แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-9-30 10:58
211 Thailand P.11 - กรุงเทพมหานคร
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
วันสุดท้ายของการท่องเที่ยวประเทศไทย ในเมืองหลวงที่มีการจัดลำดับว่ารถติดอันดับโลก แต่วันนี้สบายหายห่วงเรื่องรถติดเพราะไม่มีรถให้ขับแถมรถไฟฟ้ายังสะอาดน่านั่งกว่าที่นิวยอร์กเป็นไหน ๆ จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง แค่มีภาระจากพัสดุที่ซื้อมาจนล้นกระเป๋าจนต้องหาที่ฝากจึงต้องวางแผนการเดินทางให้ดีสักหน่อยว่าจะเอาสัมภาระไปฝากไว้ตรงไหนก่อนจะเที่ยวกันต่อ
แต่ก่อนออกเดินทางก็ได้บุฟเฟต์อาหารเช้าสไตล์อเมริกันมาเติมเต็มความอยากอาหารเสียทีดีนจึงแทบจะตักไส้กรอกกับเบค่อนมากินล้วน ๆ อ้อ แต่ไม่ลืมที่จะตักสลัดมารับประทานก่อนเป็นอย่างแรกเพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นก่อนจะสวาปามเนื้อแปรรูปเหล่านั้นลงไป
“ฉันคิดว่าแถวสยามนะ ตรงนั้นเป็นแลนด์มาร์กใจกลางเมืองเลย แถมยังมีห้างเยอะแยะ ถึงตอนนั้นค่อยเลือกเอาว่าจะเลือกห้างไหน แต่ตอนนี้เราต้องมาตกลงกันก่อนว่าจะเอายังไงดี”
ดีนกล่าวพลางจิ้มไส้กรอกรมควันจุ่มมัสตาร์ดฉ่ำ ๆ แล้วเอาเข้าปาก
“ขอเสนอสองแผนการ… แผนแรก เราไปที่หัวลำโพงกันก่อน เอากระเป๋าไปฝากที่ล็อกเกอร์ให้เรียบร้อยก่อนจะตระเวนเที่ยว หรือ! แผนที่สอง ขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สยาม หาที่ฝากของแถวนั้นแล้วเที่ยวห้างจนกว่าจะพอใจ จากนั้นขึ้นซับเวย์ไปลงหัวลำโพงเอาของฝากที่ล็อกเกอร์จากนั้นค่อยเที่ยววัดใกล้ ๆ ฉันยกมือแผนสอง ขี้เกียจเทียวไปเทียวมา แค่ขนของขึ้นรถไฟหลายรอบหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง”
เสนอเองยกมือเองนักเลงพอ [ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“น่าจะมีแหล่ะ ใจกลางเมือง สถานีใหญ่เลยนี่นา ถ้าไม่มีก็…” ดีนเว้นวรรคไปครู่ใหญ่ “กลับไปแผนหนึ่ง”
แต่ให้จบที่แผนสองเลยดีกว่าพวกเขาจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา
หลังจากที่รับประทานโปรตีนในจานหมดดีนก็ลุกขึ้นไปตักผลไม้เป็นอาหารล้างปาก แม้ว่าชายหนุ่มผิวสีเข้มใบหน้าละตินจ๋าจะเริ่มเบื่ออาหารไทย แต่สำหรับผลไม้ไทยแล้วกินเท่าไรก็ไม่มีเบื่อ สมกับที่เป็นประเทศเขตร้อนและถูกยกย่องว่าเป็นครัวของโลกเสียจริง และหลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จจนพลังงานขึ้นเต็มหลอดกันทั้งคู่แล้วก็ได้เวลาออกเดินท่องเที่ยววันสุดท้ายที่ไทยแลนด์กันเสียที
โชคดีจริง ๆ ที่เมโมรีกล้องยังเหลือ แต่คงต้องคัดรูปส่งเทพีดีมิเทอร์นานแน่ ๆ … หรือจะส่งไฟล์ทั้งหมดให้นางเลยดี? ถ้าจำไม่ผิดเหมือนไม่ได้ถ่ายอะไรพิเรนทร์ ๆ เอาไว้นะ
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
ดีนยังคงเพลิดเพลินใจเมื่อได้นั่งรถไฟฟ้าที่ไม่เบียดเสียดยัดเยียดและมีทิวทัศน์น่ามองเช่นเดียวกับเมื่อตอนขามาวันแรก ความจริงหากทริปวันนี้เป็นการนั่งรถไฟฟ้าชมเมืองบางกอกทุกสายทั้งวันเขาก็ทำได้ไม่มีเบื่อ หากแต่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายที่ต้องไปเยือนในวันนี้เขาจึงไม่ได้เสนอแผนในใจออกไปให้คู่ออกเดินทางให้ฟัง
นั่งรถไฟฟ้าสองต่อเผลอแป๊บเดียวก็มาถึง ‘สยามพารากอน’ ห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางกรุง พวกเขานำสัมภาระที่ไม่จำเป็นฝากล็อกเกอร์จากนั้นก็เดินเที่ยวห้างที่ใหญ่โตแห่งนี้
“โห ใหญ่สุด ๆ แถมคนยังเยอะอีกด้วย นี่มันหรูหราหมาเห่ายิ่งกว่าห้างแมคซี่ที่เฮรัลด์สแควร์ซะอีก”
ดีนรู้ว่าเมืองหลวงของไทยเต็มไปด้วยอาคารสูงมากมายแตกต่างจากพื้นที่ชนบทที่เขาไปเยือนลิบตา แต่ก็ไม่คิดว่าในประเทศเดียวกันจะมีความแตกต่างทางด้านเศรษฐกิจมากมายขนาดนี้ ในความตื่นตาตื่นใจนั้นมีความห่างของของชนชั้นอยู่สูงจนประหลาด ทว่านักท่องเที่ยวอย่างเขาคงไม่กล้าวิพากวิจารณ์เอาเวลานั้นไปท่องเที่ยวกันดีกว่า
“อื้อ เอาห้างนี้แหล่ะ ข้างในจะมีอะไรบ้างนะ เข้าไปดูกัน” ถือเป็นการเดินเที่ยวชิล ๆ โดยแท้ ทั้งสองเดินเข้ามาในห้างที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำตัดกับอุณหภูมิร้อนระอุด้านนอก พื้นที่ส่วนชั้นหนึ่งส่วนมากจะเป็นร้านอาหารและคาเฟ่ที่ดูแล้วน่าสนใจเป็นอย่างมาก
