แสงแดดอ่อน กำลังเลื้อยผ่านอยู่ที่ตรงบริเวณผ้าม่านโปร่งแสง ภายในห้องใต้หลังคา และถึงแม้ว่าในเวลานี้จะเป็นยามค่ำตามเวลาปกติ ที่ระบุบ่งบอกไว้ภายในนาฬิกา แต่ทว่าในตอนนี้และเวลานี้ฟากฟ้าก็ยังคงส่องแสงเรืองรองด้วยประกายแห่งพระอาทิตย์ที่ไม่มีวันยอมลาลับขอบฟ้าไป เงาของมันกำลังค่อยๆ เริ่มทำการทอดยาวราวมืออันอ่อนโยนจากฟากฟ้า กำลังเอื้อมมาทำการลูบไล้ ที่ตรงบริเวณใบหน้าของเด็กสาววัยสิบห้า ผู้ที่กำลังยืนสงบนิ่งอยู่ที่ตรงบริเวณเบื้องหน้ากระเป๋าเดินทางใบเก่า ด้วยดวงตาแน่วแน่แต่ซ่อนร่องรอยลังเล
หลังจากนั้นหญิงสาวตัวน้อยๆ อย่าง ฮิเมนา เฟร์นันเดช ก็ค่อยๆ ที่จะเริ่มทำการสะพายเป้ผ้าใบที่เต็มไปด้วยเศษเสี้ยวของหัวใจ ไม่ว่าจะเป็น ผ้าพันคอถักมือจากฤดูหนาวปีแรก สมุดบันทึกนักสืบที่เธอเขียนตอนอายุสามขวบ หมากรุกไม้ตัว 'ม้า' และภาพถ่ายเก่า ๆ กับพ่อผู้เป็นทุกสิ่งในชีวิต หลังจากนั้นเธอก็เริ่มที่จะค่อยๆ ทำการเปล่งน้ำเสียง พร้อม กับ เอ่ยคำพูดออกมาจากริมฝีปากบาง ของ ตัวเธอเองในทันทีว่า
“ถึงเวลาที่จิน่าจะต้องเดินทางออกไปตามหาคำตอบเสียที...” เสียงกระซิบของเธอ ในตอนนี้ และ เวลานี้มันช่างฟังดูเบาบางราว กับ ลมฤดูใบไม้ผลิ อย่างไรอย่างนั้น แต่ทว่าในทุกๆ คำพูด ของเธอกลับแฝงไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีความแน่นหนักดั่งคำสัตย์จากดวงวิญญาณ
และถึงแม้ว่าเวลานี้จะเริ่มใกล้เข้าสู่ช่วงเวลาเที่ยงคืนแล้วก็ตาม แต่ทว่าท้องฟ้าเหนือกรุงมอสโกก็ยังคงเต็มไปด้วยแสงสว่างเรืองรางราว กับ ช่วงเวลาในตอนยามบ่ายที่มีเมฆหนาปกคลุม ผืนป่าสนถูกห่มด้วยแสงแดดซีดจางราวน้ำหมึกเจือขาว ในเวลาต่อมาหญิงสาวตัวน้อยๆ อย่าง ฮิเมนาก็ค่อยๆ ที่จะเริ่มทำการคลี่ประตูที่อยู่ตรงบริเวณ ด้านข้างของคฤหาสน์ ให้กำการเปิดออกกว้างอย่างแผ่วเบา เรือนร่างบอบบางอรชร ของ เธอ ในเวลานี้ กำลังเล็ดลอดราวเงาแห่งราตรีในวันที่ไม่มีความมืด หลังจากนั้นเป็นระยะเวลาแค่เพียงไม่นานนัก ก็เริ่มเกิดเสียงคำรามต่ำแว่วดังผ่านมาจากตรงบริเวณเงาไม้ กิ่งสนค่อยๆ เริ่มทำการสั่นไหวอย่างช้าๆ ตามมาด้วยเสียงฝีเท้ากระแทกพื้นดินดังก้องเข้ามาใกล้ ราวกับโลกทั้งใบเริ่มตื่นขึ้นพร้อมเงาดำลึกลับ หลังจากนั้นหญิงสาวตัวน้อยๆ อย่าง จีน่า ก็ค่อยๆ เริ่มทำการเอ่ยคำพูดออกมาจากริมฝีปากบาง ของ ตัวเธอเแงว่า
“มันเจอฉันแล้ว...”
หลังจากนั้นเธอก็เริ่มหยุดที่จะทำการก้าวเรียวขาบางเดินทางไปต่อ จนเกิดเสียงตามมาดังขึ้นเบาๆ ว่า กึก หลังจากนั้นเธอก็ค่อยๆ เริ่มทำการเอื้อมมือไปทำการหยิบมีดสั้น นำออกมาจากตรงบริเวณรองเท้าบูท พร้อม กับ เริ่มทำการตั้งท่าแน่นดั่งนักรบเงียบ ร่างอสุรกายที่เธอกำลังมองเห็นอยู่ภายในตอนนี้ และ เวลานี้ มันมีความสูงประมาณสองเมตร ผิวดำเหมือนเงาควัน ลมหายใจแผ่ไอเย็นจัด และถึงแม้ว่าในตอนนี้ และ เวลานี้จะยังคงมีแสงแดดยังสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา แต่มันกลับคล้ายดูดกลืนแสงรอบตัวจนสิ่งรอบข้างมืดมัว
หลังจากนั้นหญิงสาวตัวน้อยๆ อย่าง ฮิเมนาก็ค่อยๆ เริ่มที่จะทำการเบี่ยงตัว พร้อมกับหมุนไปอยู่ที่ตรงบริเวณกลางอากาศอย่างสง่างาม ราวกับสายลมที่ฝึกฝนจากยิมนาสติกลีลาและคาราเต้ ก่อนที่ตัวเธอจะค่อยๆ เริ่มทำการฟันมีดเฉียงเข้าใส่แขน ของ อสุรกายเหล่านั้น อย่างเมามัน ต่อมาก็ค่อยๆ เริ่มเกิดปรากฎการณ์ที่มีแสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นมา หลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่าง ของ เจ้าพวกอสุรกายเหล่านั้น มัน ก็เริ่มที่จะผงะถอยหลังไป ด้วยเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนเป็นอย่างมาก และช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมา ทันใดนั้น ก็เริ่มมีวงเวทบางเรืองแสง ปรากฎขึ้นมาอยู่ที่ตรงบริเวณใต้ฝ่าเท้าเธอ พร้อม กับ ค่อยๆ เริ่มที่จะปรากฎอักษรโบราณขึ้นอยู่ที่ตรงบริเวณ บนท่อนแขนบาง ของ เธอ และอักษรเหล่านี้ ก็เริ่มที่จะทำให้พลังบางอย่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ภายในตัว ของ เธอตื่นขึ้นมาทีละนิด ทีละนิด อย่างช้าๆ หลังจากนั้นเธอก็ค่อยๆ เริ่มทำการเอ่ยคำพูด บางอย่างออกมาจากริมฝีปากบาง ของ ตัวเธอเอง ในทันทีว่า
“ในตอนนี้ฉันไม่ใช่เด็กธรรมดาอีกต่อไปแล้ว...” เธอพึมพำ เสียงเต็มไปด้วยแรงแห่งชะตาและแรงสั่นสะเทือนในหัวใจที่เพิ่งรับรู้
ในขณะที่เธอกำลังยืนหอบหายใจ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่นั้น แต่ทว่าจู่ๆ ก็เกิดมี ร่าง ของคนคนหนึ่ง ทำการวิ่งเข้ามาพุ่งชนเธอจากตรงบริเวณพุ่มไม้อย่างแรงเขาคนนี้เป็น ชายขาครึ่งแพะและเขากำลังยืนปรากฏตัวอย่างหล่อเทห์อยู่ที่ตรงบริเวณหน้าของเธอ เขามีขนสีเทาอ่อนที่ขา แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึก เหนื่อยล้าแต่เปี่ยมด้วยความจริงใจ และเขามีชื่อเสียงเรียงนามว่า เบย์ สโตนบรูค เป็น แซเทอร์ ที่เดินทางมาจาก ค่ายฮาล์ฟบลัดโดยตรง หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ เริ่มทำการเอ่ยคำพูด เพื่อทำการสนทนา กับ เธอออกมาในทันทีว่า
“เธอนะวิ่งเร็วใช้ได้เลยนะสำหรับเด็กอายุสิบห้า” ทันทีที่เขาได้ทำการเอ่ยคำพูดจบลง ก็พลางยืนหอบหายใจขณะใช้แขนปัดเศษใบไม้ออกจากขนแพะที่ขา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มที่จะทำการเอ่ยคำพูด เพื่อสนทนา กับ เธอต่อไปอีกหนึ่งประโยค ว่า “ฉันตามหาเธอมาเกือบสามเดือนแล้วนะรู้ไหม? โชคดีที่ยังเจอกันทันเวลานะ” หลังจากที่คำพูด ของ คุณเบย์ สโตนบรูค ได้ทำการเอ่ยจบลงไปได้เพียงแค่ไม่นานนัก หลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงสาวตัวน้อยๆ อย่าง จีน่า จะเริ่มค่อยๆ ทำการเปล่งน้ำเสียง และเอ่ยคำพูดออกมาจากริมฝีปากบาง ของ ตัวเธอเอง ออกมาในทันทีว่า
“คุณเป็น...อะไรกันแน่ค่ะ? แล้วทำไมคุณถึงมีขาเป็นแพะหล่ะค่ะ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่หนูรู้สึกสงสัยในตัว ของ คุณ ทำไมคุณถึงต้องตามหาฉัน?” หลังจากที่จบคำพูด ของ จีน่าลงไปได้เพียงแค่ไม่นานนัก คุณเบย์ สโตนบรูค ก็ค่อยๆ เริ่มทำการเปล่งน้ำเสียง และ เอ่ยคำพูด ตอบกลับคำถามนี้ ของ สาวน้อย อย่างจีน่า ออกไปในทันทีว่า
“ฉันคือแซเทอร์ เป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามจากค่ายฮาล์ฟบลัด เธอจะเรียกฉันว่าแมวมองก็ได้ แล้วก็ฉันถูกส่งมาเพื่อที่จะทำหน้าที่คุ้มกันเธอ...เพราะว่าในตอนนี้ และ ก็ในเวลานี้ชีวิตของเธอไม่ปลอดภัยแล้ว” หลังจากที่จบคำพูด ของ แซเทอร์หนุ่มลงไปได้แค่เพียงไม่นานนัก หลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่นาทีต่อมา สาวน้อยฮิเมนา ก็ค่อยๆ เริ่มทำการเอ่ยคำพูด เพื่อทำการสนทนากับเขาต่อด้วยประโยคทีว่า
“แล้วพวกมันเหล่านั้นคือตัวอะไรกันแน่หรอคะ? ฉันมองเห็นพวกมันแทบจะในทุกวันๆ ... และในบางครั้งพวกมันก็ดูเหมือนจะมีรูปร่างคล้ายคลึง กับ มนุษย์อยู่บ้าง แต่ในบางครั้งพวกมันก็จะมีรูปร่างที่ดูคล้ายคลึง กับ สัตว์อยู่บ้าง แต่ตา ของ ฉันที่มองเห็นพวกมัน กลับบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นธรรมดาทั่วไปจะมองเห็นรูปร่างอันแท้จริง ของ พวกมันได้” และหลังจากที่คำพูด ของ หญิงสาวตัวน้อยๆ ได้ทำการเอ่ยจบลงไปได้แค่เพียงไม่นานนัก คุณแซเทอร์หนุ่มสุดหล่อเหลา ก็ค่อยๆ เริ่มที่จะทำการเปล่งน้ำเสียง และ เอ่ยคำพูด เพื่อที่จะทำการพูดคุย กับ เธอต่อไป ด้วยประโยคที่ว่า
“นั่นล่ะ...เจ้าอสุรกาย เหล่านี้ พวกมันมีความสามารถพิเศษในการดมกลิ่น พวกมนุษย์ที่มีสายเลือด ของ ความเป็นลูกครึ่งเทพซ่อนอยู่ และก็สิ่งที่เธอควรรู้ไว้เกี่ยวกับเจ้าพวกนี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ พวกมันมีความมารถในการดมกลิ่นได้จากระยะทางไกล และในตอนนี้ร่างกาย ของ เธอก็เริ่มที่จะโตพอจะส่งกลิ่นให้พวกมันตามหาเจอแล้ว” หลังจากที่จบคำพูด ของ แซเทอร์หนุ่มลงไปได้เพียงแค่ไม่นานนัก หลังจากนั้นหญิงสาวตัวน้อยๆ ก็เริ่มที่จะทำการเอ่ยคำพูด และ ประโยคบางอย่างออกมาจากริมฝีปากบาง ของ เธอในทันทีว่า
“ลูกครึ่งเทพ? หมายความว่ายังไงกันแน่หรอคะ นี่ตัว ของ ฉันเป็นใครกันแน่เนี่ย?” หลังจากที่จบคำพูด ของ หญิงสาวตัวน้อยๆ ลงไปได้เพียงแค่ไม่นานนัก แซเทอร์หนุ่ม ก็ค่อยๆ เริ่มที่จะเอ่ยคำพูดออกมา พูดคุย กับ เธอต่อ ด้วยประโยคที่ว่า
“เธอคือเดมิก็อด ลูกผู้สืบเชื้อสายของเทพองค์ใดองค์หนึ่งจากโอลิมปัส... และเมื่อเธอเติบโตและมีอายุมากขึ้น ความสามารถพิเศษของเธอก็จะเริ่มเปิดเผยออกมาทีละอย่าง ทีละอย่าง และหลังจากนั้น โลกใบเดิมก็จะเริ่มพากันต่อต้านเธอ” พอหลังจากที่คำพูด ของ แซเทอร์หนุ่ม ได้ทำการเอ่ยจบลงไปได้แค่เพียงไม่นานนัก หลังจากนั้นหญิงสาวตัวน้อยๆ ก็เริ่มต้นที่จะทำการเอ่ยประโยค ประโยคหนึ่ง ออกมาจากริมฝีปากบาง ของ เธอในทันทีว่า
“หนูเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างที่คุณแซเทอร์เบย์ สโตนบรูค ได้ทำการอธิบายมาทั้งหมดแล้วนะคะแต่ทว่าฉันต้องกลับไปหาเขา... พ่อของฉัน เขาสมควรได้รู้ว่าฉันจะออกเดินทางไปที่ไหน” หลังจากที่สิ้นสุดคำพูด ของ หญิงสาวตัวน้อยๆ ลงไปได้แค่เพียงไม่นานนัก หลังจากนั้นคุณแซเทอร์ เบย์ สโตนบรูค ก็ค่อยๆ เริ่มทำการพยักหน้าเงียบ ๆ ก่อนที่เขาจะเป็นคนพาตัวเธอเดินทางกลับไปส่งยังตรงบริเวณคฤหาสน์อีกครั้งในยามเช้าซึ่งไร้ราตรีนั้นอีกครั้งหนึ่ง
และตอนนี้ภายในบริเวณห้องรับแขก ของ คฤหาสน์สุดหรูหรา เฟร์นันเดช พ่อของเธอกำลังนั่งรอเธออยู่ที่ตรงบริเวณโซฟากำมะหยี่ ราวกับเขารู้ทันว่าจะต้องมีวันนี้ รอยยิ้มบางบนใบหน้าเต็มไปด้วยความเข้าใจ และแววตาที่ฉายประกาย ของ ความเจ็บปวด แต่ก็แฝงความภาคภูมิใจ ในตัว ของลูกสาวคนนี้ ของ เขา กำลังปรากฏให้เธอได้เห็นแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น หลังจากนั้นผู้เป็นพ่อก็ค่อยๆ เริ่มที่จะทำการเปล่งน้ำเสียง และ เอ่ยคำพูดประโยคหนึ่ง เพื่อ พูดคุยสนทนา กับ ฮิเมนา หรือ เจน่า ลูกสาวสุดแสนรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ ออกมาในทีทีว่า
