[บันทึกการเดินทาง] - ช่วยเหลือรุ่นพี่อะธีน่าผู้ไม่เปิดเผยตัว

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-8-6 02:31





"Summer Mission – พารุ่นใหญ่ไปนอนรับลมทะเล"









“เดมิก็อดมันไม่มีวันสงบ ๆ ชิว ๆ เลยใช่ไหมเนี่ย?”

อยู่ดี ๆ ก็มีเทพมากระซิบบอกว่า “ไปช่วยรุ่นพี่ที่ริชมอนด์ที” ฟังดูง่าย ๆ ใช่ไหม? แต่เดี๋ยว… ทำไมมันถึงบานปลายกลายเป็นภารกิจพาคน ๆ หนึ่งไปส่งถึงท่าเรือแม็กซิโก?! และยังมีข้อแม้สุดโหดว่า “ห้ามให้พวกสายลับรัฐบาลรู้เด็ดขาด”


โอเค หนีอสูรกายก็ว่าเหนื่อยแล้ว นี่ยังต้องหนีสายลับอีก งานนี้ไม่รู้ว่าเราจะรอดจากเงื้อมมืออสูรกาย หรือจากน้ำมือรัฐบาลกันแน่


ถ้าการเดินทางครั้งนี้คือเส้นทางไปสู่วีรกรรม… ก็ขอให้มันจบแบบไม่ต้องนอนโรงพยาบาล (หรือคุก) ก็พอแล้วเถอะ!


คณะผู้ร่วมเดินทาง


(1) คูเปอร์ โจนส์

(2) เมเรซ บริโอเทียร์ เชอร์วาล

(3) เคย์ล่า เฮย์เดน



Description


"เอาล่ะ…ภารกิจนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ก็แค่พาคน ๆ หนึ่งไปให้ถึงแม็กซิโกโดยไม่ให้ใครรู้ตัว ไม่เจอมอนสเตอร์ ไม่โดนสายลับจับ ไม่ระเบิดอะไรกลางทาง…ง่ายจะตาย!


ไม่เป็นไร…แผนฉุกเฉินของเราคืออะไรนะ? อ๋อ ใช่! แผนฉุกเฉินของทีมเราคือ… วิ่งหน้าตั้งเวลาเจอพวกสายลับไง!"


By คูเปอร์… เด็กโข่งแห่งบ้านอะธีน่า



Description


“การเดินทางครั้งนี้ทำให้ฉันรู้ว่าชีวิตของเดมิก็อดไม่ต่างจากการเล่นเกมโชว์—คุณไม่มีวันรู้ว่าประตูไหนจะเปิดออกมาแล้วมีอสูรกายวิ่งใส่คุณ… หรือจะมีคูเปอร์ยืนอยู่พร้อมไอเดียสุดเพี้ยนอีกแล้ว

ไม่สิ…บางทียังไม่รู้ว่าอะไรน่ากลัวกว่ากันด้วยซ้ำ”


By เมเรซ… ผู้ชายที่ผมสวยที่สุดในค่ายฮาล์ฟบลัด



            






ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 11234 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-22 16:21
โพสต์ 2025-7-23 10:02:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-7-23 10:18

Activity Form



22/07/2025 11.00 . – 12.00 .

 

ปฏิบัติการค้นหารุ่นพี่ผู้ซ่อนเร้น

 

 

กาแฟลาเต้ที่เขาสั่งเมื่อเช้าก็ยังไม่หมดดี แต่คูเปอร์เริ่มสงสัยว่าตัวเองดื่มมันไปกี่อึกแล้วถึงยังอยู่ตรงโต๊ะเดิมได้ยาวนานขนาดนี้ เขานั่งอยู่มุมริมหน้าต่างของร้านชื่อ Coffee & Commonwealth ในเมืองริชมอนด์ที่มีชื่อแสนเก๋ราวกับหลุดมาจากหนังสายลับยุค 70 ร้านนี้มีความคลาสสิกอยู่ในตัว ทั้งกลิ่นกาแฟที่อบอวล เครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่าที่ยังใช้งานได้ และบาริสต้าที่สวมผ้ากันเปื้อนลายธงอังกฤษพร้อมหมวกเบเร่ต์ชวนให้นึกว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังส่งรหัสลับอยู่ก็เป็นได้

 

เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่มอีกคนที่ไม่ว่าจะหันไปมุมไหนก็ยังดูเหมือนหลุดมาจากปกแมกกาซีนแฟชั่นของฝรั่งเศส เมเรซ บริโอเทียร์ เชอร์วาลกับเส้นผมสีชมพูพาสเทลที่ดูเหมือนไม่เคยกระพือแม้ลมจะพัดแรงแค่ไหน และดวงตาคู่นั้นก็น่าจะสะกดใจอสูรกายได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้คำรามเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวกลับเอาแต่ดูดชาเขียวเย็นของตัวเองพลางเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อย ๆ โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา

 

“เราถูกส่งมาช่วยรุ่นพี่ที่อาจจะกำลังถูกตามล่าโดยทั้งสายลับอเมริกาและปีศาจในตำนาน แล้วเทพเจ้าก็ส่งเรามานั่งจิบลาเต้แทนที่จะวาร์ปไปกอดคอเธอหน้าประตูบ้านเลย” เจ้าของดวงตาสีเทาเปรยขึ้นเสียงเบา แต่ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแม้แต่น้อย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ขันประหลาด ๆ แบบที่ไม่รู้จะเรียกว่าชื่นชมในความโกลาหลหรือยอมแพ้ดี

 

“อาจเป็นกลยุทธ์” เมเรซตอบเรียบ ๆ พลางหยิบหลอดใหม่มาเสียบลงในแก้วชาด้วยท่วงท่าเหมือนดีไซเนอร์กำลังสเก็ตช์ร่างชุดคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ

 

คูเปอร์หัวเราะในลำคอ เอามือดีดฝุ่นเล็ก ๆ ออกจากแขนเสื้อเชิ้ต ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกปกหนังขึ้นมาวางบนโต๊ะ เปิดหน้าแรกที่เขาขีดเขียนรายละเอียดสั้น ๆ ไว้ด้วยหมึกสีดำ

 

ชื่อเป้าหมาย เคย์ล่า เฮย์เดน อดีตบรรณารักษ์รัฐสภาคนที่ 14 ปัจจุบันหลบหนีการจับกุมขององค์กรไม่ทราบชื่อ หลบซ่อนอยู่ในเมืองริชมอนด์ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวผิดปกติจากทั้งสายลับและอสุรกาย

 

คำสั่งคือ เข้าหาตัวเป้าหมายโดยไม่เป็นจุดสนใจ

 

ข้อห้าม: ไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงจนกว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ข้อควรระวัง: ต้องระวังอย่าประมาท อย่าเปิดเผยข้อมูลให้ใคร

 

เขายิ้มบางอย่างเอื่อยเฉื่อยขณะพลิกหน้าถัดไป มันเป็นแผนที่ของเมืองริชมอนด์พร้อมรอยปากกาสีแดงที่ขีดวงไว้ตรงบริเวณชานเมืองตะวันออก

 

“ฉันว่าเราเริ่มที่นี่ก่อนคืนนี้” ชายหนุ่มเจ้าของสมุดบันทึกเงยหน้าขึ้นมา เหลือบตามองเมเรซที่ยังคงเล่นโทรศัพท์เหมือนเบื่อโลก

 

“แถวนี้เต็มไปด้วยพวกปลอมตัวดีเกินมนุษย์ธรรมดา” เมเรซตอบโดยไม่ละสายตา “มีผู้ชายอายุห้าสิบใส่เสื้อฮู้ด เล่นเกมมือถือในร้านเบเกอรี่นั่นมา 2 ชั่วโมงแล้วโดยไม่ขยับตัวเลยสักนิด น่าสงสัยกว่าคุกกี้รสทูน่า”

 

“หืม คุกกี้รสทูน่านี่ฟังดูอันตรายกว่าพวกอสุรกายอีกนะ” เจ้าของประโยคนั้นพูดพลางวางแก้วลาเต้ลงเบา ๆ แล้วหันไปมองหน้าต่างที่สะท้อนเงาของผู้คนภายนอก

 

ฝั่งถนนตรงข้ามมีชายในชุดสูทสีกรมเดินผ่านหน้าร้าน เขาแสร้งอ่านหนังสือพิมพ์แต่กลับถือมันกลับหัว มือซ้ายถือกาแฟที่ไม่มีไอน้ำร้อนลอยออกมาแม้จะเป็นแก้วร้อนเสียด้วยซ้ำ

 

คูเปอร์ขยับแว่นตากันแดดลงมาคลุมดวงตาสีเทา แล้วหันไปพึมพำกับคนฝั่งตรงข้ามว่า “นายเห็นไหม ชายชุดสูทที่สามจากซ้าย พวกนั้นดูเป็นสายลับจริง ๆ มากกว่านักท่องเที่ยวหรือเจ้าหน้าที่ตรวจส้วม”

 