“จะว่าไปแบรนร้านอาหารญี่ปุ่นเยอะเหมือนกันแฮะ”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ก็จริงแหล่ะ ถ้าอยากสร้างห้างใหม่ ๆ ก็ต้องไปพื้นที่ใหม่เลย นิวยอร์กไม่มีพื้นที่ไหนให้ตึกขึ้นได้แล้ว”
คิดถึงความแออัดจนน่าอึดอัดใจกลางเมืองก็ใจหาย ในสมัยตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมืองเขาไม่เคยคิดเช่นนั้นและสนุกไปกับมัน แต่พอได้ถอยออกมาอยู่ในพื้นที่เขตป่าอย่างค่ายฮาล์ฟบลัดแล้วเขากลับชอบความร่มรื่นของแมกไม้มากกว่า งอแงกับการไม่ได้ใช้เทคโนโลยีน้อยลง และเหมือนกับจิตใจได้รับการบำบัด กระนั้นก็ไม่รังเกียจที่นานทีจะได้เข้ามาแสดงหาความรื่นเริงในเมืองใหญ่แบบนี้
“คิดว่านะ… งั้นลองกันไหม ฉันไม่ค่อยได้กินอาหารญี่ปุ่นเลย” ติดแต่ว่าพวกเขาเพิ่งกินมื้อเช้ากันมาได้ชั่วโมงนิด ๆ “แต่ว่าเราเดินดูอย่างอื่นกันก่อนแล้วกัน ฉันยังไม่หิวเท่าไรเลย”
ดีนกล่าวก่อนที่จะพาแมคเคนซีเดินสำรวจห้างพารากอนตามชั้นต่าง ๆ เมื่อขึ้นมาชั้นบนพวกเขาก็พบกับร้านแบรนเนมหรูหรามากมายรวมกระทั่งร้านขายรถยนต์ที่เหมือนกับเป็นโชว์รูมย่อม ๆ ด้วย
“แมคซี่นายชอบรถแบบนี้ไหม?”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ได้เลยที่รัก เดี๋ยวฉันจัดให้แบบหรู ๆ”
ดีนขยิบตาให้คนรัก ความจริงเขาแค่แกล้งหยอกไปงั้น ใครมันจะอยากกินแพง ๆ ไปทุกมื้อ เน้นร้านอร่อยที่ดูน่ากินดีกว่า แล้วก็กลับมาเข้าเรื่องดูรถกันต่อ
“ไม่แปลกใจเลย นายซิ่งรถซะหัวฟูไปหมด” ชายหนุ่มหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะตอบคำถาม “ฉันเหรอ.. ไม่มีเป็นพิเศษ แต่รถสปอร์ตแบบคันนั้นก็ดีนะ”
ดีนชี้ไปที่รถสปอร์ตตราเสือดาวสีเหลืองกล้วยรูปทรงโฉบเฉี่ยวที่จอดอยู่ แต่ก็ได้แค่ชอบเพราะราคาเกินเอื้อม หลังจากที่เดินผ่านโชว์รูมรถยนต์ก็เจอร้านขายดูคาติ
“แบบนี้สินะที่นายชอบ”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ถ้าไม่ตายก็คงสบายใจอยู่…”
ถึงแม้ความเร็วจะทำให้สนุกสุดเหวี่ยงแค่ไหน แต่อย่างไรความปลอดภัยก็ต้องมาก่อน และใช่ เขายังไม่อยากตายก่อนอายุเจ็ดสิบ
“ตาเป็นประกายเชียวนะ ก็จริง ถ้ามีคนซ้อนต้องไปอยู่บนจงอยสีแดงนั่น..”
เทียบกันแล้วเบาะของดูคาติแคบกว่าแมคกี้ของแมคเคนซีเยอะ แล้วอีกฝ่ายขับรถเร็วขนาดนั้นมีหวังถ้าได้นั่งเจ้านี้แล้วตูดต้องกระเด้งไม่ติดเบาะแน่ ๆ เตรียมใส่กระจับกันจุกได้เลย
“ก็เท่ ยังไงนายก็ไม่ตัดใจจากแมคกี้เลยนะ นายอิจฉาชะมัด”
เผลอ ๆ ถ้าให้อีกฝ่ายเลือกระหว่างแมคกี้กับเขา อีกฝ่ายก็คงเลือกมอเตอร์ไซค์คู่ใจล่ะมั้ง แต่ช่างเถอะไม่คิดแง่ลบดีกว่า ดีนยิ้มยืดก่อนจะพยายามลบความอิจฉามอเตอร์ไซค์ออกไปจากใจ
หลังจากดูโซนโชว์รูมรถกันเสร็จแล้วก็ไปเดินเที่ยวยังส่วนต่าง ๆ ของห้างสรรพสินค้ากันต่อ หากแมคเคนซีสนใจฉันใดก็ดึงให้ดีนเดินออกจากช็อปลองจินส์ได้ยากฉันนั้น ดีนะที่ไม่มีเงินซื้อ ไม่งั้นเขาได้สอยนาฬิกาบวกภาษีแน่ ๆ
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
ดีนแค่ยกยิ้มแต่ไม่ตอบ ส่วนเรื่องนาฬิกานั้น..
“ถึงอยากได้แต่ก็หาโอกาสใส่ไม่ได้อยู่ดี อย่างตอนออกมาทำภารกิจแบบนี้ก็ต้องใช้นาฬิกาสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกของในมินิมาร์ทของค่ายแทนเนี่ย”
ดีนยกข้อมือซ้ายขึ้นมาบนนั้นมีนาฬิกาทหารเรือนสีดำประทับอยู่ หากต้องรับมือกับอสุรกายร้ายตลอดเวลาจะใส่ของดีราคาแพงให้หน้าปัดเป็นรอยได้ยังไง
“เรื่องนาฬิกาช่างมัน ตอนนี้ฉันเริ่มหิวล่ะ ส่วนร้านที่เล็งไว้ก็… ข้าวหมูทอดที่ชั้นสี่”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“หืม เพิ่งคิดจะใส่ปลอกคอให้ฉันงั้นเหรอ?”
ดีนหรี่ตามองแกมหยอกล้อไปให้แฟนหนุ่มชาวเกาะบริเตนใหญ่ จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก ไม่แน่ใจว่าข้าวหมูทอดแบบญี่ปุ่นเรียกว่าอะไร แต่คิดว่าใช่นะ แล้วพวกเขาก็เดินกลับไปยังชั้นสี่ที่เคยผ่านมา ทว่าคำพูดประโยคหลังของแมคเคนซีก็ทำให้ดีนเลิกคิ้วมองด้วยสายตาราวกับตำหนิ
‘แกล้งโง่หรือเปล่าเนี่ย!? ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าหมายถึงอะไร? แล้วทำไมเพิ่งมาถามฟะ!!’