“จิน่า...ลูกรักของพ่อ” เขาเอ่ยชื่อที่ใช้เรียกเธอมาแต่เด็ก ดวงตาคู่นั้นชุ่มน้ำ หลังจากที่คำพูด ของ ผู้เป็นพ่อได้ทำการเอ่ยจบลงไปได้เพียงแค่ไม่นานนัก หลังจากนั้นหญิงสาวตัวน้อยๆ ก็เริ่มเอ่ยคำพูด ประโยคหนึ่ง ออกมาจากริมฝีปากบาง ของ เธอในทันทีว่า
“หนูต้องไปแล้วค่ะพ่อ... ไปในที่ที่หนูจะได้รู้ความจริงทุกอย่าง” น้ำเสียงของเธอในเวลานี้เต็มไปด้วยความสั่นเครือเล็กน้อย แต่มั่นคงดุจเปลวไฟเหมือนเช่นเคย หลังจากที่คำพูด ของ ลูกสาวตัวน้อย ได้ทำการเอ่ยจบลงไปได้แค่เพียงไม่นานนัก หลังจากนั้นผู้เป็นพ่อ อย่างนิโคไลก็ค่อยๆ เริ่มทำการก้าวเดินเข้ามาโอบกอดตัว ของ เธอเอาไว้อย่างแนบแน่น ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เอ่ยคำพูดบางประโยค ออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดู มีความสั่นเครือแต่ก็เต็มไปด้วยความมั่นคง ว่า
“ลูกต้องปลอดภัยกลับมาหาพ่อนะ... ต่อให้โลกทั้งใบจะเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหนก็ตาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ่ออยากให้ หนูรับรู้เอาไว้ก็คือ ไม่ว่าหนูจะอยู่ที่ไหนบนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลใบนี้ แต่หนูก็ยังเป็นลูกสาวที่รัก และ เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อคนนี้เสมอนะลูกรัก” หลังจากที่คำพูด ของ ผู้เป็นพ่อได้ทำการเอ่ยจบลงไปได้แค่เพียงไม่นานนัก วินาทีต่อมาหลังจากนั้นเธอก็ค่อยๆ เริ่มทำการเดินก้าวเรียวขาบางและไปทำการโอบกอดเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น ดวงตา ของ เธอในตอนนี้เริ่มเต็มไปด้วยความเปียกชื้น และก็มีรอยยิ้มบางๆ กำลังปะปน กับ รอยน้ำตาเต็มไปด้วยความรักที่ไม่มีสิ่งใดแทนได้ที่ถูกเผยและแสดงออกมาโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เธอจะค่อยๆ เริ่มทำการเปล่งน้ำเสียง และ เอ่ยคำพูด ออกมาจากริมฝีปากบาง ด้วยประโยคที่ว่า
“พ่อเชื่อมั่นในตัว ของ หนูใช่ไหมคะ?” หลังจากที่คำพูด ของ ลูกสาวได้ทำการเอ่ยจบลงไปได้แค่เพียงไม่นานนัก ผู้เป็นพ่อก็รีบตอบกลับลูกสาวตัวน้อยๆ ของ เขากลับไปด้วยคำพูดประโยคนี้ว่า
“พ่อเชื่อมั่นในตัวลูกสาวสุดที่รัก ของ พ่อคนนี้เสมอมา... และพ่อจะเชื่อมั่นในตัวของลูกสาวสุดที่รักคนนี้ตลอดไป” หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ เริ่มทำการวางมือแกร่งกำยำข้างหนึ่ง ของ ตัวเขาเองลงไปบนหัวเธอเบา ๆ ดั่งคำอวยพรสุดท้ายจากผู้ที่จะกางปีกโอบกอดและปกป้องภัยอันตรายทั้งหลาย ทั้งปวง ไปให้ กับ เธอตลอดชีวิต