เมเรซเหลือบตาไปก่อนจะพูดว่า “เสื้อสูทตัดเย็บจากผ้าแคนวาสลายซาตินฝรั่งเศส รุ่นหายาก ราคาหลายพันเหรียญ ดื่มกาแฟแบบไม่แตะปากแก้ว...อืม สายลับจริงหรือเศรษฐีคลั่งแฟชั่นก็ยังไม่แน่ใจ”

 

“ก็ถือว่าอันตรายทั้งคู่นั่นแหละ” ผู้พูดวางสมุดลงแล้วหันกลับมาโฟกัสที่การวางแผนต่อ

 

ระหว่างนั้นประตูร้านเปิดออกอย่างเบา เสียงกระดิ่งกระทบกันดังกริ่งเบา ๆ หญิงสาววัยกลางคนในชุดกางเกงสแล็กสีเทากับเสื้อยืดสีเข้มเดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าถือเล็ก ๆ ที่ไม่เข้ากับเสื้อผ้าเลยแม้แต่นิด มันดูธรรมดาจนผิดปกติ และสิ่งที่ผิดธรรมชาติกว่านั้นคือท่าทางเดินที่เบาราวกับไม่ได้เหยียบพื้นจริง ๆ

 

เมเรซเหลือบตาให้ เขาไม่พูดอะไรแต่วางแก้วชาเขียวลงช้า ๆ นิ้วเรียวยาวแตะปลายโชคเกอร์ราวกับส่งสัญญาณ ซึ่งคนตรงข้ามก็เข้าใจทันทีโดยไม่ต้องพูดออกมา

 

"เธออาจเป็นหนึ่งในพวกนั้น"

 

เขาเหลือบไปมองหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง ทันใดนั้น เมเรซก็ย่นคิ้ว ไม่ใช่เพราะรำคาญ แต่เพราะเขารับรู้ถึงเจตนาบางอย่างที่แผ่ออกมาจากผู้หญิงคนนั้น

 

“เธอรู้ตัวแล้ว ว่าเรามองอยู่” เขาพูดเรียบ ๆ น้ำเสียงราวกระซิบแต่เพียงพอให้คนร่วมโต๊ะได้ยิน ดวงตาข้างขวาที่เป็นสีเทาเข้มขึ้นเรื่อย ๆ

 

ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีหม่นเทาเก็บสมุดลงกระเป๋าอย่างรวดเร็ว หยิบแว่นตาอีกอันออกมาสวมแทน แล้วพูดขึ้นมาเหมือนชวนคุยกันเล่น ๆ ว่า “งั้นไปจ่ายเงินแล้วเปลี่ยนร้านกันดีกว่า ฉันว่าร้านต่อไปน่าจะมีเค้กดีกว่า”

 

พวกเขาทั้งสองลุกขึ้นจากโต๊ะโดยที่ไม่มีใครหันหลังให้ทางประตูเลยแม้แต่วินาทีเดียว ก่อนจะเดินออกไปราวกับเป็นเพียงชายหนุ่มสองคนที่ออกมาเดินเล่นใต้แสงแดดที่ไม่มีวันลับขอบฟ้า

 

ความจริงคือพวกเขาเพิ่งเลี่ยงการปะทะกับคนที่อาจจะเป็นสายลับที่แฝงตัวมาอย่างแนบเนียน โดยไม่จำเป็นต้องชักหอกหรือทำอะไรให้มันเว่อร์วัง

 

 

แม้ว่าการจิบลาเต้ไปพร้อม ๆ กับวิเคราะห์การจารกรรมระดับประเทศอาจจะดูไม่ใช่งานในฝันของใครสักคน แต่สำหรับเขาแล้ว มันก็คล้ายกับการดูภาพยนตร์สนุก ๆ ที่คุณไม่มีวันรู้ว่าฉากถัดไปจะเจออะไร

 

 

พวกเขาเดินออกจากร้านคาเฟ่โดยไม่รีบร้อน ท่ามกลางเมืองที่เหมือนกำลังซ่อนห้วงลมหายใจของบางสิ่งบางอย่างไว้ใต้ท้องถนน แสงแดดยังทอประกายสะท้อนกระจกตึกแถวที่เรียงตัวกันเป็นแนว แต่ในสายตาคูเปอร์ ทุกเงามืดระหว่างซอกตึกนั้นอาจเป็นจุดที่ใครสักคนกำลังเฝ้าสังเกตอยู่ก็ได้ เขาขยับคอเสื้อเชิ้ตเล็กน้อย เหมือนกับว่ามันช่วยจัดสมาธิให้มั่นคงขึ้น

 

 

 

ตามที่เราวางแผนกันไว้” คูเปอร์เปิดบทสนทนาในขณะที่ยังไม่หยุดเดิน น้ำเสียงของเขาเบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน ไม่หลุดรอดไปยังไมโครโฟนล่องหนที่พวกสายลับรักอาจจะติดไว้ใต้กระถางต้นไม้ มือหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมหยิบมือถือเดดาลัส ที่กำลังเปิดภาพของหญิงชราผมสีดำ ภาพถ่ายของเคย์ล่า เฮย์เดน

 

เราจะแยกกันไปสืบหาเบาะแสบริเวณรอบ ๆ นี้ นายตรวจตามแนวถนนฝั่งตลาด ฉันจะขึ้นด้านบน แล้วใช้วิธีของฉันจัดการ... ถ้าเทพีอะธีน่าพาเรามาที่นี่จริง ก็แปลว่าเคย์ล่าต้องอยู่ไม่ไกลเกินระยะปาหิน…แบบคนขว้างเก่ง

 

 

เมเรซเหลือบตามองภาพนั้นก่อนจะเปล่งเสียงในระดับที่คนทั่วไปคงคิดว่าเขากำลังตำหนิแบรนด์เสื้อผ้าสักตัว "หวังว่าแม่นั่นจะไม่ตัดผมเปลี่ยนลุคไปเป็นสไตล์พังก์นะ ไม่งั้นฉันจะไม่ให้อภัยเลยจริงๆ"

 

"แค่เธอยังไม่ปลอมตัวเป็นกระถางต้นไม้หลบอยู่ในสวนหน้าบ้านก็บุญแล้ว" ชายหนุ่มหัวเราะน้อย ๆ ในลำคอ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยเมฆโปร่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ทว่าในแววตาสีเทาคู่นั้นกลับฉายแววของแผนการที่ซ่อนอยู่

 

เมเรซยักไหล่เบา ๆ มือเรียวยกแว่นกันแดดขึ้นเหน็บบนผมโดยไม่กลัวจะเสียทรง ก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบแต่มีน้ำหนัก “อย่าให้ฉันต้องมารับซากนายนะ

 

ถ้านายเห็นฝูงนกฮูกบินวนเหมือนงานแฟชั่นโชว์กลางฟ้า นั่นแปลว่าฉันยังไม่ตายแน่” คนพูดยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินลัดเลาะเข้าซอยข้างตึกแถวที่มีผนังปูนแตกร้าวกับป้ายโฆษณาที่หลุดห้อยแอ่นอยู่ปลายมุม

 

เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามหลัง คูเปอร์จึงหยุดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ริมลานร้าง เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนกิ่งไม้ที่ขดตัวซับซ้อนเหมือนใยสมองมนุษย์ จากนั้นก็ผิวปากเบา ๆ และทันทีที่เสียงนั้นจบลง ฝูงนกฮูกก็ปรากฏตัวขึ้นจากเงาไม้ ร่อนลงมาเงียบเชียบราวกับภาพฝันกลางวัน

 

เจ้าสัตว์ปีกเงียบสงบเหล่านี้มีหลากหลายขนาด บ้างเล็กเท่าแก้วกาแฟ บ้างใหญ่เกือบเท่าแมวบ้าน แต่ทุกตัวล้วนมีดวงตาคมกริบที่สะท้อนแสงจ้า พวกมันล้อมวงบนกิ่งไม้ ขอบรั้ว และหลังคารถบรรทุกร้างอย่างพร้อมเพรียงราวกับรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา

 

หวัดดีพวก” คูเปอร์ส่งเสียงทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “วันนี้ฉันมีภารกิจให้ช่วยหน่อย...เคย์ล่า เฮย์เดน จำชื่อไว้นะ ดูรูปให้ดี

 

เขาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดภาพหญิงชราในชุดสูทเรียบร้อย ใบหน้าเรียบเฉียบคม ดวงตาซ่อนแววเจ้าเล่ห์เหมือนคนที่อ่านหนังสือมาเกินหมื่นเล่ม และกำลังจะปิดเล่มที่หมื่นหนึ่ง

 

เธออยู่แถวนี้แน่ พวกนายแยกกันบิน สำรวจทุกจุดในรัศมีสามกิโล ถ้าเจอ...บินวนเป็นรูปแปดให้ฉันรู้ โอเคนะ” ชายหนุ่มยกคิ้วอย่างคาดหวัง

 