“เพราะว่าฉันชอบสีส้มไง”
ตอบความเท็จเป็นการหยั่งเชิง ดูสิว่าอีกฝ่ายจะรู้ไหมว่าเขาโกหก [ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“นายให้ใส่แบบไหนฉันก็ชอบหมดแหล่ะ ให้ตายสิดูทำหน้าเข้า…” ดีนกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะขยับเข้าไปจิ้มแก้มอีกฝ่ายจึก ๆ “ชอบสีส้มน่ะถูกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่ความจริงแล้วฉันอยากให้ของที่นายให้อยู่กับฉันตลอดเวลาต่างหากล่ะ กล้าดีจริง ๆ มาถามหยั่งเชิงฉัน”
ขยับออกมามองเจ้าคนตาโหล หากว่าเขาไม่รีบเฉลยมีหวังอีกฝ่ายได้นอนไม่หลับแล้วขอบตาคล้ำแข่งชนะหมีแพนด้าแน่ ๆ
“มาถึงหน้าร้านแล้วเข้าไปกันเร็ว ฉันน่ะหิวจะแย่”
กล่าวแล้วก็ลากแขนอีกฝ่ายเข้าไปในร้านตามการต้อนรับของพนักงานเสิร์ฟที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปร๋อ สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นห้างใจกลางเมือง เมื่อพวกเขาหย่อนก้นลงนั่งก็ได้ผ้าร้อนสำหรับเช็ดมือให้ทันที เป็นการบริการแบบโอโตเมะนาชิ (บริการด้วยใจ) อย่างร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปไม่ว่าจะแบรนหรูหรือไม่กระทำ แต่สำหรับชาวอเมริกันอย่างดีนแล้วเขาไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมนี้เท่าไรจึงเอาแต่จด ๆ จ้อง ๆ ผ้าร้อนที่ถูกเสิร์ฟมาแทนที่จะเปิดเมนูดู
“ไอ้นี่คืออะไรน่ะ?”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“อือฮึ ฉันไม่ได้กินมาเยอะนี่นา วันนี้ต้องเดินเท้าไม่มีรถขับด้วย กินเยอะไปเดี๋ยวจุกแย่”
ดีนตอบรับความสงสัยเรื่องระบบการเผาผลาญของเขาซึ่งมันดีกว่าคนทั่วไป ที่แม้ว่าเขาจะยัดอาหารขยะและของหวานเข้าไปมากเท่าไรก็อ้วนยาก แต่บอกตามตรงตั้งแต่มาที่ไทยเขารู้สึกเหมือนว่าจะมีพุงขึ้นมาหน่อย ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ อาจเพราะกาแฟรสหวานกว่าปกติล่ะมั้ง แต่มันอร่อยนี่นา กลับไปค่ายค่อยไปวิ่งจ๊อกกิ้งเบิร์นหุ่นเอา อย่างไรเสียคนว่างงานอย่างเขาก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้วจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะออกกำลังกาย
แล้วเขาก็เลื่อนสายตาขึ้นจากผ้าร้อนมามองหน้าคนอธิบายก่อนจะก้มมองแล้วหยิบมาเช็ดไม้เช็ดมือบ้าง
“มีทุกร้านเลยเหรอดีแฮะ เพื่อสุขอนามัยสินะ สมกับเป็นคนญี่ปุ่นเป็นบ้า”
เห็นทีต้องเอาไปประยุกต์ใช้บ้างแล้ว หมายถึงถ้าออกจากค่ายไปแล้วน่ะนะ เมื่อเช็ดมือเสร็จเขาก็วางผ้าร้อนลงจากนั้นก็มาพินิจเมนูดูบ้าง มีทั้งหมูทอด ปลาทอด และเซ็ตรวมของทอด
“ฉันได้แล้ว เอาอันนี้แหล่ะ” จิ้มไปที่หน้าเซ็ตรวมของทอดไซส์บิ๊กเบิ้ม ได้ลองทานแทบทุกอย่างจนพุงแตกแน่ ๆ
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ไม่เยอะเท่าไรหรอกน่า ย่อยหมดไปแล้ว แต่ที่สั่งมาจะกินหมดไหมนะ”
แต่ในเซ็ตเขียนว่าสำหรับหนึ่งท่านนี่นาคงจะกินหมดแหล่ะ รออยู่หนึ่งอึดใจอาหารก็มาเสิร์ฟ เริ่มด้วยสลัดกะหล่ำปลีสไลซ์และซุปมิโสะที่เติมเพิ่มได้ไม่อั้น นอกจากนั้นพนักงานยังวางถ้วยแปลก ๆ ใส่เมล็ดงาคั่วกับไม้ท่อนเล็ก ๆ มาให้ เธอแนะนำว่าให้บดงาให้ละเอียดตามชอบจากนั้นก็ใส่น้ำจิ้มทงคัตสึในขวดโหลบนโต๊ะได้เลย แบบนี้ก็สนุกน่ะสิ ดีนพยายามบดเม็ดงาให้ละเอียดยิบอย่างมันมือจนหลัง ๆ กลายเป็นเมื่อยแทน จากนั้นเหล่าของทอดที่เขาและแมคเคนซีสั่งก็ตามมา
“พระเจ้า หน้าตาเหมือนในรูปเป๊ะ สมแล้วที่เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น!”
