให้เติบโตยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน จัดหาเสบียง อาวุธยุทโธปกรณ์ หรือแม้กระทั่งจัดตั้งระบบการฝึกฝนเฉพาะตัวสำหรับสมาชิกใหม่ที่หลงเข้ามา


          คอมมูนิตี้ฟอลคอนจึงเป็นมากกว่าชุมชน แต่เป็น รังเหยี่ยวแห่งผู้ถูกทอดทิ้ง ที่มิได้รอคอยความช่วยเหลือจากใคร หากแต่พร้อมที่จะบินออกไปแสวงหาและสร้างสรรค์หนทางของตนเองในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายใบนี้ พวกเขาคือสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่น การพึ่งพาตนเอง และความผูกพันที่หล่อหลอมขึ้นจากประสบการณ์ร่วม















แสดงความคิดเห็น

God
โพสต์ 16144 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-3 21:59
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 21 เดือน ธันวาคม ปี 2025

เวลาสาย เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ณ ร้านฟอลคอน ซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก

◀️┃▶️


คีอาร์เดินฝ่าทางเดินโค้งของซากเมืองเก่าสเปนที่ซานตาเฟด้วยจังหวะเท้าเรียบสงบ แสงแดดยามบ่ายสาดทาบผนังหินสีดินจนทุกอย่างกลายเป็นเฉดทองอบอุ่นที่ตัดกับเงาเย็นของโครงอาคารที่พังทลาย เสียงลมลอดผ่านช่องโค้งเก่าแก่ดังก้องเป็นจังหวะยาวเหมือนเสียงหายใจของอดีตกาล ท่ามกลางอุโมงค์หินนั้น เธอเห็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งยืนคุยกันอยู่ตามแนวทางเดิน เสื้อผ้าเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยรอยซ่อมแซมและคราบฝุ่นจากการฝึกฝนกลุ่มฟอลคอน คอมมูนิตี้ที่เธอเคยได้ยินแต่ชื่อ ตอนนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว


ในหัวของคีอาร์เริ่มประมวลข้อมูลอย่างเป็นระบบ เธอจำได้จากฐานข้อมูลของค่ายว่า ผู้นำของที่นี่คือ เวสลีย์ คาสเทลโล ลูกของซุสที่หายตัวไปจากเรดาร์ของโลกเดมิก็อดตั้งแต่ยุคธาเลีย เกรช เขาคือผู้ก่อตั้งฟอลคอน หลังจากเคยใช้ชีวิตเร่ร่อนและถูกโลกของเทพทอดทิ้ง เวสลีย์รวบรวมเด็กที่ไม่มีที่ไป ตั้งกลุ่มขึ้นจากศูนย์และสอนพวกเขาให้รอดในโลกที่ไม่เหลือเกราะป้องกันใด ๆ นอกจากความไว้เนื้อเชื่อใจและการพึ่งพากันเอง


กลุ่มนี้ไม่ใช่ค่าย ไม่มีกำแพง ไม่มีกฎของโอลิมเปียน แต่มีระบบ... ของตนเอง เธอคิดขณะเดินลึกเข้าไป ลมร้อนจากทะเลทรายปะทะผิวหน้าแล้วหายไปในวินาทีเดียว


คีอาร์สวมเสื้อไหมพรมสีส้มปักโลโก้ค่าย Camp Half-Blood ตัดกับแขนเสื้อถักสีดำที่คลุมไปจนถึงมือ เส้นผมสีบลอนด์ทองแดงสะท้อนแดดจนดูเหมือนเปลวไฟอ่อน ๆ พอเธอก้าวผ่านประตูโค้งแรก ดวงตาหลายคู่ก็หันมามอง บางคนหรี่ตามองโลโก้บนเสื้อ บางคนกระซิบกันเบา ๆ


“เธอมาจากค่ายฮาล์ฟบลัดเหรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเด็กหนุ่มร่างสูงผิวเข้ม เขาพิงกำแพงถือไม้คันธนูสั้นไว้ในมือ

