22/07/2025 12.00 น. – 12.30 น.
หน้าที่ 2
คูเปอร์ก้าวออกจากตรอกเงียบ ๆ
ลมหายใจที่ยังไม่ทันจะคืนความเรียบก็ถูกแทนด้วยเสียงกระพือปีกดังฟึ่บ ๆ ใกล้ศีรษะ
ดวงตาสีเทาเหลือบขึ้นไปมอง
เห็นนกฮูกตัวหนึ่งบินโฉบลงมาพร้อมเสียงร้องที่เขาคุ้นหูเกินกว่าจะเข้าใจผิด
มันคือหนึ่งในพวกคู่หูปีกขนที่เขาเพิ่งส่งไปลาดตระเวนเมื่อครู่
แต่ที่ทำให้เขาหยุดก้าวเท้ากลางถนน คือเศษกระดาษสีหม่นที่ผูกอยู่ตรงข้อเท้าของมัน
“เอ๊ะ...นี่นายไปแวะร้านกาแฟแล้วเจอบัตรกำนัลกลับมาเหรอ
หรือมันเป็นข่าวดีจริง ๆ” เสียงของเขาแฝงรอยยิ้มล้อเล่น
แต่มือกลับเอื้อมไปรับเศษกระดาษนั้นด้วยความระวัง
นกฮูกกระพือปีกพลางส่งเสียงฮูกเบา ๆ
ราวกับจะบอกว่า "ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ" ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ
พลางพูดกับมันว่า “โอเค ไม่ใช่บัตรกำนัลสินะ
งั้นขอดูหน่อยว่าของดีอะไรที่นายหอบมา”
เขาคลี่กระดาษออก มันไม่ใช่ข้อความตรง ๆ
แต่เป็นบรรทัดสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือเรียบและคม บ่งบอกถึงความตั้งใจ
เหมือนบทกลอนที่ซ่อนรหัสไว้ในจังหวะคำ
“แสงเก่าเลือนหายใต้เพดานแก้ว
เสียงสมุดร้องไห้ไร้คนเหลียว
ประตูบานที่เจ็ดคือเส้นทาง
รอคนครองปัญญาเคียงเงาไฟ”
ด้านล่างมีตัวย่อ K.H. เขียนด้วยหมึกจาง ๆ
คูเปอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
พลิกกระดาษไปมาหลายครั้งเหมือนหวังว่าจะมีข้อความลับซ่อนอยู่ด้านหลัง
ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ “นี่มัน...งานถนัดของรุ่นพี่บ้านเดียวกันจริง ๆ ใช่ไหม
คำใบ้แบบนี้คิดว่าฉันจะตีความได้ในสิบวิหรือไง”
เขากวาดสายตาอ่านท่อนกลอนซ้ำอีกครั้ง
แสงเก่าเลือนหาย...เพดานแก้ว...เสียงสมุดร้องไห้...
บางอย่างเริ่มเชื่อมโยงในหัว “ห้องสมุดเก่าแน่นอน” เขาพึมพำพลางจิ้มปลายกระดาษเบา
ๆ
“แต่เพดานแก้ว...เมืองนี้มีตึกที่มันดูสวยเกินไปจะพังไปพร้อมห้องสมุดร้างจริงไหมนะ”
เขาหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชข้อมูลภาพเมืองรอบ
ๆ และตึกที่เคยเป็นสถานที่สำคัญของริชมอนด์ “ประตูบานที่เจ็ดคือเส้นทาง...”
เขาพึมพำเหมือนคิดกับตัวเอง “ห้องสมุดชั้นในสุดอาจจะมีประตูมากกว่าหนึ่ง
คงต้องนับบานจริง ๆ”
นกฮูกที่เกาะอยู่บนราวเหล็กเอียงคอราวกับพยายามบอกอะไร
“อะไร
นายรู้รึเปล่าว่าประตูบานที่เจ็ดอยู่ไหน” เขาหัวเราะขำ ๆ
แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกนกฮูกพวกนี้ฉลาดอย่างน่ากลัว
บางครั้งมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ติดตามแผนของนกพวกนี้มากกว่า
เขาเก็บกระดาษใส่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต
ก่อนพูดกับนกฮูก “ไปบอกเพื่อน ๆ ว่าพวกเรามีจุดน่าสงสัยแล้ว
เดี๋ยวฉันจะตามไปเช็คเอง แต่ก่อนอื่นต้องไปรวมตัวกับเจ้าหนุ่มแฟชั่นนิสต้าก่อน
ไม่งั้นเขาคงคิดว่าฉันหายไปซื้อรองเท้าใหม่”
ชายหนุ่มพุ่งตัวออกจากตรอก ก้าวยาว ๆ
ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง เขามุ่งหน้าไปทางจุดนัดพบกับเมเรซ
โดยระหว่างเดินก็ยังไม่หยุดคิดถึงปริศนาในกระดาษ
ความรู้สึกว่ารุ่นพี่เคย์ล่าอาจตั้งใจกำหนดเส้นทางให้พวกเขาหาทางเข้าถึงเธอแบบไม่ใช่ทางตรงเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย
ๆ
เมื่อเข้าใกล้จุดนัดพบ
คูเปอร์เปรยกับตัวเอง “ถ้าเมเรซเจอปริศนาแบบนี้
เขาอาจจะตีความว่ามันเป็นรหัสลับของงานแฟชั่นโชว์ฤดูหนาว...เดี๋ยวลองถามดูหน่อยดีกว่า”
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าเบา ๆ
ด้านหลังทำให้เขาหันไปมอง
และพบกับร่างสูงผอมเพรียวของเมเรซที่ก้าวออกมาจากมุมอาคาร
ใบหน้าสวยเฉียบและแววตาสองสีจับจ้องมาที่เขาเหมือนจะถามโดยไม่ต้องพูดว่า
“เจออะไร?”
คูเปอร์ยกเศษกระดาษขึ้นเล็กน้อย
ยิ้มพลางว่า “ได้เบาะแสแล้วล่ะ ฉันได้กระดาษนี่ใด้มาจากนกฮูกอีกที แต่นายช่วยดูทีสิ
นี่มันกลอนหรือการบ้านของใครสักคนที่หลุดมา”
เขาส่งกระดาษให้อีกฝ่าย
ก่อนรอฟังความคิดเห็นจากปากของเมเรซ
ซึ่งปกติแล้วจะมาพร้อมน้ำเสียงที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังสอบแฟชั่นดีไซน์รอบไฟนอลอยู่ทุกครั้ง
เมเรซหยิบกระดาษจากมือคูเปอร์อย่างระมัดระวัง
เหมือนกลัวว่ามันจะเป็นเศษผ้าโบราณจากพิพิธภัณฑ์ที่ถ้าพับผิดมุมจะมีเทพเจ้าโผล่มาสาป
เขากวาดตาอ่านกลอนนั้นช้า ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบสายตาของชายหนุ่มผมน้ำตาล
“แล้วนายคิดว่ามันหมายถึงที่ไหน”
น้ำเสียงเรียบ แต่ในแววตากลับเหมือนกำลังทดสอบความเฉียบคม
คูเปอร์ยักไหล่นิด ๆ
คล้ายจะยอมรับว่าตัวเองก็ยังไม่มั่นใจเต็มร้อย “ฉันเดาว่าเป็นห้องสมุดเก่า...คำว่า
เสียงสมุดร้องไห้ไร้คนเหลียว น่าจะหมายถึงหนังสือที่ถูกทิ้งจนฝุ่นจับ แต่คำว่า
เพดานแก้ว นี่สิ ฉันไม่แน่ใจเลยว่าหมายถึงที่ไหนกันแน่ ห้องสมุดในเมืองนี้มีหลายแห่ง
แต่แบบที่มีเพดานแก้วมันดูไม่ค่อยเข้ากับคำว่าร้างสักเท่าไร”
เมเรซกระตุกมุมปากเล็ก ๆ ก่อนเอ่ยขึ้น
“นายบอกว่าได้กระดาษนี้มาจากพวกนกฮูกที่นายส่งไปใช่ไหม
งั้นทำไมไม่ลองถามเจ้าตัวนั้นดูล่ะว่ามันได้มาได้ยังไง”
คูเปอร์ชะงักไปชั่วอึดใจ
ก่อนจะตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ “จริงด้วยแฮะ ฉันนี่มันโง่เป็นพัก ๆ เลยนะ
ลืมไปว่าเจ้านกพวกนี้คุยภาษาเราได้”
ทันทีที่ผิวปากเรียก
นกฮูกตัวเดิมก็บินร่อนลงมาเกาะบนราวเหล็กใกล้ ๆ และจ้องตาเขาราวกับจะบอกว่า
นึกได้แล้วเหรอเพื่อน?
“โอเค ขอโทษทีที่มองข้ามนาย”
คูเปอร์เอ่ยขำ ๆ ก่อนถามต่อ “เศษกระดาษนี่ นายได้มาจากที่ไหน”
เจ้านกฮูกกระพือปีกเบา ๆ ส่งเสียงทุ้ม ๆ
ที่ไม่เข้ากับตัวมัน “มีผู้หญิงคนหนึ่งในชุดคลุมดำ เธอเรียกข้าลงไปที่ถนนแถวนั้น
แล้วมอบกระดาษให้ฉัน เธอบอกแค่ให้ส่งให้ถึงเจ้า
ข้าไม่รู้หรอกว่าคนที่ชื่อเคย์ล่าอยู่ที่ไหน เพราะเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้น”
คูเปอร์กับเมเรซสบตากันเล็กน้อย
ชายหนุ่มผมน้ำตาลพึมพำ
“ผู้หญิงในชุดคลุมดำ...ฟังดูเป็นสัญญาณว่ารุ่นพี่เราอาจจะยังเคลื่อนไหวอยู่นอกที่ซ่อน”
“หรือไม่ก็เป็นใครสักคนที่อยากล่อเราไปติดกับดัก”
เมเรซพูดเรียบ ๆ แต่สายตาเป็นประกายวาววับ เหมือนกำลังอ่านกลยุทธ์เกมหมากรุก
“ไม่ว่าจะอันไหน
ฉันก็ไม่มีทางเลือกมากนัก” คูเปอร์บอก พลางคลี่กระดาษขึ้นอีกครั้งแล้วอ่านช้า ๆ
“ประตูบานที่เจ็ดคือเส้นทาง... หมายความว่าสถานที่นี้ต้องมีหลายประตูแน่
อาจเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ หรือไม่ก็สถานที่ที่มีสถาปัตยกรรมคลาสสิก
แต่เพดานแก้วนี่...มันเหมือนคำใบ้ชัด ๆ
ว่าควรหาสถานที่ที่มีโดมกระจกหรืออะไรทำนองนั้น”
เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนเปรยเบา ๆ
“แต่เธออาจจะไม่ได้อยู่ในสถานที่ใหญ่ขนาดนั้น
ถ้าเคย์ล่าสามารถปลอมตัวออกมาซื้อเสบียงได้ เธอคงไม่เสี่ยงกลับเข้าไปในตึกใหญ่ ๆ
ที่ถูกจับตามอง ฉันว่าพื้นที่ที่ต้องดูคงเป็นร้านเก่า ๆ
หรือโกดังร้างที่ถูกปรับให้เป็นห้องเก็บหนังสือส่วนตัวมากกว่า”
“นั่นหมายความว่านายจะตัดห้องสมุดสาธารณะใหญ่
ๆ ทิ้งสินะ” เมเรซถามพลางหมุนกระดาษระหว่างนิ้วเรียวยาว
“ใช่ มันเสี่ยงเกินไป” คูเปอร์ตอบทันควัน
“ถ้าเป็นฉันจะไม่เลือกที่ที่คนพอจำได้แน่นอน ยิ่งเธออยู่ในสถานะคนที่ถูกไล่ล่า
เธอต้องซ่อนตัวในที่ซึ่งธรรมดาจนคนไม่เหลียวมอง”
เขาหยุดคิดชั่วอึดใจ
มือข้างหนึ่งแตะคางขณะที่สายตาเหลือบมองไปทางตึกแถวเก่า ๆ ที่เรียงกันเป็นแนวยาว
“บางที...อาจเป็นร้านหนังสือมือสองที่ใครลืมไปแล้ว หรือห้องใต้ดินของตึกเก่า
ฉันว่าเราควรเริ่มไล่สำรวจแถวโซนนี้ก่อน”
เมเรซเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดเล็ก ๆ
“ชักเริ่มมีสมองเป็นของตัวเองแล้วนี่”
คูเปอร์หัวเราะแผ่ว “ฉันก็มีนะ
แค่ไม่ได้โชว์ให้ใครเห็นบ่อย ๆ”
เขาเดินไปที่ราวเหล็กแล้วก้มหัวลงพูดกับนกฮูก
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลมาก เพื่อน ถ้าบินต่อได้ก็ช่วยวนดูแถวตึกชั้นเดียวหรือร้านเก่า
ๆ ที่มีป้ายหนังสือด้วย ฉันจะตามเบาะแสทางนี้เอง”
คูเปอร์หันไปทางเมเรซ
“งั้นเราไปลองสำรวจโซนโกดังเก่ากับตลาดด้านหลังละแวกนี้ก่อน นายว่าไง”
“ก็ไม่แย่หรอก” เมเรซยักไหล่
“ขอแค่ไม่ต้องเดินฝ่าแฟชั่นตลาดนัดฉันก็โอเค”
“งั้นไปกันเถอะ” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเอ่ย
ก่อนทั้งคู่จะเริ่มเคลื่อนไปตามซอยแคบ ๆ
โดยมีคำใบ้ในกระดาษเป็นเข็มทิศในภารกิจอันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้
คูเปอร์เดินเคียงข้างเมเรซในจังหวะก้าวสบาย
ๆ แต่สายตากลับกวาดมองไปทุกทิศทางอย่างระวัง เขาหันไปถามคนข้างตัวเสียงต่ำว่า
“ตอนนายออกสำรวจข้างล่าง เจออะไรบ้าง”
เมเรซเหลือบมองเขาเพียงแวบหนึ่งก่อนตอบเสียงเรียบ
“เมืองนี้เต็มไปด้วยคนที่ดูผิดปกติ ฉันเจอกลุ่มคนแต่งตัวธรรมดา
แต่เดินด้วยจังหวะที่เป็นระเบียบราวกับหน่วยฝึกยุทธวิธี
แถมบางคนยังมองตามสายตาฉันราวกับจะวัดใจกัน
แต่ฉันยังไม่แน่ใจว่าเป็นสายลับหรืออสูรกาย”
คูเปอร์พยักหน้าเบา ๆ ไม่ได้พูดแทรก
จนกระทั่งเมเรซกล่าวต่อ “ที่แย่กว่าคือทางที่เรากำลังจะไป
ก็มีคนลักษณะนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน นายควรระวังตัวให้มาก อย่าทำตัวโดดเด่น
หรือคิดจะเล่นมุขอะไรที่เรียกร้องความสนใจเข้าใจไหม”
“เล่นมุขเนี่ยนะ ฉันดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ”
คูเปอร์ส่งยิ้มเอื่อย พลางยักไหล่ “โอเค ๆ นายเป็นคนจริงจังแบบนี้ก็ดี
จะได้คุมสมดุลกันหน่อย”
เมเรซไม่ได้ตอบ
เพียงแค่ก้าวเดินต่อโดยไม่หันมามอง
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงยอมเก็บคำพูดไว้แล้วปล่อยให้ความคิดในหัวเดินตามบทกลอนที่เขายังไม่เข้าใจ
“แสงเก่าเลือนหายใต้เพดานแก้ว
เสียงสมุดร้องไห้...” คูเปอร์พึมพำกับตัวเองเบา ๆ
เหมือนต้องการสะกดคำเหล่านั้นให้ติดอยู่ในหัว
เขาพยายามนึกถึงสถานที่ในริชมอนด์ที่อาจมีเพดานแก้วหรือโครงสร้างแบบนั้นอยู่
แต่ก็ติดปัญหาว่าห้องสมุดส่วนใหญ่ในเมืองนี้เป็นอาคารอิฐหรือคอนกรีต
ไม่ใช่สถาปัตยกรรมแก้วใส
ทั้งคู่เดินผ่านฟุตบาทที่เต็มไปด้วยร้านขายของเก่าและผู้คนสัญจรไปมา
ริมทางมีนักดนตรีเปิดหมวกเล่นกีตาร์อยู่
เพลงที่เล่นเป็นทำนองแจ๊สเก่าที่ให้บรรยากาศขมุกขมัว คูเปอร์หยุดก้าวเพียงชั่วครู่
เหมือนจะดึงสมาธิกลับมา ก่อนจะเดินต่อ
เขาเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังงมเข็มในมหาสมุทรจริง
ๆ การหาคนคนเดียวในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ไหนจะพวกสายลับที่ตามหาเคย์ล่าอยู่ด้วย ใครจะเจอเธอก่อนกัน...เขาไม่อาจเดาได้
“นายคิดว่าเธออยู่ที่ไหน”
เมเรซถามขึ้นกะทันหัน น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความสนใจ
คูเปอร์ขยับคอเสื้อเหมือนกำลังคิดหาคำตอบ
“ฉันยังไม่แน่ใจ คำใบ้ในกลอนน่าจะเกี่ยวกับสถานที่ที่เงียบและถูกลืม
แต่เพดานแก้วนี่สิ ฉันพยายามเชื่อมโยงแล้วก็ยังไม่เห็นภาพ
อาจเป็นโกดังที่ถูกปรับปรุง หรือร้านหนังสือเก่า...”
เขาชะงักเล็กน้อย
เหมือนอะไรบางอย่างแล่นวาบขึ้นมาในหัว “...ร้านหนังสือเก่า
ที่อยู่ข้างสถานีรถไฟฉันเห็นว่าร้านตรงนั้นทำหลังคาด้วยกระจกน่าจะเพื่อให้แสงลอดเข้าไปในนั้นได้
หรือมันอาจจะใช่ที่นั่น”
“ร้านหนังสือริมสถานีรถไฟ?”
เมเรซเลิกคิ้ว ดวงตาสีชมพูและสีเทาเหลือบมองเขาอย่างประเมิน “ฟังดูเป็นไปได้
แต่แถวนั้นฉันเห็นพวกน่าสงสัยอยู่สองสามคน”
“ดี
เราจะได้ทดสอบว่าสัญชาตญาณเราถูกหรือเปล่า” คูเปอร์เอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงรอยมั่นใจ
แม้ในใจเขาจะรู้ดีว่ามันอาจเสี่ยง
ขณะเดินต่อ
คูเปอร์ยังไม่หยุดคิดคำกลอนนั้น “เสียงสมุดร้องไห้ไร้คนเหลียว”
มันเหมือนสื่อถึงหนังสือที่ถูกทิ้งไว้ในที่ที่ไม่มีคนไปอ่าน
หรือห้องสมุดส่วนตัวที่ร้างผู้คน “ประตูบานที่เจ็ด”
ทำให้เขาเริ่มนับจำนวนร้านเก่าที่มีหลายทางเข้าออก เพราะสถานที่แบบนี้ไม่ใช่ทุกแห่งที่จะมีประตูมากกว่าหนึ่ง
เขาเหลือบตามองเมเรซซึ่งกำลังเดินอย่างไม่รีบร้อน
ร่างสูงผอมเพรียวแต่แฝงความสง่าของคนที่พร้อมจะแปลงร่างหนีหรือหลบซ่อนได้ทุกเมื่อ
“นายว่าถ้ารุ่นพี่ปลอมตัวออกมาจริง เธออาจซ่อนตัวอยู่ที่พวกเราไม่คาดคิดเลยไหม
แบบคาเฟ่เก่าหรือห้องเช่าในอาคารธรรมดา”
“อาจเป็นไปได้
ถ้าเธอฉลาดพอจะหนีพวกนั้นมาได้ตั้งหลายสัปดาห์
การหาที่ซ่อนที่ธรรมดาที่สุดน่าจะปลอดภัยกว่า” เมเรซตอบนิ่ง ๆ
คูเปอร์ครุ่นคิดตามคำพูดนั้น
เขารู้ดีว่าการซ่อนตัวในความธรรมดาเป็นยุทธวิธีที่ใช้ได้ผลเสมอ
เพราะคนมักจะมองข้ามสิ่งที่ดูไม่เด่น แต่ปัญหาคือ...ที่ธรรมดามีเยอะเกินไป
พวกเขาเดินต่อท่ามกลางเสียงรถและผู้คน
ราวกับทุกสิ่งรอบตัวกำลังซ่อนบางอย่างไว้ใต้ความวุ่นวาย
เขาตัดสินใจว่าเมื่อไปถึงแถวสถานีรถไฟ จะลองเดินสำรวจร้านหนังสือเก่านั้น
และบางทีอาจต้องให้นกฮูกบินวนอีกครั้งเพื่อจับตาสถานที่ที่ซ่อนอยู่ในมุมสายตาของมนุษย์ทั่วไป
“เรายังไม่ควรรีบร้อนมากเกินไป”
คูเปอร์พึมพำเบา ๆ ขณะก้าวลงทางเท้าตรงหัวมุมถนน “ฉันว่าแค่ระวังไม่ให้ใครตามหลัง
ก็ถือว่าเรานำอยู่หนึ่งก้าวแล้ว”
เมเรซปรายตามองเขานิด ๆ ก่อนตอบ
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น”
เสียงผิวปาก
ดังขึ้นจากริมฝีปากของบุตรแห่งอะธีน่า
เขาส่งสัญญาณเรียกนกฮูกคู่หูของตนมาอีกครั้งเพื่อให้มันบินสำรวจเส้นทางข้างหน้า
โดยในใจคูเปอร์ยังคงทบทวนกลอนนั้นซ้ำ ๆ
เหมือนพยายามต่อจิ๊กซอว์ที่เหลือเพียงไม่กี่ชิ้นแต่ยังไม่ลงตัว
.
.
.
22/07/2025 13.00 น.
เสียงฝีเท้าของคนสองคนดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอเมื่อทั้งคู่เดินเข้าสู่บริเวณสถานีรถไฟเก่าของเมืองริชมอนด์
สถานีนี้ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนสถานีในเมืองหลวง
แต่มีเสน่ห์ในแบบอาคารอิฐสีแดงเข้มกับป้ายเก่าที่สลักชื่อสถานีด้วยอักษรซีดจาง
ราวกับเวลาหยุดนิ่งไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน
คูเปอร์ก้าวไปข้างหน้าพร้อมเหลือบสายตามองรอบ
ๆ ฝูงชนที่เดินผ่านหน้าสถานี มีนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง
แต่สายตาของเขาก็สะดุดกับชายคนหนึ่งที่ยืนพิงเสาเหมือนไม่ได้รอรถไฟจริง ๆ
สายตาของคนคนนั้นจับตามาที่พวกเขาแวบเดียวก่อนหันกลับไป
คูเปอร์ไม่แสดงท่าทีสงสัยให้เห็น แต่กลับเอ่ยกับเมเรซเสียงเบา
“ถ้ามีคนมองแบบนั้นอีกสักสองครั้ง ฉันจะคิดว่าเราเป็นดาราดังแล้วนะ”
เมเรซปรายตาสีชมพูและสีเทาเหลือบมอง
แล้วตอบเรียบ ๆ “ไม่หรอก นายไม่ได้ดูดังขนาดนั้นหรอก”
คูเปอร์ยักไหล่เหมือนชินกับคำเหน็บแนม
แล้วเดินตามป้ายไม้ที่บอกทางไปยังร้านหนังสือเก่าที่ตั้งอยู่ริมถนนเล็ก ๆ
หลังสถานี
ร้านหนังสือดูเล็กและธรรมดาจนน่าประหลาดใจ
ประตูไม้สีเข้มมีป้ายกระจกเก่า ๆ แขวนอยู่ว่า “เปิด”
และภายในสามารถมองทะลุเห็นชั้นหนังสือไม้สูงที่เรียงรายกันจนแทบไม่เหลือทางเดิน
ฝุ่นบาง ๆ
ลอยคลุ้งในอากาศที่ถูกเจาะด้วยลำแสงที่ลอดจากเพดานกระจกซึ่งเป็นเหมือนโดมโค้ง คูเปอร์เผลอหยุดมองเพดานนั้นอย่างสนใจ
“เพดานแก้ว…”
เขาพึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบา
ความคิดบางอย่างเริ่มประติดประต่อเข้ากับกลอนที่เขาอ่านเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่แล้ว
เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อทั้งคู่ผลักประตูเข้าไป
กลิ่นหนังสือเก่ากับกลิ่นหมึกจาง ๆ คลุ้งไปทั่ว
อุณหภูมิด้านในเย็นลงเล็กน้อยเหมือนโลกอีกใบที่ตัดขาดจากเสียงวุ่นวายด้านนอก
หลังเคาน์เตอร์ไม้เล็ก ๆ
มีชายวัยกลางคนสวมแว่นกรอบหนา ใบหน้าดูใจดี
เขายกสายตามองทั้งคู่แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้ม
“หาหนังสืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”
คูเปอร์เดินยิ้ม
เข้าไปเหมือนเป็นแค่นักเดินทางที่แวะมาเดินดูหนังสือ
มือไล้ไปตามสันหนังสือเล่มเก่าบนชั้น “ก็แค่เดินดูครับ เห็นร้านนี้จากนอกสถานี
ดูเก่าแต่มีเสน่ห์ดี”
เมเรซก้าวตามมาเงียบ ๆ
แต่สายตาคมของเขากลับจับจ้องชายเจ้าของร้านเหมือนจะอ่านความคิดอีกฝ่ายจากท่าทางเล็กน้อยที่หลุดออกมา
“ร้านนี้ไม่ค่อยมีคนแวะมาหรอกครับ”
เจ้าของร้านตอบพร้อมยิ้มบาง แต่คูเปอร์กลับจับได้ถึงแววตาที่ไม่สอดคล้องกับรอยยิ้ม
“ถ้าอยากหาหนังสือพิเศษ ลองมุมขวาสุดเลยครับ ตรงชั้นล่างจะมีของเก่าจากยุโรป”
“ของเก่าจากยุโรป…” คูเปอร์ย้ำคำ
ราวกับตั้งใจให้หลุดออกมา แล้วหันไปทางเมเรซ “นายสนใจไหม
ของแบบนี้อาจมีมูลค่ามากกว่าที่คิดนะ”
เมเรซเพียงพยักหน้าเล็กน้อย
แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องเจ้าของร้านอย่างไม่วางตา
ราวกับมองทะลุรอยยิ้มและคำพูดสุภาพนั้น เหมือนบางอย่างไม่ถูกต้อง
คูเปอร์เดินช้า ๆ ไปทางมุมที่อีกฝ่ายบอก
สายตาเหลือบมองไปรอบ ๆ
ด้วยดวงตาที่แจ่มชัดก็พบว่ามีหนังสือบางเล่มถูกจัดเรียงเหมือนตั้งใจบังตู้ไม้ด้านหลัง
ซึ่งปิดด้วยกลอนประตูเล็ก ๆ ที่ไม่สมควรมีในร้านหนังสือธรรมดา
เขาไม่ได้แตะต้องมันทันที แต่ความรู้สึกบางอย่างในสายเลือดกำลังบอกเขาว่าที่นี่อาจไม่ใช่เพียงร้านหนังสือ
“รู้สึกไหมว่าที่นี่มัน...เงียบเกินไป”
เขากระซิบถามเมเรซที่เดินตามเข้ามาใกล้ “แบบว่าเงียบจนเหมือนซ่อนอะไรไว้”
เมเรซเลิกคิ้วแล้วตอบเบา ๆ
“เงียบยังไงก็ดีกว่าดังแต่นายพูดถูก บางอย่างมันไม่ปกติ ”
คูเปอร์ค่อย ๆ
หันกลับไปมองเจ้าของร้านอีกครั้ง เขายังยิ้มเหมือนเดิม
แต่แววตาเหมือนคนที่ระแวดระวังอะไรบางอย่าง
หรือเฝ้ารอการกระทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อย
“ถ้าเคย์ล่าอยู่ที่นี่จริง
เธอเลือกซ่อนตัวได้ฉลาดมาก” คูเปอร์พึมพำราวกับพูดกับตัวเอง
“เพราะไม่มีใครจะคิดว่ามีอะไรซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือธรรมดาแบบนี้”
เขาเดินดูหนังสือต่อไปด้วยท่าทีสบาย ๆ
เหมือนคนแค่สนใจเล่มเก่า ๆ มือเอื้อมหยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งออกจากชั้น
ก่อนส่งให้เมเรซดูเป็นเชิงบังสายตาเจ้าของร้าน
“นายว่าไง” เขากระซิบเสียงต่ำ
“เราควรลองแอบสำรวจด้านหลังตู้ไม้ตรงมุมนั่นดีไหม”
เมเรซเพียงขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มบาง “ฉันว่าเรากำลังเดินถูกทางแล้วล่ะ”
คูเปอร์เดินทอดก้าวช้า ๆ
รอบมุมห้องหนังสือ
ท่ามกลางกลิ่นไม้เก่าและฝุ่นที่แอบซุกอยู่ในช่องระหว่างสันหนังสือ
เขาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้ไม้โบราณที่บังผนังด้านหลังอย่างน่าประหลาด
ตู้ใบนี้ไม่เหมือนชั้นอื่น มันดูสูงเกินไปหน่อย
และไม่มีป้ายบอกหมวดหมู่หนังสือเหมือนชั้นอื่น ๆ
ในนั้นมีเพียงเล่มหนังสือปกแข็งเรียงกันเป็นแนวที่ดูไร้ระเบียบอย่างจงใจ
เมเรซเดินมาใกล้โดยไม่พูดอะไร
แต่สายตาสองสีของเขาชัดเจนว่าจับตาทุกการเคลื่อนไหว
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงพูดขึ้นเบา ๆ
“ตู้หนังสือนี่มันผิดธรรมชาตินะ
ไม่มีหมวดหมู่ ไม่มีชื่อเรียงตามตัวอักษร แล้วดูตรงมุมขวาบนนั่นสิ”
นิ้วของคูเปอร์ชี้ไปยังขอบไม้มุมหนึ่งซึ่งแง้มออกจากกำแพงอย่างแทบมองไม่เห็น
หากไม่เพ่งมากพอไม่มีทางสังเกตได้
“ดูเหมือนจะเป็นบานพับ”
“จะเปิดเลยไหม”
เมเรซถามด้วยเสียงราบเรียบ แต่แฝงความตื่นตัว
“ถ้าฉันเป็นรุ่นพี่ที่อาศัยความเงียบเป็นเกราะ
ฉันคงไม่อยากให้ประตูลับเปิดเสียงดังหรอก”
