
วันที่ 21 เดือน ธันวาคม ปี 2025
เวลาสาย เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ณ ร้านฟอลคอน ซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก
◀️┃▶️
คีอาร์เดินฝ่าทางเดินโค้งของซากเมืองเก่าสเปนที่ซานตาเฟด้วยจังหวะเท้าเรียบสงบ แสงแดดยามบ่ายสาดทาบผนังหินสีดินจนทุกอย่างกลายเป็นเฉดทองอบอุ่นที่ตัดกับเงาเย็นของโครงอาคารที่พังทลาย เสียงลมลอดผ่านช่องโค้งเก่าแก่ดังก้องเป็นจังหวะยาวเหมือนเสียงหายใจของอดีตกาล ท่ามกลางอุโมงค์หินนั้น เธอเห็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งยืนคุยกันอยู่ตามแนวทางเดิน เสื้อผ้าเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยรอยซ่อมแซมและคราบฝุ่นจากการฝึกฝนกลุ่มฟอลคอน คอมมูนิตี้ที่เธอเคยได้ยินแต่ชื่อ ตอนนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว
ในหัวของคีอาร์เริ่มประมวลข้อมูลอย่างเป็นระบบ เธอจำได้จากฐานข้อมูลของค่ายว่า ผู้นำของที่นี่คือ เวสลีย์ คาสเทลโล ลูกของซุสที่หายตัวไปจากเรดาร์ของโลกเดมิก็อดตั้งแต่ยุคธาเลีย เกรช เขาคือผู้ก่อตั้งฟอลคอน หลังจากเคยใช้ชีวิตเร่ร่อนและถูกโลกของเทพทอดทิ้ง เวสลีย์รวบรวมเด็กที่ไม่มีที่ไป ตั้งกลุ่มขึ้นจากศูนย์และสอนพวกเขาให้รอดในโลกที่ไม่เหลือเกราะป้องกันใด ๆ นอกจากความไว้เนื้อเชื่อใจและการพึ่งพากันเอง
กลุ่มนี้ไม่ใช่ค่าย ไม่มีกำแพง ไม่มีกฎของโอลิมเปียน แต่มีระบบ... ของตนเอง เธอคิดขณะเดินลึกเข้าไป ลมร้อนจากทะเลทรายปะทะผิวหน้าแล้วหายไปในวินาทีเดียว
คีอาร์สวมเสื้อไหมพรมสีส้มปักโลโก้ค่าย Camp Half-Blood ตัดกับแขนเสื้อถักสีดำที่คลุมไปจนถึงมือ เส้นผมสีบลอนด์ทองแดงสะท้อนแดดจนดูเหมือนเปลวไฟอ่อน ๆ พอเธอก้าวผ่านประตูโค้งแรก ดวงตาหลายคู่ก็หันมามอง บางคนหรี่ตามองโลโก้บนเสื้อ บางคนกระซิบกันเบา ๆ
“เธอมาจากค่ายฮาล์ฟบลัดเหรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเด็กหนุ่มร่างสูงผิวเข้ม เขาพิงกำแพงถือไม้คันธนูสั้นไว้ในมือ
คีอาร์เหลือบตามองเขา แล้วพูดเสียงเรียบแต่ชัด “ใช่ค่ะ”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนยิ้มแปลก ๆ “งั้นเหรอ ไม่ค่อยเห็นพวกค่ายมาที่นี่ด้วยตัวเองหรอก ปกติจะมีพวกคนกลางมาส่งของแทน”
“ฉันตั้งใจมาเอง” คีอาร์ตอบในโทนสุภาพราวกับพูดกับเจ้าหน้าที่รัฐ “อยากแลกเปลี่ยนซื้อทรัพยากรบางอย่างค่ะ ได้ยินว่าที่นี่จัดการเรื่องพวกนั้นเก่ง”
เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ก็ไม่บ่อยนักที่จะมีคนมาซื้อเองแบบนี้ เอาเถอะ เข้ามาข้างในก่อน เดี๋ยวฉันพาไปหาคนดูแลของกลาง” คีอาร์พยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินตามเข้าไปในลานด้านในของคอมมูนิตี้ ฟอลคอนไม่ได้ดูเหมือนฐานทัพหรือหมู่บ้านเลย มันคือส่วนผสมระหว่างที่พักพิงและสนามฝึกหัด มีบ่อเก็บน้ำตรงกลาง ล้อมด้วยอาคารหินครึ่งถล่มที่ถูกปรับเป็นห้องทำงาน ห้องเก็บอาวุธ และโรงตีเหล็ก เสียงค้อนกระทบโลหะดังก้องเป็นระยะพร้อมประกายไฟจากเตาหลอมที่จุดไว้ใกล้กำแพง
