140 จะไม่ใช่ดินเนอร์ครั้งสุดท้ายของสองเรา นั่นคือความจริง
- วันก่อนออกเดินทาง -
ดีนออกจากกระท่อมหมายเลขสามหลังจากที่ฝึกหนักที่ชายหาดแล้วกลับมาอาบน้ำอาบท่าทำทีเหมือนว่าตัวเองพักผ่อนอยู่ในห้องนอนตลอดทั้งวัน เขารอแมคเคนซีที่จะมารับไปโถงอาหาร เพื่อจะไปทานมื้อเย็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทางไปทำภารกิจ นอกจากการร่ำลาดีนยังมีอีกเรื่องที่ต้องเฉลยกับแมคเคนซีด้วยว่า
‘เขาท้องลม’
แม้จะน่าเสียดายที่ช่วงสี่ห้าวันนี้อีกฝ่ายดูแลเขาดีชะมัด เทียวไปมาหาสู่ดูแลไม่ขาดสาย ถามว่าจะเอานั่นเอานี่ไหม เพราะคิดว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคน แต่ก็ชอบดุชะมัดตอนที่เขาทดสอบการใช้พลังในฐานะเทพน้ำ ก็มันจำเป็นต้องฝึกนี่นา ถ้าไม่ใช่เพราะภารกิจหยั่งเชิงเทพอะไรนั่นเขาคงลั่นความจริงออกไปตั้งแต่วันแรก
ดีนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะหยั่งเชิงอะไรเทพโดลอสได้หรือไม่ แต่ระยะนี้ในใจเขาภาวนาจิตพยายามติดต่อเทพโป้ปดอยู่ตลอดเวลา จะว่าไปก็คล้ายกับคนบ้าอยู่เหมือนกัน…
@Mackenzie
“นิดหน่อย ช่วงนี้คุณพ่อเป็นห่วงฉันจังนะ” ดีนยิ้มเผล่ จะว่าดีใจไหมก็ใช่แหล่ะ เขาชอบให้คนมาเอาอกเอาใจจะตาย น่าเสียดายที่วันนี้คือวันที่ต้องเฉลยคำโกหก แต่ก่อนหน้านั้น…
“รู้สึกจะมีคำทำนายใหม่มานะ รีชไปจดมาให้”
ตอนนี้น้องสาวกลายเป็นเหมือนสายสืบส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นภารกิจใหม่ ๆ หรือข่าวสารในค่ายที่ควรรู้ไว้ก็ดีล้วนมาจากเด็กสาวผมสีจินเจอร์เป็นคนแรกตลอด ดีนยื่นกระดาษเมโมใบเล็กสีสันหวานแหววไปให้แมคเคนซี ลายมือน่ารักแต่คำอาจจะอ่านยาก รีชาคงทำดีที่สุดแล้วในฐานะของเด็กที่เป็นดิสเล็กเซียแล้วต้องพยายามมาเขียนภาษาอังกฤษ
@Mackenzie
“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก คนในค่ายว่าง ๆ ก็ชอบออกไปทำภารกิจ ไม่รู้เป็นอะไรกันไปหมด มีแต่คนบ้าเลือดชอบความรุนแรง”
ดีนบ่นให้ฟัง ซึ่งอาจไม่แปลก คนในค่ายฮาล์ฟบลัดส่วนมากถูกส่งตัวเข้ามาในค่ายตั้งแต่อายุสิบสองสิบสาม แล้วก็ถูกปลูกฝังเรื่องการต่อสู้ ปราบอสุรกาย เป็นวีรบุรุษ มาโดยตลอด แล้วดูเหมือนจะมีความเชื่อฝังหัวกันด้วยว่า ‘ปราบอสุรกายเยอะ ๆ พ่อแม่ที่เป็นเทพจะได้ภูมิใจ’ บอกตรง ๆ เลยว่าเป็นความเชื่อที่งี่เง่าโคตร ๆ เราควรจะภูมิในใจตัวเอง ภูมิใจที่เราเป็นเราสิถึงจะถูก ซึ่งดีนไม่สอนให้รีชาเติบโตขึ้นไปเป็นเดมิก็อดบ้าเลือดแบบนั้นแน่ ๆ
“ที่น่าแปลกมากกว่าคือ ‘ราชรถของสุริยะเทพถูกขโมย’ หมายถึงเฟอร์รารี่ของอะพอลโลใช่ไหม? เทพกรีกนี่เป็นยังไง ชอบทำของหายแล้วให้เด็กไปตามคืน ประสาท”
จนบางทีเขาคิดว่าโลกแห่งเทพกรีกมันมีหน่วยงานอย่างตำรวจเทพอะไรงี้เพื่อมาทำงานแทนไหม อย่างขนส่งพัสดุยังไม่เฮอร์มีสเอ็กซ์เพรสเลย ส่วนการโทรศัพท์ก็มีเครือข่ายของเทพีไอริส ไม่อยากจะคิดนะว่า ‘ก็ค่ายฮาล์ฟบลัดนี่ไงล่ะคือสถานีตำรวจเทพกรีก’ ให้ตายสิ พวกเขาเป็นนักเรียนนายร้อยอย่างนั้นเหรอ?
@Mackenzie
“ไม่รู้สิ คงจะมีไฟฉายย่อส่วนมั้ง” ดีนไหวไหล่ ทั้งตรีศูลเอย ทั้งราชรถเอย แถมสายฟ้าของซุสก็เคยหาย ถ้าผู้ขโมยไม่มีทักษะโจรกรรมขั้นสูงก็คงต้องมีไฟฉายย่อส่วนเนี่ยแหล่ะ
“อืม ไปกินมื้อเย็นกัน ฉันลุ้นจริง ๆ ว่าของกินวันนี้จะคืออะไร ถ้าเป็นดีฟฟรายก็ดีสิน่า”
พอแมคเคนซีกล่าวถึงเรื่องท้องดีนก็ยิ้มมุมปาก ได้เวลาเฉลยแล้วหรือเปล่านะ? แต่ตอนนี้แกล้งทำเนียนแล้วเดินไปกับอีกฝ่ายก่อน
“คือว่า… แด๊ดดี้ นายได้คิดเรื่องลูกของเราไว้บ้างแล้วหรือเปล่า? เช่นแบบว่า.. จากนี้จะทำยังไง นายจะมาดูเขาหน่อยไหม? ฉันคิดอยู่นะว่าถ้าเขาต้องอยู่ในค่ายฮาล์ฟบลัดจริงจะให้ลูกทำแต่เควสที่ไม่อันตราย อย่างเช่นเควสโกหกของเทพโดลอสงี้—”
@Mackenzie
“ยังมีหอกยืดได้หดได้ของโซเฟียเลยนี่ อ้อ.. นายเคยเจอเธอหรือยัง เป็นอาจารย์สอนหอก แต่เลี่ยงได้ก็อย่าไปเรียนเลย ดุเกิ๊น”
แม้หญิงสาวที่ถูกพูดถึงจะเป็นอาจารย์ที่ดีและไม่ได้ดุจริงจังแต่ดีนอยากเรียนกับคนที่นุ่มนวลดีต่อใจมากกว่า อย่างรุ่นพี่ไพเพอร์งี้ หรือจะเป็นคุณไครอนที่มากประสบการณ์ อธิบายดีมากในคลาสหลอมเหล็กที่เขาไปเข้ามา
“นายปรามาสอาหารโปรดฉันได้ไง มันก็พอ ๆ กับคนที่ดื่มโกโก้ครบสามมื้อล่ะว้อย” หมั่นไส้เลยต่อยแขนอีกฝ่ายเบา ๆ ไปทีนึง ดูเหมือนแมคเคนซีจะรู้ทันคำที่เขาบอกใบ้
“แปลว่านายก็ไปรับเควสนั้นมาเหมือนกันสินะ” ชายหนุ่มหรี่ตาต้องพลางคิดว่าหมอนี่น่าจะโกหกเขาเรื่องไหน “อย่าบอกนะว่านายโกหกว่ากลับกลอสเตอร์!”
@Mackenzie
“ลูกคุณเฮเฟตัสสร้างได้ อาวุธที่หดขยายได้ แล้วก็รถที่ย่อขนาดได้เท่าพวงกุญแจเหมือนในหนังแอนท์แมน ที่รู้มาก็มีประมาณนี้”
ดีนกล่าวเพียงแค่นั้น เพราะเขาก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าหลักการทำงานเป็นอย่างไร ที่จริงก็ค่อนข้างน่าสนใจเพราะตอนเป็นนักศีกษาก็ไปนิทรรศการของฝั่งวิศวกรรมบ่อยอยู่ บางทีบุตรแห่งเฮเฟตัสอาจจะสร้างชุดเกราะไออ้อนแมน หรือหุ่นยักษ์อย่างกันดัมได้ก็ได้นะ
“นายทำฉันนอยด์เลยนะตอนนั้นน่ะ” เขาใช้ศอกกระทุ้งแขนอีกฝ่ายที่คลายการโอบ “ใช่ ฉันโกหกว่าฉันท้อง แม่ฉันก็เป็นผู้หญิง เรื่องจริงมีอยู่อย่างเดียวคือคนที่ให้กำเนิดเจรี่เป็นผู้ชาย ไม่พ่อฉันก็พ่อเขาแหล่ะที่เป็นคนคลอดน้องออกมา”
ดีนขยับตัวไปมองตาของอีกฝ่ายตรง ๆ
“แต่ว่าฉันก็ชอบนะที่นายดูแลฉันดีแบบนี้ แด๊ดดี้แมคซี่” แล้วก็ยิ้มหวานจนตาหยีให้ไปทีนึง
@Mackenzie
“ควรอยู่นะ หรือไปช่วยบริจาคสินสงคราม มันอธิบายยากนายให้คุณไครอนสอนในวิชาหลอมเหล็กจะดีกว่า” รายละเอียดของการหลอมเหล็กมีมากจริง ๆ จนดีนไม่สามารถอธิบายได้ ไหนจะเรื่องการบริจาคที่เขายังงง ๆ อยู่นิดหน่อย กลัวพูดไปแล้วจะสื่อสารผิดพลาด
แล้วเขาก็โดนแมคเคนซีต่อยคืน
“นิ่งบ้าอะไร แทบร้องไห้แน่ะ..” เมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมาก็รีบหันหน้าหนีไปทางอื่น “อย่างนายสมควรถูกหลอกแล้วล่ะ!” ดีนแลบลิ้นให้แมคเคนซีก่อนจะวิ่งหนีนำไปโรงอาหาร
@Mackenzie
พอวิ่งมาถึงหน้าโถงอาหารดีนก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายตัวเองเรืองแสง จากนั้นก็มีหีบสมบัติกระเด้งออกมาตรงหน้า
“โห รางวัลผุดออกมาแบบนี้เลย”
เมื่อหันกลับไปมองแมคเคนซีเขาก็เห็นว่าร่างกายของอีกฝ่ายเรืองแสงแล้วมีหีบโผล่ขึ้นมาเหมือนกัน
“ตื่นเต้นชะมัดในหีบต้องมีสมบัติเยอะแน่ ๆ เรามาเปิดพร้อมกันไหม?” ดีนถูมือก่อนจะเริ่มนับ “หนึ่ง สอง สาม!”
ผ่าง!!
เขาพบดรักม่าแปดเหรียญกองอยู่ก้นหีบ เป็นรางวัลที่ใหญ่มาก ๆ
“….”
@Mackenzie
โชคดีที่อาหารมื้อสุดท้ายก่อนออกเดินทางเป็นของทอดอย่างที่ดีนชอบ เขาตักอาหารเหล่านั้นมาเยอะแยะเต็มไปหมดแล้วยกมานั่งทานที่โต๊ะบ้านไดโอนีซุส ใช่ว่าเขาหรือแมคเคนซีที่มารับประทานอาหารร่วมกันมีใครสักคนที่มีสายเลือดของเทพแห่งไวน์และความรื่นเริง แต่เพราะว่าโต๊ะนี้ยังว่างอยู่และรุ่นพี่ออสตินไม่ได้มาที่โรงอาหารเวลานี้ คนที่ไม่มีพิธีรีตรองและไปทุกที่อย่างทั่วถึงจึงเลือกที่จะทานอาหารให้โต๊ะที่ว่างเพื่อความเป็นส่วนตัว ดีนรู้ว่าเทพเจ้าของโต๊ะและบุตรในบ้านก็ไม่เคร่งเรื่องแบบนี้ด้วยเช่นกัน
“ดีจังที่อย่างน้อยมื้อสุดท้ายก่อนออกเดินทางเป็นของโปรด ฉันจะกินตุนไว้เยอะ ๆ สำหรับสิบวันเลย”
ดีนพูดจ้อแล้วจิ้มไก่ทอดกรอบเข้าปาก แทบไม่มีอาการวิตกปรากฏออกมาให้เห็น ทั้งที่ในใจค่อนข้างกังวลเรื่องการเดินทางที่กำลังจะมาถึง เพราะว่ามันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
@Mackenzie
“ฉันก็อยากหาข้ออ้างไม่ไปด้วยการปวดท้องอยู่เหมือนกัน”
ชายหนุ่มขำแห้ง หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเขาคงอ้างอยู่หรอก แต่ถ้าหากต้องแลกกับชีวิตชาวเมืองนิวยอร์กกว่าเก้าล้านชีวิต ต่อให้จู๊ด ๆ ตลอดการเดินทางเขาก็ต้องไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของคนตรงหน้า แมคเคนซีเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่เขาจะไม่ยอมเสียอีกฝ่ายไปเด็ดขาด
“นานมากเลย ฉันหวังว่าจะไม่เกินนั้นนะ..”
คิดแล้วก็อดเป็นกังวลไม่ได้ ทั้งต้องเข้าไปที่คาสิโนโลตัสและหลงลืมตัวตนและวันเวลา ไหนจะต้องต่อสู้กับบุตรแห่งความโป้ปด และอสุรกายในผนึกนั่นอีก มีแต่เรื่องยาก ๆ ทั้งนั้น เขาจะเอาตรีศูลไปคืนพ่อทันก่อนวันครีษมายันหรือเปล่า
“คิดว่าพร้อมนะ เสกฟองอากาศก็ทำได้ดีขึ้น แถมยังได้พรควบคุมน้ำมาเพิ่มด้วย..”
ปลายนิ้ววาดกลางอากาศจากนั้นโคล่าในแก้วก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นมารวมกันเป็นรูปร่างของโลมาบูด ๆ เบี้ยว ๆ จากนั้นก็หล่นจ๋อมลงไปในแก้วน้ำเหมือนเดิม
“ข้าวของก็จัดกระเป๋ารอไว้แล้ว แต่สำหรับฉันไม่ว่าจะมีเวลาเท่าไรมันก็ไม่พอเลย”
@Mackenzie
“พลังของเด็กบ้านเฮคาทีวาร์ปได้ด้วยเหรอ? ถ้างั้นก็เอา!”
ดีนรีบตอบรับ ความจริงหากว่าแมคเคนซีคุ้นเคยกับการต่อสู้ในโลกแห่งทวยเทพสักหน่อยเขาคงจะชวนอีกฝ่ายเป็นคนแรกอย่างไม่ลังเล แต่ภารกิจครั้งนี้ค่อนข้างยาก เขากลัวว่าจะพาอีกฝ่ายไปบาดเจ็บสาหัสเหมือนที่ปารีสอีก
“ใช่ แต่เรื่องเตรียมตัวก็ด้วยแหล่ะ ถ้าฉันมีเวลาฝึกฝนการใช้พลังมากกว่านี้อาจจะทำอะไรได้มากกว่านี้ก็ได้”
แค่สร้างโลมาตัวเล็ก ๆ ยังใช้พลังงานตั้งเยอะ เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถควบคุมน้ำได้ดีแค่ไหน แต่พลังนี้จำเป็นต้องมีน้ำอยู่ใกล้ ๆ เขาไม่สามารถรีดน้ำออกจากอากาศมาได้ บางทีอาจต้องพกขวดน้ำติดตัวไว้ตลอดเวลา
@Mackenzie
“งั้นรีบกลับไปถามเลย แล้วถ้านายวาร์ปได้ล่ะก็” ดีนยื่นหน้าเขาไปกระซิบบอกเพื่อนหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม “วาร์ปเข้ามาที่ห้องนอนฉันคืนนี้เลย เดี๋ยวล็อคประตูรอไว้ น้องเข้ามาไม่ได้แน่ ๆ”
จากนั้นก็ขยิบตาแล้วกลับมานั่งหลังตรงทานดีฟฟรายในจานต่อ สีหน้าดูจะมีความสุขมาก ๆ เมื่อเขาได้ทานคารามารี หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า ‘หมึกชุบแป้งทอด’
“ไม่รู้ว่าความเร็วจะเอาอยู่ไหมถ้าต้องสู้กับอสุรกายตัวใหญ่เท่าก็อตซิลล่า”
ดีนก็แค่เปรียบเปรยให้ฟังถึงความต่างของขนาดตัว แต่กระนั้นเขาก็ไม่ตัดชื่อ ‘ก็อตซิลล่า’ ออกจากรายนามของสัตว์ประหลาดยักษ์ใต้ทะเลลึกที่ต้องเผชิญหน้า
“ฉันมีพลังน้ำเยียวยาอยู่ ถ้าสู้กันในน้ำฉันคงไม่ตายง่าย ๆ”
พูดจบก็จิ้มคารามารีเข้าปากทานอีกคำ เคี้ยวตุ้ย ๆ จนแก้มป่องเหมือนกับชิปมังค์อมวอลนัท
@Mackenzie
“ถ้าใช้ผ้าคลุมล่องหนสงสัยว่ายังล็อคห้องไม่ได้แล้วสิ”
ดีนหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางเขินอายนั่น ก่อนหน้าจะมาค่ายเขาถูกอีกฝ่ายรุกเอา ๆ พอมาเห็นท่าทีแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนได้เอาคืนแล้วชนะแปลก ๆ
“ไม่รู้เลยว่าเป็นตัวอะไร แต่มันถูกผนึกเอาไว้เลยคิดว่าน่าจะไม่ใช่ธรรมดา”
คิดแล้วก็เครียดจนเผลอถอนหายใจออกมา แต่กินไก่ทอดอร่อย ๆ ดีกว่าจะได้อารมณ์ดีขึ้นมาได้หน่อยนึง
“ฉันไม่ยอมตายหรอก ต่อให้ถูกมันงาบลงท้องเข้าไปแบบโมบิดิกก็จะออกมาให้ได้เหมือนพินอคคิโอ”
@Mackenzie
“ก็คงเป็นอสุรกายที่ดุมาก ๆ จนต้องล่ามโซ่เอาไว้ ฉันต้องเลือกระหว่างความโกรธของพ่อกับต่อสู้กับไอ้ตัวนั้น เหมือนคำทำนายมันล็อคเอาไว้เลยว่าจะต้องสู้กับสัตว์ประหลาดไม่งั้นนิวยอร์กโดนถล่มแน่ มันจะมีสักทางที่จะฝืนชะตาชีวิตได้ไหมนะ”
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกทางจมูกแรง ๆ เขาบ่นเป็นหมีกินผึ้งไม่ต่างอะไรจากวันแรก ๆ ที่เขาคุยกับแมคเคนซีเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเป็นเวอร์ชั่นที่ซึมกว่านี้มาก
แล้วคำพูดของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาหัวเราะออกมาได้นิดหน่อย
“แน่ใจนะว่าเอาจมูกแทงแล้วจะออกมาเท่ ๆ ได้ ฉันต้องโกหกจนจมูกยาวแบบพินอคคิโอก่อนหรือเปล่า”
@Mackenzie
“กรรมของคนเป็นลูกล่ะมั้ง ถ้าฉันไม่ทำภารกิจนี้พ่อต้องโดนประณามแน่ ๆ”
ใจนึงดีนก็คิดว่าสาสมแล้วถ้าหากจะโดนประณาม แต่ในเหตุการณ์นี้เทพโพไซดอนเองก็เป็นเหยื่อ และการที่ตรีศูลถูกขโมยไปแบบนี้ทำให้ท้องทะเลปั่นป่วนโดยไม่ต้องพึ่งพาความโกรธของคนเป็นพ่อ หลังจากที่คำทำนายออกมาคนที่ถูกถกเถียงกันมากที่สุดก็คือ ‘บุตรแห่งเทพโป้ปด’ ซึ่งคนส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่าคือเทพโดลอส
“ขอแบบเท่ ๆ แต่ถ้าเลือกได้ไม่ขอถูกกินเลยจะดีกว่า ฉันโกหกใครไม่เก่งหรอก นายก็รู้”
คำว่า ‘โกหกใครไม่เก่ง’ นี่แหล่ะคือการโกหกคำโต ช่วงที่ดีนมาอยู่ค่ายแล้วแมคเคนซียังอยู่ในตัวเมืองเขาก็ทำงามหน้าน้อยเสียที่ไหน อะไรคือไปช่วยงานไร่สตรอว์เบอร์รี่ของญาติที่บ้านนอก
พออีกฝ่ายทานอาหารเขาก็สังเกตเห็นบางอย่างติดอยู่บนมุมปากด้านขวาของอีกคน
“แมคซี่ มีอะไรติดปากไม่รู้”
@Mackenzie
“ลูกที่ดีเหรอ? ฉันว่าไม่หรอก พ่อฉัน ๆ ด่าได้คนเดียว” ดีนตอบก่อนจะวางช้อนส้อมในมือลง
“ยังเลย มานี่ เดี๋ยวฉันเช็ดให้” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปด้านหน้าก่อนที่จะใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเหนือริมฝีปากขวาของอีกฝ่าย “อ้าว ไม่ออกแฮะ เป็นไฝหรอกเหรอเนี่ย”
พูดจบก็หัวเราะปร๋อแล้วยื่นมือกลับมากุมช้อนส้อมแล้วทานอาหารต่อ
@Mackenzie
“ควรจะดีใจแหล่ะที่ฉันรักพ่อขนาดนั้น” ปล่อยให้อีกฝ่ายหยิบเฟรนฟรายทานโดยไม่โต้แย้งเพราะในจานยังมีอีกหลายชิ้น
“จำได้ แค่ลองโกหกดูเฉย ๆ” ดีนขยิบตา ถ้าอีกฝ่ายหวังจะให้เขิน ไม่มีอาการนั้นเลยสักนิด
@Mackenzie
“มี ในทีมมีด้วยกันสามคน ฉันกับไบร์ทเป็นบุตรโพไซดอน ส่วนอีกคนคือเดมี่เด็กบ้านอะโฟรไดท์ ฉันคัดมาแล้วทีมนี้แหล่ะอเวนเจอร์ส” ว่าแล้วก็เพิ่งนึกออก “ฉันเคยเล่าเรื่องไบร์ทให้นายฟังหรือเปล่านะ? เป็นพี่สาวที่มาใหม่ แต่ว่าเธอแก่กว่าฉันแค่ไม่กี่เดือนก็เลยรู้สึกแปลก ๆ ถ้าฉันจะทำตัวเป็นน้องชายที่น่ารัก”
ดีนยกโคล่าขึ้นดื่มแก้ฝืดคอหลังจากที่ท่านอาหารมาแล้วค่อนจาน แล้วก็รู้เลยว่าตัวเองตักมาเยอะเกินไปจริง ๆ ด้วย
“นายจะบอกว่าเดี๋ยวฉันจะกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะสินะ” เขาหัวเราะ “ถ้าฉันบอกว่ามีอะไรติดปากนายอีกทีก็จะไม่เชื่อฉันแล้วเหรอ?”
@Mackenzie
“ยี่สิบสามเท่ากันกับฉัน เธอแก่เดือนน่ะ หือ?” แล้วจู่ ๆ มือข้างซ้ายก็ถูกดึงไปนาบกับแก้มของอีกฝ่าย ดีนได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ “นั่นไฝนายนะ จะให้ฉันเอาออกได้ยังไง ไม่ใช่หมอคลินิกสักหน่อย”
ดีนหัวเราะอีกครั้ง มือข้างขวาวางช้อนลง ขยับไปยีผมอีกฝ่ายแทน
“หรือเป็นการอ้อนให้ฉันไม่ไป?”
@Mackenzie
“ก็ใช่แหล่ะ…”
ดีนทำได้แค่ยิ้มเจื่อน ๆ เพราะภารกิจที่ต้องไปทำเป็นไฟลท์บังคับไม่ว่าเขาจะไม่เต็มใจในหลาย ๆ เรื่องสักแค่ไหน คงดีกว่าตอนเพอร์ซี่หน่อยมั้งกรณีของอีกฝ่ายยากกว่า แต่ตอนนั้นพี่ชายก็อายุน้อยกว่าดีนในตอนนี้เป็นสิบปี
“ฉันจะรีบกลับมา อยากให้มีภารกิจสบาย ๆ เที่ยวยุโรปหรือเอเซียเหมือนอย่างตอนที่เทพอะโฟรไดท์หาอาสาสมัครกวาดล้างก็อบลินจัง”
@Mackenzie
“หวังว่าจะเป็นงั้นนะ ไม่ใช่ว่ายากขึ้นไปเรื่อย ๆ”
ความจริงแล้วภารกิจมีทั้งยากและง่ายสลับกันไป อย่างภารกิจแรกที่สุดที่เขารับมาคือการช่วยเหลือผู้ที่ตกค้างอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมืองเปอร์โตแปงซ์โดยการสาปแช่งของเทพีเฮคาที จากนั้นภารกิจต่อมาก็ไม่มีอะไรที่ยากสำหรับดีนอีกต่อไป อาจเว้นการสอบวัดระดับที่ต้องต่อสู้กับราชสีห์ฯ เพราะมันทำร้ายจิตใจเหลือเกิน
ดีนมองอาหารในจานหลังจากที่ถูกแมคเคนซีทัก
“ไม่หมดแหงม ไม่อยากให้เป็นฟู้ดเวสต์เลยแฮะ เดี๋ยวฉันห่อไปเป็นอาหารเช้าของวันพรุ่งนี้ดีกว่า”
ชายหนุ่มเม้มปาก เดี๋ยวต้องไปขอถุงจากเจ๊ฮาร์ปี้ แล้วจากนั้นก็โดนด่าแหงม ๆ
@Mackenzie
“ไม่อยากฝึกฝนตัวเองสักหน่อย ไม่ใช่ว่าการมีชีวิตรอดในโลกนี้ได้คือทำอย่างไรให้รวยเหรอ?”
เพราะบ้านฐานะปานกลางมั้งจึงต้องดิ้นรน ถึงไปทำภารกิจจะได้เงินรางวัลมาก็เถอะแต่มันคุ้มแล้วเหรอกับการที่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงด้วยเงินเพียงเท่านี้ ถ้ามันไม่จำเป็นหรือไม่คุ้มค่าพออย่างทริปเที่ยวปารีสเขาก็ไม่ทำหรอก ไม่ได้อยากจะเป็นวีรบุรุษอย่างที่ใคร ๆ ต่างเยินยอกันอยู่แล้ว
“ไม่หรอกมั้ง ของทอดนี่ อีกอย่างอุณหภูมิหกสิบองศาฟาเรนไฮร์… อืม..สิบหกองศาเซลเซียส มันร้อนกว่าตู้เย็นไม่เท่าไร”
ลืมไปเลยว่าคนอังกฤษให้หน่วยเมตริกจึงต้องคำนวนใหม่อย่างรวดเร็ว
“แมคซี่ นายอิ่มหรือยัง หรือว่าเราจะยังอยากอยู่ด้วยกันอีกหน่อย” เอื้อมมือไปกุมหลังมืออีกฝ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ
@Mackenzie
“นายพูดเหมือนคุณไครอนเป๊ะเลย ฉันยังไม่รู้เลยว่าออกจากค่ายแล้วจะทำไงต่อ หวังว่าตัวฉันตอนอายุสามสิบจะยังหางานได้อยู่นะ”
ต้องเริ่มต้นหาเงินตอนอายุสามสิบเหรอเนี่ย สงสัยฝันที่จะได้ออกไปเที่ยวรอบโลกคงต้องรอถึงวัยเกษียณ แย่จริง ตอนนั้นจะยังมีผมเหลืออยู่บนหัวสักเส้นหรือเปล่านะ
“นั่นสิ แต่ว่าอุ่นยังไงดี หรือว่าฉันจะยืมหม้ออบรมร้อนเจ๊ฮาร์ปี้ไปด้วยดี?”
ดีนเลือกจิ้มของทอดที่ตัวเองชอบเข้าปากโดยเหลือเก็บไว้น้อยที่สุด น่าเสียดายหากว่าทานพรุ่งนี้มันคงเหี่ยวไม่ก็แข็งกระด้างไปหมดจนไม่อร่อย ถึงจะเป็นฝีมือแม่ครัวค่ายฮาล์ฟบลัดก็เถอะ แต่เขามั่นใจว่าฮาร์ปี้ไม่มีมนตราคงสภาพอาหารไว้หรอก
“งั้นนั่งกันต่ออีกหน่อยแล้วกันนะ” เขามองเข้าไปในดวงตาสีฮาเซลจากนั้นก็ยิ้มให้ พยายามจดจำใบหน้าของชายตรงหน้าเอาไว้เยอะ ๆ เผื่อว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก
@Mackenzie
เห็นการสวมรอยเป็นไครอนตรงนั้นดีนก็ขำก๊าก
“เอาถึงขนาดนั้นเลยเหรอ น่าจะไม่ นายต้องรับปัญหาเยอะแยะเลยถ้าจะเทียบกับคุณไครอน แต่ฉันคิดว่านายเป็นที่ปรึกษาบ้านเฮคาทีได้นะ เป็นพี่ใหญ่สุดเลยนี่นา”
แถมเด็ก ๆ บ้านนั้นยังชื่นชมพี่ชายของพวกเขาอย่างออกนอกหน้า ถ้าแมคเคนซีได้เป็นที่ปรึกษาต้องได้รับความไว้วางใจอย่างแน่นอน
“ฉันคิดว่าพวกแรคคูนนิวยอร์กน่าจะกลัวฉันแล้วล่ะ เคยได้ยินเขาเมาท์กันว่าพวกอสุรกายเลเวลต่ำจะวิ่งหนีเดมิก็อดไปเอง ฉันอาจจะต้องคอยวิ่งหนีรถเบครแตกแทน”
ที่ดีนกล่าวหมายถึงมิโนทอร์ พวกมันชอบแปลงเป็นอะไรใหญ่ ๆ เสียด้วย
“เรื่องกินก็สำคัญนี่นา” ดีนหัวเราะ แต่ถ้าใช้อุ่นของทอดที่เหลือคงเพียงแค่มื้อเดียว “งั้นเอาเป็นว่าฉันฝากเจ๊ฮาร์ปี้ไว้ก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ค่อยฝากให้เจ๊แกอุ่นให้”
จากคำพูดของแมคเคนซีทำเอาดีนชะงักไปเล็กน้อย
“ฉัน..” แล้วเขาก็เลือกที่จะบอกความจริงไปแค่ครึ่งเดียว “ฉันคิดว่าคงคิดถึงเพื่อนแย่ ถึงเราจะใช้เครือข่ายไอริสวีดีโอคอลหากันได้แต่สัญญาณมันห่วยบรม”
@Mackenzie
“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่ามาจากการโหวต ตอนนั้นฉันอยู่คนเดียวก็เลยได้เป็นน่ะ ส่วนของนายถ้ามีเปิดโหวตอีกฉันคิดว่าเด็กสองคนนั่นต้องรุมโหวตนายแน่ ๆ”
“คงงั้น.. อีกเจ็ดปีน่ะ เจรี่บอกว่าเขาฝึกในค่ายตั้งหกปี ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็เฉียด ๆ สามสิบพอดีเลย”
ชายหนุ่มหยิบเฟรนฟรายชิ้นสุดท้ายในจานเข้าปาก ตอนนี้เหลือพวกไก่ทอด นักเก็ตต่าง ๆ แต่ดีนคิดว่าเขาคงทานไม่หมดแล้ว จากนั้นก็ยกแก้วโคล่าขึ้นดื่มจนหมด
“งั้นให้นายรับกรรมแทน” ดีนหัวเราะ “ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะโทรหานายทุกวันเลย อ้อ.. แต่ฉันต้องแอบคุยในที่ ๆ ไม่มีคนธรรมดาอยู่น่ะ ถ้าเห็นวิวแปลก ๆ ก็อย่าตกใจล่ะ คงได้คุยกันแค่ตอนเข้าส้วม”
@Mackenzie
“นายซื้อเสียงนี่นา!” ซื้อเสียงที่ไม่ให้โหวต…
“ใช่ แต่กว่าที่เจรี่จะถูกพ่อรับรองก็นานเป็นปี ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมถึงนานขนาดนั้น”
ถ้าจะบอกว่าอีกฝ่ายไม่มีผลงานให้เทพพอใจเขาก็น่าจะไม่มีมากกว่า แต่ดีนได้รับการรับรองทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในบ้านใหญ่เลยด้วยซ้ำ คำตอบมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ เมื่อสิบปีที่แล้วเทพโพไซดอนกำลังรักษาชีวิตลูกชายอีกคนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่…
“แต่ว่าฉันอยากคุยกับนายนี่นา แล้วก็ไม่อยากให้นายต้องรอฉันเก้อด้วย ถ้ามีพลังวิเศษอย่างอื่นที่ไม่ใช่เครื่องมือสื่อสารอันนั้นก็คงดีหรอก”
@Mackenzie
“ซื้อได้ไง ฉันไม่มีสิทธิ์โหวตหรอกน่า เหมือนว่าเขาจะโหวตกันในบ้าน บ้านใครบ้านมัน”
“ใช่ แบบนั้นเลย คุณไครอนบอกว่าเด็กบ้างคนต้องอยู่ที่บ้านเฮอร์มีสโดยไม่ได้การรับรองไปตลอดชีวิตด้วยนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเทพแต่ละองค์มีกฎเกณฑ์รับรองบุตรยังไงบ้าง ถ้าเกิดว่าเป็นลูกชังนี่แย่เลย แล้วของนายนี่นานไหมกว่าที่แม่นายจะโอเค”
แต่อย่างน้อยแมคเคนซีน่าจะเป็นลูกคนโปรดของเทพีเฮคาทีอยู่นะ เพราะว่านางเคยพูดกับเขา ‘ถ้านางฆ่าเขาแล้วคน ๆ นั้นจะเสียใจ’ คน ๆ นั้นที่นางพูดถึงจะหมายความว่าเป็นแมคเคนซีหรือเปล่า
‘ให้ตายสิ เธอแอบดูฉากไหนไปวะ!?’
คิดแล้วก็อดเขินไม่ได้จนตอนนี้หน้าเริ่มจะร้อนผ่าวขึ้นมานิดหน่อย
“จะได้หรือเปล่านะ ถ้าทำได้ฉันคิดว่าคงมีอะไรที่ดีกว่าเครื่องมือสื่อสารไอริสไปนานแล้ว”
@Mackenzie
“แล้วแต่พวกเขาสิ ฉันไม่เลือกวิธีขี้โกงหรอก แต่ฉันก็อยากเห็นนายเป็นพรีเฟ็คบ้านเฮคาทีอยู่นะ” ดีนขยิบตาให้ เอาตำแหน่งประธานบ้านในนิยายมาผูกซะเลย
“ใจร้ายสิ ใจร้ายมาก ๆ ตอนรู้เรื่องเจรี่ทำเอาฉันนอยด์แทนเขาไปหลายวันเลย ก็พยายามคิดนะว่าตอนนั้นพ่ออาจจะไม่ว่างเลยไม่รู้ว่ามีลูกมาที่ค่ายอะไรงี้..”
‘เดี๋ยวนะ สิบเอ็ดปีที่แล้วเหรอ?’
“โอ้ เชี่ย…”
ชายหนุ่มอุทานออกมาเมื่อคำนวนแล้วตรงกับเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ใช่การปกป้องลูกชายอีกคน ดีนยกมือขึ้นนวดขมับสีหน้าดูจะเครียดขึ้นมา
@Mackenzie
ดีนเงยหน้าขึ้นมองแมคเคนซี พยายามปั้นหน้ายิ้มให้แม้สีหน้าจะไม่ดีเท่าไร มือที่กุมอยู่ลูบหลังมืออีกฝ่ายเบา ๆ
“คือ.. ฉันนึกถึงเรื่องแย่ ๆ ของพ่อออกมาได้เรื่องนึงน่ะ เลยไม่อยากเล่าให้ใครฟัง โทษทีนะ เรื่องนี้ฉันคงต้องเก็บไว้เป็นความลับ เพราะว่าคนที่ด่าพ่อได้คือฉันแค่คนเดียว”
ถ้าเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นที่ญี่ปุ่นเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้วแมคเคนซีต้องเกลียดเทพโพไซดอนแน่ ๆ เหมือนกับที่เขาให้อีกฝ่ายรู้เรื่องที่เทพีเฮคาทีทำที่เฮติไม่ได้
เราสามารถเอาเยี่ยงบุพการีได้แต่ก็ไม่ควรเอาอย่างไปเสียทั้งหมด เขาคงเปลี่ยนนิสัยเจ้าชู้จนได้เรื่องของพ่อไม่ได้ จึงได้แต่ดูเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีไว้แล้วไม่ทำตามก็พอ
“ความผิดพลาดของพ่อ ฉันจะไม่ให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง”
@Mackenzie
“ขอบคุณนะแมคซี่ ที่ไม่บังคับให้ฉันต้องเล่า”
ดีนยิ้มให้
“แต่ว่าสิ่งที่ฉันควรทำตามพ่อคืออะไรกันนะ… คือ ฉันรู้ล่ะว่าเขารักฉันแล้วคอยช่วยเหลือฉันเสมอ แต่เรื่องแย่ ๆ ที่เขาทำ หาอ่านได้เยอะแยะตามตำนานกรีก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริง ฉันไม่อยากเป็นคนที่ร้ายกับคนทั้งโลกแต่ดีเฉพาะกับแค่คนของตัวเองหรอก มันพล็อตละครโรแมนติกน้ำเน่าเกิน เป็นไปได้ฉันก็อยากจะดีกับทุกคน หรืออย่างน้อยก็ไม่สร้างความลำบากให้ใคร”
@Mackenzie
“เป็นคนดีคือสิ่งที่อยากทำเหรอ ฉันอยากจะเป็นคนรวยที่ไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ไปทั้งชาติ อยากทำอะไรก็ทำ อยากซื้ออะไรก็ซื้อ แล้วก็ได้ไปเที่ยวรอบโลก ตอนที่ไปปารีสฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากเลย”
ดีนพลิกฝ่ามือหงายแล้วจับมือของแมคเคนซีเอาไว้แทน
“บทจะดีเขาก็ใจดีมากเลยแหล่ะ พ่อไม่เคยบอกให้ฉันต้องทำอะไรให้ ไม่เหมือนเทพบางองค์ที่คาดหวังว่าลูก ๆ ของเขาจะต้องเป็นวีรบุรุษ อืม.. ฉันก็แค่ได้ยินมาจากเด็กคนอื่น ๆ อ่ะนะ แบบบางคนต้องมีผลงานก่อนถึงจะถูกรับรอง”
@Mackenzie
“เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง.. ใครกันนะ?” ดีนพยายามนึกด้วยความรู้เกี่ยวกับปกรนัมกรีกที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ถ้าจำไม่ผิดเทพเฮอร์มีสมีหลายฉายา เทพแห่งข่าวสาร เทพแห่งการเดินทาง เทพแห่งการลักขโมย เทพแห่งการค้า “เฮอร์มีสนี่ใช่หรือเปล่า?”
ไม่รู้ว่าใช่ไหม แต่อย่างน้อยดีนก็มีลายเซ็นของอีกฝ่ายที่เซ็นทับอยู่บนนิตยสารดารา
“แล้วแม่ของนายล่ะ ได้คุยกันหรือยัง?”
แอบอยากรู้เหมือนกันว่าเทพีเฮคาทีจะกล่าวอะไรถึงเขาไหม หรือจะมีคำสั่งว่า ‘เลิกคบกับไอ้หนุ่มนั่นซะ!’ หรือเปล่า
“เช้า ฉันวางแผนว่าจะขึ้นรถตอนแปดโมง คงต้องตื่นตีห้าครึ่ง.. มันเวลาตื่นของฉันอยู่แล้วล่ะ ติดแค่ว่าคืนนี้จะนอนหลับไหม”
@Mackenzie
“ห้องสมุด?”
ชายหนุ่มเอียงคอพลางยิ้มค้าง เขาอยู่ที่ค่ายมาตั้งนานแต่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย แล้วคือที่ไปหาข้อมูลของอสุรกายในเน็ตที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเรื่องแต่งคืออะไร…
เหนือกว่านั้นคือที่แมคเคนซีพูดว่า ‘ทำใจให้ตัวเองยืนคุยกับรูปปั้นนานสองนานไม่ได้’ ตัดภาพไปทางดีนที่ทั้งคุยกับรูปปั้นและกองไฟบูชาเทพอยู่นานสองนาน…
“นายคงยังไม่เชื่อด้วยใช่ไหมว่าเทพีเฮคาทีเป็นแม่นาย?”
ดีนเชื่อว่าเหตุผลนี้อาจจะมากกว่า เพราะตอนที่เขามาค่ายแรก ๆ ก็แทบไม่เชื่ออะไรเลยจนกระทั่งเจ้าสมุทรปรากฏตัวในร่างมนุษย์แล้วโชว์ความอภินิหาริย์ให้เขาดูเต็ม ๆ ตา
“สิ่งที่จะทำให้ฉันสบายใจก่อนเดินทางคือได้นอนกอดตุ๊กตาหมีไปทั้งคืนอ่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากพร้อมกับช้อนตามองดวงตาสีฮาเซล
@Mackenzie
“เอ่อ.. ไม่รู้ ถึงจะสำรวจมาจนทั่วแต่ว่าฉันก็ไม่ได้ไปทุกที่ บางทีอาจจะมีก็ได้มั้ง ที่นี่ก็เหมือนกับโรงเรียนนี่นา”
เวรเอ๊ย! อยากจะด่าตัวเองที่เพิ่งมาคิดได้ ค่ายที่เต็มไปด้วยเด็กคล้ายกับโรงเรียนที่สอนวิชาความรู้จะไม่มีห้องสมุดได้ไง! สงสัยว่าเขาจะคิดถึงแต่ห้องสมุดดิจิตัลมากไปจนหลงลืมอะไรที่เป็นกระดาษ
“ถ้ายังไงนายลองติดต่อกับแม่ดูบ้าง ถึงว่าเธอจะไม่ได้เลี้ยงดูนายมาก็เถอะ แต่ความสัมพันธ์ที่ดีมันสร้างขึ้นมาจากตรงนี้ได้นะ”
สำหรับคนที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่อบอุ่นและไม่มีส่วนใดเลยที่รู้สึกบกพร่องทำให้เขาอาจจะเผลอมองด้านเดียวก็ได้ ดีนไม่รู้ว่าแมคเคนซีคิดอย่างไรกับแม่ตัวเอง จะน้อยใจหรือโกรธแค้นอะไรหรือเปล่าที่ตลอดช่วงเวลายี่สิบปีที่ผ่านมาแมคเคนซีไม่มีแม่อยู่ในชีวิตเลย ถึงจะไม่รักกันเหมือนกับเขาและพ่อ แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเกลียดชังมารดา ไม่จำเป็นต้องสนิทแต่มากกว่าสถานะของคนรู้จักก็ยังดี
ใช่ว่าดีนเป็นพวกซาบซึ้งในพระคุณที่ทำให้เกิดมาอะไรหรอก แต่สถาบันครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยหล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขอย่างทุกวันนี้ มีความสุขก็แชร์เรื่องราว เศร้าหมองก็ขอกำลังใจ ครอบครัวมีไว้เพื่อการนั้น
“โอเค งั้นคืนนี้ฉันจะไปห้องนายแบบไม่ย่อง ไม่ใช้ผ้าคลุมล่องหนไปด้วย แต่ว่าขอไปเก็บของที่บ้านก่อนได้ไหม แบบว่าฉันไม่อยากจะทำตัวล่ก ๆ ตอนเช้าก่อนวันทำภารกิจสำคัญน่ะ”
สำคัญที่สุดคือการตอบคำถามน้องสาวคนเล็กที่น่าจะถามว่า ‘เมื่อคืนพี่ไปไหนมา’
@Mackenzie
“เหรอ งั้นก็ดีไป การมีพ่อแม่เป็นเทพมันไม่ง่าย คงมีเทพที่เฟรนลี่อย่างคุณดีไม่เยอะ บางทีพวกเขาก็อาจจะติดอีโก้มากไปหน่อยเลยไม่ยอมมาคุยกับลูกก่อน บางทีอาจจะต้องตามตื๊อบ่อย ๆ หน่อย”
แต่ถึงจะพูดแบบนั้นต่อให้เป็นดีนก็ใช่ว่าเขาจะยอมทำ อาจจะถวายของไปในครั้งแรกแต่ถ้าเงียบกริบไร้สัญญาณตอบกลับคงวางเทพผู้ให้กำเนิดอยู่ในตำแหน่งพ่อแม่ที่ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอแทน
“โอเค ๆ ฉันอยากกอดตุ๊กตาหมีแล้ว งั้นเดี๋ยวนายไปเก็บห้องรก ๆ ของนายแล้วฉันจะตามไปหานะที่รัก”
พูดแซวแมคเคนซีไปอย่างนั้น ดีนเคยไปห้องของอีกฝ่ายสมัยอยู่นิวยอร์กมาแล้ว และมันก็ค่อนข้างจะสะอาดเลยทีเดียวสำหรับชายหนุ่มผู้อยู่ตัวคนเดียว
@Mackenzie
“ก็แฟนนายไม่ได้เป็นเทพนี่ แล้วเขาก็อยากได้นายกันจะแย่หรือเปล่า” ถ้านั่งแถวเดียวกันเขาคงจะกระทุ้งศอกใส่อีกฝ่ายเบา ๆ ไปแล้ว เลยได้แต่เขี่ยนิ้วไปที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายแทน
“อืม เอางั้นก็ได้ ฉันจะต้องเอาอาหารเหลือพวกนี้ไปอ้อนวอนเจ๊ฮาร์ปี้ด้วย” มองชนิทเซลไก่ที่เหลือชิ้นเบ้อเร่อแล้วถอนหายใจ มันไม่ใช่อาหารเหลือน้อย ๆ เลยอาจจะโดนมากกว่าด่า
“ภาวนาให้ฉันไม่ถูกเจ๊ฮาร์ปี้ฆ่าตายก่อนไปทำภารกิจที” ปล่อยมือกับแมคเคนซีที่คลายมือออก จากนั้นก็จับถาดอาหารแล้วลุกขึ้นยืน
@Mackenzie
“เอ่อ…”
หรี่ตามองคนกระซิบบอก บ้าจริง! ถ้าไม่อยากได้คงไม่บอกว่าอยากกอดตุ๊กตาหมีหรอก! แต่จากคำพูดของแมคเคนซีก็ทำให้ดีนหน้าแดงขึ้นมาได้ในรอบอาทิตย์ที่เขามักจะหน้าหนาไม่สะทกสะท้านอยู่ตลอด
“ไอ้คนใจร้ายเอ๊ย!”
ดีนตะโกนไล่หลัง ‘เพื่อน’ ที่ทิ้งให้เขาต้องเผชิญชะตากรรมเพียงลำพังกับแม่ครัวจากเฮลส์คิทเช่นเรสเตอรอง ชายหนุ่มมองอาหารเหลือในจานแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะไปเผชิญหน้ากับอสุรกายเลเวล 999 แล้วก็โดนบ่นจนหูชา…

สำเร็จภารกิจ: โกหกเป็นสิ่งสวยงาม
รางวัล: 35 EXP , +8 ดรักม่า (โรลเพลย์กับผู้เล่น), +20 กล้าหาญ , +30 ศรัทธา , -30 เกียรติยศ ความโปรดปรานจากโดลอส +35 แต้ม
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+25
---------------------------------------------------- รับประทานอาหารประจำวัน
รับรู้ข่าวลือ: คำพยากรณ์เทพอะพอลโล่รถหาย (EXP+10)
|