มาร์คัส ขุนพลหนุ่มแห่งโรมัน
เรื่องราวการผจญภัยในกรุงเยรูซาเล็ม
มาร์คัสในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียน ผู้นำกองร้อยที่ 4 จากทั้งหมด 10 กองร้อย โดยมีไททัส บุตรชายคนโตของจักรพรรดิเป็นแม่ทัพในขณะนั้น
เรื่องราวในสงครามที่เยรูซาเล็ม
“นายท่าน กำแพงวิหารเยรูซาเล็มทำท่าจะพังมิพังแหล่ เพราะโดนก้อนหินที่หน่วยวิศวกรโยธาของเราใช้เครื่องขว้างอัดจนแตกปริเป็นหย่อมๆ ข้าขอแนะให้ท่านออกคำสั่งเปลี่ยนรูปขบวนรบของกองร้อย จากขบวนหัวหมูมาเป็นขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัส ให้ทหารทุกคนเอาโล่ประกบติดกันเป็นกำแพงรอบตัวและเหนือหัว เพราะพวกยิวเวลาจนตรอกพร้อมจะสู้ตายรุมรายล้อมโอบทุกรอบทิศ พอพวกเราเปลี่ยนขบวนรบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเสร็จ พวกเราจะเริ่มเคลื่อนตัวเข้าชิดกำแพง โล่เหนือหัวจะป้องกันลูกไฟ ก้อนอิฐ ก้อนหิน ธนูและหอกจากพวกมันที่อยู่บนกำแพง”
อันโธนิอัส จ่าอาวุโส มือขวาของข้าตะโกนเสียงก้องแล้วเอาดาบประจำตัวตวัดตัดหัวกบฏยิวที่ทะเล่อทะล่า เอาหอกแอบแทงข้างหลัง ข้าชำเลืองมองลูกน้องซ้ายขวาที่กำลังสู้ประชิดตัว สับสนอลหม่าน ฝุ่นคลุ้ง เสียงดาบกระแทกกันดังสนั่นลั่นหู เสียงสบถสาปแช่งคำรามดีเดือด เลือดพุ่งกระฉูดกระฉาดแดงฉานนองพื้น
“เฮ้ย! นี่ข้า มาร์คัส ผู้นำกองร้อยที่ 5 ของเจ้ากำลังพูดอยู่ ทุกคนจงเปลี่ยนรูปขบวนรบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเดี๋ยวนี้ทันที เอาตัวข้าเป็นตรงกลางด้านหน้าของขบวนหันหน้าสู่กำแพงวิหาร ประกบโล่รอบขบวนและเหนือหัว ฆ่าไอ้ยิวทุกคนที่ขวางหน้า เมื่อถึงกำแพงที่พังทลายข้าจะออกคำสั่งให้พวกเจ้าแปรขบวนเป็นหมวดหมู่ ลุยศึกย่ำวิหาร ฆ่าทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า!” ไม่เกินอึดใจที่พวกข้าแปรรูปขบวนรบเป็นทรงจัตุรัส กำแพงวิหารเยรูซาเล็มห่างไม่เกิน 15 ก้าวก็พลันถล่มทะลาย เศษอิฐ ก้อนหิน ศิลาน้อยใหญ่ พุ่งกระจาย ฝุ่นควันหมุนเป็นเกลียวลอยคลุ้ง ลูกน้องของข้าพากันล้มระเนระนาด โล่ที่ยกปิดหัวร่วงหล่นจากมือเพราะก้อนอิฐ ก้อนหินพุ่งลงทับโถมใส่ เสียงสบถสาปแช่งคำรามร้องไห้โหยหวนก็พลันประสานกันทั่วสนามรบ พวกกบฏยิวซวนเซเสียขบวนบาดเจ็บล้มตายเหมือนพวกข้า
ลูกน้องของข้าที่ลุกยืนได้ก็พากันคำรามตวาดก้อง พุ่งลุยเข้าช่องกำแพงที่ล้มทะลายกลายสภาพเป็นกองอิฐกองหิน เลือดเข้าตา คลั่งศึกเพราะอาฆาตแค้นและเห็นชัยชนะในเอื้อมมือ กำลังขวัญ กำลังใจเพิ่มพูนเป็นทวี พวกยิวที่เหลือถอยกรูดเสียขวัญ ศึกประชิดตัวก็เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง อุตลุดชุลมุนไปทั่ว
