ไม่ต้องสงสัยเลยว่าป่าแห่งนี้เป็นส่วนที่อันตรายและลึกลับที่สุดภายในค่าย และถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ทางผู้ดูแลก็ไม่ก้าวก่ายหรือทำลาย ทำได้เพียงเก็บรักษาพื้นที่ป่าลึกลับแห่งนี้ให้คงอยู่สืบต่อไป ดูเหมือนว่านอกจากความซับซ้อนทางทัศนียภาพรวมไปถึงภัยอันตราย สถานที่แห่งนี้จะยังกุมความลับมากมายที่แม้แต่มนุษย์ครึ่งเทพที่มีประสบการณ์มากที่สุดก็ยังไม่อาจทราบ ป่าซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด ดังนั้นอย่าเข้าไปคนเดียวหากไม่มีอาวุธ !
หารจูปิเตอร์ แองซูร์ คือหัวใจที่เงียบงันแต่ยิ่งใหญ่ของเทอร์ราชีนา ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา Monte Sant’Angelo ราวกับจุดหมายปลายทางของเทพเจ้าที่หลงทางในหมอกแห่งเวลา ที่นี่ไม่ใช่แค่อาคารโบราณ แต่เป็นระเบียงของอดีตกาลที่เปิดออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน—ภาพพาโนรามาอันน่าตะลึงที่ทะเล ท้องฟ้า และขอบฟ้าไหลรวมเป็นหนึ่งเดียว ลมแรงที่พัดผ่านซากเสาโบราณยังคงพาเสียงสวดภาวนาโบราณล่องลอย ราวกับเทพเจ้าจูปิเตอร์ยังไม่เคยจากไป
รังของสิ่งมีชีวิตประเภทไฮดร้า ที่แอบซ่อนเร้นอยู่ทั่วโลกเพื่อชุ่มโจมตีเหล่าเดมิกอต
ทะเลแคริบเบียน เป็นทะเลเขตร้อนในซีกโลกตะวันตก ส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอ่าวเม็กซิโก ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแผ่นเปลือกโลกแคริบเบียน อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ ๆ เรือโจรสลัดสมัยก่อนมักจะอัปปางบ่อยราวกับมีเจ้าถิ่นอันตราย
ช่องดาเรียนคือพื้นที่ป่าดิบชื้นที่ปราศจากถนนหนทาง ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานใดๆ และเต็มไปด้วยภูมิประเทศที่ยากลำบาก เช่น ป่าทึบหนาทึบ, ภูเขาสูงชัน, และหนองน้ำที่เต็มไปด้วยโคลนลึก สภาพแวดล้อมที่โหดร้ายนี้ทำให้มันกลายเป็นจุดที่ยากที่สุดในการเดินทาง และเป็นที่หลบซ่อนของผู้ที่พยายามหลีกเลี่ยงการเดินทางตามเส้นทางปกติ นอกจากนี้ ช่องดาเรียนยังขึ้นชื่อว่าเป็น เส้นทางที่กลุ่มค้ายาเสพติดและผู้ลักลอบค้ามนุษย์นิยมใช้ เพื่อลำเลียงสิ่งผิดกฎหมายและหลบหนีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ ทำให้พื้นที่นี้เต็มไปด้วยอันตรายจากทั้งธรรมชาติและอาชญากรรม จึงเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่คิดจะเดินทางผ่านครับ
หน่วยงานของมนุษย์ธรรมดาแต่แท้จริงแล้วบางส่วนคืออสุรกายแฝงตัวปะปนในหน่วยงานเหล่านี้ พวกเขามักชอบอยู่กันเป็นกลุ่มบ้างก็กลุ่ม 2 คน บ้างก็กลุ่ม 4 คนตามพื้นที่ต่าง ๆ
สถานที่ใจกลางทะเลลึกของแต่ละมหาสมุทร เต็มไปด้วยสถานที่อันตรายอย่างถึงที่สุดและอสุรกายท้องทะเลมากมาย
โบราณสถานหลายแห่งทั่วโลกจะมีชื่อเสียงร่ำลือกันว่าเคยเป็นทางเข้าโลกหลังความตาย ซึ่งมักจะพบสุนัขล่าเนื้อจากนรกคอยลาดตระเวน
แก็งเจ้าตัวเขียวน่าขยะแขยง พวกมันมักจะกระจายอยู่ทั่วโลก บ้างก็หลงฝูงตัวเดียว บ้างก็มากันเป็นฝูงใหญ่
ผู้พิทักษ์เป็นโกเลมหินศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพิทักษ์บางอย่างที่สำคัญในโลกเทวตำนานไว้ (ยกเว้นนิวยอร์กและลองไอแลนด์)
ลาเมียสามารถพบเจอได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในที่มืดมิดและเงียบสงบ เช่น ป่าลึก ถ้ำโบราณ หรือตรอกซอกซอยในเมืองใหญ่ที่ผู้คนหลับใหล พวกมันมักออกล่าในเวลากลางคืนเพื่อหาเหยื่อที่หลงทางหรือผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ระทม (ยกเว้นนิวยอร์กและลองไอแลนด์)
แม้จะเป็นปี 2025 แต่ธรรมชาติของอารัคเน่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รังของอารัคเน่จึงมักจะพบเจอได้ในสถานที่ที่เงียบสงบ ห่างไกลจากผู้คน และมีแหล่งวัตถุดิบในการทอใยชั้นดี เช่น ในถ้ำลึกที่เต็มไปด้วยผลึกแก้ว ซึ่งใยแมงมุมของมันจะเปล่งประกายคล้ายเพชรเมื่อต้องแสงไฟ หรือ ในเมืองใหญ่ที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งโครงสร้างของอาคารเก่าๆ จะเป็นเสมือนโครงสร้างธรรมชาติที่ช่วยอำพรางใยขนาดมหึมาของมันได้ดีที่สุด นอกจากนี้ รังของอารัคเน่อาจจะอยู่ใน ใจกลางป่าลึกที่ไม่มีใครเคยเข้าไปถึง ซึ่งใยของมันจะผสานรวมไปกับต้นไม้และเป็นกับดักอันตรายสำหรับผู้บุกรุกทุกคน ในรังของอารัคเน่ ไม่ได้มีแค่ตัวมันเอง แต่ยังมีลูกหลานของมันที่ช่วยกันทอใยและเฝ้าระวังผู้บุกรุก ดังนั้น การเข้าไปในรังของอารัคเน่จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะนอกจากการถูกโจมตีจากอารัคเน่แล้ว ยังต้องระวังใยแมงมุมที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถใช้เป็นกับดักหรืออาวุธได้อีกด้วย (ยกเว้นอเมริกาเหนือฝั่งตะวันออก)
เซ็นทรัลพาร์คเป็นโอเอซิสสีเขียวขนาดมหึมาใจกลางเกาะแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ที่เป็นทั้งสวนสาธารณะและป่าในเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สวนแห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวนิวยอร์กมานานกว่า 150 ปี และเป็นฉากหลังสำคัญในนวนิยายเรื่อง Percy Jackson and the Olympians สำหรับลูกครึ่งเทพแล้ว เซ็นทรัลพาร์คไม่ได้เป็นแค่สวนสาธารณะธรรมดาๆ แต่ยังเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวในตำนานและสิ่งมีชีวิตวิเศษต่างๆ ที่แฝงตัวอยู่ตามพุ่มไม้และแอ่งน้ำในสวน นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอีกมากมาย เช่น อนุสาวรีย์เทพีอาร์เทมีส หรือสนามกีฬาที่เต็มไปด้วยความลับที่ซ่อนอยู่
กลุ่มเจ้าหน้าที่ FBI หรือ Federal Bureau of Investigation คือหน่วยงานสืบสวนสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นตรงต่อกระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่หลักในการบังคับใช้กฎหมายและปกป้องประเทศจากภัยคุกคามต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก
ในตำนานเคลพีคืออสุรกายแห่งสายน้ำที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบหรือแม่น้ำ และมักปรากฏตัวในร่างม้า แต่ก็สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อล่อลวงเหยื่อได้ รังของเคลพีมักจะอยู่ในสถานที่ที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้และเต็มไปด้วยอันตราย เช่น ก้นบึ้งของทะเลสาบที่ลึกที่สุด ซึ่งมีโคลนตมและพืชน้ำปกคลุมอยู่ หรือใน ถ้ำใต้น้ำ ที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวและมีกับดักธรรมชาติซ่อนอยู่ทั่วบริเวณ นอกจากนี้ยังอาจพบรังของพวกมันได้ตาม บริเวณชายฝั่งที่รกร้าง ที่เต็มไปด้วยซากเรือเก่าๆ ซึ่งกลายเป็นเขาวงกตใต้น้ำที่ยากจะเข้าไปถึง รังของเคลพีนั้นเต็มไปด้วยสมบัติที่พวกมันแย่งชิงมาจากเหยื่อผู้โชคร้าย รวมถึงมีแหล่งอาหารและวัตถุดิบต่างๆ ที่จำเป็นต่อการสร้างรังของพวกมัน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปในรังของเคลพี เพราะนอกจากจะต้องเผชิญหน้ากับความดุร้ายของพวกมันแล้ว ยังต้องต่อสู้กับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอันตรายอีกด้วย [พื้นที่พบเจอ ภารกิจเดินทาง (เฉพาะสายเลือดเทพสมุทร) / ริมฝั่งแม่น้ำลำธารที่ไม่มีนิมฟ์/ไนแอด) ส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกาใต้และยุโรป / ตามพื้นที่เกาะต่าง ๆ ทั่วโลก (ยกเว้นเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก) และ ประเทศไทย]
ลองไอแลนด์ ลองไอแลนด์ หรือ เกาะยาว เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่ทอดตัวอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และเป็นสถานที่สำคัญในโลกของลูกครึ่งเทพ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของ ค่ายฮาล์ฟบลัด (Camp Half-Blood) สำหรับคนทั่วไป ลองไอแลนด์เป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมในช่วงฤดูร้อน เต็มไปด้วยชายหาดที่สวยงาม รีสอร์ตหรู และเมืองริมทะเลที่เงียบสงบ แต่สำหรับลูกครึ่งเทพแล้ว ลองไอแลนด์เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความลับและความมหัศจรรย์
ซากวิหารเดลฟี (The Ruins of Delphi) คือมรดกโลกของยูเนสโกที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาลาดชันทางตะวันตกเฉียงใต้ของ ภูเขาพาร์นาสซัส ซึ่งในอดีตเคยถูกยกย่องให้เป็น \\\"สะดือโลก\\\" (Omphalos) และศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญที่สุดของโลกกรีกโบราณ แม้ว่าวิหารหลักของเทพอะพอลโลจะเหลือเพียงเสาหินและฐานรากที่ถูกทำลาย แต่พลังงานและอิทธิพลในอดีตยังคงแผ่ออกมาอย่างชัดเจน ผู้เยี่ยมชมจะเดินตาม ทางศักดิ์สิทธิ์ที่คดเคี้ยว ผ่านซาก คลังมหาสมบัติ (Treasuries) ที่นครรัฐต่าง ๆ สร้างถวายเพื่อขอบคุณคำพยากรณ์ ก่อนจะมุ่งสู่ โรงละครโบราณ ที่จุผู้ชมได้หลายพันคน และ สนามกีฬา ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน Pythian Games ซากปรักหักพังทั้งหมดถูกจัดเรียงอย่างสมมาตรตัดกับทิวทัศน์หุบเขาที่งดงาม สร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ชวนให้จินตนาการถึงยุคสมัยที่กษัตริย์และนักรบจากทั่วโลกต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อขอคำชี้แนะจากไพเธีย (Pythia) ก่อนทำการตัดสินใจชี้ชะตา
เขตแอนตาร์กติกา คือดินแดนที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดกาล ตั้งอยู่บริเวณขั้วโลกใต้ เป็นสถานที่ที่มีความหนาวเย็นที่สุด แห้งแล้งที่สุด และมีลมพัดแรงที่สุดในโลก ถึงแม้จะเป็นดินแดนที่ดูเหมือนไร้ชีวิต แต่ก็เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเพนกวิน, แมวน้ำ, หรือปลาวาฬ สำหรับลูกครึ่งเทพแล้ว แอนตาร์กติกาไม่ได้เป็นแค่ดินแดนที่หนาวเย็น แต่ยังเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความลับและสิ่งมีชีวิตวิเศษต่างๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ และเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญในตำนานอีกหลายแห่ง ซึ่งมีเพียงผู้กล้าหาญเท่านั้นที่สามารถเข้าไปสำรวจได้
บุตรแห่งคิโอเน่คืออสุรกายที่ถือกำเนิดจากพลังแห่งหิมะและลมหนาวของเทพีคิโอเน่ พวกมันไม่ได้เกิดจากการสืบพันธุ์ แต่เป็นการปรากฏร่างขึ้นจากเจตจำนงค์อันเย็นชาของเทพี ทำให้มีบุคลิกที่เย็นชาและไร้ความปราณีอย่างที่สุด พวกมันมีความภักดีอย่างสมบูรณ์ต่อคิโอเน่ และจะทำตามคำสั่งของเธอโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ในการล่าเหยื่อ พวกมันจะแสดงความโหดร้ายอย่างเต็มที่และสนุกกับการเห็นเหยื่อค่อยๆ แข็งตัวและสิ้นลมหายใจในความเย็นยะเยือก เมื่อเผชิญหน้ากับการต่อสู้ พวกมันจะมีความอดทนสูงและรักษาความเยือกเย็นได้ดี กองทัพบุตรแห่งคิโอเน่สามารถพบเจอได้ในพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี เช่น ขั้วโลกเหนือและใต้ เขตแอนตาร์กติกา แนวเทือกเขาเอเวอเรสต์ และ พื้นที่หิมะปกคลุมในแคนาดา พวกมันมักจะอาศัยอยู่ในถ้ำน้ำแข็งบนเทือกเขาสูง, ทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ หรือในใจกลางพายุหิมะที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นเมื่ออยู่ในบริเวณที่หนาวเย็นจัด
นกฟีนิกซ์เป็นอสุรกายในตำนานที่มีความผูกพันกับเปลวเพลิงและการฟื้นคืนชีพอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันมีต้นกำเนิดมาจากตำนานของ นกเบนนู (Bennu) แห่งอียิปต์โบราณและอาระเบีย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการสร้างโลกและดวงอาทิตย์ ฟีนิกซ์ถูกพรรณนาว่ามีขนสีแดงเพลิงและสีทองอร่ามราวกับแสงแดด ยามที่มันถึงคราวสิ้นอายุขัย มันจะเผาตัวเองจนมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่าน แล้วผุดขึ้นมาใหม่จากเถ้าถ่านนั้นเพื่อเริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง ด้วยความเกี่ยวข้องกับไฟและการเกิดใหม่ ทำให้มันปรากฏตัวในสถานที่และเมืองที่ผูกพันกับธาตุไฟหรือการลุกขึ้นยืนหยัดจากความล้มเหลว อย่างเช่น เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา ที่มีสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง หรือในเมืองที่เคยถูกเพลิงไหม้ครั้งใหญ่แล้วฟื้นตัวกลับมาอย่างแข็งแกร่ง เช่น เมืองชิคาโก้ รัฐอิลลินอย และ เมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ซึ่งล้วนเป็นเมืองที่เคยประสบกับเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งประวัติศาสตร์ และเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นคืนชีพจากเถ้าถ่านเช่นเดียวกับนกฟีนิกซ์
หุบเขาโซโนมา (Sonoma Valley) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเขตโซโนมา ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทอดตัวอยู่ระหว่างเทือกเขามายาคามาสและเทือกเขาโซโนมา หุบเขาแห่งนี้เปรียบเสมือนสรวงสวรรค์แห่งธรรมชาติ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของโลกภายนอก ด้วยทิวทัศน์อันงดงามของไร่องุ่นที่เรียงราย สลับกับเนินเขาที่เขียวขจี ต้นโอ๊กโบราณที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา และลำธารโซโนมาที่ไหลคดเคี้ยวผ่านหุบเขาลงสู่ อ่าวซานปาโบล อากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องลงมากระทบกับใบไม้สีเขียวมรกต และเสียงนกร้องที่ดังก้องไปทั่วหุบเขา ทั้งหมดนี้หลอมรวมกันเป็นภาพที่งดงาม ราวกับภาพวาด ภายในหุบเขามีทั้งเมือง และชุมชนที่น่าสนใจ เช่น เมืองโซโนมา เมืองเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์แบบชนบท มีชื่อเสียงด้านไวน์และประวัติศาสตร์ เมืองซานตาโรซา เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขต มีชื่อเสียงด้านดอกกุหลาบและพิพิธภัณฑ์ Charles M. Schulz Museum และยังรวมถึงชุมชนอื่น ๆ เช่น El Verano (แปลว่า ฤดูร้อน ในภาษาสเปน Boyes Hot Springs, Fetters Hot Springs และ Agua Caliente (แปลว่า น้ำร้อน ในภาษาสเปน)
ผับคือสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวา เป็นสถานที่ที่ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อผ่อนคลายและสังสรรค์หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน บรรยากาศภายในผับมักจะอบอวลไปด้วยเสียงเพลงจังหวะสนุกสนาน ตั้งแต่เพลงป๊อป ร็อค ไปจนถึงแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์ ที่นี่คุณจะได้พบกับเครื่องดื่มหลากหลายชนิด ตั้งแต่เบียร์เย็น ๆ ค็อกเทลที่มีสีสันสวยงาม ไปจนถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับพรีเมียมที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างพิถีพิถันโดยบาร์เทนเดอร์มากฝีมือ นอกจากนี้ยังมีอาหารว่างและกับแกล้มมากมายที่พร้อมเสิร์ฟคู่กับเครื่องดื่มที่คุณชื่นชอบ ผับเป็นสถานที่ที่คุณจะได้พบปะผู้คนใหม่ ๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราว และสร้างความทรงจำดี ๆ กับเพื่อนฝูง เป็นเหมือนโอเอซิสในยามค่ำคืนที่ช่วยเติมพลังงานและสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับชีวิต
ทหารรับจ้างกลุ่มนี้ไม่ได้มีชื่อเรียกที่ชัดเจน แต่พวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะกลุ่มคนที่อันตรายและมีปริศนา พวกเขาไม่เพียงแต่มีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังครอบครองเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ล้ำหน้าเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะเข้าใจ ความได้เปรียบที่สำคัญของพวกเขาคือการมีอุปกรณ์ที่สามารถ มองเห็นผ่านมนต์บังตา ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เหล่าลูกครึ่งเทพไม่สามารถใช้พลังพรางตัวเพื่อหลบหนีได้ นอกจากนี้ ชุดเกราะของพวกเขายังถูกสร้างจากวัสดุที่ไม่ใช่ทองคำจักรพรรดิ ทำให้ อาวุธของลูกครึ่งเทพไม่สามารถทำอันตรายพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทหารรับจ้างกลุ่มนี้จึงเป็นภัยคุกคามที่ไม่ธรรมดาสำหรับเหล่าลูกครึ่งเทพ เพราะพวกเขาสามารถต่อสู้ได้อย่างเท่าเทียม และยังมีความได้เปรียบในด้านเทคโนโลยี ซึ่งทำให้การต่อสู้กับพวกเขามีความอันตรายและคาดเดาได้ยากกว่าศัตรูทั่วไป