เหล่านกฮูกเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ตัวหนึ่งจะพยักหน้าช้า ๆ ซึ่งดูน่าประหลาดเพราะมันแฝงแววเข้าใจในแบบที่นกทั่วไปไม่ควรจะมี นกฮูกตัวหนึ่งส่งเสียง ‘ฮู้’ ขึ้นมาอย่างน่าเอ็นดู อีกตัวสะบัดปีกจนขนนุ่มปลิวร่วงลงมาแผ่วเบา แล้วพวกมันก็แยกย้ายกันออกไปอย่างคล่องแคล่ว บางตัวโฉบลงไปใกล้ตลาด บางตัวบินเหนือถนน บางตัวก็หายเข้าไปในร่มเงาของอาคารสูง จากนั้นฝูงนกก็ทะยานขึ้นฟ้าอย่างเงียบกริบ ละลายหายเข้าไปในแสงแดดที่ไม่มีวันลับขอบฟ้า

 

 

เมื่อเหล่าสหายมีขนบินออกไปแล้ว คูเปอร์ก็ก้าวเข้าไปหลังตึกที่มีเงาพอจะหลบมุมแสงได้ เขาหลับตา สูดลมหายใจลึก แล้วปล่อยให้พลังไหลผ่านร่างกาย

 

ร่างของเขาเริ่มเปลี่ยน ดวงตาสีเทากลายเป็นทรงกลมเล็ก ขอบทองละเอียด ผิวหนังกลายเป็นขนปุกปุยสีน้ำตาลเข้มที่ไล่เฉดอย่างสมบูรณ์แบบ ปีกกว้างแผ่จากแผ่นหลัง ร่างทั้งร่างค่อย ๆ หดเล็กลงจนนกฮูกตัวใหญ่ตัวหนึ่งร่อนลงแทนที่ชายหนุ่ม

 

เจ้านกฮูกหมุนคอครึ่งรอบแล้วเริ่มบินขึ้นฟ้า ปีกมันกระพือเบา ๆ ในจังหวะมั่นคง แววตาคมไล่มองตามแนวตึก ถนนเล็ก ซอกอาคาร และระเบียงที่รกเรื้อด้วยของเก่า ทุกจุดคือข้อมูล ทุกลมหายใจคือสมรภูมิ

 

ในขณะเดียวกัน เมเรซเดินเลี้ยวเข้าตรอกใกล้ ๆ ตลาดของเก่า เขาไม่ได้แปลงร่างเป็นสัตว์บินเหมือนอีกคน แต่ร่างกายเขากลับเปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุกลืนไปกับกำแพงอิฐด้านหนึ่ง เหมือนร่างนั้นค่อย ๆ ถูกดูดกลืนกับภาพวาดแบบกราฟฟิตีธรรมดา ๆ ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

 

เมื่อสายตาของทุกคนผ่านเลยเขาไปอย่างไม่ไยดี เมเรซจึงเริ่มเคลื่อนไหวผ่านผนังอย่างช้า ๆ เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นแมวสีเทาที่กระโดดออกมาจากหลังถังขยะแล้วเดินด้วยท่วงท่าราวกับเป็นเจ้าเมืองตัวจิ๋ว

 

เขาหยุดชะงักใต้รถคันหนึ่งที่จอดทิ้งไว้ พลางชะเง้อมองชายสองคนในชุดลำลองที่กำลังพูดคุยกันเบา ๆ ทั้งคู่สวมหมวกแก๊ป มีหูฟังแบบสายโทรศัพท์ติดที่คอเสื้อ และที่ชัดเจนที่สุดคือ...พวกเขาไม่มีเงา

 

บุตรแห่งความรักพึมพำกับตัวเองในใจว่านั่นอาจจะไม่ใช่สายลับธรรมดา และอาจจะไม่ใช่มนุษย์เลยด้วยซ้ำ แมวสีเทากระโจนขึ้นไปบนถังขยะแล้ววิ่งขึ้นหลังคาแถวตึกด้านหลัง จากนั้นแปลงร่างเป็นกระถางต้นไม้หนึ่งใบ...ชนิดที่ใครเห็นก็จะรู้สึกแค่ว่ามันดูแปลกดี แต่ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะหยุดมองนานนัก

 

มีคนหนึ่งหันมามองพอดี ดวงตาสีน้ำเงินเข้มแทบจะไร้แวว เขาหยุดนิ่งครู่หนึ่ง เหมือนกำลังใช้บางอย่างตรวจสอบความผิดปกติ แต่ไม่พบอะไร ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็หันกลับไปพูดกับคู่หูแล้วเดินจากไปพร้อมเสียงฝีเท้าที่กดเบาแต่มีน้ำหนักบนพื้นปูน

 

เมเรซยังคงนิ่งอยู่ในสภาพกระถางต้นไม้บนขอบหน้าต่าง คิดว่าบางทีเขาอาจจะได้ตำแหน่งพรางตัวแห่งปีไปครอง

 

ในขณะที่อีกฟากหนึ่งบนฟ้าสูง คูเปอร์ในร่างนกฮูกบินโฉบผ่านแถวห้องสมุดเก่าที่มีหลังคาสังกะสีขึ้นสนิม สายตาคมกริบของเขาสแกนผ่านช่องหน้าต่างทุกบาน แต่เขายังไม่พบร่องรอยที่พอจะรู้ได้ว่า เคย์ล่านั่นอยู่ที่ใด

 

.

 

.

 

.

 

ร่างนกฮูกสีน้ำตาลหายไปในชั่ววินาที กลับกลายเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยืนอยู่กลางตรอกเงียบสงัด คูเปอร์ใช้ฝ่ามือพยุงตัวเองพิงกำแพงปูน รู้สึกถึงแรงดันภายในกล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นราวกับวิ่งมาราธอนมาสามสนามติดกัน การแปลงร่างอาจเป็นความสามารถที่เขาภูมิใจที่สุด แต่มันก็แลกกับการสูญเสียพลังงานมหาศาล และทุกครั้งที่คืนร่างก็เหมือนลมหายใจจะขาดไปครึ่งหนึ่ง

 

ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย ปล่อยให้สายลมกลางเมืองพัดผ่านเส้นผมสีน้ำตาลที่ยังมีเหงื่อชื้นเล็ก ๆ พลางสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสมาธิกลับคืน แต่ความเงียบของตรอกนั้นกลับสั่นสะเทือนเพราะเสียงแหวกอากาศที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ให้ตั้งตัว

 

สัญชาตญาณอันแหลมคมสั่งให้เขาก้าวถอยพร้อมหมุนตัวหลบในเสี้ยววินาที ลูกธนูสีดำที่มีปลายแหลมยาวเฉียดหน้าของคูเปอร์ไปจนได้ยินเสียงลมเสียดข้างแก้ม ก่อนจะปักลงบนผนังด้านหลังจนเกิดเสียงกระแทกแหลม

 

จริงสิ...นี่ไม่ใช่เมืองที่ปลอดภัยขนาดนั้น” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ดวงตาสีเทาเหลือบมองไปยังทิศที่ลูกศรถูกปล่อยออกมา

 

ร่างของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งม้าปรากฏชัดขึ้น มันเป็นเซนทอร์ขนสีน้ำตาลเข้ม หัวไหล่หนาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเก่า ร่างกายแข็งแรงจนเห็นเส้นกล้ามเนื้อเรียงเป็นมัด มือหนึ่งจับคันธนูไม้ดำที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากไม้โบราณอาบมนตร์ร้าย ดวงตาของมันแฝงความกราดเกรี้ยวชวนให้รับรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ฝ่ายที่มาเจรจาสงบแน่นอน

 

คูเปอร์กัดฟันนิด ๆ เรียกหอกสัมฤทธิ์ออกจากแหวนดาราจรัส ปลายนิ้วแตะวงแหวนแล้วมันก็ปรากฏมีหอกยาวสีทองแดงเรืองแสงอ่อน ๆ ยามต้องแสง ออกมา

 

อยากคุยดี ๆ ก็เลือกวิธีผิดแล้วล่ะเพื่อน” เสียงของเขาราบเรียบแต่แฝงรอยขันขัน

 

เซนทอร์ตอบกลับด้วยการเล็งคันธนูตรงมาที่เขาอีกครั้ง

 

ชายหนุ่มวิ่งหลบไปด้านข้างพร้อมกับปักหอกลงพื้นเพื่อใช้แรงเหวี่ยงตัวออกจากแนววิถีลูกศร ธนูดอกต่อไปพุ่งเฉียดปลายรองเท้าหนังของเขาไปเพียงปลายนิ้วมือ เสียงมันกระแทกพื้นคอนกรีตดังเปรี้ยงจนเศษปูนกระเด็น

 

เล่นธนูนี่มันโกงไปหน่อยไหม” เขาตะโกนขึ้นมา ก่อนจะหมุนหอกในมืออย่างคล่องแคล่ว

 

เมื่อเขาสบจังหวะจึงเหวี่ยงหอกใส่โครงเหล็กเสาไฟด้านข้าง เสียงกระแทกดังสนั่น เศษสนิมหล่นใส่พื้นถนนจนเป็นเสียงลั่นที่ดึงความสนใจของเซนทอร์ชั่ววินาที

 