แทบจะอุทานออกมาพร้อม ๆ กับคู่เดท ดีนได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานานว่าอาหารญี่ปุ่นถ้าไม่ตรงปกเป๊ะ ๆ ก็จะได้แบบที่ใหญ่กว่าในเมนู แม้จะเยอะแต่หากเป็นของทอดที่รักเขาสามารถเปิดพื้นที่ในกระเพาะเพิ่มได้อีก
“มีอะไรบ้างนะ หมูทอด อันนี้กุ้ง นี่โครเก้ต์เหรอ น่ากินแฮะ แต่นอกจากหมูมีแค่อย่างละชิ้นเอง นายอยากลองชิมไหมแมคซี่”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ไม่น่ามีอันไหนที่ฉันไม่ชอบนะ”
ดีนหัวเราะ จากนั้นเขาจึงบีบเลม่อนฝานลงไปบนของทอดในจานใบใหญ่ของตัวเอง จะว่าไปหมูทอดสไตล์ญี่ปุ่นค่อนข้างต่างจากชนิตเซิลเหมือนกันแฮะแม้จะเป็นเนื้อชุบเกล็ดขนมปังทอดเหมือนกันก็ตาม จุดที่ต่างมากที่สุดคงเป็นขนาดความหนา ทงคัตซึจะชิ้นอวบชุ่มฉ่ำแต่ชนิตเซิลจะเน้นทุบให้บางก่อนนำไปทอด (ทำไม่เป็นหรอกนะ แค่เคยช่วยคุณพ่อทุบเนื้อตอนที่บังเอิญเข้าไปหยิบน้ำส้มในห้องครัว) ซึ่งพอกินทงคัตสึเข้าไปแล้วเขาแทบจะลืมชนิตเซิลไปเลย
“ฉันเห็นด้วยเลย นี่มันแทบจะไร้ที่ติ”
ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เขาเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ก่อนจะพุ้ยข้าวสวยญี่ปุ่นเข้าปากคำใหญ่ หมูสันในที่เป็นตัวชูโรงอร่อยขนาดนี้ชักอยากชิมชิ้นอื่น ๆ แล้วสิว่าจะอร่อยขนาดไหน ชิ้นต่อไปที่เข้าปากคือกุ้ง โอเคมันอร่อยแหล่ะ แต่คำต่อไปดันอร่อยกว่า
“เฮ้ย โครเก้ต์นี่มันอร่อยสุดยอด!!”
เนื้อมันฝรั่งนุ่มเนียนไม่เหมือนโครเก้ต์ที่บ้านเกิดเอาเสียเลยแถมด้านในมีเนื้อปูรสหวานยิ่งชูให้โครเก้ต์ที่กรอบนอกนุ่มในยิ่งหวานฉ่ำ เสียดายที่มีแค่ชิ้นเดียวแต่ว่าเขาอยากจะแบ่งให้อีกฝ่ายกินด้วย ดีนคีบโครเก้ต์ขึ้นมาจุ่มซอสนิดหน่อยแล้วยื่นไปป้อนแมคเคนซี
“อ่ะ ฉันให้ชิม กินแค่นิดเดียวนะ เหลือให้ฉันด้วย”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“เฮ้ย! งาบไปเยอะขนาดเลยเหรอ!”
อ้าปากพะงาบ ๆ หลังจากที่เห็นว่าโครเก้ต์ชิ้นโตของตัวเองแหว่งจนเหลือติดปลายตะเกียบที่คีบนิดเดียว หนอย! แบบนี้ยอมไม่ได้! ดีนเอาโครเก้ต์ที่เหลือเขาปากจากนั้นก็คีบหมูทอดของอีกฝ่ายเข้าปากเคี้ยวกลืนสองชิ้นรวด ถึงหมูทอดจะอร่อยก็เถอะแต่ตอนนี้คิ้วขมวดเป็นโบว์แล้ว
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ฮึ!”
ส่งเสียงแบบคูล ๆ ออกมาหลังจากที่ยกแก้วชาที่แมคเคนซีเลื่อนมาขึ้นดื่ม จากนั้นก็ยกมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งโครเก้ต์เดี่ยว ๆ มาอีกสามชิ้น
“ถึงสั่งเพิ่มแต่ฉันไม่คืนหมูทอดให้นายหรอกนะ บังอาจมาทรยศความมีน้ำใจของฉัน”
ยังคงงอนอยู่แต่พอเอากุ้งทอดเข้าปากก็ยังทำหน้าฟินอยู่ และเพียงไม่นานโครเก้ต์ทั้งหมดสามชิ้นก็ถูกนำมาเสิร์ฟดีนเลยรีบคีบโครเก้ต์หนึ่งชิ้นมาใส่ชามข้าวของตัวเองจองไว้ก่อนเลย
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ก็ดูนายกินดิ งาบไปเยอะกว่าที่ฉันกินไปอีก”
พอกลับมาคุยกับอีกฝ่ายก็ทำหน้ามุ่ยต่อ จงใจแกล้งกันชัด ๆ ไม่ใช่เหรอไอ้หมีแพนด้าบ้ามอเตอร์ไซค์เอ๊ย! พอยิ่งโมโหก็ยิ่งกินไวปานพายุ แป๊บ ๆ ข้าวหมดจนต้องขอรีฟิลข้าวเพิ่ม ทั้งของทอดทั้งสลัดพร่องหมดไปอย่างรวดเร็ว ส่วนโครเก้ต์เจ้าปัญหาดีนกินไปสอง เหลืออีกชิ้นไว้ให้แมคเคนซี
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
คิดว่ากินของคาวเสร็จจะจบแล้วแต่พอพวกเขารับประทานกันเกือบเสร็จพนักงานก็มาถามว่ารับของหวานเลยไหม ทำเอาตกใจเลยไม่คิดว่าในเซ็ตจะมีไอศกรีมชาเขียวให้คนละสกู๊ปด้วย คุ้มค่าชะมัด ก็เลยกินกันจนพุงตึงไปหมด อิ่มแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นจนลืมโกรธที่อีกฝ่ายกวนไปก่อนหน้านั้นได้
“อยากเดินเล่นอีกฝั่งต่อ แต่ไม่เป็นไรก็ได้ เรายังเหลือที่เที่ยวอีกตั้งสามที่ใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวไม่ทัน อีกอย่างคุณไกด์เมื่อวานแนะนำให้ไปภูเขาทองด้วย เราจะไปกันไหม?”
เพิ่มสถานที่เที่ยวมาอีกหนึ่งที่จะทันหรือเปล่านะ ไม่ได้ไปคงเสียดายแย่ แต่ถ้าไปอาจจะตกรถไฟได้เนี่ยสิ…
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“รีบกลับหรือเปล่าล่ะ ฉันไม่มีอะไรที่ต้องทำหรอกนะ แต่ถ้าอยู่ต่ออีกวันค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่ม..”