วัวโคลคีส (Colchis Bulls) เป็นอสุรกายที่อันตรายและทรงพลังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยความสามารถในการ พ่นเปลวไฟ และมี กีบเท้าทองแดง ที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า พวกมันมักปรากฏตัวเป็นยานพาหนะขนาดใหญ่ที่ยากจะหลีกเลี่ยงผ่าน หมอก (The Mist) ซึ่งเป็นม่านพลังงานที่บิดเบือนการรับรู้ของมนุษย์ทั่วไป โดยปกติแล้ว มนุษย์ที่พบวัวเหล่านี้กลางถนนจะเห็นมันเป็น รถบรรทุกสิบล้อขนาดใหญ่สีแดงเพลิง ที่มีควันและความร้อนพวยพุ่งออกมาจากห้องเครื่องยนต์ ด้วยเสียงคำรามที่ดังสนั่นของเครื่องยนต์ดีเซลที่ทำงานผิดปกติ ซึ่งทำให้คนทั่วไปรู้สึกหวาดกลัวและพยายามหลีกเลี่ยง พวกเขารับรู้การพ่นไฟของวัวเป็นการ ระเบิดของท่อไอเสีย หรือ อุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่มีเปลวไฟลุกท่วม ไม่ใช่การโจมตีของอสุรกาย สิ่งนี้ทำให้วัวโคลคีสสามารถเคลื่อนที่ผ่านโลกมนุษย์ได้อย่างไร้ร่องรอยและสร้างความเสียหายให้กับลูกครึ่งเทพได้โดยไม่ดึงดูดความสนใจจากโลกภายนอกเลย
ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่าทึบ ทางเข้าถ้ำดูน่ากลัวด้วยหินผาที่ขรุขระและปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและเถาวัลย์ที่รกรุงรัง อากาศภายในถ้ำเย็นเยียบและชื้นแฉะ มีกลิ่นดินและเชื้อราที่อบอวลไปทั่วบริเวณ ภายในถ้ำมีขนาดใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก เพดานสูงลิบตาเต็มไปด้วยหินงอกและหินย้อยที่ดูแหลมคม พื้นถ้ำไม่เรียบเสมอกัน แต่เต็มไปด้วยก้อนหินและเศษหินที่ตกกระจายอยู่ทั่วไป ส่วนลึกของถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยของ โทรลล์ ตัวใหญ่ที่มีผิวเป็นหินและมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง โทรลล์ไม่ได้มีอาวุธที่ซับซ้อน แต่ใช้ไม้เท้าขนาดใหญ่เป็นอาวุธในการต่อสู้ โดยมันจะนั่งเฝ้าสมบัติและคอยขับไล่ผู้บุกรุกทุกคนที่กล้าเข้ามาในดินแดนของมัน ดังนั้น ถ้ำแห่งนี้จึงไม่ใช่แค่สถานที่หลบภัย แต่เป็นสถานที่อันตรายที่เต็มไปด้วยความลับที่ซ่อนเร้นและรอคอยให้ผู้กล้ามาพิชิต
แม้จะเชื่อกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานที่กินแพะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชูปาคาบรา เป็นสัตว์ประหลาดที่มีพละกำลังมหาศาล พวกมันมักจะซ่อนตัวอยู่ตามพื้นที่ห่างไกลในบริเวณใกล้เคียงกับ เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา เพื่อรอดักซุ่มโจมตีสิ่งมีชีวิตที่เดินเข้ามาในอาณาเขตของพวกมัน ชูปาคาบราไม่ได้มีความเกลียดชังต่อมนุษย์โดยทั่วไป แต่จะคอยจับตาดูและทดสอบความสามารถของมนุษย์ โดยพวกมันจะสร้างกับดักและเขาวงกตที่ซับซ้อนขึ้นเพื่อขัดขวางการเดินทางของมนุษย์ และหากผู้ใดที่ตกอยู่ในกับดักไม่สามารถหนีออกมาได้ พวกมันก็จะปล่อยให้ผู้นั้นเป็นอิสระโดยไม่ทำร้าย แต่ถ้าเป็นลูกครึ่งเทพที่หลงเข้ามา พวกมันจะพยายามทดสอบความสามารถและพละกำลังของลูกครึ่งเทพผู้นั้น หากลูกครึ่งเทพสามารถเอาชนะได้ พวกมันก็จะยอมแพ้และเป็นอิสระไป
เป็นจิตวิญญาณคาร์ปอสที่สายเลือดดีมิเทอร์และเซเรสมักจะพบเจอศัตรูคู่อริของแม่พวกเขา แต่ก็มักจะมีบางตัวพร้อมผูกมิตรกับพวกลูก ๆ เทพีแห่งเกษตรกรรม เนื่องจากการพบเจอคาร์ปอสในดันเจี้ยนนี้จะเป็นการสู้กันพอหอมปากหอมคอไม่หมายปลิดชีวิตจึงไม่ดรอปสินสงครามใด ๆ และเจ้าคาร์ปอสตัวนั้นจะฝากคาร์ปอสน้อยตัวหนึ่งให้คุณ คิดว่าคุณเหมาะสมจะดูแลพวกเขา
แวนคูเวอร์เป็นเมืองใหญ่ริมชายฝั่งของรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์ที่น่าทึ่งซึ่งผสมผสานระหว่างภูเขา ป่าทึบ และมหาสมุทรแปซิฟิกได้อย่างลงตัว เมืองนี้เป็นศูนย์กลางที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีชีวิตชีวา และมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย รวมถึงสวนสแตนลีย์ (Stanley Park) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผู้คนนิยมไปทำกิจกรรมกลางแจ้งที่นี่ เช่น การเดินป่า เล่นสกี และพายเรือคายัก แวนคูเวอร์ยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ มีชื่อเสียงในด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์และเทคโนโลยี เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่ผสมผสานความเจริญของเมืองใหญ่เข้ากับความงามของธรรมชาติได้อย่างลงตัว ทำให้เป็นหนึ่งในเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก
นูนาวุต คือดินแดนที่กว้างใหญ่ที่สุดและอยู่ทางเหนือสุดของแคนาดา เป็นพื้นที่ที่มีความหนาวเย็นสุดขั้วและมีทิวทัศน์ที่งดงามราวกับหลุดออกมาจากอีกโลกหนึ่ง นูนาวุตเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง, ธารน้ำแข็ง, และทุนดราอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งเกือบตลอดทั้งปี ถึงแม้จะเป็นดินแดนที่ดูเหมือนไร้สิ่งมีชีวิต แต่ นูนาวุต ก็เป็นบ้านของสัตว์ขั้วโลกมากมาย เช่น หมีขั้วโลก, วาฬเบลูกา, วาฬนาร์วาล และสุนัขจิ้งจอกอาร์กติก ซึ่งทั้งหมดได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่โหดร้ายได้อย่างน่าทึ่ง นอกจากนี้ นูนาวุตยังเป็นที่ตั้งของชุมชนชาว อินูอิต ผู้เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติและสืบทอดวัฒนธรรมอันเก่าแก่มาอย่างยาวนาน ผู้ที่เดินทางไปที่นี่จะสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่หาไม่ได้จากที่อื่น และอาจจะได้เห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์อย่างแสงเหนือที่ส่องประกายเหนือท้องฟ้าในยามค่ำคืน นูนาวุตจึงเป็นมากกว่าแค่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ แต่เป็นดินแดนแห่งความหนาวเย็นที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติและชีวิตที่แข็งแกร่ง
เยลโลว์ไนฟ์ เมืองหลวงของนอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์แห่งแคนาดา ไม่ใช่แค่เมืองธรรมดา แต่เป็นป้อมปราการแห่งอารยธรรมที่ตั้งตระหง่านอยู่บนขอบโลก ณ ใจกลางของทุนดราอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เมื่อก้าวเข้าสู่เมืองนี้ กลิ่นอายของความหนาวเย็นและกลิ่นของสนิมเหล็กจะปะปนกับกลิ่นไอของเวทมนตร์โบราณที่บางเบา เยลโลว์ไนฟ์เป็นเมืองที่สร้างขึ้นจากความมุ่งมั่นของมนุษย์ในการเอาชนะธรรมชาติ อาคารไม้เก่าแก่สลับกับโครงสร้างเหล็กกล้าสมัยใหม่ที่ทนทานต่ออุณหภูมิติดลบ แต่ภายใต้ความทันสมัยนั้น ชาวเดมิก็อดจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจาก ทะเลสาบเกรทสเลฟ (Great Slave Lake) ที่เป็นน้ำแข็ง ซึ่งเป็นที่เล่าขานกันว่ามีวิญญาณแห่งธาตุและสัตว์ในตำนานหลับใหลอยู่ ถนนหนทางที่นี่เป็นน้ำแข็งเกือบตลอดทั้งปี ผู้คนในเมืองต่างคุ้นชินกับการใช้ชีวิตท่ามกลางความหนาวเย็นสุดขั้ว พวกเขาคือผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งและมีจิตใจกล้าแกร่ง ไม่ต่างจากเหล่าครึ่งเทพที่ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายในทุกวัน ยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าเปิดโล่ง แสงเหนือ (Aurora Borealis) จะเต้นระบำเหนือศีรษะ สาดส่องแสงสีเขียวและม่วงอันลึกลับ ซึ่งไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่ยังเป็นสัญญาณของพลังงานเวทมนตร์ที่ไหลเวียนอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และเป็นเสมือนประตูเชื่อมระหว่างโลกของมนุษย์กับอาณาจักรของเทพเจ้าโบราณที่ยังคงหลับใหลอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ เยลโลว์ไนฟ์จึงเป็นทั้งที่หลบภัยสำหรับผู้ที่ถูกไล่ล่า และเป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจอันตรายที่อาจเปิดเผยความลับที่ถูกฝังอยู่ภายใต้ผืนน้ำแข็งแห่งอาร์กติก
เอดมันตัน (Edmonton) คือเมืองหลวงของรัฐ แอลเบอร์ต้า (Alberta) ประเทศแคนาดา เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีความสำคัญในหลายด้าน มักถูกเรียกว่าเป็นประตูสู่ทิศเหนือ (Gateway to the North) และเป็นเมืองแห่งเทศกาลของแคนาดา (Canada Festival City)
ประเทศอินเดีย หรือ สาธารณรัฐอินเดีย คือผืนแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ ตั้งอยู่ในเอเชียใต้ เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับเจ็ดของโลกและมีประชากรมากที่สุดในโลก อินเดียเป็นที่รู้จักในนามของ อนุทวีป ที่มีภูมิประเทศแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ตั้งแต่ยอดเขาหิมาลัยที่ปกคลุมด้วยหิมะทางตอนเหนือ ไปจนถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาอันอุดมสมบูรณ์ และชายฝั่งทะเลเขตร้อนที่ทอดยาว อินเดียคือแหล่งกำเนิดของอารยธรรมโบราณที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นบ้านของศาสนาที่สำคัญหลายศาสนา เช่น ศาสนาฮินดู, ศาสนาพุทธ, ศาสนาเชน และศาสนาซิกข์ ซึ่งความศรัทธาเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เกิดประเพณี, พิธีกรรม, และสถาปัตยกรรมอันงดงามตระการตา เช่น ทัชมาฮาล และวัดวาอารามที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง นอกจากมรดกทางประวัติศาสตร์แล้ว อินเดียยังเป็นประเทศที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยความขัดแย้งที่น่าสนใจ ถนนหนทางเต็มไปด้วยสีสัน, เสียงของผู้คน, กลิ่นของเครื่องเทศ, และความคึกคักที่เกิดขึ้นพร้อมกันในทุกมุมเมือง ด้วยความหลากหลายทางภาษา (มีภาษาหลักกว่า 22 ภาษา), อาหาร, และการแต่งกาย อินเดียจึงเป็นโลกใบเล็ก ที่เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ท่วมท้นและน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำคงคา หรือความล้ำหน้าของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ตาม
ซัดเบอรี (Sudbury) หรือ เกรตเตอร์ซัดเบอรี (Greater Sudbury) เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในภูมิภาคออนแทรีโอตอนเหนือ ประเทศแคนาดา และเป็นหนึ่งในเทศบาลที่มีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ใหญ่ที่สุดในประเทศ เมืองนี้ตั้งอยู่บน Canadian Shield โดยมีประวัติศาสตร์ยาวนานในฐานะ ศูนย์กลางการทำเหมืองนิกเกิลระดับโลก ซึ่งมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจตลอดศตวรรษที่ 20 แม้ว่าเศรษฐกิจปัจจุบันจะมีความหลากหลายมากขึ้น โดยเน้นไปที่ภาคบริการ สุขภาพ การศึกษา และการวิจัย ซัดเบอรีเป็นที่รู้จักในนาม \\\"เมืองแห่งทะเลสาบ\\\" เนื่องจากมีทะเลสาบกว่า 330 แห่ง รวมถึง ทะเลสาบแรมซีย์ (Ramsey Lake) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง นอกจากนี้ เมืองยังมีความโดดเด่นในด้านความสำเร็จของการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวครั้งใหญ่ หลังจากการทำเหมืองและโรงถลุงในอดีตส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยังเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของ วัฒนธรรมฝรั่งเศส-ออนแทรีโอ (Franco-Ontarian) อีกด้วย
รังเมลูซีน ไม่ได้เป็นถ้ำหรือป้อมปราการถาวร แต่เป็น พื้นที่อาบแดดและการล่า ที่ถูกสร้างขึ้นจากการบงการหมอก (The Mist) และพลังงานน้ำจืดโดย เมลูซีน (Melusine) ซึ่งเป็นภูตน้ำจืดหรือวิญญาณแห่งแม่น้ำ โดยปกติแล้ว รังแห่งนี้จะถูกพบบริเวณ ริมน้ำธรรมชาติ ทั่วทวีปอเมริกาและยุโรป ไม่ว่าจะเป็นชายหาดที่ดูเงียบสงบ, บ่อน้ำพุร้อนศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกลืม, หรือบริเวณชายฝั่งทะเลสาบที่ห่างไกล กลไกหลักของรัง คือการที่เมลูซีนจะปรากฏตัวใน ร่างหญิงสาว (หรือชายหนุ่ม) ที่น่าดึงดูดและเซ็กซี่ เพื่อ ล่อลวงเหยื่อ (ส่วนใหญ่มักเป็นมนุษย์หรือลูกครึ่งเทพชาย นาน ๆ ครั้งจะล่อลวงลูกครึ่งเทพเพศหญิง) ที่เดินทางมาตามแนวชายหาดหรือริมน้ำให้หลงใหล เมื่อเหยื่อเข้าใกล้พอ รังที่ดูเหมือนชายหาดธรรมดาจะถูกเปิดเผยว่าเป็น เขตแดนแห่งน้ำจืด ที่พลังของเมลูซีนเข้มข้นที่สุด พื้นที่แห่งนี้จะมอบความแข็งแกร่งสูงสุดให้กับเธอ และเป็นกับดักที่ยากจะหลบหนี เพราะมันถูกปกคลุมด้วยความลึกลับของน้ำและภาพลวงตาที่ทำให้เหยื่อรู้สึกผ่อนคลายและเชื่อใจก่อนที่จะถูกจู่โจมและลากลงสู่ก้นน้ำ
ช่องแคบยิบรอลตาร์ คือทางน้ำแคบ ๆ ที่มีความสำคัญทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง ช่องแคบนี้ทำหน้าที่เป็น ประตูธรรมชาติ ที่เชื่อมต่อระหว่าง มหาสมุทรแอตแลนติก กับ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแยกทวีปยุโรปออกจากทวีปแอฟริกา โดยมีระยะทางที่แคบที่สุดเพียงประมาณ 13 กิโลเมตรเท่านั้น ช่องแคบแห่งนี้ถูกควบคุมโดยสองขั้วอำนาจหลัก คือ สเปน ทางตอนเหนือ และ โมร็อกโก/ยิบรอลตาร์ (สหราชอาณาจักร) ทางตอนใต้ ด้วยความที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการค้าและการทหาร ทำให้ช่องแคบยิบรอลตาร์ถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน เส้นทางการเดินเรือที่สำคัญและคับคั่งที่สุดในโลก นอกจากความสำคัญทางยุทธศาสตร์แล้ว ช่องแคบแห่งนี้ยังมีความสำคัญในเชิงตำนาน โดยในยุคกรีกโบราณ ที่นี่เป็นที่รู้จักกันในนามของ เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ซึ่งถูกกล่าวถึงว่าเป็นจุดสิ้นสุดของโลกที่มนุษย์รู้จักในอดีต ผืนน้ำในช่องแคบเต็มไปด้วยกระแสน้ำวนที่รุนแรง และเป็นเส้นทางอพยพของวาฬและปลาโลมา ทำให้มันเป็นทั้งอุปสรรคทางธรรมชาติและสัญลักษณ์ของขอบเขตระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่
กองทหารแพรทอเรียนเหล่านี้ไม่ใช่หน่วยทหารรักษาพระองค์ทั่วไป แต่เป็น ผู้เฝ้าระวังที่คงกระพัน ซึ่งถูกหล่อหลอมโดยความคลั่งไคล้และอำนาจของจักรพรรดิ โดมีเซียน ตั้งแต่ยุคโบราณ จุดกำเนิดของพวกเขาคือ สัญลักษณ์แห่งเสถียรภาพและความยุติธรรม ที่ได้รับพรจากเทพอะพอลโลและมิเนอร์วาในช่วงต้นรัชสมัย แต่เมื่อความหวาดระแวงเข้าครอบงำโดมีเซียน พวกเขาก็แปรสภาพเป็นเครื่องมืออันเย็นชา ในการกวาดล้างศัตรูทางการเมืองอย่างโหดเหี้ยม ทำให้พวกเขากลายเป็น ผู้เฝ้าระวังที่สมบูรณ์แบบ ที่ร่วมแบ่งปันความหวาดระแวงและดำเนินนโยบายเผด็จการของจักรพรรดิ แม้โดมีเซียนจะถูกลอบสังหารไปแล้ว แต่ความภักดีและความโหดร้ายที่ฝังลึกในจิตสำนึกของกองทหารเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ พวกเขาปฏิเสธแสงสว่างของอะพอลโลและโอบรับความมืด ทำให้พวกเขากลายเป็น รากฐานและกำลังหลักของอาณาจักรใต้พิภพ LoNex ในยุคปัจจุบัน กองทหารแพรทอเรียนผู้ภักดีเหล่านี้ดำเนินกิจการในโลกใต้ดิน ควบคุมเครือข่าย ธุรสีเทาและตลาดมืด ทั่วโลก และเป็นผู้ค้ำจุนสถานะ เทพชั้นรอง ของโดมีเซียนที่ถือกำเนิดใหม่จากความหวาดระแวงและอำนาจมืดในจักรวาลที่ล่มสลาย พวกเขาคือ เงา ที่อำนวยความสะดวกให้แก่อำนาจมืดมาตั้งแต่ยุคโรมันจนถึงปัจจุบัน
โคลอสเซียมในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นเพียงซากปรักหักพังที่เปิดโล่งให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉม หากแต่สิ่งที่ผู้คนเห็นเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง หรือเพียงเศษเสี้ยวของ \\\\\\\"ม่านบังตา\\\\\\\" ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างแยบยลตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ความจริงที่ถูกซ่อนไว้คือ สังเวียนแห่งนี้ไม่เคยถูกถล่มโดยสิ้นเชิง แต่มันถูกฝัง! ในช่วงความสับสนวุ่นวายของการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน จักรพรรดิผู้ทรงอำนาจและเหล่าขุนนางผู้ภักดีบางส่วนได้ตัดสินใจผนึกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไว้ ด้วยพิธีกรรมโบราณและเทคนิคทางวิศวกรรมที่ล้ำหน้าเกินกว่ายุคสมัยนั้นจะเข้าใจ โคลอสเซียมทั้งหลัง จึงถูกจมลงสู่ใต้พื้นดินของกรุงโรม ถูกหุ้มด้วยชั้นดินและหินที่หนาแน่น จนกลายเป็น \\\\\\\"มิติใต้พิภพ\\\\\\\" ที่ถูกแยกขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
