CARLOTTA
“ VENI, VIDI, VICI ”
เศษเสี้ยวชีวิต : บทฝึกสอนที่ [???]
ก่อนหน้านี้ฉันมีแค่รูโหว่ที่กลางใจ ตอนนี้กลับมีอีกหนึ่งรูที่กระเป๋าด้วย
หากให้ย้อนความ ความประทับใจแรกเกี่ยวกับบ้านหมาป่านั้นมีไม่มาก แต่เพราะระหว่างการเดินทางกลับเลวร้ายยิ่งกว่า คำว่ามีไม่มากในที่นี้จึงกลายมาเป็นมีค่ามหาศาลทีเดียว และด้วยความทรงจำที่ขาดตอนไปจากความตระหนกถึงขีดสุด คาร์ล็อตต้าจำได้แค่ว่าเธอมาถึงที่นี่พร้อมกับกระเป๋าเป้สีแดงบาดตาคู่ใจ เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลสะพรักความอ่อนล้าที่โจมตีร่างกายอย่างไม่ย่อท้อ และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าเธอจะสลบเหมือดลงไป —จวบจนรับข้อมูลที่สมองย่อยไม่ทันจนมันกู่ร้องออกมาว่าอยากขย้อนออกแล้วไล่ร่างกายไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้ รวมไปถึงปัญหาอีกมากมายที่เกิดขึ้นในคืนเดียว อย่างไรก็ดี นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้ว่ามีมารดาที่ไม่เคยพบหน้าอยู่อีกหนึ่งคน ...หรือองค์ ? แถมยังเป็นตัวตนระดับเทพีในตำนานด้วย
หมาป่า, สายเลือดเดมิก็อต, ตำนานเทพ และอีกมากมาย ที่ต้องค่อยทยอยเรียนรู้ไปทีละอย่าง
นับจากวันนั้นก็ผ่านมาไม่นานนัก คำนวณคร่าว ๆ คงประมาณสองสามเดือน...หรืออาจมากกว่านั้นตามสภาพของคนที่ไม่เคยหวนนึกถึงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ แลอาจเพราะไม่เคยมีความจำเป็นที่จะย่างกรายมาแถวนี้เพราะมัวแต่ตรากตรำเคี่ยวเข็ญร่างกายจนเลือดตาแทบกระเด็น ทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสกับทวารประตูถึงได้รู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินกับบรรยากาศโดยรอบนัก และแม้แต่ในเวลานี้ สมองของเธอก็ยังคิดถึงเรื่องตารางในวันถัดไปและกลิ่นดินหญ้าบนสนาม ไปจนถึงภูเขาที่ต้องวิ่งขึ้นลงแข่งกับหมาป่าตัวอื่น ๆ ทุกวัน
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกรบ เรียนภาษาละตินโบราณ อะไรก็ตามแต่ที่ถูกบันทึกไว้ตามตารางในแต่ละวันนั้นฟังดูน่าเหลือเชื่อและเกินกว่าตรรกะปุถุชนคนทั่วไปจะทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ ส่วนคาร์ล็อตต้าก็เป็นอดีตคนที่เคยคิดว่ามันฟังดูบ้าบอสิ้นดี ทว่าปัจจุบันดันคุ้นชินกับสิ่งเหนือธรรมชาติไปเสียอย่างนั้น
กลิ่นไหม้ของฟืนในเตาผิงลอยอวลผสานไปกับกลิ่นกาแฟคั่วเข้มข้น สีน้ำตาลไหม้ที่เป็นโทนเด่นของบ้านถูกแสงนวลจากหลอดไฟถนอมสายตาและเปลวเทียนช่วยขับความสว่างของเนื้อไม้ขึ้นมาจนมันเปล่งแสงมันเงาระยับ คาร์ล็อตต้าสังเกตเห็นหนังสือที่เปิดทิ้งไว้ กลิ่นกระดาษเก่าทำให้เธอรู้สึกเหมือนบ้านหลังนี้ถูกแยกตัวออกจากกาลเวลา กระนั้นแม้มีความเก่าแก่ก็ยังคงตั้งตระหง่านอย่างไม่มีวันพังทลายลงได้ในความรู้สึก
เธอได้ยินเสียงปะทุของสะเก็ดไฟ เพลิงเดชเป็นประกายส้มแสด ทุกครั้งที่มันส่งเสียง 'เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ' หางตาก็ได้ยลแสงวูบวาบไปด้วย — สิ่งของทุกชิ้น หนังสือทุกเล่ม เครื่องประดับไปจนถึงพื้นที่ทุกตารางนิ้ว มันส่งผ่านกลิ่นอายความขลังคร่ำคร่า ชนิดที่เธอมองว่าคงไม่สามารถตามหาสิ่งเหล่านี้ได้จากสถานที่อื่นใดบนโลกในปัจจุบันอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ฉันมีแค่รูโหว่ที่กลางใจ ตอนนี้กลับมีอีกหนึ่งรูที่กระเป๋าด้วย
หากให้ย้อนความ ความประทับใจแรกเกี่ยวกับบ้านหมาป่านั้นมีไม่มาก แต่เพราะระหว่างการเดินทางกลับเลวร้ายยิ่งกว่า คำว่ามีไม่มากในที่นี้จึงกลายมาเป็นมีค่ามหาศาลทีเดียว และด้วยความทรงจำที่ขาดตอนไปจากความตระหนกถึงขีดสุด คาร์ล็อตต้าจำได้แค่ว่าเธอมาถึงที่นี่พร้อมกับกระเป๋าเป้สีแดงบาดตาคู่ใจ เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลสะพรักความอ่อนล้าที่โจมตีร่างกายอย่างไม่ย่อท้อ และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าเธอจะสลบเหมือดลงไป —จวบจนรับข้อมูลที่สมองย่อยไม่ทันจนมันกู่ร้องออกมาว่าอยากขย้อนออกแล้วไล่ร่างกายไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้ รวมไปถึงปัญหาอีกมากมายที่เกิดขึ้นในคืนเดียว อย่างไรก็ดี นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้ว่ามีมารดาที่ไม่เคยพบหน้าอยู่อีกหนึ่งคน ...หรือองค์ ? แถมยังเป็นตัวตนระดับเทพีในตำนานด้วย
หมาป่า, สายเลือดเดมิก็อต, ตำนานเทพ และอีกมากมาย ที่ต้องค่อยทยอยเรียนรู้ไปทีละอย่าง
นับจากวันนั้นก็ผ่านมาไม่นานนัก คำนวณคร่าว ๆ คงประมาณสองสามเดือน...หรืออาจมากกว่านั้นตามสภาพของคนที่ไม่เคยหวนนึกถึงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ แลอาจเพราะไม่เคยมีความจำเป็นที่จะย่างกรายมาแถวนี้เพราะมัวแต่ตรากตรำเคี่ยวเข็ญร่างกายจนเลือดตาแทบกระเด็น ทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสกับทวารประตูถึงได้รู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินกับบรรยากาศโดยรอบนัก และแม้แต่ในเวลานี้ สมองของเธอก็ยังคิดถึงเรื่องตารางในวันถัดไปและกลิ่นดินหญ้าบนสนาม ไปจนถึงภูเขาที่ต้องวิ่งขึ้นลงแข่งกับหมาป่าตัวอื่น ๆ ทุกวัน
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกรบ เรียนภาษาละตินโบราณ อะไรก็ตามแต่ที่ถูกบันทึกไว้ตามตารางในแต่ละวันนั้นฟังดูน่าเหลือเชื่อและเกินกว่าตรรกะปุถุชนคนทั่วไปจะทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ ส่วนคาร์ล็อตต้าก็เป็นอดีตคนที่เคยคิดว่ามันฟังดูบ้าบอสิ้นดี ทว่าปัจจุบันดันคุ้นชินกับสิ่งเหนือธรรมชาติไปเสียอย่างนั้น
กลิ่นไหม้ของฟืนในเตาผิงลอยอวลผสานไปกับกลิ่นกาแฟคั่วเข้มข้น สีน้ำตาลไหม้ที่เป็นโทนเด่นของบ้านถูกแสงนวลจากหลอดไฟถนอมสายตาและเปลวเทียนช่วยขับความสว่างของเนื้อไม้ขึ้นมาจนมันเปล่งแสงมันเงาระยับ คาร์ล็อตต้าสังเกตเห็นหนังสือที่เปิดทิ้งไว้ กลิ่นกระดาษเก่าทำให้เธอรู้สึกเหมือนบ้านหลังนี้ถูกแยกตัวออกจากกาลเวลา กระนั้นแม้มีความเก่าแก่ก็ยังคงตั้งตระหง่านอย่างไม่มีวันพังทลายลงได้ในความรู้สึก
เธอได้ยินเสียงปะทุของสะเก็ดไฟ เพลิงเดชเป็นประกายส้มแสด ทุกครั้งที่มันส่งเสียง 'เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ' หางตาก็ได้ยลแสงวูบวาบไปด้วย — สิ่งของทุกชิ้น หนังสือทุกเล่ม เครื่องประดับไปจนถึงพื้นที่ทุกตารางนิ้ว มันส่งผ่านกลิ่นอายความขลังคร่ำคร่า ชนิดที่เธอมองว่าคงไม่สามารถตามหาสิ่งเหล่านี้ได้จากสถานที่อื่นใดบนโลกในปัจจุบันอีกแล้ว
ข้าวของเครื่องใช้มีอยู่ครบครัน มีหมาป่าที่นอนเหยียดกายอยู่ สิ่งหรีดหริ่งเรไรก้องกังวาน แต่กลับไม่สามารถเจาะทะลวงบรรยากาศอบอุ่นในบ้านได้ มันเงียบสงบอย่างน่าประหลาดแต่ก็คุ้นเคยในห้วงลึกของใจในเวลาเดียวกัน เหมือนอย่างที่คาร์ล็อตต้าเคยรู้สึกถึงตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเยือน
ลูปาเรียกหาเธอในคืนนี้ด้วยเรื่องสำคัญอันเกี่ยวพันกับสายโลหิต ทว่าหันซ้ายเหลือบขวาก็แล้วไม่ยักเจอผู้เพรียกหาเลย
เธอย่อตัวลงลูบขนหมาป่าที่นอนอุตุอย่างเกียจคร้าน เมื่อวางทาบทั้งฝ่ามือลงไปและเกาสลับลูบขนให้ มันก็หงายท้องและส่งเสียงครางหงิง ดูผ่อนคลายอย่างยิ่งยวด อดคิดไม่ได้ว่าแม้แต่หมาป่าตัวนี้ยังกินอยู่สบายยิ่งกว่าตัวเองอีก
อันที่จริง นอกจากธุระของลูปาแล้ว คาร์ล็อตต้านึกขึ้นได้ว่ามีอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันแต่กลับลืมมันไปเสียสนิท
กระเป๋าเป้เพื่อนรักที่อยู่ด้วยกันมานานนมใบนั้นของเธอ หมดอายุการใช้งานอย่างสิ้นเชิง ...หรือต้องพูดว่ามันเป็นรูโหว่ใต้กระเป๋าแบบที่ไม่น่าให้อภัยดี ? เพราะของชิ้นนี้ถือเป็นชิ้นโปรดอันดับต้น ๆ ในใจ ต่อให้มันยับเยินแค่ไหนคาร์ล็อตต้าก็ยังเพียรพยายามซ่อมและเก็บรักษาอย่างดี ไม่เคยทำให้เสียหายได้ถึงขนาดนี้ บัดนี้ ระดับความรุนแรงที่มันได้รับถูกจัดอยู่ในหมวด 'ไม่สามารถซ่อมได้อีกต่อไป' และข้อเท็จจริงนี้ทำร้ายจิตใจเธอจนป่นปี้
เอาล่ะ อันที่จริงมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ต้องยอมรับว่ามันทำให้อารมณ์ของเธอขุ่นมัวได้ในระดับหนึ่ง
ควรทราบก่อนว่า รสนิยมด้านการเลือกของใช้ไปจนถึงสีที่ชอบของอิสตรีผู้นี้เข้าขั้นเป็นภัยร้ายแรงต่อผู้รักศาสตร์ศิลป์และแฟชั่นทั้งหลาย, ต่อให้เจ้าหล่อนจะยืนกรานว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดในสายตาก็ตาม เสียงส่วนมากก็ยังบอกว่ามันเชยบรม ที่กล่าวมานี้เพราะต้องการเกริ่นให้ฟังถึงความมั่นคงในใจเธอ ว่าต่อให้สิบปากกระทั่งพันปากว่าอย่างไร คาร์ล็อตต้าก็ยังเลือกที่จะยืนหยัดเคียงข้างเจ้าเป้แดงสุดจ๊าบ (ที่เน่าในสายตาทุกคน) ใบนี้อยู่ดี
ดังนั้น เมื่อมันชำรุดเสียหาย— อืม คงไม่ต้องพูดถึงระดับความกลัดกลุ้มในใจเธอ
