[บันทึกการเดินทาง] - ช่วยเหลือรุ่นพี่อะธีน่าผู้ไม่เปิดเผยตัว

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-10-3 17:51





"Summer Mission – พารุ่นใหญ่ไปนอนรับลมทะเล"









“เดมิก็อดมันไม่มีวันสงบ ๆ ชิว ๆ เลยใช่ไหมเนี่ย?”

อยู่ดี ๆ ก็มีเทพมากระซิบบอกว่า “ไปช่วยรุ่นพี่ที่ริชมอนด์ที” ฟังดูง่าย ๆ ใช่ไหม? แต่เดี๋ยว… ทำไมมันถึงบานปลายกลายเป็นภารกิจพาคน ๆ หนึ่งไปส่งถึงท่าเรือแม็กซิโก?! และยังมีข้อแม้สุดโหดว่า “ห้ามให้พวกสายลับรัฐบาลรู้เด็ดขาด”


โอเค หนีอสูรกายก็ว่าเหนื่อยแล้ว นี่ยังต้องหนีสายลับอีก งานนี้ไม่รู้ว่าเราจะรอดจากเงื้อมมืออสูรกาย หรือจากน้ำมือรัฐบาลกันแน่


ถ้าการเดินทางครั้งนี้คือเส้นทางไปสู่วีรกรรม… ก็ขอให้มันจบแบบไม่ต้องนอนโรงพยาบาล (หรือคุก) ก็พอแล้วเถอะ!


คณะผู้ร่วมเดินทาง


(1) คูเปอร์ โจนส์

(2) เมเรซ บริโอเทียร์ เชอร์วาล

(3) เคย์ล่า เฮย์เดน



Description


"เอาล่ะ…ภารกิจนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ก็แค่พาคน ๆ หนึ่งไปให้ถึงแม็กซิโกโดยไม่ให้ใครรู้ตัว ไม่เจอมอนสเตอร์ ไม่โดนสายลับจับ ไม่ระเบิดอะไรกลางทาง…ง่ายจะตาย!


ไม่เป็นไร…แผนฉุกเฉินของเราคืออะไรนะ? อ๋อ ใช่! แผนฉุกเฉินของทีมเราคือ… วิ่งหน้าตั้งเวลาเจอพวกสายลับไง!"


By คูเปอร์… เด็กโข่งแห่งบ้านอะธีน่า



Description


“การเดินทางครั้งนี้ทำให้ฉันรู้ว่าชีวิตของเดมิก็อดไม่ต่างจากการเล่นเกมโชว์—คุณไม่มีวันรู้ว่าประตูไหนจะเปิดออกมาแล้วมีอสูรกายวิ่งใส่คุณ… หรือจะมีคูเปอร์ยืนอยู่พร้อมไอเดียสุดเพี้ยนอีกแล้ว

ไม่สิ…บางทียังไม่รู้ว่าอะไรน่ากลัวกว่ากันด้วยซ้ำ”


By เมเรซ… ผู้ชายที่ผมสวยที่สุดในค่ายฮาล์ฟบลัด



            






ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 11234 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-22 16:21
โพสต์ 2025-7-23 10:02:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-7-23 10:18

Activity Form



22/07/2025 11.00 . – 12.00 .

 

ปฏิบัติการค้นหารุ่นพี่ผู้ซ่อนเร้น

 

 

กาแฟลาเต้ที่เขาสั่งเมื่อเช้าก็ยังไม่หมดดี แต่คูเปอร์เริ่มสงสัยว่าตัวเองดื่มมันไปกี่อึกแล้วถึงยังอยู่ตรงโต๊ะเดิมได้ยาวนานขนาดนี้ เขานั่งอยู่มุมริมหน้าต่างของร้านชื่อ Coffee & Commonwealth ในเมืองริชมอนด์ที่มีชื่อแสนเก๋ราวกับหลุดมาจากหนังสายลับยุค 70 ร้านนี้มีความคลาสสิกอยู่ในตัว ทั้งกลิ่นกาแฟที่อบอวล เครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่าที่ยังใช้งานได้ และบาริสต้าที่สวมผ้ากันเปื้อนลายธงอังกฤษพร้อมหมวกเบเร่ต์ชวนให้นึกว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังส่งรหัสลับอยู่ก็เป็นได้

 

เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่มอีกคนที่ไม่ว่าจะหันไปมุมไหนก็ยังดูเหมือนหลุดมาจากปกแมกกาซีนแฟชั่นของฝรั่งเศส เมเรซ บริโอเทียร์ เชอร์วาลกับเส้นผมสีชมพูพาสเทลที่ดูเหมือนไม่เคยกระพือแม้ลมจะพัดแรงแค่ไหน และดวงตาคู่นั้นก็น่าจะสะกดใจอสูรกายได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้คำรามเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวกลับเอาแต่ดูดชาเขียวเย็นของตัวเองพลางเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อย ๆ โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา

 

“เราถูกส่งมาช่วยรุ่นพี่ที่อาจจะกำลังถูกตามล่าโดยทั้งสายลับอเมริกาและปีศาจในตำนาน แล้วเทพเจ้าก็ส่งเรามานั่งจิบลาเต้แทนที่จะวาร์ปไปกอดคอเธอหน้าประตูบ้านเลย” เจ้าของดวงตาสีเทาเปรยขึ้นเสียงเบา แต่ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแม้แต่น้อย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ขันประหลาด ๆ แบบที่ไม่รู้จะเรียกว่าชื่นชมในความโกลาหลหรือยอมแพ้ดี

 

“อาจเป็นกลยุทธ์” เมเรซตอบเรียบ ๆ พลางหยิบหลอดใหม่มาเสียบลงในแก้วชาด้วยท่วงท่าเหมือนดีไซเนอร์กำลังสเก็ตช์ร่างชุดคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ

 

คูเปอร์หัวเราะในลำคอ เอามือดีดฝุ่นเล็ก ๆ ออกจากแขนเสื้อเชิ้ต ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกปกหนังขึ้นมาวางบนโต๊ะ เปิดหน้าแรกที่เขาขีดเขียนรายละเอียดสั้น ๆ ไว้ด้วยหมึกสีดำ

 

ชื่อเป้าหมาย เคย์ล่า เฮย์เดน อดีตบรรณารักษ์รัฐสภาคนที่ 14 ปัจจุบันหลบหนีการจับกุมขององค์กรไม่ทราบชื่อ หลบซ่อนอยู่ในเมืองริชมอนด์ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวผิดปกติจากทั้งสายลับและอสุรกาย

 

คำสั่งคือ เข้าหาตัวเป้าหมายโดยไม่เป็นจุดสนใจ

 

ข้อห้าม: ไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงจนกว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ข้อควรระวัง: ต้องระวังอย่าประมาท อย่าเปิดเผยข้อมูลให้ใคร

 

เขายิ้มบางอย่างเอื่อยเฉื่อยขณะพลิกหน้าถัดไป มันเป็นแผนที่ของเมืองริชมอนด์พร้อมรอยปากกาสีแดงที่ขีดวงไว้ตรงบริเวณชานเมืองตะวันออก

 

“ฉันว่าเราเริ่มที่นี่ก่อนคืนนี้” ชายหนุ่มเจ้าของสมุดบันทึกเงยหน้าขึ้นมา เหลือบตามองเมเรซที่ยังคงเล่นโทรศัพท์เหมือนเบื่อโลก

 

“แถวนี้เต็มไปด้วยพวกปลอมตัวดีเกินมนุษย์ธรรมดา” เมเรซตอบโดยไม่ละสายตา “มีผู้ชายอายุห้าสิบใส่เสื้อฮู้ด เล่นเกมมือถือในร้านเบเกอรี่นั่นมา 2 ชั่วโมงแล้วโดยไม่ขยับตัวเลยสักนิด น่าสงสัยกว่าคุกกี้รสทูน่า”

 

“หืม คุกกี้รสทูน่านี่ฟังดูอันตรายกว่าพวกอสุรกายอีกนะ” เจ้าของประโยคนั้นพูดพลางวางแก้วลาเต้ลงเบา ๆ แล้วหันไปมองหน้าต่างที่สะท้อนเงาของผู้คนภายนอก

 

ฝั่งถนนตรงข้ามมีชายในชุดสูทสีกรมเดินผ่านหน้าร้าน เขาแสร้งอ่านหนังสือพิมพ์แต่กลับถือมันกลับหัว มือซ้ายถือกาแฟที่ไม่มีไอน้ำร้อนลอยออกมาแม้จะเป็นแก้วร้อนเสียด้วยซ้ำ

 

คูเปอร์ขยับแว่นตากันแดดลงมาคลุมดวงตาสีเทา แล้วหันไปพึมพำกับคนฝั่งตรงข้ามว่า “นายเห็นไหม ชายชุดสูทที่สามจากซ้าย พวกนั้นดูเป็นสายลับจริง ๆ มากกว่านักท่องเที่ยวหรือเจ้าหน้าที่ตรวจส้วม”

 

เมเรซเหลือบตาไปก่อนจะพูดว่า “เสื้อสูทตัดเย็บจากผ้าแคนวาสลายซาตินฝรั่งเศส รุ่นหายาก ราคาหลายพันเหรียญ ดื่มกาแฟแบบไม่แตะปากแก้ว...อืม สายลับจริงหรือเศรษฐีคลั่งแฟชั่นก็ยังไม่แน่ใจ”

 

“ก็ถือว่าอันตรายทั้งคู่นั่นแหละ” ผู้พูดวางสมุดลงแล้วหันกลับมาโฟกัสที่การวางแผนต่อ

 

ระหว่างนั้นประตูร้านเปิดออกอย่างเบา เสียงกระดิ่งกระทบกันดังกริ่งเบา ๆ หญิงสาววัยกลางคนในชุดกางเกงสแล็กสีเทากับเสื้อยืดสีเข้มเดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าถือเล็ก ๆ ที่ไม่เข้ากับเสื้อผ้าเลยแม้แต่นิด มันดูธรรมดาจนผิดปกติ และสิ่งที่ผิดธรรมชาติกว่านั้นคือท่าทางเดินที่เบาราวกับไม่ได้เหยียบพื้นจริง ๆ

 

เมเรซเหลือบตาให้ เขาไม่พูดอะไรแต่วางแก้วชาเขียวลงช้า ๆ นิ้วเรียวยาวแตะปลายโชคเกอร์ราวกับส่งสัญญาณ ซึ่งคนตรงข้ามก็เข้าใจทันทีโดยไม่ต้องพูดออกมา

 

"เธออาจเป็นหนึ่งในพวกนั้น"

 

เขาเหลือบไปมองหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง ทันใดนั้น เมเรซก็ย่นคิ้ว ไม่ใช่เพราะรำคาญ แต่เพราะเขารับรู้ถึงเจตนาบางอย่างที่แผ่ออกมาจากผู้หญิงคนนั้น

 

“เธอรู้ตัวแล้ว ว่าเรามองอยู่” เขาพูดเรียบ ๆ น้ำเสียงราวกระซิบแต่เพียงพอให้คนร่วมโต๊ะได้ยิน ดวงตาข้างขวาที่เป็นสีเทาเข้มขึ้นเรื่อย ๆ

 

ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีหม่นเทาเก็บสมุดลงกระเป๋าอย่างรวดเร็ว หยิบแว่นตาอีกอันออกมาสวมแทน แล้วพูดขึ้นมาเหมือนชวนคุยกันเล่น ๆ ว่า “งั้นไปจ่ายเงินแล้วเปลี่ยนร้านกันดีกว่า ฉันว่าร้านต่อไปน่าจะมีเค้กดีกว่า”

 

พวกเขาทั้งสองลุกขึ้นจากโต๊ะโดยที่ไม่มีใครหันหลังให้ทางประตูเลยแม้แต่วินาทีเดียว ก่อนจะเดินออกไปราวกับเป็นเพียงชายหนุ่มสองคนที่ออกมาเดินเล่นใต้แสงแดดที่ไม่มีวันลับขอบฟ้า

 

ความจริงคือพวกเขาเพิ่งเลี่ยงการปะทะกับคนที่อาจจะเป็นสายลับที่แฝงตัวมาอย่างแนบเนียน โดยไม่จำเป็นต้องชักหอกหรือทำอะไรให้มันเว่อร์วัง

 

 

แม้ว่าการจิบลาเต้ไปพร้อม ๆ กับวิเคราะห์การจารกรรมระดับประเทศอาจจะดูไม่ใช่งานในฝันของใครสักคน แต่สำหรับเขาแล้ว มันก็คล้ายกับการดูภาพยนตร์สนุก ๆ ที่คุณไม่มีวันรู้ว่าฉากถัดไปจะเจออะไร

 

 

พวกเขาเดินออกจากร้านคาเฟ่โดยไม่รีบร้อน ท่ามกลางเมืองที่เหมือนกำลังซ่อนห้วงลมหายใจของบางสิ่งบางอย่างไว้ใต้ท้องถนน แสงแดดยังทอประกายสะท้อนกระจกตึกแถวที่เรียงตัวกันเป็นแนว แต่ในสายตาคูเปอร์ ทุกเงามืดระหว่างซอกตึกนั้นอาจเป็นจุดที่ใครสักคนกำลังเฝ้าสังเกตอยู่ก็ได้ เขาขยับคอเสื้อเชิ้ตเล็กน้อย เหมือนกับว่ามันช่วยจัดสมาธิให้มั่นคงขึ้น

 

 

 

ตามที่เราวางแผนกันไว้” คูเปอร์เปิดบทสนทนาในขณะที่ยังไม่หยุดเดิน น้ำเสียงของเขาเบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน ไม่หลุดรอดไปยังไมโครโฟนล่องหนที่พวกสายลับรักอาจจะติดไว้ใต้กระถางต้นไม้ มือหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมหยิบมือถือเดดาลัส ที่กำลังเปิดภาพของหญิงชราผมสีดำ ภาพถ่ายของเคย์ล่า เฮย์เดน

 

เราจะแยกกันไปสืบหาเบาะแสบริเวณรอบ ๆ นี้ นายตรวจตามแนวถนนฝั่งตลาด ฉันจะขึ้นด้านบน แล้วใช้วิธีของฉันจัดการ... ถ้าเทพีอะธีน่าพาเรามาที่นี่จริง ก็แปลว่าเคย์ล่าต้องอยู่ไม่ไกลเกินระยะปาหิน…แบบคนขว้างเก่ง

 

 

เมเรซเหลือบตามองภาพนั้นก่อนจะเปล่งเสียงในระดับที่คนทั่วไปคงคิดว่าเขากำลังตำหนิแบรนด์เสื้อผ้าสักตัว "หวังว่าแม่นั่นจะไม่ตัดผมเปลี่ยนลุคไปเป็นสไตล์พังก์นะ ไม่งั้นฉันจะไม่ให้อภัยเลยจริงๆ"

 

"แค่เธอยังไม่ปลอมตัวเป็นกระถางต้นไม้หลบอยู่ในสวนหน้าบ้านก็บุญแล้ว" ชายหนุ่มหัวเราะน้อย ๆ ในลำคอ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยเมฆโปร่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ทว่าในแววตาสีเทาคู่นั้นกลับฉายแววของแผนการที่ซ่อนอยู่

 

เมเรซยักไหล่เบา ๆ มือเรียวยกแว่นกันแดดขึ้นเหน็บบนผมโดยไม่กลัวจะเสียทรง ก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบแต่มีน้ำหนัก “อย่าให้ฉันต้องมารับซากนายนะ

 

ถ้านายเห็นฝูงนกฮูกบินวนเหมือนงานแฟชั่นโชว์กลางฟ้า นั่นแปลว่าฉันยังไม่ตายแน่” คนพูดยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินลัดเลาะเข้าซอยข้างตึกแถวที่มีผนังปูนแตกร้าวกับป้ายโฆษณาที่หลุดห้อยแอ่นอยู่ปลายมุม

 

เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามหลัง คูเปอร์จึงหยุดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ริมลานร้าง เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนกิ่งไม้ที่ขดตัวซับซ้อนเหมือนใยสมองมนุษย์ จากนั้นก็ผิวปากเบา ๆ และทันทีที่เสียงนั้นจบลง ฝูงนกฮูกก็ปรากฏตัวขึ้นจากเงาไม้ ร่อนลงมาเงียบเชียบราวกับภาพฝันกลางวัน

 

เจ้าสัตว์ปีกเงียบสงบเหล่านี้มีหลากหลายขนาด บ้างเล็กเท่าแก้วกาแฟ บ้างใหญ่เกือบเท่าแมวบ้าน แต่ทุกตัวล้วนมีดวงตาคมกริบที่สะท้อนแสงจ้า พวกมันล้อมวงบนกิ่งไม้ ขอบรั้ว และหลังคารถบรรทุกร้างอย่างพร้อมเพรียงราวกับรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา

 

หวัดดีพวก” คูเปอร์ส่งเสียงทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “วันนี้ฉันมีภารกิจให้ช่วยหน่อย...เคย์ล่า เฮย์เดน จำชื่อไว้นะ ดูรูปให้ดี

 

เขาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดภาพหญิงชราในชุดสูทเรียบร้อย ใบหน้าเรียบเฉียบคม ดวงตาซ่อนแววเจ้าเล่ห์เหมือนคนที่อ่านหนังสือมาเกินหมื่นเล่ม และกำลังจะปิดเล่มที่หมื่นหนึ่ง

 

เธออยู่แถวนี้แน่ พวกนายแยกกันบิน สำรวจทุกจุดในรัศมีสามกิโล ถ้าเจอ...บินวนเป็นรูปแปดให้ฉันรู้ โอเคนะ” ชายหนุ่มยกคิ้วอย่างคาดหวัง

 

เหล่านกฮูกเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ตัวหนึ่งจะพยักหน้าช้า ๆ ซึ่งดูน่าประหลาดเพราะมันแฝงแววเข้าใจในแบบที่นกทั่วไปไม่ควรจะมี นกฮูกตัวหนึ่งส่งเสียง ‘ฮู้’ ขึ้นมาอย่างน่าเอ็นดู อีกตัวสะบัดปีกจนขนนุ่มปลิวร่วงลงมาแผ่วเบา แล้วพวกมันก็แยกย้ายกันออกไปอย่างคล่องแคล่ว บางตัวโฉบลงไปใกล้ตลาด บางตัวบินเหนือถนน บางตัวก็หายเข้าไปในร่มเงาของอาคารสูง จากนั้นฝูงนกก็ทะยานขึ้นฟ้าอย่างเงียบกริบ ละลายหายเข้าไปในแสงแดดที่ไม่มีวันลับขอบฟ้า

 

 

เมื่อเหล่าสหายมีขนบินออกไปแล้ว คูเปอร์ก็ก้าวเข้าไปหลังตึกที่มีเงาพอจะหลบมุมแสงได้ เขาหลับตา สูดลมหายใจลึก แล้วปล่อยให้พลังไหลผ่านร่างกาย

 

ร่างของเขาเริ่มเปลี่ยน ดวงตาสีเทากลายเป็นทรงกลมเล็ก ขอบทองละเอียด ผิวหนังกลายเป็นขนปุกปุยสีน้ำตาลเข้มที่ไล่เฉดอย่างสมบูรณ์แบบ ปีกกว้างแผ่จากแผ่นหลัง ร่างทั้งร่างค่อย ๆ หดเล็กลงจนนกฮูกตัวใหญ่ตัวหนึ่งร่อนลงแทนที่ชายหนุ่ม

 

เจ้านกฮูกหมุนคอครึ่งรอบแล้วเริ่มบินขึ้นฟ้า ปีกมันกระพือเบา ๆ ในจังหวะมั่นคง แววตาคมไล่มองตามแนวตึก ถนนเล็ก ซอกอาคาร และระเบียงที่รกเรื้อด้วยของเก่า ทุกจุดคือข้อมูล ทุกลมหายใจคือสมรภูมิ

 

ในขณะเดียวกัน เมเรซเดินเลี้ยวเข้าตรอกใกล้ ๆ ตลาดของเก่า เขาไม่ได้แปลงร่างเป็นสัตว์บินเหมือนอีกคน แต่ร่างกายเขากลับเปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุกลืนไปกับกำแพงอิฐด้านหนึ่ง เหมือนร่างนั้นค่อย ๆ ถูกดูดกลืนกับภาพวาดแบบกราฟฟิตีธรรมดา ๆ ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

 

เมื่อสายตาของทุกคนผ่านเลยเขาไปอย่างไม่ไยดี เมเรซจึงเริ่มเคลื่อนไหวผ่านผนังอย่างช้า ๆ เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นแมวสีเทาที่กระโดดออกมาจากหลังถังขยะแล้วเดินด้วยท่วงท่าราวกับเป็นเจ้าเมืองตัวจิ๋ว

 

เขาหยุดชะงักใต้รถคันหนึ่งที่จอดทิ้งไว้ พลางชะเง้อมองชายสองคนในชุดลำลองที่กำลังพูดคุยกันเบา ๆ ทั้งคู่สวมหมวกแก๊ป มีหูฟังแบบสายโทรศัพท์ติดที่คอเสื้อ และที่ชัดเจนที่สุดคือ...พวกเขาไม่มีเงา

 

บุตรแห่งความรักพึมพำกับตัวเองในใจว่านั่นอาจจะไม่ใช่สายลับธรรมดา และอาจจะไม่ใช่มนุษย์เลยด้วยซ้ำ แมวสีเทากระโจนขึ้นไปบนถังขยะแล้ววิ่งขึ้นหลังคาแถวตึกด้านหลัง จากนั้นแปลงร่างเป็นกระถางต้นไม้หนึ่งใบ...ชนิดที่ใครเห็นก็จะรู้สึกแค่ว่ามันดูแปลกดี แต่ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะหยุดมองนานนัก

 

มีคนหนึ่งหันมามองพอดี ดวงตาสีน้ำเงินเข้มแทบจะไร้แวว เขาหยุดนิ่งครู่หนึ่ง เหมือนกำลังใช้บางอย่างตรวจสอบความผิดปกติ แต่ไม่พบอะไร ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็หันกลับไปพูดกับคู่หูแล้วเดินจากไปพร้อมเสียงฝีเท้าที่กดเบาแต่มีน้ำหนักบนพื้นปูน

 

เมเรซยังคงนิ่งอยู่ในสภาพกระถางต้นไม้บนขอบหน้าต่าง คิดว่าบางทีเขาอาจจะได้ตำแหน่งพรางตัวแห่งปีไปครอง

 

ในขณะที่อีกฟากหนึ่งบนฟ้าสูง คูเปอร์ในร่างนกฮูกบินโฉบผ่านแถวห้องสมุดเก่าที่มีหลังคาสังกะสีขึ้นสนิม สายตาคมกริบของเขาสแกนผ่านช่องหน้าต่างทุกบาน แต่เขายังไม่พบร่องรอยที่พอจะรู้ได้ว่า เคย์ล่านั่นอยู่ที่ใด

 

.

 

.

 

.