นั่นคือเวลาที่เขาพุ่งเข้าใกล้ คูเปอร์กระโดดขึ้นจากพื้นโดยใช้ปลายหอกเป็นแรงยัน เขาเหยียบกำแพงตึกข้าง ๆ เพื่อเร่งความเร็ว ก่อนจะฟาดปลายหอกเฉียดไหล่ของคู่ต่อสู้จนมันต้องถอยม้ากลับอย่างฉับพลัน แต่เซนทอร์นั้นก็ไม่ธรรมดา มันหันตัวอย่างรวดเร็ว ยิงลูกธนูสวนขึ้นมาจนคูเปอร์ต้องทิ้งตัวลงพื้นแล้วหมุนตัวหลบอีกครั้ง

 

เสียงธนูแหวกอากาศเป็นระลอก เขาไม่มีเวลาจะเล่นสวยนัก มือกระชับหอกก่อนพุ่งตรงเข้าหา มันเป็นการพนันระหว่างความเร็วของเขากับความแม่นยำของคู่ต่อสู้

 

“ถ้าแพ้นี่คงจะดูโง่สิ้นดี” ชายหนุ่มพึมพำแล้วพุ่งตัวต่ำอย่างรวดเร็ว

 

เซนทอร์ปล่อยลูกศรทันที แต่คูเปอร์หมุนหอกขึ้นขวางในแนวเฉียงจนโลหะสัมฤทธิ์กระแทกกับปลายธนู เสียงโลหะเสียดสีก้องเหมือนเสียงระฆัง เขาใช้จังหวะนั้นดันตัวขึ้นด้านข้างและฟาดปลายหอกไปยังแขนของเซนทอร์จนมันสะดุ้ง คันธนูแทบหลุดมือ

 

ร่างม้าของมันเตะพื้นจนฝุ่นฟุ้ง มันคำรามด้วยเสียงต่ำ คูเปอร์ใช้จังหวะที่มันเสียหลักหมุนหอกฟันอากาศใส่ขาท่อนหน้า แม้จะไม่ได้ทำร้ายมากแต่ก็พอให้มันถอยห่างออก

 

“อยากลองคุยดี ๆ ไหม ยังทันอยู่นะ” เสียงของเขาก้องไปในตรอก แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือสายตาโกรธเกรี้ยวและลูกธนูอีกดอก

 

คูเปอร์กัดฟันวิ่งบิดตัวเลี่ยง และใช้หอกแทงกระแทกพื้นสร้างแรงเหวี่ยงให้ร่างพุ่งไปประชิด ระยะนี้ไม่เหลือโอกาสให้เซนทอร์ยิงได้ถนัด เขาหมุนหอกฟาดอย่างต่อเนื่องราวกับการเต้นรำ เสียงปลายโลหะปะทะคันธนูไม้เกิดประกายถี่ การต่อสู้กินเวลานานกว่าที่คิด ทั้งสองแลกจังหวะรุกและรับกันหลายรอบ 

 

เซนทอร์คำรามก้อง เสียงกระแทกกับผนังตึกใกล้ ๆ ทำให้ชาวเมืองแถวนั้นชะงักไปชั่วครู่ แต่ด้วยหมอกมายาที่ปกคลุมการรับรู้ ผู้คนอาจเห็นเขากำลังใช้ท่อแป๊บไล่ฟาดนักเลงร่างใหญ่แทน ซึ่งถ้าให้เลือก คูเปอร์ก็ไม่อยากเป็นไฮไลท์ในคลิปไวรัลบนอินเตอร์เน็ตแน่ ๆ

 

เซนทอร์ยกธนูขึ้นเล็งอีกครั้ง ดวงตาคมวาวด้วยความมั่นใจ ทว่าคราวนี้ชายหนุ่มกลับตัดสินใจสวนในจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายปล่อยสายธนู เขาก้มหลบต่ำให้ลูกศรเฉียดเหนือศีรษะ ปลายหอกของเขากระแทกเข้ากับขาหน้าของเซนทอร์อย่างแรง

 

มันร้องลั่นด้วยความเจ็บ ดวงตาที่เคยแฝงความมั่นใจเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว มันตวัดขาหน้าหมายจะกระแทกเขาให้ล้ม แต่คูเปอร์พลิกตัวหลบอย่างว่องไว มือหมุนหอกกลับแล้วพุ่งแทงตรงจุดอ่อนใต้ซี่โครง

 

เสียงเหล็กเสียดกับเนื้อดังลึก เซนทอร์คำรามก้องสะบัดตัวแรงจนเขาเกือบปลิวไปกระแทกกำแพง แต่ชายหนุ่มยังเกาะด้ามหอกแน่น เขาหมุนตัวอาศัยแรงสะบัดนั้นเป็นแรงเหวี่ยง ตวัดหอกไปที่คอของมันด้วยจังหวะเฉียบขาด

 

ร่างใหญ่สะดุ้งเฮือก ก่อนที่ทุกสิ่งจะเงียบลง เซนทอร์ทรุดตัวลงช้า ๆ ดวงตาดับแสง มันสลายกลายเป็นฝุ่นละอองสีทองระยิบระยับ ล่องลอยกระจายไปกับสายลม

 

คูเปอร์ยืนนิ่ง สูดลมหายใจลึก หยดเหงื่อผสมฝุ่นละอองเกาะอยู่บนหน้าผาก  ก่อนยกมือเช็ดคราบเลือดที่ปากแผลเล็กบนแก้ม

 

คูเปอร์ควงหอกแล้วเรียกมันกลับเข้าสู่แหวนดาราจรัส พลางก้มหน้ามองร่องรอยการต่อสู้ที่กระจายอยู่รอบตัว รู้ดีว่าการต่อสู้นี้อาจจะไปกระตุ้นสายลับหรืออสุรกายตัวอื่นให้จับตาเพิ่มขึ้น

 

เขาสะบัดผมเบา ๆ เหมือนจะปลดความเครียดออกจากบ่า ก่อนจะเดินออกจากตรอกในจังหวะที่นกฮูกตัวหนึ่งบินโฉบลงมาเกาะที่ราวเหล็กและส่งเสียงร้องทัก

 

“ได้เรื่องบ้างไหมเพื่อน” เขายิ้มบาง ๆ ให้มัน “ถ้ามีอะไรก็ไปบอกเมเรซด้วย เดี๋ยวฉันจะตามไป”

 

ชายหนุ่มหันหลังให้ซากลูกธนูบนพื้น เดินออกไปด้วยท่าทีที่มั่นคงกว่าเดิมพร้อมความตั้งใจจะเริ่มค้นหาเคย์ล่า เฮย์เดนต่อโดยไม่รอช้า

 





สรุปสถานการณ์


-คูเปอร์และเมเรซ แยกย้ายกันออกค้นหา เคย์ล่า เฮย์เดน  


-คูเปอร์ต่อสู้กับเซนทอร์


หลักฐานการพิชิต


เซนทอร์นักรบ


สินสงคราม


กีบเซนทอร์ (เลขไบต์สุดท้าย เลขคู่)


+ 2 ตื่นรู้จากการพิชิตครั้งแรก


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 86108 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-23 10:02
โพสต์ 86,108 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 เกียรติยศ +9 ความศรัทธา จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-7-23 10:02
โพสต์ 86,108 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 เกียรติยศ +35 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-23 10:02
โพสต์ 86,108 ไบต์และได้รับ +10 EXP +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-7-23 10:02
โพสต์ 86,108 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Daedalus's Legacy  โพสต์ 2025-7-23 10:02

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดบำรุงอาวุธ
เรือมินิบานาน่า
Daedalus's Legacy
มีดสั้นสัมฤทธิ์
บทเพลง
การควบคุมอาวุธ (จำกัด)
ปัญญาแห่งการรบ
ร่างจำแลง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กลยุทธ์การรบ
การสื่อสารและควบคุมนกฮูก
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
แว่นกันแดด
กำไลหินนำโชค
หมวกเกราะ
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
หอกกรีก
อัจฉริยะ
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x2
x10
x2
x1
x1
x1
x2
x5
x26
x5
x5
x5
x5
x5
x6
x34
x2
x2
x20
x2
x3
x1
x1
x20
x1
x1
x1
x1
x1
x3
x11
x1
x10
x20
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x1
x5
x5
x31
โพสต์ 2025-8-6 02:28:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2025-8-6 02:35

Activity Form


 

22/07/2025 12.00 น. – 12.30 น.