อันที่จริงมันขาดวิ่นและยับเยินตั้งแต่ตอนที่มาถึงแล้ว แต่ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้คาร์ล็อตต้าไม่ได้สังเกต ทันทีที่ได้เหวี่ยงตัวลงบนเตียงนอนและหลับเป็นตาย เธอก็ลืมนึกถึงมันกระทั่งข้าวของสัมภาระด้านในไปเสียสนิท ต่อมา... เมื่อตื่นขึ้นก็ต้องมานั่งทำความเข้าใจสถานการณ์ ไปจนถึงเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ทำงานเล็กน้อยและฝึกฝนร่างกายเป็นส่วนใหญ่ — ว่าอย่างง่าย เธอลืมทุกสิ่งอย่างในนั้นไปโดยปริยาย
ด้วยตารางการฝึกที่ไม่เว้นว่างเวลาให้หายใจ รวมไปถึงความกดดันต่อตัวเองอย่างถึงที่สุด คาร์ล็อตต้าทุ่มเทฝึกซ้อมด้วยใจที่อยากลืมความวูบโหวงจากการถูกทอดทิ้ง พยายามกลบรูโหว่ขนาดใหญ่ในใจด้วยการทำตัวให้ไม่ว่าง ภาระหน้าที่ที่เธอหมั่นเพียรจะทำมันในฐานะนักรบคนหนึ่งหลังได้รับรู้ถึงเรื่องราวสายเลือดของตนเอง ฟังดูบากบั่นจวนเจียนแปรสู่ความดื้อรั้น แต่กระนั้นต้องพูดว่ามันได้ผลดียิ่ง อย่างน้อยคาร์ล็อตต้าก็เลิกคิดมากและปล่อยวางเรื่องในอดีตได้เปราะหนึ่ง ไปจนถึงทำใจยอมรับกับสถานะปัจจุบันได้แล้ว
แต่...
รูโหว่ในใจหายไป ดันมี 'รูโหว่' ใหม่โผล่มาเสียอย่างนั้น
อืม หรือต้องพูดว่าเก่าดี ?
เพราะพัฒนาการในการฝึกเป็นไปได้อย่างคงที่ในระยะนี้แล้ว คาร์ล็อตต้าถึงได้มีเวลาให้ตัวเองผ่อนคลายมากขึ้น และมารับรู้ว่ากระเป๋าเป้ของเธอมันพัง แบบที่ไม่สมควรเรียกว่ารูโหว่ พูดให้ถูกคือพื้นกระเป๋ามันทะลุ
คาร์ล็อตต้ายังจำเสียงฉีกขาดของเนื้อผ้าตอนที่เธอหยิบมันขึ้นมาสำรวจครั้งแรกในรอบหลายเดือนได้ดี ราวกับมันกระชากใจของเธอให้แหว่งตามกันไปด้วย และจากสภาพนี้ ต่อให้พินิจด้วยตายังรู้ว่าเย็บไปเหมือนที่เคยทำก็คงยื้อชีวิตลูกรักใบนี้ไม่ได้ เธอไม่มีทางเลือกนอกจากยืนไว้อาลัยและฝังร่างของมันลงที่ลิ้นชักข้างเตียง จากสิ่งของคู่ใจกลายเป็นสมบัติรักที่ต้องระลึกถึงในทุกคืนไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายตามหากระเป๋าใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น
แต่ด้วยความสัตย์จริง ต่อให้มีของก็อปเกรดเอแบบเดียวกับพ่อมหาแดงแรงฤทธิ์ตัวนี้ คาร์ล็อตต้าก็ยังไม่อาจลืมมันได้อยู่ดี ดังนั้นที่ต้องการตอนนี้คือกระเป๋าสัมภาระที่ใหญ่และจุของได้มากกว่าเดิม เพื่อที่จะใช้สำหรับใช้สอยอย่างจริงจังเสียที—
"มาแล้วรึ"
เสียงของลูปาดังขึ้น หล่อนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าอยู่ตรงนั้นนานแล้วหรือเพียงชั่วอึดใจกันแน่ อาจเพราะคาร์ล็อตต้ากำลังคิดเป็นตุเป็นตะกับเรื่องทรัพย์สินทางใจ จนไม่สามารถรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวอีกฝ่ายได้ กระทั่งเจ้าหมาป่าเด็กตัวนั้นที่เธอกำลังเกาคางมันอันตรธานไปตอนไหนก็ยังไม่ทราบ
คาร์ล็อตต้าหยัดกายขึ้น เธอไม่ลืมที่จะทักทายแม่หมาป่าเจ้าของบ้าน, ลูปาเพียงจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง นางเปล่งเสียงนุ่มลึก ถามไถ่ไม่ต่างจากมารดาผู้ห่วงหาบุตรี
"เจ้าดูเหม่อลอยนะ มีเรื่องกลุ้มใจรึ?"