คีอาร์เหลือบตามองเขา แล้วพูดเสียงเรียบแต่ชัด “ใช่ค่ะ”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนยิ้มแปลก ๆ “งั้นเหรอ ไม่ค่อยเห็นพวกค่ายมาที่นี่ด้วยตัวเองหรอก ปกติจะมีพวกคนกลางมาส่งของแทน”
“ฉันตั้งใจมาเอง” คีอาร์ตอบในโทนสุภาพราวกับพูดกับเจ้าหน้าที่รัฐ “อยากแลกเปลี่ยนซื้อทรัพยากรบางอย่างค่ะ ได้ยินว่าที่นี่จัดการเรื่องพวกนั้นเก่ง”

เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ก็ไม่บ่อยนักที่จะมีคนมาซื้อเองแบบนี้ เอาเถอะ เข้ามาข้างในก่อน เดี๋ยวฉันพาไปหาคนดูแลของกลาง” คีอาร์พยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินตามเข้าไปในลานด้านในของคอมมูนิตี้ ฟอลคอนไม่ได้ดูเหมือนฐานทัพหรือหมู่บ้านเลย มันคือส่วนผสมระหว่างที่พักพิงและสนามฝึกหัด มีบ่อเก็บน้ำตรงกลาง ล้อมด้วยอาคารหินครึ่งถล่มที่ถูกปรับเป็นห้องทำงาน ห้องเก็บอาวุธ และโรงตีเหล็ก เสียงค้อนกระทบโลหะดังก้องเป็นระยะพร้อมประกายไฟจากเตาหลอมที่จุดไว้ใกล้กำแพง


เธอเห็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังฝึกการหลบหลีกด้วยอาวุธจำลอง อีกกลุ่มกำลังนั่งคัดชิ้นส่วนจากอสุรกาย เขี้ยว แผ่นเกล็ด ผง เพื่อเตรียมส่งไปยังค่ายต่าง ๆ ทุกคนขยับตัวอย่างมีระบบ ไม่มีคำสั่งจากใคร แต่ดูเหมือนเข้าใจหน้าที่ของตนเองอย่างดี


คีอาร์หยิบโทรศัพท์เดดาลัสขึ้นมาดูข้อมูลซ้ำในหัว แผนที่ 3 มิติฉายบนหน้าจอแสดงจุดโครงสร้างหลักของชุมชน มีเส้นทางลำเลียงวัตถุดิบจากส่วนล่างของเมืองขึ้นมาสู่ลานกลาง และช่องเก็บเสบียงในอาคารที่หันหน้าไปทางตะวันตก ระบบนี้ออกแบบโดยมือของเดมิก็อดแน่ ๆ แม้จะไม่ใช่ช่างฝีมือระดับเฮเฟตัส แต่มีความเป็นระเบียบแบบที่เกิดจากคนเคยผ่านสนามรบ


ที่นี่ทำงานเหมือนรังนกเหยี่ยวจริง ๆ ทุกคนรู้จุดบินและรู้ทางกลับของตัวเอง


เด็กหนุ่มพาเธอเดินผ่านโค้งทางเดินอีกชั้นหนึ่ง ก่อนหยุดตรงหน้าประตูไม้บานใหญ่ที่ถูกแกะสลักเป็นรูปปีกเหยี่ยวกางออกครึ่งวงกลม เขาหันมามองเธอเล็กน้อย “รอก่อนนะ ฉันจะไปบอกคนข้างใน”


“ได้ค่ะ”


คีอาร์ยืนรอโดยไม่ขยับ ปลายนิ้วเย็นเฉียบจากอุณหภูมิของโลหะในอากาศ เธอมองซากหินที่ทอดยาวไปสุดทางเดินอีกด้าน เห็นเด็กหญิงผมสั้นในชุดหนังสีน้ำตาลกำลังผูกข้อมือเพื่อนชายที่แขนมีรอยข่วน รอยเลือดนั้นดูไม่ลึกมาก แต่เป็นภาพที่บอกได้ว่าชีวิตในที่นี่ไม่ได้ง่ายเลย