  

หน้าที่ 2


คูเปอร์ก้าวออกจากตรอกเงียบ  ลมหายใจที่ยังไม่ทันจะคืนความเรียบก็ถูกแทนด้วยเสียงกระพือปีกดังฟึ่บ ๆ ใกล้ศีรษะ ดวงตาสีเทาเหลือบขึ้นไปมอง เห็นนกฮูกตัวหนึ่งบินโฉบลงมาพร้อมเสียงร้องที่เขาคุ้นหูเกินกว่าจะเข้าใจผิด มันคือหนึ่งในพวกคู่หูปีกขนที่เขาเพิ่งส่งไปลาดตระเวนเมื่อครู่ แต่ที่ทำให้เขาหยุดก้าวเท้ากลางถนน คือเศษกระดาษสีหม่นที่ผูกอยู่ตรงข้อเท้าของมัน

 

“เอ๊ะ...นี่นายไปแวะร้านกาแฟแล้วเจอบัตรกำนัลกลับมาเหรอ หรือมันเป็นข่าวดีจริง ๆ” เสียงของเขาแฝงรอยยิ้มล้อเล่น แต่มือกลับเอื้อมไปรับเศษกระดาษนั้นด้วยความระวัง

 

นกฮูกกระพือปีกพลางส่งเสียงฮูกเบา ๆ ราวกับจะบอกว่า "ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ" ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางพูดกับมันว่า “โอเค ไม่ใช่บัตรกำนัลสินะ งั้นขอดูหน่อยว่าของดีอะไรที่นายหอบมา”

 

เขาคลี่กระดาษออก มันไม่ใช่ข้อความตรง ๆ แต่เป็นบรรทัดสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือเรียบและคม บ่งบอกถึงความตั้งใจ เหมือนบทกลอนที่ซ่อนรหัสไว้ในจังหวะคำ

 

“แสงเก่าเลือนหายใต้เพดานแก้ว

เสียงสมุดร้องไห้ไร้คนเหลียว

ประตูบานที่เจ็ดคือเส้นทาง

รอคนครองปัญญาเคียงเงาไฟ”

 

ด้านล่างมีตัวย่อ K.H. เขียนด้วยหมึกจาง ๆ

 

คูเปอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลิกกระดาษไปมาหลายครั้งเหมือนหวังว่าจะมีข้อความลับซ่อนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ “นี่มัน...งานถนัดของรุ่นพี่บ้านเดียวกันจริง ๆ ใช่ไหม คำใบ้แบบนี้คิดว่าฉันจะตีความได้ในสิบวิหรือไง”

 

เขากวาดสายตาอ่านท่อนกลอนซ้ำอีกครั้ง

 

แสงเก่าเลือนหาย...เพดานแก้ว...เสียงสมุดร้องไห้... บางอย่างเริ่มเชื่อมโยงในหัว “ห้องสมุดเก่าแน่นอน” เขาพึมพำพลางจิ้มปลายกระดาษเบา ๆ “แต่เพดานแก้ว...เมืองนี้มีตึกที่มันดูสวยเกินไปจะพังไปพร้อมห้องสมุดร้างจริงไหมนะ”

 

เขาหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชข้อมูลภาพเมืองรอบ ๆ และตึกที่เคยเป็นสถานที่สำคัญของริชมอนด์ “ประตูบานที่เจ็ดคือเส้นทาง...” เขาพึมพำเหมือนคิดกับตัวเอง “ห้องสมุดชั้นในสุดอาจจะมีประตูมากกว่าหนึ่ง คงต้องนับบานจริง ๆ”

 

นกฮูกที่เกาะอยู่บนราวเหล็กเอียงคอราวกับพยายามบอกอะไร

 

“อะไร นายรู้รึเปล่าว่าประตูบานที่เจ็ดอยู่ไหน” เขาหัวเราะขำ ๆ แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกนกฮูกพวกนี้ฉลาดอย่างน่ากลัว บางครั้งมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ติดตามแผนของนกพวกนี้มากกว่า

 

เขาเก็บกระดาษใส่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ก่อนพูดกับนกฮูก “ไปบอกเพื่อน ๆ ว่าพวกเรามีจุดน่าสงสัยแล้ว เดี๋ยวฉันจะตามไปเช็คเอง แต่ก่อนอื่นต้องไปรวมตัวกับเจ้าหนุ่มแฟชั่นนิสต้าก่อน ไม่งั้นเขาคงคิดว่าฉันหายไปซื้อรองเท้าใหม่”

 

ชายหนุ่มพุ่งตัวออกจากตรอก ก้าวยาว ๆ ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง เขามุ่งหน้าไปทางจุดนัดพบกับเมเรซ โดยระหว่างเดินก็ยังไม่หยุดคิดถึงปริศนาในกระดาษ ความรู้สึกว่ารุ่นพี่เคย์ล่าอาจตั้งใจกำหนดเส้นทางให้พวกเขาหาทางเข้าถึงเธอแบบไม่ใช่ทางตรงเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

 

เมื่อเข้าใกล้จุดนัดพบ คูเปอร์เปรยกับตัวเอง “ถ้าเมเรซเจอปริศนาแบบนี้ เขาอาจจะตีความว่ามันเป็นรหัสลับของงานแฟชั่นโชว์ฤดูหนาว...เดี๋ยวลองถามดูหน่อยดีกว่า”

 

ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าเบา ๆ ด้านหลังทำให้เขาหันไปมอง และพบกับร่างสูงผอมเพรียวของเมเรซที่ก้าวออกมาจากมุมอาคาร ใบหน้าสวยเฉียบและแววตาสองสีจับจ้องมาที่เขาเหมือนจะถามโดยไม่ต้องพูดว่า “เจออะไร?”

 

คูเปอร์ยกเศษกระดาษขึ้นเล็กน้อย ยิ้มพลางว่า “ได้เบาะแสแล้วล่ะ ฉันได้กระดาษนี่ใด้มาจากนกฮูกอีกที แต่นายช่วยดูทีสิ นี่มันกลอนหรือการบ้านของใครสักคนที่หลุดมา”

 

เขาส่งกระดาษให้อีกฝ่าย ก่อนรอฟังความคิดเห็นจากปากของเมเรซ ซึ่งปกติแล้วจะมาพร้อมน้ำเสียงที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังสอบแฟชั่นดีไซน์รอบไฟนอลอยู่ทุกครั้ง

 

เมเรซหยิบกระดาษจากมือคูเปอร์อย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวว่ามันจะเป็นเศษผ้าโบราณจากพิพิธภัณฑ์ที่ถ้าพับผิดมุมจะมีเทพเจ้าโผล่มาสาป เขากวาดตาอ่านกลอนนั้นช้า ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบสายตาของชายหนุ่มผมน้ำตาล

 

“แล้วนายคิดว่ามันหมายถึงที่ไหน” น้ำเสียงเรียบ แต่ในแววตากลับเหมือนกำลังทดสอบความเฉียบคม

 

คูเปอร์ยักไหล่นิด ๆ คล้ายจะยอมรับว่าตัวเองก็ยังไม่มั่นใจเต็มร้อย “ฉันเดาว่าเป็นห้องสมุดเก่า...คำว่า เสียงสมุดร้องไห้ไร้คนเหลียว น่าจะหมายถึงหนังสือที่ถูกทิ้งจนฝุ่นจับ แต่คำว่า เพดานแก้ว นี่สิ ฉันไม่แน่ใจเลยว่าหมายถึงที่ไหนกันแน่ ห้องสมุดในเมืองนี้มีหลายแห่ง แต่แบบที่มีเพดานแก้วมันดูไม่ค่อยเข้ากับคำว่าร้างสักเท่าไร”

 

เมเรซกระตุกมุมปากเล็ก ๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “นายบอกว่าได้กระดาษนี้มาจากพวกนกฮูกที่นายส่งไปใช่ไหม งั้นทำไมไม่ลองถามเจ้าตัวนั้นดูล่ะว่ามันได้มาได้ยังไง”

 

คูเปอร์ชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ “จริงด้วยแฮะ ฉันนี่มันโง่เป็นพัก ๆ เลยนะ ลืมไปว่าเจ้านกพวกนี้คุยภาษาเราได้”

 

ทันทีที่ผิวปากเรียก นกฮูกตัวเดิมก็บินร่อนลงมาเกาะบนราวเหล็กใกล้ ๆ และจ้องตาเขาราวกับจะบอกว่า นึกได้แล้วเหรอเพื่อน?

 

“โอเค ขอโทษทีที่มองข้ามนาย” คูเปอร์เอ่ยขำ ๆ ก่อนถามต่อ “เศษกระดาษนี่ นายได้มาจากที่ไหน”

 

เจ้านกฮูกกระพือปีกเบา ๆ ส่งเสียงทุ้ม ๆ ที่ไม่เข้ากับตัวมัน “มีผู้หญิงคนหนึ่งในชุดคลุมดำ เธอเรียกข้าลงไปที่ถนนแถวนั้น แล้วมอบกระดาษให้ฉัน เธอบอกแค่ให้ส่งให้ถึงเจ้า ข้าไม่รู้หรอกว่าคนที่ชื่อเคย์ล่าอยู่ที่ไหน เพราะเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้น”

 

คูเปอร์กับเมเรซสบตากันเล็กน้อย ชายหนุ่มผมน้ำตาลพึมพำ “ผู้หญิงในชุดคลุมดำ...ฟังดูเป็นสัญญาณว่ารุ่นพี่เราอาจจะยังเคลื่อนไหวอยู่นอกที่ซ่อน”

 

“หรือไม่ก็เป็นใครสักคนที่อยากล่อเราไปติดกับดัก” เมเรซพูดเรียบ ๆ แต่สายตาเป็นประกายวาววับ เหมือนกำลังอ่านกลยุทธ์เกมหมากรุก

 

“ไม่ว่าจะอันไหน ฉันก็ไม่มีทางเลือกมากนัก” คูเปอร์บอก พลางคลี่กระดาษขึ้นอีกครั้งแล้วอ่านช้า ๆ “ประตูบานที่เจ็ดคือเส้นทาง... หมายความว่าสถานที่นี้ต้องมีหลายประตูแน่ อาจเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ หรือไม่ก็สถานที่ที่มีสถาปัตยกรรมคลาสสิก แต่เพดานแก้วนี่...มันเหมือนคำใบ้ชัด ๆ ว่าควรหาสถานที่ที่มีโดมกระจกหรืออะไรทำนองนั้น”

 

เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนเปรยเบา ๆ “แต่เธออาจจะไม่ได้อยู่ในสถานที่ใหญ่ขนาดนั้น ถ้าเคย์ล่าสามารถปลอมตัวออกมาซื้อเสบียงได้ เธอคงไม่เสี่ยงกลับเข้าไปในตึกใหญ่ ๆ ที่ถูกจับตามอง ฉันว่าพื้นที่ที่ต้องดูคงเป็นร้านเก่า ๆ หรือโกดังร้างที่ถูกปรับให้เป็นห้องเก็บหนังสือส่วนตัวมากกว่า”

 

“นั่นหมายความว่านายจะตัดห้องสมุดสาธารณะใหญ่ ๆ ทิ้งสินะ” เมเรซถามพลางหมุนกระดาษระหว่างนิ้วเรียวยาว

 

“ใช่ มันเสี่ยงเกินไป” คูเปอร์ตอบทันควัน “ถ้าเป็นฉันจะไม่เลือกที่ที่คนพอจำได้แน่นอน ยิ่งเธออยู่ในสถานะคนที่ถูกไล่ล่า เธอต้องซ่อนตัวในที่ซึ่งธรรมดาจนคนไม่เหลียวมอง”

 

เขาหยุดคิดชั่วอึดใจ มือข้างหนึ่งแตะคางขณะที่สายตาเหลือบมองไปทางตึกแถวเก่า ๆ ที่เรียงกันเป็นแนวยาว “บางที...อาจเป็นร้านหนังสือมือสองที่ใครลืมไปแล้ว หรือห้องใต้ดินของตึกเก่า ฉันว่าเราควรเริ่มไล่สำรวจแถวโซนนี้ก่อน”

 

เมเรซเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดเล็ก ๆ “ชักเริ่มมีสมองเป็นของตัวเองแล้วนี่”

 

คูเปอร์หัวเราะแผ่ว “ฉันก็มีนะ แค่ไม่ได้โชว์ให้ใครเห็นบ่อย ๆ”

 

เขาเดินไปที่ราวเหล็กแล้วก้มหัวลงพูดกับนกฮูก “ขอบคุณสำหรับข้อมูลมาก เพื่อน ถ้าบินต่อได้ก็ช่วยวนดูแถวตึกชั้นเดียวหรือร้านเก่า ๆ ที่มีป้ายหนังสือด้วย ฉันจะตามเบาะแสทางนี้เอง”

 

 

คูเปอร์หันไปทางเมเรซ “งั้นเราไปลองสำรวจโซนโกดังเก่ากับตลาดด้านหลังละแวกนี้ก่อน นายว่าไง”

 

“ก็ไม่แย่หรอก” เมเรซยักไหล่ “ขอแค่ไม่ต้องเดินฝ่าแฟชั่นตลาดนัดฉันก็โอเค”

 

“งั้นไปกันเถอะ” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเอ่ย ก่อนทั้งคู่จะเริ่มเคลื่อนไปตามซอยแคบ ๆ โดยมีคำใบ้ในกระดาษเป็นเข็มทิศในภารกิจอันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้

 

 

คูเปอร์เดินเคียงข้างเมเรซในจังหวะก้าวสบาย ๆ แต่สายตากลับกวาดมองไปทุกทิศทางอย่างระวัง เขาหันไปถามคนข้างตัวเสียงต่ำว่า “ตอนนายออกสำรวจข้างล่าง เจออะไรบ้าง”

 

เมเรซเหลือบมองเขาเพียงแวบหนึ่งก่อนตอบเสียงเรียบ “เมืองนี้เต็มไปด้วยคนที่ดูผิดปกติ ฉันเจอกลุ่มคนแต่งตัวธรรมดา แต่เดินด้วยจังหวะที่เป็นระเบียบราวกับหน่วยฝึกยุทธวิธี แถมบางคนยังมองตามสายตาฉันราวกับจะวัดใจกัน แต่ฉันยังไม่แน่ใจว่าเป็นสายลับหรืออสูรกาย”

 

คูเปอร์พยักหน้าเบา ๆ ไม่ได้พูดแทรก จนกระทั่งเมเรซกล่าวต่อ “ที่แย่กว่าคือทางที่เรากำลังจะไป ก็มีคนลักษณะนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน นายควรระวังตัวให้มาก อย่าทำตัวโดดเด่น หรือคิดจะเล่นมุขอะไรที่เรียกร้องความสนใจเข้าใจไหม”

 

“เล่นมุขเนี่ยนะ ฉันดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ” คูเปอร์ส่งยิ้มเอื่อย  พลางยักไหล่ “โอเค ๆ นายเป็นคนจริงจังแบบนี้ก็ดี จะได้คุมสมดุลกันหน่อย”

 

เมเรซไม่ได้ตอบ เพียงแค่ก้าวเดินต่อโดยไม่หันมามอง ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงยอมเก็บคำพูดไว้แล้วปล่อยให้ความคิดในหัวเดินตามบทกลอนที่เขายังไม่เข้าใจ

 

“แสงเก่าเลือนหายใต้เพดานแก้ว เสียงสมุดร้องไห้...” คูเปอร์พึมพำกับตัวเองเบา ๆ เหมือนต้องการสะกดคำเหล่านั้นให้ติดอยู่ในหัว เขาพยายามนึกถึงสถานที่ในริชมอนด์ที่อาจมีเพดานแก้วหรือโครงสร้างแบบนั้นอยู่ แต่ก็ติดปัญหาว่าห้องสมุดส่วนใหญ่ในเมืองนี้เป็นอาคารอิฐหรือคอนกรีต ไม่ใช่สถาปัตยกรรมแก้วใส

 

ทั้งคู่เดินผ่านฟุตบาทที่เต็มไปด้วยร้านขายของเก่าและผู้คนสัญจรไปมา ริมทางมีนักดนตรีเปิดหมวกเล่นกีตาร์อยู่ เพลงที่เล่นเป็นทำนองแจ๊สเก่าที่ให้บรรยากาศขมุกขมัว คูเปอร์หยุดก้าวเพียงชั่วครู่ เหมือนจะดึงสมาธิกลับมา ก่อนจะเดินต่อ

 

เขาเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังงมเข็มในมหาสมุทรจริง ๆ การหาคนคนเดียวในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ไหนจะพวกสายลับที่ตามหาเคย์ล่าอยู่ด้วย ใครจะเจอเธอก่อนกัน...เขาไม่อาจเดาได้

 

“นายคิดว่าเธออยู่ที่ไหน” เมเรซถามขึ้นกะทันหัน น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความสนใจ

 

คูเปอร์ขยับคอเสื้อเหมือนกำลังคิดหาคำตอบ “ฉันยังไม่แน่ใจ คำใบ้ในกลอนน่าจะเกี่ยวกับสถานที่ที่เงียบและถูกลืม แต่เพดานแก้วนี่สิ ฉันพยายามเชื่อมโยงแล้วก็ยังไม่เห็นภาพ อาจเป็นโกดังที่ถูกปรับปรุง หรือร้านหนังสือเก่า...”

 

เขาชะงักเล็กน้อย เหมือนอะไรบางอย่างแล่นวาบขึ้นมาในหัว “...ร้านหนังสือเก่า ที่อยู่ข้างสถานีรถไฟฉันเห็นว่าร้านตรงนั้นทำหลังคาด้วยกระจกน่าจะเพื่อให้แสงลอดเข้าไปในนั้นได้ หรือมันอาจจะใช่ที่นั่น”

 

“ร้านหนังสือริมสถานีรถไฟ?” เมเรซเลิกคิ้ว ดวงตาสีชมพูและสีเทาเหลือบมองเขาอย่างประเมิน “ฟังดูเป็นไปได้ แต่แถวนั้นฉันเห็นพวกน่าสงสัยอยู่สองสามคน”

 

“ดี เราจะได้ทดสอบว่าสัญชาตญาณเราถูกหรือเปล่า” คูเปอร์เอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงรอยมั่นใจ แม้ในใจเขาจะรู้ดีว่ามันอาจเสี่ยง

 

ขณะเดินต่อ คูเปอร์ยังไม่หยุดคิดคำกลอนนั้น “เสียงสมุดร้องไห้ไร้คนเหลียว” มันเหมือนสื่อถึงหนังสือที่ถูกทิ้งไว้ในที่ที่ไม่มีคนไปอ่าน หรือห้องสมุดส่วนตัวที่ร้างผู้คน “ประตูบานที่เจ็ด” ทำให้เขาเริ่มนับจำนวนร้านเก่าที่มีหลายทางเข้าออก เพราะสถานที่แบบนี้ไม่ใช่ทุกแห่งที่จะมีประตูมากกว่าหนึ่ง

 

เขาเหลือบตามองเมเรซซึ่งกำลังเดินอย่างไม่รีบร้อน ร่างสูงผอมเพรียวแต่แฝงความสง่าของคนที่พร้อมจะแปลงร่างหนีหรือหลบซ่อนได้ทุกเมื่อ “นายว่าถ้ารุ่นพี่ปลอมตัวออกมาจริง เธออาจซ่อนตัวอยู่ที่พวกเราไม่คาดคิดเลยไหม แบบคาเฟ่เก่าหรือห้องเช่าในอาคารธรรมดา”

 

“อาจเป็นไปได้ ถ้าเธอฉลาดพอจะหนีพวกนั้นมาได้ตั้งหลายสัปดาห์ การหาที่ซ่อนที่ธรรมดาที่สุดน่าจะปลอดภัยกว่า” เมเรซตอบนิ่ง ๆ

 

คูเปอร์ครุ่นคิดตามคำพูดนั้น เขารู้ดีว่าการซ่อนตัวในความธรรมดาเป็นยุทธวิธีที่ใช้ได้ผลเสมอ เพราะคนมักจะมองข้ามสิ่งที่ดูไม่เด่น แต่ปัญหาคือ...ที่ธรรมดามีเยอะเกินไป

 

พวกเขาเดินต่อท่ามกลางเสียงรถและผู้คน ราวกับทุกสิ่งรอบตัวกำลังซ่อนบางอย่างไว้ใต้ความวุ่นวาย เขาตัดสินใจว่าเมื่อไปถึงแถวสถานีรถไฟ จะลองเดินสำรวจร้านหนังสือเก่านั้น และบางทีอาจต้องให้นกฮูกบินวนอีกครั้งเพื่อจับตาสถานที่ที่ซ่อนอยู่ในมุมสายตาของมนุษย์ทั่วไป

 

“เรายังไม่ควรรีบร้อนมากเกินไป” คูเปอร์พึมพำเบา ๆ ขณะก้าวลงทางเท้าตรงหัวมุมถนน “ฉันว่าแค่ระวังไม่ให้ใครตามหลัง ก็ถือว่าเรานำอยู่หนึ่งก้าวแล้ว”

 

เมเรซปรายตามองเขานิด ๆ ก่อนตอบ “ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น”

 

เสียงผิวปาก ดังขึ้นจากริมฝีปากของบุตรแห่งอะธีน่า เขาส่งสัญญาณเรียกนกฮูกคู่หูของตนมาอีกครั้งเพื่อให้มันบินสำรวจเส้นทางข้างหน้า โดยในใจคูเปอร์ยังคงทบทวนกลอนนั้นซ้ำ ๆ เหมือนพยายามต่อจิ๊กซอว์ที่เหลือเพียงไม่กี่ชิ้นแต่ยังไม่ลงตัว

 

.

 

.

 

.

 

22/07/2025 13.00 น.

 

เสียงฝีเท้าของคนสองคนดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอเมื่อทั้งคู่เดินเข้าสู่บริเวณสถานีรถไฟเก่าของเมืองริชมอนด์ สถานีนี้ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนสถานีในเมืองหลวง แต่มีเสน่ห์ในแบบอาคารอิฐสีแดงเข้มกับป้ายเก่าที่สลักชื่อสถานีด้วยอักษรซีดจาง ราวกับเวลาหยุดนิ่งไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน

 

คูเปอร์ก้าวไปข้างหน้าพร้อมเหลือบสายตามองรอบ ๆ ฝูงชนที่เดินผ่านหน้าสถานี มีนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง แต่สายตาของเขาก็สะดุดกับชายคนหนึ่งที่ยืนพิงเสาเหมือนไม่ได้รอรถไฟจริง ๆ สายตาของคนคนนั้นจับตามาที่พวกเขาแวบเดียวก่อนหันกลับไป คูเปอร์ไม่แสดงท่าทีสงสัยให้เห็น แต่กลับเอ่ยกับเมเรซเสียงเบา “ถ้ามีคนมองแบบนั้นอีกสักสองครั้ง ฉันจะคิดว่าเราเป็นดาราดังแล้วนะ”

 

เมเรซปรายตาสีชมพูและสีเทาเหลือบมอง แล้วตอบเรียบ ๆ “ไม่หรอก นายไม่ได้ดูดังขนาดนั้นหรอก”

 

คูเปอร์ยักไหล่เหมือนชินกับคำเหน็บแนม แล้วเดินตามป้ายไม้ที่บอกทางไปยังร้านหนังสือเก่าที่ตั้งอยู่ริมถนนเล็ก ๆ หลังสถานี

 

ร้านหนังสือดูเล็กและธรรมดาจนน่าประหลาดใจ ประตูไม้สีเข้มมีป้ายกระจกเก่า ๆ แขวนอยู่ว่า “เปิด” และภายในสามารถมองทะลุเห็นชั้นหนังสือไม้สูงที่เรียงรายกันจนแทบไม่เหลือทางเดิน ฝุ่นบาง ๆ ลอยคลุ้งในอากาศที่ถูกเจาะด้วยลำแสงที่ลอดจากเพดานกระจกซึ่งเป็นเหมือนโดมโค้ง คูเปอร์เผลอหยุดมองเพดานนั้นอย่างสนใจ

 

“เพดานแก้ว…” เขาพึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบา ความคิดบางอย่างเริ่มประติดประต่อเข้ากับกลอนที่เขาอ่านเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่แล้ว

 

เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อทั้งคู่ผลักประตูเข้าไป กลิ่นหนังสือเก่ากับกลิ่นหมึกจาง ๆ คลุ้งไปทั่ว อุณหภูมิด้านในเย็นลงเล็กน้อยเหมือนโลกอีกใบที่ตัดขาดจากเสียงวุ่นวายด้านนอก

 

หลังเคาน์เตอร์ไม้เล็ก ๆ มีชายวัยกลางคนสวมแว่นกรอบหนา ใบหน้าดูใจดี เขายกสายตามองทั้งคู่แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้ม “หาหนังสืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

 

คูเปอร์เดินยิ้ม เข้าไปเหมือนเป็นแค่นักเดินทางที่แวะมาเดินดูหนังสือ มือไล้ไปตามสันหนังสือเล่มเก่าบนชั้น “ก็แค่เดินดูครับ เห็นร้านนี้จากนอกสถานี ดูเก่าแต่มีเสน่ห์ดี”

 

เมเรซก้าวตามมาเงียบ ๆ แต่สายตาคมของเขากลับจับจ้องชายเจ้าของร้านเหมือนจะอ่านความคิดอีกฝ่ายจากท่าทางเล็กน้อยที่หลุดออกมา

 

“ร้านนี้ไม่ค่อยมีคนแวะมาหรอกครับ” เจ้าของร้านตอบพร้อมยิ้มบาง แต่คูเปอร์กลับจับได้ถึงแววตาที่ไม่สอดคล้องกับรอยยิ้ม “ถ้าอยากหาหนังสือพิเศษ ลองมุมขวาสุดเลยครับ ตรงชั้นล่างจะมีของเก่าจากยุโรป”

 

“ของเก่าจากยุโรป…” คูเปอร์ย้ำคำ ราวกับตั้งใจให้หลุดออกมา แล้วหันไปทางเมเรซ “นายสนใจไหม ของแบบนี้อาจมีมูลค่ามากกว่าที่คิดนะ”

 

เมเรซเพียงพยักหน้าเล็กน้อย แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องเจ้าของร้านอย่างไม่วางตา ราวกับมองทะลุรอยยิ้มและคำพูดสุภาพนั้น เหมือนบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

คูเปอร์เดินช้า ๆ ไปทางมุมที่อีกฝ่ายบอก สายตาเหลือบมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาที่แจ่มชัดก็พบว่ามีหนังสือบางเล่มถูกจัดเรียงเหมือนตั้งใจบังตู้ไม้ด้านหลัง ซึ่งปิดด้วยกลอนประตูเล็ก ๆ ที่ไม่สมควรมีในร้านหนังสือธรรมดา เขาไม่ได้แตะต้องมันทันที แต่ความรู้สึกบางอย่างในสายเลือดกำลังบอกเขาว่าที่นี่อาจไม่ใช่เพียงร้านหนังสือ

 

“รู้สึกไหมว่าที่นี่มัน...เงียบเกินไป” เขากระซิบถามเมเรซที่เดินตามเข้ามาใกล้ “แบบว่าเงียบจนเหมือนซ่อนอะไรไว้”

 

เมเรซเลิกคิ้วแล้วตอบเบา ๆ “เงียบยังไงก็ดีกว่าดังแต่นายพูดถูก บางอย่างมันไม่ปกติ ”

 

คูเปอร์ค่อย ๆ หันกลับไปมองเจ้าของร้านอีกครั้ง เขายังยิ้มเหมือนเดิม แต่แววตาเหมือนคนที่ระแวดระวังอะไรบางอย่าง หรือเฝ้ารอการกระทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อย

 

“ถ้าเคย์ล่าอยู่ที่นี่จริง เธอเลือกซ่อนตัวได้ฉลาดมาก” คูเปอร์พึมพำราวกับพูดกับตัวเอง “เพราะไม่มีใครจะคิดว่ามีอะไรซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือธรรมดาแบบนี้”

 

เขาเดินดูหนังสือต่อไปด้วยท่าทีสบาย ๆ เหมือนคนแค่สนใจเล่มเก่า ๆ มือเอื้อมหยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งออกจากชั้น ก่อนส่งให้เมเรซดูเป็นเชิงบังสายตาเจ้าของร้าน

 

“นายว่าไง” เขากระซิบเสียงต่ำ “เราควรลองแอบสำรวจด้านหลังตู้ไม้ตรงมุมนั่นดีไหม”

 

เมเรซเพียงขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มบาง  “ฉันว่าเรากำลังเดินถูกทางแล้วล่ะ”

 

 

คูเปอร์เดินทอดก้าวช้า ๆ รอบมุมห้องหนังสือ ท่ามกลางกลิ่นไม้เก่าและฝุ่นที่แอบซุกอยู่ในช่องระหว่างสันหนังสือ เขาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้ไม้โบราณที่บังผนังด้านหลังอย่างน่าประหลาด ตู้ใบนี้ไม่เหมือนชั้นอื่น มันดูสูงเกินไปหน่อย และไม่มีป้ายบอกหมวดหมู่หนังสือเหมือนชั้นอื่น ๆ ในนั้นมีเพียงเล่มหนังสือปกแข็งเรียงกันเป็นแนวที่ดูไร้ระเบียบอย่างจงใจ

 

เมเรซเดินมาใกล้โดยไม่พูดอะไร แต่สายตาสองสีของเขาชัดเจนว่าจับตาทุกการเคลื่อนไหว ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงพูดขึ้นเบา ๆ

 

“ตู้หนังสือนี่มันผิดธรรมชาตินะ ไม่มีหมวดหมู่ ไม่มีชื่อเรียงตามตัวอักษร แล้วดูตรงมุมขวาบนนั่นสิ”

 

นิ้วของคูเปอร์ชี้ไปยังขอบไม้มุมหนึ่งซึ่งแง้มออกจากกำแพงอย่างแทบมองไม่เห็น หากไม่เพ่งมากพอไม่มีทางสังเกตได้

 

“ดูเหมือนจะเป็นบานพับ”

 

“จะเปิดเลยไหม” เมเรซถามด้วยเสียงราบเรียบ แต่แฝงความตื่นตัว

 

“ถ้าฉันเป็นรุ่นพี่ที่อาศัยความเงียบเป็นเกราะ ฉันคงไม่อยากให้ประตูลับเปิดเสียงดังหรอก”

 

คูเปอร์ค่อย ๆ ไล้นิ้วตามขอบชั้นหนังสือ แล้วพบว่าหนังสือเล่มหนึ่งในแถวนั้น มีรอยกดลึกบริเวณสันหนังสือ ราวกับมีคนจับมันซ้ำ ๆ

 

เขายกมือดึงหนังสือเล่มนั้นออกอย่างระมัดระวัง เสียง “ติ๊ก” ดังแผ่วเหมือนกลไกเก่าแก่ที่รอเวลาถูกปลดเปลื้อง และแล้ว...ชั้นไม้ทั้งแผงก็ขยับเล็กน้อย จากนั้นจึงเลื่อนเปิดออกโดยไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดแม้แต่น้อย

 

เบื้องหลังคือทางเดินแคบ ๆ มืดสลัว มีเพียงแสงจากร้านหนังสือที่ลอดเข้าไปได้บ้าง คูเปอร์กวาดสายตามองรอบร้านอย่างเร็ว เห็นว่าเจ้าของร้านยังอยู่หลังเคาน์เตอร์และไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก

 

เขาเลื่อนตัวเข้าไปก่อนโดยไม่ส่งเสียง เรียกเมเรซตามเข้ามา เสียงฝีเท้าของทั้งสองเบาและหนักแน่นในเวลาเดียวกัน

 

ทางเดินนั้นมีความแคบพอจะให้คนเดินได้เพียงทีละคน กลิ่นไม้เก่าผสมกับกลิ่นกระดาษราวกับพวกเขากำลังเดินเข้าสู่ท้องของหนังสือสักเล่มที่ยังไม่เคยมีใครอ่านจบ

 

เมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่ง ทางเดินนั้นก็สิ้นสุดลงที่ประตูไม้เรียงกันสามบานบนผนังโค้งลึกคล้ายกับห้องใต้ถุน

 

คูเปอร์หยุดอยู่ตรงกลาง ดวงตาสีเทาไล่มองบานประตูทีละบาน ทุกบานดูคล้ายกันจนแทบจะแยกไม่ออก หนึ่งในนั้นเป็นบานไม้โอ๊คที่มีรอยขีดเล็ก ๆ อีกบานมีมือจับที่ใหม่กว่าชัดเจน ส่วนบานสุดท้ายทึบสนิท ไม่มีร่อง ไม่มีรอยขีดใด ๆ

 

“ถ้าเป็นฉันจะไม่เลือกบานที่ดูใหม่” เมเรซกระซิบ

 

“บานที่ไม่มีอะไรเลยก็น่าสงสัยเหมือนกัน เหมือนมันอยากให้เราคิดแบบนั้น” คูเปอร์ตอบ แล้วก้าวถอยมาเล็กน้อย พิจารณารอบห้อง เขาสูดลมหายใจลึกเพื่อดึงสมาธิกลับมา

 

เขาก้มลงมองพื้น เห็นว่าพื้นไม้หน้าบานหนึ่งมีร่องรอยฝุ่นถูเป็นทางจาง ๆ บ่งบอกว่ามีคนผ่านเข้าออกเมื่อไม่นานนี้

 

“บานซ้าย” เขาพูดสั้น ๆ แล้วเอื้อมมือไปบิดลูกบิดเบา ๆ ประตูเปิดออกพร้อมเสียงคลิกเบา ๆ เหมือนฝุ่นที่ซุกอยู่ในร่องกลไกสั่นไหว

 

เมื่อผลักเข้าไป สิ่งที่เห็นคือห้องขนาดไม่ใหญ่ มีแสงไฟสลัวจากโคมดวงเล็กกลางเพดาน กลิ่นสมุดหนังเก่า ละอองฝุ่น และชาอุ่นจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ

 

ภายในห้องนั้นมีโต๊ะไม้เล็กตั้งอยู่ และตรงข้ามโต๊ะนั้น หญิงสูงวัยผิวดำในชุดคลุมทึบกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ใบหน้าของเธอสงบ ดวงตาจับจ้องมาทางพวกเขาเหมือนรู้ว่าจะมาถึงในเวลานี้

 

คิ้วของเธอยกขึ้นเพียงนิดเดียวก่อนจะกล่าวเสียงต่ำอย่างมั่นคง

 

“พวกเธอช้ากว่าที่ฉันคาดไปนิดหน่อยนะ แต่ก็ดีกว่ามาไม่ถึง”

 

คูเปอร์ยืนนิ่ง สบตากับหญิงตรงหน้า ริมฝีปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย

 

“… คุณคือเคย์ล่า เฮย์เดน?”

 

ความคิดเห็นของผู้บันทึก

 

“การตามหารุ่นพี่เคย์ล่าให้เจอเคลียร์เรียบร้อย แต่ทว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของภารกิจเพียงเท่านั้น...”



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 108964 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-6 02:28
โพสต์ 108,964 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 เกียรติยศ +9 ความศรัทธา จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-8-6 02:28
โพสต์ 108,964 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 เกียรติยศ +35 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-8-6 02:28
โพสต์ 108,964 ไบต์และได้รับ +10 EXP +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-8-6 02:28
โพสต์ 108,964 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Daedalus's Legacy  โพสต์ 2025-8-6 02:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดบำรุงอาวุธ
เรือมินิบานาน่า
Daedalus's Legacy
มีดสั้นสัมฤทธิ์
บทเพลง
การควบคุมอาวุธ (จำกัด)
ปัญญาแห่งการรบ
ร่างจำแลง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กลยุทธ์การรบ
การสื่อสารและควบคุมนกฮูก
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
แว่นกันแดด
กำไลหินนำโชค
หมวกเกราะ
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
หอกกรีก
อัจฉริยะ
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x2
x10
x2
x1
x1
x1
x2
x5
x26
x5
x5
x5
x5
x5
x6
x34
x2
x2
x20
x2
x3
x1
x1
x20
x1
x1
x1
x1
x1
x3
x11
x1
x10
x20
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x1
x5
x5
x31
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้