คูเปอร์ค่อย ๆ ไล้นิ้วตามขอบชั้นหนังสือ
แล้วพบว่าหนังสือเล่มหนึ่งในแถวนั้น มีรอยกดลึกบริเวณสันหนังสือ
ราวกับมีคนจับมันซ้ำ ๆ
เขายกมือดึงหนังสือเล่มนั้นออกอย่างระมัดระวัง
เสียง “ติ๊ก” ดังแผ่วเหมือนกลไกเก่าแก่ที่รอเวลาถูกปลดเปลื้อง
และแล้ว...ชั้นไม้ทั้งแผงก็ขยับเล็กน้อย
จากนั้นจึงเลื่อนเปิดออกโดยไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดแม้แต่น้อย
เบื้องหลังคือทางเดินแคบ ๆ มืดสลัว
มีเพียงแสงจากร้านหนังสือที่ลอดเข้าไปได้บ้าง คูเปอร์กวาดสายตามองรอบร้านอย่างเร็ว
เห็นว่าเจ้าของร้านยังอยู่หลังเคาน์เตอร์และไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก
เขาเลื่อนตัวเข้าไปก่อนโดยไม่ส่งเสียง
เรียกเมเรซตามเข้ามา เสียงฝีเท้าของทั้งสองเบาและหนักแน่นในเวลาเดียวกัน
ทางเดินนั้นมีความแคบพอจะให้คนเดินได้เพียงทีละคน
กลิ่นไม้เก่าผสมกับกลิ่นกระดาษราวกับพวกเขากำลังเดินเข้าสู่ท้องของหนังสือสักเล่มที่ยังไม่เคยมีใครอ่านจบ
เมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่ง
ทางเดินนั้นก็สิ้นสุดลงที่ประตูไม้เรียงกันสามบานบนผนังโค้งลึกคล้ายกับห้องใต้ถุน
คูเปอร์หยุดอยู่ตรงกลาง
ดวงตาสีเทาไล่มองบานประตูทีละบาน ทุกบานดูคล้ายกันจนแทบจะแยกไม่ออก
หนึ่งในนั้นเป็นบานไม้โอ๊คที่มีรอยขีดเล็ก ๆ อีกบานมีมือจับที่ใหม่กว่าชัดเจน
ส่วนบานสุดท้ายทึบสนิท ไม่มีร่อง ไม่มีรอยขีดใด ๆ
“ถ้าเป็นฉันจะไม่เลือกบานที่ดูใหม่”
เมเรซกระซิบ
“บานที่ไม่มีอะไรเลยก็น่าสงสัยเหมือนกัน
เหมือนมันอยากให้เราคิดแบบนั้น” คูเปอร์ตอบ แล้วก้าวถอยมาเล็กน้อย พิจารณารอบห้อง
เขาสูดลมหายใจลึกเพื่อดึงสมาธิกลับมา
เขาก้มลงมองพื้น
เห็นว่าพื้นไม้หน้าบานหนึ่งมีร่องรอยฝุ่นถูเป็นทางจาง ๆ
บ่งบอกว่ามีคนผ่านเข้าออกเมื่อไม่นานนี้
“บานซ้าย” เขาพูดสั้น ๆ
แล้วเอื้อมมือไปบิดลูกบิดเบา ๆ ประตูเปิดออกพร้อมเสียงคลิกเบา ๆ
เหมือนฝุ่นที่ซุกอยู่ในร่องกลไกสั่นไหว
เมื่อผลักเข้าไป
สิ่งที่เห็นคือห้องขนาดไม่ใหญ่ มีแสงไฟสลัวจากโคมดวงเล็กกลางเพดาน
กลิ่นสมุดหนังเก่า ละอองฝุ่น และชาอุ่นจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ
ภายในห้องนั้นมีโต๊ะไม้เล็กตั้งอยู่
และตรงข้ามโต๊ะนั้น หญิงสูงวัยผิวดำในชุดคลุมทึบกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้
ใบหน้าของเธอสงบ ดวงตาจับจ้องมาทางพวกเขาเหมือนรู้ว่าจะมาถึงในเวลานี้
คิ้วของเธอยกขึ้นเพียงนิดเดียวก่อนจะกล่าวเสียงต่ำอย่างมั่นคง
“พวกเธอช้ากว่าที่ฉันคาดไปนิดหน่อยนะ
แต่ก็ดีกว่ามาไม่ถึง”
คูเปอร์ยืนนิ่ง สบตากับหญิงตรงหน้า
ริมฝีปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย
“… คุณคือเคย์ล่า เฮย์เดน?”
ความคิดเห็นของผู้บันทึก
“การตามหารุ่นพี่เคย์ล่าให้เจอเคลียร์เรียบร้อย
แต่ทว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของภารกิจเพียงเท่านั้น...”