กลุ่มฟอลคอน…ไม่ใช่แค่รอด แต่ เติบโต ด้วยกฎของตัวเอง

“เข้ามาได้แล้ว” 

คีอาร์พยักหน้ารับอย่างสุภาพ ก่อนก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่กลิ่นควันไม้และเหล็กหลอมปะปนกันไปเพื่อที่จะซื้อของ เสียงก้าวเท้าของคีอาร์สะท้อนเบา ๆ ไปตามพื้นหินที่ขรุขระ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะค่อย ๆ เผยออกมา ตลาดแลกเปลี่ยนโอลิมปัส ศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เดมิก็อดผู้ชำนาญศิลปะการล่าและการค้าใฝ่หา ทั้งในแง่ของทรัพยากร พลัง และความลึกลับที่แทบไม่เคยหลุดออกไปสู่โลกภายนอกได้


ลานกลางเปิดโล่งขนาดใหญ่ถูกล้อมด้วยซุ้มอาคารหินโค้งที่ผ่านการซ่อมแซมอย่างหยาบ ๆ แต่มั่นคง ผ้าผืนใหญ่สีแดงเข้มและเทาเงินถูกขึงเป็นเพดานชั่วคราวเหนือหัวเพื่อกันแดด เสียงเหล็กกระทบกัน เสียงคนต่อรองราคา และเสียงหวีดเบา ๆ ของพลังเวทจากของบางชิ้นผสมปนอยู่ในอากาศจนแทบแยกไม่ออก กลิ่นแปลก ๆ ของกำมะถัน ควัน เหล็ก และสมุนไพรทำให้บรรยากาศดูเหมือนตลาดโบราณในตำนานกรีกที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง


คีอาร์หยุดอยู่ตรงทางเข้า มองรอบตัวอย่างนิ่งและมีระเบียบ สายตาไล่ผ่านแผงวางของที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบหายากระดับที่แม้แต่ค่ายฮาล์ฟบลัดเองก็อาจมีไม่ครบ เธอยกมือแตะแว่นบนสันจมูกอย่างเคยชิน สายตาสีเทาอมเขียวสะท้อนประกายไฟจากเตาหลอมใกล้ ๆ ขณะเดินเข้าไปในโซนสินค้าหลัก โต๊ะไม้ยาวเรียงรายเต็มพื้นที่ แต่ละโต๊ะมีแท่นแก้วหรือกล่องโลหะวางเรียงไว้ ข้างในบรรจุสิ่งของที่แทบจะดูไม่ออกว่าเกิดจากธรรมชาติหรือเวทมนตร์กันแน่


ชิ้นแรกที่เธอเห็นคือผงพิษของอิมฟ์ผงละเอียดสีม่วงเข้มที่สะท้อนแสงได้ทุกครั้งที่มีคนเดินผ่าน มันดูงดงามเกินกว่าจะเป็นสิ่งอันตราย แต่กลิ่นฉุนที่แสบจมูกเพียงแตะปลายลมหายใจเดียวก็ทำให้รู้ว่า... ถ้าเข้าใกล้เกินไปคงไม่จบแค่จาม เธอก้มมองฉลากที่เขียนไว้ข้างกระปุก ใช้เพียงผงเดียวก็สามารถทำให้ม้าเซนทอร์ขนาดเต็มตัวมึนงงได้นานสามนาที คีอาร์ย่นคิ้วนิด ๆ “เหมาะกับใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น” เสียงเธอเบาแทบไม่ต่างจากการคิดในใจ