เธอเห็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังฝึกการหลบหลีกด้วยอาวุธจำลอง อีกกลุ่มกำลังนั่งคัดชิ้นส่วนจากอสุรกาย เขี้ยว แผ่นเกล็ด ผง เพื่อเตรียมส่งไปยังค่ายต่าง ๆ ทุกคนขยับตัวอย่างมีระบบ ไม่มีคำสั่งจากใคร แต่ดูเหมือนเข้าใจหน้าที่ของตนเองอย่างดี
คีอาร์หยิบโทรศัพท์เดดาลัสขึ้นมาดูข้อมูลซ้ำในหัว แผนที่ 3 มิติฉายบนหน้าจอแสดงจุดโครงสร้างหลักของชุมชน มีเส้นทางลำเลียงวัตถุดิบจากส่วนล่างของเมืองขึ้นมาสู่ลานกลาง และช่องเก็บเสบียงในอาคารที่หันหน้าไปทางตะวันตก ระบบนี้ออกแบบโดยมือของเดมิก็อดแน่ ๆ แม้จะไม่ใช่ช่างฝีมือระดับเฮเฟตัส แต่มีความเป็นระเบียบแบบที่เกิดจากคนเคยผ่านสนามรบ
ที่นี่ทำงานเหมือนรังนกเหยี่ยวจริง ๆ ทุกคนรู้จุดบินและรู้ทางกลับของตัวเอง
เด็กหนุ่มพาเธอเดินผ่านโค้งทางเดินอีกชั้นหนึ่ง ก่อนหยุดตรงหน้าประตูไม้บานใหญ่ที่ถูกแกะสลักเป็นรูปปีกเหยี่ยวกางออกครึ่งวงกลม เขาหันมามองเธอเล็กน้อย “รอก่อนนะ ฉันจะไปบอกคนข้างใน”
“ได้ค่ะ”
คีอาร์ยืนรอโดยไม่ขยับ ปลายนิ้วเย็นเฉียบจากอุณหภูมิของโลหะในอากาศ เธอมองซากหินที่ทอดยาวไปสุดทางเดินอีกด้าน เห็นเด็กหญิงผมสั้นในชุดหนังสีน้ำตาลกำลังผูกข้อมือเพื่อนชายที่แขนมีรอยข่วน รอยเลือดนั้นดูไม่ลึกมาก แต่เป็นภาพที่บอกได้ว่าชีวิตในที่นี่ไม่ได้ง่ายเลย
กลุ่มฟอลคอน…ไม่ใช่แค่รอด แต่ เติบโต ด้วยกฎของตัวเอง
“เข้ามาได้แล้ว”
คีอาร์พยักหน้ารับอย่างสุภาพ ก่อนก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่กลิ่นควันไม้และเหล็กหลอมปะปนกันไปเพื่อที่จะซื้อของ เสียงก้าวเท้าของคีอาร์สะท้อนเบา ๆ ไปตามพื้นหินที่ขรุขระ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะค่อย ๆ เผยออกมา ตลาดแลกเปลี่ยนโอลิมปัส ศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เดมิก็อดผู้ชำนาญศิลปะการล่าและการค้าใฝ่หา ทั้งในแง่ของทรัพยากร พลัง และความลึกลับที่แทบไม่เคยหลุดออกไปสู่โลกภายนอกได้
ลานกลางเปิดโล่งขนาดใหญ่ถูกล้อมด้วยซุ้มอาคารหินโค้งที่ผ่านการซ่อมแซมอย่างหยาบ ๆ แต่มั่นคง ผ้าผืนใหญ่สีแดงเข้มและเทาเงินถูกขึงเป็นเพดานชั่วคราวเหนือหัวเพื่อกันแดด เสียงเหล็กกระทบกัน เสียงคนต่อรองราคา และเสียงหวีดเบา ๆ ของพลังเวทจากของบางชิ้นผสมปนอยู่ในอากาศจนแทบแยกไม่ออก กลิ่นแปลก ๆ ของกำมะถัน ควัน เหล็ก และสมุนไพรทำให้บรรยากาศดูเหมือนตลาดโบราณในตำนานกรีกที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