รู้ล่ะว่าอีกฝ่ายมีกำลังทรัพย์พอจ่ายไหว แต่ก็อดเกรงใจคนรักไม่ได้อยู่ดีเพราะนี้ก็ให้แมคเคนซีซัพพอร์ตเงินมาตั้งเยอะ
“อื้ม แบบนั้นก็ได้ ถ้างั้นก็ตกลงตามนั้นแหล่ะ ส่วนเดินเล่นต่อ… เอาไว้ก่อนก็ได้ ยังไงช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ก็คงเหมือน ๆ กันหมดแหล่ะมั้ง ว่าแต่เดินทางไงดีล่ะ”
ปลายนิ้วสไลด์หน้าจอสมาร์ทโฟนเพื่อดูแมพขณะไปรับสัมภาระที่ฝากเอาไว้ เหมือนว่าจากสยามพารากอนไปวัดโพธิ์จะไปได้หลายวิธีเลย มีรถบัสสาธารณะไปถึงในต่อเดียวได้ด้วย เรื่องลงรถคงไม่เป็นปัญหาอะไรเท่าไร แต่เห็นมีคนชอบบ่นว่ารถบัสของไทยที่เรียกว่า ‘รถเมล์’ ไม่มีเวลาเดินทางถึงป้ายแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรอรถนานเท่าไรก็ไม่รู้
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ฉันล่ะเกรงใจคุณพ่อนายจริง ๆ”
ได้แต่ยิ้มแหย ถึงบ้านอีกฝ่ายจะเป็นเศรษฐีกลอสเตอร์ไม่เหมือนกับครอบครัวของเขาที่เป็นชนชั้นแรงงานที่แม้จะไม่ได้ลำบากก็พอจะรู้ว่าการเป็นหนี้สินมันแย่อย่างไร เอาไว้ดูก่อนอีกที ถ้ากลับไม่ทันก็คงต้องหาที่พักกันอีกคืน
“เป็นความคิดที่ดี ตามสถานที่ท่องเที่ยวพวกนั้นไม่รู้จะมีที่ฝากของหรือเปล่าด้วยสิ”
จากประสบการณ์เที่ยววัดกันมาไม่มีที่ฝากของเลยด้วย เพราะฉะนั้นไม่เสี่ยงหิ้วของหนักไปมาจนกล้ามเนื้ออักเสบดีกว่า
หลังจากที่ฝากของกันที่หัวลำโพงแล้วก็ได้เวลายิงยาวท่องเที่ยว เริ่มด้วย ‘วัดโพธิ์’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ ‘วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร’ ดีนไม่เข้าใจว่าทำไมวัดไทยถึงมีชื่อยาวและชื่อย่อ ในเชิงภาษาจะเป็นตัวย่อแบบ NASA ย่อมาจาก National Aeronautics and Space Administration หรือเปล่านะ?
แต่ก็ต้องหยุดความสงสัยไว้ก่อนเมื่อมาถึงวัด จะว่าไปวัดใหญ่ ๆ ในกรุงเทพก็มีความหรูหราและเคร่งขลังคนละแบบกับวัดในภาคเหนือ
“ดูเหมือนว่าวัดแห่งนี้จะขึ้นชื่อด้านการรักษาโรคนะ”
ดีนเปิดใบปลิวอ่าน ตอนแรกเขาคิดว่าวัดแห่งนี้ขึ้นชื่อแค่เรื่องนวดไทย แต่ความจริงแล้วที่วัดแห่งนี้มี ‘โรงเรียนแพทย์แผนโบราณและการนวดแผนโบราณ’ อยู่ในวัดเลยต่างหาก
“ฉันเคยนวดไทยที่นิวยอร์กสองสามครั้ง มันดีมากเลย นายอยากลองดูบ้างไหม?”
เกริ่นแบบนี้แปลว่าอยากนวดแหล่ะ ก็แหมพวกเขาเที่ยวกันมาตั้งหลายวัน ร่างกายย่อมเมื่อยล้าเป็นธรรมดา
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
ได้คำตอบเรื่องการเงินดูเหมือนว่าดีนต้องเปลี่ยนความคิด
“แม่ง.. น่าหมั่นไส้ชะมัด”
ใช่ซี้ งานบาร์เทนเดอร์มันเงินดีนี่นา ไม่เหมือนเขาที่เป็นพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดต๊อกต๋อย แม้ที่สหรัฐฯ จะมีธรรมเนียมจ่ายทิปยี่สิบเปอร์เซนต์ของค่าอาหารเป็นปกติ ที่ดูเหมือนว่าเหล่าพนักงานเสิร์ฟน่าจะได้เงินพิเศษเยอะ แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะดันมีกฎหมายที่ระบุให้นายจ้างสามารถจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าเงินเดือนขั้นต่ำของพนักงานที่รับทิปได้ เฮ็งซวย!
เก็บความขุ่นเคืองใจเรื่องราวในอดีตไว้เพียงแค่นั้นก่อนเพราะชีวิตตอนนี้เขาสามารถอยู่ได้ด้วยเงินภารกิจและจากการที่ช่วยเจ๊ฮาร์ปี้เก็บกวาดโรงอาหาร สาบานได้เลยว่าหากชีวิตไม่ตกต่ำจนเกินไปเขาไม่กลับไปทำงานที่นายจ้างกดขี่อีกแน่ ๆ แม้เพื่อนร่วมงานจะดีแต่ถ้าไม่มีเงินก็อยู่ไม่ได้
แต่จะว่าไปชีวิตตอนนี้ก็ถือว่าดีอยู่นะ ส่วนหนึ่งเพราะมีแฟนและแฟนยังรวยอีกต่างหาก (เขาถึงได้มานวดแผนไทยอย่างสบายใจเฉิบแบบนี้อยู่ได้) ถึงจะน่าหมั่นไส้มาก ๆ ก็ตามทีเถอะ ดังนั้นดีนจึงแอบสะใจเล็ก ๆ เมื่อได้ยินเสียงโอดครวญที่ลอยออกมาจากเตียงนวดข้าง ๆ คนไม่เคยนวดก็แบบนี้ มาครั้งแรกก็เจอของแรงแล้ว ก็ต้องยอมรับเลยว่าแรงของป้าหมอนวดดีกว่าสาว ๆ ที่นิวยอร์กเสียอีก กดคลึงแต่ละครั้งได้ตรงจุด มันเจ็บนะ แต่ว่าฟินเวอร์
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“เจ็บสิ เจ็บ ๆ แบบนี้ฟินดีจะตาย”
พูดไปก็หลับตาพริ้ม ฟังเองแล้วแอบเหมือนว่าตัวเองเป็นมาโซคิสม์ยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่ว่าช่างเถอะ นวดไปนวดมาเสียงร้องที่เตียงข้าง ๆ ก็เงียบเสียงลง ลองหันไปอีกทีก็เห็นว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว… หรือสลบหว่า?
สองชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก พวกเขานวดเสร็จเรียบร้อยจนตัวโล่งสบายติดอย่างเดียวคือกลิ่นน้ำมันนวดติดตัวหึ่งจนอยากหาที่อาบน้ำเสียเหลือเกิน
“เป็นไงบ้าง ดีใช่ไหมล่ะ” ดีนเปิดกระเป๋าเป้ควานหากระเป๋ายาก่อนจะหยิบยาแก้ปวดให้อีกฝ่ายและตัวเองคนละสองเม็ด “กินกันไว้ก่อน เดี๋ยวอาจจะเจ็บระบม”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“เชี่ยวชาญไหมไม่รู้ ฉันก็แค่เคยโดนของหนักมานิดหน่อย” ตอนนี้รู้สึกโล่งสบายตัวอยู่หรอก แต่ไปลุ้นกันคืนนี้ว่าไข้จะขึ้นไหม “เอาสิ ไปที่ต่อไปกันเลย ก่อนที่กล้ามเนื้อฉันจะอักเสบ”
ดีนกลั้วหัวเราะ เมื่อตกลงกันได้แล้วก็เดินทางไปยังที่หมายถัดไปซึ่งก็คือ ‘วัดพระศรีรัตนศาสดาราม’ หรือที่คนไทยมักเรียกกันว่า ‘วัดพระแก้ว’ นั่นเอง ถึงจะอยู่ไม่ห่างจากวัดโพธิ์มากนักแต่ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวแบบนี้คงจะเดินท้าวไปไม่ไหว (ไม่งั้นที่เพิ่งนวดมาสูญเปล่าหมดกันแน่) พวกเขาจึงต้องหารถประจำทางหรืออะไรสักอย่างเดินทางกันต่อ แล้วสายตาของดีนก็กวาดไปเห็นทั้งรถตุ๊กตุ๊กและแท็กซี่สีลูกกวาด ที่จอดอยู่ด้านหน้าวัดรอให้ผู้โดยสารใช้บริการพอดี
“แมคซี่ขึ้นตุ๊กตุ๊กกัน เขาว่าถ้ามาไทยแล้วไม่ได้ขึ้นตุ๊กตุ๊กก็เหมือนมาไม่ถึงประเทศไทย”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ก็… หลาย ๆ เรื่องล่ะนะ” ให้สาธยายว่าเคยโดนอะไรหนัก ๆ มาบ้างคงไม่ไหว แต่ถ้าเป็นสถานะเสี่ยงตายสุด ๆ คงไม่พ้นตอนที่เขาถูกหางพิษของไคมีร่าแทงไปสองที หากไม่ได้ ‘พ่อ’ ช่วยเอาไว้มีหวังซี้แหงแก๋คาหาดไมอามี่ไปแล้ว
แต่ตอนนี้พวกเขาถูกโชเฟอร์ตุ๊กตุ๊กโขกสับในราคาที่แรงเกือบเท่า ๆ กับถูกหางไคมีร่าจิ้มพุง
“งั้นเรียกคันอื่นแทนไหม ไม่ก็แท็กซี่”
แต่พูดก็พูดเถอะ ข้อเสียหลักของไทยก็คือโชเฟอร์หน้าเลือดที่ชอบขูดรีดราคาค่าโดยสารนักท่องเที่ยวจนคนที่เคยไปเที่ยวมาเตือนเป็นอันดับต้น ๆ
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ก็อยากแต่…”
ยังไม่ทันจะพูดจบก็มีหนุ่มไทยคนหนึ่งแทรกเข้ามา ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นโชเฟอร์ตุ๊กตุ๊กเหมือนกัน ใช่แหล่ะ เพราะเขาจะไปส่งพวกเราด้วยเงินแค่ยี่สิบบาทนี่นา นี่สิคนดี! ทว่าหลังจากนั้นลุงคนขับคนแรกแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาแล้วก็เถียงกันเป็นภาษาไทยยกใหญ่ ดีนที่กลัวการมีเรื่องได้แค่ยืนหลบหลังแมคเคนซี ดีที่ไม่มีเรื่องราวใหญ่โตไม่อย่างนั้นเขาคงพาคนรักวิ่งหนีออกมาแล้ว จนในที่สุดพวกเขาก็ได้รถตุ๊กตุ๊กที่ถูกและได้ชมวิวกรุงเทพอย่างสบายใจ
“เฮ้อ ดีจัง ฉันนึกว่าจะมีเรื่องกันซะแล้ว”
ดีนยิ้มออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นพวกเขาก็ซื้อบัตรเข้าชมวัดพระแก้วที่อยู่ติดกับพระบรมมหาราชวัง
เข้าสู่ช่วงเรื่องเล่าน่ารู้!
ตำนานการสร้างพระแก้วมรกตซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดที่ชาวไทยเคารพศรัทธาจนนำมาตั้งชื่อเรียกให้วัดมีอยู่ว่า.. มีมหาเถร (พระผู้ใหญ่) มหานาคเสน อยู่ที่เสนอาราม เมืองปาฏลีบุตต์ (ประเทศอินเดีย) คิดจะสร้างพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่งขึ้นมา พระอินทร์ได้รับรู้ถึงความปรารถนานั้นจึงบันดาลให้วิษณุกรรม (เทพการช่าง) นำแก้วมณีโชติจากเขาวิบูลบรรพตมาให้ แต่ยักษ์ที่ดูแลแก้วมณีไม่ยินยอม หลังเจรจาอยู่นานยักษ์ผู้ดูแลอัญมณีจึงให้มรกตมาแทนพระอินทร์จึงให้สลักเป็นรูปพระพุทธเจ้า แล้วบรรจุธาตุของพระพุทธเจ้าไว้เจ็ดแห่ง พระมหานาคเสนได้ทำนายต่อว่า ต่อไปพระแก้วมรกตนี้จะเจริญรุ่งเรืองดินแดนแถบเอเซียอาคเนย์
ต่อมาพระยาอนุรุทธราช กษัตริย์พม่าได้ส่งนักปราชญ์ทั้งหลายไปคัดลอกพระไตรปิฎกจากลังกาและได้พระแก้วมรกตกลับมาด้วย ระหว่างทางเรือสำเภาถูกนํ้าซัดไปติดอยู่ที่นครหลวง พระยาอนุรุทธราชไปขอคืนแต่พระญานครหลวงคืนให้เฉพาะพระไตรปิฎก ต่อมาพระญาอาทิตย์รบชนะเมืองนครหลวง จึงอัญเชิญพระแก้วมรกตไปที่เมืองอโยธยา ภายหลังพระรามแห่งเมืองกำแพงเพชรย้ายไปไว้ที่กรุงเทพฯ ต่อมาพระญามหาพรหมราชได้อัญเชิญไปไว้ที่เชียงราย และเมื่อพระญาติโลกราชแห่งเชียงใหม่สร้างกุฎีเสร็จ จึงอัญเชิญไปประดิษฐานที่เมืองเชียงใหม่แต่นั้นมา
แต่ก็มีอีกหลายตำนานเกี่ยวกับพระแก้วมรกตที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ บางก็ว่ากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์ในตอนนั้นรบชนะลาวแล้วนำพระคู่บ้านคู่เมืองของลาวมาประดิษฐานไว้ที่กรุงเทพแทน
“ไกด์คนนั้นบอกว่าวัดพระแก้วถอดแบบมาจากวัดที่อยุธยาเลยสินะ แทบไม่น่าเชื่อนี่มันหรูหราแบบสุด ๆ”
อดจะทึ่งกับสถาปัตยกรรมไม่ได้ ขนาดว่ารูปสลักตามกำแพงโดยรอบยังมีรายละเอียดที่วิจิตรงดงาม ไม่มีส่วนไหนที่ดูเป็นงานลวกงานเร่งเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ดีนไม่แน่ใจว่าสีทองที่เคลือบอยู่บนปูนปั้นเป็นทองจริงหรือแค่สีทา เพราะหากเป็นทองจริงก็ดูจะล่อตาโจรมากเกินไปหน่อยแม้ว่าสถานที่นี้จะอยู่ติดกับพระบรมหาราชวังเลยก็ตาม
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
น่าเสียดายที่ส่วนของพระราชวังไม่สามารถเข้าไปเดินชมได้อย่างเช่นที่ลอนดอน พวกเขาสามารถเดินเล่นได้เพียงแค่รอบนอกเท่านั้นแถมสถานที่ยังกว้างใหญ่สมกับเป็นพระบรมมหาราชวังจริง ๆ จึงทำให้สำรวจไม่ได้ถ้วนทั่วก็จำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป
ไม่ลืมถ่ายรูปสถานที่สำคัญอย่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อนั่งรถผ่าน ที่นี่คือ ‘หลักกิโลเมตรที่ศูนย์’ ของไทย เรียกได้ว่าถ้าจะนับจุดเริ่มต้นจากไหนก็คงเป็นที่นี่ แต่ดูแล้วอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นดั่งอนุสรณ์สถานมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวเนื่องจากอยู่บนเกาะวงเวียนกลางถนนที่รถยนต์วิ่งกันขวักไขว่ จึงไม่มีนักท่องเที่ยวลงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอย่างเช่นหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของสหรัฐฯ ใกล้ธรรมเนียบขาว ณ วอชิงตัน ดี.ซี.
นั่งรถฝ่าการจราจรอันพลุกพล่านของเมืองหลวงได้จนมาถึงภูเขาทอง ดีนแหงนหน้าขึ้นมองยอดเจย์ดีย์สีทองตั้งตระหง่านอยู่บนอาคารสีขาวรูปทรงคล้ายภูเขา
“นั่นน่ะเหรอภูเขาทอง มองจากตรงนี้ไม่รู้เลยแฮะว่าฐานรากเอาอิฐมาจากอยุธยา.. จะว่าไปดูใหม่กว่าที่คิดซะอีก ฉันนึกว่าคนประเทศนี้จะไม่ปฏิสังขรณ์โบราณสถานซะแล้ว”
จะไม่ให้คิดแบบนั้นได้อย่างไรในเมื่อเมืองหลวงเก่าอย่างอยุธยามีอายุไม่กี่ร้อยปีเองยังมีสภาพเหลือเป็นแค่ซาก แม้ผ่านการทำลายจากสงครามมาก็ไม่น่าทรุดโทรมขนาดนั้นหากได้รับการดูแลมาตั้งแต่ต้น
“น่าเสียดายอ่ะเข้าไปไม่ได้ ถ้างั้นเราไปที่เยาวราชต่อกันเลยไหม?”
ตอนนี้เวลาก็ใกล้ที่พระอาทิตย์จะลับฟ้าเต็มแก่ ร้านรวงต่าง ๆ น่าจะเปิดให้บริการพอดี
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
เมื่อมาถึง ‘เยาวราช’ หรือไชน่าทาวน์ของไทยแลนด์ ร้านรวงต่าง ๆ ก็เริ่มเปิดไฟสร้างสีสันแข่งกันตัดกับสีของท้องฟ้าที่มืดครึ้มลง บรรยากาศจ้อกแจ้กจอแจที่ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ของ ‘ไชน่าทาวน์’ ที่อยู่อาศัยของดีนตอนเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ในย่านแมนฮัตตัน ณ ถนนบอร์ดเวย์ เพียงแค่มีถนนเวสต์ฮูสตันตัดผ่านอีกด้านก็คือ ‘โซโฮ’ หรือไชน่าทาวน์แล้ว ภาพที่เห็นจึงมีความชินตาอยู่บ้างแม้ว่าเขาจะไม่ได้ข้ามฟากไปบ่อยหากไม่มีธุระ ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศไหนก็แทบไม่ต่างกันเลยจริง ๆ เพียงแค่ว่าร้านอาหารข้างทางของนิวยอร์กจะเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าร้านของไทยที่ยื่นออกมาตามทางเท้า แม้จะดูไม่เป็นระเบียบแต่กลับมีสีสันของชีวิตมากกว่า
“ที่นี่ไม่ต่างจากโซโฮเท่าไรเลยแฮะ แปลว่าต้องมีของอร่อยให้กินเยอะแน่ ๆ”
ดีนยิ้มยืดอย่างมั่นอกมั่นใจ เอาจริง ๆ ตั้งแต่มาไทยเขายังคิดว่าไม่มีอะไรที่ไม่อร่อยเลย เพียงแค่ว่าตนเองโหยหาอาหารตำหรับอเมริกันเท่านั้นเองจึงทำให้ความอยากอาหารไทยลดลง
“ที่อยากกินเป็นพิเศษไม่มีนะ แต่ฉันว่าถ้ามาย่านคนจีนแบบนี้เราควรจะกินอาหารจีนกันหรือเปล่า? ฉันเคยหาร้านแนะนำเอาไว้ แป๊บนึงนะ ขอดูก่อน”