ถัดไปคือหัวใจซาลาแมนเดอร์ที่ถูกวางไว้ในกล่องแก้วทรงกลมภายใต้การปิดผนึกเวท มันเต้นอย่างช้า ๆ จริง ๆ เหมือนยังมีชีวิต แสงสีส้มภายในเรืองขึ้นลงตามจังหวะนั้นราวกับกองไฟหายใจ คีอาร์มองมันเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ความร้อนแผ่ออกมาจนรู้สึกได้แม้ไม่เปิดฝา เธอคิดในใจว่า ถ้านำมาเป็นแหล่งพลังให้ชุดพลังงานต้นแบบได้ มันคงสามารถรักษาอุณหภูมิได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าละมั้ง…


คีอาร์เดินต่อไปยังอีกมุมหนึ่ง เห็นขนจิ้งจอกขาว เรียงเป็นพวงในตะกร้าไม้ กลิ่นหอมจาง ๆ คล้ายดอกพีโอนีแตะปลายจมูก มันขาวบริสุทธิ์จนแทบสะท้อนแสง ดวงตาของคีอาร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมปลายนิ้วสัมผัสอย่างระมัดระวัง ความนุ่มของมันละเอียดจนแทบละลายไปกับผิวมือ ถัดไปคือหนังอัคลัตที่ขึงอยู่บนโครงไม้ขนาดใหญ่ ลวดลายคล้ายเกล็ดปลาผสมโลหะ เธอเอียงหน้าเล็กน้อย มองดูความหนาแน่นของชั้นผิว “ถ้าใช้สร้างเกราะได้ คงกันกระสุนได้สบาย” เธอพึมพำเบา ๆ


เสียงกระทบกันของเหล็กดังขึ้นจากอีกแผงหนึ่ง ขนกริมาลคิน ขนแมวสีเงินแวววาวถูกวางเรียงในถุงกำมะหยี่เล็ก ๆ เธอยิ้มบาง ๆ นึกถึงคำเล่าลือว่าเจ้าสัตว์พวกนี้มีนิสัยเย่อหยิ่งไม่ต่างจากแมวธรรมดา แผงถัดไปกรงเล็บเฮลฮาวนด์สีดำขลับวางเรียงอยู่ในกล่องโลหะ เส้นแสงบางจากภายในดูราวกับมันยังเก็บกลิ่นกำมะถันไว้ได้ เธอไม่เข้าไปใกล้เกินไปนัก เพราะรู้ดีว่ามันยังมีพลังเวทตกค้างอยู่ เมื่อเดินผ่านแต่ละแผง เธอเห็นสินค้าหลากหลายจนรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่แค่ตลาด แต่คือพิพิธภัณฑ์แห่งโลกเดมิก็อด ทั้ง กระดองคาร์คินอส ขนาดเท่าประตูบ้านที่มันวาวดั่งโลหะผสม, น้ำมันคบเพลิงของแลมพาเดสที่เรืองแสงในขวดแก้ว, ปีกปีศาจเจอร์ซีย์ที่พับเก็บไว้ใต้ผ้าดำ, และแม้แต่ชิปประมวลผล AI ที่มีตราประทับของอาวุธ 


คีอาร์หยุดนิ่งอยู่นานเมื่อมองเห็นสิ่งสุดท้าย ดวงตาเฟนริลมันถูกวางไว้ในโหลแก้ว มีแสงแดงเข้มกระพริบเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนยังมองกลับมาได้ทุกเมื่อ

“ของระดับกลางและสูงทั้งหมดเลยนะ” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
คีอาร์หันไปช้า ๆ เห็นชายร่างสูงสวมชุดหนังดำสะพายหอกสั้นไว้ข้างหลัง เขายิ้มเล็ก ๆ อย่างคนที่ดูออกว่าเธอไม่ใช่แค่คนมาเดินเล่น “... แล้ววันนี้มีอะไรดี ๆ ให้พวกเราหรือแค่มาดูของ?” คีอาร์ดันแว่นขึ้นนิดหนึ่ง “ทั้งสองค่ะ”

อีกฝ่ายหัวเราะเบา “ตรงดีแฮะ งั้นยินดีต้อนรับสู่ตลาดแลกเปลี่ยนโอลิมปัส คุณลูกค้าใหม่จากค่ายฮาล์ฟบลัด ถ้าเธอมีของดี ฉันมั่นใจว่าเวสลีย์จะอยากพบแน่ ๆ”


ทันทีที่อีกฝ่ายบอกคีอาร์ไม่ได้แสดงสีหน้าหรือท่าทีลังเลแม้แต่น้อยเมื่อเอ่ยเสียงเรียบตามบุคลิกอันสุขุม “ไม่อยากพบหรอกค่ะ ฉันไม่อยากพบใครมากตอนนี้” คนขายที่ยังยืนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มผิวเข้มคนเดิม ชะงักไปนิด เหมือนจะถามต่อแต่เลือกกลืนคำไว้เมื่อเห็นแววตาสีเทาอมเขียวที่นิ่งเฉียบจนไม่เปิดช่องสนทนาใด ๆ


คีอาร์ก้มมองโต๊ะไม้ตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะชี้นิ้วเรียวยาวไปยังถุงกำมะหยี่เล็ก ๆ ที่บรรจุขนกริมาลคิน ขนสีเงินนุ่มละเอียดที่สะท้อนแสงคล้ายเส้นไหม เธอพูดสั้น ๆ แต่ชัดเจน “เอานี่สิบชิ้นค่ะ” มือของพ่อค้าขยับหยิบตามจำนวน ขณะเธอก็เหลือบไปยังกล่องแก้วอีกด้านที่บรรจุขนนกอินทรีทองคำอยู่ข้างใน มันเปล่งประกายราวกับแสงจากท้องฟ้าเองกำลังหายใจอยู่ในนั้น “แล้วก็อันนั้น... สองชิ้นค่ะ”


เขาเงยหน้าขึ้น “ขนนกอินทรีทองคำ?” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกใจปนไม่แน่ใจ “ราคาชิ้นละเก้าสิบเอ็ดดรักม่านะ คุณแน่ใจ—”


“แน่ใจค่ะ” เธอตอบก่อนจบประโยค น้ำเสียงเย็นเรียบไร้แววลังเล มือเรียวควักถุงเงินผ้ากำมะหยี่ออกจากกระเป๋าสะพาย แล้วเทเหรียญเทองขึ้นเงาวางลงบนโต๊ะ เสียงกระทบของโลหะดังแผ่วแต่ชัดในความเงียบที่คนรอบข้างเริ่มหันมามอง


คีอาร์นับเร็วและแม่นยำเหมือนเครื่องคิดเลข “ห้าร้อยแปดสิบสองดรักม่า” เธอพูดขึ้นอย่างราบเรียบ ก่อนดันเหรียญทั้ง 582 ดรักม่า ไปทางคนขายโดยไม่แม้แต่จะขอส่วนลด

พ่อค้ากะพริบตาอย่างไม่แน่ใจ มือที่กำลังจะนับเหรียญถึงกับหยุดค้างกลางอากาศ “เอ่อ... ปกติไม่มีใครซื้อของขนาดนี้นะ โดยเฉพาะของหายากสองอย่างพร้อมกัน...”


“ดีแล้วค่ะ งั้นจะได้ไม่ต้องมีใครมาแย่ง” เธอตอบเสียงเรียบ ไม่ได้มีรอยยิ้ม ไม่ได้มีน้ำเสียงเหน็บแนม มีเพียงความเรียบเฉยที่ทำให้คำพูดนั้นฟังจริงยิ่งกว่าคำล้อเล่น ชายหนุ่มรับเงินไปเงียบ ๆ ก่อนยื่นถุงขนกำมะหยี่กับกล่องขนนกอินทรีทองคำให้ “ยินดีที่ได้ทำธุรกิจด้วยแล้วกัน...” เขาพูดช้า ๆ เหมือนยังไม่หายตกใจ