ข้าตะโกนเรียกจ่าอันโธนิอัสให้ตามข้าลุยศึกเข้าใจกลางวิหาร ผู้นำศาสนาของชาวยิวพากันวิ่งหนีตัวสั่นงันงก หนวดยาวประอกพลิ้วไหวเพราะความกลัว เรียกร้องร่ำไห้ขอให้เทพบิดาของพวกมันช่วยให้ภัยพิบัตินี้จงสลายไป เครื่องสักการบูชาที่ทำด้วยทองคำเหลืองอร่ามงามตากระเด็นกระดอนหลุดจากมือ เมื่อทรวงอกหรือท่อนแขนถูกตวัดตัดออกจากร่าง ม่านในวิหารถูกไฟเผาผลาญ ควันคลุ้ง แตกกระทบพื้นลูกไฟกระเด็นกระดอนเป็นจุดเป็นหย่อม ส่องแสงวอมแวมกระทบเครื่องสักการบูชา สะท้อนแสงวูบวาบในกำแพงวิหาร
“ฆ่ามันทุกคน! ทำลายวิหารของมันให้พังทลายอย่าให้อิฐให้ให้หินซ่อนตัวของมันได้ เอาให้มันเรียบเหมือนหาดทรายของเมืองอเล็กซานเดรีย เมืองขึ้นของเราในอียิปต์ ที่พวกเราจะกวาดต้อนเชลยชายหญิงของนครเยรูซาเล็ม และสิ่งของมีค่าเครื่องสักการบูชาขึ้นเรือกลับโรม ให้จักรพรรดิเวสเปเซียน และพวกวุฒิสมาชิกชาวโรมได้ดู ให้ศัตรูของโรมและแว่นแคว้นใต้อำนาจโรมได้เห็นศักดาพลานุภาพ ไม่หาญกล้าก่อการ ขบถคิดร้ายเหมือนพวกยิวในแคว้นจูเดียนี้” ข้าตะโกนเสียงแหบคลั่งศึก ยกเท้าถีบฟาริสีหนวดขาวยาวถึงเอวให้กระเด็นติดกำแพงเหมือนเศษสวะไร้ค่า เสียงเครื่องสักการะกระทบพื้นที่ขวางหน้าดังโช้งเช้งโฉ่งฉ่างกังวานก้องหู
“มาร์คัส!” เสียงนายทหารโรมันเพื่อนข้าดังก้อง “ท่านแม่ทัพไททัส มีคำสั่งให้นายทหารระดับกองร้อยขึ้นไปรายงานตัวที่ฐานทัพของท่านนอกเมืองเยรูซาเล็ม ปล่อยให้ลูกน้องคนสนิทคุมกำลังขจัดกบฏที่เหลือตาย เก็บกวาดต้อนเชลยชายหญิงและของมีค่าได้แล้ว” ข้าพยักหน้ายิ้มให้เพื่อนและออกคำสั่งให้จ่าอันโธนิอัสคุมกำลังแทนข้า ก่อนที่จะเดินตามเพื่อนเข้าไป มีทหาร 20 นายตามคุ้มกันใกล้ชิด เพื่อนข้าบอกข้าว่าเพื่อนผู้นำกองร้อย 4 ใน 10 ของทัพข้าได้เสียชีวิตเพื่อโรมในศึกนี้ ถ้าจะนับจำนวนของผู้บังคับกองร้อยที่เสียชีวิตในสนามรบปราบกบฏยิวในแคว้นจูเดียเมื่อเริ่มศึก 5 ปีที่แล้ว เพื่อนข้าเสียชีวิต 11 คน
แม่ทัพไททัส ผู้ที่พวกข้าเคารพยกย่องในฝีมือการรบ ความกล้าหาญ จิตใจเผื่อแผ่ต่อพวกข้านี้ เป็นบุตรชายคนโตของจักรพรรดิเวสเปเซียน ผู้ทรงเป็นเทพที่ชาวโรมและอาณาจักรโรมกราบไหว้สรรเสริญ มีกำเนิดในฐานันดรศักดิ์ขุนศึก แล้วไต่เต้าเป็นวุฒิสมาชิกฝีมือรบเกรียงไกร ไหวพริบเฉียบแหลม คุมกำลังทหารใต้พระหัตถ์บุกเบิกทางทำลายศัตรู ปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิแห่งโรม พระองค์ทรงมีนโยบายขยายอาณาจักรโรมด้วยการทูตและมหาอำนาจทางกำลังรบ