 

ร่างนกฮูกสีน้ำตาลหายไปในชั่ววินาที กลับกลายเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยืนอยู่กลางตรอกเงียบสงัด คูเปอร์ใช้ฝ่ามือพยุงตัวเองพิงกำแพงปูน รู้สึกถึงแรงดันภายในกล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นราวกับวิ่งมาราธอนมาสามสนามติดกัน การแปลงร่างอาจเป็นความสามารถที่เขาภูมิใจที่สุด แต่มันก็แลกกับการสูญเสียพลังงานมหาศาล และทุกครั้งที่คืนร่างก็เหมือนลมหายใจจะขาดไปครึ่งหนึ่ง

 

ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย ปล่อยให้สายลมกลางเมืองพัดผ่านเส้นผมสีน้ำตาลที่ยังมีเหงื่อชื้นเล็ก ๆ พลางสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสมาธิกลับคืน แต่ความเงียบของตรอกนั้นกลับสั่นสะเทือนเพราะเสียงแหวกอากาศที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ให้ตั้งตัว

 

สัญชาตญาณอันแหลมคมสั่งให้เขาก้าวถอยพร้อมหมุนตัวหลบในเสี้ยววินาที ลูกธนูสีดำที่มีปลายแหลมยาวเฉียดหน้าของคูเปอร์ไปจนได้ยินเสียงลมเสียดข้างแก้ม ก่อนจะปักลงบนผนังด้านหลังจนเกิดเสียงกระแทกแหลม

 

จริงสิ...นี่ไม่ใช่เมืองที่ปลอดภัยขนาดนั้น” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ดวงตาสีเทาเหลือบมองไปยังทิศที่ลูกศรถูกปล่อยออกมา

 

ร่างของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งม้าปรากฏชัดขึ้น มันเป็นเซนทอร์ขนสีน้ำตาลเข้ม หัวไหล่หนาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเก่า ร่างกายแข็งแรงจนเห็นเส้นกล้ามเนื้อเรียงเป็นมัด มือหนึ่งจับคันธนูไม้ดำที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากไม้โบราณอาบมนตร์ร้าย ดวงตาของมันแฝงความกราดเกรี้ยวชวนให้รับรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ฝ่ายที่มาเจรจาสงบแน่นอน

 

คูเปอร์กัดฟันนิด ๆ เรียกหอกสัมฤทธิ์ออกจากแหวนดาราจรัส ปลายนิ้วแตะวงแหวนแล้วมันก็ปรากฏมีหอกยาวสีทองแดงเรืองแสงอ่อน ๆ ยามต้องแสง ออกมา

 

อยากคุยดี ๆ ก็เลือกวิธีผิดแล้วล่ะเพื่อน” เสียงของเขาราบเรียบแต่แฝงรอยขันขัน

 

เซนทอร์ตอบกลับด้วยการเล็งคันธนูตรงมาที่เขาอีกครั้ง

 

ชายหนุ่มวิ่งหลบไปด้านข้างพร้อมกับปักหอกลงพื้นเพื่อใช้แรงเหวี่ยงตัวออกจากแนววิถีลูกศร ธนูดอกต่อไปพุ่งเฉียดปลายรองเท้าหนังของเขาไปเพียงปลายนิ้วมือ เสียงมันกระแทกพื้นคอนกรีตดังเปรี้ยงจนเศษปูนกระเด็น

 

เล่นธนูนี่มันโกงไปหน่อยไหม” เขาตะโกนขึ้นมา ก่อนจะหมุนหอกในมืออย่างคล่องแคล่ว

 

เมื่อเขาสบจังหวะจึงเหวี่ยงหอกใส่โครงเหล็กเสาไฟด้านข้าง เสียงกระแทกดังสนั่น เศษสนิมหล่นใส่พื้นถนนจนเป็นเสียงลั่นที่ดึงความสนใจของเซนทอร์ชั่ววินาที

 

นั่นคือเวลาที่เขาพุ่งเข้าใกล้ คูเปอร์กระโดดขึ้นจากพื้นโดยใช้ปลายหอกเป็นแรงยัน เขาเหยียบกำแพงตึกข้าง ๆ เพื่อเร่งความเร็ว ก่อนจะฟาดปลายหอกเฉียดไหล่ของคู่ต่อสู้จนมันต้องถอยม้ากลับอย่างฉับพลัน แต่เซนทอร์นั้นก็ไม่ธรรมดา มันหันตัวอย่างรวดเร็ว ยิงลูกธนูสวนขึ้นมาจนคูเปอร์ต้องทิ้งตัวลงพื้นแล้วหมุนตัวหลบอีกครั้ง

 

เสียงธนูแหวกอากาศเป็นระลอก เขาไม่มีเวลาจะเล่นสวยนัก มือกระชับหอกก่อนพุ่งตรงเข้าหา มันเป็นการพนันระหว่างความเร็วของเขากับความแม่นยำของคู่ต่อสู้

 

“ถ้าแพ้นี่คงจะดูโง่สิ้นดี” ชายหนุ่มพึมพำแล้วพุ่งตัวต่ำอย่างรวดเร็ว

 

เซนทอร์ปล่อยลูกศรทันที แต่คูเปอร์หมุนหอกขึ้นขวางในแนวเฉียงจนโลหะสัมฤทธิ์กระแทกกับปลายธนู เสียงโลหะเสียดสีก้องเหมือนเสียงระฆัง เขาใช้จังหวะนั้นดันตัวขึ้นด้านข้างและฟาดปลายหอกไปยังแขนของเซนทอร์จนมันสะดุ้ง คันธนูแทบหลุดมือ

 

ร่างม้าของมันเตะพื้นจนฝุ่นฟุ้ง มันคำรามด้วยเสียงต่ำ คูเปอร์ใช้จังหวะที่มันเสียหลักหมุนหอกฟันอากาศใส่ขาท่อนหน้า แม้จะไม่ได้ทำร้ายมากแต่ก็พอให้มันถอยห่างออก

 

“อยากลองคุยดี ๆ ไหม ยังทันอยู่นะ” เสียงของเขาก้องไปในตรอก แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือสายตาโกรธเกรี้ยวและลูกธนูอีกดอก

 

คูเปอร์กัดฟันวิ่งบิดตัวเลี่ยง และใช้หอกแทงกระแทกพื้นสร้างแรงเหวี่ยงให้ร่างพุ่งไปประชิด ระยะนี้ไม่เหลือโอกาสให้เซนทอร์ยิงได้ถนัด เขาหมุนหอกฟาดอย่างต่อเนื่องราวกับการเต้นรำ เสียงปลายโลหะปะทะคันธนูไม้เกิดประกายถี่ การต่อสู้กินเวลานานกว่าที่คิด ทั้งสองแลกจังหวะรุกและรับกันหลายรอบ 

 

เซนทอร์คำรามก้อง เสียงกระแทกกับผนังตึกใกล้ ๆ ทำให้ชาวเมืองแถวนั้นชะงักไปชั่วครู่ แต่ด้วยหมอกมายาที่ปกคลุมการรับรู้ ผู้คนอาจเห็นเขากำลังใช้ท่อแป๊บไล่ฟาดนักเลงร่างใหญ่แทน ซึ่งถ้าให้เลือก คูเปอร์ก็ไม่อยากเป็นไฮไลท์ในคลิปไวรัลบนอินเตอร์เน็ตแน่ ๆ

 

เซนทอร์ยกธนูขึ้นเล็งอีกครั้ง ดวงตาคมวาวด้วยความมั่นใจ ทว่าคราวนี้ชายหนุ่มกลับตัดสินใจสวนในจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายปล่อยสายธนู เขาก้มหลบต่ำให้ลูกศรเฉียดเหนือศีรษะ ปลายหอกของเขากระแทกเข้ากับขาหน้าของเซนทอร์อย่างแรง

 

มันร้องลั่นด้วยความเจ็บ ดวงตาที่เคยแฝงความมั่นใจเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว มันตวัดขาหน้าหมายจะกระแทกเขาให้ล้ม แต่คูเปอร์พลิกตัวหลบอย่างว่องไว มือหมุนหอกกลับแล้วพุ่งแทงตรงจุดอ่อนใต้ซี่โครง

 

เสียงเหล็กเสียดกับเนื้อดังลึก เซนทอร์คำรามก้องสะบัดตัวแรงจนเขาเกือบปลิวไปกระแทกกำแพง แต่ชายหนุ่มยังเกาะด้ามหอกแน่น เขาหมุนตัวอาศัยแรงสะบัดนั้นเป็นแรงเหวี่ยง ตวัดหอกไปที่คอของมันด้วยจังหวะเฉียบขาด

 

ร่างใหญ่สะดุ้งเฮือก ก่อนที่ทุกสิ่งจะเงียบลง เซนทอร์ทรุดตัวลงช้า ๆ ดวงตาดับแสง มันสลายกลายเป็นฝุ่นละอองสีทองระยิบระยับ ล่องลอยกระจายไปกับสายลม

 

คูเปอร์ยืนนิ่ง สูดลมหายใจลึก หยดเหงื่อผสมฝุ่นละอองเกาะอยู่บนหน้าผาก  ก่อนยกมือเช็ดคราบเลือดที่ปากแผลเล็กบนแก้ม

 

คูเปอร์ควงหอกแล้วเรียกมันกลับเข้าสู่แหวนดาราจรัส พลางก้มหน้ามองร่องรอยการต่อสู้ที่กระจายอยู่รอบตัว รู้ดีว่าการต่อสู้นี้อาจจะไปกระตุ้นสายลับหรืออสุรกายตัวอื่นให้จับตาเพิ่มขึ้น

 

เขาสะบัดผมเบา ๆ เหมือนจะปลดความเครียดออกจากบ่า ก่อนจะเดินออกจากตรอกในจังหวะที่นกฮูกตัวหนึ่งบินโฉบลงมาเกาะที่ราวเหล็กและส่งเสียงร้องทัก

 

“ได้เรื่องบ้างไหมเพื่อน” เขายิ้มบาง ๆ ให้มัน “ถ้ามีอะไรก็ไปบอกเมเรซด้วย เดี๋ยวฉันจะตามไป”

 

ชายหนุ่มหันหลังให้ซากลูกธนูบนพื้น เดินออกไปด้วยท่าทีที่มั่นคงกว่าเดิมพร้อมความตั้งใจจะเริ่มค้นหาเคย์ล่า เฮย์เดนต่อโดยไม่รอช้า

 





สรุปสถานการณ์


-คูเปอร์และเมเรซ แยกย้ายกันออกค้นหา เคย์ล่า เฮย์เดน  


-คูเปอร์ต่อสู้กับเซนทอร์


หลักฐานการพิชิต


เซนทอร์นักรบ


สินสงคราม


กีบเซนทอร์ (เลขไบต์สุดท้าย เลขคู่)


+ 2 ตื่นรู้จากการพิชิตครั้งแรก


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 86108 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-23 10:02
โพสต์ 86,108 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 เกียรติยศ +9 ความศรัทธา จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-7-23 10:02
โพสต์ 86,108 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 เกียรติยศ +35 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-23 10:02
โพสต์ 86,108 ไบต์และได้รับ +10 EXP +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-7-23 10:02
โพสต์ 86,108 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Daedalus's Legacy  โพสต์ 2025-7-23 10:02

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เครื่องวาร์ปฉุกเฉิน
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดบำรุงอาวุธ
เรือมินิบานาน่า
Daedalus's Legacy
มีดสั้นสัมฤทธิ์
บทเพลง
การควบคุมอาวุธ (จำกัด)
ปัญญาแห่งการรบ
ร่างจำแลง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กลยุทธ์การรบ
การสื่อสารและควบคุมนกฮูก
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
แว่นกันแดด
หมวกเกราะ
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
หอกกรีก
อัจฉริยะ
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x8
x9
x2
x3
x2
x5
x10
x2
x20
x37
x6
x5
x2
x10
x2
x1
x1
x1
x2
x5
x28
x5
x5
x5
x5
x5
x6
x37
x2
x2
x20
x2
x3
x1
x1
x30
x1
x2
x3
x4
x3
x11
x2
x10
x20
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x1
x5
x5
x31
โพสต์ 2025-8-6 02:28:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-8-6 02:35

Activity Form


 

22/07/2025 12.00 น. – 12.30 น.

  

หน้าที่ 2


คูเปอร์ก้าวออกจากตรอกเงียบ  ลมหายใจที่ยังไม่ทันจะคืนความเรียบก็ถูกแทนด้วยเสียงกระพือปีกดังฟึ่บ ๆ ใกล้ศีรษะ ดวงตาสีเทาเหลือบขึ้นไปมอง เห็นนกฮูกตัวหนึ่งบินโฉบลงมาพร้อมเสียงร้องที่เขาคุ้นหูเกินกว่าจะเข้าใจผิด มันคือหนึ่งในพวกคู่หูปีกขนที่เขาเพิ่งส่งไปลาดตระเวนเมื่อครู่ แต่ที่ทำให้เขาหยุดก้าวเท้ากลางถนน คือเศษกระดาษสีหม่นที่ผูกอยู่ตรงข้อเท้าของมัน

 

“เอ๊ะ...นี่นายไปแวะร้านกาแฟแล้วเจอบัตรกำนัลกลับมาเหรอ หรือมันเป็นข่าวดีจริง ๆ” เสียงของเขาแฝงรอยยิ้มล้อเล่น แต่มือกลับเอื้อมไปรับเศษกระดาษนั้นด้วยความระวัง

 

นกฮูกกระพือปีกพลางส่งเสียงฮูกเบา ๆ ราวกับจะบอกว่า "ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ" ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางพูดกับมันว่า “โอเค ไม่ใช่บัตรกำนัลสินะ งั้นขอดูหน่อยว่าของดีอะไรที่นายหอบมา”

 

เขาคลี่กระดาษออก มันไม่ใช่ข้อความตรง ๆ แต่เป็นบรรทัดสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือเรียบและคม บ่งบอกถึงความตั้งใจ เหมือนบทกลอนที่ซ่อนรหัสไว้ในจังหวะคำ

 

“แสงเก่าเลือนหายใต้เพดานแก้ว

เสียงสมุดร้องไห้ไร้คนเหลียว

ประตูบานที่เจ็ดคือเส้นทาง

รอคนครองปัญญาเคียงเงาไฟ”

 

ด้านล่างมีตัวย่อ K.H. เขียนด้วยหมึกจาง ๆ

 

คูเปอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลิกกระดาษไปมาหลายครั้งเหมือนหวังว่าจะมีข้อความลับซ่อนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ “นี่มัน...งานถนัดของรุ่นพี่บ้านเดียวกันจริง ๆ ใช่ไหม คำใบ้แบบนี้คิดว่าฉันจะตีความได้ในสิบวิหรือไง”

 

เขากวาดสายตาอ่านท่อนกลอนซ้ำอีกครั้ง

 

แสงเก่าเลือนหาย...เพดานแก้ว...เสียงสมุดร้องไห้... บางอย่างเริ่มเชื่อมโยงในหัว “ห้องสมุดเก่าแน่นอน” เขาพึมพำพลางจิ้มปลายกระดาษเบา ๆ “แต่เพดานแก้ว...เมืองนี้มีตึกที่มันดูสวยเกินไปจะพังไปพร้อมห้องสมุดร้างจริงไหมนะ”

 

เขาหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชข้อมูลภาพเมืองรอบ ๆ และตึกที่เคยเป็นสถานที่สำคัญของริชมอนด์ “ประตูบานที่เจ็ดคือเส้นทาง...” เขาพึมพำเหมือนคิดกับตัวเอง “ห้องสมุดชั้นในสุดอาจจะมีประตูมากกว่าหนึ่ง คงต้องนับบานจริง ๆ”

 

นกฮูกที่เกาะอยู่บนราวเหล็กเอียงคอราวกับพยายามบอกอะไร

 

“อะไร นายรู้รึเปล่าว่าประตูบานที่เจ็ดอยู่ไหน” เขาหัวเราะขำ ๆ แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกนกฮูกพวกนี้ฉลาดอย่างน่ากลัว บางครั้งมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ติดตามแผนของนกพวกนี้มากกว่า

 

เขาเก็บกระดาษใส่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ก่อนพูดกับนกฮูก “ไปบอกเพื่อน ๆ ว่าพวกเรามีจุดน่าสงสัยแล้ว เดี๋ยวฉันจะตามไปเช็คเอง แต่ก่อนอื่นต้องไปรวมตัวกับเจ้าหนุ่มแฟชั่นนิสต้าก่อน ไม่งั้นเขาคงคิดว่าฉันหายไปซื้อรองเท้าใหม่”

 

ชายหนุ่มพุ่งตัวออกจากตรอก ก้าวยาว ๆ ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง เขามุ่งหน้าไปทางจุดนัดพบกับเมเรซ โดยระหว่างเดินก็ยังไม่หยุดคิดถึงปริศนาในกระดาษ ความรู้สึกว่ารุ่นพี่เคย์ล่าอาจตั้งใจกำหนดเส้นทางให้พวกเขาหาทางเข้าถึงเธอแบบไม่ใช่ทางตรงเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

 

เมื่อเข้าใกล้จุดนัดพบ คูเปอร์เปรยกับตัวเอง “ถ้าเมเรซเจอปริศนาแบบนี้ เขาอาจจะตีความว่ามันเป็นรหัสลับของงานแฟชั่นโชว์ฤดูหนาว...เดี๋ยวลองถามดูหน่อยดีกว่า”

 

ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าเบา ๆ ด้านหลังทำให้เขาหันไปมอง และพบกับร่างสูงผอมเพรียวของเมเรซที่ก้าวออกมาจากมุมอาคาร ใบหน้าสวยเฉียบและแววตาสองสีจับจ้องมาที่เขาเหมือนจะถามโดยไม่ต้องพูดว่า “เจออะไร?”

 

คูเปอร์ยกเศษกระดาษขึ้นเล็กน้อย ยิ้มพลางว่า “ได้เบาะแสแล้วล่ะ ฉันได้กระดาษนี่ใด้มาจากนกฮูกอีกที แต่นายช่วยดูทีสิ นี่มันกลอนหรือการบ้านของใครสักคนที่หลุดมา”

 

เขาส่งกระดาษให้อีกฝ่าย ก่อนรอฟังความคิดเห็นจากปากของเมเรซ ซึ่งปกติแล้วจะมาพร้อมน้ำเสียงที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังสอบแฟชั่นดีไซน์รอบไฟนอลอยู่ทุกครั้ง

 

เมเรซหยิบกระดาษจากมือคูเปอร์อย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวว่ามันจะเป็นเศษผ้าโบราณจากพิพิธภัณฑ์ที่ถ้าพับผิดมุมจะมีเทพเจ้าโผล่มาสาป เขากวาดตาอ่านกลอนนั้นช้า ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบสายตาของชายหนุ่มผมน้ำตาล

 

“แล้วนายคิดว่ามันหมายถึงที่ไหน” น้ำเสียงเรียบ แต่ในแววตากลับเหมือนกำลังทดสอบความเฉียบคม

 

คูเปอร์ยักไหล่นิด ๆ คล้ายจะยอมรับว่าตัวเองก็ยังไม่มั่นใจเต็มร้อย “ฉันเดาว่าเป็นห้องสมุดเก่า...คำว่า เสียงสมุดร้องไห้ไร้คนเหลียว น่าจะหมายถึงหนังสือที่ถูกทิ้งจนฝุ่นจับ แต่คำว่า เพดานแก้ว นี่สิ ฉันไม่แน่ใจเลยว่าหมายถึงที่ไหนกันแน่ ห้องสมุดในเมืองนี้มีหลายแห่ง แต่แบบที่มีเพดานแก้วมันดูไม่ค่อยเข้ากับคำว่าร้างสักเท่าไร”

 

เมเรซกระตุกมุมปากเล็ก ๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “นายบอกว่าได้กระดาษนี้มาจากพวกนกฮูกที่นายส่งไปใช่ไหม งั้นทำไมไม่ลองถามเจ้าตัวนั้นดูล่ะว่ามันได้มาได้ยังไง”

 

คูเปอร์ชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ “จริงด้วยแฮะ ฉันนี่มันโง่เป็นพัก ๆ เลยนะ ลืมไปว่าเจ้านกพวกนี้คุยภาษาเราได้”

 

ทันทีที่ผิวปากเรียก นกฮูกตัวเดิมก็บินร่อนลงมาเกาะบนราวเหล็กใกล้ ๆ และจ้องตาเขาราวกับจะบอกว่า นึกได้แล้วเหรอเพื่อน?