คีอาร์รับถุงไว้ด้วยสองมือ ดวงตาเย็นเฉียบหันมาสบ briefly แล้วพยักหน้าเบา ๆ “ขอบคุณที่ทำธุรกิจด้วยกันค่ะ” น้ำเสียงนุ่ม สุภาพ แต่ทิ้งความเย็นไว้ชัดเจนพอที่จะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนพูดอยู่กับคนที่ไม่ต้องการเชื่อมสัมพันธ์ใด ๆ ทั้งนั้น เธอหันหลังให้โดยไม่รอคำตอบ เดินออกจากแผงอย่างมั่นคง ก้าวเท้าเรียบสม่ำเสมอ ขณะที่สายตาหลายคู่รอบตลาดยังคงจับจ้องร่างเธอราวกับเห็นใครสักคนกำลังใช้เศษเงินซื้อสมบัติของเทพ เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นเบา ๆ ในหมู่สมาชิก


“เด็กนั่นจ่ายสด... ไม่มีต่อเลยเหรอ?” 

“ห้าร้อยกว่าดรักม่า... เธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า?” 

“ไม่ใช่บ้าหรอก ดูท่ามีเงินเกินใช้...”


แต่คีอาร์ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เธอแค่ขยับกระเป๋าสะพายขึ้นให้อยู่ในตำแหน่งเดิมก่อนจะเดินไปตามเส้นทางออกของตลาด ลมพัดผ่านผมสีบลอนด์ทองแดงของเธอจนปลายผมฟาดเบา ๆ กับผ้าพันคอไหมพรมสีดำ เมื่อพ้นเขตประตูหินของตลาด ลมหนาวจากที่ราบสูงซานตาเฟก็ปะทะเต็มแรง กลิ่นซีดาร์ผสมกลิ่นหินแห้งลอยเข้ามาแทนกลิ่นโลหะและควันในตลาด เธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ให้ลมหนาวผ่านเข้าสู่ปอด รู้สึกได้ถึงความเย็นที่แทรกผ่านผิวจนถึงกระดูก


เธอเริ่มเดินกลับ เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นกรวดแห้งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ด้านหลังคือตลาดแลกเปลี่ยนที่ค่อย ๆ เลือนหายไปในเงาโค้งหิน ข้างหน้าคือตัวเมืองซานตาเฟที่เริ่มกลับมามีเสียงผู้คนอีกครั้ง ลมพัดแรงขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังติดตามเธออยู่เงียบ ๆ คีอาร์ก้มมองถุงกำมะหยี่ในมืออีกที สินค้าที่เธอเพิ่งซื้อทั้งหมดสะท้อนแสงอยู่ในนั้น ขนสีเงิน ขนนกทอง ทั้งหมดเงียบงันเหมือนเจ้าของมัน เธอยิ้มจางจนแทบไม่เห็น ก่อนจะพูดกับตัวเองเสียงเบาแทบจะกลืนหายไปกับสายลม


“อย่างน้อย วันนี้ก็คุ้ม…”




ซื้อของกลุ่มฟอลคอน
ขนกริมาลคิน ราคาชิ้นละ 40 ดรักม่า ซื้อ 10 ชิ้น = 400 ดรักม่า
ขนนกอินทรีทองคำ ราคาชิ้นละ 91 ดรักม่า ซื้อ 2 ชิ้น = 185 ดรักม่า
รวมเงินที่ต้องจ่าย = 582 ดรักม่า

แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
God
ดี: 5
  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 61684 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 61,684 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Ignis Anima  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 61,684 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 ความกล้า +7 ความศรัทธา จาก คมมีดวายุ  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 61,684 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความกล้า +9 ความศรัทธา จาก ลมกรด  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
คมมีดวายุ
ลมกรด
มีดสั้นสัมฤทธิ์
หอกกรีก
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โรคสมาธิสั้น
สัมผัสแห่งสายลม
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
น้ำหอม Unisex
กล่องดนตรี
ปากกาหมึกซึม
ต่างหูเงิน
แว่นตา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x10
x1
x1
x1
x4
x1
x1
x3
x10
x1
x2
x3
x1
x3
x8
x3
x3
x5
x5
x2
x2
x4
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้