Ancient Rome ประวัติศาสตร์โรมัน
การเดินทางจากชนเผ่าสู่จักรวรรดิ
โรมันโบราณ: ยุคชนเผ่า
เมื่อเราพูดถึงโรมันโบราณในยุคแรกเริ่ม ชาวโรมไม่ได้มีเชื้อสายกรีกแต่อย่างใด แต่เป็นการวิวัฒนาการจากชุมชนเกษตรกรบนคาบสมุทรอิตาลี ชนเผ่าโรมันเริ่มก่อตั้งขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสต์ศักราช ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในช่วงแรกที่ยังเป็นชนเผ่านั้นยังไม่เจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่มากนัก
ต่อมาชนเผ่าเล็กๆ ได้กลายเป็นเมืองในช่วง 753 - 509 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือที่เรียกว่า **ราชอาณาจักรโรมัน** เมืองนี้ถูกก่อตั้งเป็นเมืองหลวงในช่วง 750 ปีก่อน ค.ศ. โดยมีผู้อพยพมาตั้งถิ่นฐานแถบภูเขาพาเลนไตน์ใกล้แม่น้ำไทเบอร์กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งพวกที่อพยพมานั้นเรียกตัวเองว่า **ชาวอีทรัสกัน** พวกอีทรัสกันมีถิ่นเดิมอยู่ในเอเชียไมเนอร์ และเมื่ออพยพเข้ามาในแหลมอิตาลีก็ได้นำเอาความเชื่อในศาสนาของกรีก ศิลปะการแกะสลัก การทำเครื่องปั้นดินเผา อักษรกรีก การหล่อทองแดงและบรอนซ์ การปกครองแบบนครรัฐ การวางผังเมือง การสร้างอาวุธ และอื่นๆ เข้ามาเผยแพร่ในคาบสมุทรอิตาลี
ราชอาณาจักรโรมัน: ระบบการปกครองแบบราชาธิปไตย
ในช่วง 793 ปีก่อน ค.ศ. ได้มีชาวกรีกกลุ่มแรก หรือก็คือผู้ที่เปลี่ยนชื่อและก่อตั้งกรุงโรม จากการเป็นแค่นครรัฐเล็กๆ โดย **โรมูลัส** และ **รีมัส** ทั้งสองร่วมมือกันสังหารกษัตริย์ชาวอีทรัสกันที่ปกครองโรมอยู่ในขณะนั้น ทั้งโรมูลัสและรีมัสเป็นทายาทแห่งเทพมาร์ส ซึ่งในตอนแรกพวกเขาจะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้นำเมืองเท่านั้น แต่เพราะทั้งสองตกลงเรื่องการสร้างเมืองหลวงของอาณาจักรไม่ได้ โรมูลัสจึงวางแผนลอบสังหารรีมัสด้วยมือตนเองและตั้งตัวเป็นจักรพรรดิแห่งโรม ตั้งชื่อเมืองหลวงตามชื่อตนว่า "กรุงโรม" และสร้างวิหารแรกคือวิหารมาร์ส เทพแห่งสงคราม ซึ่งหลังจากที่โรมูลัสปกครองโรม
ในช่วง 509 ปีก่อน ค.ศ. ได้มีการปฏิวัติเกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อันเนื่องมาจากอำนาจได้กลับสู่พวกอีทรัสกันอีกครั้งหลังจากที่โรมูลัสสิ้นพระชนม์ ทำให้โรมอ่อนแอลงและชาวอีทรัสกันก็กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง
แต่เหตุการณ์ที่ชาวอีทรัสกันกลับมาเรืองอำนาจก็เป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะกษัตริย์อีทรัสกันถึงแม้จะปกครองโรมที่โรมูลัสก่อตั้ง ก็มีขุนนางจากหลายเผ่า หนึ่งในนั้นคือ **เผ่าละติน** ซึ่งในช่วงที่กษัตริย์อีทรัสกันอ่อนแอลง ชาวเผ่าละตินได้ก่อการรัฐประหารโดยอ้างเหตุว่าเทพจูปิเตอร์ต้องการให้อำนาจตกสู่มือชาวละติน โดยผู้นำรัฐประหารคือ **เจสัน อะธีเรีย**
เจสัน อะธีเรีย ซึ่งเป็นทายาทแห่งเทพจูปิเตอร์ ได้รับการคัดสรรให้มาปกครองโรมเพื่อชิงโรมกลับจากพวกอีทรัสกัน เนื่องจากพวกอีทรัสกันบูชาเทพแซทเทิร์น ซึ่งเป็นพ่อของจูปิเตอร์ และจูปิเตอร์ทราบมาว่าพวกเขากำลังจะทำพิธีอัญเชิญแซทเทิร์นให้คืนชีพจากทาร์ทารัส ซึ่งเป็นสาเหตุที่จูปิเตอร์ต้องสร้างมนุษย์กึ่งเทพขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งการผงาดของแซทเทิร์น โดยปกติจูปิเตอร์จะสร้างบุตรของตนเฉพาะเวลาที่เข้าตาจนเท่านั้น เจสันนำเผ่าละตินชิงโรมกลับมา นับแต่นั้นพวกเราจึงสืบเชื้อสายมาจากละติน
หลังจากโค่นล้มพวกอีทรัสกันและชิงกรุงโรมกลับมาได้สำเร็จ เจสัน อะธีเรีย บุตรของจูปิเตอร์ที่กำเนิดจากหญิงชาวละติน ได้สั่งให้ชาวโรมสร้างวิหารเทพขึ้นมาวิหารแรกที่ใหญ่โตอลังการ เพื่อเป็นเกียรติแต่เทพโอลิมปัสสามท่าน คือ มหาเทพ **จูปิเตอร์** เทพผู้พิทักษ์ของรัฐโรมันและเทพสูงสุดแห่งโอลิมปัส, **จูโน่** เทพีผู้พิทักษ์กรุงโรม และ **มิเนอร์วา** เทพีพรหมจารีแห่งสงคราม สติปัญญา และงานหัตถกรรม ทั้งสามเทพถูกนับถือภายในวิหารเรียกว่า **วิหารจูโนคาพิโตลินา** ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น **วิหารจูปิเตอร์ออฟติมัส แม็กซิมัส**
เจสันได้คืนอำนาจให้กับประชาชน โดยมอบให้ทหารคนสนิทสองคนในการดูแลโรม และกำชับให้กรุงโรมใช้ระบบสาธารณรัฐในการปกครอง โดยอำนาจทุกอย่างขึ้นกับสภา ให้เลือกตัวแทนจากประชาชนโรมมาใช้สิทธิ์ในการหารือ หลังจากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเจสัน อะธีเรียหายไปไหน
สาธารณรัฐ: ระบบการปกครองแบบคณาธิปไตย
ทหารคนสนิทของเจสันได้ทำตามคำสั่งของนาย โดยปฏิรูปโรมใหม่ทั้งหมดจากระบบราชาธิปไตยมาเป็นระบบสาธารณรัฐ และมีการแบ่งชนชั้นเป็น **แพทริเซียน** (ชนชั้นสูง) และ **เพลเบียน** (ชนชั้นต่ำ) ซึ่งเป็นชาวโรมธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียงในสภา โดยขัดกับจุดประสงค์ของเจสัน อะธีเรีย ที่ตั้งใจจะให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ในอำนาจ ทหารสองนายนั้นแต่งตั้งตัวเองเป็น **กงสุล** และบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับแรกของโรมัน โดยแบ่งเขตอำนาจมีสองฝ่ายคือ กงสุลจำกัดแค่ 2 คนและสภาซีเนทหรือสภาสูงแค่ 300 คนโดยรับเฉพาะชนชั้นแพทริเซียนเท่านั้นและต้องผ่านการพิจารณาจากกงสุลอีกทีหนึ่ง ในช่วงแรกนั้นมีกฎหมายห้ามการแต่งงานระหว่างชนชั้นแพทริเซียนและเพลเบียนอย่างเด็ดขาด และเมื่อกงสุลชุดแรกก่อนจะหมดวาระ จะต้องได้รับการคัดเลือกจากชนชั้นแพทริเซียน
ต่อมาประมาณ 449 ปีก่อน ค.ศ. ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ซึ่งเป็นสงครามระหว่างชนชั้นเพลเบียนและชนชั้นแพทริเซียน จนในที่สุดพวกเพลเบียนได้มีสิทธิออกกฎหมายร่วมกับพวกแพทริเซียน และมีการออกประมวลกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโรมัน หรือก็คือรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่เรียกว่า **กฎหมายสิบสองโต๊ะ** เพื่อใช้บังคับให้ชาวโรมันทุกคนปฏิบัติอยู่ในกรอบเดียวกันของกฎหมายและสังคม กฎหมายสิบสองโต๊ะนี้ถือเป็นมรดกชิ้นสำคัญของโรมที่ถือกันว่าเป็นแม่บทของกฎหมายโลกตะวันตก
สาธารณรัฐ: ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย
หลังจากนั้นพวกเพลเบียนได้คัดเลือกตัวแทนของตนไปออกเสียงในสภา ทำให้โรมเข้มแข็งขึ้นอย่างมาก โดยมีการยกเลิกระบบแบ่งชนชั้นเพื่อให้ชาวโรมมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบในปี 287 ก่อน ค.ศ.
เมื่อเข้าสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย พลเมืองโรมจะมีสิทธิ์เลือกตั้งได้ทุกปีและได้รับคำแนะนำจากวุฒิสภา รัฐธรรมนูญที่ซับซ้อนค่อยๆ ได้รับการพัฒนา โดยมีศูนย์กลางอยู่บนหลักการแบ่งแยกอำนาจและการตรวจสอบและถ่วงดุล ยกเว้นในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงของประเทศ ตำแหน่งราชการถูกจำกัดไว้ที่หนึ่งปี เพื่อไม่ให้บุคคลใดสามารถครอบงำพลเมืองได้ ผู้ที่มีอำนาจเทียบเท่ากงสุลเรียกว่าผู้นำของสาธารณรัฐ หรือปัจจุบันก็ประมาณนายกรัฐมนตรี โดยผู้นำของสาธารณรัฐจะมีวาระแค่ 1 ปี จะมีการเลือกตั้งใหม่ โดยผู้นำโรมันจะต้องตั้งทีมอย่างน้อยไม่เกิน 200 คนเพื่อเข้าไปทำหน้าที่ในสภาซีเนท และอีก 100 คนจะได้รับการคัดเลือกจากชาวโรมทั้งเมืองและทุกบ้านในกรุงโรม โดยผ่านการพิจารณาจากกงสุลเหมือนเดิม
กงสุลจะมีวาระ 2 ปี โดยผู้ที่จะลงสมัครจะต้องได้รับเลือกจากชาวโรมทุกบ้านทุกหลัง และในวันเลือกตั้งกงสุล เทพจูปิเตอร์จะลงมาพิจารณาทุกครั้ง เพื่อตรวจสอบว่าคู่ควรกับอำนาจสูงสุดของโรมหรือไม่
ในการแผ่อำนาจของโรมนับตั้งแต่เข้าสู่ประชาธิปไตยทำให้โรมันเข้มแข็งขึ้นและเป็นที่เกรงขามของประเทศใกล้เคียง มีประเทศมากมายมาขอเป็นพันธมิตรกับโรมัน โดยส่งเครื่องบรรณาการให้ทุกเดือน เพื่อแลกกับเงื่อนไขที่โรมจะไม่โจมตี แต่ประเทศไหนไม่ยอมก็จะถูกโจมตีจนตกเป็นเมืองขึ้นของโรม โดยส่งชาวโรมไปดูแล คล้ายๆ นายอำเภอ โรมเริ่มต้นจากอิตาลีตอนกลางจนสามารถยึดครองคาบสมุทรอิตาลีได้ทั้งหมด เมื่อถึงศตวรรษต่อมา รวมถึงแอฟริกาเหนือ คาบสมุทรไอบีเรีย กรีซ และพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นฝรั่งเศสตอนใต้ อีกสองศตวรรษจากนั้น ใกล้ปลายศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล รวมถึงฝรั่งเศสปัจจุบันที่เหลือและพื้นที่อีกมากในทางตะวันออก
ถึงขณะนี้ แม้จะมีข้อจำกัดตามประเพณีและกฎหมายของสาธารณรัฐต่อการได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองอย่างถาวรของบุคคล การเมืองโรมันถูกครอบงำโดยผู้นำโรมันไม่กี่คนที่บ้าอำนาจ โดยระหว่างพวกผู้นำที่ต้องการยึดครองโรมจะถูกคั่นด้วยสงครามกลางเมืองเป็นระยะ ซึ่งฝ่ายปฏิวัติคือประชาชนโรมทั้งเมืองที่ไม่เห็นด้วย