 

“โอเค ขอโทษทีที่มองข้ามนาย” คูเปอร์เอ่ยขำ ๆ ก่อนถามต่อ “เศษกระดาษนี่ นายได้มาจากที่ไหน”

 

เจ้านกฮูกกระพือปีกเบา ๆ ส่งเสียงทุ้ม ๆ ที่ไม่เข้ากับตัวมัน “มีผู้หญิงคนหนึ่งในชุดคลุมดำ เธอเรียกข้าลงไปที่ถนนแถวนั้น แล้วมอบกระดาษให้ฉัน เธอบอกแค่ให้ส่งให้ถึงเจ้า ข้าไม่รู้หรอกว่าคนที่ชื่อเคย์ล่าอยู่ที่ไหน เพราะเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้น”

 

คูเปอร์กับเมเรซสบตากันเล็กน้อย ชายหนุ่มผมน้ำตาลพึมพำ “ผู้หญิงในชุดคลุมดำ...ฟังดูเป็นสัญญาณว่ารุ่นพี่เราอาจจะยังเคลื่อนไหวอยู่นอกที่ซ่อน”

 

“หรือไม่ก็เป็นใครสักคนที่อยากล่อเราไปติดกับดัก” เมเรซพูดเรียบ ๆ แต่สายตาเป็นประกายวาววับ เหมือนกำลังอ่านกลยุทธ์เกมหมากรุก

 

“ไม่ว่าจะอันไหน ฉันก็ไม่มีทางเลือกมากนัก” คูเปอร์บอก พลางคลี่กระดาษขึ้นอีกครั้งแล้วอ่านช้า ๆ “ประตูบานที่เจ็ดคือเส้นทาง... หมายความว่าสถานที่นี้ต้องมีหลายประตูแน่ อาจเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ หรือไม่ก็สถานที่ที่มีสถาปัตยกรรมคลาสสิก แต่เพดานแก้วนี่...มันเหมือนคำใบ้ชัด ๆ ว่าควรหาสถานที่ที่มีโดมกระจกหรืออะไรทำนองนั้น”

 

เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนเปรยเบา ๆ “แต่เธออาจจะไม่ได้อยู่ในสถานที่ใหญ่ขนาดนั้น ถ้าเคย์ล่าสามารถปลอมตัวออกมาซื้อเสบียงได้ เธอคงไม่เสี่ยงกลับเข้าไปในตึกใหญ่ ๆ ที่ถูกจับตามอง ฉันว่าพื้นที่ที่ต้องดูคงเป็นร้านเก่า ๆ หรือโกดังร้างที่ถูกปรับให้เป็นห้องเก็บหนังสือส่วนตัวมากกว่า”

 

“นั่นหมายความว่านายจะตัดห้องสมุดสาธารณะใหญ่ ๆ ทิ้งสินะ” เมเรซถามพลางหมุนกระดาษระหว่างนิ้วเรียวยาว

 

“ใช่ มันเสี่ยงเกินไป” คูเปอร์ตอบทันควัน “ถ้าเป็นฉันจะไม่เลือกที่ที่คนพอจำได้แน่นอน ยิ่งเธออยู่ในสถานะคนที่ถูกไล่ล่า เธอต้องซ่อนตัวในที่ซึ่งธรรมดาจนคนไม่เหลียวมอง”

 

เขาหยุดคิดชั่วอึดใจ มือข้างหนึ่งแตะคางขณะที่สายตาเหลือบมองไปทางตึกแถวเก่า ๆ ที่เรียงกันเป็นแนวยาว “บางที...อาจเป็นร้านหนังสือมือสองที่ใครลืมไปแล้ว หรือห้องใต้ดินของตึกเก่า ฉันว่าเราควรเริ่มไล่สำรวจแถวโซนนี้ก่อน”

 

เมเรซเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดเล็ก ๆ “ชักเริ่มมีสมองเป็นของตัวเองแล้วนี่”

 

คูเปอร์หัวเราะแผ่ว “ฉันก็มีนะ แค่ไม่ได้โชว์ให้ใครเห็นบ่อย ๆ”

 

เขาเดินไปที่ราวเหล็กแล้วก้มหัวลงพูดกับนกฮูก “ขอบคุณสำหรับข้อมูลมาก เพื่อน ถ้าบินต่อได้ก็ช่วยวนดูแถวตึกชั้นเดียวหรือร้านเก่า ๆ ที่มีป้ายหนังสือด้วย ฉันจะตามเบาะแสทางนี้เอง”

 

 

คูเปอร์หันไปทางเมเรซ “งั้นเราไปลองสำรวจโซนโกดังเก่ากับตลาดด้านหลังละแวกนี้ก่อน นายว่าไง”

 

“ก็ไม่แย่หรอก” เมเรซยักไหล่ “ขอแค่ไม่ต้องเดินฝ่าแฟชั่นตลาดนัดฉันก็โอเค”

 

“งั้นไปกันเถอะ” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเอ่ย ก่อนทั้งคู่จะเริ่มเคลื่อนไปตามซอยแคบ ๆ โดยมีคำใบ้ในกระดาษเป็นเข็มทิศในภารกิจอันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้

 

 

คูเปอร์เดินเคียงข้างเมเรซในจังหวะก้าวสบาย ๆ แต่สายตากลับกวาดมองไปทุกทิศทางอย่างระวัง เขาหันไปถามคนข้างตัวเสียงต่ำว่า “ตอนนายออกสำรวจข้างล่าง เจออะไรบ้าง”

 

เมเรซเหลือบมองเขาเพียงแวบหนึ่งก่อนตอบเสียงเรียบ “เมืองนี้เต็มไปด้วยคนที่ดูผิดปกติ ฉันเจอกลุ่มคนแต่งตัวธรรมดา แต่เดินด้วยจังหวะที่เป็นระเบียบราวกับหน่วยฝึกยุทธวิธี แถมบางคนยังมองตามสายตาฉันราวกับจะวัดใจกัน แต่ฉันยังไม่แน่ใจว่าเป็นสายลับหรืออสูรกาย”

 

คูเปอร์พยักหน้าเบา ๆ ไม่ได้พูดแทรก จนกระทั่งเมเรซกล่าวต่อ “ที่แย่กว่าคือทางที่เรากำลังจะไป ก็มีคนลักษณะนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน นายควรระวังตัวให้มาก อย่าทำตัวโดดเด่น หรือคิดจะเล่นมุขอะไรที่เรียกร้องความสนใจเข้าใจไหม”

 

“เล่นมุขเนี่ยนะ ฉันดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ” คูเปอร์ส่งยิ้มเอื่อย  พลางยักไหล่ “โอเค ๆ นายเป็นคนจริงจังแบบนี้ก็ดี จะได้คุมสมดุลกันหน่อย”

 

เมเรซไม่ได้ตอบ เพียงแค่ก้าวเดินต่อโดยไม่หันมามอง ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงยอมเก็บคำพูดไว้แล้วปล่อยให้ความคิดในหัวเดินตามบทกลอนที่เขายังไม่เข้าใจ

 

“แสงเก่าเลือนหายใต้เพดานแก้ว เสียงสมุดร้องไห้...” คูเปอร์พึมพำกับตัวเองเบา ๆ เหมือนต้องการสะกดคำเหล่านั้นให้ติดอยู่ในหัว เขาพยายามนึกถึงสถานที่ในริชมอนด์ที่อาจมีเพดานแก้วหรือโครงสร้างแบบนั้นอยู่ แต่ก็ติดปัญหาว่าห้องสมุดส่วนใหญ่ในเมืองนี้เป็นอาคารอิฐหรือคอนกรีต ไม่ใช่สถาปัตยกรรมแก้วใส

 

ทั้งคู่เดินผ่านฟุตบาทที่เต็มไปด้วยร้านขายของเก่าและผู้คนสัญจรไปมา ริมทางมีนักดนตรีเปิดหมวกเล่นกีตาร์อยู่ เพลงที่เล่นเป็นทำนองแจ๊สเก่าที่ให้บรรยากาศขมุกขมัว คูเปอร์หยุดก้าวเพียงชั่วครู่ เหมือนจะดึงสมาธิกลับมา ก่อนจะเดินต่อ

 

เขาเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังงมเข็มในมหาสมุทรจริง ๆ การหาคนคนเดียวในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ไหนจะพวกสายลับที่ตามหาเคย์ล่าอยู่ด้วย ใครจะเจอเธอก่อนกัน...เขาไม่อาจเดาได้

 

“นายคิดว่าเธออยู่ที่ไหน” เมเรซถามขึ้นกะทันหัน น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความสนใจ

 

คูเปอร์ขยับคอเสื้อเหมือนกำลังคิดหาคำตอบ “ฉันยังไม่แน่ใจ คำใบ้ในกลอนน่าจะเกี่ยวกับสถานที่ที่เงียบและถูกลืม แต่เพดานแก้วนี่สิ ฉันพยายามเชื่อมโยงแล้วก็ยังไม่เห็นภาพ อาจเป็นโกดังที่ถูกปรับปรุง หรือร้านหนังสือเก่า...”

 

เขาชะงักเล็กน้อย เหมือนอะไรบางอย่างแล่นวาบขึ้นมาในหัว “...ร้านหนังสือเก่า ที่อยู่ข้างสถานีรถไฟฉันเห็นว่าร้านตรงนั้นทำหลังคาด้วยกระจกน่าจะเพื่อให้แสงลอดเข้าไปในนั้นได้ หรือมันอาจจะใช่ที่นั่น”

 

“ร้านหนังสือริมสถานีรถไฟ?” เมเรซเลิกคิ้ว ดวงตาสีชมพูและสีเทาเหลือบมองเขาอย่างประเมิน “ฟังดูเป็นไปได้ แต่แถวนั้นฉันเห็นพวกน่าสงสัยอยู่สองสามคน”

 

“ดี เราจะได้ทดสอบว่าสัญชาตญาณเราถูกหรือเปล่า” คูเปอร์เอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงรอยมั่นใจ แม้ในใจเขาจะรู้ดีว่ามันอาจเสี่ยง

 

ขณะเดินต่อ คูเปอร์ยังไม่หยุดคิดคำกลอนนั้น “เสียงสมุดร้องไห้ไร้คนเหลียว” มันเหมือนสื่อถึงหนังสือที่ถูกทิ้งไว้ในที่ที่ไม่มีคนไปอ่าน หรือห้องสมุดส่วนตัวที่ร้างผู้คน “ประตูบานที่เจ็ด” ทำให้เขาเริ่มนับจำนวนร้านเก่าที่มีหลายทางเข้าออก เพราะสถานที่แบบนี้ไม่ใช่ทุกแห่งที่จะมีประตูมากกว่าหนึ่ง

 

เขาเหลือบตามองเมเรซซึ่งกำลังเดินอย่างไม่รีบร้อน ร่างสูงผอมเพรียวแต่แฝงความสง่าของคนที่พร้อมจะแปลงร่างหนีหรือหลบซ่อนได้ทุกเมื่อ “นายว่าถ้ารุ่นพี่ปลอมตัวออกมาจริง เธออาจซ่อนตัวอยู่ที่พวกเราไม่คาดคิดเลยไหม แบบคาเฟ่เก่าหรือห้องเช่าในอาคารธรรมดา”

 

“อาจเป็นไปได้ ถ้าเธอฉลาดพอจะหนีพวกนั้นมาได้ตั้งหลายสัปดาห์ การหาที่ซ่อนที่ธรรมดาที่สุดน่าจะปลอดภัยกว่า” เมเรซตอบนิ่ง ๆ

 

คูเปอร์ครุ่นคิดตามคำพูดนั้น เขารู้ดีว่าการซ่อนตัวในความธรรมดาเป็นยุทธวิธีที่ใช้ได้ผลเสมอ เพราะคนมักจะมองข้ามสิ่งที่ดูไม่เด่น แต่ปัญหาคือ...ที่ธรรมดามีเยอะเกินไป

 

พวกเขาเดินต่อท่ามกลางเสียงรถและผู้คน ราวกับทุกสิ่งรอบตัวกำลังซ่อนบางอย่างไว้ใต้ความวุ่นวาย เขาตัดสินใจว่าเมื่อไปถึงแถวสถานีรถไฟ จะลองเดินสำรวจร้านหนังสือเก่านั้น และบางทีอาจต้องให้นกฮูกบินวนอีกครั้งเพื่อจับตาสถานที่ที่ซ่อนอยู่ในมุมสายตาของมนุษย์ทั่วไป

 

“เรายังไม่ควรรีบร้อนมากเกินไป” คูเปอร์พึมพำเบา ๆ ขณะก้าวลงทางเท้าตรงหัวมุมถนน “ฉันว่าแค่ระวังไม่ให้ใครตามหลัง ก็ถือว่าเรานำอยู่หนึ่งก้าวแล้ว”

 

เมเรซปรายตามองเขานิด ๆ ก่อนตอบ “ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น”

 

เสียงผิวปาก ดังขึ้นจากริมฝีปากของบุตรแห่งอะธีน่า เขาส่งสัญญาณเรียกนกฮูกคู่หูของตนมาอีกครั้งเพื่อให้มันบินสำรวจเส้นทางข้างหน้า โดยในใจคูเปอร์ยังคงทบทวนกลอนนั้นซ้ำ ๆ เหมือนพยายามต่อจิ๊กซอว์ที่เหลือเพียงไม่กี่ชิ้นแต่ยังไม่ลงตัว

 

.

 

.

 

.

 

22/07/2025 13.00 น.

 

เสียงฝีเท้าของคนสองคนดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอเมื่อทั้งคู่เดินเข้าสู่บริเวณสถานีรถไฟเก่าของเมืองริชมอนด์ สถานีนี้ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนสถานีในเมืองหลวง แต่มีเสน่ห์ในแบบอาคารอิฐสีแดงเข้มกับป้ายเก่าที่สลักชื่อสถานีด้วยอักษรซีดจาง ราวกับเวลาหยุดนิ่งไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน

 

คูเปอร์ก้าวไปข้างหน้าพร้อมเหลือบสายตามองรอบ ๆ ฝูงชนที่เดินผ่านหน้าสถานี มีนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง แต่สายตาของเขาก็สะดุดกับชายคนหนึ่งที่ยืนพิงเสาเหมือนไม่ได้รอรถไฟจริง ๆ สายตาของคนคนนั้นจับตามาที่พวกเขาแวบเดียวก่อนหันกลับไป คูเปอร์ไม่แสดงท่าทีสงสัยให้เห็น แต่กลับเอ่ยกับเมเรซเสียงเบา “ถ้ามีคนมองแบบนั้นอีกสักสองครั้ง ฉันจะคิดว่าเราเป็นดาราดังแล้วนะ”

 

เมเรซปรายตาสีชมพูและสีเทาเหลือบมอง แล้วตอบเรียบ ๆ “ไม่หรอก นายไม่ได้ดูดังขนาดนั้นหรอก”

 

คูเปอร์ยักไหล่เหมือนชินกับคำเหน็บแนม แล้วเดินตามป้ายไม้ที่บอกทางไปยังร้านหนังสือเก่าที่ตั้งอยู่ริมถนนเล็ก ๆ หลังสถานี

 

ร้านหนังสือดูเล็กและธรรมดาจนน่าประหลาดใจ ประตูไม้สีเข้มมีป้ายกระจกเก่า ๆ แขวนอยู่ว่า “เปิด” และภายในสามารถมองทะลุเห็นชั้นหนังสือไม้สูงที่เรียงรายกันจนแทบไม่เหลือทางเดิน ฝุ่นบาง ๆ ลอยคลุ้งในอากาศที่ถูกเจาะด้วยลำแสงที่ลอดจากเพดานกระจกซึ่งเป็นเหมือนโดมโค้ง คูเปอร์เผลอหยุดมองเพดานนั้นอย่างสนใจ

 

“เพดานแก้ว…” เขาพึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบา ความคิดบางอย่างเริ่มประติดประต่อเข้ากับกลอนที่เขาอ่านเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่แล้ว

 

เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อทั้งคู่ผลักประตูเข้าไป กลิ่นหนังสือเก่ากับกลิ่นหมึกจาง ๆ คลุ้งไปทั่ว อุณหภูมิด้านในเย็นลงเล็กน้อยเหมือนโลกอีกใบที่ตัดขาดจากเสียงวุ่นวายด้านนอก

 

หลังเคาน์เตอร์ไม้เล็ก ๆ มีชายวัยกลางคนสวมแว่นกรอบหนา ใบหน้าดูใจดี เขายกสายตามองทั้งคู่แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้ม “หาหนังสืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

 

คูเปอร์เดินยิ้ม เข้าไปเหมือนเป็นแค่นักเดินทางที่แวะมาเดินดูหนังสือ มือไล้ไปตามสันหนังสือเล่มเก่าบนชั้น “ก็แค่เดินดูครับ เห็นร้านนี้จากนอกสถานี ดูเก่าแต่มีเสน่ห์ดี”

 

เมเรซก้าวตามมาเงียบ ๆ แต่สายตาคมของเขากลับจับจ้องชายเจ้าของร้านเหมือนจะอ่านความคิดอีกฝ่ายจากท่าทางเล็กน้อยที่หลุดออกมา

 

“ร้านนี้ไม่ค่อยมีคนแวะมาหรอกครับ” เจ้าของร้านตอบพร้อมยิ้มบาง แต่คูเปอร์กลับจับได้ถึงแววตาที่ไม่สอดคล้องกับรอยยิ้ม “ถ้าอยากหาหนังสือพิเศษ ลองมุมขวาสุดเลยครับ ตรงชั้นล่างจะมีของเก่าจากยุโรป”

 

“ของเก่าจากยุโรป…” คูเปอร์ย้ำคำ ราวกับตั้งใจให้หลุดออกมา แล้วหันไปทางเมเรซ “นายสนใจไหม ของแบบนี้อาจมีมูลค่ามากกว่าที่คิดนะ”

 

เมเรซเพียงพยักหน้าเล็กน้อย แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องเจ้าของร้านอย่างไม่วางตา ราวกับมองทะลุรอยยิ้มและคำพูดสุภาพนั้น เหมือนบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

คูเปอร์เดินช้า ๆ ไปทางมุมที่อีกฝ่ายบอก สายตาเหลือบมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาที่แจ่มชัดก็พบว่ามีหนังสือบางเล่มถูกจัดเรียงเหมือนตั้งใจบังตู้ไม้ด้านหลัง ซึ่งปิดด้วยกลอนประตูเล็ก ๆ ที่ไม่สมควรมีในร้านหนังสือธรรมดา เขาไม่ได้แตะต้องมันทันที แต่ความรู้สึกบางอย่างในสายเลือดกำลังบอกเขาว่าที่นี่อาจไม่ใช่เพียงร้านหนังสือ

 

“รู้สึกไหมว่าที่นี่มัน...เงียบเกินไป” เขากระซิบถามเมเรซที่เดินตามเข้ามาใกล้ “แบบว่าเงียบจนเหมือนซ่อนอะไรไว้”

 

เมเรซเลิกคิ้วแล้วตอบเบา ๆ “เงียบยังไงก็ดีกว่าดังแต่นายพูดถูก บางอย่างมันไม่ปกติ ”

 

คูเปอร์ค่อย ๆ หันกลับไปมองเจ้าของร้านอีกครั้ง เขายังยิ้มเหมือนเดิม แต่แววตาเหมือนคนที่ระแวดระวังอะไรบางอย่าง หรือเฝ้ารอการกระทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อย

 

“ถ้าเคย์ล่าอยู่ที่นี่จริง เธอเลือกซ่อนตัวได้ฉลาดมาก” คูเปอร์พึมพำราวกับพูดกับตัวเอง “เพราะไม่มีใครจะคิดว่ามีอะไรซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือธรรมดาแบบนี้”

 

เขาเดินดูหนังสือต่อไปด้วยท่าทีสบาย ๆ เหมือนคนแค่สนใจเล่มเก่า ๆ มือเอื้อมหยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งออกจากชั้น ก่อนส่งให้เมเรซดูเป็นเชิงบังสายตาเจ้าของร้าน

 

“นายว่าไง” เขากระซิบเสียงต่ำ “เราควรลองแอบสำรวจด้านหลังตู้ไม้ตรงมุมนั่นดีไหม”

 

เมเรซเพียงขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มบาง  “ฉันว่าเรากำลังเดินถูกทางแล้วล่ะ”

 

 

คูเปอร์เดินทอดก้าวช้า ๆ รอบมุมห้องหนังสือ ท่ามกลางกลิ่นไม้เก่าและฝุ่นที่แอบซุกอยู่ในช่องระหว่างสันหนังสือ เขาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้ไม้โบราณที่บังผนังด้านหลังอย่างน่าประหลาด ตู้ใบนี้ไม่เหมือนชั้นอื่น มันดูสูงเกินไปหน่อย และไม่มีป้ายบอกหมวดหมู่หนังสือเหมือนชั้นอื่น ๆ ในนั้นมีเพียงเล่มหนังสือปกแข็งเรียงกันเป็นแนวที่ดูไร้ระเบียบอย่างจงใจ

 

เมเรซเดินมาใกล้โดยไม่พูดอะไร แต่สายตาสองสีของเขาชัดเจนว่าจับตาทุกการเคลื่อนไหว ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงพูดขึ้นเบา ๆ

 

“ตู้หนังสือนี่มันผิดธรรมชาตินะ ไม่มีหมวดหมู่ ไม่มีชื่อเรียงตามตัวอักษร แล้วดูตรงมุมขวาบนนั่นสิ”

 

นิ้วของคูเปอร์ชี้ไปยังขอบไม้มุมหนึ่งซึ่งแง้มออกจากกำแพงอย่างแทบมองไม่เห็น หากไม่เพ่งมากพอไม่มีทางสังเกตได้

 

“ดูเหมือนจะเป็นบานพับ”

 

“จะเปิดเลยไหม” เมเรซถามด้วยเสียงราบเรียบ แต่แฝงความตื่นตัว

 

“ถ้าฉันเป็นรุ่นพี่ที่อาศัยความเงียบเป็นเกราะ ฉันคงไม่อยากให้ประตูลับเปิดเสียงดังหรอก”

 

คูเปอร์ค่อย ๆ ไล้นิ้วตามขอบชั้นหนังสือ แล้วพบว่าหนังสือเล่มหนึ่งในแถวนั้น มีรอยกดลึกบริเวณสันหนังสือ ราวกับมีคนจับมันซ้ำ ๆ

 

เขายกมือดึงหนังสือเล่มนั้นออกอย่างระมัดระวัง เสียง “ติ๊ก” ดังแผ่วเหมือนกลไกเก่าแก่ที่รอเวลาถูกปลดเปลื้อง และแล้ว...ชั้นไม้ทั้งแผงก็ขยับเล็กน้อย จากนั้นจึงเลื่อนเปิดออกโดยไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดแม้แต่น้อย

 

เบื้องหลังคือทางเดินแคบ ๆ มืดสลัว มีเพียงแสงจากร้านหนังสือที่ลอดเข้าไปได้บ้าง คูเปอร์กวาดสายตามองรอบร้านอย่างเร็ว เห็นว่าเจ้าของร้านยังอยู่หลังเคาน์เตอร์และไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก

 

เขาเลื่อนตัวเข้าไปก่อนโดยไม่ส่งเสียง เรียกเมเรซตามเข้ามา เสียงฝีเท้าของทั้งสองเบาและหนักแน่นในเวลาเดียวกัน

 

ทางเดินนั้นมีความแคบพอจะให้คนเดินได้เพียงทีละคน กลิ่นไม้เก่าผสมกับกลิ่นกระดาษราวกับพวกเขากำลังเดินเข้าสู่ท้องของหนังสือสักเล่มที่ยังไม่เคยมีใครอ่านจบ

 

เมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่ง ทางเดินนั้นก็สิ้นสุดลงที่ประตูไม้เรียงกันสามบานบนผนังโค้งลึกคล้ายกับห้องใต้ถุน

 

คูเปอร์หยุดอยู่ตรงกลาง ดวงตาสีเทาไล่มองบานประตูทีละบาน ทุกบานดูคล้ายกันจนแทบจะแยกไม่ออก หนึ่งในนั้นเป็นบานไม้โอ๊คที่มีรอยขีดเล็ก ๆ อีกบานมีมือจับที่ใหม่กว่าชัดเจน ส่วนบานสุดท้ายทึบสนิท ไม่มีร่อง ไม่มีรอยขีดใด ๆ

 

“ถ้าเป็นฉันจะไม่เลือกบานที่ดูใหม่” เมเรซกระซิบ

 

“บานที่ไม่มีอะไรเลยก็น่าสงสัยเหมือนกัน เหมือนมันอยากให้เราคิดแบบนั้น” คูเปอร์ตอบ แล้วก้าวถอยมาเล็กน้อย พิจารณารอบห้อง เขาสูดลมหายใจลึกเพื่อดึงสมาธิกลับมา

 

เขาก้มลงมองพื้น เห็นว่าพื้นไม้หน้าบานหนึ่งมีร่องรอยฝุ่นถูเป็นทางจาง ๆ บ่งบอกว่ามีคนผ่านเข้าออกเมื่อไม่นานนี้

 

“บานซ้าย” เขาพูดสั้น ๆ แล้วเอื้อมมือไปบิดลูกบิดเบา ๆ ประตูเปิดออกพร้อมเสียงคลิกเบา ๆ เหมือนฝุ่นที่ซุกอยู่ในร่องกลไกสั่นไหว

 

เมื่อผลักเข้าไป สิ่งที่เห็นคือห้องขนาดไม่ใหญ่ มีแสงไฟสลัวจากโคมดวงเล็กกลางเพดาน กลิ่นสมุดหนังเก่า ละอองฝุ่น และชาอุ่นจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ

 

ภายในห้องนั้นมีโต๊ะไม้เล็กตั้งอยู่ และตรงข้ามโต๊ะนั้น หญิงสูงวัยผิวดำในชุดคลุมทึบกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ใบหน้าของเธอสงบ ดวงตาจับจ้องมาทางพวกเขาเหมือนรู้ว่าจะมาถึงในเวลานี้

 

คิ้วของเธอยกขึ้นเพียงนิดเดียวก่อนจะกล่าวเสียงต่ำอย่างมั่นคง

 

“พวกเธอช้ากว่าที่ฉันคาดไปนิดหน่อยนะ แต่ก็ดีกว่ามาไม่ถึง”

 

คูเปอร์ยืนนิ่ง สบตากับหญิงตรงหน้า ริมฝีปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย

 

“… คุณคือเคย์ล่า เฮย์เดน?”