ลานจอดรถใต้ดินแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกใต้พื้นผิวของเมืองโอ๊กแลนด์อันจอแจ ในย่านอ่าวซานฟรานซิสโก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์รวมของความหวังและการเดินทาง ปัจจุบันกลับกลายเป็นเขาวงกตคอนกรีตที่ถูกทิ้งร้างและกลืนกินด้วยกาลเวลา ผนังคอนกรีตเปื่อยยุ่ย มีคราบน้ำเกลือและสนิมกัดกร่อนเป็นลวดลายเหมือนอักษรจารึกโบราณ กลิ่นอับชื้นผสมผสานกับความสิ้นหวังที่มองไม่เห็น หมอกพรางตาที่ปกคลุมโลกภายนอกดูเหมือนจะเข้มข้นเป็นพิเศษในสถานที่แห่งนี้ ทำให้แสงสว่างจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่กะพริบเป็นครั้งคราวดูพร่ามัวราวกับภาพฝัน ที่นี่ไม่ใช่แค่ลานจอดรถ แต่เป็น ทางแยกที่ถูกลืม เป็นสถานที่ที่เส้นทางถูกตัดขาด อนาคตถูกทิ้งร้าง และอดีตยังคงติดอยู่ สะท้อนถึงชะตากรรมของเหล่า ลาเรส กาตากลิซึ่ม ที่ถูกจองจำอยู่กับความทรงจำที่ไม่เคยตาย และพยายามดึงดูดผู้ที่หลงเข้ามาให้ติดอยู่ในวังวนแห่งความสิ้นหวังเดียวกันกับพวกเขา
ยอดเขากลาเซียร์ หรือ ดาโคเบ็ด (ซึ่งในภาษาลูชูตซีด สำเนียงซอค-ซุยแอทเทิล เรียกว่า Tda-ko-buh-ba หรือ Takobia) เป็นภูเขาไฟรูปกรวยสลับชั้น ที่โดดเดี่ยวที่สุดในบรรดาภูเขาไฟหลักห้าลูกของแนวภูเขาไฟแคสเคด ในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติกลาเซียร์พีค ในป่าสงวนแห่งชาติเมานต์เบเกอร์–สโนควาลมี ภูเขาไฟนี้สามารถมองเห็นได้จากทางทิศตะวันตกในเมืองซีแอตเทิล และจากทางทิศเหนือในพื้นที่สูงของชานเมืองทางตะวันออกของแวนคูเวอร์ เช่น โคคิวแลม, นิวเวสต์มินสเตอร์ และพอร์ตโคคิวแลม ภูเขาไฟแห่งนี้เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสี่ของรัฐวอชิงตัน และยังไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าภูเขาไฟอื่นๆ ในพื้นที่ ชาวพื้นเมืองอเมริกันในท้องถิ่นได้จดจำยอดเขากลาเซียร์และภูเขาไฟอื่นๆ ในวอชิงตันไว้ในประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าของพวกเขา เมื่อนักสำรวจชาวอเมริกันมาถึงภูมิภาคนี้ พวกเขาได้รับข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศโดยรอบ แต่ในตอนแรกยังไม่เข้าใจว่ายอดเขากลาเซียร์เป็นภูเขาไฟ ภูเขาไฟนี้ตั้งอยู่ในเทศมณฑลสโนโฮมิช และอยู่ห่างจากใจกลางเมืองซีแอตเทิลไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเพียง 70 ไมล์ (110 กม.) จากพื้นที่ทางเหนือของซีแอตเทิลขึ้นไป ยอดเขากลาเซียร์อยู่ใกล้กว่าเมานต์เรเนียร์ ที่มีชื่อเสียงมากกว่า แต่เนื่องจากยอดเขากลาเซียร์ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาแคสเคด และมีความสูงน้อยกว่าเกือบ 4,000 ฟุต (1,200 เมตร) จึงทำให้สังเกตเห็นได้ยากกว่าเมานต์เรเนียร์มาก ยอดเขากลาเซียร์เป็นภูเขาไฟที่มีพลังมากเป็นอันดับสองในรัฐวอชิงตัน โดยมีการปะทุครั้งล่าสุดเมื่อราวปี ค.ศ. 1700 ± 100 ปี ภูเขาไฟนี้ก่อตัวขึ้นในช่วงยุคไพลสโตซีน เมื่อประมาณหนึ่งล้านปีก่อน และนับตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด ก็ได้สร้างการปะทุครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดบางส่วนในรัฐ เมื่อแผ่นน้ำแข็งของทวีปถอยร่นออกจากภูมิภาค ยอดเขากลาเซียร์ก็เริ่มปะทุอย่างสม่ำเสมอ โดยมีการปะทุอย่างรุนแรงถึงห้าครั้งในรอบ 3,000 ปีที่ผ่านมา มันมีการปะทุซ้ำๆ ในช่วงเวลาอย่างน้อยหกช่วง โดยสองครั้งในนั้นถือเป็นการปะทุที่ใหญ่ที่สุดในวอชิงตัน
คามาเทโร (Kamatero) เป็นย่านชานเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตก-กลางของเขตเมืองเอเธนส์ ประเทศกรีซ ห่างจากใจกลางเมืองเอเธนส์ไปทางเหนือประมาณ 8 กิโลเมตร โดยเป็นส่วนหนึ่งของเทศบาล Agioi Anargyroi-Kamatero ในปัจจุบัน ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของคามาเทโรมีความโดดเด่นอย่างยิ่งเนื่องจากถูกโอบล้อมด้วย ภูเขาโปยคิโล (Poikilo Mountain) ในส่วนทางตะวันตก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาไอคาเลโอ (Aigaleo) ภูเขานี้เป็นภูเขาหินปูน มีความแห้งแล้ง แต่ประดับด้วยต้นสนประปราย ทำให้ย่านนี้มีทิวทัศน์ที่มองเห็นความยิ่งใหญ่ของภูเขา ในอดีต คามาเทโรเคยเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและมีป่าไม้ทางตอนเหนือ แต่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ได้เปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน คามาเทโรเป็นย่านที่อยู่อาศัยที่กำลังเติบโต โดยมีอาคารที่พักอาศัยครอบคลุมพื้นที่ประมาณสองในสามของเมือง ถึงแม้จะอยู่ชานเมือง แต่ก็มีการศึกษาที่ดี มีโรงเรียนหลายแห่ง และได้รับการพิจารณาว่ามีศักยภาพในการพัฒนาสูง เนื่องจากเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีพื้นที่ว่างสำรองสำหรับการก่อสร้างมากที่สุดในแคว้นแอตติกา คามาเทโรจึงเป็นย่านที่ผสมผสานระหว่างความเป็นเมืองที่กำลังขยายตัวกับภูมิทัศน์ภูเขาหินอันเป็นเอกลักษณ์ของกรีซ ให้ความรู้สึกเป็นย่านที่สงบเงียบแต่ยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแอ่งเอเธนส์จากมุมสูงได้.
ทริโอรา (Triora) คือหมู่บ้านยุคกลางอันเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงในหุบเขาอาร์เจนติน่า (Argentina Valley) ของแคว้นลิกูเรีย ประเทศอิตาลี ซึ่งได้ฉายาว่า \"ซาเลมแห่งอิตาลี\" (Salem of Italy) เนื่องจากเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์ การพิจารณาคดีแม่มดที่นองเลือดที่สุด ในประวัติศาสตร์ลิกูเรีย ระหว่างปี ค.ศ. 1587–1589 ในช่วงที่เกิดภาวะอดอยาก ผู้คนในหมู่บ้านได้กล่าวโทษผู้หญิงหลายคนว่าเป็นต้นเหตุของพืชผลที่ล้มเหลว นำไปสู่การจับกุม, ทรมาน, และเสียชีวิตของผู้ถูกกล่าวหาจำนวนมาก แม้ว่าปัจจุบันทริโอราจะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี แต่บรรยากาศโดยรอบยังคง แฝงไว้ด้วยความลึกลับและเยือกเย็น ด้วยตรอกซอกซอยหินที่แคบเหมือนเขาวงกต, ซากบ้านร้าง, และซุ้มประตูที่แกะสลักจากหินชนวน ทุกมุมของหมู่บ้านยังคงมีการจัดแสดงสัญลักษณ์ของแม่มดและเวทมนตร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้ง แหล่งท่องเที่ยว และ สัญลักษณ์ของการรำลึก ถึงอดีตอันโหดร้ายที่ความงมงายเคยครอบงำผู้คน.
อาลิอาร์โตส (Haliartos) คือนครรัฐโบราณที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์บนชายฝั่งทางใต้ของทะเลสาบคอปาอิสในแคว้นโบออเทีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการกล่าวถึงในมหากาพย์ อีเลียด ว่าเป็นดินแดนที่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำ ความสำคัญของอาลิอาร์โตสไม่ได้อยู่ที่ความใหญ่โต แต่มันเป็นจุดควบคุมเส้นทางสัญจรที่สำคัญ โดยมีกำแพงอะโครโพลิสที่แข็งแกร่งตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ อย่างไรก็ตาม ความภักดีของนครรัฐต่อกษัตริย์เพอร์ซิอัสในช่วง สงครามมาซิโดเนียครั้งที่สาม ได้นำมาซึ่งจุดจบอันน่าเศร้า เมื่อกองทัพโรมันได้เข้าทำลายเมืองจนราบเป็นหน้ากลองในปี 171 ก่อนคริสต์ศักราช และขายพลเมืองเป็นทาส หลังจากนั้น อาลิอาร์โตสก็ไม่เคยถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกเลย ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังและร่องรอยของวิหารโบราณ ที่เป็นพยานเงียบถึงความรุ่งเรืองและความพ่ายแพ้ในอดีต
ลิวาเดีย (Livadeia) คือเมืองหลวงของหน่วยภูมิภาคโบออเทีย (Boeotia) ในกรีซตอนกลาง เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สวยงาม ณ เชิงเขาเฮลิคอน (Helicon) และมีชื่อเสียงในฐานะ \"เมืองแห่งสายน้ำ\" หัวใจสำคัญของลิวาเดียคือพื้นที่ ครีอา (Krya) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของ แม่น้ำเออร์ไคน่า (Erkyna River) ที่ไหลผ่านตัวเมืองอย่างน่าทึ่ง ภูมิภาคนี้ไม่ได้โด่งดังด้านการท่องเที่ยวชายหาด แต่เปี่ยมไปด้วยมรดกทางประวัติศาสตร์และเทพปกรณัมที่ซ่อนเร้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นที่ตั้งของ เทวสถานทรอโฟเนียส (Oracle of Trophonius) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทวสถานพยากรณ์ที่เชื่อมโยงกับเทพเจ้าอพอลโล และขึ้นชื่อว่าเป็นเทวสถานที่อันตรายที่สุด ผู้แสวงบุญที่มาเยือนจะต้องดื่มจาก น้ำพุแห่งความทรงจำ (Mnemosyne) และ น้ำพุแห่งการลืมเลือน (Lethe) เพื่อเตรียมจิตใจก่อนรับคำพยากรณ์ ลิวาเดียจึงเป็นเมืองที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมเก่าแก่ (เช่น ปราสาทยุคกลางที่สร้างโดยคาตาลัน) และความทันสมัย พร้อมทั้งเป็นประตูสู่ประวัติศาสตร์กรีกโบราณที่ยังคงความลึกลับน่าค้นหา.
