
วันที่ 27 เดือนสิงหาคม ปี 2558
ช่วงบ่าย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ ห้องสมุด บ้านหมาป่า หุบเขาโซโนมา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา (ฝึกภาษาละติน)
ห้องสมุดของบ้านหมาป่าดูราวกับเป็นโลกอีกใบ ผนังสูงโปร่งที่ถูกประดับด้วยภาพวาดเล่าเรื่องราวเทพเจ้ากับวีรบุรุษในอดีต ชั้นหนังสือไม้เข้มเรียงรายสูงจรดเพดานเต็มไปด้วยตำราหายากทั้งวรรณกรรม ตำราสงคราม และบันทึกเก่าแก่ กลิ่นกระดาษโบราณผสมกับกลิ่นไม้โอ๊คเก่า ละมุนชวนให้เหมือนกำลังหลุดไปอยู่ในห้วงเวลาอื่น แสงแดดอุ่นลอดผ่านกระจกสีประดับลวดลายโรมันแตกกระจายเป็นประกายรุ้งบนโต๊ะไม้โอ๊คใหญ่ตรงกลางห้อง โมนีก้าก้าวเข้ามา ดวงตาสีเงินกวาดมองรอบห้องอย่างตื่นตาตื่นใจ “โห…สวยจังเลยนะคะเนี้ย…” เธอเผลอยิ้มบาง ๆ ออกมา แม้ยังรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนฝัน แต่ความเงียบสงบของที่นี่ทำให้หัวใจเธอคลายความตึงเครียดลงนิดหน่อย
ลูปาในร่างหญิงสาวสูงสง่าพาเธอไปนั่งที่โต๊ะกลางห้อง ก่อนนั่งลงฝั่งตรงข้าม เส้นผมทองยาวสะท้อนแสงกระจกสีราวกับเรืองแสงเอง นางวางมือบนตำราเล่มหนาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบแต่ชัดเจน “เจ้าจะเรียนที่นี่กับข้าทุกครั้งนะ แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจบางสิ่งให้ดีเสียก่อน โมนีก้า…เจ้าจะไม่ได้ฝึกภาษาละตินรวดเร็วเหมือนคนอื่น”
“หา? ทำไมล่ะคะ? หนูทำอะไรผิดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแล้วหรือไงเนี่ย?” โมนีก้าหันขวับกลับมามองอีกคนตาโตจากการเอาแต่มองรอบห้อง
ลูปาแค่มองเธอแล้วส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ใช่เช่นนั้น…แต่เดมิก็อดส่วนใหญ่เกิดมาพร้อมความแตกต่าง สมองของพวกเขามีสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าดิสเล็กเซีย เป็นปัญหาในการใช้ภาษา คำจะสั่นไหว หลุดลอย หรือผสานกันบนหน้า ทำให้การอ่านภาษาอย่างอังกฤษยากลำบาก แต่ความจริงแล้ว…นั่นไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่เป็นการตั้งค่าโดยกำเนิดของสายเลือดกึ่งเทพ” นางใช้ปลายนิ้วเคาะเบา ๆ บนตำราละตินเพื่ออธิบายต่อ “เพราะสมองของพวกเขาถูกสร้างมาเพื่อภาษาละติน ภาษาโรมันโบราณที่เทพเจ้ากำหนดไว้ให้เป็นรากฐานแห่งอำนาจและวัฒนธรรม มันจึงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาจะเรียนรู้ได้เร็วและเข้าใจได้ลึกซึ้ง”
โมนีก้านิ่งฟังไปเรื่อย ๆ ก่อนจะชี้ตัวเองด้วยหน้าตาเหวอ ๆ “แต่…เอ่อ…งั้นก็หมายความว่าไงคะ? หนูไม่ได้ดิสเล็กเซียสักหน่อย ภาษาอังกฤษหนูยังอ่านได้อยู่นะคะ!”
ลูปาพยักหน้าช้า ๆ “นั่นแหละคือเหตุผล…เจ้าต่างออกไปจากพวกเขา เจ้าไม่มีโรคดิสเล็กเซียภาษาอังกฤษไม่ใช่กำแพงของเจ้า แต่เพราะแบบนั้นเจ้าจะไม่สามารถเชื่อมสมองเข้ากับละตินได้เร็วเหมือนคนอื่น” หญิงสาวผมทองพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคงต่อไปไม่ลดละ “ถ้าคนอื่นอาจใช้เวลาเพียงสองครั้งก็เข้าใจ…เจ้าอาจต้องใช้สี่หรือห้าครั้งบางทีมากกว่านั้น เพื่อที่จะเข้าถึงภาษานี้อย่างแท้จริง”
โมนีก้าอ้าปากค้าง กอดกระเป๋าของตัวเองแน่น “โอ๊ย…นี่มันโคตรไม่แฟร์เลยค่ะ! พวกเขาได้โบนัสสมองสำหรับภาษาละตินฟรี ๆ แต่หนูนี่ต้องเรียนหนักสองเท่าเนี่ยนะ!?”
ลูปาเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ในดวงตาสีทองกลับแฝงประกายขันบาง ๆ “ข้าไม่เคยบอกว่าหนทางนี้จะง่าย…แต่เจ้าคือคนที่อาจจะต้องพยายามกว่าคนอื่นสักหน่อย เจ้าต้องก้าวผ่านทุกกำแพงที่ขวางเจ้าให้ได้”
โมนีก้าเงียบไป หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง เธอกัดริมฝีปากนิด ๆ ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โอเคค่ะ…ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูเลย หนูจะไม่ยอมแพ้แค่เพราะภาษาแน่นอน” แววตาของลูปาฉายความพึงพอใจชัดเจนหลังจากโมนีก้าพูด ก่อนที่นางจะเปิดตำราละตินออก แสงจากกระจกสีตกกระทบหน้ากระดาษเก่าเหมือนส่องสว่างเส้นทางใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นของโมนีก้า
เสียงหนังสือเก่าถูกเปิดดัง ฟลึบ แสงแดดลอดผ่านกระจกสีสาดลงบนโต๊ะไม้โอ๊คตรงหน้า ลูปานั่งสง่า มือเรียวยกตำราขึ้นชี้บรรทัดแรก “Salve … แปลว่า สวัสดี” โมนีก้าจ้องคำตัวเล็ก ๆ นั้นด้วยตาเบิกกว้างเหมือนมันเป็นปริศนาแห่งจักรวาล “ซัล…วี่…ซาล…เว่? อะไรเนี่ย… หนูพูดเหมือนเรียกชื่อเครื่องสำอางเลยง่ะ” เธอทำหน้าเอ๋อเต็มขั้นจนลูปาเผลอหลุดหัวเราะเบา ๆ แต่ยังคงบุคลิกขรึม
“ลองใหม่สิ” เสียงของลูปานิ่งเรียบแต่หนักแน่น โมนีก้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วออกเสียงใหม่ “ซัลเว” คราวนี้แม้จะยังไม่เป๊ะแต่ก็พอใช้ได้ ลูปาพยักหน้า “ดีขึ้นแล้ว…ถัดไป Vale แปลว่า ลาก่อน”
โมนีก้าขมวดคิ้ว “วาเล่…? นี่มันชื่อแบรนด์น้ำดื่มหรือเปล่าคะเนี้ย…” แล้วก็หัวเราะแห้ง ๆ กับตัวเอง แต่เมื่อได้ยินเสียงจังหวะสอนของลูปาซ้ำ ๆ เธอเริ่มตั้งใจมากขึ้น พออ่านไปสองสามครั้ง เสียงที่ออกมาก็เริ่มกลมกลืนใกล้เคียงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกเธอนั่งเอ๋อตาลอยเหมือนสมองตีกันไม่เข้าใจเลย แต่พอจับจังหวะได้ สมองของเธอเริ่มคลายล็อกอย่างประหลาด คำศัพท์ที่เมื่อครู่ยังเหมือนตัวประหลาดค่อย ๆ เรียงเป็นความหมายและเมื่อหัวข้อกลายเป็นเรื่องที่เธอสนใจจริง ๆ เช่น Dea Ceres (เทพีเซเรส) โมนีก้าก็ตั้งตัวตรงทันที
“อันนี้…แม่หนูใช่ไหมคะ?” ดวงตาสีเงินของเธอเปล่งประกาย ลูปาพยักหน้าช้า ๆ “ใช่แล้ว…เจ้ามีสายเลือดแห่งเธออยู่ในกาย” เท่านั้นแหละ โมนีก้าก็โน้มตัวมาข้างหน้า ใบหน้าจริงจังผิดจากเมื่อครู่ที่นั่งบ่นเป็นเด็ก ๆ มือรีบจด จำ และพยายามออกเสียงซ้ำไม่หยุด หัวสมองที่ตอนแรกเอ๋อเหมือนติดสนิม กลับไหลลื่นเหมือนเปิดประตูใหม่ออกสู่โลกอีกใบ ลูปามองภาพนั้นแล้วแววตานางอ่อนลงเล็กน้อย พลางเอ่ยเบา ๆ “ดีมาก…นี่แหละคือสิ่งที่ข้าต้องการเห็นจากเจ้า ความตั้งใจจะพุ่งไปยังสิ่งที่รักและเชื่อมโยง” โมนีก้ายกหน้าขึ้นยิ้มตอบภายในใจรู้ตัวเองแล้วว่าเธออาจไม่ได้เข้าใจทุกคำ แต่ความอยากเรียนรู้เพื่อเข้าถึงความจริงของตัวเองกำลังผลักเธอให้ไปข้างหน้า
สองชั่วโมงเต็มผ่านไปในห้องสมุด แสงสีจากกระจกโรมันค่อย ๆ เคลื่อนตามตะวัน เปลี่ยนจากประกายทองส้มเป็นโทนอบอุ่นอ่อน ๆ ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องแต่ก็ยังไม่วานที่จะไม่มีแสงอย่างน้อยมันก็เกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ยังคงขยับอยู่แม้โลกจะมีแต่ช่วงกลางวันก็ตาม โมนีก้าก้มหน้าก้มตาทั้งอ่านทั้งจด ทั้งออกเสียงตามที่ลูปาคอยแก้ไข เธอไม่ได้หลับเลยสักนิดกลับรู้สึกเพลินกับความแปลกใหม่ของภาษาที่โบราณแต่มีจังหวะฟังแล้วไพเราะ บางครั้งโมนีก้าจะหยุดชะงักไปกะทันหัน เพราะได้ยินคำที่คุ้นหู…มันคือคำที่แม่ของเธอเคยหลุดพูดออกมาในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ในร่างมนุษย์ คำที่เธอไม่เคยเข้าใจ ตอนนี้กลับมีความหมายชัดเจนในใจ Cibus est vita อาหารคือชีวิต…หรือ Semper parataจงพร้อมอยู่เสมอ ความทรงจำวูบแล่นทำให้หัวใจเธอบีบรัด แต่ก็เพิ่มแรงผลักดันให้อยากเรียนรู้ต่อ
จนกระทั่งลูปาปิดตำราลงอย่างช้า ๆ เสียงดัง ปึบ ที่ทำให้โมนีก้าเงยหน้าขึ้นทันที “พอแล้วสำหรับวันนี้ เจ้าทำได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก” โมนีก้ายืดแขนบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่น กร๊อบ เมื่อจบคาบเรียนเรียบร้อย “โห…เล่นเอาเมื่อยเลยค่ะ แต่สนุกนะ สำเนียงมันตลกดี” เธอหัวเราะเบา ๆ
ลูปามองเธอด้วยรอยยิ้มบาง ๆ แฝงความภูมิใจ ก่อนจะกล่าวต่อ “จากนี้เจ้าสามารถพักผ่อนตามใจชอบ บ้านหลังนี้จะเป็นที่อยู่ของเจ้าจนกว่าเจ้าจะพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป”
ครั้งต่อไป?...อ้อ โมนีก้าชะงักดวงตาสีเงินจ้องตรงไปที่ลูปา “แล้ว…ตกลงค่ายจูนิเปอร์คือยังไงนะคะ? มันคือค่ายอะไรหรอคะ?” โมนีก้าถามขึ้นมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ของเธอ
หญิงสาวผมทองหัวเราะเบา ๆ ส่ายหน้า “ค่ายจูปิเตอร์…ไม่ใช่จูนิเปอร์” น้ำเสียงเคร่งขรึมผสานกับอารมณ์ขันน้อย ๆ ก่อนนางจะอธิบายต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ “ค่ายจูปิเตอร์คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าลูกครึ่งเทพโรมัน ถูกสร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองและฝึกฝนบุตรหลานแห่งเหล่าเทพรวมถึงผู้สืบเชื้อสายของพวกเขา สถานที่นั้นอยู่ใกล้เมืองซานฟรานซิสโก ซ่อนตัวในอุโมงค์บริการข้างอุโมงค์คัลลีคอตต์บนเนินโอ๊คแลนด์”
โมนีก้าพยักหน้าเบา ๆ พึมพำกับตัวเอง “แอบเนียนมาก…คงไม่มีใครรู้เลยว่ามีค่ายเทพอยู่ข้าง ๆ ถนนเลยเราะ หมอกบังตา? หรือแดนลับแลวะเนี้ย”
ทว่าลูปาก็พูดต่อน้ำเสียงมั่นคงจริงจังขึ้น “ผู้บัญชาการสูงสุดของค่ายหรือที่เราเรียกว่าพรีเตอร์ตอนนี้คือ ยาสมิน อาเดน และ ควินตัส แอนเดอร์สัน ทั้งสองคือผู้นำที่เด็ดเดี่ยว และค่ายแห่งนั้น…คือคู่ขนานของค่ายฮาล์ฟบลัดในตำนานกรีก”
โมนีก้าเบิกตากว้าง ปากอ้าหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะร้องออกมา “เดี๋ยวๆๆๆ คือ…นอกจากฝึกเป็นทหารแล้ว หนูยังต้องไปอยู่ในค่ายที่เต็มไปด้วยครึ่งเทพโรมันด้วยเหรอ!? พระเจ้า…นี่มันไม่ใช่ชีวิตแม่บ้านที่หนูใฝ่ฝันไว้เลยนะคะ!!” ลูปาหัวเราะน้อย ๆ แววตาคมมองเธอเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังเห็นเด็กเอาแต่ใจ “เจ้าจะได้สิ่งที่มากกว่านั้นสิทธิ์ในการเลือกชะตาชีวิตของตัวเอง ใครจะรู้เหล่าบุตรครึ่งเทพหลายคนมีอะไรบางอย่างน่าสนใจนัก” โมนีก้าเม้มปากแน่นเมื่อได้รับรู้ทุกอย่างตอนนี้หัวใจเธอเต้นแรง…ทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะต้องก้าวเข้าสู่โลกแบบนั้นจริง ๆ ก่อนที่เธอจะก้มหัวลาอีกฝ่าย เพื่อที่จะออกไปจากห้องสมุดแห่งนี้ต่อไป เอาล่ะ ยังเหลือเวลาหน่อย เธออาจจะไปฝึกอย่างอื่นได้ก็ได้นะ อาจจะมึน ๆ ไปหน่อย แต่ก็อาจจะดีก็ได้ สำหรับคนที่ต้องฝึกอะไรหลาย ๆ อย่าง ตอนนี้ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำว่า บินให้สูงจนเอื้อมไม่ถึง ชีวิตเธอถึงจะสงบสุข
อื่น ๆ: มาเรียนจ้าาา มาเรียนแล้ววว
รางวัล: +15 EXP, +2 คะแนนบัดดี้
ตั้งใจเรียนภาษาละตินกับลูปา - ความโปรดปราน + 15 [God-29] ลูปา
โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15