 

ความคิดเห็นของผู้บันทึก

 

“การตามหารุ่นพี่เคย์ล่าให้เจอเคลียร์เรียบร้อย แต่ทว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของภารกิจเพียงเท่านั้น...”



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 108964 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-6 02:28
โพสต์ 108,964 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 เกียรติยศ +9 ความศรัทธา จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-8-6 02:28
โพสต์ 108,964 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 เกียรติยศ +35 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-8-6 02:28
โพสต์ 108,964 ไบต์และได้รับ +10 EXP +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-8-6 02:28
โพสต์ 108,964 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Daedalus's Legacy  โพสต์ 2025-8-6 02:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เครื่องวาร์ปฉุกเฉิน
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดบำรุงอาวุธ
เรือมินิบานาน่า
Daedalus's Legacy
มีดสั้นสัมฤทธิ์
บทเพลง
การควบคุมอาวุธ (จำกัด)
ปัญญาแห่งการรบ
ร่างจำแลง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กลยุทธ์การรบ
การสื่อสารและควบคุมนกฮูก
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
แว่นกันแดด
หมวกเกราะ
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
หอกกรีก
อัจฉริยะ
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x8
x9
x2
x3
x2
x5
x10
x2
x20
x37
x6
x5
x2
x10
x2
x1
x1
x1
x2
x5
x28
x5
x5
x5
x5
x5
x6
x37
x2
x2
x20
x2
x3
x1
x1
x30
x1
x2
x3
x4
x3
x11
x2
x10
x20
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x1
x5
x5
x31
โพสต์ 2025-9-21 18:40:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-10-2 16:43

Activity Form

 

หน้าที่ 3


คุยกับผู้สูงวัยต้องใช้ความสมองกว่าที่คิด


กลิ่นชาอุ่นและกระดาษเก่าเกาะอยู่ในลมหายใจของทั้งคู่ขณะที่ประตูค่อย ๆ ปิดลงด้านหลัง เคย์ล่า เฮย์เดนยังคงนั่งอย่างสงบ ราวกับไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยที่มีคนสองคนบุกผ่านทางลับเข้ามาถึงตรงนี้

 

คูเปอร์ก้าวไปข้างหน้าเพียงครึ่งก้าว รักษาระยะให้พอเหมาะก่อนโน้มตัวเล็กน้อย “คูเปอร์ โจนส์” เขาเอ่ยชื่อตัวเองอย่างชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงนิ่งแต่มีความอบอุ่นแฝงอยู่ “เรามาจาก... ค่ายฮาล์ฟบลัด”

 

คูเปอร์ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอียงหน้าตอบรับคำพูดของหญิงชราเบื้องหน้าอย่างไม่ปิดบังความทึ่งปนเคารพในน้ำเสียงอันมั่นคงนั้น ไม่มีความลังเลในแววตาเคย์ล่า เฮย์เดนแม้แต่น้อย แม้อายุจะล่วงเข้าสู่วัยที่คนส่วนใหญ่เริ่มเอาแต่นั่งอยู่ในสวนหรือสะสมแสตมป์ แต่สายตาของเธอยังเฉียบคมราวกับเพิ่งอ่านรายงานลับจากกองบัญชาการเมื่อคืน

 

 

เขาผายมือเล็กน้อยไปทางร่างสูงข้างตัว “แล้วนี่ เมเรซ บริโอเทียร์ เชอร์วาล”

 

เมเรซพยักหน้าสั้น ๆ “ยินดีที่ได้พบ” น้ำเสียงของเขาเรียบเย็น แต่ก็ไม่แข็งกระด้างจนดูเป็นศัตรู

 

เคย์ล่ากวาดตามองพวกเขาทีละคน แววตาของหญิงสูงวัยนั้นคมชัดอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่แค่สายตาของคนที่ผ่านการอ่านหนังสือมาก แต่เป็นสายตาที่เคยอ่านทั้งคนและสถานการณ์อย่างทะลุปรุโปร่ง

 

“ฉันรู้ว่าพวกเธอเป็นใคร” เธอตอบในที่สุด เสียงของเธอเรียบลึกแต่มีแรงกดแฝงอยู่ “และรู้ว่าทำไมถึงมา”

 

 

คูเปอร์เหลือบตามองเมเรซแวบหนึ่ง ก่อนกลับมาสบตาเคย์ล่า “ถ้ารู้แล้วก็คงไม่ต้องเสียเวลาพูดอ้อมค้อมสินะ”

 

“แต่ถ้าเธอรู้ว่าพวกนั้นกำลังตามหาคุณอยู่” เมเรซเสริม น้ำเสียงไม่เปลี่ยนแต่เน้นชัดในคำว่า พวกนั้น “ทำไมถึงยังเสี่ยงออกมาเดินข้างนอก ส่งข้อความผ่านนกฮูกให้เราแบบนี้”

 

มุมปากของเคย์ล่ายกขึ้นเล็กน้อย คล้ายรอยยิ้มที่ไม่บอกว่าพอใจหรือท้าทาย “บางครั้ง การยืนอยู่เฉย ๆ ให้คนคิดว่าเราซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง กลับอันตรายกว่าการเดินอยู่ต่อหน้าพวกเขา”

 

คูเปอร์ฟังแล้วรู้สึกได้ว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้เป็นเพียงอดีตบรรณารักษ์ธรรมดา แต่เป็นคนที่มองเกมออกก่อนจะลงมือเล่น เขาไม่ได้พูดโต้ทันที เพียงแต่นั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แล้วกล่าวเสียงนิ่ง “งั้นเราคงต้องคุยกันยาว”

 

เคย์ล่าเอนตัวเล็กน้อย ดวงตาไม่ละจากพวกเขาแม้เพียงชั่วขณะ “ใช่ แต่พวกเธอต้องฟังก่อน ว่าสถานการณ์ตอนนี้ซับซ้อนกว่าที่คิด”

 

เมเรซก้าวไปยืนพิงผนังด้านหนึ่งอย่างเงียบ ๆ เหมือนเลือกจะเฝ้าดูมากกว่าร่วมวงสนทนา แต่สายตาสองสีนั้นจับตาทุกท่าทีของเคย์ล่าอย่างไม่คลาดเคลื่อน

 

 

“ทำไมคุณถึงเลือกมาอยู่ที่นี่” คูเปอร์เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา น้ำเสียงไม่รีบร้อนแต่แฝงความอยากรู้จริงจัง “ผมหมายถึง…จากทุกที่ที่คุณจะซ่อนตัวได้ คุณเลือกอยู่ในร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่สถานีรถไฟ”

 

 

เคย์ล่ามองทั้งสองด้วยแววตานิ่งสงบ รับฟังอย่างไม่มีแววลังเลหรือหวั่นไหว ราวกับบทแนะนำตัวนี้คือเพียงบทกลอนหนึ่งที่เธอเคยอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า จังหวะเธอตอบกลับมาช่างราบเรียบ แต่น้ำเสียงกลับฟังแล้วสะกิดใจราวกับปลายปากกาจรดลงหน้ากระดาษ

 

“ที่นี่ปลอดภัยกว่าที่เห็นนะ” เธอเอ่ยช้า ๆ “เจ้าของร้าน...เขาไม่ใช่แค่คนขายหนังสือธรรมดา เขาเป็นคนที่น่าเชื่อถือ”

 

ไม่มีคำอธิบายที่วกวนหรือหย่อนความมั่นใจ น้ำเสียงนั้นเหมือนมีน้ำหนักของกองหนังสือทั้งห้องบรรจุอยู่

 

เมเรซขมวดคิ้วเล็กน้อย ย่อคำถามลงเหลือเพียงเส้นด้ายเดียวที่จำเป็น “เพราะอะไรถึงไว้ใจเขา?”

 

หญิงชรานั่งตัวตรงราวกับไม่เคยรู้จักกับคำว่าอายุ ดวงตาของเธอจ้องมองชายหนุ่มผมสีชมพูนิ่งนานพอจะทำให้ใครหลายคนหลบสายตา แต่ไม่ใช่เขา

 

“เขากับฉันมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน” เธอว่า

เพียงเท่านั้น ไม่มีคำขยายความ ไม่มีชื่อ ไม่มีเหตุการณ์ประกอบ

 

“และถ้าพวกเธอสงสัยว่าเหตุใดเจ้าของร้านถึงไม่หวาดระแวงพวกเธอ...ก็เพราะฉันบอกเขาไว้ล่วงหน้า ว่าหากมีชายหนุ่มคนใดผ่านเข้ามาโดยบังเอิญ แต่มีดวงตาสีเทา  ให้ช่วยแนะนำพวกเขามาที่นี่”

 

คูเปอร์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะแผ่ว ๆ ในลำคออย่างอดไม่อยู่ หัวใจของเขากระตุกเล็กน้อย

 

“เอาเข้าจริง ผมยังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะกลมกลืนกับเมืองนี้ได้ยังไง” เขากระซิบกับตัวเอง แล้วเหลือบตามองเมเรซที่ยืนกอดอกอย่างไม่ประหลาดใจเท่าไร

 

ดวงตาสีเทาเหม่อมองหญิงตรงหน้า ความคิดวิ่งพล่านในหัวเขาแต่ไม่หลุดออกมาเป็นถ้อยคำทันที...ในตอนที่เขาเองยังลังเลจะวางแผนต่ออย่างไรดี หญิงชรากลับดึงเขากลับเข้าสู่บทสนทนาได้ด้วยถ้อยคำง่าย ๆ  และมีชั้นเชิงเสียจนคนฟังอย่างเขารู้สึกว่า อาจเป็นเรื่องดีที่เธอคือฝ่ายเรา

 

“ถ้าจะพูดให้ชัด...” เขากระซิบ

“รุ่นพี่เคย์ล่า...สมแล้วที่เป็นธิดาแห่งอะธีน่า ถึงผมจะเป็นลูกแม่คนเดียวกัน แต่แค่คิดกลอนแบบนี้ผมคงต้องพึ่งนกฮูกสามตัวกับดนตรีคลาสสิกกระตุ้นสมองก่อนถึงจะเขียนได้สักวรรคเดียว…”

 

คูเปอร์ละสายตาจากภวังค์ภายใน หยิบกระดาษคำใบ้ออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นไปด้านหน้า

 

“คุณเขียนกลอนนี่เองใช่ไหมครับ?” เขาถาม พร้อมแสดงออกอย่างเคารพในท่วงท่าของผู้มีประสบการณ์

 

“แน่นอน” เคย์ล่าตอบทันทีโดยไม่อ้อมค้อม “ไม่ใช่กลอนที่ดีที่สุดของฉันหรอก แต่พอจะชี้ทางให้กับใครบางคนที่มีสมองพอจะตีความ...ซึ่งฉันก็หวังไว้ลึก ๆ ว่าพวกเธอจะเข้าใจ”

 

“เราใช้เวลาพอสมควรครับ” ชายหนุ่มยอมรับเสียงเบา “แต่ดีใจที่ไม่ได้เดินเข้าร้านสักอย่างผิดเวลา”

 

เคย์ล่าขยับนิ้วไล้ขอบแก้วชาอย่างแผ่วเบา แววตาไม่เผยอะไร แต่ท่าทางนั้นเหมือนกำลังตัดสินอะไรบางอย่าง...หรือไม่ก็กำลังกลั่นความคิดให้อยู่ในรูปประโยคที่คนทั่วไปพอจะเข้าใจได้

 

เคย์ล่าจิบชาช้า ๆ อีกครั้ง แล้ววางถ้วยลงบนจานรองเสียงแผ่ว เธอกวาดตามองทั้งคู่ เหมือนกำลังชั่งน้ำหนักว่าพวกเขาพร้อมสำหรับสิ่งที่จะพูดต่อไปหรือยัง

 

 

เคย์ล่านั่งนิ่งหลังฟังทั้งคูเปอร์และเมเรซ เธอวางถ้วยชาลงบนจานรองด้วยความเงียบสงบ ก่อนจะเปรยขึ้น “อย่างที่พวกเธอรู้ ตอนนี้ฉันกำลังถูกซีไอเอตามล่า...ไม่ใช่แค่ซีไอเอ แต่ยังมีพวกองค์กรลับของรัฐอื่น ๆ ที่ฉันไม่อยากเอ่ยชื่อด้วย หลังจากเกษียณจากตำแหน่งบรรณารักษ์รัฐสภา ฉันไม่มีแม้แต่วันเดียวที่ได้ใช้ชีวิตธรรมดา พวกเขากลัวว่าฉันจะเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย ทั้งที่จริง ๆ แล้ว...สิ่งที่ฉันพกติดตัวมามันมีค่ามากกว่าเอกสารเป็นหมื่นแผ่น”

 

น้ำเสียงของเธอหนักแน่น ฉะฉาน และไม่แสดงให้เห็นถึงวัยชราที่ผ่านเกินเจ็ดสิบปีแม้แต่น้อย คูเปอร์เผลอนั่งตัวตรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่เมเรซยังคงพิงผนังอย่างสงบ แต่แววตาสีชมพูและสีเทาเปล่งประกายบ่งบอกว่าคำพูดของเคย์ล่าจับความสนใจเขาเต็มที่

 

คูเปอร์นั่งฟังอย่างเงียบงัน แววตาสีเทาทอประกายจากแสงโคมบนเพดาน ผิวปากเบา ๆ พลางลูบปลายคาง “จากนั้นคุณก็หนีมาที่ริชมอนด์”

 

“ใช่” เคย์ล่าพยักหน้า “ฉันเปลี่ยนเส้นทางตลอดเวลา พักที่เมืองเล็ก ๆ บ้าง หลีกเลี่ยงกล้องวงจรปิด หยุดติดต่อกับคนที่เคยรู้จักจนกระทั่งฉันมาถึงที่นี่ ที่ที่ฉันยังมีใครบางคนให้พึ่งพาได้”

 

“ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันต้องเปลี่ยนที่อยู่ทุกคืน เดินทางหลบซ่อนจนมาถึงริชมอนด์ โชคดีที่ฉันติดต่อคนที่ไว้ใจได้…เขาช่วยให้ฉันพักที่นี่”

 

หญิงชราหยุดพักประโยค สายตากวาดมองคูเปอร์กับเมเรซเหมือนจะเปิดโอกาสให้ถาม แต่เมื่อทั้งคู่ยังคงเงียบ ฟังด้วยความตั้งใจ เธอจึงพูดต่อ “และเมื่อคืน…ฉันฝันถึงสัญญาณ ฝันว่ามีคนจะมาช่วยฉัน หนึ่งในนั้นมีดวงตาสีเทา อีกคนมีดวงตาที่ไม่เหมือนใคร นั่นทำให้ฉันแน่ใจว่ามารดาของพวกเราเป็นผู้ส่งคนมาหาฉัน”

 

คูเปอร์เหลือบตามองเมเรซเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปที่เคย์ล่า เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันแปลก ๆ จากคำพูดนั้น เหมือนเธอกำลังพูดถึงโชคชะตาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

 

เมเรซเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน เสียงของเขาเรียบเฉียบ “แล้วแผนของคุณล่ะครับ คุณอยากให้เราพาคุณหนีไปเรื่อย ๆ หรือมีปลายทางที่วางไว้แล้ว”

 

เคย์ล่าหลุบตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมุมปากที่บ่งบอกถึงการคุมสถานการณ์ “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้พวกเธอพาฉันวิ่งหนีไปตลอด ฉันมีเป้าหมาย ฉันได้ติดต่อใครบางคนที่เมืองมาซัตลาน ประเทศเม็กซิโก ที่นั่นมีเรือรออยู่ ฉันตั้งใจจะขึ้นเรือและล่องออกมหาสมุทรแปซิฟิก ไปหาที่สงบ ๆ ในบั้นปลายชีวิต”

 

เธอพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนราวกับได้ตัดสินใจไว้แล้วนาน คูเปอร์เมื่อได้ยินชื่อเมืองนั้นก็ยกมือขึ้นนวดขมับ มาซัตลาน…จากริชมอนด์ไปถึงนั่น เขาคิดในใจ เราจะต้องผ่านหลายรัฐ ต้องหลีกเลี่ยงสายตาพวกหน่วยงาน และยังไม่รู้ว่าจะเจออสุรกายกี่ฝูงที่ดักรออยู่ระหว่างทาง นี่มันไม่ใช่แค่ยาก แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้

 

เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แววตาจะสว่างวาบขึ้นมาราวกับประกายไฟแล่นผ่านความคิด ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเงยหน้าขึ้น “ผมนึกออกแล้วว่าจะไปยังไง แต่เราต้องกลับไปนิวยอร์กก่อน”

 

ทันทีที่พูดจบ คิ้วของเคย์ล่าก็ขมวดเข้าหากันทันที ดวงตาคมวาวแฝงแววไม่พอใจ “นั่นมันย้อนเส้นทางที่ฉันเพิ่งหลบหนีมา เธอรู้ไหมว่ามันเสี่ยงแค่ไหน ซีไอเอยังมีเครือข่ายแน่นหนาในเมืองนั้น”

 

คูเปอร์ยกมือขึ้นคล้ายจะขอให้เธอฟังจนจบ เขากระแอมเล็กน้อยก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต หยิบผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองผืนหนึ่งออกมาแล้วกางมันตรงหน้า

 

“นี่คือตัวช่วยของเรา”

 

เมเรซเหลือบตามามองก่อนเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย “นายพกผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองมาตลอดทางเพื่อโชว์ช่วงดราม่าอย่างนี้หรือไง”

 

คูเปอร์หัวเราะหายใจสั้น ๆ “มันไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้าธรรมดา มันคือ เรือมินิบานาน่า”

 

เขาวางมันลงบนโต๊ะไม้แล้วใช้นิ้วแตะขอบเบา ๆ “มันดูเหมือนผ้าเช็ดปาก แต่จริง ๆ คือเรือแคนูพิเศษที่ซื้อมาเผื่อการเดินทางภารกิจนี้ ตัวเรือเป็นสีเหลืองนีออนสะดุดตา มีรูปปั้นกริฟฟอนอยู่ตรงหัวเรือ ควบคุมด้วยระบบออโตไพลอต ไม่ต้องพายเอง ความเร็วเทียบเรือยอร์ชได้ด้วยซ้ำ และที่สำคัญ…มันล่องทะเลได้โดยไม่กลัวแตกหัก”

 

เขายิ้มบาง ๆ ที่มุมปากราวกับกำลังภูมิใจในของแปลกที่พกติดตัวมา “เมื่อเราไปถึงนิวยอร์ก เราจะขึ้นรถไฟเฮเฟตัสไปนิวโรม จากที่นั่น เราสามารถออกสู่ชายฝั่งซานฟรานซิสโก แล้วใช้เรือลำนี้ล่องลงไปถึงเม็กซิโกได้”

 

เคย์ล่าจ้องผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองบนโต๊ะ ดวงตาไม่กะพริบอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคูเปอร์ “เธอคิดว่าทุกอย่างมันจะง่ายดายอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ จากริชมอนด์ไปนิวยอร์กก็เสี่ยงพอแล้ว ยังจะต้องผ่านทั้งซีกทวีปเพื่อไปซานฟรานซิสโก แล้วยังต้องแล่นทะเลอีกครึ่งค่อนโลก”

 

คูเปอร์ยักไหล่ ท่าทีผ่อนคลายเหมือนไม่คิดจะรับแรงกดดันที่เธอพยายามทดสอบ “ก็จริง มันไม่ง่ายแน่ แต่…” เขายกยิ้มที่มุมปาก “…ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกครับ”

 

ความเงียบโรยตัวอยู่ระหว่างทั้งสามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เมเรซจะเปรยขึ้นเบา ๆ “อย่างน้อยฉันก็ยอมรับว่านายกล้าพูดแผนที่ฟังดูบ้าขนาดนี้ออกมา”

 

คูเปอร์เหลือบตาหันไปหาคู่หู ยักคิ้วกวน ๆ “กล้าอย่างเดียวไม่พอหรอก ต้องมั่นใจด้วย”

 

เคย์ล่ายังคงนั่งนิ่ง แต่ในดวงตาของเธอมีประกายบางอย่างเปลี่ยนไป เหมือนกำลังชั่งน้ำหนักว่าแผนการบ้าบิ่นนี้อาจเป็นทางเดียวจริง ๆ

 

 

เคย์ล่าหลับตาลง มือเหี่ยวย่นวางบนพนักเก้าอี้อย่างสงบ แต่เส้นเลือดบนหลังมือบ่งบอกถึงความตึงเครียดของความคิดที่แล่นอยู่ในสมองอันคมกริบของเธอ เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ดวงตาของหญิงสูงวัยก็ลืมขึ้นอีกครั้ง ประกายคมวาวในแววตานั้นสะท้อนถึงการประเมินสถานการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

เธอหันกลับมาสบตากับคูเปอร์โดยตรง “ฉันยังยืนยันว่าการเดินทางทางบกจากริชมอนด์ไปนิวยอร์กไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก” เสียงของเธอเด็ดขาด แต่ไม่แข็งกระด้าง “ฉันมั่นใจว่าเส้นทางสายหลักทั้งหมดถูกจับตาไว้แล้ว และไม่ใช่แค่ซีไอเอเท่านั้น แต่ยังมีองค์กรลับอื่นที่ไม่เปิดเผยตัวตน พวกเขามีทั้งตาและหูบนท้องถนน แถมอาจมีกลุ่มอสูรกายปะปนอยู่ด้วย การเดินทางแบบนั้นไม่ต่างจากเอาตัวไปวางบนเขียง”

 

คูเปอร์เงียบ ไม่โต้แย้งในทันที แต่เอนหลังเล็กน้อย ดวงตาสีเทาของเขาเหลือบไปยังมุมห้องราวกับกำลังค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ นิ้วเรียวแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากตัวเองขณะใช้ความคิด จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์เดดาลัสขึ้นมา กดหน้าจอค้นหาเส้นทางอยู่สักพักก่อนจะหันกลับมาทางรุ่นพี่อวุโส

 

“ผมว่ามีวิธีที่จะเดินทางถึงนิวยอร์กได้ปลอดภัยกว่าเส้นทางบก” เขาพูดพลางชูโทรศัพท์ขึ้นให้ดู “เราจะไปทางน้ำ เราจะเดินทางไปยังนอร์ฟอล์กก่อน จากนั้นใช้เรือมินิบานาน่าแล่นตรงขึ้นเหนือสู่ท่าเรือนิวยอร์ก มันทั้งเร็วและช่วยเลี่ยงสายตาพวกที่คุมถนนหลักได้”

 

เมเรซที่ยืนกอดอกอยู่เอียงหน้ามองเพื่อนร่วมทีม สีหน้าเรียบเฉย แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเป็นการทักท้วงอย่างเฉียบคม “ถึงแม้โลกตอนนี้จะสว่างทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการเดินทางทุกอย่างจะสะดวกเหมือนกลางวันตลอดเวลา นายคิดบ้างไหมว่าจะต้องพาคนวัยอย่างเธอ…” เขาเหลือบตามองเคย์ล่า “…ลงเรือและนั่งกลางทะเลนาน ๆ ไหนยังจะเสี่ยงโดนตรวจพบระหว่างทางอีก”

 

คูเปอร์ยกยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากเหมือนเตรียมไว้แล้ว เขาเอื้อมมือไปแตะที่แหวนห้วงมิติ แสงสีเงินวาบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่ในมือเขาจะปรากฏขวดแก้วเล็กใส ภายในบรรจุน้ำสีฟ้าอมเขียวใสระยิบระยับเหมือนของเหลวที่เก็บประกายรุ่งอรุณไว้ทั้งหยด

 

เมเรซหรี่ตาอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เห็น “นั่นมัน… น้ำแห่งความเยาว์วัย ของเทพีฮีบี้นี่” เสียงเขาต่ำลงนิด แต่ชัดถ้อยชัดคำ “ฉันจำได้ ตอนเราทำภารกิจที่ร้าน ฮีบี้จีบี้ส์ ที่ไทม์สแควร์ ของขวดนั้นมันตกเป็นของฉัน…หรือว่า—”

 

คูเปอร์รีบยกมืออีกข้างขึ้นกระแอมเบา ๆ ขัดก่อนที่อีกฝ่ายจะฟังดูเหมือนกล่าวหาเขาตรง ๆ “อย่าเพิ่งปรักปรำ ฉันไม่ได้ขโมยของจากนายสักหน่อย” เสียงเขามีรอยขัน แต่แววตายังคงจริงจัง “ฉันได้ขวดนี้มาจากเพื่อนร่วมค่ายอีกคน เขาแบ่งให้ฉันไว้ต่างหาก”

 

เคย์ล่าที่นั่งฟังอยู่เลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าสงบ แต่แววตาเผยความสงสัยชัดเจนว่าของในมือชายหนุ่มคือสิ่งที่เธอเองไม่คาดว่าจะเห็นในชีวิตจริง

 

คูเปอร์หันกลับไปทางเธอ แล้วยกขวดแก้วขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังอธิบายผลงานทดลอง “น้ำนี้ เมื่อดื่มแล้วจะย้อนวัยผู้ดื่มกลับไปเป็นเด็กอายุราวแปดขวบ ร่างกายสดใหม่ มีแรงเดินทางไกลได้ไม่ต่างจากเด็กที่วิ่งเล่นทั้งวัน แต่ผลของมันมีแค่สามวัน หลังจากนั้นก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม”

 

เขาวางขวดน้ำลงบนโต๊ะเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง ดวงตาสีเทาวาวระยับด้วยประกายความคิด “แผนของผมคือ เมื่อเราเตรียมทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง เราจะให้คุณดื่มสิ่งนี้ คุณจะมีสภาพร่างกายของเด็ก ซึ่งสะดวกต่อการอำพรางสายตาผู้คน เราจะไม่ต้องคอยปกป้องคุณจากความเหนื่อยล้าในการเดินทางไกล อีกทั้งใครจะมาคาดคิดว่าหญิงสูงวัยผู้ถูกตามล่าจะกลายเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ในสายตา”

 

เมเรซปล่อยเสียงหึในลำคอแผ่ว ๆ ดวงตาสองสีจับจ้องที่คูเปอร์อย่างประเมิน “ไอเดียนี้มัน…บ้าดี แต่ก็ฉลาดในเวลาเดียวกัน”

 

เคย์ล่าโน้มตัวเล็กน้อย ดวงตาที่เต็มไปด้วยร่องรอยประสบการณ์จับจ้องไปยังของเหลวในขวดแก้วเล็ก ใบหน้าเธอไม่แสดงรอยยิ้มหรือความตกใจ แต่แววตาเปลี่ยนเป็นสายตาของคนที่กำลังทดสอบ  ไม่ใช่เพียงขวดน้ำ หากแต่เป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่กล้าเสนอแผนการบ้าบิ่นเช่นนี้

 

“เธอกำลังบอกให้ผู้หญิงวัยเจ็ดสิบสามอย่างฉันหดตัวลงไปอยู่ในร่างเด็กแปดขวบ เพื่อจะหนีไปทั้งแผ่นดินและครึ่งค่อนทะเล” น้ำเสียงเธอนิ่ง แต่ทุกถ้อยคำหนักแน่น

 

คูเปอร์วางศอกบนพนักเก้าอี้ เอนตัวเล็กน้อย ยกยิ้มบางที่มุมปาก ดวงตาสีเทาเจือประกายซนที่ไม่เคยหายไปจากตัวเขา “ฟังดูบ้าใช่ไหมครับ แต่ถ้าแผนการที่ดีที่สุดของเราคือทำสิ่งที่ศัตรูคิดไม่ถึง…บางทีมันก็อาจเป็นหนทางเดียว”

 

เสียงในห้องเงียบลงเหลือเพียงเสียงลมหายใจและกลิ่นชาสมุนไพรจาง ๆ ที่ลอยอ้อยอิ่ง บรรยากาศนั้นบีบแน่นไปด้วยความจริงจังที่ทั้งสามคนรู้ดีว่า  เส้นทางจากริชมอนด์สู่นิวยอร์กเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

.

.

.


22/07/2025 16.40 น.

 

หลังจากที่เคย์ล่าใช้เวลานิ่งคิดแล้วตอบรับข้อเสนอของรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง คูเปอร์ก็ลุกจากเก้าอี้ เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองกลับสู่กระเป๋าเสื้อ เหลือบตามองเคย์ล่าและเมเรซอีกครั้ง “ฉันจะออกไปดูรอบ ๆ เอง ระหว่างนี้ฝากนายช่วยดูแลรุ่นพี่ด้วย”

 

เมเรซไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาสองสีจับจ้องที่คูเปอร์ราวกับจะบอกว่า อย่าโง่จนกลับมาไม่ได้ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเพียงยิ้มมุมปากตอบรับ ก่อนหันหลังเดินออกไป

 

เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดังกรุ๊งกริ๊ง ร่างสูงโปร่งหายลับไปในตรอกเงียบสงัดของเมืองริชมอนด์ คูเปอร์เดินช้า ๆ มือซุกในกระเป๋ากางเกง ทอดสายตามองรอบตัวอย่างระมัดระวัง เขากำลังสำรวจทางหนีทีไล่ที่อาจใช้ได้ หากสถานการณ์บีบให้พวกเขาต้องหลบออกไปจากร้านโดยไม่ให้ใครสังเกต

 

ซอยเล็ก ๆ ที่ทอดยาวไปด้านหลังเต็มไปด้วยกลิ่นอับของขยะและคอนกรีตเปียกชื้น เขาเหลือบตาไปทางตึกแถวด้านซ้าย เห็นบันไดเหล็กหนีไฟที่อาจใช้ลัดขึ้นไปยังหลังคาได้ อีกด้านหนึ่งมีทางลอดแคบที่พาไปเชื่อมกับถนนสายเล็ก ข้อมูลเหล่านี้ถูกบันทึกลงในหัวเหมือนเขากำลังร่างแผนที่หนีฉุกเฉินในใจ

 

แต่ทันใดนั้น ลมหายใจของเขาชะงักเมื่อเสียงครืดคราดของบางสิ่งดังขึ้นจากเงามืดตรงมุมกำแพง เสียงเสียดสีกับพื้นคอนกรีตลากยาวเหมือนเกล็ดเลื้อย

 

คูเปอร์ชักแหวนออกมาอย่างไม่ลังเล ปลายนิ้วแตะวงแหวนดาราจรัส แสงสว่างพลันเปล่งวาบ และหอกสัมฤทธิ์ยาวก็ปรากฏในมือ ท่าทีของเขาเปลี่ยนทันทีจากนักสำรวจเป็นนักรบ

 

และสิ่งที่เลื้อยออกมาจากเงามืดก็คือ…ร่างของ ลาเมีย

 

ท่อนบนเป็นหญิงสาวงดงาม ผิวซีดขาว ดวงตาสีเหลืองส่องแสงราวกับเปลวไฟ แต่จากเอวลงไปกลับเป็นลำตัวงูเกล็ดดำมันวาวเลื้อยไปมาบนพื้น เธอยิ้มบาง ริมฝีปากแดงฉ่ำเผยเขี้ยวคมแหลม

 

“เด็กน้อย…ฉันได้กลิ่นเจ้ามาตั้งแต่ก้าวแรก” เสียงแผ่วหวานชวนหลงใหล แต่ทุกถ้อยคำแฝงด้วยความกระหาย

 

คูเปอร์กำศาสตราในมือแน่น ตั้งหอกขึ้นข้างตัว “เสียใจด้วย ฉันโตเกินวัยที่เธอชอบจะล่าแล้วล่ะ”

 

เสียงฟู่ดังขึ้นเมื่อเธอเลื้อยเข้าหา ลำตัวงูพุ่งตรงมาด้วยความเร็วผิดธรรมชาติ คูเปอร์เหวี่ยงหอกตัดอากาศ พุ่งใส่ท่อนแขนขาวผ่องที่กำลังจะคว้าคอเขา แต่ลาเมียกลับหลบได้ราวกับล่วงรู้จังหวะ

 

หอกกระแทกกับผนังประกายไฟกระจาย ชายหนุ่มหมุนตัวแล้วฟาดด้ามหอกกลับใส่ลำตัวงู เสียงเกล็ดกระทบโลหะดัง “แกร๊ง!” ลาเมียร้องคำราม ลำตัวสะบัดแรงหมายพันธนาการเขา คูเปอร์รีบถอยกรูดแล้วแทงหอกใส่กลางวงโค้งของลำตัวนั้น

 

เลือดสีดำทะลักออกมากลิ่นคาวคละคลุ้ง ลาเมียแผดเสียงแหลมสูง สายตาเธอเต็มไปด้วยความอาฆาต นางเงยหน้าส่งเสียงกรีดราวจะเรียกบางสิ่ง คูเปอร์ไม่ปล่อยให้เป็นไปได้ เขาพุ่งตัว ใช้แรงเหวี่ยงหอกตวัดฟันเฉียงจากหัวไหล่ลงมา ร่างงูสะดุ้งเฮือก ก่อนที่ทั้งร่างจะสลายกลายเป็นฝุ่นสีทองปลิวกระจายไป

 

คูเปอร์ยืนหอบ หยาดเหงื่อผสมเลือดเกาะบนใบหน้า เขาเพิ่งคิดว่าพอจะได้พักหายใจ ทว่าทันใดนั้นเสียง ปัง! ของกระสุนดังขึ้น เส้นทางวิถีกระสุนเฉียดหูเขาไปเพียงเสี้ยวนิ้ว

 

ชายหนุ่มสะดุ้ง หันขวับไปยังทิศทางเสียงปืน ร่างหนึ่งปรากฏในเงามืด บุรุษในชุดคลุมสีดำ ก้าวออกมาช้า ๆ ดวงตาเรืองวาวสีแดงฉายออกมาจากใต้ฮู้ด

 

คูเปอร์ยกหอกขึ้นเตรียมรับ แต่แล้วเมื่อเขากระพริบตา ร่างนั้นกลับเปลี่ยนแปลง กลายเป็นจักรกลสูงเกือบสองเมตร โลหะสีดำทมิฬส่องแสงสะท้อนกับแสงไฟจากเสาไฟใกล้เคียง แขนทั้งสองข้างเปลี่ยนสภาพเป็นปืนเลเซอร์และใบมีดพลังงาน มันคือ เดธแมชชีน

 

“ล่า…ทำลาย…” เสียงทุ้มกลไกคำรามออกมา

 

คูเปอร์สบถในใจ “เจอของยากแล้วไง” เขาพุ่งตัวหลบแทบจะพร้อมกับที่ปืนเลเซอร์ยิงเปลวแสงสีแดงเฉียดร่างไป เศษคอนกรีตแตกกระจาย

 

เขาพุ่งไปประชิด ใช้หอกแทงใส่ช่วงข้อต่อระหว่างแขนกับลำตัว เสียงโลหะเสียดสีก้องดัง แต่หอกสัมฤทธิ์แทงไม่ลึกพอจะหยุดมัน มันสะบัดแขน ใบมีดพลังงานเฉียดหน้าเขาจนผิวร้อนวูบ

 

คูเปอร์กัดฟัน ดวงตาสีเทากวาดหาจุดอ่อน เขาจำได้จากตำราที่เคยอ่าน ระบบระบายความร้อน…เซลล์พลังงาน…เซนเซอร์…

 

เขาอาศัยจังหวะที่เดธแมชชีนยกแขนขึ้นเพื่อเล็งจรวดนำวิถี หมุนตัวไปด้านหลัง ใช้หอกกระแทกเต็มแรงที่ช่องระบายความร้อนด้านหลัง เสียงโลหะแตกดังสนั่น ไอน้ำร้อนพุ่งออกมา

 

จักรกลคำรามด้วยเสียงกลไกขัดข้อง ปืนเลเซอร์ยิงผิดทิศพุ่งไปกระแทกกำแพงแทน เขาไม่ปล่อยโอกาสพุ่งขึ้น ใช้หอกเสียบตรงช่องพลังงานใต้แผงอก สีแดงวาบขึ้นพร้อมเสียงระเบิดเล็ก ๆ

 

ร่างเดธแมชชีนโงนเงนก่อนทรุดฮวบลงกับพื้น ร่างเหล็กมหึมาค่อย ๆ สลายเป็นเศษโลหะดำที่ระเหิดหายไปกับอากาศ

 

คูเปอร์หอบหนัก หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมา แต่ยังไม่ทันได้ตั้งหลัก เสียง ครืด ครืด ของกลไกหนัก ๆ ดังขึ้นอีกครั้งจากปลายซอย เสียงฝีเท้าโลหะและกลไกสั่นสะเทือนพื้น มันไม่ใช่ตัวเดียว…มีอีกหลายตัว

 

เขากัดฟัน คิดไวเหมือนสายฟ้า สู้ไม่ไหวแน่ ต่อให้ฆ่าได้ก็หมดแรงก่อน

 

ดวงตาสีเทาหลุบลง เขาเรียกพลังในกาย ร่างสูงโปร่งบิดไหว ก่อนจะแปลงเป็นนกฮูกสีน้ำตาล ปีกกว้างสยายออก คูเปอร์บินทะยานขึ้นสู่บนฟ้าเหนือเมือง เลือกเส้นทางเงียบที่สุดเพื่อลอบกลับไปยังร้านหนังสือ ลมเย็นตีปีก เขามุ่งหน้ากลับไปยังที่กบดานของเคย์ล่า รู้ดีว่าครั้งนี้เขาโชคดีที่รอดออกมา แต่ครั้งหน้าคงไม่มีโอกาสให้พลาดอีก


ความคิดเห็นของผู้เขียนบันทึก


เคย์ล่าตัดสินใจแล้ว และผมดีใจที่เธอเลือกเชื่อเราอย่างน้อยก็เชื่อพอจะลองแผนบ้าบิ่นนี้ น้ำของฮีบี้ยังอยู่ในกระเป๋า ผลมันแค่สามวัน แต่สามวันนี้อาจเป็นหน้าต่างเดียวที่เราจะพา “เด็กหญิงวัยแปดขวบชื่อเคย์ล่า” หลุดจากเรดาร์ได้


เส้นทางถูกล็อกคร่าว ๆ : ริชมอนด์ → นอร์ฟอล์กทางน้ำ → ขึ้นท่าที่นิวยอร์ก → รถไฟเฮเฟตัสสู่นิวโรม → ออกชายฝั่งซานฟรานซิสโก แล้วค่อยปล่อย “เรือมินิบานาน่า” ลากพวกเราไปให้ถึงมาซัตลาน แผนมันดูเว่อร์ก็จริง แต่ถ้าศัตรูเดาไม่ถูก เราก็ได้ระยะหายใจ


ผมออกไปสำรวจตรอกหลังร้าน ได้ทางหนีทีไล่สองจุด ก่อนจะเจอของจริงติด ๆ กัน ทั้งลาเมีย และเดธแมชชีนหนึ่งตัว… แล้วก็เสียงฝีเท้าเหล็กอีกหลายคู่ตามมา 


ต่อจากนี้ เราต้องเคลื่อนตอนคนซา เตรียมตัวให้พร้อม และออกสู่ทางน้ำให้เร็วที่สุด แม่ครับ…ถ้าท่านมองอยู่ ช่วยกันสายตาพวกนั้นให้มองข้ามเราที อย่างน้อยจนกว่าจะถึงนอร์ฟอล์กก็ยังดี


 

หลักฐานการพิชิต

 

เดธแมชชีน

 

https://percyjackson.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:dungeon&do=dungeon_fight&battle_id=188

 

+ 2 ตื่นรู้จากการพิชิตครั้งแรก

 

ลาเมีย

 

https://percyjackson.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:dungeon&do=dungeon_fight&battle_id=187

 

+ 2 ตื่นรู้จากการพิชิตครั้งแรก

 

สินสงคราม

 

ลาเมีย

 

(หากมี LUK 60+ จะได้ x2 จากจำนวนที่ดรอป

 

เกล็ดลาเมีย

 

เดธแมชีน

 

หากมีค่า LUK 100 หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2 (เฉพาะวัตถุดิบสุ่ม ที่ไม่ใช่อุปกรณืและกระดาษแปลน)

 

โลหะผสมพิเศษ (10 หน่วย) (ดรอปทุกกรณีไม่สุ่ม)

 

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 117632 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-21 18:40
โพสต์ 117,632 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 2025-9-21 18:40
โพสต์ 117,632 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-9-21 18:40
โพสต์ 117,632 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 เกียรติยศ +9 ความศรัทธา จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-9-21 18:40
โพสต์ 117,632 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 เกียรติยศ +35 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-9-21 18:40

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +4 ย่อ เหตุผล
God + 4

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เครื่องวาร์ปฉุกเฉิน
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดบำรุงอาวุธ
เรือมินิบานาน่า
Daedalus's Legacy
มีดสั้นสัมฤทธิ์
บทเพลง
การควบคุมอาวุธ (จำกัด)
ปัญญาแห่งการรบ
ร่างจำแลง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กลยุทธ์การรบ
การสื่อสารและควบคุมนกฮูก
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
แว่นกันแดด
หมวกเกราะ
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
หอกกรีก
อัจฉริยะ
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x8
x9
x2
x3
x2
x5
x10
x2
x20
x37
x6
x5
x2
x10
x2
x1
x1
x1
x2
x5
x28
x5
x5
x5
x5
x5
x6
x37
x2
x2
x20
x2
x3
x1
x1
x30
x1
x2
x3
x4
x3
x11
x2
x10
x20
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x1
x5
x5
x31
โพสต์ 2025-9-21 22:49:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-9-21 23:37

Activity Form

หน้าที่ 4


เริ่มปฏิบัติการหลบหนี

 

Richmond

23/07/2025 03.36 น.

 

ลมในตรอกเล็กยังคงมีไอชาอุ่นติดปลายจมูกอยู่จาง ๆ ตอนที่คูเปอร์กลับมาถึงห้องลับใต้ร้านหนังสือ แผนการถูกวางอย่างฉับไวราวสเก็ตช์แรกของภาพใหญ่ที่พร้อมลงสีทันที เขาย้ำกับตัวเองอย่าคิดเยอะเกินไปจนเสียจังหวะ

 

ไอเดียไปนอร์ฟอล์กด้วยอูเบอร์ถูกสรุปโดยไม่ต้องเปิดประชุมยืดยาว เหตุผลข้อหนึ่ง ประหยัดเวลา เพราะระบบขนส่งสาธารณะมีขีดจำกัดเรื่องความเร็วและจุดแวะพักที่ทำให้หลุดจังหวะ ข้อสอง จะออกเดินทางหลังเที่ยงคืนซึ่งโลกอาจสว่างแจ้งตลอดวันคืน แต่ตารางบริการก็ยังเคลื่อนตามนาฬิกา ไม่ใช่ท้องฟ้า

 

ตัวเลขราคาที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้หัวใจชายหนุ่มหวิววาบ 109 ดอลลาร์นะคุณผู้ชม! กระเป๋าสตางค์ร้องเพลงบัลลาดขึ้นมาเองเลยทีเดียว แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องจ่าย เขาเลือกจุดรับส่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากร้านหนังสือ ผ่านการไล่เช็กรอบบริเวณจนแน่ใจว่าไม่น่ามีเงาที่สามเฝ้ามองอยู่

 

ก่อนออกเดิน เคย์ล่าดื่มน้ำแห่งของความเยาว์วัย ร่างสูงวัยค่อย ๆ หดลงเป็นเด็กหญิงวัยราวแปดขวบ ผมดกดำ นัยน์ตาเฉียบคมแบบเดิมไม่มีผิด มีเพียงสรีระที่เล็กลงทำให้เงาบนพื้นสั้นลงอย่างน่าเอ็นดู บรรยากาศรอบตัวเธอยังมีอำนาจเงียบ ๆ แบบคนคุมห้องสมุดใหญ่ ที่ยกนิ้วชี้เพียงนิดเด็กทั้งชั้นก็พร้อมนั่งหลังตรงได้อย่างพร้อมเพรียง

 

คูเปอร์ส่งมีดสั้นสัมฤทธิ์ให้เธอ “เผื่อมีอะไรฉุกเฉินนะครับ”

 

เธอส่ายหน้าเบา ๆ คล้ายจะบอกว่าตนเองก็พอมีอาวุธของตัวเอง แต่เมื่อเห็นสายตาเขาจริงจังจึงรับไว้ คลี่มุมปากน้อย ๆ แบบคนที่ยอมตามแผนเพื่อให้ทุกอย่างลื่นไหล

 

ทั้งสามมายืนรอที่จุดนัดหมาย ความเงียบก่อร่มเงาบาง ๆ เหนือฟุตบาท คูเปอร์กะความเสี่ยงตามสัญชาตญาณ พลางฟังเสียงเมืองที่ไม่หลับใหลแต่แสร้งเงียบ เช็กซ้ำว่าบริเวณนี้ไม่มีคนสะพายหูฟังที่ไม่เล่นเพลง ไม่มีรองเท้าหนังที่ยืนอยู่นานผิดปกติ ไม่มีแว่นกันแดดที่ไม่ควรอยู่บนหน้าในแสงที่ไม่บาดตา

 

ไฟหน้ารถเลี้ยวเข้ามาช้า ๆ หยุดเทียบขอบทาง เมเรซก้าวไปก่อนด้วยท่วงท่าที่แปลกตากว่าปกติ อัธยาศัยดีเสียจนหน้าปัดดาวเคราะห์น้อยในใจคูเปอร์สั่นริก ๆ เขาแลกคำสั้น ๆ กับคนขับด้วยน้ำเสียงเรียบเนียนเหมือนสปอตโฆษณาน้ำหอม แล้วจึงผายมือเรียกทั้งสองขึ้นนั่งโดยไม่เสียเวลา

 

ในรถ อากาศเย็นเฉียบทำให้ความคิดคมชัดขึ้น คูเปอร์นั่งเบาะหลังกับเด็กหญิงที่แค่กะพริบตาก็ดูโตกว่าวัย ส่วนชายตาสองสีไปฝั่งตรงข้าม ม่านบังสายตาข้างหนึ่งเลื่อนลงเพียงครึ่งเพื่อเช็กทางข้างหน้าโดยไม่ดึงความสนใจ

 

“ถ้าคนขับถาม” คูเปอร์กระซิบเบาพอที่ลมจากช่องแอร์ยังต้องชะงักฟัง “เราไปเที่ยวทะเลกันแบบคนอยากเปลี่ยนบรรยากาศนะ”

 

“ฉันแต่งตัวเหมือนคนไปทะเลตรงไหน” เมเรซหลุบตาลงมองโชคเกอร์กับต่างหูเงินระย้าของตัวเองเบา ๆ น้ำเสียงไร้อารมณ์แต่ปลายประโยคมีประกายล้ออยู่ริมน้ำเสียง

 

เด็กหญิงวางมือเล็กบนตักอย่างสงบ ดวงตากวาดอ่านถนนเหมือนอ่านสารบัญหนังสือเล่มหนา “ถ้ามีด่านหรืออะไรผิดปกติ ฉันจะเป็นคนชี้”

 

รถเคลื่อนออกจากริชมอนด์อย่างนุ่มนวล เมืองค่อย ๆ ถอยหลังเป็นริ้วไฟ คูเปอร์นับจังหวะสัญญาณไฟเขียวแดงเพื่อกะช่วงเปลี่ยนเลนที่ไม่สะดุด เงียบฟังไส้ในของเมืองว่ามีอะไรตามมาหรือไม่

 

 

ไม่นานแสงของเสาไฟถนนเปลี่ยนจากถี่เป็นห่าง เสียงเมืองหลอมเป็นเสียงถนนโล่ง ๆ ที่ลากยาวแบบดนตรีมินิมอล

 

คูเปอร์เปิดบทสนทนาเบาดุจพรม “ถ้าเจออะไรที่ไม่ควรเจอ นายเป็นคนบอกฉันนะ”

 

“ฉันบอกอยู่แล้ว นายต่างหากอย่าทำเสียงผิวปากตอนคิดกลยุทธ์ ข้างนอกอาจมีกล้องเสียง” เมเรซตอบโดยไม่เงยหน้า แต่ปลายน้ำเสียงนุ่มลงเล็กน้อยอย่างห่วงแบบไม่ขยายความ

 

เด็กหญิงเหลือบเขม้นในแบบผู้ดูแลชั้นวางหนังสือ “อย่าเถียงในเรื่องเล็กน้อย พวกเธอสองคน”

 

 

Norfolk

23/07/2025 04.30 น.