เดลฟี (Delphi) คือศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของโลกกรีกโบราณ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น \"สะดือแห่งโลก\" (Omphalos) ตามตำนานที่ว่าเทพซุสได้ปล่อยนกอินทรีสองตัวจากปลายโลกคนละด้าน และพวกมันมาบรรจบกัน ณ ที่แห่งนี้ ตัวเมืองตั้งอยู่บนเนินลาดชันของ ภูเขาพาร์นาสซัส มองลงไปเห็นทิวทัศน์หุบเขาที่น่าทึ่ง ทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม เดลฟีเป็นที่ตั้งของ วิหารอะพอลโล ซึ่งเป็นที่ประทับของ ไพเธีย (Pythia) นักบวชหญิงผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกโบราณ ผู้ที่มาขอคำพยากรณ์ไม่ได้มีเพียงชาวกรีกเท่านั้น แต่รวมถึงกษัตริย์และผู้นำจากต่างแดนที่ต้องการคำชี้แนะก่อนตัดสินใจเรื่องสำคัญของรัฐ นับเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ในอดีต ตั้งแต่ซากทางศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Way) ที่เรียงรายด้วยคลังมหาสมบัติของนครรัฐต่าง ๆ ไปจนถึงโรงละครโบราณและสนามกีฬา ที่ยืนยันถึงความสำคัญทางศาสนาและการเมืองที่ไม่อาจหาใดเทียบได้ของเมืองแห่งนี้
คลองโครินท์และภูเขาไฟซูซากิ คือคู่หูทางธรณีวิทยาและวิศวกรรมที่น่าทึ่งของกรีซ คลองโครินท์ นั้นเป็นปาฏิหาริย์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อ ผ่าคอคอดโคลิณท์ เชื่อมต่อทะเลไอเจียนกับทะเลไอโอเนียน ด้วยกำแพงหินปูนสูงชันที่ตัดตรงลงไปในแผ่นดิน เป็นทางผ่านสำคัญที่ย่นระยะทางเดินเรืออ้อมเพโลพอนนีส อย่างไรก็ตาม ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรทางตะวันออกคืออาณาเขตของ ภูเขาไฟซูซากิ ซึ่งแม้จะเป็นภูเขาไฟที่ สงบแล้ว (Dormant Volcano) แต่ก็ยังคงมีชีวิตทางธรณีวิทยาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของ สนามซอลฟาตารา (Solfatara Field) ที่ปล่อย แก๊สพิษ (เช่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์) ออกมาจากรอยแยกบนพื้นดินอย่างต่อเนื่อง บริเวณนี้จึงมี กลิ่นกำมะถัน ที่รุนแรงและมีภูมิทัศน์ที่เป็นหินสีสนิม ซึ่งเป็นผลมาจากความร้อนและแร่ธาตุที่พุ่งขึ้นมาจากใต้โลก ทำให้พื้นที่รอบคลองโครินท์นี้เป็นจุดตัดระหว่าง วิศวกรรมของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ กับ พลังงานดิบที่ไม่เคยหลับใหลของโลก
หมูป่าครอมมิโอเนียนเป็นอสุรกายที่มักพบใน พื้นที่เสื่อมโทรมและเป็นทางผ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เชื่อมโยงกับการเดินทางของวีรบุรุษเธเซอุสในตำนานกรีกโบราณ แหล่งกำเนิดหลัก คือพื้นที่ป่าและพรุ ริมชายฝั่งแอตติกา ใกล้กับเมืองเมการ่าและคอรินธ์ ในกรีซ ซึ่งเป็นทางแยกสำคัญในอดีต ในยุคปัจจุบัน พื้นที่พบเจอได้ขยายวงกว้างออกไปตามร่องรอยการปรากฏตัวของไทฟอนหรืออีคิดน่า โดยครอบคลุมตั้งแต่ ซากปรักหักพังของโรงงานอุตสาหกรรมเก่า ในกรีซ ไปจนถึง ฟาร์มเลี้ยงปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา และ ลานจอดรถใต้ดินขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งร้าง ใต้เมืองในอเมริกาเหนือ (ไม่ใช่แคนาดา) สถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่ที่ ความป่าเถื่อนและความสับสนวุ่นวาย สามารถเติบโตได้ง่าย และเป็นจุดที่อสุรกายขนาดมหึมาสามารถหลบซ่อนและก่อกวนผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นครทวารกา คือเมืองโบราณในตำนานของศาสนาฮินดู ซึ่งเคยรุ่งเรืองและปกครองโดย พระกฤษณะ เมืองแห่งนี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นสถานที่ที่งดงามตระการตาและเต็มไปด้วยความมั่งคั่งมหาศาล แต่ท้ายที่สุดก็ถูก น้ำท่วมใหญ่และจมหายไปสู่ก้นทะเล ซึ่งเป็นการสิ้นสุดยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ลงอย่างน่าเศร้า ปัจจุบันมีการค้นพบซากโบราณใต้น้ำนอกชายฝั่งรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย ซึ่งนักโบราณคดีหลายคนเชื่อว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของนครทวารกาในตำนานที่จมหายไป ปัจจุบันพื้นที่นี้กลายเป็นเกาะปริศนาที่อยู่นอกเขตการสำรวจใด ๆ และปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกหนาทึบตลอดเวลา ว่ากันว่าเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยมนตร์สะกดลึกลับที่สามารถหลอกหลอนและกลืนกินนักเดินทางที่หลงเข้าไปได้ ผู้ที่พยายามจะสำรวจนครที่สาบสูญนี้มักจะหายตัวไปอย่างลึกลับและไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย ทำให้ทวารกาในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่ซากเมืองโบราณใต้ทะเล แต่เป็นเกาะที่ถูกสาปและเต็มไปด้วยวิญญาณของผู้ที่หลงทางซึ่งรอคอยการกลับมาของกษัตริย์ของพวกเขาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
รถไฟจักรกลลีเจี้ยน ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม โครนอส เอ็กซ์เพรส คืออสุรกายที่มักปรากฏตัวในสถานที่ที่เป็น ร่องรอยของการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และถูกผู้คนหลงลืม พวกมันจะใช้ หมอกพรางตา (The Mist) เพื่อปลอมแปลง อุโมงค์รถไฟใต้ดินที่ถูกทิ้งร้าง ในเมืองใหญ่ให้กลายเป็นชานชาลาที่ดูเหมือนใช้งานได้จริง เพื่อล่อลวงลูกครึ่งเทพที่เข้าใจผิดคิดว่ามันเป็น รถไฟของเฮเฟตัสรุ่นใหม่ที่กำลังให้บริการ แหล่งกบดานหลัก คือ ชานชาลาสถานีรถไฟเก่า และ เขตอุตสาหกรรมที่ถูกปิดตัวลง ในอเมริกาเหนือและยุโรป ซึ่งเป็นบริเวณที่มี พลังงานไอน้ำและโลหะที่บิดเบี้ยว ตกค้างอยู่สูง ทำให้พวกมันสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ง่าย นอกจากนี้ ยังถูกพบเป็น อุปสรรคสำคัญ ในภารกิจเดินทางที่เกี่ยวข้องกับ เฮเฟตัส หรือ วัลแคน เนื่องจากความแค้นของพวกมันที่ถูกทอดทิ้งได้มุ่งเป้าไปที่ลูกครึ่งเทพที่ยังคงภักดีต่อเทพเจ้าแห่งช่างฝีมือ การเผชิญหน้ากับรถไฟขบวนนี้จึงไม่ใช่แค่การต่อสู้กับอสุรกาย แต่เป็นการต่อสู้กับ ซากเทคโนโลยีของเทพเจ้า ที่ถูกทอดทิ้งและต้องการการแก้แค้น
พื้นที่ที่ถูกระบุว่าเป็นร่องรอยของ แวน มีเทอร์ นั้นคือ จุดเชื่อมต่อระหว่างความว่างเปล่าของชนบทอเมริกันกับซากปรักหักพังทางอุตสาหกรรม อสุรกายครึ่งมนุษย์ครึ่งค้างคาวสูงเกือบ 3 เมตรตัวนี้ มักปรากฏตัวในสถานที่ที่ถูกทิ้งร้างและมีความมืดปกคลุม เช่น เหมืองถ่านหินเก่าที่ถูกทอดทิ้ง (แหล่งกบดานเดิมในไอโอวา) โรงงานร้าง หรือ หลังคาอาคารสูงที่ไม่มีใครใช้งาน ในอเมริกาเหนือ (ยกเว้นบริเวณลองไอส์แลนด์) บริเวณที่มันปรากฏตัวจะเต็มไปด้วย กลิ่นเหม็นไหม้และกำมะถันอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงการมาเยือนของมัน การตามล่าแวน มีเทอร์จึงเป็นการเดินทางผ่าน จุดตัดระหว่างอารยธรรมที่ร่วงโรยกับความหวาดกลัวพื้นบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญหน้ากับลำแสงสว่างจ้าที่พุ่งออกมาจากหน้าผากของมัน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่สามารถตัดทะลุความมืดมิดและเปิดเผยร่องรอยการหลบหนีของมันได้ในยามค่ำคืน