กล่าวแล้วชายหนุ่มก็หยิบสมาร์ทโฟนจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสไลด์หาร้านที่เคยโน้ตเอาไว้
“ก๋วยจั๊บ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น แกงกะหรี่จีน กระทะร้อน ซีฟู้ด หรือว่าอาหารจีนดั้งเดิมไปเลย แล้วก็ร้านขนมปัง นายว่าเอาไงดี หรือว่าเราจะลองเดินหาร้านดู ร้านไหนน่ากินก็เข้าร้านนั้นดีล่ะที่รัก?”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“โอเคได้”
ดูท่าทางว่าแมคเคนซีจะติดใจการเดินตลาดเสียแล้วซึ่งทำให้ดีนค่อนข้างจะประหลาดใจนิดหน่อยเพราะดูแล้วอีกฝ่ายดูเหมือนคนที่ออกจากห้องมาเพื่อทำอะไรบางอย่างแล้วรีบกลับมากกว่าเดินดูนั่นนี่ไปเรื่อย หรืออาจเพราะนี่เป็นวันสุดท้ายของการอยู่ที่ประเทศไทยจึงอยากซึมซับบรรยากาศก็ได้มั้ง ซึ่งเมื่อเดินผ่านร้านเกาลัดพวกเขาก็ได้กลิ่นคั่วหอม ๆ ลอยเตะจมูกเข้าอย่างจัง และแม่ค้าก็อัธยาศัยดีพยายามตื๊อขายเสียด้วยจนทั้งสองได้รับเกาลัดให้ลองชิมคนละลูก
“อื้ม อร่อยดี ติดอย่างเดียวอากาศร้อนไปหน่อยถ้าได้กินตอนหน้าหนาวคงอร่อยกว่านี้”
ไม่ต้องเป็นฤดูหนาวก็ได้อย่างช่วงเวลาที่เขาชื่นชอบกินเกาลัดจากย่านโซโฮมากที่สุดคงไม่พ้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศที่เริ่มเย็นลงกับการรับประทานมันเผาหรือเกาลัดรสหวานคั่วร้อน ๆ เป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีสุด ๆ
“เอาสิ ถ้านายอยากกิน แต่ว่าอย่าเพิ่งกินเยอะนะ เดี๋ยวจะอิ่มก่อนได้กินของคาวอย่างอื่น”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
ได้ยินอีกฝ่ายสั่งเกาลัดก็ขมวดคิ้ว
‘มันจะเยอะไปไหม!’
คิดได้ว่าเป็นของฝาก แต่แมคเคนซีคงจะลืมกว่ากว่าพวกเราจะไปถึงค่ายฮาล์ฟบลัดก็เป็นวันมะรืนแล้ว (หรือพรุ่งนี้ตามเวลาท้องถิ่น) เกาลัดที่อุ่นและหอมฉุยมันจะชืดเอาน่ะสิ ต่อให้เอาไปอุ่นอีกรอบก็จะแข็งกระด้างไม่อร่อยเหมือนเดิม อ้าปากจะแย้งแต่ก็ไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายจ่ายเงินไปเสร็จสรรพ เอาเถอะ เป็นบทเรียนให้คุณหนูได้เรียนรู้ว่าซื้อมากไปก็ไม่ดี
อาหารข้างทางทำเอาพวกเขาอิ่มแปะ แล้วตอนนี้ก็ได้เวลากลับนิวยอร์กแล้วสินะ จะว่าเสียดายก็นิดหน่อย แต่พวกเขาได้เที่ยวไทยอย่างเต็มอิ่มแบบสุด ๆ แล้วล่ะ
หลังจากนี้ทั้งสองก็หอบถุงเกาลัดมากมายกลับไปที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเอาสัมภาระที่ฝากไว้จากนั้นก็ทะลุกำแพง ณ ชานชาลาหมายเลขเก้าเข้าไปยังสถานีรถไฟเฮเฟตัสสาขาไทยแลนด์ ดีนให้แมคเคนซีเฝ้าของเอาไว้ในขณะที่เขากำลังซื้อตั๋วรถไฟขากลับ ตอนแรกก็กะว่าจะใช้เงินดรักม่าที่คนรักฝากไว้ตั้งแต่ขามาจ่าย แต่ดีนพึ่งพาเงินโลกมนุษย์ของอีกฝ่ายเอาไว้เยอะตนจึงตัดสินใจใช้ดรักม่าของตัวเองจ่ายแทน
พนักงานดูเหมือนจะเป็นมือใหม่จึงทำอะไรชักช้าไปหน่อย ระหว่างที่รอดีนก็ได้ยินเสียงรายการวิทยุที่เปิดด้านในห้องขายตั๋ว
“สวัสดีค่ะพี่แจ๊ค ขอเริ่มเล่าเลยนะคะ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เลยค่ะ น้องไปเที่ยวกางเต็นท์ที่ดอยแห่งหนึ่งในภาคเหนือกับครอบครัว ทุกอย่างปกติดี แต่อยู่ ๆ กลางดึกคืนนั้นน้องได้ยินเสียงฝรั่งตะโกนว่า ‘โกสต์!!’ จนน้องตื่นขึ้นมาแต่ไม่กล้าออกจากเต็นท์ค่ะ พอมองออกไปข้างนอกน้องก็เห็นเงานักรบโบราณต่อสู้กันอยู่ น่ากลัวมากเลยค่าพี่แจ็ค แล้วหลังจากนั้น….…” (ภาษาไทย)
ด้วยความที่ฟังภาษาไทยไม่ออกชายหนุ่มจึงไม่ได้ใส่ใจและรอรับตั๋วสองใบที่ซื้อมาแล้วกลับไปหาแมคเคนซีที่รออยู่
“โทษทีที่รักรอนานไหม เหมือนว่าคนขายตั๋วจะเป็นเด็กฝึกงานน่ะ อ้อใช่ อีกห้านาทีรถไฟจะออกเดินทางแน่ะ พวกเรานี้กะเวลาได้ตรงเป๊ะเลยนะ” เขาหัวเราะ “แล้วก็นี่ ถุงเงินดรักม่าของนาย ฉันคืนเลยก็แล้วกัน”
ดีนคืนเงินดรักม่าที่แมคเคนซีไว้วางใจเอามาฝากโดยที่เงินในถุงไม่ได้พร่องลงแม้แต่น้อย ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันต่อเสียงหวูดรถไฟสไตล์คลาสสิกก็ดังขึ้น
“โอ๊ะ มาแล้ว รีบไปกัน!” ดีนตบบ่าคนรักเบา ๆ ก่อนจะรีบหอบข้าวของแล้วตรงไปขึ้นรถไฟในทันที...
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]

จ่ายค่ารถไฟเฮเฟตัสกลับนิวยอร์ก
ห้องพิเศษ 100 ดรักม่า (รวมภาษี = 106 ดรักม่า)
|