 

รถวิ่งผ่านป้ายเขตชานเมือง สัญญาณบางอย่างในร่างคูเปอร์สั่นเบา ๆ เหมือนสายกีตาร์ถูกดีด เขาขยับมือไปแตะหอกที่เก็บในแหวนโดยอัตโนมัติ ความทรงจำสดใหม่เรื่องลาเมียและเดธแมชชีนยังอุ่นอยู่ที่กล้ามเนื้อ เขาบอกตัวเองให้แบ่งแรงไว้สำหรับตอนต้องกระโดดเข้าชนจริง ๆ

 

ราวครึ่งทาง เมเรซเอียงหน้า สายตาสีชมพูหรี่ลงนิดเดียว “มีรถคันหนึ่งอยู่หลังเราไกล ๆ เขาเปลี่ยนเลนเหมือนเราเป๊ะมาสามครั้งแล้ว”

 

คูเปอร์ขยับตัวเล็กน้อย ลมหายใจเสมอคอ ไม่รีบเร่ง “เดี๋ยวให้คนขับรับโทรศัพท์ ฉันจะจังหวะให้เขาเข้าช่องทางขนส่ง แล้วออกอีกช่องหนึ่งเพื่อดูว่ายังมีอะไรตามมาไหม”

 

ไม่มีใครต้องโทรจริง ๆ แค่ปรับท่าทาง เปลี่ยนเลนตามช่องรถบรรทุก ใช้รถคันใหญ่บังสายตาไว้สองสามครั้ง พอออกสู่ช่องเดิมอีกที เงานั้นหายไปเหมือนน้ำหยดลงทราย

 

“คงแค่นักเดินทางใจตรงกัน” เมเรซว่ากึ่งบ่นกึ่งชม “หรือไม่ก็คิดว่าพวกเราไม่น่าสนใจพอจะเสียเวลา”

 

“สุดยอดเลย การไม่มีเสน่ห์ในเวลาที่ควรไม่มีเสน่ห์เป็นพรจริง ๆ” คูเปอร์ปล่อยถ้อยคำเบาหวิว คลี่ไหล่ให้คลายตึง

 

ทิวทัศน์เปลี่ยนเป็นแนวโกดังไกล ๆ สะพานข้ามน้ำและกลิ่นอายใกล้ทะเลที่เริ่มขมเค็มอยู่ในลำคอ เส้นขอบฟ้าของนอร์ฟอล์กโผล่ขึ้นเหมือนบันทึกหน้าใหม่ที่กำลังถูกเปิด ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองออกมาพลิกดูอีกครั้งเพียงเสี้ยวอึดใจ แล้วซ่อนไว้ในเสื้อเชิ้ตเหมือนก่อนหน้านี้

 

รถชะลอที่จุดลงตามที่เลือกไว้ซึ่งไม่ใช่ท่าเรือหลัก แต่เป็นช่วงแถบอุตสาหกรรมที่เงียบกว่า มีเสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ ลอยผ่านอากาศ ริมน้ำสะท้อนแสงสว่างที่ไม่มีวันจาง คูเปอร์กวาดตามองพื้นที่รอบ ๆ อีกครั้ง เช็กทางลัด ทางกลับหลัง พื้นที่กำบัง และระยะวิ่งไปถึงผิวน้ำโดยไม่ถูกใครมองชัด

 

เขาพยักหน้าให้เมเรซ อีกฝ่ายขยับต่างหูเงินนิดเดียวเหมือนเป็นสัญญาณเงียบ เด็กหญิงกระชับเสื้อคลุมที่ยาวเกินเข่าเล็กน้อย มือเล็กซ่อนโกร่งด้ามมีดสัมฤทธิ์ที่เอวไว้ใต้เนื้อผ้า

 

“ถึงเวลาโชว์ของ” คูเปอร์เอ่ยเบา ๆ เหมือนพึมพำกับทะเลที่รออยู่เบื้องหน้า

 

พวกเขาเลี้ยวเข้าแนวเงาท่าเรือที่ไม่มีใครมองมา ก้าวลงตามขั้นคอนกรีตหยาบสู่ขอบน้ำ กลิ่นเกลือและสนิมประสานกันจนแสบจมูกนิด ๆ คูเปอร์กางผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองในมือ นิ้วไล้ลวดลายที่มองด้วยตาเปล่าก็เหมือนผืนผ้า แต่ปลายนิ้วสัมผัสรู้ว่ามันซ่อนโครงเรืออยู่ข้างใต้

 

เขากระซิบถ้อยคำที่ได้รับมาพร้อมไอเท็มนั้น เบาและสั้นเหมือนเคาะประตูบ้านเพื่อนสนิท

 

ผืนผ้ากะพริบวาบ แล้วแผ่ตัวออกเป็นความโค้งมนสีเหลืองนีออนเฉียบ ลำเรือเล็กสายพันธุ์กล้วยโผล่ขึ้นทับความว่างเปล่า ด้านหน้าเป็นรูปปั้นกริฟฟอนที่ยืดอกอย่างภาคภูมิ แววตาหินของมันวาวขึ้นนิดเดียวเหมือนกำลังขานรับผู้ถือสิทธิ์

 

“น่ารักกว่าที่คิด” เมเรซเอียงคอมองเหมือนประเมินงานศิลป์มากกว่าพาหนะ “และเด่นกว่าที่ควรเด่นนิดหน่อย”

 

“สัญญาว่าความเด่นจะมีประโยชน์เวลาเราต้องขู่คลื่นลม” คูเปอร์ยักคิ้วอย่างคนเอนจอยกับของแปลกที่จัดหาไว้ เขาผายมือให้เด็กหญิงก้าวขึ้นก่อน วางผ้าคลุมรองขอบที่นั่งเพื่อกันลื่น ส่วนตัวเองจัดกระเป๋าและน้ำหนักสมดุลอย่างคล่องแคล่ว

 

เมื่อทุกคนนั่งประจำตำแหน่ง เขาแตะฐานกริฟฟอนเบา ๆ ระบบออโตไพลอตติดขึ้นด้วยเสียงหายใจของโลหะที่พึ่งตื่น ลำเรือยกหัวเล็กน้อยเหมือนสัตว์เลี้ยงที่พร้อมออกวิ่ง

 

“เส้นทางขึ้นเหนือ ขนาดความเร็วตามสภาพคลื่น” เขาพูดชัด คอมมานด์ถูกเรือรับและสื่อสารกลับด้วยแสงสว่างจาง ๆ บริเวณดวงตากริฟฟอน

 

ผิวน้ำแตะท้องเรืออย่างสุภาพ ก่อนจะลื่นไถลไปข้างหน้าเป็นเส้นเงียบ ลมหายใจของทะเลพัดพาเสี้ยวกลิ่นสนิมออกจากใจให้เหลือแค่ความเค็มสดที่ตีปลายลิ้น

 

คูเปอร์หันมาทางคู่หู “ถ้านายจะปลอมเป็นอะไรสักอย่างเพื่อพราง เราอาจต้องใช้ตอนเข้าใกล้ท่าเรือใหญ่”

 

“ฉันคิดไว้แล้ว” เมเรซตอบสั้น ๆ ดวงตาสองสีมองเส้นขอบน้ำราวชั่งระยะกับจังหวะคลื่น “เราไม่จำเป็นต้องพรางตลอดทาง แค่เฉพาะจุด”

 

เด็กหญิงนั่งนิ่ง แผ่นหลังตรง ดวงตาไล่ไปตามแนวคลื่นราวสะกดบรรทัดลม เธอหันมาพูดเบามาก “เมื่อเข้าใกล้ปากอ่าว อย่าตัดตรง ให้เลาะแนวเงาแทน คลื่นสะท้อนจะทำให้เราดูเหมือนก้อนน้ำหนักธรรมดาในโซนาร์”

 

คูเปอร์รับคำทันที ปรับทิศเรือผ่านฐานกริฟฟอน แสงที่ดวงตาหินกระพริบตอบเช่นเห็นพ้องกันทั้งคณะ

 

ลำสีเหลืองฉวัดเฉวียนไปบนผืนน้ำที่โอบล้อมด้วยแสงไม่โรยรา เสียงเมืองจางลง เหลือเพียงเสียงเรือเล็มผิวน้ำและเสียงใจที่กลับมานิ่งอีกครั้ง

 

คูเปอร์ทอดสายตามองทางยาวที่รออยู่ นิวยอร์ก รถไฟเฮเฟตัส นิวโรม ซานฟรานซิสโก แล้วมาซัตลาน ทุกชื่อเหมือนหมุดสีแดงปักเรียงบนแผนที่ในหัว เขาไม่รู้ว่าระหว่างทางจะมีอสูรกายหรือสายลับคนไหนโผล่จากเงามืดอีก แต่รู้ว่าทีมเล็ก ๆ นี้กำลังขยับไปพร้อมกันอย่างจริงจัง

 

เขาก้มมองนิ้วตัวเองที่แตะแหวนดาราจรัส แววตาไล่จากกริฟฟอนกลับไปยังเด็กหญิง แล้วจบที่คนผมสีชมพูซึ่งนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นที่พร้อมจะเปลี่ยนรูปเมื่อจำเป็น

 

“ไปนิวยอร์กกัน” เขาพูดแค่นั้น แต่ลมกับน้ำรับไปต่อให้ยาวกว่าถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยมากนัก

 

แสงแดดจัดสะท้อนผิวน้ำวูบวาบเป็นเส้นเงินจนแทบแสบตา คูเปอร์ยกแว่นตาดำขึ้นมาสวม ปล่อยลมหายใจออกช้า ๆ เหมือนจะตัดบทสนทนากับดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยหลับใหลสักที เขาไม่ใช่พวกที่ชอบนั่งแช่กลางแดดแบบนี้นาน ๆ และเมื่อสายลมจากทะเลไม่พอจะบรรเทาได้ เขาก็รู้ว่าถึงเวลาต้องหาตัวช่วย

 

ชายหนุ่มแตะแหวนดาราจรัสเบา ๆ แสงวูบเล็กน้อยก่อนที่มือจะหนักขึ้นพร้อมกระบอกโลหะสีบรอนซ์วาวที่ประดับลวดลายปีกน้อย ๆ มันคือ กระบอกบรรจุลมสี่ทิศ ของเฮอร์มีส ไอเทมที่เขาซื้อมาแบบครึ่งบ่นครึ่งหวังว่าจะได้ใช้สักวัน…ใครจะคิดว่ามันจะได้ออกโรงเร็วขนาดนี้

 

“นั่นอะไรน่ะ” เสียงใสของเคย์ล่าในร่างเด็กหญิง ดังขึ้นพร้อมดวงตากลมโตที่แม้จะอยู่บนใบหน้าอายุแปดขวบ แต่สายตานั้นเต็มไปด้วยประสบการณ์เจ็ดสิบกว่าปี

 

คูเปอร์ยกกระบอกขึ้นหมุนให้แสงสะท้อนลายปีกเล่น “กระบอกลมสี่ทิศครับ ของเฮอร์มีส ซื้อมาในราคาเจ็บปวดนิดหน่อย แต่ก็คุ้มสำหรับตอนนี้” น้ำเสียงเขาฟังดูแทบจะเหมือนพนักงานขายที่กำลังปิดการขายสินค้าพรีเมียม “มันจะปล่อยลมที่แรงจนเรือพุ่งเหมือนติดเทอร์โบไอพ่น ถ้าคำนวณไม่ผิดนะ การเดินทางที่ควรจะกินหลายชั่วโมง เราจะเหลือแค่สี่ชั่วโมงถึงนิวยอร์ก”

 

เมเรซที่พิงขอบเรืออยู่หันมาขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วใช้งานยังไง ไม่บอกเดี๋ยวฉันเผลอเปิดใส่หน้าแทน”

 

“ก็เหมือนไอพ่นน่ะ” คูเปอร์อธิบายพลางทำท่าหมุนฝาปิด “แค่หันปากมันไปทางท้ายเรือแล้วเปิด ฝาลมก็จะพุ่งออกมาแรงพอจะทำให้เรือพุ่งไปข้างหน้า ห้ามหันผิดทางเด็ดขาด ไม่งั้นเราคงได้แหวกทะเลถอยหลังอย่างสวยงาม”

 

เขาหัวเราะเบา ๆ พลางส่งกระบอกให้เคย์ล่าซึ่งนั่งกึ่งกลางเป็นคนกลางส่งต่อให้เมเรซ เด็กหญิงรับของอย่างระมัดระวังกว่าที่ควรสำหรับวัยนั้น ก่อนจะวางมันลงในมือชายหนุ่มผมสีชมพู

 

เมเรซพลิกของในมือช้า ๆ แววตาสองสีสะท้อนแสงแดด เขาเอียงหน้าเล็กน้อยเหมือนกำลังวิเคราะห์งานออกแบบ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ถ้ามันระเบิดใส่หน้า ฉันจะถือว่านายเป็นคนโฆษณาเกินจริง”

 

คูเปอร์ยักไหล่พลางยกยิ้มมุมปาก “ถ้าไม่เสี่ยงนิดหน่อยก็ไม่เรียกการเดินทางแบบเราแล้วล่ะ”

 

เด็กหญิงถอนหายใจเบา ๆ “พวกเธอนี่ชอบเล่นกับไฟนัก” แต่ดวงตาเธอก็ยังจับจ้องเรือเหมือนคำนวณเส้นทางหนีเผื่อไว้แล้ว

 

เมเรซขยับไปนั่งมั่นที่ท้ายเรือ จับกระบอกให้แน่น หันปลายไปตามแนวท้องเรือสีเหลืองนีออนที่ลอยสั่นเล็กน้อยบนคลื่น จากนั้นหมุนฝาปิดโลหะช้า ๆ

 

ทันทีที่เสียง คลิ๊ก ดังขึ้น ลมอัดแน่นพุ่งออกมาจากปากกระบอก เสียงหวีดดังสูงสะท้อนผิวน้ำ เรือมินิบานาน่ากระตุกเหมือนสัตว์เล็กที่ตื่นตกใจ ก่อนจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยแรงมหาศาล

 

น้ำกระจายแตกซ่านเป็นเส้นยาวด้านหลัง หัวเรือยกสูงเล็กน้อย ขอบกริฟฟอนทองเรืองวาวราวกับกำลังหัวเราะไปกับความเร็วที่ฉีกอากาศออกไป เสียงทะเลแปรเปลี่ยนจากซู่ซ่าเป็นครืน ๆ หนักแน่น เรือทั้งลำไถลไปข้างหน้าเหมือนลูกธนูที่ถูกปล่อยจากสาย

 

คูเปอร์จับขอบเรือแน่นแต่หัวเราะออกมา “โอ้โห! เหมือนนั่งจรวด!”

 

สายลมแรงปะทะใบหน้า แว่นดำแทบหลุด เคย์ล่าตัวเล็กต้องกดหมวกผ้าที่ใส่ไว้แน่น ขอบผมดำปลิวสะบัด แต่สีหน้ากลับนิ่งกว่าที่ใครคิด ราวกับกำลังสนุกกับการนั่งม้าพยศที่เชื่อฟังคำสั่งเธออย่างดี

 

เมเรซนั่งนิ่งพอให้คิดว่าเป็นรูปปั้น แต่สายตาสองสีของเขาแวววาวด้วยประกายท้าทาย “เอาล่ะ…ดูเหมือนเราจะไม่ต้องนั่งอาบแดดไปถึงพรุ่งนี้แล้ว”

 

เรือสีเหลืองเล็กพุ่งฉีกผิวน้ำออกไป ทิ้งริ้วคลื่นยาวไกลเบื้องหลัง การเดินทางสู่ท่าเรือนิวยอร์กเริ่มขึ้นด้วยความเร็วที่ใครก็คาดไม่ถึง…

 

 

คูเปอร์และสมาชิกร่วมทีมออกเดินทางสู่นิวยอร์ก

 

 

ความคิดเห็นของผู้เขียนบันทึก

 


ไม่คิดเลยว่าการนั่งรถออกจากริชมอนด์กลางดึกจะทำให้ใจเต้นแรงขนาดนี้ ทั้งที่มันก็แค่การนั่งเบาะหลัง มองไฟถนนไหลผ่านไปเรื่อย ๆ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนทุกสัญญาณไฟ ทุกเลนที่เปลี่ยน มีเดิมพันซ่อนอยู่

 

พอเรือมินิบานาน่าออกตัวจริง ๆ ผมหัวเราะออกมาโดยไม่ทันคิด เหมือนปล่อยความกดดันที่แบกมาตลอดสองสามวัน ทุกอย่างเร็วเกินคาด ลมแรงจนแว่นแทบปลิว แต่ความเร็วแบบนั้นกลับทำให้ใจผมสงบลงอย่างประหลาด รู้สึกว่าถึงแม้ทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความเสี่ยง อย่างน้อยเราก็ยังขยับไปข้างหน้าด้วยกัน

 

บางทีการเดินทางมันไม่ต้องมีคำอธิบายหรู ๆ ก็ได้ แค่มีเสียงหัวเราะเบา ๆ ของตัวเองท่ามกลางเสียงคลื่น ก็คงพอแล้ว

 

 

 

 

มอบ น้ำแห่งความเยาว์วัย ให้ 'เคย์ล่า เฮย์เดน'


มอบ มีดสั้นสัมฤทธิ์ ให้ 'เคย์ล่า เฮย์เดน'


ใช้ กระบอกบรรจุลมสี่ทิศ (ส่งมอบให้แอดมินแล้ว)


จ่ายค่าอูเบอร์ 109 ดอลลาร์

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 61440 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-21 22:49
โพสต์ 61,440 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 2025-9-21 22:49
โพสต์ 61,440 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-9-21 22:49
โพสต์ 61,440 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 เกียรติยศ +9 ความศรัทธา จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-9-21 22:49
โพสต์ 61,440 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 เกียรติยศ +35 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-9-21 22:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เครื่องวาร์ปฉุกเฉิน
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดบำรุงอาวุธ
เรือมินิบานาน่า
Daedalus's Legacy
มีดสั้นสัมฤทธิ์
บทเพลง
การควบคุมอาวุธ (จำกัด)
ปัญญาแห่งการรบ
ร่างจำแลง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กลยุทธ์การรบ
การสื่อสารและควบคุมนกฮูก
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
แว่นกันแดด
หมวกเกราะ
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
หอกกรีก
อัจฉริยะ
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x8
x9
x2
x3
x2
x5
x10
x2
x20
x37
x6
x5
x2
x10
x2
x1
x1
x1
x2
x5
x28
x5
x5
x5
x5
x5
x6
x37
x2
x2
x20
x2
x3
x1
x1
x30
x1
x2
x3
x4
x3
x11
x2
x10
x20
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x1
x5
x5
x31
โพสต์ 2025-9-22 02:27:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-9-22 07:12

Activity Form

 

หน้าที่ 5


การเดินทางแสนสนุก!

 

 

New York

23/07/2025 08.20 น.

 

ใช้เวลาเพียงไม่นาน เรือสีเหลืองมินิบานาน่าก็แล่นเข้ามาใกล้ชายฝั่งนิวยอร์ก แสงแดดยามเช้าเริ่มเฉียงกระทบผิวน้ำสะท้อนระยิบระยับ เวลาในนาฬิกาข้อมือคูเปอร์ชี้ไปที่ 8 โมงเกือบจะยี่สิบพอดิบพอดี เกือบตรงตามคาดการณ์ และที่สำคัญ พวกเขามาถึงโดยไม่มีอุปสรรคจากทั้งอสูรกายหรือสายลับใด ๆ เลย

 

การขึ้นฝั่งตรงท่าเทียบเรือกลางเมืองเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกได้แน่ สามคนจึงเลี่ยงไปขึ้นฝั่งในย่านโกดังร้างเงียบสงัดแทน เสียงเรือเล็กกระทบกับผนังปูนดัง ก๊อง แผ่วเบา คูเปอร์ก้าวลงก่อน ยื่นมือไปช่วยเคย์ล่าที่อยู่ในร่างเด็กหญิง และเมเรซตามลงมาเป็นคนสุดท้าย

 

“อย่าลืมว่าเรามาแบบลับ ๆ” เมเรซเอ่ยเสียงต่ำทันทีที่เท้าแตะพื้น เขาก้าวนำสายตาสองสีกรอกไปรอบ ๆ ราวกับกำลังอ่านลมหายใจของเมือง

 

ไม่กี่ก้าวถัดมา เขาก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณหยุด “มีคน… กำลังเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ ๆ” น้ำเสียงของเขาสั้น กระชับ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น “บางทีอาจจะไม่ใช่พวกธรรมดา ทางที่ดีเราควรเลี่ยง อย่าให้ถูกเห็น”

 

คูเปอร์พยักหน้า เห็นพ้องอย่างเงียบ ๆ เขารู้ดีว่าอาวุธสัมฤทธิ์ในมือไม่ได้มีไว้ใช้ต่อกรกับมนุษย์ธรรมดา หากต้องเผชิญหน้าคนเหล่านั้น พวกเขาทำได้เพียงทำให้สลบ ไม่ใช่ฆ่า  แต่ความวุ่นวายใด ๆ ก็มีแต่จะทำให้เส้นทางที่เหลือลำบากขึ้นไปอีก

 

เคย์ล่าในร่างเด็กมองทั้งสองหนุ่มด้วยแววตาที่นิ่งเกินวัย “พวกเธอเดินนำเถอะ ฉันจะตามจังหวะให้”

 

พวกเขาเคลื่อนไหวเงียบเชียบไปตามเงาตึกสูง ใช้ตรอกซอกซอยบังตัวจากถนนหลัก เสียงฝีเท้าของกลุ่มชายชุดสูทดังลอดมาเป็นระยะ แต่ไม่ใกล้พอที่จะเห็นเงา ทั้งสามหยุดนิ่งหลายครั้ง ซ่อนอยู่หลังถังขยะหรือกำแพงที่พอจะบังได้ ก่อนเลี่ยงเส้นทางออกมาสู่ถนนอีกด้านโดยไม่ถูกใครจับตามอง

 

หลักฐานการหลบหนีในระบบ



https://percyjackson.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:dungeon&do=dungeon_fight&battle_id=190

 


เมื่อพ้นออกมาถึงถนนใหญ่ได้สำเร็จความรู้สึกตึงเครียดในอากาศก็คลายลงเล็กน้อย เคย์ล่าหันมาถามเสียงเรียบ “แล้วต่อไปเราจะไปกันยังไง”

 

คูเปอร์ไม่ตอบด้วยคำพูด แต่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบเหรียญดรักม่าขึ้นมา แสงสะท้อนสีเงินหม่นวูบวาบในแสงแดด

 

เมเรซเห็นท่าทีนั้นก็เลิกคิ้วสูงทันที “อย่าบอกนะว่านายจะเรียกใช้ บริการนั้น?” น้ำเสียงกึ่งระคนระหว่างประหลาดใจกับไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

 

คูเปอร์เพียงยักไหล่ ยิ้มมุมปาก ก่อนจะโยนเหรียญลงพื้นถนนเสียง กริ๊ง! พร้อมเอ่ยวาจา O Sisters Three, I seek thy speed. Come ride the storm and answer my need. !”

 

เพียงชั่วอึดใจ หมอกควันสีเทาก็ก่อตัวขึ้นกลางถนน รถแท็กซี่คันเก่าทรุดโทรมปรากฏขึ้นราวกับผุดมาจากอากาศ บนเบาะหน้า มีสามพี่น้องหญิงชราผมฟู นัยน์ตาเพียงดวงเดียวกลางหน้าผากผลัดกันถือเป็นเจ้าของ

 

“ขึ้นมาเร็วสิ เด็กน้อยทั้งหลาย” หนึ่งในนั้นแค่นเสียงหัวเราะพร่า “พวกเราไม่มีเวลาให้ใครชักช้า”

 

คูเปอร์ก้าวไปคุยอย่างไม่ลังเล “ปลายทาง สถานีแกรนด์เซ็นทรัล  ก่อนเก้าโมงเช้า”

 

จากนั้นเขาหันกลับมาทางคู่หูและรุ่นพี่ “รถไฟเฮเฟตัสออกเก้านาฬิกา ถ้าเราจะไปนิวโรมทัน นี่คือทางเดียวที่การันตีว่าไม่พลาด”

 

เมเรซถอนหายใจยาว สีหน้าชัดเจนว่าไม่อยากฝากชีวิตไว้กับพาหนะนี้เท่าไร แต่ก็จำต้องก้าวขึ้นไปนั่ง ขณะที่เคย์ล่ามองรถด้วยสายตาประเมิน ก่อนจะก้าวขึ้นโดยไม่เอ่ยวาจา ทว่าแววตาเล็กน้อยบ่งบอกถึงความรู้สึกที่ผสมทั้งความประหลาดใจกับความระแวง

 

เมื่อผู้โดยสารทั้งสามเข้าที่นั่ง ประตูแท็กซี่ก็กระแทกปิดดัง ปัง! คนขับกระแทกคันเร่งโดยไม่มีเข็มขัดนิรภัย ไม่มีระบบเบรก ABS และไม่มีความปรานีใด ๆ รถแท็กซี่สามพี่น้องเทาพุ่งออกจากหมอกควันด้วยความเร็วที่ทำให้ถนนนิวยอร์กสั่นสะเทือน— การเดินทางชวนหัวใจวายสู่แกรนด์เซ็นทรัล เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

 

รถแท็กซี่สีเหลืองเก่าที่เหมือนจะพังได้ทุกเมื่อพุ่งทะยานออกจากหมอกควัน เสียงเครื่องยนต์คำรามก้องไปทั่วถนน นิวยอร์กที่วุ่นวายอยู่แล้วกลับกลายเป็นเพียงเงาสะบัดผ่านสายตาเมื่อความเร็วพุ่งขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ

 

คูเปอร์กดตัวแน่นไปกับเบาะ มือหนึ่งคว้าไปยึดประตูอีกข้างจับเบาะหน้าไว้ ดวงตาสีเทาเบิกกว้างภายใต้แว่นดำที่เกือบหลุดออกมา เสียงลมหายใจของเขาแทรกไปกับเสียงหัวเราะแหบพร่าของสามพี่น้องบนเบาะหน้า

 

เมเรซถึงกับกุมขมับแต่ยังพยายามนั่งอย่างสงบ เขาแสร้งทำเหมือนไม่สะทกสะท้าน แต่แววตาสองสีก็สะท้อนความตึงเครียดที่ยากจะซ่อน เขาเหยียดขาเล็กน้อยเหมือนพยายามหาจุดทรงตัว เผื่อว่ารถจะพลิกคว่ำในอีกไม่กี่วินาที

 

เคย์ล่าในร่างเด็กหญิงยึดมีดสั้นสัมฤทธิ์ที่คูเปอร์มอบให้ไว้แน่น แม้รูปลักษณ์จะเป็นเด็กแปดขวบแต่สายตายังคงเฉียบคมและเต็มไปด้วยสมาธิ เธอนั่งนิ่งแต่แววตากวาดไปตามถนนทุกเลน เหมือนกำลังอ่านเกมการขับบ้าระห่ำนี้ราวกับมันคือกระดานหมากรุก

 

รถแท็กซี่เลี้ยวหักศอกโดยไม่แตะเบรก เสียงยางเสียดสีกับพื้นถนนดังเอี๊ยดจนประกายไฟกระจาย ตัวรถเอียงจนเกือบจะคว่ำ แต่ก็ยังประคองกลับมาตรงทางได้อย่างเหลือเชื่อ หนึ่งในพี่น้องหัวเราะคิกคักพลางตะโกนใส่พวงมาลัย “เร็วขึ้นสิ เร็วกว่านี้อีก”

 

คูเปอร์กัดฟันพลางตะโกนสวน “นี่มันเร็วพอจะไปถึงวันพรุ่งนี้แล้วนะ” แต่แน่นอนว่าเสียงของเขาถูกกลบด้วยเสียงเครื่องยนต์และเสียงหัวเราะแหบของหญิงชราสามคน

 

เมเรซพึมพำเสียงเรียบแต่ชัดเจนพอที่คูเปอร์จะได้ยิน “ถ้าเรารอดไปถึงแกรนด์เซ็นทรัลโดยไม่ตายเพราะอุบัติเหตุ ฉันจะถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ของมารดานาย”

 

เคย์ล่ายังคงนิ่ง เธอเพียงยกคิ้วเล็กน้อย ก่อนหันไปมองคูเปอร์แล้วเอ่ยด้วยเสียงเด็กใส ๆ แต่แฝงด้วยความเคร่งขรึม “โฟกัสไปที่แผนต่อไป อย่าปล่อยให้ความกลัวกลบสติ”

 

รถแท็กซี่สามพี่น้องยังคงพุ่งทะยานผ่านการจราจรในนิวยอร์กที่แน่นขนัดราวกับมันไม่ได้มีสัญญาณไฟหรือกฎจราจรใด ๆ บนโลกใบนี้ เสียงแตรจากรถรอบข้างดังระงม เสียงเหล็กเสียดสีแว่วขึ้นเมื่อรถแท็กซี่เฉียดชนอีกคันจนสีถลอกทิ้งร่องรอยไว้

 

ทั้งสามผู้โดยสารถูกโยนซ้ายทีขวาทีตามแรงเหวี่ยงของการเลี้ยว แต่ไม่มีใครพูดอะไรอีก ทุกคนต่างรู้ดีว่าขณะนี้สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือเกาะให้แน่น และภาวนาให้แท็กซี่คันนี้พาพวกเขาไปถึงแกรนด์เซ็นทรัลก่อนเก้าโมงโดยไม่แหลกเป็นเศษเหล็กเสียก่อน

 

Grand Central Terminal

23/07/2025 08.45 น.

 

การเดินสุดหวาดเสียวที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่กลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอายุสั้นลงหลายปี แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอย่างน้อยพวกสามพี่น้องเทาก็พาพวกเขามายังสถานีแกรนด์เซ็นทรัลได้ทันเวลา และอย่างน้อยก็พามาส่งแบบยังมีชีวิตและอวัยวะครบ 32 ประการ หลังจากที่จ่ายค่ารถแท็กซี่อีก 2 ดรักม่าที่เหลือ ไม่มีเวลาให้เอ้อระเหย พวกเขาก้าวเท้าเข้าสู่สถานีรถไฟอันโอ่โถง สถาปัตยกรรมแบบโบซาร์ที่โดดเด่น

 

ตัวอาคารสูงโอ่อ่า เพดานโค้งประดับภาพจิตรกรรมกลุ่มดาววาววับ แสงจากโคมไฟระย้าส่องกระทบพื้นหินอ่อนขัดมันจนเป็นประกาย ผู้คนเดินขวักไขว่ บางคนแบกกระเป๋าเดินทาง บางคนจิบกาแฟในมือ แต่ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ทั้งสามรู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้มาในฐานะนักท่องเที่ยว

 

“ถ้าจำไม่ผิดต้องไปที่ชานชาลาเก้าใช่ไหม” คูเปอร์เอ่ยพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ดวงตาสีเทาของเขาสะท้อนทั้งความระแวดระวังและความตื่นตัว

 

เมเรซตอบกลับเสียงเรียบ “ใช่ แต่ไม่ใช่ชานชาลาธรรมดา ต้องเข้าผ่านกลไกบนเสาต้นหนึ่ง เดี๋ยวฉันพาไป” จากนั้นเขาเหลือบตามองคูเปอร์เล็กน้อยพร้อมแซวติดตลก “อ้อ อย่าเผลอเดินชนเข้าไปตรง ๆ เหมือนในหนังโรงเรียนพ่อมดล่ะ นายไม่ได้มีไม้กายสิทธิ์นะ”

 

คูเปอร์หัวเราะหึ ๆ “ก็รู้แล้วน่า”

 

ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที พวกเขาก็มาถึงเสาหินอ่อนต้นหนึ่งที่ดูไม่แตกต่างจากเสาอื่นในโถงใหญ่ ทว่าที่ฐานมีปุ่มโลหะเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ เมเรซเอื้อมมือกด เสียงกลไกเบา ๆ ดังขึ้นเหมือนลมหายใจลอดร่องหิน จากนั้นผนังเสาก็เผยรอยแยบเล็กพอให้เดินผ่าน

 

ทั้งสามก้าวเข้าไป ร่างกายเหมือนถูกแรงกดดันเบา ๆ โอบรัดอยู่ชั่วขณะ ก่อนทุกอย่างจะเปิดออกสู่พื้นที่ใหม่

 

ชานชาลาที่เก้าปรากฏตรงหน้า ไม่ได้หรูหราโอ่อ่าเหมือนโถงใหญ่ด้านนอก หากแต่เต็มไปด้วยบรรยากาศลึกลับ เส้นทางเหล็กทอดยาวหายไปในความมืด รถไฟสีดำสนิทที่ตกแต่งด้วยทองแดงและลวดลายเฟืองกลไกจอดนิ่งอยู่ เสียงฮัมต่ำ ๆ ของพลังงานเวทมนตร์ก้องสะท้อนอยู่ในอากาศ

 

คูเปอร์แทบไม่รอให้ใครพูดอะไร เขารีบวิ่งไปยังเคาน์เตอร์เล็ก ๆ ที่มีพนักงานสวมแว่นหนาเตอะนั่งอยู่ “ตั๋วไปนิวโรม สามที่ครับ”

 

พนักงานเงยหน้าขึ้น เสียงราบเรียบเอ่ยตอบ “สำหรับสายจากนิวยอร์ก แกรนด์เซ็นทรัล ไปนิวโรม มีเพียงชั้นประหยัดเท่านั้น ราคาที่นั่งละห้าดรักม่า ยืนยันจะซื้อไหม”

 

“ครับ” คูเปอร์พยักหน้าอย่างไม่ลังเล ควักดรักม่า 15 เหรียญวางลงตรงหน้า พนักงานรับไปแล้วหยิบตั๋วโลหะเล็ก ๆ สามใบส่งคืนมา

 

ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากันเพียงสั้น ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถไฟ เสียงโลหะกระทบพื้นบันไดก้องกังวาน พวกเขารีบหาที่นั่งในตู้โดยสารชั้นประหยัด ซึ่งแม้จะไม่หรูหรา แต่เก้าอี้บุหนังเรียงรายก็ดูมั่นคงพอสำหรับการเดินทางอันยาวไกล

 

คูเปอร์ทรุดตัวนั่งลงพร้อมถอนหายใจยาว เหมือนความตึงเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งเช้าถูกระบายออกไปบางส่วน เมเรซนั่งข้าง ๆ เอนหลังหลับตาเหมือนกำลังคุมสมาธิ ส่วนเคย์ล่าในร่างเด็กนั่งตรงข้าม มองออกไปยังหน้าต่างบานเล็กที่เผยให้เห็นเพียงความมืดของอุโมงค์

 

เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นต่ำ ๆ ราวประกาศการเริ่มต้นบทใหม่ของการเดินทาง รถไฟเฮเฟตัสสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลาที่เก้า พาพวกเขาออกจากมหานครนิวยอร์ก มุ่งหน้าไปสู่เส้นทางลับที่เชื่อมโลกมนุษย์กับนิวโรม


ความคิดเห็นของผู้เขียนบันทึก


ผมน่าจะชินกับความเร็วแล้วใช่ไหม หลังจากนั่งเรือมินิบานาน่ามาทั้งคืน แต่แท็กซี่สามพี่น้องนี่…เล่นเอาใจแทบหลุดออกมาอยู่ข้างถนน นิวยอร์กที่เคยคิดว่าหนักหน่วง กลายเป็นแค่ภาพเบลอ ๆ ที่วิ่งสวนสายตาไปหมด หัวเราะไม่ออก ได้แต่เกาะเบาะให้แน่น แล้วก็ภาวนาในใจว่าอย่าให้ตายโง่ ๆ ตรงถนนแมนฮัตตันเลย


แต่ถึงอย่างนั้น…พอเราก้าวออกมาหน้าแกรนด์เซ็นทรัลแบบครบสามสิบสองอวัยวะนะ ฮะฮา มันกลับมีความรู้สึกตลกปนโล่งใจเหมือนฝันร้ายที่จบลงกะทันหัน แค่เดินเข้าไปในโถงใหญ่ เห็นเพดานสูง ผมก็รู้สึกว่าตัวเองกลับมามีลมหายใจจริง ๆ อีกครั้ง



พอได้นั่งเก้าอี้บุหนังบนรถไฟเฮเฟตัส ความเหนื่อยโถมเข้ามาทีเดียวเหมือนคลื่นใหญ่ เพราะรู้สึกว่าทั้งร่างกายและหัวใจต้องการพักจริง ๆ เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นช้า ๆ เหมือนบอกว่า “ไม่ต้องคิดอะไรตอนนี้หรอก แค่หายใจไปพร้อมเสียงล้อเหล็กก็พอ”


บางทีการรอดมาได้ในเช้าวุ่นวายที่สุด แค่นี้ก็นับเป็นชัยชนะเล็ก ๆ ของวันแล้วล่ะ

 

 

ชำระค่าบริการแท็กซี่พี่น้องเทา 3 ดรักม่า


ชำระค่าตั๋วรถไฟชั้นประหยัด 3 ที่นั่ง 15 ดรักม่า

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 36712 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-22 02:27
โพสต์ 36,712 ไบต์และได้รับ +15 EXP +15 เกียรติยศ +20 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 2025-9-22 02:27
โพสต์ 36,712 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-9-22 02:27
โพสต์ 36,712 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 เกียรติยศ +9 ความศรัทธา จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-9-22 02:27
โพสต์ 36,712 ไบต์และได้รับ +20 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-9-22 02:27
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เครื่องวาร์ปฉุกเฉิน
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดบำรุงอาวุธ
เรือมินิบานาน่า
Daedalus's Legacy
มีดสั้นสัมฤทธิ์
บทเพลง
การควบคุมอาวุธ (จำกัด)
ปัญญาแห่งการรบ
ร่างจำแลง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กลยุทธ์การรบ
การสื่อสารและควบคุมนกฮูก
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
แว่นกันแดด
หมวกเกราะ
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
หอกกรีก
อัจฉริยะ
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x8
x9
x2
x3
x2
x5
x10
x2
x20
x37
x6
x5
x2
x10
x2
x1
x1
x1
x2
x5
x28
x5
x5
x5
x5
x5
x6
x37
x2
x2
x20
x2
x3
x1
x1
x30
x1
x2
x3
x4
x3
x11
x2
x10
x20
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x1
x5
x5
x31
โพสต์ 2025-9-22 09:09:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-9-22 21:31

Activity Form

หน้าที่ 6


ชีวิตบนรถไฟก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น

 

HephaestusTrain

23/07/2025 10.20 น.

 

รถไฟเฮเฟตัสเคลื่อนตัวไปบนรางเวทมนตร์อย่างมั่นคง ความเร็วมหาศาลที่ไม่น่าจะเข้ากับตู้โดยสารชั้นประหยัดที่เบาะยังปรับได้ไม่เกินเก้าสิบองศา กับหน้าต่างกระจกที่บังคับให้เปิดเพื่อรับลมเอาเอง แต่กลับกลายเป็นเสน่ห์แปลก ๆ ของการเดินทาง

 

คูเปอร์เอนตัวนั่งบนเบาะหนังที่ค่อนข้างแข็ง นัยน์ตาสีเทากวาดมองออกไปนอกหน้าต่าง ลมแรงตีเข้ามาจนผมสีน้ำตาลปลิวสะบัด วิวด้านนอกพร่าเลือนไปด้วยความเร็ว แต่ยังเห็นเส้นต้นไม้ ทุ่งหญ้า และบางครั้งเป็นเงาของภูเขาที่ฉายผ่านไปราวกับแสงแฟลช

 

ตรงข้ามเขา เคย์ล่าในร่างเด็กแปดขวบ นั่งกอดอกหลับตา พยายามข่มตัวเองให้พักผ่อน แต่สีหน้าของเธอยังเคร่งเครียดจนเหมือนผู้ใหญ่เต็มตัวมากกว่าเด็ก เมเรซนั่งข้าง ๆ หลับตาพริ้มเช่นกัน แต่ไม่ใช่การพักผ่อนธรรมดา เขาเหมือนเข้าสมาธิ ลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บางครั้งริมฝีปากขยับเล็กน้อยราวกับร่ายมนต์เงียบ ๆ ป้องกันภัย

 

คูเปอร์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วล้วงเข้าไปในเสื้อเชิ้ต หยิบสมุดเล็กที่สภาพปกเก่าแต่ยังคงแน่นหนาออกมา เขาเปิดหน้าที่ขีดเขียนด้วยลายมือยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยแผนการคร่าว ๆ สัญลักษณ์แปลก ๆ ที่เขาคัดลอกมาจากหนังสือ และแผนที่ที่วาดด้วยดินสออย่างลวก ๆ

 

“แผนการบ้าบิ่นจริง ๆ” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางจรดดินสอเพิ่มเส้นทางที่เพิ่งผ่าน  ริชมอนด์ไปนอร์ฟอล์ก ขึ้นเรือมินิบานาน่า ขึ้นฝั่งที่นิวยอร์ก แล้วต่อรถไฟเฮเฟตัส คูเปอร์มองดูเส้นลายมือขรุขระแล้วหัวเราะในลำคอ “ถ้าแม่มาเห็นคงบอกว่าลูกชายวาดแผนที่ได้เละกว่าลูกนกเขี่ยรังอีก”

 

เขาปิดสมุด เก็บมันกลับลงกระเป๋า ก่อนจะยกขวดน้ำขึ้นดื่ม อากาศที่พัดเข้ามาแม้จะสดชื่น แต่ก็แห้งจนทำให้ริมฝีปากแตกนิด ๆ

 

เสียงกุกกักจากตู้โดยสารด้านหน้าเรียกความสนใจ คูเปอร์เหลือบมองไป เห็นผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่ต่างมีรูปลักษณ์หลากหลายกว่าที่ควรจะเป็นสำหรับรถไฟธรรมดา มีชายคนหนึ่งสวมหมวกกว้างปิดบังใบหน้า แต่เท้าที่โผล่พ้นกางเกงกลับเป็นกีบแพะ และเด็กสาวผมดำที่นั่งอ่านหนังสือกรอบปกหนังสือเก่าซึ่งเขาสาบานได้ว่าเป็นภาษากรีกโบราณ

 

รถไฟสายนี้ไม่ใช่ของคนธรรมดาแน่นอน และคูเปอร์ก็ไม่แปลกใจนัก เพียงแต่พยายามทำตัวให้กลมกลืนที่สุด เขาพิงหัวกับพนักเบาะ หลับตา ปล่อยให้เสียงก้องของล้อเหล็กบนรางเวทมนตร์กล่อมใจให้ผ่อนคลาย

 

แต่ภายในหัวของเขากลับยังทำงานไม่หยุด เขานึกถึงสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า เมืองนิวโรมที่เขาไม่เคยไปมาก่อน เส้นทางสู่ซานฟรานซิสโก และการเดินเรือลงไปถึงเม็กซิโก ทุกอย่างฟังดูยาวไกลราวกับฝันไป

 

“ถ้าฉันรอดกลับไปได้ คราวหน้าจะนั่งเรือกอนโดลาในสวนสาธารณะพอแล้ว” เขาพึมพำเบา ๆ เหมือนสัญญากับตัวเอง

 

รถไฟยังคงแล่นไปข้างหน้า เสียงหวูดต่ำก้องสะท้อนในอุโมงค์เบื้องหน้า แสงไฟจากเพดานตู้โดยสารกระพริบวูบวาบเมื่อผ่านช่วงรางบางจุด ราวกับจะเตือนว่าการเดินทางครั้งนี้ เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

 

เสียงล้อเหล็กเสียดสีกับรางดังกึกก้องอย่างสม่ำเสมอ รถไฟเฮเฟตัสแล่นไปด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ แต่บรรยากาศภายในตู้โดยสารกลับเต็มไปด้วยความเรียบง่ายของชั้นประหยัด เก้าอี้หนังสีหม่นที่ปรับเอนได้ไม่เกินเก้าสิบองศา เสียงลมพัดวูบวาบเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดไว้เพื่อระบายอากาศ สายลมปะทะผมคูเปอร์จนยุ่งเหยิง แต่เขาไม่ได้สนใจนัก กลับรู้สึกว่ามันช่วยกลบความอึดอัดในอกได้ดีเสียด้วยซ้ำ

 