ทรงเริ่มก่อสร้างสนามกีฬายุทธใจกลางโรมให้เป็นที่สำราญใจของชาวโรม กล่าวกันว่าสนามกีฬายุทธนี้จุคนได้ถึง 8 หมื่นคน ใหญ่โตมโหฬาร เป็นสัญลักษณ์อำนาจของโรมที่จะข่มขวัญอริให้แตกกระเจิง เมื่อได้เห็นได้ยล พ่อของข้าซึ่งเป็นวุฒิสมาชิกร่วมใจของพระจักรพรรดิได้บอกให้ข้ารู้แล้วเก็บไว้ในใจว่า จักรพรรดิเวสเปเซียน เพื่อนนายทหารรุ่นเดียวกับท่านไม่ได้เป็นเทพหรอก ที่พระองค์บุกตัวเองและบังคับให้วุฒิสภาประกาศองค์ว่าเป็นเทพ ก็เพื่อจะได้โน้มเหนี่ยวใจชาวโรมให้มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ ผู้ทรงศักดาเหมือนเทพในพิภพนี้ และการก่อสร้างสนามกีฬายุทธอันใหญ่โตอลังการนี้ ได้ทำให้พระคลังของพระองค์ชวนทรุด จะหยุดสร้างก็ไม่ได้จะเสียพระพักตร์
ชาวโรมและศัตรูจะหยามเราให้ระคายโสต พระสมองอันเฉียบแหลมได้ทำให้พระองค์ได้สติคิดแผนการอันลึกซึ้งมีผลสามอย่างสมพระหฤทัย ผลแรกก็คือประกาศศึกกำหลาบยิวขบถในแคว้นจูเดียให้ราบคาบไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามต่อโรมตลอดไปในภายหน้า ผลสองกำราบนิกายใหม่ของยิวที่ได้รุกลามไปทั่วในอาณาจักรโรม อันนิกายนี้มีก่อเกิดมาจากบุรุษผู้เรียกตัวเองว่า “บุตรของพระเทพบิดา” เป็นผู้สอนธรรมนอกคอกของศาสนายิว ก่อเกิดความแตกแยกร้าวฉานจนพวกผู้นำศาสนายิวฟ้องร้องต่อปิลาโต ผู้ครองแคว้นจูเดีย เมื่อเกือบ 40 ปีมาแล้ว ปิลาโตตัดสินประหารชีวิตให้ตรึงกางเขน การตายของบุคคลผู้นี้ควรจะเป็นการสิ้นสุดของนิกายใหม่ แต่กลับกลายเป็นต้นกำเนิดของนิกายที่นับวันนับจะเติบโตขยายจำนวนผู้ติดตาม สมัยที่จะถูกฆ่าถูกเบียดเบียนทำลาย และแม้จะโดนจักรพรรดิเนโรกล่าวหาว่าเป็นผู้จุดเพลิงทำลายโรมของเราเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ยิ่งฆ่าเหมือนยิ่งยุให้กลับใจเป็นผู้ติดตามบุรุษผู้นั้น ที่แปลกก็คือพวกนี้ไม่ได้จับอาวุธต่อสู้ลุกฮือทำร้ายใคร แม้กับศัตรูที่จะฆ่าตัวเอง เป็นนิกายที่แปลกประหลาดจิตใจอ่อนแอไม่เป็นภัยร้ายต่อโรมด้านกำลัง แต่เป็นภัยร้ายด้านความเชื่อที่กำลังขยายตัวแข่งรัศมีบารมีของพระจักรพรรดิเวสเปเซียน
จุดเริ่มต้นของนิกายอยู่ที่แคว้นจูเดีย จะจู่โจมทำลายก็ต้องเริ่มจากจุดนั้น และผลที่สามที่พ่อเองก็นึกไม่ถึงคือ ชัยในครั้งนี้จะทำให้โรมมีเชลยหญิงชายเป็นจำนวน 90 หมื่นกว่าๆ ที่จะขายเป็นทาสหรือเอาเป็นแรงงานสร้างสนามกีฬายุทธและสิ่งของเครื่องสักการบูชา ของมีค่าจากวิหารเยรูซาเล็มและของชาวยิวในแคว้นจูเดีย ก็จะกลายเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ พระคลังที่ซวนทรุดก็จะกลับกลายเป็นพระคลังที่มีทรัพย์ล้นโรม
เสร็จจากประชุม ข้ากับทหารรู้ใจ 20 นายก็พากันเดินกลับที่พักพลของข้า แม้จะเป็นเวลาหัวค่ำนครเยรูซาเล็มยังสว่างไสว เปลวไฟลุกโชติช่วงทั่วเมือง ควันไฟดำลอยพุ่งเป็นลำเหนือท้องฟ้า เสียงอาวุธกระทบกระแทกกันดังทั่วทุกทั่วมุมเมือง เสียงตวาดสบถ เสียงร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวด เสียงร้องที่กระหายของทหารโรมัน สลับกับเสียงกระซิกร้องไห้วอนขอความเมตตาจากหญิงสาวและไม่สาวชาวเยรูซาเล็มดังระงมเซ็งแซ่
ข้ายืนมองสภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจชาชิน มุมเมืองที่ห่างเกือบสุดสายตา ได้แปรสภาพเป็นค่ายกักกันเชลย เสียงโซ่ตรวนดังครืดคราดลากพื้น เชลยกบฏรอดตายเสื้อผ้าประดับลายขาดรุ่งริ่ง บาดแผลท่วมตัวยืนห่อไหล่ กับหน้าหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เชลยหญิงต่างฐานะต่างฐานันดรยืนเรียงรายมีโซ่ตรวนล่ามขากอดกันร้องไห้วอนขอเมตตา เด็กเล็กไม่เกิน 10 ขวบและชายหญิงชราพ้นวัยจับอาวุธเดินล้อมรอบผู้คุม ยื่นของมีค่าขอไถ่เชลย ผู้คุมจิกหัวกระชากผมลากถูให้พ้นหูพ้นตา ก่อนที่จะยัดของมีค่าเข้าถุงย่ามข้างเอว แส้หนังพลิ้วสะบัดกระทบแผ่นหลังผู้ชราที่งกๆ เงิ่นๆ ตัวสั่นขวัญกระเส่าร้องเรียกให้พระเทพบิดรของพวกมันช่วยปัดเป่าให้ฝันร้ายสลายไป
แล้วหูของข้าก็ได้ยินเสียงสาปแช่งบุรุษที่เรียกตัวเองว่า “บุตรของเทพบิดร” หัวหน้าผู้นำศาสนายิวแก่ผมขาวหนวดยาวถึงเอว แหงนหน้าตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเชลย ข้าพอจะจับใจความได้ว่าบุรุษผู้นั้นได้ทำนายถึงความพินาศฉิบหายของนครเยรูซาเล็มและชาวยิวที่บังอาจร่วมใจฆ่าบุตรของพระเทพบิดรที่บังเกิดมาเพื่อจะเป็นผู้นำของพวกยิว สายตาของข้าเหลือบมองไปเห็นไม้กางเขนหลายอันที่ตั้งเรียงรายไปตามสองฟากฝั่งของถนนใจกลางเมือง เสียงค้อนตีตะปูเหล็ก ทะลุลำแขนลำขาของพวกกบฏยิวดังโป๊กเป๊กปะปนกับเสียงโอดครวญ ตะเบ็งสาปแช่งร้องขอความเมตตา ข้าจะเบือนหน้าหนีก็เหลือบไปเห็นชาวยิวหญิงชายมีอยู่กลุ่มหนึ่ง กำลังเอาก้อนหินระดมปาไปที่ชาวยิวหญิงชายมีอายุ 4-5 คนที่หันหน้าเข้าหากันกอดกันเป็นวงกลม ไม่ได้ร้องวอนขอเมตตาหรือสาปแช่ง
ทหารของข้าพากันยืนมองด้วยความประหลาดใจ “ดูเถิดแม้กระทั่งในยามที่พวกมันแพ้ศึก บ้านเมืองพินาศล่มจมความเกลียดชังต่อพวกเชื้อชาตเดียวกันแต่ต่างศาสนาก็ยังมีอำนาจอิทธิพลให้พวกมันจับก้อนหินปาฆ่าชาวยิวเหมือนกัน” ลูกน้องของข้าคนหนึ่งเอ่ยเสียงแหบตะโกนขับไล่ ข้าและลูกน้องเดินผ่านชาย หญิงชราผู้ยืนห่อไหล่เลือดอาบหัวไม่ได้ประสานตาสู้พวกข้า เสียงโอดครวญของเชลยที่ถูกตรึงกางเขนร้องขอเมตตา ขอน้ำดื่มดับความกระหายดังเข้าหูข้า เมื่อพวกข้าเดินผ่านมุ่งหน้ากลับค่ายพักของข้า แล้วพวกข้าก็หยุดชะงักกลางถนนเมื่อได้ยินเสียงสบถด่าของทหารโรมันนายหนึ่ง
“เฮ้ย!! ข้าบอกแล้วว่าอย่าให้น้ำกับไอ้พวกกบฏนี้ พวกมันจะต้องรับทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะตายสาสมกับโทษของมัน” ชายหญิงชรา 7-8 คนงกๆ เงิ่นๆ ขออภัย และขอความเมตตาเพราะเชลยเหล่านี้ไม่สามารถจับอาวุธต่อสู้ได้อีกแล้ว ทหารโรมันกลุ่มนั้นหัวเราะแล้วตวาดให้หลบหนีไป หนึ่งในกลุ่มของชายหญิงชราพลันหันหน้าจ้องมองที่ข้าสายตาเป็นประกายจ้า
“ข้าแต่นายทหารโรมันผู้สูงศักดิ์ ข้าขอความเมตตาให้น้ำชุบผ้าแก่นักโทษเหล่านี้เถิด พวกเขาไม่สามารถจะเป็นพิษเป็นภัยทำร้ายพวกท่านได้อีกแล้ว ไม่เกินรุ่งเช้าพวกเขาก็จะสิ้นลมหายใจ...” ข้าประสานตากับบุรุษชราผู้นั้น จิตใจไหวหวั่นในความกล้าความเมตตาพลันบังเกิด
“เฮ้ย!! ทหารโรมันเกรียงไกรของข้า จงอนุญาตให้ชายหญิงชรากลุ่มนี้เอาน้ำชุบผ้าแตะผิวปากพวกเชลย ไม่เกินวันพวกมันก็จะสิ้นชีวิต และพวกยิวมันจะได้รู้ว่าทหารโรมันยังมีความเมตตาปราณีกับศัตรูที่สูญสิ้นอิสรภาพ” บุรุษชราเดินงกๆ เงิ่นๆ เอามือคว้าผ้าคลุมไหล่ข้าจับจรดกับปากไม่ได้หวาดกลัว
“ท่านนี้มีเมตตานัก ท่านทำให้ข้านึกถึงนายทหารโรมันผู้หนึ่ง เมื่อเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา ได้ขอพระเยซูเจ้า พระบุตร พระผู้ไถ่ของพวกข้าให้ทรงมีเมตตารักษาคนรับใช้ของท่านที่เจ็บหนักจวนตาย พระผู้ไถ่ของพวกข้าทรงสนพระทัยที่นายทหารโรมันผู้นั้นมีความกล้าหาญเสี่ยงต่อการสูญเสียอำนาจ ร้องขอนักบวชธรรมชาวยิวเมืองขึ้นของโรมให้ช่วยคนรับใช้ พระผู้ไถ่ทรงแสดงพระประสงค์จะเสด็จไปถึงบ้านรักษาคนรับใช้ให้ถึงที่ แต่แล้วพระองค์ก็ทรงทึ่งสุด... เมื่อนายทหารผู้นั้นกล่าวว่า พระองค์ไม่ต้องถ่อมองค์ถึงขนาดนั้น ตรัสแค่คำเดียวคนรับใช้ของท่านก็จะหายเจ็บ ความเชื่อของนายทหารผู้นั้นได้กลายเป็นตัวอย่าง ให้แก่พวกข้าและคริสตชนต่างชาติ นับถือยกย่องพร้อมปฏิบัติตามจนถึงปัจจุบันนี้” ข้ายืนนิ่งมองตามชายชราผู้นั้น ซึ่งเดินงกๆ เงิ่นๆ เอามือกุมเท้าเชลยที่ถูกตรึงกางเขนพูดปลอบประโลมแล้วเอาผ้าชุบน้ำติดปลายไม้แตะที่ริมฝีปากหญิงชรา เหมือนจะเป็นภรรยาร่วมทุกข์ร่วมสุข ยกไหน้ำขึ้นบนไหล่แล้วสองคนตายายก็เดินห่างออกไป
ข้าขยับตัวแล้วเดินนำทหารมุ่งตัดข้ามถนนพุ่งสู่ค่ายพักบนเนินเห็นไกลตา จิตใจคำนึงถึงผู้บังคับกองร้อยโรมันผู้หาญกล้าคนนั้น ฉับพลันทันใดข้าก็เห็นพวกกบฏยิวเกือบ 40 คน พุ่งทะยานออกจากก้อนหินต้นไม้ข้างทาง กวัดแกว่งหอกและดาบโถมใส่พวกข้า พวกข้าพยายามรวมตัวหันหลังชนกันเป็นวงกลมชักดาบสู้ แต่ทหารเกือบสิบนายของข้าโดนหอกที่แอบพุ่งเสียบนอนฟุบสิ้นชีวิตระเนระนาด
ข้าชักดาบออกจากฝักไม่ทันจะหลุด ก็มีความรู้สึกเหมือนมีมือยักษ์ใหญ่มาตบโครมที่ทรวงอก ดิ้นผงะลงกับพื้นกำลังเสื่อมสลาย หัวใจของข้าแทบจะกระเด็นออกจากอก เมื่อมองเห็นปลายหอกปักที่อกข้า ข้าเอามือกุมด้ามหอกเหลียวมองรอบๆ ตัว ทหารของข้า 20 คนนอนตายตาค้างรอบตัวข้า ในสายตาอันพร่าพราย ข้าเห็นพวกกบฏยิวคนหนึ่งเอื้อมมือจิกผมของข้าคำรามกระหึ่ม ดาบขาวคมวับจ้องจะตวัดตัดคอข้า
“เฮ้ย!! โชคของพวกเรา ไอ้นายทหารโรมันผู้นี้โดนหอกของข้าปักอกดิ้นกับพื้น ข้าจะตัดหัวแล้วเสียบประจานที่หน้าประตูเมืองให้พวกนรกโรมันได้รู้ถึงพิษสงของพวกเราประชากรของพระเป็นเจ้า” ก่อนที่คมดาบของมันจะตวัดตัดคอข้า เสียงเย็นแผ่วเบาแจ่มใสของบุรุษชราที่ได้กล่าวสนทนากับข้าเมื่อครู่ก็ดังขึ้นข้างถนน
“ข้าแต่ท่านผู้ร่วมชาติ ข้าขอความเมตตาต่อนายทหารโรมันผู้นี้เถิด ขอท่านอย่าตัดหัวเขาเลย ไม่เกินอึดใจเขาก็จะสิ้นชีวิตแล้ว ข้าขออนุญาตเอาน้ำชุบผ้าแตะปากบรรเทากระหายให้เขาด้วยเถิด”
“เฮ้ย!! ไอ้เฒ่านอกคอก แกก็คงจะเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ติดตามนักแสวงธรรมนอกคอกผู้นั้น เสียชาติเกิดเป็นประชากรของพระเป็นเจ้า แทนที่จะร่วมมือร่วมใจจับอาวุธต่อสู้ไอ้โรมัน พวกเจ้ากลับทำตัวเฉยไม่ช่วยแล้วจะขอความเมตตาให้กับศัตรูของเราซะอีก” พวกกบฏยิวสบถสาปแช่ง แล้วก็พากันวิ่งหายลับไป ชายชราทรุดตัวลงข้างกายข้า เอาผ้าชุบน้ำในโถจากภรรยาแล้วแตะปากข้า ข้าเอาลิ้นแตะน้ำที่เย็นฉ่ำรสเลิศ
“ข้าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ไต่ถามท่านเกี่ยวกับบุรุษผู้นั้นที่ท่านได้ติดตามเชื่อมั่น กล้าแม้จะเสี่ยงตายเดินตาม มีความเมตตาปราณีให้กับข้าที่เป็นศัตรูและกับพวกกบฏยิวที่เกลียดชังพวกท่าน..” ชายชราเอื้อมมือแตะที่ทรวงอกของข้า เลือดไหลท่วมนิ้ว สบตาข้าแล้วพูดเสียงแจ่มใสแผ่วเบา
“นายทหารโรมันผู้อาภัพ ท่านจะได้พบกับพระเยซูเจ้า พระผู้ไถ่ของชาวเรา และพระองค์จะทรงต้อนรับท่านให้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ เหมือนนายทหารโรมันผู้นั้น ซึ่งได้ทำหน้าที่ของทหารอย่างดีที่สุดและมีใจเมตตาต่อคนรับใช้ ความเมตตาของท่านที่มีต่อเชลยผู้ถูกตรึงกางเขน ศัตรูของท่าน เป็นบุญกุศลที่จะสนองตอบท่านตลอดนิรันดร์กาล ด้วยว่าพระผู้ไถ่ได้ทรงตรัสว่า เป็นบุญของเขาที่มีเมตตาต่อผู้อื่น เพราะพระเป็นเจ้าจะทรงมีเมตตาต่อเขาเช่นกัน...”