อาณาเขตปล่องภูเขาไฟขนาดมหึมาของ เยลโลว์สโตน คือหนึ่งในดันเจี้ยนตามธรรมชาติที่อันตรายที่สุดในอเมริกา ซึ่งเป็นที่ที่ ม้าไนท์แมร์ (Nightmare Horses) ชื่นชอบเป็นพิเศษ พื้นที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงอุทยานแห่งชาติ แต่เป็น โรงงานแห่งความหวาดกลัวใต้พื้นโลก ที่มีพลังงานเวทมนตร์ดิบและพลังงานความร้อนปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง ลูกครึ่งเทพที่เดินทางเข้าสู่บริเวณนี้จะต้องเผชิญกับ หุบเขาซัลเฟอร์แห่งความหวาดกลัว ที่เต็มไปด้วย ไอน้ำร้อนจัด และกลิ่นกำมะถันที่กัดกร่อนประสาทสัมผัส บ่อโคลนเดือด และ น้ำพุร้อนไกเซอร์ ที่พ่นละอองพิษและน้ำกรดออกมาอย่างคาดเดาไม่ได้ กลไกของภูเขาไฟที่เชื่อมต่อกับส่วนลึกของโลกทำให้ ม้าไนท์แมร์ ซึ่งมีร่างกายเป็นควันและไฟสามารถ แทรกซึมผ่านม่านหมอก (Mist) ที่เจือจางลงได้ง่าย พวกมันจะใช้ เสียงไอน้ำที่ดังหวีดหวิว และ ควันซัลเฟอร์ เป็นม่านพรางตัว ก่อนจะควบตะบึงออกมาจากหมอกควันเพื่อจู่โจมด้วยความเร็วสูง ทำให้ลูกครึ่งเทพต้องต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่ พื้นโลกบิดเบี้ยว ร้อนรุ่ม และมองเห็นได้จำกัด โดยมีภัยคุกคามของอสุรกายแห่งฝันร้ายรออยู่ทุกย่างก้าว
ยอดเขาแลสเซน ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ไม่ได้เป็นเพียงภูเขาไฟที่สงบแล้ว แต่เป็น ประตูสู่ฝันร้าย (Gateway to Nightmares) ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเหล่า ม้าไนท์แมร์ ซึ่งเป็นสัตว์อสุรกายที่กินความกลัวและความสิ้นหวัง บริเวณนี้เต็มไปด้วย ปล่องภูเขาไฟที่ยังคงมีไอน้ำพวยพุ่ง (Fumaroles) และพื้นที่ที่มี กลิ่นกำมะถัน รุนแรง ซึ่งสร้างบรรยากาศที่เยือกเย็นและไม่เป็นธรรมชาติ รังของม้าไนท์แมร์ มักจะถูกพบบริเวณ พุ่มไม้ที่ถูกเผาทำลาย หรือ ถ้ำหินภูเขาไฟ ที่อยู่สูงเหนือเส้นต้นไม้ (Treeline) ในยามค่ำคืน เมื่อความมืดเข้าปกคลุม พลังงานแห่งความกลัว ที่ปลดปล่อยออกมาจากพื้นดินจะถูกดูดซับโดยม้าไนท์แมร์ ทำให้พวกมันมีพลังมากขึ้นและออกมาล่าเหยื่อที่กำลังหลับใหลหรือผู้ที่สัญจรผ่านเส้นทางหินปูนที่อันตรายแห่งนี้ การเดินทางที่นี่จึงต้องเผชิญกับ ภัยคุกคามทางกายภาพจากสภาพภูมิประเทศ และ ภัยคุกคามทางจิตจากความฝันอันมืดมิด ที่ม้าไนท์แมร์ใช้เป็นเครื่องมือในการล่อลวงเหยื่อ
ยอดเขาชาสตาในรัฐแคลิฟอร์เนียทำหน้าที่เป็นดันเจี้ยนตามธรรมชาติที่มีบรรยากาศของ ความศักดิ์สิทธิ์และความเยือกเย็น ตลอดเวลา เนื่องจากเป็นภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่โดดเดี่ยวและเป็นที่รู้จักว่าเป็นศูนย์กลางของพลังงานลึกลับ พื้นที่นี้จึงเต็มไปด้วยหิมะ หมอกหนาทึบ และพลังงานเวทมนตร์ที่หนาวเหน็บ ทำให้เป็นสถานที่สมบูรณ์แบบสำหรับ ม้าไนท์แมร์ (Nightmare) ที่จะซุ่มซ่อนอยู่ตามขอบป่าสนที่ปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง หรือตามลานหิมะที่ถูกความหนาวกัดกิน อันตรายหลักของยอดเขาชาสตา คือไม่ได้มีเพียงภูมิประเทศที่อันตรายและอากาศหนาวจัด แต่คือการที่ไนท์แมร์ใช้ กระแสความกลัว และ ความโดดเดี่ยว ที่ไหลเวียนอยู่ในภูเขาลึกลับแห่งนี้ พวกมันจะ ปรากฏตัวออกมาจากเงามืดหรือในความฝันร้าย เพื่อไล่ล่าลูกครึ่งเทพที่เดินทางขึ้นไปสูงกว่าระดับป่าไม้ ลูกครึ่งเทพที่มายังที่นี่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับ เปลวไฟสีดำ ที่ลุกโชนออกจากขนม้าไนท์แมร์ และ กลิ่นไหม้ ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่า ความกลัวที่ซ่อนอยู่ในจิตใจกำลังกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ปรากฏกายอยู่บนลานหิมะอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า
อ่าวซานมิเกล (San Miguel Bay) ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก ไม่ได้เป็นเพียงอ่าวธรรมดา แต่เป็นจุดบรรจบทางภูมิศาสตร์ที่ซ่อนเร้นไว้ซึ่ง พลังงานวารีที่ผันผวน อ่าวแห่งนี้ถูกโอบล้อมด้วยหน้าผาและผืนป่าดิบชื้นที่ทอดยาวลงสู่ทะเล ทำให้เป็นพื้นที่ที่มีความโดดเดี่ยวและลึกลับ กระแสน้ำในอ่าว ขึ้นชื่อว่ามีความเชี่ยวกรากและคาดเดาได้ยากเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากร่องความกดอากาศและพายุที่ก่อตัวในแปซิฟิกอย่างสม่ำเสมอ ในแง่ของโลกเวทมนตร์ อ่าวซานมิเกลอาจทำหน้าที่เป็น จุดศูนย์กลางของม่านหมอก (Mist Convergence Point) ที่หนาแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามค่ำคืน หมอกที่ถูกพัดมาจากทะเลเปิดจะปกคลุมชายฝั่งและซ่อนเร้น ร่องรอยของอารยธรรมโบราณ หรือ รอยแยกมิติชั่วคราว ที่เปิดไปสู่โลกของอสุรกาย ท่ามกลางหาดทรายสีเข้มและโขดหินที่ถูกกัดเซาะโดยคลื่น ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการปรากฏตัวของอสุรกายทะเล หรือเป็น สถานีพักชั่วคราว สำหรับลูกครึ่งเทพที่เดินทางข้ามทวีปด้วยเรือเหาะหรือยานพาหนะวิเศษอื่น ๆ ที่ต้องการหลบสายตาของโลกมนุษย์
ดันเจี้ยนนี้ไม่ใช่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ แต่เป็น ขอบเขตของภาพลวงตาที่บิดเบือน ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยพลังของ คทาลวงใจ (Staff of Deception) ที่โลกิมอบให้แก่แร็กนาร์ เมสัน เพื่อใช้ในการตามล่าและแก้แค้น ร่างเงาของแร็กนาร์ จะปรากฏตัวในสถานที่ที่ผู้เล่นคาดไม่ถึงและมีความวุ่นวายสูง เช่น ตรอกซอกซอยที่รกร้างในยุโรป หรือ ห้องโถงของอาคารสมัยใหม่ที่ถูกทิ้งร้าง ลักษณะเด่นของดันเจี้ยนคือ ความคลุมเครือระหว่างความจริงกับภาพลวงตา ผู้เล่นจะถูกโจมตีโดย เงาที่มีรูปลักษณ์เหมือนแร็กนาร์ทุกประการ (สูงเกือบ 3 เมตร พร้อมขวานและเกราะนักรบวัลฮัลล่า) แต่เป็นเพียงร่างจำแลงที่สร้างความเสียหายได้จริง เงาเหล่านี้สามารถ จำแลงกายเป็นบุคคลอื่น ที่ผู้เล่นเคยเห็น หรือ สร้างภาพลวงตาของอสุรกายทรงพลัง เพื่อล่อให้ผู้เล่นติดกับและโจมตีกันเอง อันตรายหลัก คือการที่ร่างเงามักใช้ความสามารถ สัมผัสอสุรกาย เพื่อวางกลยุทธ์ที่แม่นยำ และทำการ โจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว (Surprise Attack) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ ขวาน ที่เต็มไปด้วยพละกำลังของวีรชนแร็กนาร์ที่ฝึกสอนมา ผู้เล่นต้องใช้สติปัญญาและความสามารถในการมองทะลุ หมอก (The Mist) ที่โลกิสร้างขึ้น เพื่อแยกแยะว่าใครคือศัตรูที่แท้จริงและหลีกเลี่ยงการทำร้ายพันธมิตร
พื้นที่พบเจอของ คราเคน ไม่ใช่แค่ทะเลเปิด แต่คือ ห้วงสมุทรลึก (Abyssal Zone) ที่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ไม่สามารถส่องถึงได้ โดยมักจะเกิดขึ้นในรอยแยกใต้ทะเลลึก หรือบริเวณร่องมหาสมุทรที่ใกล้กับ ภูเขาไฟใต้ทะเล ดันเจี้ยนนี้ถูกนิยามด้วย ความมืดมิดที่สมบูรณ์ และ แรงกดดันมหาศาล ที่จะบดขยี้ร่างกายของลูกครึ่งเทพที่ไม่ได้ถูกป้องกันด้วยเวทมนตร์ ภายในห้วงลึกจะเต็มไปด้วย ป่าปะการังสีดำ และ ซากเรือโบราณ ที่ถูกคราเคนลากลงมาในอดีต ซึ่งเป็นขุมสมบัติที่เต็มไปด้วยกับดักและสัตว์ประหลาดใต้ทะเลอื่น ๆ บรรยากาศหลัก คือ ความเย็นยะเยือก และ ความเงียบสงัดที่น่าขนลุก ที่ถูกทำลายเป็นระยะด้วย เสียงครืนของหนวดขนาดมหึมา ที่เคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ อันตรายหลัก คือขนาดที่ไม่อาจเทียบได้ของคราเคนเอง ซึ่งสามารถสร้าง กระแสน้ำวนใต้น้ำ ขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดเหยื่อเข้าสู่ปากที่เต็มไปด้วยหนวดและฟันที่แหลมคม การต่อสู้กับคราเคนจึงไม่ใช่แค่การต่อสู้กับอสุรกาย แต่เป็นการต่อสู้กับ อำนาจดิบของห้วงสมุทร ที่ควบคุมความมืดและความกดดันทั้งหมดของดันเจี้ยนนี้.