เขาเอนตัวพิงพนัก หันหน้ามองวิวสองข้างที่พร่าเลือนราวกับภาพวาดที่ใครบางคนละเลงสีอย่างรีบร้อน บางจังหวะเห็นต้นไม้ที่กลายเป็นเส้นตรงสีเขียว บางจังหวะก็แลบวาบด้วยสีเทาของภูเขาหิน เสียงผู้โดยสารคนอื่นแว่วอยู่เบื้องหลัง บางคนคุยกันเบา ๆ บางคนหลับสนิทพิงกระจก มีบ้างที่เสียงหัวเราะแว่วมา แต่โดยรวมแล้วรถไฟเส้นนี้กลับมีความสงบประหลาด

 

เคย์ล่าในร่างเด็กนั่งไขว่ห้างบนเบาะตรงข้าม ใบหน้าสงบแต่แฝงด้วยความคิด เธอหยิบมีดสัมฤทธิ์เล่มเล็กที่คูเปอร์มอบให้ขึ้นมาดู สะท้อนแสงจากโคมไฟเหนือหัวเป็นประกายแหลมคม เด็กแปดขวบทั่ว ๆ ไปอาจหยิบของเล่นตุ๊กตามากอด แต่สำหรับเธอ กลับเป็นอาวุธที่จับด้วยความเคยชินเหมือนเป็นปากกาหรือหนังสือ

 

“ทำหน้าแบบนั้นระวังคนอื่นเขาจะคิดว่าเด็กคนนี้หนีออกมาจากบ้านนักล่าปีศาจนะครับ” คูเปอร์แซวเสียงเบา พลางฉีกยิ้มน้อย

 

เคย์ล่าเงยหน้ามองเขา แววตานิ่งเช่นเดิม แต่ริมฝีปากยกยิ้มเพียงเสี้ยววินาที “ถ้าคนพวกนั้นยังไม่รู้จักเดมิก็อด ก็ไม่เป็นไรหรอก” น้ำเสียงเธอนิ่งราบ แต่เฉียบคมราวกับเส้นด้ายเหล็ก

 

คูเปอร์หัวเราะในลำคอแล้วหันไปทางเมเรซที่นั่งข้าง ๆ เจ้าตัวพิงศีรษะกับพนักเก้าอี้ หลับตาพริ้มเหมือนคนกำลังพัก แต่คูเปอร์รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่เคยวางการ์ดจริง ๆ ดวงตาสองสีของเมเรซแม้ปิดอยู่ แต่การหายใจเป็นจังหวะและท่าทางนิ่งสงบทำให้คูเปอร์มั่นใจว่าเขากำลังใช้สมาธิเพื่อปรับประสาทสัมผัส คอยฟังและจับความเคลื่อนไหวในตู้โดยสารนี้อยู่ตลอด

 

“นายไม่คิดจะพักบ้างรึไง” คูเปอร์ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

 

เมเรซลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง มองด้วยดวงตาสีชมพูสลับเทา “ถ้าเราพักพร้อมกันทั้งสามคน แล้วใครจะคอยเฝ้ารอบข้าง” น้ำเสียงเรียบง่าย แต่พอได้ยินก็ทำให้คูเปอร์ถอนหายใจยาว

 

“นายก็พูดถูก”

 

เวลาผ่านไปช้า ๆ รถไฟสั่นสะเทือนเล็กน้อยเมื่อเปลี่ยนราง แสงไฟเหนือศีรษะกระพริบวูบวาบ คูเปอร์หยิบสมุดเล็กออกมาอีกครั้ง เปิดหน้าที่เต็มไปด้วยลายเส้นขีดเขียนสับสน เขาก้มหน้าวาดสัญลักษณ์บางอย่างต่อ เติมเส้นทางใหม่ในแผนที่อย่างตั้งใจ

 

เคย์ล่าเอียงคอ มองสมุดนั้นแล้วถามขึ้น “นายชอบบันทึกแบบนี้เสมอหรือ”

 

“ก็…มันช่วยให้ผมไม่ลืมว่าเราเดินทางมาถึงไหนแล้ว” คูเปอร์ตอบเสียงเรียบ แต่สายตากลับกวาดไปยังลายเส้นที่ดูเละเทะเกินกว่าจะใช้เป็นแผนที่ได้จริง “ถึงจะเหมือนลายมือไก่เขี่ยก็เถอะ”

 

“มันไม่เลวหรอก” เคย์ล่าตอบช้า ๆ “การบันทึกคือการยืนยันว่าเราเคยผ่านตรงนั้นมาแล้ว”

 

คูเปอร์เงยหน้ามองเธอ ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากเด็กแปดขวบ เขายิ้มจาง ๆ ก่อนจะหันกลับไปเขียนต่อ

 

ไม่นานนัก พนักงานรถไฟเดินผ่านมาตามทางเดิน ร่างกายเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่บนเสื้อกั๊กมีตราสัญลักษณ์ของเฟืองทองแดงที่หมุนวนเองช้า ๆ คูเปอร์สังเกตเห็นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือผู้ช่วยของเฮเฟตัส อาจไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา พนักงานหยุดตรวจตั๋วทีละคน เมื่อมาถึงแถวของพวกเขา คูเปอร์ยื่นตั๋วโลหะทั้งสามใบออกไป

 

พนักงานก้มศีรษะเล็กน้อย เสียงกลไกเบา ๆ ดังขึ้นจากตราสัญลักษณ์บนเสื้อ ก่อนจะคืนตั๋วให้ พวกเขาผ่านไปโดยไม่มีปัญหา

 

เสียงรถไฟยังคงฮัมต่ำ ๆ เป็นจังหวะคงที่ แต่ในอกของคูเปอร์กลับไม่สงบ เขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การโดยสารธรรมดา ทุกครั้งที่รถไฟผ่านเส้นทางใหม่ มันพาพวกเขาเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้น แต่ก็เท่ากับเข้าใกล้อันตรายที่ซ่อนอยู่มากขึ้นเช่นกัน

 

เขาเหลือบมองเพื่อนร่วมทางทั้งสอง  เมเรซที่ยังคงหลับตาเฝ้าระวัง และเคย์ล่าในร่างเด็กที่นั่งนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความคิดที่ไม่อาจคาดเดาได้  

 

รถไฟแล่นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แสงไฟลอดเข้ามาเป็นจังหวะเหมือนหัวใจเต้น ทุกคนรู้ว่าเส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล และบททดสอบที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

 

เสียงรถไฟยังคงดังสม่ำเสมอ กึก กึก กึก เป็นจังหวะที่กลายเป็นเพลงกล่อมประสาทผู้โดยสารหลายคนให้เอนหลับ แต่ไม่ใช่สำหรับคูเปอร์ นัยน์ตาสีเทาที่มักวอกแวกไปทั่วจับจ้องกับเพดานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะตีหน้าฉงนเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

 

“ให้ตายสิ” เขาพึมพำเบา ๆ พลางทุบหน้าผากตัวเองเบา ๆ หนึ่งที “ทำไมเพิ่งคิดได้ตอนนี้เนี่ย”

 

เมเรซลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง มองด้วยหางตา “อะไรอีกล่ะ” น้ำเสียงเขาเรียบแต่ชวนหงุดหงิดเล็ก ๆ ราวกับเตรียมใจแล้วว่าคูเปอร์ต้องเล่นอะไรเพี้ยน ๆ แน่

 

คูเปอร์ไม่ตอบทันที แต่ยกมือแตะที่แหวนดาราจรัส แสงวาบเล็ก ๆ ส่องขึ้น ก่อนจะปรากฏห่อผ้าใบหนึ่งวางอยู่บนตัก เขาคลี่ออกเผยให้เห็นกล่องอาหารที่บรรจุแซนด์วิชไก่เย็น ๆ  ถั่ว และขวดน้ำสองสามใบ

 

“อาหาร” เขาพูดพร้อมยิ้มกว้างเหมือนนักมายากลที่โชว์ทริกเด็ด “ผมดันลืมไปว่าเราไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะ”

 

เคย์ล่าในร่างเด็กเอียงคอเล็กน้อย แววตาคมสงบแต่มีประกายวาวบางอย่าง “อย่างน้อยนายก็คิดออกก่อนที่เราจะเป็นลมกลางตู้โดยสาร” เธอพูดเสียงนิ่ง แต่คูเปอร์แอบได้ยินว่าเหมือนแฝงรอยล้อเลียนอยู่ลึก ๆ

 

เมเรซถอนหายใจพลางยื่นมือมาหยิบถุงถั่ว “ดีแล้วที่นายพกมา ไม่งั้นฉันคงต้องแปลงร่างเป็นเชฟทำอาหารจากอากาศว่างเปล่า” เขาว่าเสียงเนือย แต่ในแววตาสองสีกลับมีประกายขันซ่อนอยู่

 

คูเปอร์หัวเราะเบา ๆ พลางยื่นแซนด์วิชไปให้เคย์ล่า “ระวังอย่าเผลอใช้มีดสัมฤทธิ์หั่นแซนด์วิชนะครับ รุ่นพี่ เดี๋ยวมันทะลุโต๊ะไปอีกฝั่ง”

 

เด็กหญิงวัยแปดขวบในร่างเคย์ล่าจับแซนด์วิชด้วยท่าทีสงบ ดวงตาคมหันมาจ้องเขาเพียงเสี้ยววินาที “ฉันไม่ใช่เด็กประถมจริง ๆ หรอกนะคูเปอร์”

 

เขายักไหล่ยิ้มเจื่อน “ก็แค่ล้อเล่นหน่อย”

 

บรรยากาศในตู้โดยสารที่เงียบเชียบกลับเริ่มอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย กลิ่นแซนด์วิชผสมกับกลิ่นเหล็กและน้ำมันของรถไฟ ทุกคนต่างกัดเคี้ยวอย่างเงียบ ๆ มีเพียงเสียงกระซิบเบา ๆ จากผู้โดยสารบางกลุ่มที่คุยกันเป็นพัก ๆ

 

คูเปอร์เอนหลังลงอีกครั้ง มือถือขวดน้ำเย็น ๆ มาจ่อริมฝีปากก่อนดื่มอึกใหญ่ ความกระหายที่สะสมมาทั้งวันเหมือนถูกชะล้างออกไป เขาหันไปทางหน้าต่าง เห็นเงาสะท้อนตัวเองบนกระจกที่พร่าจากความเร็ว ดวงตาสีเทาจับจ้องออกไปในทุ่งหญ้าที่วิ่งผ่านราวกับคลื่นทะเล

 

“บางทีชีวิตบนรถไฟก็ดีกว่าที่คิดนะ” เขาพูดขึ้นมาเหมือนคุยกับตัวเอง “อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้หยุดหายใจจริง ๆ สักพัก”

 

เมเรซเอียงหัวพิงพนัก หลับตาอีกครั้งแต่ริมฝีปากขยับช้า ๆ “จนกว่าจะมีอะไรโผล่มาให้เราต้องวิ่งอีกน่ะแหละ”

 

เคย์ล่าที่นั่งนิ่งกว่าทั้งสองเอื้อมมือเล็ก เช็ดเศษขนมปังที่ติดมุมปากของตัวเองแล้วตอบเสียงเรียบ “การเดินทางคือการพักผ่อนชั่วคราว การพักผ่อนคือการเตรียมพร้อมสำหรับบทต่อไป อย่าลืมสิ”

 

คูเปอร์เหลือบตามองรุ่นพี่อวุโสที่ตอนนี้อยู่ในร่างเด็กแล้วหัวเราะ “พูดแบบนี้ก็ไม่ต่างจากครูประจำชั้นเลยนะครับ”

 

เคย์ล่าเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงยกขวดน้ำขึ้นจิบเงียบ ๆ

 

และรถไฟก็ยังคงแล่นต่อไป เสียงล้อเหล็กเสียดสีกับรางเป็นจังหวะไม่ขาดสาย ขณะที่สามเดมิก็อดนั่งอยู่ในความเงียบสลับเสียงหัวเราะเล็กน้อย ราวกับนี่คือช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พวกเขาได้ลืมไปว่าข้างหน้ามีอันตรายรออยู่

 

เสียงล้อเหล็กเสียดรางยังดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับดนตรีประกอบให้กับการสนทนาเล็ก ๆ ในตู้โดยสารที่เริ่มอบอุ่นขึ้นหลังมื้ออาหารง่าย ๆ คูเปอร์เพิ่งดื่มน้ำไปหนึ่งอึก พลันหูของเขาก็ได้ยินเสียงทุ้ม ๆ ของเมเรซที่ถามขึ้น

 

“แล้วหลังจากไปถึงนิวโรม นายคิดจะทำยังไงต่อ”

คำถามนั้นทำให้มือของคูเปอร์ที่กำลังจะหยิบถั่วเพิ่มหยุดค้างกลางอากาศ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนกำลังประมวลผล ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

 

“ก็นั่นสิ…” เขาพึมพำในลำคอ “พูดตรง ๆ ฉันก็ครุ่นคิดมาสักพักแล้ว”

 

เขาวางถุงถั่วลงบนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเบาะ แล้วเอนตัวไปด้านหลัง ดวงตาสีเทาหลุบต่ำอย่างใช้ความคิด ก่อนจะยกหน้าขึ้นสบตากับทั้งคู่ “พวกนายก็คงรู้อยู่แล้ว หลังจากที่กลางคืนหายไป โลกมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นิวโรมไม่ใช่เมืองลับอีกแล้ว พวกเขาเปิดตัวกับสาธารณชนในฐานะ ‘เมืองท่องเที่ยว’ อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ความจริงจะยังถูกปกปิดอยู่ก็ตาม”

 

เคย์ล่าขมวดคิ้ว ดวงตาคมที่อยู่ในร่างเด็กสาววัยแปดปีจับจ้องชายหนุ่มราวกับกำลังชั่งน้ำหนักคำพูด “เปิดตัวต่อสาธารณชน… แต่ยังปิดบังความจริง พูดง่าย ๆ ว่ามันยังสวมหน้ากากอยู่สินะ”

 

คูเปอร์ยิ้มเจื่อน “ก็ประมาณนั้นแหละ ถึงจะมีนักท่องเที่ยวเต็มเมือง แต่ไม่มีใครรู้ว่าคนที่พวกเขาเดินผ่านคือเดมิก็อด ”

เขาหยุดหายใจครู่หนึ่งราวกับจะวัดปฏิกิริยาของทั้งสอง “แผนของฉันคือ ฉันจะติดต่อเพื่อนที่อยู่ซานฟรานซิสโก ให้เขามารับเราที่นิวโรมแล้วช่วยพาไปยังชายฝั่งแถบนั้น”

 

คำว่า “เพื่อน” ทำให้เคย์ล่ายกคิ้วสูงขึ้นในทันที “เพื่อน?” น้ำเสียงเธอไม่ได้ประชด แต่แฝงความทดสอบ “เพื่อนแบบไหน เพื่อนที่ไว้ใจได้จริง ๆ เหรอ”

 

คูเปอร์เกาศีรษะ แววตาสีเทาสะท้อนความลังเลเล็กน้อย ก่อนเขาจะยกมือขึ้นเหมือนขอยอมแพ้ “โอเค เข้าใจที่ถามนะ รุ่นพี่… ก็บอกตรง ๆ เลยว่าฉันรู้จักเขาเมื่อปีก่อน ก่อนที่ผมจะมาค่าย เราเคยทำงานด้วยกัน และเขาเคยช่วยฉันไว้หลายครั้งด้วย” 


เขาหยุดหายใจลึกก่อนเอ่ยต่อ “จากที่รู้จักกันมา ฉันไม่เคยเห็นว่าเขามีเจตนาลับลมคมในอะไร เขาเป็นพวกพูดตรง ๆ ทำตรง ๆ แต่…” เขายกมือขึ้นอีกครั้งเหมือนจะกันไม่ให้เคย์ล่าแทรก “แต่ฉันก็ไม่ใช่คนไร้เดียงสา พอเข้าใจว่าระแวงไว้ก็ดีเหมือนกัน”

 

เมเรซที่ฟังอยู่เงียบ ๆ เอียงหัวพิงพนัก ดวงตาสองสีหรี่ลงเล็กน้อย “เพื่อนที่ไว้ใจได้ในโลกของเรา… ก็นับว่าเป็นของหายากนะคูเปอร์” เขาเอ่ยช้า ๆ คล้ายกำลังวิเคราะห์ “แต่ถ้าคนคนนั้นเคยช่วยนายจริง ๆ อย่างน้อยมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกว่าการสุ่มฝากชีวิตไว้กับใครก็ไม่รู้”

 

คูเปอร์หัวเราะในลำคอ “ก็จริงอย่างที่นายว่า ฉันไม่ได้อยากให้พวกเราผูกชะตากับคนที่ไม่รู้จักหรอก แต่ในสถานการณ์นี้… การมีคนช่วยอีกแรงมันก็ดีกว่าเดินตาบอดไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม”

 

เคย์ล่าไม่ตอบทันที เธอนั่งตัวตรง มือเล็ก ๆ ประสานกันบนตัก ดวงตาคมที่ไม่สมกับวัยเด็กมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเงาตัวเองทาบกับวิวทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว “ความไว้ใจ… ไม่ใช่ของที่มอบได้ฟรี ๆ มันต้องพิสูจน์” เธอหันกลับมามองทั้งคู่ “ถ้าเพื่อนนายพิสูจน์ได้จริง ฉันก็จะยอมรับ แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น เราไม่ควรลดการระแวดระวังแม้แต่วินาทีเดียว”

 

คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศกลับมาเงียบอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ความเงียบอึดอัด หากเป็นความเงียบที่ทุกคนกำลังคิดถึงสิ่งเดียวกัน  ว่าหนทางข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่แน่นอน

 

คูเปอร์ยกขวดน้ำขึ้นมาดื่มอีกอึก ก่อนวางลงบนโต๊ะ “เข้าใจแล้ว รุ่นพี่” น้ำเสียงของเขานิ่งกว่าเมื่อครู่ “ฉันจะติดต่อเพื่อนคนนั้น แต่จะไม่ยกเขาเป็นทางเลือกเดียว เราจะเตรียมแผนสำรองไว้ด้วย”

 

เมเรซเหลือบตามองคูเปอร์และเคย์ล่าสลับกัน ก่อนเอ่ยเสียงเบา “อย่างน้อยนายก็ยังฟังคนอื่นบ้าง”

 

คูเปอร์หันไปยิ้มกว้างใส่ “ฉันไม่ได้ดื้อทุกเรื่องซะหน่อย”

 

“เถียงไม่หยุดยังจะกล้าพูดอีก” เมเรซพึมพำเบา ๆ แต่แววตาสีชมพูเทาก็ฉายประกาย

 

เสียงหัวเราะเล็ก ๆ หลุดจากคูเปอร์พลางเอนหลังลงอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดตาชั่วครู่ ให้ร่างกายได้ซึมซับการพักผ่อนสั้น ๆ ที่มีค่า ส่วนเมเรซก็ยังคงนั่งนิ่งราวกับคอยเฝ้าดูรอบด้านแม้อยู่ในรถไฟ และเคย์ล่าก็ยังนั่งสงบ ราวกับกำลังเดินหมากในกระดานที่พวกเขาเพิ่งเริ่มลงมือ

 

รถไฟเฮเฟตัสยังคงวิ่งฉิวด้วยความเร็วเกือบพันกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทะลุภูมิประเทศที่เปลี่ยนจากทุ่งหญ้าเป็นแนวป่า และจากป่าเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่โผล่มาแล้วหายไปในชั่วพริบตา เหล่าเดมิก็อดทั้งสามคนได้แต่ซ่อนความกังวลไว้หลังเสียงหัวเราะ และความเงียบอันยาวนาน เพราะพวกเขารู้ดีว่าเมื่อถึงนิวโรม การทดสอบที่แท้จริงคงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 

 

 

ความคิดเห็นผู้เขียนบันทึก

 

ลมจากหน้าต่างรถไฟตีหน้าแรงพอให้ตาแสบ แต่มันช่วยให้หัวไม่ฟุ้งเกินไป เสียงล้อเหล็กกึก ๆ ๆ กลายเป็นเมโทรนอมให้ใจผมค่อย ๆ ช้าลง เบาะชั้นประหยัดแข็งไปหน่อย แต่พิงไปนาน ๆ ก็พอเจอองศาที่ไม่ปวดหลัง

 

 

รถไฟยังไปข้างหน้าไม่หยุด เหมือนชีวิตเราช่วงนี้แหละ ไปเรื่อย ๆ แบบไม่ค่อยถามความเห็นเจ้าตัว ผมเลยขอวางหัวพิงพนักอีกหน่อย ปล่อยให้เสียงกึก ๆ เป็นคนคิดแทน ระหว่างที่หัวใจค่อย ๆ ยอมเชื่อว่า ตอนนี้เราปลอดภัยพอจะหลับตาได้ครึ่งลมหายใจแล้ว

 

 

มอบ แซนวิช ให้ 'เคย์ล่า เฮย์เดน' 1 ea

 

มอบ ธัญพืชอบเกลือ ให้ 'เคย์ล่า เฮย์เดน' 1 ea

 

มอบ น้ำแร่ ให้ 'เคย์ล่า เฮย์เดน' 1 ea

 

 

มอบ แซนวิช ให้ 'เมเรซ บริโอเทียร์ เชอร์วาล'  1 ea

 

มอบ ธัญพืชอบเกลือ ให้ 'เมเรซ บริโอเทียร์ เชอร์วาล' 1 ea

 

มอบ น้ำแร่ ให้  'เมเรซ บริโอเทียร์ เชอร์วาล' 1 ea

แสดงความคิดเห็น

God
สามารถส่งฟอร์มขอรับเคย์ล่าเข้าปาร์ตี้ได้ โดยส่งพรที่อะธีน่าให้เคย์ล่าได้ 1 พร (คิดพร)  โพสต์ 2025-10-2 17:04
God
เผชิญหน้ากับ ดันเจี้ยน รังอารัคเน่  โพสต์ 2025-10-2 17:03
God
ดูเหมือนนข้างหน้าจะมีใครบางคนกำลังยืนขวางทางอยู่ เมื่อมองดีๆพบว่าเป็นฝูงแมงมุมขนาดมหึมาที่ทอเส้นใยจนปิดทางสนิท รถไฟที่ซนเข้ากับใยสุดหนาอย่างจังทำให้หยุดกระทันหัน  โพสต์ 2025-10-2 17:02
God
ระหว่างรถไฟแล่นถึง ไชเอนน์ รัฐไวโอมิ่ง ก็หยุดชะงักลง เสียงประกาศขอให้ผู้โดยสารอยู่ในความสงบ รถไฟเกิดเหตุขัดข้องสักครู่  โพสต์ 2025-10-2 16:59
โพสต์ 65188 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-22 09:09
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เครื่องวาร์ปฉุกเฉิน
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดบำรุงอาวุธ
เรือมินิบานาน่า
Daedalus's Legacy
มีดสั้นสัมฤทธิ์
บทเพลง
การควบคุมอาวุธ (จำกัด)
ปัญญาแห่งการรบ
ร่างจำแลง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กลยุทธ์การรบ
การสื่อสารและควบคุมนกฮูก
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
แว่นกันแดด
หมวกเกราะ
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
หอกกรีก
อัจฉริยะ
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x8
x9
x2
x3
x2
x5
x10
x2
x20
x37
x6
x5
x2
x10
x2
x1
x1
x1
x2
x5
x28
x5
x5
x5
x5
x5
x6
x37
x2
x2
x20
x2
x3
x1
x1
x30
x1
x2
x3
x4
x3
x11
x2
x10
x20
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x1
x5
x5
x31
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้