คีอาร์หยุดอยู่ตรงทางเข้า มองรอบตัวอย่างนิ่งและมีระเบียบ สายตาไล่ผ่านแผงวางของที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบหายากระดับที่แม้แต่ค่ายฮาล์ฟบลัดเองก็อาจมีไม่ครบ เธอยกมือแตะแว่นบนสันจมูกอย่างเคยชิน สายตาสีเทาอมเขียวสะท้อนประกายไฟจากเตาหลอมใกล้ ๆ ขณะเดินเข้าไปในโซนสินค้าหลัก โต๊ะไม้ยาวเรียงรายเต็มพื้นที่ แต่ละโต๊ะมีแท่นแก้วหรือกล่องโลหะวางเรียงไว้ ข้างในบรรจุสิ่งของที่แทบจะดูไม่ออกว่าเกิดจากธรรมชาติหรือเวทมนตร์กันแน่
ชิ้นแรกที่เธอเห็นคือผงพิษของอิมฟ์ผงละเอียดสีม่วงเข้มที่สะท้อนแสงได้ทุกครั้งที่มีคนเดินผ่าน มันดูงดงามเกินกว่าจะเป็นสิ่งอันตราย แต่กลิ่นฉุนที่แสบจมูกเพียงแตะปลายลมหายใจเดียวก็ทำให้รู้ว่า... ถ้าเข้าใกล้เกินไปคงไม่จบแค่จาม เธอก้มมองฉลากที่เขียนไว้ข้างกระปุก ใช้เพียงผงเดียวก็สามารถทำให้ม้าเซนทอร์ขนาดเต็มตัวมึนงงได้นานสามนาที คีอาร์ย่นคิ้วนิด ๆ “เหมาะกับใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น” เสียงเธอเบาแทบไม่ต่างจากการคิดในใจ
ถัดไปคือหัวใจซาลาแมนเดอร์ที่ถูกวางไว้ในกล่องแก้วทรงกลมภายใต้การปิดผนึกเวท มันเต้นอย่างช้า ๆ จริง ๆ เหมือนยังมีชีวิต แสงสีส้มภายในเรืองขึ้นลงตามจังหวะนั้นราวกับกองไฟหายใจ คีอาร์มองมันเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ความร้อนแผ่ออกมาจนรู้สึกได้แม้ไม่เปิดฝา เธอคิดในใจว่า ถ้านำมาเป็นแหล่งพลังให้ชุดพลังงานต้นแบบได้ มันคงสามารถรักษาอุณหภูมิได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าละมั้ง…
คีอาร์เดินต่อไปยังอีกมุมหนึ่ง เห็นขนจิ้งจอกขาว เรียงเป็นพวงในตะกร้าไม้ กลิ่นหอมจาง ๆ คล้ายดอกพีโอนีแตะปลายจมูก มันขาวบริสุทธิ์จนแทบสะท้อนแสง ดวงตาของคีอาร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมปลายนิ้วสัมผัสอย่างระมัดระวัง ความนุ่มของมันละเอียดจนแทบละลายไปกับผิวมือ ถัดไปคือหนังอัคลัตที่ขึงอยู่บนโครงไม้ขนาดใหญ่ ลวดลายคล้ายเกล็ดปลาผสมโลหะ เธอเอียงหน้าเล็กน้อย มองดูความหนาแน่นของชั้นผิว “ถ้าใช้สร้างเกราะได้ คงกันกระสุนได้สบาย” เธอพึมพำเบา ๆ
เสียงกระทบกันของเหล็กดังขึ้นจากอีกแผงหนึ่ง ขนกริมาลคิน ขนแมวสีเงินแวววาวถูกวางเรียงในถุงกำมะหยี่เล็ก ๆ เธอยิ้มบาง ๆ นึกถึงคำเล่าลือว่าเจ้าสัตว์พวกนี้มีนิสัยเย่อหยิ่งไม่ต่างจากแมวธรรมดา แผงถัดไปกรงเล็บเฮลฮาวนด์สีดำขลับวางเรียงอยู่ในกล่องโลหะ เส้นแสงบางจากภายในดูราวกับมันยังเก็บกลิ่นกำมะถันไว้ได้ เธอไม่เข้าไปใกล้เกินไปนัก เพราะรู้ดีว่ามันยังมีพลังเวทตกค้างอยู่ เมื่อเดินผ่านแต่ละแผง เธอเห็นสินค้าหลากหลายจนรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่แค่ตลาด แต่คือพิพิธภัณฑ์แห่งโลกเดมิก็อด ทั้ง กระดองคาร์คินอส ขนาดเท่าประตูบ้านที่มันวาวดั่งโลหะผสม, น้ำมันคบเพลิงของแลมพาเดสที่เรืองแสงในขวดแก้ว, ปีกปีศาจเจอร์ซีย์ที่พับเก็บไว้ใต้ผ้าดำ, และแม้แต่ชิปประมวลผล AI ที่มีตราประทับของอาวุธ
คีอาร์หยุดนิ่งอยู่นานเมื่อมองเห็นสิ่งสุดท้าย ดวงตาเฟนริลมันถูกวางไว้ในโหลแก้ว มีแสงแดงเข้มกระพริบเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนยังมองกลับมาได้ทุกเมื่อ
“ของระดับกลางและสูงทั้งหมดเลยนะ” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
คีอาร์หันไปช้า ๆ เห็นชายร่างสูงสวมชุดหนังดำสะพายหอกสั้นไว้ข้างหลัง เขายิ้มเล็ก ๆ อย่างคนที่ดูออกว่าเธอไม่ใช่แค่คนมาเดินเล่น “... แล้ววันนี้มีอะไรดี ๆ ให้พวกเราหรือแค่มาดูของ?” คีอาร์ดันแว่นขึ้นนิดหนึ่ง “ทั้งสองค่ะ”
อีกฝ่ายหัวเราะเบา “ตรงดีแฮะ งั้นยินดีต้อนรับสู่ตลาดแลกเปลี่ยนโอลิมปัส คุณลูกค้าใหม่จากค่ายฮาล์ฟบลัด ถ้าเธอมีของดี ฉันมั่นใจว่าเวสลีย์จะอยากพบแน่ ๆ”
ทันทีที่อีกฝ่ายบอกคีอาร์ไม่ได้แสดงสีหน้าหรือท่าทีลังเลแม้แต่น้อยเมื่อเอ่ยเสียงเรียบตามบุคลิกอันสุขุม “ไม่อยากพบหรอกค่ะ ฉันไม่อยากพบใครมากตอนนี้” คนขายที่ยังยืนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มผิวเข้มคนเดิม ชะงักไปนิด เหมือนจะถามต่อแต่เลือกกลืนคำไว้เมื่อเห็นแววตาสีเทาอมเขียวที่นิ่งเฉียบจนไม่เปิดช่องสนทนาใด ๆ
คีอาร์ก้มมองโต๊ะไม้ตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะชี้นิ้วเรียวยาวไปยังถุงกำมะหยี่เล็ก ๆ ที่บรรจุขนกริมาลคิน ขนสีเงินนุ่มละเอียดที่สะท้อนแสงคล้ายเส้นไหม เธอพูดสั้น ๆ แต่ชัดเจน “เอานี่สิบชิ้นค่ะ” มือของพ่อค้าขยับหยิบตามจำนวน ขณะเธอก็เหลือบไปยังกล่องแก้วอีกด้านที่บรรจุขนนกอินทรีทองคำอยู่ข้างใน มันเปล่งประกายราวกับแสงจากท้องฟ้าเองกำลังหายใจอยู่ในนั้น “แล้วก็อันนั้น... สองชิ้นค่ะ”
เขาเงยหน้าขึ้น “ขนนกอินทรีทองคำ?” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกใจปนไม่แน่ใจ “ราคาชิ้นละเก้าสิบเอ็ดดรักม่านะ คุณแน่ใจ—”
“แน่ใจค่ะ” เธอตอบก่อนจบประโยค น้ำเสียงเย็นเรียบไร้แววลังเล มือเรียวควักถุงเงินผ้ากำมะหยี่ออกจากกระเป๋าสะพาย แล้วเทเหรียญเทองขึ้นเงาวางลงบนโต๊ะ เสียงกระทบของโลหะดังแผ่วแต่ชัดในความเงียบที่คนรอบข้างเริ่มหันมามอง
คีอาร์นับเร็วและแม่นยำเหมือนเครื่องคิดเลข “ห้าร้อยแปดสิบสองดรักม่า” เธอพูดขึ้นอย่างราบเรียบ ก่อนดันเหรียญทั้ง 582 ดรักม่า ไปทางคนขายโดยไม่แม้แต่จะขอส่วนลด
พ่อค้ากะพริบตาอย่างไม่แน่ใจ มือที่กำลังจะนับเหรียญถึงกับหยุดค้างกลางอากาศ “เอ่อ... ปกติไม่มีใครซื้อของขนาดนี้นะ โดยเฉพาะของหายากสองอย่างพร้อมกัน...”
“ดีแล้วค่ะ งั้นจะได้ไม่ต้องมีใครมาแย่ง” เธอตอบเสียงเรียบ ไม่ได้มีรอยยิ้ม ไม่ได้มีน้ำเสียงเหน็บแนม มีเพียงความเรียบเฉยที่ทำให้คำพูดนั้นฟังจริงยิ่งกว่าคำล้อเล่น ชายหนุ่มรับเงินไปเงียบ ๆ ก่อนยื่นถุงขนกำมะหยี่กับกล่องขนนกอินทรีทองคำให้ “ยินดีที่ได้ทำธุรกิจด้วยแล้วกัน...” เขาพูดช้า ๆ เหมือนยังไม่หายตกใจ
คีอาร์รับถุงไว้ด้วยสองมือ ดวงตาเย็นเฉียบหันมาสบ briefly แล้วพยักหน้าเบา ๆ “ขอบคุณที่ทำธุรกิจด้วยกันค่ะ” น้ำเสียงนุ่ม สุภาพ แต่ทิ้งความเย็นไว้ชัดเจนพอที่จะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนพูดอยู่กับคนที่ไม่ต้องการเชื่อมสัมพันธ์ใด ๆ ทั้งนั้น เธอหันหลังให้โดยไม่รอคำตอบ เดินออกจากแผงอย่างมั่นคง ก้าวเท้าเรียบสม่ำเสมอ ขณะที่สายตาหลายคู่รอบตลาดยังคงจับจ้องร่างเธอราวกับเห็นใครสักคนกำลังใช้เศษเงินซื้อสมบัติของเทพ เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นเบา ๆ ในหมู่สมาชิก
“เด็กนั่นจ่ายสด... ไม่มีต่อเลยเหรอ?”
“ห้าร้อยกว่าดรักม่า... เธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่บ้าหรอก ดูท่ามีเงินเกินใช้...”
แต่คีอาร์ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เธอแค่ขยับกระเป๋าสะพายขึ้นให้อยู่ในตำแหน่งเดิมก่อนจะเดินไปตามเส้นทางออกของตลาด ลมพัดผ่านผมสีบลอนด์ทองแดงของเธอจนปลายผมฟาดเบา ๆ กับผ้าพันคอไหมพรมสีดำ เมื่อพ้นเขตประตูหินของตลาด ลมหนาวจากที่ราบสูงซานตาเฟก็ปะทะเต็มแรง กลิ่นซีดาร์ผสมกลิ่นหินแห้งลอยเข้ามาแทนกลิ่นโลหะและควันในตลาด เธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ให้ลมหนาวผ่านเข้าสู่ปอด รู้สึกได้ถึงความเย็นที่แทรกผ่านผิวจนถึงกระดูก
เธอเริ่มเดินกลับ เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นกรวดแห้งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ด้านหลังคือตลาดแลกเปลี่ยนที่ค่อย ๆ เลือนหายไปในเงาโค้งหิน ข้างหน้าคือตัวเมืองซานตาเฟที่เริ่มกลับมามีเสียงผู้คนอีกครั้ง ลมพัดแรงขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังติดตามเธออยู่เงียบ ๆ คีอาร์ก้มมองถุงกำมะหยี่ในมืออีกที สินค้าที่เธอเพิ่งซื้อทั้งหมดสะท้อนแสงอยู่ในนั้น ขนสีเงิน ขนนกทอง ทั้งหมดเงียบงันเหมือนเจ้าของมัน เธอยิ้มจางจนแทบไม่เห็น ก่อนจะพูดกับตัวเองเสียงเบาแทบจะกลืนหายไปกับสายลม
“อย่างน้อย วันนี้ก็คุ้ม…”