อเมริกากลาง คือภูมิภาคที่ทอดยาวในรูปของ คอคอด (Isthmus) เชื่อมต่อทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้เข้าด้วยกัน ภูมิภาคนี้ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ประเทศกัวเตมาลา (Guatemala) ไปจนถึงปานามา (Panama) และประกอบด้วยประเทศอิสระ 7 ประเทศ ได้แก่ เบลีซ (Belize), คอสตาริกา (Costa Rica), เอลซัลวาดอร์ (El Salvador), กัวเตมาลา (Guatemala), ฮอนดูรัส (Honduras), นิการากัว (Nicaragua), และปานามา (Panama) ลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นคือการมี เทือกเขาสูง และ ภูเขาไฟ ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่จำนวนมาก ทำให้เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวสูงมาก นอกจากนี้ อเมริกากลางยังเป็นจุดตัดของ ภูมิอากาศแบบป่าดิบชื้น และเป็นที่รู้จักในด้าน ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่สูงที่สุดในโลก โดยมีทั้งชายฝั่งทะเลแคริบเบียนทางตะวันออก และชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันตก ภาษาหลักที่ใช้คือภาษาสเปน (ยกเว้นเบลีซที่ใช้ภาษาอังกฤษ) และมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์โลกในฐานะเส้นทางการค้าระหว่างสองทวีปและเป็นที่ตั้งของ คลองปานามา (Panama Canal) ที่มีชื่อเสียง.
มหาสมุทรแอตแลนติก ไม่ใช่แค่ทะเล แต่คือ อาณาจักรของเทพโพไซดอน/เนปจูน ที่ทอดยาวเป็นเส้นทางคมนาคมทางเวทมนตร์ระหว่างโลกเก่า (ยุโรป/แอฟริกา) และโลกใหม่ (อเมริกา) ดันเจี้ยนขนาดมหึมาแห่งนี้ถูกกำหนดด้วย ความกว้างใหญ่ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และ ความผันผวนของพลังงานเทพเจ้า บรรยากาศหลัก คือการผสมผสานระหว่าง ความงดงามของแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนผิวน้ำ กับ ห้วงลึกที่มืดมิดและไร้การสำรวจ ในส่วนของ ร่องลึกบาดาล (Abyssal Trenches) ที่เป็นที่อยู่ของอสุรกายดั้งเดิมและสิ่งมีชีวิตจากทาร์ทารัส อันตรายหลัก ของมหาสมุทรแอตแลนติกไม่ได้มีเพียงคลื่นพายุที่เกิดจากอารมณ์ของเทพเจ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึง การจู่โจมของอสุรกายทะเลขนาดใหญ่ (เช่น สฟิงซ์ทะเล, ไซเรน, หรือคราเคน) และ การเผชิญหน้ากับเขตแดนเวทมนตร์ ที่ถูกกำหนดไว้โดยโพไซดอน (เช่น กำแพงน้ำ ที่แยกอาณาเขต หรือ กระแสน้ำวน ที่เปิดไปสู่แอตแลนติส) การเดินทางในดันเจี้ยนนี้ต้องอาศัย ความเชี่ยวชาญในการเดินเรือ หรือ ความสามารถในการควบคุมวารี ที่เหนือกว่า เพื่อเอาชีวิตรอดจากอาณาจักรแห่งความยิ่งใหญ่และความลับอันเก่าแก่ของเทพผู้ยิ่งใหญ่.
โยธันไฮม์ คืออาณาจักรแห่ง ยักษ์ (Jotun) โดยเฉพาะ ยักษ์น้ำแข็ง (Frost Giants) ซึ่งเป็นศัตรูถาวรของเทพเจ้าแอสการ์ด (Asgardian Gods) ดันเจี้ยนนี้ถูกนิยามด้วย ความหนาวเหน็บอันเป็นนิรันดร์ และ ภูมิทัศน์ที่รุนแรงและไม่ต้อนรับสิ่งมีชีวิตอื่น สภาพแวดล้อมหลัก ประกอบด้วยเทือกเขาน้ำแข็งที่สูงเสียดฟ้า, ธารน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้ม, ที่ราบสูงที่ถูกหิมะและพายุหิมะโหมกระหน่ำตลอดเวลา, และถ้ำน้ำแข็งขนาดมหึมาที่เป็นที่พักอาศัยของเหล่าจอมเวทย์ยักษ์ (Giant Sorcerers) อันตรายหลัก ของโยธันไฮม์คือ อุณหภูมิที่ต่ำกว่าศูนย์ ซึ่งสามารถแช่แข็งสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่ยักษ์ได้ในเวลาอันสั้น, การโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวของยักษ์น้ำแข็ง ที่สามารถแปลงร่างเป็นก้อนน้ำแข็งหรือหิมะ, และ การควบคุมธรรมชาติ ของเหล่ายักษ์ที่สามารถสร้างพายุ, หิมะถล่ม, หรือหอกน้ำแข็งจากอากาศได้ การเดินทางผ่านโยธันไฮม์จึงเป็นการทดสอบ ความอดทน, การปรับตัวต่อสภาพอากาศที่รุนแรง, และการรับมือกับการโจมตีของศัตรูที่มีขนาดใหญ่ยักษ์และทรงพลังด้านเวทมนตร์น้ำแข็ง ซึ่งความพยายามทุกย่างก้าวเปรียบเสมือนการบุกรุกเข้าไปในอาณาจักรแห่งพลังทำลายล้างที่ไม่มีวันสิ้นสุดครับ
อุโมงค์คัลลีคอตต์ เป็นมากกว่าเส้นทางสัญจร แต่คือ ประตูป้องกันด่านหน้า ที่สำคัญที่สุดของค่ายจูปิเตอร์ ดันเจี้ยนนี้ถูกนิยามด้วย ความตึงเครียดของการเฝ้าระวัง โดยเป็นจุดที่ทหารทุกนายต้องเข้าเวรยามเพื่อลาดตระเวนและเฝ้าระวังภัยคุกคาม สภาพแวดล้อมหลัก คือทางเข้า-ออกของอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยยานพาหนะของมนุษย์ที่สัญจรไปมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้การแยกแยะระหว่างภัยคุกคามตามธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตในตำนานเป็นเรื่องท้าทาย อันตรายหลัก ของอุโมงค์คือ การเผชิญหน้ากับศัตรูขนาดใหญ่ ที่บุกเข้าสู่ค่ายโดยตรง รวมถึงการจัดการกับ อสุรกายที่ซ่อนตัวในหมอก (Mist) ท่ามกลางการจราจรที่หนาแน่น การปฏิบัติหน้าที่ ยืนเฝ้าเวร ที่นี่ต้องใช้สมาธิ ความอดทน และความสามารถในการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เนื่องจากทหารมีหน้าที่ปกป้องค่ายอันทรงเกียรติ และอาจต้องรับมือกับศัตรูระดับสูง เช่น ไกแกนเตส (Gigantes) หรือกองทัพที่กำลังเดินทัพ
แม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับลูกครึ่งเทพแล้ว ถือเป็นดันเจี้ยนที่มีมิติซ้อนทับกันระหว่างโลกมนุษย์และอาณาจักรของสิ่งมีชีวิตในตำนาน สภาพแวดล้อมหลัก คือกระแสธารขนาดใหญ่ที่ไหลผ่านใจกลางเมือง ซึ่งผิวน้ำเต็มไปด้วยเรือ, แพ, และกิจกรรมของมนุษย์ แต่ใต้ผิวน้ำที่มืดมิดและขุ่นข้นกลับเป็นที่ซ่อนของพลังงานโบราณและอาณาจักรใต้น้ำ อันตรายหลัก ของดันเจี้ยนนี้คือ กระแสน้ำเชี่ยว ที่สามารถพัดพาผู้ที่ประมาทไปสู่โลกบาดาล, มลพิษ ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่เทพ, และ การเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำในตำนานไทย (เช่น พญาปลา, ตะขาบน้ำยักษ์, หรือเหล่าพรายน้ำ) ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ การปฏิบัติภารกิจในแม่น้ำเจ้าพระยาจึงเป็นการทดสอบความสามารถในการ เอาตัวรอดในสภาวะจำกัด, การนำทางในกระแสน้ำที่ไม่สามารถคาดเดาได้, และการต่อสู้กับศัตรูที่สามารถควบคุมธาตุน้ำรอบตัวได้ การเดินทางลงสู่แม่น้ำสายนี้คือการบุกเข้าไปในอาณาเขตของเทพเจ้าและวิญญาณที่มีความลึกลับและอันตรายซ่อนอยู่ทุกอณู
ราชสีห์นีเมียน (Nemean Lion) คืออสุรกายอันลือชื่อที่มีขนสีทองเงางามซึ่งมีความคงทนระดับตำนาน โดยคุณสมบัติพิเศษของขนนี้คือความสามารถในการต้านทานอาวุธทุกชนิดที่ทำจากโลหะ ไม่ว่าจะเป็นดาบ หอก หรือธนู ดันเจี้ยนที่อุทิศให้แก่สัตว์ร้ายชนิดนี้จึงมักถูกพบเห็นได้ในหลายรูปแบบทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นถ้ำลึกบนภูเขาสูงในกรีซ หรือแม้แต่ในห้างสรรพสินค้าสมัยใหม่ที่ถูกอำพรางด้วยม่านหมอก ภายในสถานที่เหล่านี้ ผู้กล้าจะได้เผชิญกับกลิ่นอายของนักล่าที่ดุร้ายและทรงพลัง ซึ่งมักจะคอยเฝ้าสมบัติหรือของวิเศษสำคัญเอาไว้ ความท้าทายหลักของดันเจี้ยนนี้ไม่ใช่เพียงการใช้กำลังเข้าห้ำหั่น แต่คือการใช้สติปัญญาเพื่อหาจุดอ่อนของสัตว์ร้ายที่มีเกราะธรรมชาติที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ ซึ่งเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับวีรบุรุษทุกยุคทุกสมัย
เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์ของเหล่าเดมิกอด โดยปรากฏอยู่ในบันทึกการผจญภัยของนิโค ดิ แองเจโล เมืองแห่งนี้เปรียบเสมือนจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างโลกมนุษย์และมิติเร้นลับ ภายในดันเจี้ยนหรือพื้นที่เขตเมืองเอลิซาเบธอาจเต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้และความทรงจำของเหล่ามนุษย์กึ่งเทพที่เคยเดินทางผ่าน บรรยากาศของดันเจี้ยนนี้มักถูกพรางตาด้วยม่านหมอกให้ดูเหมือนย่านอุตสาหกรรมหรือเขตที่พักอาศัยทั่วไปในรัฐนิวเจอร์ซีย์ แต่ลึกลงไปอาจเป็นแหล่งกบดานของอสุรกายหรือทางผ่านลับที่นำไปสู่สถานที่สำคัญอื่น ๆ การสำรวจดันเจี้ยนในเมืองเอลิซาเบธจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความเคลื่อนไหวของทั้งเทพเจ้าและสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง