ณ ช่วงเวลายามเช้า ของ วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม แสงแดดอบอุ่นแรก ของ วันเริ่มสาดส่องลงบนผืนฟ้าสีหม่นจางที่คลี่คลุมสนามบินเบื้องหน้า เสียงเครื่องบินที่แล่นผ่านไปมาอย่างไม่ขาดสายดังก้องประสานกับเสียงลมแผ่วที่พัดผ่านไปยังใบไม้ริมฟุตบาธ และท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนมากมายที่ต่างเร่งรีบไปตามเส้นทางของตนเองหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง เธอสวมเสื้อคลุมสีอ่อนสะพายเป้ใบเล็กไว้แนบหลัง มีเพียงแววตาเด็ดเดี่ยวที่ยังสะท้อนความมุ่งมั่นอันไม่อาจปลอมแปลงได้
เด็กสาวคนนั้นคือ อิม ฮาริน หญิงสาวผู้มีหัวใจดั่งเหล็กกล้าทว่าซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกนุ่มนิ่มของ "เป็ดน้อย" อันแสนอบอุ่น ผู้คนมากมายอาจรู้จักเธอในฐานะนักเรียนที่เงียบขรึม สุขุม และมีท่วงท่าของผู้ใหญ่เกินวัย ทว่าในสายตาของคนเพียงไม่กี่คน

เช่นบิดาของเธอ หรือเป็ดตุ๊กตาตัวโปรดในห้องนอน เธอก็คือเด็กหญิงที่ยังชอบกอดหมอนใบเดิม ยืนเขินเมื่อมีคนชม และยังแอบแปะสติกเกอร์รูปเป็ดในไดอารี่เล่มเก่าอยู่ทุกวัน ในเช้านี้ เธอกำลังจะออกเดินทาง เดินทางไกลจากสิ่งที่เรียกว่าบ้าน จากบิดาผู้เป็นโลกทั้งใบ เพื่อไปยังสถานที่หนึ่งที่เธอไม่อาจคาดเดาได้แม้แต่น้อย … ค่ายฮาล์ฟบลัด ดินแดนที่ถูกพูดและกล่าวถึงในจดหมายฉบับหนึ่ง จากผู้ชายคนหนึ่งที่ตอนนี้ยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ
เขาคือ คุณแซเทอร์ ผู้มีขาแพะแต่ปลอมตัวด้วยกางเกงยีนส์สีเข้ม รองเท้าผ้าใบ และเสื้อแจ็กเก็ตหนังเหมือนชายวัยกลางคนทั่วไป ผู้มองผ่านไปอาจเห็นว่าเขาเป็นเพียงคนขับรถรับจ้างธรรมดา ๆ ที่จอดอยู่ริมฟุตบาธสนามบิน แต่แท้จริงแล้วภายใต้แว่นดำกรอบหนานั้นคือดวงตาของผู้พิทักษ์ ผู้เฝ้ามองและปกป้องเด็กๆ สายเลือดกึ่งเทพอย่างเธอ มานานก่อนที่เธอจะรู้ตัวเสียอีก
"พร้อมหรือยังล่ะ?" เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่แฝงด้วยความอ่อนโยน ฮารินไม่ได้ตอบทันที เธอหันกลับไปมองทางเดิม มองถนนที่ทอดยาวออกจากสนามบิน สู่ทางแยกเล็กๆ ที่ห่างออกไปตรงสุดสายตา นั่นคือทางกลับบ้าน กลับสู่คฤหาสน์อิมที่เธอเพิ่งหย่อนจดหมายลาลงในกล่องจดหมายหน้าประตูรั้วใหญ่เมื่อตอนเช้า จดหมายฉบับสุดท้ายที่เขียนด้วยหยาดน้ำตา และคำพูดที่ไม่มีโอกาสเอื้อนเอ่ย
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยเบาๆ แต่หนักแน่น “ไปกันได้เลยค่ะ” เมื่อประตูรถเปิดออก เธอก้าวขึ้นไปอย่างมั่นคง ทิ้งท้ายเพียงรอยมองกลับครั้งสุดท้ายในความเงียบงัน และเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากลานจอด … ฮารินไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแต่นั่งเงียบมองนอกหน้าต่าง โลกหมุนผ่านไปช้า ๆ เบื้องหน้าเหมือนจะเป็นทางธรรมดา แต่เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เส้นทางธรรมดาอีกต่อไป

แซเทอร์เหลือบมองเธอผ่านกระจกมองหลัง เขาเห็นเด็กสาวที่นั่งนิ่ง แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยคำถามพันพัน เขาจึงพูดขึ้นขณะขับผ่านทางโค้งแรก
“ฉันเฝ้าดูเธอมานานนะ … เป็ดน้อยนักล้างแค้นของเรา” ฮารินเบิกตาน้อย ๆ ด้วยความตกใจ แต่อายเกินกว่าจะถามอะไร เขินจนต้องหันไปมองข้างทางต่อโดยไม่ตอบ แต่มุมปากก็ยกยิ้มจาง ๆ ที่ยากจะสังเกตเห็น ฮารินเบิกตาน้อย ๆ ด้วยความตกใจ แต่อายเกินกว่าจะถามอะไร เขินจนต้องหันไปมองข้างทางต่อโดยไม่ตอบ แต่มุมปากก็ยกยิ้มจาง ๆ ที่ยากจะสังเกตเห็น “ไม่ต้องกลัวนะ ที่ค่ายฮาล์ฟบลัดจะมีเด็กคนอื่นที่เหมือนเธอ ที่เข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่ที่เห็น และเข้าใจว่า ‘ความยุติธรรม’ มันไม่ใช่ของเล่น มันคือสิ่งมีชีวิตที่ต้องปกป้อง”

ถ้อยคำของแซเทอร์ดังก้องอยู่ในใจ ฮารินยังคงไม่พูดอะไร ทว่าในมือของเธอ เธอกำลังคลี่กระดาษแผ่นหนึ่งที่วาดรูปเป็ดน้อยสวมมงกุฎทองคำไว้ และมีข้อความสั้น ๆ ด้านล่างที่เขียนด้วยลายมือน่ารักว่า ...
“ถ้ามีใครถามว่าเราเป็นใคร บอกเขาไปเลยว่า เราคือเป็ดน้อยที่ปกป้องความยุติธรรมนะ!”
ณ ขอบฟ้าที่ในตอนนี้เริ่มเปลี่ยนสี ฮารินกำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต เธอยังไม่รู้หรอกว่า อะไรจะรอเธออยู่ที่ค่ายแห่งนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้แน่ คือ… ถึงเธอจะกลัว ถึงเธอจะเขิน ถึงเธอจะล้มบ้างในบางครั้ง
แต่เธอคือ เป็ดน้อยในคราบนักล้างแค้น ผู้ที่ไม่ทนเห็นความอยุติธรรม และพร้อมยืนหยัดแม้ยามโลกทั้งใบจะเงียบงันก็ตาม
