ประวัติตัวละคร: ฮิเมนา เฟร์นันเดซ (จิน่า)
ค่ำคืนหนึ่ง ของ วันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2553 แสง ของ ดวงจันทร์เต็มดวงกำลังถูกราตรีบดบังด้วยม่านเมฆหนาทึบ ท้องฟ้าเหนือกรุงมอสโกนิ่งงัน ราวกับกำลังหยุดหายใจอยู่ดวงจันทร์ที่เคยเจิดจ้า เหลือเพียงแสงเรืองรองที่ลอดออกมาจากม่านเงา ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือน กำลังหลับใหลอยู่ภายในห้วงแห่งเวลาอันลึกล้ำ
ณ โรงพยาบาลกลางคลีนิก มอสโก บนถนนมาร์ชาลตีโมเซนโก ภายในบริเวณห้องคลอดอันเคยเปล่งเสียงร้องแห่งชีวิต บัดนี้กลับมีเสียงร้องแผ่วเบา ของ ทารกตัวน้อยๆ คนหนึ่ง กำลังดังก้องกังวานดังอยู่ท่ามกลางความเงียบ ของ รัตติกาล
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีเรือนร่างแสนบอบบาง กำลังนอนนิ่งอยู่ที่ตรงบริเวณเตียงเหล็กเก่าๆ พร้อม กับ มีผ้าห่มผืนเล็กๆ ปกคลุมร่างกาย ของ เธอไว้แต่ไม่มิดชิด ร่างกายของเด็กน้อยตัวเล็กในเวลานี้กำลังหนาวเหน็บจนเรือนร่างบางน้อยๆ ถึงกับสั่นสะท้านพร้อมกับค่อยๆ เริ่มมีหยาดน้ำตาไหลลงมาจากบริเวณหางตาเหมือน กับ สายฝนเยือกแข็ง ของ ช่วงฤดูหนาว ... แต่ทว่าโชคชะตา กลับไม่มีทางที่จะทอดทิ้งเธอไว้กับความเปล่าเปลี่ยว อย่างแน่นอน
เพราะว่าหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่นานนัก ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งได้ทำการเดืนก้าวเข้ามาภายในห้อง ผู้ชายคนดังกล่าวนั้น ก็คือ นิโคไล เฟร์นันเดช เขาเป็นชาวรัสเซีย ผู้มีสายเลือดสเปนอยู่ภายในจิตวิญญาณ และ สายเลือด เขาเพียงแค่เดินผ่านมา ด้วยเหตุบังเอิญแต่ในเมื่อสายตา ของ เขา ได้ทำการสบ กับ ดวงตาเล็กๆ คู่นั้น ทันใดนั้นเอง แววตาคู่นั้น ของ เด็กหญิงทารกน้อยในตอนนี้ กลับเต็มไปด้วยคำถามต่างๆ มากมาย ที่ไร้เสียง และ มันก็ทำให้ตัวของเขาเองกลับมีความรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง บางอย่าง ที่ใครหลายต่อหลายคนมีกจะเรียกกันว่า สายใยที่ไม่อาจตัดขาด
หลังจากนั้นเพียงแค่ไม่นานนัก นิโคไล ก็ค่อยๆ เริ่มทำการก้าวเดินเข้ามาหาเธอ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ เริ่มทำการอุ้มเธอขึ้นอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังประคองดวงจันทร์ดวงน้อยๆ เอาไว้ภายในอ้อมแขน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เริ่มทำการตั้งชื่อให้กับเธอว่า "จิน่า" ซึ่งเป็นชื่อที่เปล่งประกายออกมา จากหัวใจ ของ เขา และชื่อนี้ก็ยังมีความหมายว่า แสงสว่างเล็กๆ ท่ามกลางความมืด ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น วันเวลาก็ผ่านไปเป็นระยะเวลา 3 ปี ภายในบริเวณคฤหาสน์เก่าแก่ ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณป่าสน ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะดูเปลี่ยวเหงา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความรัก และ ความอบอุ่นอยู่เสมอ เด็กหญิงตัวน้อยๆ อย่างจิน่า เธอได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรัก ของ ผู้ชายคนหนึ่ง ที่พร้อมจะเป็นได้ในหลายสถานะหน้าที่ ให้ กับ เธอ ไม่ว่าจะเป็น ในสถานะหน้าที่ ของ พ่อ หรือว่าในสถานะหน้าที่ ของ แม่ หรือไม่ว่าจะเป็นในสถานะ ของ เพื่อน หรือ ในสถานะ ของ ผู้พิทักษ์ แต่ไม่ว่าชายหนุ่มอย่าง นิโคไลจะต้องทำหน้าที่เลี้ยง และ ดูแลจิน่า ไม่ว่าจะในสถานะใดก็ตาม เขาก็พร้อมที่จะทุ่มเททุกหยาดหยด ของ ชีวิต และ ร่างกายได้เพื่อเธอ และถึงแม้ว่าร่างกาย ของ เด็กหญิงตัวเล็กๆ อย่าง จิน่า จะอ่อนแอ และมีอาการเจ็บป่วยได้อย่างง่ายดาย แต่ผู้เป็นพ่ออย่างนิโคไล เขากับไม่เคยปล่อยมือเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าสิ่งที่เขาเลือกทำก็คือ เขาเลือกที่จะเฝ้ามองดูเธอเรียนรู้โลกใบนี้ และสำหรับเขาทุกๆ การเติบโต ของลูกสาวอย่างจิน่า ถือเป็นปาฏิหาริย์ที่ดีที่สุดในชีวิต ของ เขาเลยก็ว่าได้
เมื่อตอนที่ลูกสาว ตัวน้อยๆ ของ เขาจิน่า มีอายุได้ครบ 3 ขวบ
และต้องเข้าเรียน ที่ โรงเรียนอนุบาลดาราแห่งรัส ท่ามกลางต้นเบิร์ชขาวสะพรั่ง เธอได้พบ กับ เพื่อนรักทั้งหมด 3 คน ได้แก่
วาเรนิก้า วอลโควา เด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้มีความชื่นชอบ และ หลงใหลในงานศิลปะ
อีวาน เปตรอฟ เด็กชายที่มีนิสัยชื่นชอบในการตั้งคำถาม กับ ทุกๆ เรื่อง
ดาเนียล อันโตนอฟ เด็กชายจอมทะเล้น ผู้มีความชื่นชอบ และหลงใหลในเรื่องราว ของ การทำกลไกต่างๆ
แต่ในขณะเดียวกัน...ณ คฤหาสน์เก่าแก่ริมป่าสน จิน่ากำลังค้นพบสิ่งที่เด็กวัยสามขวบส่วนใหญ่อาจไม่เข้าใจ ความลุ่มหลงใน “การสืบสวน”
นิโคไล ผู้เป็นพ่อ เริ่มปลูกฝังเกมลับ ๆ ที่เขาเรียกว่า “เกมนักสืบเงา” ให้ลูกสาวตั้งแต่วัยยังไม่พ้นผ้าอ้อม ในคืนอันเงียบงัน เขาจะพับจดหมายลับใส่ขวดโหล ซ่อนไว้ตามจุดต่าง ๆ ทั่วบ้าน พร้อมเบาะแสชวนคิดเป็นโค้ดลับง่าย ๆ เช่น:
“เจอแมวเหมี๊ยวเมื่อวานนี้ อย่าลืมดูที่ขาเก้าอี้ใกล้เตาผิงนะลูกน้อย”
จิน่าตื่นเต้นทุกครั้งที่ต้องใช้แว่นขยายเล็ก ๆ ตามหารอยเท้า แม้จะเป็นรอยดินจากรองเท้าของพ่อก็ตาม เธอจะลากนิ้วผ่านผนังไม้เพื่อหาตัวอักษรที่ซ่อนด้วยชอล์กจาง ๆ และจดคำตอบลงใน “สมุดนักสืบ” ปกสีน้ำเงินเข้มที่นิโคไลเย็บเอง
ส่วนตัว ของ จิน่าเอง เธอก็เริ่มที่จะฉายแววอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ และ ภาษารัสเซีย และก็ในเรื่องราว ของ การสังเกตการณ์ที่มีความเหนือกว่าเด็กที่มีอายุในช่วงวัยเดียวกันจะมีได้ ราวกับว่าเธอเกิดมาเพื่อทำการไขปริศนาต่างๆ ของ โลกใบนี้เลยก็ว่าได้ แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ หมากรุก
เธอเริ่มเรียนรู้การเดินหมากจากนิโคไล ผู้วางกระดานไว้ทุกเย็นใต้แสงเทียนในห้องรับแขก จิน่าจะนั่งนิ่ง ราวกับนักวางกลศึกน้อยจ้องจับจังหวะ
“รูคไม่ควรเร่งเกมเกินไปนะลูก”
“แต่หนูแค่จะเปิดทางให้บิชอปเดิน”
“ลูกกำลังอ่านเกมเหมือนนักรบที่รู้จักสนามรบแล้วนะ”
สำหรับตัว ของ เด็กน้อย แล้วนั้นหมากรุกไม่ได้เป็นแค่เกมสำหรับเธอ แต่มันเป็นโลกเล็ก ๆ ที่สอนกลยุทธ์ ความอดทน และจังหวะแห่งชัยชนะหรือพ่ายแพ้ด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้เริ่มต้นก่อนที่เธอจะทันเอื้อมถึงขอบหน้าต่างได้ด้วยซ้ำ หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น ในตอนนี้เวลาก็ผ่านพ้นไปได้หลายปี จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ในวันนั้น ในตอนนี้ จิน่า มีอายุได้ประมาณ 7 ขวบ พอโตขึ้นมาอีกสักหน่อย แต่พ่อของเธอกลับเห็นว่าปัญญาต้องไม่แยกจากธรรมชาติและพละกำลัง
เขาจึงพาเธอ เดินป่า ทุกสุดสัปดาห์ ท่ามกลางต้นสนและหมอกบาง เธอเรียนรู้การใช้เข็มทิศ ฟังเสียงนก และดมกลิ่นไม้เปียกฝน
“ลูกต้องเดินเงียบพอ ถึงจะได้ยินเสียงของป่า” ในขณะเดียวกัน เธอเริ่มฝึก คาราเต้ กับอาจารย์ทาคาชิ ผู้สอนเธอให้เข้าใจว่า “พละกำลังที่แท้จริงอยู่ในใจที่มั่นคง”
จากนั้นมา เธอจึงเป็นทั้งนักเรียนผู้ใฝ่รู้ นักเดินป่าผู้เข้าใจเงียบ และนักสู้ผู้สงบงัน หลังจากนั้นเธอก็ได้ทำการย้ายไปศึกษาที่โรงเรียนประถมโปลยาน สกายา ที่นี่เธอได้พบปะและเจอเพื่อนใหม่ ดังต่อไปนี้
เซอร์เกย์ บารานอฟ สำหรับจิน่าเองแล้วนั้น มีความคิดเห็นที่มีต่อเพื่อนชายคนนี้ว่า เขาคือ หนอนหนังสือตัวจริง
อลิซา โคลิน่า สำหรับจิน่าเองแล้วนั้น มีความคิดเห็นที่มีต่อเพื่อนหญิงคนนี้ว่า เธอคือ สาวน้อยเสียงใสแห่งบทเพลง
นาสตยา มิคาเอลอฟ สำหรับจิน่าเองแล้วนั้น มีความคิดเห็นที่มีต่อเพื่อนหญิงคนนี้ว่า เธอคือ คู่หูผู้ร่วมถอดรหัสปริศนา
ส่วนตัว ของ จิน่าเอง ในช่วงเวลา และ ทุกๆ ปิดเทอม พ่อของเธอจะพาเธอบินสู่บาร์เซโลนา เพื่อไปทำการเยี่ยมเยียนคุณย่า ผู้ที่มีนิสัยทั้งน่ารัก และ ก็ดูอบอุ่น และยังเปี่ยมไปด้วยบทกลอนภาษาแคว้นกาตาลุญญา ทำให้จิน่าได้เรียนรู้ และ ก็ซึมซับภาษาสเปน พร้อม กับ หัดพูดและสนทนาจนคล่องแคล่ว และ ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