ก็ไม่เชิงกว่ากลุ้มใจอะไรขนาดนั้น—
คาร์ล็อตต้าครวญในใจ รู้สึกอับอายขึ้นมาเมื่อถูกถาม ความจริงแล้วสาเหตุมันมาจากกระเป๋าทรงคุณค่าทางใจใบหนึ่งเท่านั้น
"ฉันทำกระเป๋าที่หวงมาก ๆ เสียหายน่ะค่ะ มันซ่อมไม่ได้แล้ว"
เธอพยายามจะเลี่ยงคำว่า 'พังยับเยิบ'
อย่างไรก็ตาม สาวนางไม่อยากถูกมองเหมือนเป็นเด็ก มันเป็นแค่กระเป๋า และคาร์ล็อตต้าก็ไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งยาก เธอแค่จะมาขออนุญาตในการออกไปซื้อกระเป๋าใบใหม่ข้างนอกเท่านั้น ส่วนลูปานั้นไม่ได้กล่าวอะไรเป็นพิเศษ หล่อนผงกศีรษะ รับฟังและเข้าใจจุดประสงค์ในทันที ทว่าคาร์ล็อตต้ายังไม่ทันเอ่ยต่อ หมาป่าเจ้าของขนขาวพิสุทธิ์ก็รวบรัดใจความสำคัญให้เพียงว่า
"บ้านหมาป่าของเรามีกระเป๋าสัมภาระมากมาย เจ้าสามารถไปเลือกดูในภายหลังได้ อย่าเสียใจไปเลย"
ความรู้สึกยุบยิบแล่นริ้วขึ้นจากใจสู่ใบหน้า นึกอยากแย้งกับรูปประโยคที่ดูเหมือนการปลอบใจแบบนั้น เสียงของลูปาทำให้เธอนึกถึงแม่ที่เคยกอดโอ๋ตอนเธอกระจองอแงเพราะทำไอศกรีมรสโปรดหล่นจูบพื้น ทว่ากลับไม่รู้จะเริ่มแถลงไขจากตรงไหน สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปด้วยอีกฝ่ายมีเรื่องที่สำคัญกว่ามากและกำลังจะเปิดประเด็น
"ข้าเรียกเจ้ามาด้วยเรื่องสำคัญ" เพียงเกริ่นแค่นี้ก็ทำให้ร่างกายของเธอเกร็งขึ้นมาได้ คาร์ล็อตต้าปรับอารมณ์ไวว่อง ความสงบพาดผ่านนัยน์ตา มาพร้อมกับปฏิกิริยาที่ดูจริงจังขึ้นอักโข
ลูปาในร่างหมาป่าไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า นางจับจ้องไปที่รอยสักอันเป็นสัญญะของสายเลือดแห่งเทพีเบลโลน่า ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ
"เจ้าได้รับการยืนยันสายเลือดโดยเทพีเบลโลน่าแล้วนับตั้งแต่ที่ย่างกรายมาถึง, ทว่ากลับยังไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงของสายเลือดออกมาได้"
"ด้วยข้อจำกัดบางอย่าง ร่างกายของเจ้ายังไม่พร้อม ดังนั้นข้าจึงให้เจ้าฝึกฝนการเป็นนักรบ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อที่สักวันเจ้าจะสามารถใช้พลังได้อย่างแท้จริง —เจ้าคงรู้ตัวอยู่แล้วกระมัง ว่ามีพลังบางอย่างทั้งไหลพล่านและเดือดดาลในกาย รอวันที่จะได้ปลุกมันให้ตื่นขึ้น"
ผู้ฟังไม่ได้ตอบรับ แต่ความเงียบก็ถือเป็นคำตอบอย่างหนึ่ง ...ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึก ในทางกลับกัน คาร์ล็อตต้ากล้าพูดได้อย่างมั่นใจว่าเธอมีสัญชาตญาณที่เฉียบคมมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องความเปลี่ยนแปลงในร่างกายไปจนถึงความผิดปรกติอย่างอื่นย่อมต้องสัมผัสได้อย่างชัดเจน ยิ่งพักหลังมานี้ยิ่งจับทางได้เข้มข้นขึ้น หากให้เปรียบเทียบให็เห็นภาพ ก่อนหน้านี้เห็นเพียงปลายเชือกที่สะบัดไหวไปมา ต่อมาได้จับเชือกเส้นนั้นและเริ่มตระหนักถึงบางอย่างได้เลือนราง มาตอนนี้ จะบอกว่าให้ความรู้สึกเหมือนเธอคว้าเชือกได้มั่นคงขึ้นและพร้อมจะกระชากสิ่งอยู่อีกด้านมาเผชิญหน้ากันได้อยู่รอมร่อ — ตอนนี้เหลือเพียงการรู้วิธีปลุกพลังที่ถูกต้องเท่านั้น
ประกายความมุ่งมั่นสาดซัดในตา อัดแน่นไว้เต็มหน่วย ลูปานึกถึงเแววตาที่เด็กคนนี้ได้รับรู้ถึงความพิเศษในสายเลือดตนเองและยอมรับมันเป็นครั้งแรก ยิ่งทำให้นางมั่นใจว่ามันถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว
แม้อยู่ในรูปลักษณ์สิงคาลเขื่อง แต่คาร์ล็อตต้าก็สัมผัสได้ถึงความปีติในน้ำเสียงนั้น อดจินตนาการไม่ได้ว่าถ้าอยู่ในร่างมนุษย์ หล่อนคงส่งมอบรอยยิ้มที่โอบอ้อมอารีให้กันไม่เปลี่ยน
"เอาล่ะ ข้าคงไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว" นางปล่อยถ้อยวจีพร้อมกับลมหายใจเบาบาง
"หลับตาเสีย, ตั้งสมาธิและจดจ่อกับมัน เจ้าเองก็รู้สึกถึงพลังในกายใช่ไหม?"
"ไม่ต้องรีบร้อน แค่ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป นึกถึงเทพีผู้เป็นมารดาของเจ้า —เทพีแห่งสงคราม เบลโลน่า รับรู้ให้ได้ถึงพลังที่กำลังตื่นขึ้นในสายเลือดของเจ้า—..."
เสียงของลูปายิ่งนานยิ่งแผ่วและห่างไกลออกไป คาร์ล็อตต้ารู้สึกกระทั่งว่าเธอถูกตัดจากโลกภายนอก ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะสงบเมื่อพยายามกำหนดจิตตามคำแนะนำของหมาป่า — ไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง, ทุกอย่างสงบนิ่งและหยุดเคลื่อนไหวไปในความคิดราวจะต่อต้านการไหลของเวลา แต่สิ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนคือบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในห้วงลึกของจิตใต้สำนึก มันกำลังคุกรุ่นและปะทุขึ้นในที่สุด เธอได้ยินเสียงหัวใจของตนเอง ราวกับมีทำนองหนักแน่นที่เต้นตุบตับอยู่ในหูจนอื้ออึง ชนิดที่เผลอคิดไปว่าหัวใจจะหลุดออกจากหูเลยหรือเปล่า ...ยิ่งนานมายิ่งโหมแรงขึ้น บีบรัดความรู้สึก ในขณะเดียวกันก็ราวกับสายพลังพันลึกนั้นจะพุ่งทะยานออกมาอย่างเดือดดาลเพื่อแสดงตัวตน
ร่างกายของสาวเจ้าร้อนระอุ สะพรักพร้อมมีจังหวะหัวใจดังกระหึ่มในโสตประสาทอย่างชัดเจน แทบไม่ต่างอะไรไปจากการอยู่ใจกลางคอนเสิร์ตระดับโลก กระแสพลังไม่รู้ที่มาทะลวงจากหทัย แล่นไปตามเส้นเลือดในร่างกายอย่างรวดเร็ว ห้อมล้อมให้ทั่วสรรพางค์ของเธอเกิดความเจ็บปวดเกินหยั่ง กระนั้นคาร์ล็อตต้าไม่ได้หลุดจากการจ้องมองจิตสำนึกเบื้องลึกของตนเอง ราวกับดวงแดกำลังถูกล้างผลาญด้วยเดชเพลิงที่พวยพุ่งออกมาไม่รู้จบ กายานี้ปานเป็นภูเขาไฟขนาดย่อส่วนที่มีแม็กมาไหลเวียนและถูกกระตุ้นไม่หยุดยั้ง ...ไม่ต่างอะไรจากทะเลลาวาเดือดปุด
กระนั้นกลับมีความเปรมปรีดิ์เอ่อล้น คาร์ล็อตต้าไม่ได้สนใจความเจ็บปวดและการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยสักนิด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกฉีกกระชากและสร้างใหม่ทีละขั้นตอนด้วยความพิถีพิถัน อย่างไรก็ตาม กับคนที่ได้สัมผัสความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจมาทั้งชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่ได้สร้างผลกระทบแบบสะเทือนฟ้าสะเทือนดินสำหรับเธอนัก
อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เจ็บปวดและมีแต่ความทุกข์ตรมเหมือนในอดีต —ความยินดีในสายเลือดที่ไม่เคยได้สัมผัสกลับปรากฏอย่างน่าฉงนใจ
ชั่วขณะนี้เองที่ความรู้สึกชัดเจนขึ้น มณีราคและที่มาของพลัง รวมไปถึงชื่อของเทพีองค์นั้น
สัญญะแห่งการทำลาย, ความพินาศ และที่สำคัญที่สุด สงคราม
เทพีเบลโลน่า มารดาของเธอ
ความเจ็บปวดเบาบางลง ลดฮวบและถูกแทนที่ด้วยความผ่อนคลายถึงขีดสุด ประสาทสัมผัสของคาร์ล็อตต้าเปิดกว้างกว่าที่เป็นมา ความสงบนิ่งแผ่ซ่านจมลึก — ร่างกายราวกับถูกชำระล้าง แอ่งธารพลังที่แม้จะสงบลงแต่กลับให้ความรู้สึกชัดเจนและทรงอำนาจยิ่งกว่า
อึดใจถัดมา เปลือกตาของเธอเปิดขึ้น ประกายสีเลือดเรืองรองในเนตร
พลังแห่งสายเลือดเทพีแห่งสงคราม ตื่นขึ้นแล้ว
หมายเหตุ :
— ปลดล็อกสกิล [บงการศาสตราวุธ] ใช้ [3 แต้มตื่นรู้]
— [ปลดล็อกพลังเทพ] + 35 ความโปรดปรานลูปา
— [ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ] ได้รับโบนัสความโปรดปราน +15
— ซื้อกระเป๋าลาก (+40 ความจุ) *ชำระเงินแล้ว*
หมายเหตุ (ooc) : พยายามจะไม่ตัดตอนแล้ว แต่อืดมาก ตอนท้ายก็รู้สึกว่าตัวเองเขียนเจ้มจ้นเกินชื่อบทไปมาก แต่ก็ขี้เกียจเคิดใหม่แล้วค่ะ ขอรวบไว้ในโรลเดียวทั้งซื้อเป๋าและปลดพลัง *เหลว* ไม่ได้ตรวจทานคำผิด ไม่ได้เช็คว่ามีคำไหนสลับกันไหมด้วย ความขี้เกียจเกาะหลัง แต่แม่จ๋า หนูขอพลัง !





โพสต์ 2025-11-25 15:29:53