หลังจากที่การอำลาระหว่างพ่อ และ ลูกจบลงไปได้อย่างงดงาม และก็เต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง กินใจ วินาทีต่อมาสาวน้อยฮิเมนาก็ค่อยๆ ทำการเดินหิ้วกระเป๋าสัมภาระ และเดินทางขึ้นไปนั่งอยู่บนรถตู้คันสีดำ ก่อนที่หลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่นาทีต่อมารถตู้สีดำคันนี้จะทำการวิ่งฉิวผ่านถนนเปียกฝนที่สะท้อนแสงแดดจากฟากฟ้าซึ่งไม่เคยมืด เดินทางออกจากตรงบริเวณคฤหาสน์เฟร์นันเดช เพื่อที่จะเดินทางไปยังสนามบินสนามบินนานาชาติเชเรเมเตียโวต่อไป ระหว่างนี้แซเทอร์อย่าง เบย์ก็เลือกที่จะนั่งอยู่เงียบ ๆ เคียงข้างเธอ ฮิเมนาเงยหน้ามองท้องฟ้า ราวกับกำลังล่ำลาอดีตทั้งหมดที่เธอกำลังรู้จักอยู่ และหลังจากนั้นแค่เพียงไม่นานนัก เมื่อพวกเธอเดินทางเข้ามาถึงภายในบริเวณ สนามบิน พวกเขาก็ทำตามขั้นตอนต่างๆ ดังต่อไปนี้:
เช็คอินที่เคาน์เตอร์สายการบิน
ตรวจหนังสือเดินทางและสัมภาระ
ตรวจสอบความปลอดภัยที่ด่านตรวจ
เดินเข้าสู่เกทด้วยหัวใจที่เต้นแรงราวระฆังแห่งโชคชะตา
พอเครื่องบินค่อยๆ เริ่มทำการทะยานขึ้นมาจากตรงบริเวณรันเวย์ ฝ่าอากาศโปร่งแสงเหนือมหานครที่ไม่เคยหลับใหล แสงแดดทาบไล้ผ่านหน้าต่างแม้เป็นเวลาหลังเที่ยงคืน ฮิเมนาแนบหน้าผากกับกระจกใส มองภาพโลกเก่าที่ค่อย ๆ ถอยห่างเธอออกไปทุกที ทุกทีอย่างช้าๆ พร้อม กับ เอ่ยคำพูดออกมา จากริมฝีปากบางว่า
“พ่อจ๋า... หนูจะทำให้พ่อภูมิใจ หนูสัญญา” เสียงของเธอถึงจะเต็มไปด้วยความแผ่วเบาราว กับ สายลมแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกหนักแน่นด้วยคำมั่นจากหัวใจ
หลังจากนั้นเธอก็ค่อยๆ เริ่มทำการหลับตา ลงอย่างช้าๆ ภาพความทรงจำต่าง ๆ ไล่เรียงเข้ามาในห้วงสำนึกภาพตอนที่เธอกำลังเล่นหมากรุกกับพ่อ ภาพของเสียงหัวเราะในยามเดินป่า และภาพของความเข้มแข็งจากคาราเต้ยามล้มแล้วลุก
หลังจากนั้นเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มก็ค่อยๆ เริ่มดังขึ้นมา แต่ทว่ามันไม่อาจกลบเสียงของหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง ดวงตาของเธอฉายแววกล้าแกร่ง และประกายแสงแห่งโชคชะตา
แหละนี่คือ เรื่องเล่าเพียงบทแรกของตำนานเด็กหญิงนามว่า ฮิเมนา เฟร์นันเดช ผู้ไม่ได้เกิดมาเพื่อเรียนรู้โลกเพียงอย่างเดียว... แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงมัน
และโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลใบนี้... กำลังรอคอยเธออยู่