นอกเหนือจากเรื่องราวทางด้านวิชาการ แล้วนั้นเด็กหญิงตัวน้อยๆ อย่างจิน่า ก็ยังเริ่มต้นที่จะทำการฝึกฝนในเรื่องราว ของ การยินปืน การใช้มีดสั้น และก็ยิมนาสติกลีลา เธอเคลื่อนไหวราว กับสายลม เพราะว่า ในทุกๆ จังหวะ ของ ร่างกาย สำหรับเธอก็เปรียบเสมือน กับ บทกวีที่ไม่มีที่สิ้นสุด และมันทำให้เธอได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนเยาวชนในการแข่งขันกีฬาระดับประเทศ หลายต่อหลายรายการ และ ก็ยังคว้าถ้วยรางวัล กลับมาฝากผู้เป็นพ่อ และก็ คุณย่านับครั้งไม่ถ้วน
หลังจากเหตุการณ์ข้างต้น ได้ผ่านพ้นไปเป็นระยะเวลาค่อนข้างนานหลายปี ในตอนนี้เด็กหญิงตัวน้อยๆ อย่างจิน่า เริ่มโตเป็นสาววัยรุ่นแรกแย้มที่เต็มไปด้วย ความสวย และ น่ารักน่าเอ็นดู ตอนนี้เธอมีอายุได้ 15 ขวบ แต่ทว่าเธอจะขอเล่าย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์หนึ่งที่น่าจะเป็นเหตุการณ์สำคัญมากสำหรับ ชีวิต ของ เธอ ในตอนนั้นเธอมีอายุได้เพียงแค่ 12 ขวบ และก็เริ่มที่จะมองเห็น อสุรกายซึ่งสำหรับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ถือว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาด และ ก็เหนือธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง เธอพบเห็นเจ้าอสุรกายเหล่านี้ทั้งในห้องเรียน บนรถไฟ ใต้ดวงจันทร์ มันคอยจ้องและเฝ้ามองดูเธอจากทุกๆ สถานที่ ที่เธอเดินทางไป ด้วยสายตาที่หิวกระหาย มาจนถึงปัจจุบัน มันก็ยังคงตามไล่ล่าเธออยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ที่เมืองมอสโก กำลังมีฝนตกลงมา เธอกำลังเดินทางกลับบ้าน และ เดินผ่านตรงบริเวณตรอกแคบๆ ที่มีแสงไฟสลัวๆ เหมือนเช่นตามปกติ แต่ทว่าจู่ๆ ก็เกิดมีเสียงดังกรอบแกรบๆ ดังแทรกขึ้นมา กับ เสียงลม พร้อม กับ เงาดำ ที่กำลังเริ่มค่อยๆ ทำการเคลื่อนไหวร่างกาย ราวกับฝูงหมาป่า หรือ ว่าฝูงของไฮยีน่า ที่กำลังหิวกระหายเลือด เลยก็ว่าได้
ทันใดนั้นเอง เด็กหญิงอย่าง จิน่า ได้ทำการตัดสินใจ วิ่ง อย่างสุดเกียร์ไก่ กะต้ากๆ เธอวิ่งฝ่าดงพุ่มไม้ ก่อนจะค่อยๆ ทำการปีนไป่ข้ามประตูเหล็ก และม้วนตัวตีลังกาลงมาทรงตัวที่พื้นได้อย่างงดงาม แต่ทว่าก็ยังคงมีเสียงการเดิน ของ ฝีเท้า ซึ่งไม่ใช่เสียงการเดินจากฝีเท้า ของ เธอ แต่เป็นเสียงฝีเท้า ของ พวก มัน พวกอสุรกาย มันกำลังตามเธอมา ด้วยความรวดเร็ว เงียบงัน และก็หิวกระหาย ในตอนนั้นเองเด็กหญิงตัดสินใจที่จะทำการ วิ่งพุ่งชนเข้าไปในพุ่มต้นไม้หนา แต่ทว่า เธอกลับต้องกลิ้งแลัวตีลังกาหงายเก๋งอยู่ที่ตรงบริเวณกลางพื้น เพราะพุ่งชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่มีรูปร่างสูงใหญ่ มีขาครึ่งล่างเป็นขนแพะ และก็มีเขาโค้งเล็กๆ ที่ตรงบริเวณขมับ... และคนที่เธอชนเข้าอย่างจังในตอนนี้ เขามีชื่อว่าเบย์ สโตนบรูค แซเทอร์จากค่ายฮาล์ฟบลัด