AROUND THE WORLD TRIP WHITE KIM - 11
เมื่อรุ่งสางมาเยือนท้องฟ้าดูไบด้วยแสงแรกของวัน เมืองนี้ยังคงอวลไปด้วยอากาศเย็นสบาย ไนมีเรียกับคิมเบอร์ลีย์เริ่มต้นวันของพวกเธอในย่าน อัล ฟาฮิดี ย่านประวัติศาสตร์ที่เงียบสงบ แม้ว่าความวุ่นวายในใจกลางเมืองจะเริ่มคืบคลานเข้ามา หญิงสาวสองคนเดินไปตามตรอกแคบ ๆ ที่ประดับด้วยอาคารดินโบราณ หอระบายอากาศสูงเด่นเป็นเอกลักษณ์ แสงอาทิตย์สาดกระทบบ้านเรือนเหล่านี้ ทำให้เห็นเงาตัดอ่อนโยนของสถาปัตยกรรมท้องถิ่น
ไนมีเรียจับจ้องหอระบายอากาศด้วยความสนใจ เธอเอ่ยกับคิมเบอร์ลีย์ด้วยเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความชื่นชม
“นี่คือวิศวกรรมที่เรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพ พวกเขาใช้มันระบายความร้อนในฤดูร้อน...”
คิมเบอร์ลีย์ยิ้มและหัวเราะเบา ๆ “น่าทึ่งจริง ๆ พวกเขาสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาก่อนที่เราจะมีแอร์คอนดิชันเสียอีก”
หลังจากเดินชมอาคารบ้านเรือน พวกเธอก็หยุดพักในร้านกาแฟเล็ก ๆ กลิ่นกาแฟอาหรับหอมกรุ่นอบอวลในอากาศ ขนมบักลาวาเสิร์ฟพร้อมถ้วยชาเล็ก ๆ เติมเต็มช่วงเวลานี้ให้สมบูรณ์แบบ ไนมีเรียยกแก้วชาขึ้นจิบ รสขมละมุนที่ตัดกับความหวานของขนม ทำให้เธอเผลอยิ้มบางออกมา
เมื่อเข็มนาฬิกาเดินมาถึง 11 โมง พวกเธอก็เดินทางไปยัง ดูไบครีก น้ำใสสะท้อนเงาฟากฟ้าและอาคารสองฝั่งเป็นภาพที่ชวนหลงใหล ไนมีเรียและคิมเบอร์ลีย์เลือกนั่งท้ายเรืออับรา เรือไม้เก่าแก่ที่แล่นข้ามครีกเป็นเวลาหลายร้อยปี
ลมเย็นพัดโชยปลิวผ่านเส้นผมบลอนด์ยาวของไนมีเรีย เธอหันไปมองคิมเบอร์ลีย์ที่กำลังเพลิดเพลินกับวิวตลาดน้ำที่ตัดกับตึกระฟ้า
“ดูเหมือนเราจะอยู่ระหว่างสองโลก โลกเก่าและโลกใหม่” เด็กสาวกล่าว สายตาจับจ้องไปที่ขอบฟ้า
“ใช่แล้ว” คิมเบอร์ลีย์ตอบ พลางหยิบกล้องขึ้นถ่ายรูป “แต่ทั้งสองอย่างนี้ทำให้ดูไบมีเสน่ห์”
บ่ายวันนั้นทั้งคู่มุ่งหน้าสู่ ตลาดทองคำและเครื่องเทศ เสียงจอแจของผู้คนและกลิ่นเครื่องเทศที่อบอวลเป็นสิ่งที่ต้อนรับพวกเธอเข้าสู่ดินแดนการค้าโบราณ แสงจากร้านทองส่องประกายระยิบระยับสะท้อนกับกำแพง คิมเบอร์ลีย์แทบจะหยุดที่หน้าร้านทุกแห่ง ไนมีเรียเดินตามเธอไปอย่างอดทน แต่ในใจกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่มีชีวิตชีวานี้
ไนมีเรียเลือกซื้ออินทผลัมหวานฉ่ำติดมือไว้เธอตั้งใจจะเอาไปฝากคุณดีและคนในค่าย พร้อมแซฟฟรอนถุงเล็ก ๆ ที่แม่ค้ากำลังชั่งน้ำหนักด้วยความประณีต คิมเบอร์ลีย์หันมายิ้มให้เธอและยื่นชาให้ชิม
“รสนี้น่าสนใจใช่ไหม?” คิมเบอร์ลีย์ถาม
“เหมือนดื่มโอเอซิสในทะเลทราย...” ไนมีเรียตอบพร้อมหัวเราะร่า
หลังเดินเที่ยวในตลาด พวกเธอแวะรับประทานอาหารที่ Al Fanar Restaurant & Café บรรยากาศย้อนยุคของร้านนี้ชวนให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในดูไบยุคแรกเริ่ม กลิ่นเครื่องเทศหอมอบอวลอยู่ในอากาศ ไนมีเรียนั่งลงและลองชิมมาชบุส ข้าวหุงหอมกรุ่นพร้อมเนื้อปรุงรสเผ็ดกลมกล่อม ในขณะที่คิมเบอร์ลีย์เพลิดเพลินกับขนมหวานลุกัยมัต ลูกกลมสีทองที่กรอบนอกนุ่มในและเคลือบน้ำผึ้งจนวาว
ช่วงบ่ายพวกเธอเดินทางต่อไปยัง พิพิธภัณฑ์ดูไบ และ ป้อมอัล ฟาฮิดี อาคารดินสีทรายแห่งนี้เล่าถึงอดีตของเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวการดำน้ำหาไข่มุกและการค้าขายข้ามทะเลทราย ไนมีเรียเดินสำรวจห้องนิทรรศการ ดวงตาสีเฮเซลจับจ้องโมเดลเรือดำน้ำแบบโบราณ
“ลองจินตนาการดูสิ ต้องใช้ความกล้าขนาดไหนในการดำลงไปในทะเลลึก” เธอพูดขึ้นเบา ๆ
คิมเบอร์ลีย์พยักหน้า “หลายคนกลัวที่แคบต้องใช้มากกว่าความกล้าและต้องพึ่งโชคด้วย”
ช่วงเย็น พวกเธอจบวันด้วยการล่องเรือยอร์ชที่ ดูไบ มารีนา ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มระยิบระยับเมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน ความสงบสุขโรแมนติกนี้ทำให้ทั้งคู่ปล่อยใจไปกับบรรยากาศ ร่างของธิดาแห่งเฮคาทียืนพิงราวเรือ มองเส้นขอบฟ้าที่ตัดกับเส้นแสงไฟของเมือง คิมเบอร์ลีย์เดินเข้ามาหยุดข้าง ๆ และบอกเล่าความรู้สึกตลอดทั้งวัน
“วันนี้เหมือนฝันเลย ถ้าไม่มีเธอฉันคงทำคนเดียวไม่ได้”
“บางครั้งความฝันก็เกิดขึ้นได้จริงถ้าเรากล้าที่จะสร้างมันขึ้นมา”
ค่ำคืนของพวกเธอจบลงที่ Arabian Tea House ซึ่งประดับด้วยไฟสลัวอันอบอุ่น ไนมีเรียลองชิมซุปโชรวาและข้าวปลาย่างที่เสิร์ฟอย่างประณีต ในขณะที่คิมเบอร์ลีย์หลงใหลกับชาอาหรับที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ทั้งคู่ใช้เวลาพูดคุยถึงการผจญภัยในวันนี้และแลกเปลี่ยนภาพในกล้องของแต่ละคน ท่ามกลางเสียงกระซิบของลมยามค่ำคืนดูไบได้ฝากความทรงจำอันล้ำค่าไว้ในหัวใจของทั้งสอง
ไนมีเรียเดินเคียงข้างคิมเบอร์ลีย์ไปตามทางเดินของสนามบินดูไบ เสียงล้อกระเป๋าเดินทางลากผ่านพื้นเรียบเงาสะท้อนของไฟนีออน ทุกย่างก้าวสะท้อนถึงเวลาที่กำลังนับถอยหลังสู่การจากลา เจ้าของดวงตาสีเฮเซลเหลือบมองหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างกาย หญิงสาวผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยจมดิ่งอยู่ในความทุกข์เศร้า ตอนนี้กลับยืนหยัดด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยพลัง แม้ร่องรอยความเศร้าจะยังหลงเหลืออยู่แต่ก็มีประกายแห่งความหวังที่ส่องแสงเจิดจ้า
“ฉันยังจำไม่ได้เลยว่าเคยยิ้มได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” คิมเบอร์ลีย์พูดขึ้นเบา ๆ แต่กลับดังชัดในความเงียบของไนมีเรีย หญิงสาวยิ้มตอบ ไม่เอ่ยคำใดแต่เพียงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
บริเวณโถงผู้โดยสารขาออก ไนมีเรียและคิมเบอร์ลีย์เลือกนั่งรอเวลาบอร์ดดิ้งที่ม้านั่งใกล้หน้าต่างกระจกบานใหญ่ ทิวทัศน์ของสนามบินดูไบที่แสงไฟระยิบระยับในยามค่ำคืนมอบบรรยากาศอบอุ่นและสงบ
คิมเบอร์ลีย์หันมองไนมีเรียอย่างจริงจัง “ไนมีเรีย ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง” เสียงของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาของแม่หม้ายฉายแววซาบซึ้ง เธอยกมือขึ้นจับแขนร่างบางเบา ๆ ความอบอุ่นผ่านสัมผัสนั้นบอกแทนคำพูดอีกมากมาย
“คุณไม่ต้องขอบคุณฉัน ฉันแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ” ไนมีเรียตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ แต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน
“ไม่ใช่แค่สิ่งที่ควรทำ คุณช่วยให้ฉันมองเห็นว่า...แม้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม แต่ฉันก็ยังมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ คุณช่วยมอบความกล้าให้กับฉัน” คิมเบอร์ลีย์พูดขณะก้มมองภาพถ่ายในมือ ภาพที่ทั้งคู่ถ่ายไว้ร่วมกันตลอดการเดินทาง
เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารดังก้องไปทั่วสนามบิน คิมเบอร์ลีย์ลุกขึ้นยืน ไนมีเรียหยิบกระเป๋าของเธอช่วยถือส่งไปที่ประตูทางออก พวกเธอหยุดยืนตรงหน้าแถวตรวจบัตรผ่านขึ้นเครื่อง เสียงรอบข้างคล้ายเลือนหาย ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวใจที่เต้นชัดในความเงียบ
“ฉันหวังว่าคุณจะได้พบสิ่งที่คุณกำลังมองหา ไม่ว่าจะเป็นความสงบหรือความหมายใหม่ในชีวิต” ไนมีเรียกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยความจริงใจ
คิมเบอร์ลีย์ยิ้มพร้อมหยาดน้ำตาแห่งความปิติที่กลั้นไว้ไม่อยู่ เธอโอบกอดเด็กสาวแน่น สัมผัสนั้นอบอุ่นและเป็นความจริงใจที่ไม่ต้องการคำอธิบาย
“ฉันจะคิดถึงคุณ ไว้มาเที่ยวด้วยกันอีกนะ” คิมเบอร์ลีย์เอ่ยพร้อมปล่อยมือออกช้า ๆ ก่อนหันเดินเข้าไปยังประตูทางออก
เด็กสาวมองตามจนร่างของแม่หม้ายวัยกลางคนเลือนหายไปในฝูงชน ใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมผสาน ทั้งโล่งใจและเศร้าเล็กน้อยเมื่อการเดินทางร่วมกันมาถึงจุดสิ้นสุด หลังจากส่งคิมเบอร์ลีย์ขึ้นเครื่อง ไนมีเรียเดินกลับมายังที่พักของตนเองที่โรงแรมในตัวเมือง เธอนั่งลงบนเตียง เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็กในมือ ร่างบางค่อย ๆ เขียนบันทึกเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ ทุกสถานที่ ทุกบทสนทนา และทุกความรู้สึกถูกจรดลงด้วยลายมือที่ประณีต
เธอจ้องมองเหรียญทองเล็ก ๆ ที่เหลือจากการเผาส่งวิญญาณใต้ดินในอิสตันบูล มันเป็นเครื่องเตือนใจถึงการเผชิญหน้ากับโฉมหน้าของอดีตและคำสาปที่เธอยังไม่อาจลืมได้ “บางทีนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางใหม่ๆ สำหรับฉันด้วย”
หลังส่งคิมเบอร์ลีย์ขึ้นเครื่องกลับโปรตุเกสไปแล้ว ไนมีเรียยังคงเดินเล่นสำรวจเมืองด้วยความคิดที่ล่องลอย เด็กสาวตั้งใจจะกลับไปที่สถานีรถไฟเฮเฟสตัสในอีกไม่กี่ชั่วโมง แต่เสียงกระซิบของวิญญาณในแหวนจันทราทมิฬที่สวมอยู่บนมือเรียวนั้นทำให้เธอหยุดฝีเท้า
“ดูเหมือนมีบางอย่างผิดปกติใกล้ๆ กับสุสานนั่น ลองไปดูหน่อยไหม” คลาริสซ่าเตือน ร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอเหลือบมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ที่ทอดยาวไปสู่ย่านสุสานของนครดูไบ
บรรยากาศในย่านสุสานนั้นเต็มไปด้วยความสงบเงียบที่ผิดธรรมชาติ แม้จะเป็นยามบ่ายที่แสงอาทิตย์ยังคงส่องประกายอ่อน ๆ แต่ความรู้สึกวังเวงกลับปกคลุมทุกพื้นที่ เสียงนกร้องหายไป มีเพียงสายลมที่พัดผ่านพุ่มไม้แห้งกรอบให้ได้ยิน
ดวงตาสีเฮเซลของไนมีเรียจับจ้องไปยังมุมหนึ่งของสุสานที่ดินยังใหม่และหลวม มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น เธอหยุดชั่วขณะ สูดลมหายใจลึกก่อนก้าวเท้าเข้าไปช้า ๆ
“เจ้าตัวน่าแขยงนั่นคืออะไร”
เด็กสาวกระซิบกับวิญญาณในแหวน คลาริสซ่าตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “อัลกูล อสุรกายที่ชอบกินซากศพ…มันกำลังขุดหลุมศพของคนที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน”
ภาพเบื้องหน้าคือร่างสูงใหญ่ของอัลกูล มันมีรูปลักษณ์น่าสยดสยอง ผิวหนังสีคล้ำเหมือนดินตะกอนที่ขุดขึ้นมาจากหลุมลึก ดวงตาของมันเรืองแสงสีเหลืองหม่น ขณะที่กรงเล็บยาวแหลมกำลังขุดดินเพื่อคว้าซากศพขึ้นมา
“อี๋ นั่นมัน.. เป็นกิจกรรมที่ไม่ชวนอภิรมย์เอาเสียเลย” ไนมีเรียเอ่ยเสียงหนักแน่น เธอดึงหอกสัมฤทธิ์ออกจากที่สะพายหลัง พร้อมกับปืนที่เหน็บอยู่ที่สะโพก มือเรียวกำด้ามหอกแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นเป็นริ้วเล็ก ๆ
อัลกูลหันขวับเมื่อรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเธอ เสียงคำรามต่ำดังขึ้นจากลำคอของมัน มันหันหลังออกจากหลุมศพและพุ่งเข้าหาเด็กสาวในทันที การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วเกินกว่าที่ขนาดร่างกายมหึมาจะบอกเป็นนัย ไนมีเรียกระโดดถอยหลัง หลบกรงเล็บแหลมคมที่หวิดจะเฉือนเข้าที่ใบหน้า เธอหมุนตัวตั้งท่า มือหนึ่งชูหอกอีกมือจับปืนมั่น
“ระวังด้วยกรงเล็บของอัลกูลมีพิษจากศพ โดนเข้าคงยุ่งยากแน่” คลาริสซ่ากล่าวเตือน ร่างบางขยับเท้าเปลี่ยนมุม ดวงตาคู่ลึกลับจับจ้องอัลกูลอย่างพิจารณา
เธอเริ่มโจมตีด้วยปืน กระสุนสัมฤทธิ์พุ่งตรงไปยังร่างของอสุรกาย แต่เจ้าสัตว์ร้ายกลับหลบได้อย่างคล่องตัว เสียงหัวเราะเย้ยหยันต่ำ ๆ ดังขึ้นจากลำคอของมัน
“โอเค…อยากเล่นใกล้ ๆ ก็ได้” ไนมีเรียพูดเบา ๆ กับตัวเอง เธอสลับมาถือหอกเต็มมือและพุ่งเข้าใส่อัลกูล การปะทะระยะประชิดนั้นเสี่ยงเกินไปสำหรับมนุษย์ทั่วไป แต่สำหรับเดมิก็อดที่ฝึกฝนมาจากค่ายฮาล์ฟบลัด เธอไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบ
หอกของเธอปะทะกับกรงเล็บของมันเสียงโลหะกระทบกันดังสะท้าน มือที่จับหอกอัดแน่นด้วยแรงทั้งหมดหมุนตัวพลิ้วไหวราวกับสายลม พยายามโจมตีส่วนอ่อนแอของมันที่หน้าอก แต่เจ้าสัตว์ร้ายตอบโต้ด้วยแรงที่มากกว่า เธอหมุนหอกในมือ พลิกเปลี่ยนตำแหน่งร่างกายเพื่อดึงมันไปยังตำแหน่งที่เธอวางแผนไว้
อัลกูลคำรามอีกครั้ง มันพุ่งเข้าใส่เธออย่างบ้าคลั่ง คราวนี้เธอหลบหลีกได้อย่างแม่นยำ เธอกระโดดไปข้างหลัง แอ่นตัวขึ้น และเล็งหอกตรงไปยังร่างของมันหอกสัมฤทธิ์ปักเข้าที่หน้าอกของอัลกูล เสียงคำรามแหลมสูงดังสะท้านไปทั่วบริเวณ ไนมีเรียไม่ปล่อยให้มันมีโอกาสฟื้นตัว เธอหยิบปืนขึ้นมาอีกครั้งและยิงกระสุนสัมฤทธิ์เข้าไปที่หัวของมัน
เสียงของมันเงียบลงพร้อมกับร่างที่ทรุดตัวลงพื้น ไนมีเรียหอบหายใจอย่างแรง เหงื่อไหลลงมาตามกรอบหน้าแต่ดวงตาสีเฮเซลยังคงเฉียบคม เธอเก็บสินสงครามจากมันแล้วหันไปมองสภาพรอบตัว เด็กสาวเดินกลับไปยังหลุมศพที่อัลกูลขุดขึ้น เธอคุกเข่าลง กลบดินที่ถูกขุดด้วยมือเปล่า ท่ามกลางสายลมที่พัดแผ่วผ่าน
“ไม่ว่าพวกเขาจะเคยเป็นใคร ในชีวิตหลังความตายทุกสิ่งควรได้รับการพักผ่อนอย่างสงบ” เธอเอ่ยเบา ๆ กับตัวเองและคลาริสซ่า
เมื่อหลุมศพถูกกลบเรียบร้อย ไนมีเรียยืนขึ้น ปาดฝุ่นออกจากมือและเดินออกจากสุสานร่างอรชรลากกระเป๋าเดินทางไปยังสถานีรถไฟเฮเฟสตัสในดูไบ เส้นทางที่เธอจะใช้กลับอเมริกา เธอแหงนมองท้องฟ้าสีครามที่เริ่มจางเป็นสีส้มเมื่อแสงอาทิตย์แรกฉายผ่านตัวเมือง ตั๋วรถไฟหนึ่งเที่ยวหนึ่งที่นั่ง แต่มีเสียงของสองคนพูดคุยกันไปตลอดเส้นทาง

พิชิตครั้งแรก อัลกูล +2 ตื่นรู้
สินสงคราม: - ไขกระดูก เลขไบต์ 0-4
- เขี้ยวอัลกูล เลขไบต์ 5-9
- หาก LUK 30 และได้เลขไบต์ 2 , 6 , 9 จะดรอปทั้งสองอย่าง
แยกกับคิมเดินทางกลับนิวยอร์คด้วยรถไฟใต้ดินเฮเฟตัส
ค่าตั๋ว 20 กรักม่า 1 ที่
@God