27.07.2025 | 11:20 AM
ภารกิจที่ยาวนานและน่าปวดหัวได้สิ้นสุดลง, ทิ้งไว้เพียงความเหนื่อยล้าที่กัดกินลึกไปถึงกระดูกและความพึงพอใจที่ได้ปิดฉากมันลงได้สำเร็จ ใครจะไปคาดคิดว่าการกลับมาค่ายในครั้งนี้, เขาจะต้องหอบของพะรุงพะรังกลับมาด้วยราวกับเป็นคนบ้าหอบฟาง—กล่องสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่, หมวกเกราะของบุตรแห่งโลกิ, และสินสงครามในกระเป๋าเป้—สมบัติที่ได้มาอย่างยากลำบากเหล่านี้ทำให้ทุกย่างก้าวของเขาหนักอึ้งกว่าปกติ
เมื่อเขาเปิดประตูเคบินหมายเลขสิบเก้าเข้าไป, ความเงียบและไอเย็นที่คุ้นเคยก็โอบล้อมกาย, เป็นการต้อนรับที่เขาโหยหา แต่แล้ว, เขาก็หยุดชะงัก
มีคนอยู่ในโถงหลัก
หญิงสาวหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ใจกลางห้อง, เธอกำลังพิจารณาการตบแต่งภายในของเคบิน เรือนผมสีทองคำอร่ามของเธอสะท้อนแสงสีทองอ่อนจางของยามเช้าที่ไม่มีวันสิ้นสุดจนดูเหมือนจะเรืองแสงได้ในตัวเอง, และอาภรณ์ที่ดูเรียบง่ายของเธอกลับดูเหมือนมีเวทมนต์แฝงอยู่
คงจะเป็นพี่น้องต่างแม่คนใหม่ที่เพิ่งถูกอ้างสิทธิ์กระมัง…ดาชิคิดในใจ, ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เขาตั้งท่าจะเดินผ่านหล่อนไปอย่างเงียบๆ, มุ่งหน้าไปยังห้องนอนของตัวเองเพื่อทิ้งสมบัติทั้งหมดนี้ลงบนเตียง
แต่แล้ว, เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น, หยุดทุกการกระทำของเขาลงในทันที
"เจ้าทำได้ดีมาก…แอ็กเซล"
มันคือน้ำเสียงที่ทั้งหวานล้ำและก้องกังวานราวกับเสียงเหรียญทองที่ตกกระทบกันในห้องโถงที่เงียบสงัด เป็นเสียงเดียวกับที่เขาได้ยินกระซิบในโถงบูชา
ร่างของบุตรแห่งไทคีแข็งทื่อไปในทันที ข้าวของในอ้อมแขน…ทั้งหมดดูเหมือนจะหนักอึ้งขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล, ถ่วงให้ขาของเขาติดอยู่กับพื้น
สตรีผมทองหันกลับมา, และในที่สุด, เขาก็ได้เห็นใบหน้าของหล่อน—ใบหน้าที่เขาเคยเห็นเพียงแค่ในรูปสลักหินอ่อนที่เย็นเฉียบ, แต่บัดนี้กลับมีชีวิต, มีเลือดเนื้อ, และกำลังแย้มยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่ทั้งงดงามและคาดเดาไม่ได้, เป็นรอยยิ้มของเทพีแห่งโชคชะตาที่กำลังพึงพอใจกับผลงานของแชมเปี้ยนคนโปรด
เครื่องจักรที่ทำงานด้วยตรรกะและสติปัญญาในหัวของเขา…พลันหยุดชะงักลงอย่างสมบูรณ์ ภาพของผู้หญิงคนนี้ทับซ้อนกับรูปสลักที่เขาเคยไปนั่งปรับทุกข์และต่อว่ามาตลอดหลายสัปดาห์ ทุกคำพูด, ทุกการทดลอง, ทุกการกระทำที่เขาเคยทำ…มันไม่ได้ถูกส่งไปในความว่างเปล่า
แต่กลับถูกรับฟังโดยผู้หญิงคนนี้มาโดยตลอด
เขาไม่เคยคิด…ไม่เคยคาดหวัง…ว่าจะได้เจอตัวเป็นๆ ในเร็ววันนี้
"ความเป็นอยู่ของเจ้า…คงจะวุ่นวายน่าดูสินะ" หล่อนเอ่ยถาม น้ำเสียงยังคงความขบขันไว้อย่างไม่ปิดบัง สนุกกับปฏิกิริยาที่หาได้ยากของบุตรชายที่ปกติจะเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
บุตรแห่งโชคชะตาพยายามจะเอ่ยคำใดคำหนึ่งออกมา, แต่ริมฝีปากของเขากลับแห้งผาก, และคำพูดที่เคยถูกเรียบเรียงไว้อย่างดีในหัวก็พลันหายไปจนหมดสิ้น เขารู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่ากำลังทำอะไรผิด, เหมือนผู้เล่นที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเจ้าของคาสิโนเฝ้ามองเขามาตลอดทั้งเกม
เขาทำได้เพียงแค่ยืนนิ่ง อึ้ง ทำอะไรไม่ถูก และในที่สุด…คำพูดคำเดียวที่เขาเค้นออกมาได้ก็คือสรรพนามที่สุภาพแต่กลับสร้างระยะห่างที่ไกลสุดขอบฟ้า
"…คุณ”
รอยยิ้มที่มุมปากของเทพีแห่งโชคชะตากว้างขึ้นเมื่อเห็นปฏิกิริยาที่หาได้ยากนั้น หล่อนหัวเราะในลำคอเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเหมือนเสียงกระดิ่งลมที่ทำจากทองคำ
"โอ้...ดูเหมือนว่าเจ้าจะสับสนและมีเรื่องมากมายที่จะพูดสินะ" หล่อนกล่าว, น้ำเสียงยังคงความขบขันไว้อย่างไม่ปิดบัง "แต่ถ้ายังเรียบเรียงไม่ได้ในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร"
"นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน…เอาไว้ครั้งหน้าเมื่อเจ้าพร้อมกว่านี้ก็ได้"
ไทคีเหลือบมองไปยังข้าวของที่บุตรชายของหล่อนกำลังกอดไว้แน่นในอ้อมแขน—สมาร์ทโฟน, หมวกเกราะ, และกระเป๋าเป้ที่ดูหนักอึ้ง "แต่ก่อนอื่น…ดูเหมือนว่าเจ้าจะต้องการที่เก็บ 'สมบัติ' พวกนี้ดีๆ เสียก่อนนะ"
"ข้าทำห้องเก็บสมบัติให้ดีกว่า...ถือเป็นของรับขวัญ..." หล่อนกล่าว "เจ้าจะได้ไม่ต้องคอยหอบอะไรไปมาเหมือนคนบ้าอีก"
สมองของบุตรแห่งโชคชะตาที่เคยหยุดทำงานไปเริ่มกลับมาประมวลผลอีกครั้ง, แต่มันก็ยังคงช้าและติดขัด เขามองหน้าของสตรีผู้เป็นมารดา, คำพูดมากมายที่เขาเคยอยากจะพูด…บัดนี้กลับหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงคำขอบคุณที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
"...ขอบคุณครับ"
ไทคีพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาหาเขาอย่างนุ่มนวล
ร่างสูงของดีลเลอร์แห่งค่ายฮาฟบลัดยังคงแข็งทื่อ ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย ขณะที่อ้อมแขนที่ดูบอบบางแต่กลับแฝงไว้ด้วยอำนาจที่มองไม่เห็นของเทพีแห่งโชคชะตาโอบรอบตัวเขาอย่างแผ่วเบา มันไม่ใช่การกอดที่อบอุ่น แต่เป็นการสัมผัสที่ทั้งใกล้ชิดและห่างเหินในเวลาเดียวกัน เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของที่ไร้คำพูด
"สิ่งที่เจ้าต้องทำนับจากนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น" หล่อนกระซิบข้างหูของเขา, น้ำเสียงหวานล้ำของหล่อนส่งตรงเข้าไปในจิตวิญญาณที่กำลังสับสนวุ่นวาย
"จงถวายสินสงครามจากอสูรกายเจ็ดตนมา…แล้วทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางเอง"
สิ้นคำพูดนั้น, ร่างของหล่อนก็ไม่ได้หายวับไป, แต่กลับค่อยๆ โปร่งแสงและสลายกลายเป็นละอองแสงสีทองอร่าม, เหมือนกับฝุ่นผงของอสูรกายที่เขาเพิ่งจะปราบมา, แล้วจางหายไปกับอากาศที่เย็นเฉียบ, ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมจางๆ