AROUND THE WORLD TRIP WHITE KIM - 1
การเดินทางลัดทวีปด้วยพลังของเทพเจ้าทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะตั้งตัวได้ทัน ร่างบางของไนมีเรียปรากฏตัวขึ้นที่ลานหน้าบ้านหลังหนึ่งในลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ท่ามกลางเสียงลมพัดแผ่วเบาและกลิ่นไอทะเลที่ลอยมาจากระยะไกล คลื่นอากาศรอบตัวเธอยังหมุนวนเล็กน้อยจากแรงของการวาร์ปข้ามเขตแดน มือเรียวยกมือแตะขมับ สูดลมหายใจลึกเพื่อปรับตัวให้เข้ากับความรู้สึกที่ยังเวียนศีรษะเล็กน้อย
“นี่แหละสินะ ผลข้างเคียงของการดีดนิ้วแบบไม่เตือนล่วงหน้า” เธอบ่นกับตัวเองเบา ๆ
ข้างเธอคือคลาริสซ่า วิญญาณแม่มดผู้เป็นเพื่อนร่วมทางปรากฏตัวขึ้นในลักษณะโปร่งแสง ร่างโปร่งแสงของเธอดูสั่นไหวเล็กน้อยเหมือนเปลวเทียนในสายลมพร้อมบ่นอุบ "นานๆ ทีได้ไหม ฉันก็ไม่ได้ชอบวิธีการเดินทางแบบนี้เท่าไหร่หรอก"
เมื่อปรับสภาพได้แล้ว ไนมีเรียก็กวาดสายตามองบ้านที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า บ้านสีขาวขนาดกลาง มีสวนหน้าบ้านที่ถูกปล่อยให้รกเล็กน้อยเหมือนเจ้าของบ้านไม่ได้ดูแลมันเท่าไรในช่วงที่ผ่านมา หน้าต่างถูกปิดสนิท บรรยากาศรอบตัวชวนให้รู้สึกถึงความเงียบเหงาและความว่างเปล่าที่แทรกซึมอยู่ในอากาศ
"บ้านวอล์กเกอร์" ชื่อที่คุณดีบอกกับเธอก่อนจะดีดนิ้วส่งมา ร่างบางพยายามประเมินสถานการณ์ในหัว ก่อนจะนึกถึงคำร้องขอที่ได้รับมอบหมาย—ช่วยปลอบโยนคิมเบอร์ลีย์ วอล์กเกอร์ อดีตคนรักของคุณดี ผู้กำลังจมอยู่ในความโศกเศร้าจากการสูญเสียสามีที่รัก ตามมาด้วยลูกสาวตัวน้อย
“คิมเบอร์ลีย์...” ไนมีเรียพึมพำออกมาเบา ๆ เสียงของเธอแฝงไว้ด้วยความตั้งใจปนระแวดระวัง แม้เธอจะมีความมั่นใจในตัวเองมาก แต่การต้องแสดงตัวเป็นญาติของใครบางคนที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยก็ยังทำให้เธอรู้สึกกดดัน
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นแน่ใจหรือว่าเตรียมตัวมาดีแล้ว?” คลาริสซ่าถาม ดวงตาสีแดงเรืองแสงจับจ้องเด็กสาวอย่างพินิจพิเคราะห์
“พร้อมไม่พร้อมตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ขาก้าวขึ้นเวทีมาแล้วข้างหนึ่งให้ทำยังไง..” ไนมีเรียตอบพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าประตูบ้าน เธอยกมือขึ้นเคาะประตูสองครั้งก่อนจะกดกริ่ง เสียงกริ่งเบา ๆ ดังขึ้นสะท้อนในความเงียบรอบตัว เธอกระชับเสื้อคลุมให้เข้าที่ พยายามซ่อนความประหม่าไว้ใต้ใบหน้าที่สงบนิ่ง
ไม่นานนัก ประตูไม้สีขาวค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นร่างของคิมเบอร์ลีย์ วอล์กเกอร์ หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้าอ่อนโยนแต่ดูโรยรา เสื้อคาร์ดิแกนสีหม่นที่เธอสวมอยู่ยิ่งขับให้เธอดูเศร้าสร้อยมากขึ้น ดวงตาของคิมเบอร์ลีย์สบกับไนมีเรียอย่างสงสัย
“คุณนายวอล์กเกอร์?” ไนมีเรียถามน้ำเสียงสุภาพที่ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ
“ใช่ค่ะ” คิมเบอร์ลีย์ตอบเบา ๆ เสียงของเธอแผ่วเหมือนคนที่ไม่ได้พูดคุยกับใครมานาน “คุณเป็นใคร?”
“ฉันชื่อไนมีเรียค่ะ เป็นญาติของมาร์ค” เปลี่ยนตัวเองมาเป็นมุมเด็กสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ “หากว่าพอมีเวลา.. ฉันมีเรื่องอยากพูดคุยกับคุณสักเล็กน้อย”
เพียงแค่ได้ยินชื่อของมาร์ค ดวงตาของคิมเบอร์ลีย์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ความเศร้าหมองที่ล้นปรี่กลับถูกแทนที่ด้วยแววตาแห่งความทรงจำ เธอเปิดประตูออกกว้างขึ้น “เข้ามาสิคะ”
ผู้เป็นแขกเดินตามคิมเบอร์ลีย์เข้าไปในบ้าน ขณะที่คลาริสซ่าล่องลอยติดตามอยู่ห่าง ๆ แม้ร่างโปร่งแสงของเธอจะไร้เสียงฝีเท้า แต่เธอก็ไม่ละสายตาจากบรรยากาศที่แสนเงียบงันรอบตัว บรรยากาศภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นอายของความทรงจำ โต๊ะไม้กลางห้องยังวางแจกันดอกไม้แห้งที่คงเคยสดใสในวันที่ดีกว่านี้ กรอบรูปครอบครัวที่จัดวางไว้รอบห้องดูเหมือนจะพูดคุยเรื่องราวที่ไม่ต้องการคำอธิบายใด ๆ
จังหวะปรายสายตาสังเกตร้อมห้องโถงธิดาเฮคาทีก็ชะงักและหยุดยืนตรงนั้น สายตาของเธอกวาดมองไปยังภาพถ่ายของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังยิ้มกว้างในอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง ใบหน้าของมาร์ค—หรือที่เธอรู้จักในนามคุณดี—ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายเหล่านั้น แต่เป็นใบหน้าที่ดูเรียบง่ายและธรรมดาอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“พวกเขาดูมีความสุขนะคะ” ไนมีเรียเอ่ยขึ้น พลางชี้ไปที่ภาพถ่าย คิมเบอร์ลีย์ที่กำลังจัดเก้าอี้ให้เธอนั่งเงยหน้ามองไปที่ภาพถ่ายนั้นเช่นกัน
“ใช่ค่ะ...เขาเคยทำให้ทุกอย่างในชีวิตฉันดูสว่างไสว เราเคยมีความสุขกันในทุกวัน” คิมเบอร์ลีย์ตอบเบา ๆ รอยยิ้มบาง ๆ ที่ปนไปด้วยความเศร้าผุดขึ้นบนใบหน้าของเธอ
ไนมีเรียสูดลมหายใจลึก ก่อนจะยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเครื่องรางโอมาโมริออกมา “ฉันมาเพื่อส่งมอบสิ่งนี้ค่ะ มาร์คฝากฉันไว้นานแล้ว เขาบอกว่าคุณควรเก็บมันไว้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คิมเบอร์ลีย์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือมารับเครื่องรางนั้นไว้ในมือ ดวงตาของเธอสั่นไหว น้ำตาคลอขึ้นมาทันที “ผ่านไปนานขนาดนี้ที่แท้เขายัง...คิดถึงฉันอยู่หรือ?”
ไนมีเรียสบตากับอีกฝ่าย เธอรู้ว่าคำพูดต่อจากนี้จะต้องเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ “ค่ะ ฉันเชื่อว่าเขายังคิดถึงคุณแม้เขาอาจไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แต่ความรักและห่วงใยของเขายังคงอยู่รอบตัวคุณเสมอ”
คำพูดของเธอเหมือนกับคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง คิมเบอร์ลีย์ก้มหน้าลง น้ำตาของเธอกลั่นเป็นเม็ดใสพรุ่งพรูอย่างเงียบงัน ขณะที่มือนั้นกำเครื่องรางไว้แน่น ไนมีเรียมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งสงสาร เห็นใจ และภาคภูมิใจในความตั้งใจของตัวเองที่มีความกล้าพอจะช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้
คิมเบอร์ลีย์คือมารดาที่สูญเสียลูกสาว และเธอเองก็คือเด็กสาวผู้ไม่เคยมีแม่
ความเข้าอกเข้าใจจากจุดเล็กๆ กลายเป็นความปรารถนาที่จะให้คุณผู้หญิงตรงหน้าได้พบกับความสุขสงบอย่างแท้จริง ในหัวใจของเธอ ไนมีเรียรู้ดีว่าการปลอบโยนความเศร้าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เธอเลือกที่จะเริ่มต้นทีละน้อย ทีละคำ และทีละความหวังใหม่ ๆ ที่จะทำให้ชีวิตของคิมเบอร์ลีย์กลับมามีแสงสว่างอีกครั้ง
ห้องนั่งเล่นที่เงียบสงบอาบไล้ด้วยแสงแดดยามสาย กลายเป็นที่พึ่งพิงแห่งใหม่ของคิมเบอร์ลีย์ วอล์กเกอร์ หญิงผู้มีรอยแผลลึกในหัวใจจากความสูญเสียที่ยากจะเยียวยา ไนมีเรียมองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงข้าม แววตาของคิมเบอร์ลีย์เปล่งประกายเล็กน้อย ราวกับเศษเสี้ยวของความสุขในวันวานได้กลับคืนมาแม้เพียงชั่วขณะ
คิมเบอร์ลีย์เลื่อนนิ้วสัมผัสเครื่องรางโอมาโมริในมือเบา ๆ เนื้อนุ่มของผ้าสีเขียวประดับลวดลายสีทองด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับไนมีเรีย "ฉันไม่รู้จะพูดคำขอบคุณยังไงให้เพียงพอ" น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ แต่ก็แฝงด้วยความอบอุ่น
ไนมีเรียคลี่ยิ้มจาง ๆ “มันคือสิ่งที่มาร์คอยากทำให้คุณค่ะ ฉันแค่เป็นตัวแทนส่งมันให้ถึงมือคุณ”
คิมเบอร์ลีย์หัวเราะเบา ๆ พร้อมกับน้ำตาที่กลบอยู่ในดวงตา “มาร์ค...เขามักจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ฉันเสมอ แม้แต่ตอนนี้...” เธอสูดลมหายใจลึกและปล่อยให้หยดน้ำใสไหลลงมาตามแก้ม
“คุณคิดถึงเขามากใช่ไหม..สามีของคุณ” คนที่รู้เรื่องราวแต่พูดมากไม่ได้เอ่ยถามน้ำเสียงของเธออ่อนโยนราวกับกลัวว่าคำถามจะไปแตะต้องบาดแผลในหัวใจของอีกฝ่าย
“มากจนเหมือนเขายังอยู่” คิมเบอร์ลีย์ตอบพลางยิ้มเศร้า ๆ
“ทุกครั้งที่ฉันจองทัวร์ท่องเที่ยว ฉันจองไว้สองที่เสมอ แม้ว่าที่นั่งอีกที่หนึ่งจะว่างเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่ามาร์คยังไปกับฉันทุกที่ เขาอยู่ข้าง ๆ ฉันในทุกการเดินทาง”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจของผู้ฟังไหววูบ เธอเก็บคำเงียบลงชั่วครู่เพื่อให้พื้นที่แก่คิมเบอร์ลีย์ได้พูดต่อ
“แต่ในตอนนี้ ฉันรู้สึกว่าว่างเปล่าเหลือเกิน ฉันพยายามก้าวต่อไป แต่...มันยากเหลือเกินที่จะอยู่เพียงลำพัง”
ไนมีเรียเฝ้ามองใบหน้าอ่อนล้าของคิมเบอร์ลีย์ เธอสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวและความโศกเศร้าที่กรีดลึกในจิตใจของหญิงตรงหน้า
“ถ้าฉันมีใครสักคนเดินทางไปด้วยกัน มันอาจจะช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้น” คิมเบอร์ลีย์พูดขึ้น พลางมองตรงมายังไนมีเรีย “ทริปครั้งนี้เป็นเพราะต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ การอยู่ในบ้านที่เคยมีแต่ภาพของพวกเขาทำให้ฉันข่มตาไม่หลับ.. อันที่จริง ฉันอยากชวนเธอไปด้วย เธอเป็นญาติของมาร์ค เธอเข้าใจเขา เข้าใจฉัน... และบางที ฉันอาจไม่รู้สึกว้าเหว่เท่านี้”
ข้อเสนอที่ตรงไปตรงมาและเปี่ยมด้วยความจริงใจทำให้ไนมีเรียประหลาดใจ แต่เธอไม่แสดงออกมาให้เห็น “ฉันยินดีค่ะ คิดเสียว่าเป็นช่วงวันหยุดพักผ่อน” เธอตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะไปเป็นเพื่อนคุณ ให้คุณได้มีคนคอยถ่ายรูป.. และช่วยชิมของอร่อย”
คิมเบอร์ลีย์หลุดหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มนั้นทำให้ใบหน้าที่เคยหม่นหมองของเธอเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย “ความร่าเริงของเธอทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นจริง ๆ สาวน้อย”
เมื่อการตัดสินใจสิ้นสุดลง ทั้งสองเริ่มต้นเตรียมตัวสำหรับการเดินทาง คิมเบอร์ลีย์นำเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง ในขณะที่ไนมีเรียช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่มีคำบ่น พวกเขาใช้เวลาไม่นานก่อนจะพร้อมออกเดินทาง
มอบเครื่องรางโอมาโมริ ให้ คิมเบอร์ลี่ ในนามของมาร์ค (คุณดี)
สีเขียว : สัญลักษณ์แห่งความปลอดภัยด้านการเดินทาง
@God