12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Johnathan

[บันทึกการเดินทาง] | นรกของโจนาทาน!! |

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2024-9-26 01:06:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด





IX

July..
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี...

จากเรื่องที่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า.. ทหาร.. ไม่สิ! ต้องเรียกว่าอดีตนายทหารจะดีกว่า พวกเขาในตอนนี้ได้สร้างเรื่องขึ้น หลังจากที่ทำภารกิจ โดยขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาฯ ทำให้พวกเขาทั้งสี่คน ถูกปลดจากหน้าที่และถูกส่งแยกไปตามเรือนจำต่างๆ โดยที่หมายจะให้ทั้งสี่ไม่ทำการร่วมมือกันแหกคุกออกมาได้อีก แต่พวกเขานั้นหาได้ไร้พิษสงแม้จะอยู่เพียงคนเดียว.. ทั้งหัวหน้าทีมซึ่งมีระดับเป็นถึงพันเอกฯ ได้ทำการเปิดก่อนเพื่อน โดยการแหกคุกแบบที่เรียกได้ว่า คนธรรมดาทั่วไปไม่คาดคิด แล้วจึงตามไปช่วยคนอื่นๆซึ่งเป็นลูกทีมของเขาอีกสามคน และตอนนี้พวกเขาทั้งสามคน กำลังจะมาช่วยเพื่อนในทีมที่เหลืออีกหนึ่ง ซึ่งเรียกได้ว่าสำคัญมากกับทีม.. 
เพราะอะไรน่ะเหรอ? 

ก็เพราะทีมนี้คงจะไปไหนไม่ได้หากขาดนักบินประจำทีม

ณ สถานบำบัดจิตเวช...

"แน่ใจเหรอว่าวิธ๊นี้จะได้ผล?" จิตตแพทย์คนนึงเอ่ยถาม ขณะที่พยาบาลจิตเวชกำลังจะเริ่มบำบัดโดยวิธ๊การช็อตไฟฟ้า

"ต้องรอดูการเปลี่ยนแปลง"

"แต่นี่มันก็ต้องสามหนแล้ว แถมกระแสไฟที่บำบัดกับเขาก็มากขึ้นตลอดทุกๆครั้งที่เราบำบัด เราไม่รู้ว่าจะมีทางไหนแล้วจริงๆ

ในขณะที่ทั้งสองจิตตแพทย์ปรึกษากันเรื่องคนไข้ที่อยู่ในห้องบำบัดนั้นเอง กระแสไฟที่เพิ่มจนถึงขั้นสู.ส่งผลให้กระแสไฟภายในสถาบันบำบัดมีปัญหา และมีดสียงๆนึงดังออกมาจากในห้องบำบัด

"โอเค ผมว่าผมดีขึ้นแล้วอ่ะนะ" เป็นคำพูดที่ฟังดู ไม่น่าเชื่อถืออย่างแรง.. ก็ถ้าให้ฟันธงอย่างไม่สงสัย.. เขาไม่ได้บ้านั่นเอง..

หลังจากนั้น คนไข้คนนี้ก็ถูกพามายังห้องพักรวมซึ่งภายในมีผู้ป่วยทางจิตจำนวนมากกำลังทำกิจกรรมที่คนธรรมดาทั่วไปนั้นก็คิดไม่ถึง ก็เพราะพวกเขานั้นบ้า มียกเว้นอยู่คนนึง ที่จิตใจของเขานั้นอยู่ระหว่างความอัจฉริยะกับความบ้า และคนโดยรอบก็คิดว่าตัวเขานั้นเป็นบ้า เลยถูกจับส่งมาที่แห่งนี้..

ในขณะนั้นเอง..

"อ่า หมวดลิตเตอร์ มีของมาส่งจากคนที่ชื่อ แอนนาเบล สมิทธ์.. 

"เอ่อๆ แต่เราไม่รู้จักคนที่ชื่อว่าแอนนาเบล สมิทธ์" ชายปัญญาอ่อนคนนึงเอ่ยขึ้น นั่นทำให้คนไข้ที่เพิ่งถูกบำบัดมาแอบยิ้มมุมปาก ราวกับว่า ได้เวลาของเขาแล้ว เขาลุกเดินไปหาชายปัญญาอ่อนคนนั้น พร้อมกับเอ่ยปากบอกให้อีกฝ่ายนั้นได้รู้.. ซึ่ง แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง..

"ต้องรู้จักอยู่แล้วสิ.. แอนนาเบลคนนี้ จำพยาบาลจากดานังได้มั้ย" เขาลุกไปและเดินปรี่ไปตรงหน้าของชายปัญญาอ่อนที่กำลังถือกล่องพัสดูนั้นอยู่ก่อนจะหยิบมันมาและเอ่ยตอบกับชายปัญญาอ่อนคนนั้นกลับไป..

"สาวผมแดงที่พิการแขนขาไง" คำพูดที่ชักจูงให้อีกฝ่ายคล้อยตาม แน่นอนว่าคนด้อยสติปัญญาย้อมถูกชายผู้นี้ปั่นประสาทได้อย่างไม่ยากเย็น แอนนาเบล สาวพยาบาลพิการแขนขาตอนนี้จากที่ไม่มีตัวตน ตอนนี้มีแล้ว และเธอนั้นได้ส่งพัสดุบางอย่างมาให้

เมื่อแกะกล่องดูข้างใน พบว่าภายในนั้นมีของที่น่าสนใจอยู่ ขณะที่คนรอบโต๊ะนั้นต่างก็ทำหน้าตื่นเต้นพร้อมรำพึงออกมา

"แอนนาเบลๆ ความสามารถเหนือขนาด" 

ด้านในนั้น มีแว่นสามมิติแบบสลับสี พร้อมกับแผ่นดีวีดีที่ใส่มาด้วยพร้อมกัน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความชุลมุน ด้วยความดีใจของผู้ป่วยในห้องพักนั้น เพราะพวกเขาจะได้ดูหนังสามมิติกัน ความวุ่นวายที่ชวนน่ารำคาญนั้น พาลให้สองผู้คุมที่ยินนิ่งสงบต่างพากันวางแผนที่มักง่ายเอาไว้ในหัวของพวกเขา

"เอ่ออ ขอกระชับพื้นที่สักสองชั่วโมงได้มั้ยเนี่ย?"

"สั่งพิซซ่ามาแล้วใส่ยาสลบให้พวกบ้านี่กินสะ"

เสียงที่ดังระงมไปด้วยคำว่า"ดูหนัง"ก็นำพาให้เหล่าผู้ป่วยทั้งหลายเข้าไปในห้องฉายภาพยนตร์ ซึ่งในขณะนั้นเอง เจ้าหน้าที่สามคนจากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯก็ได้เข้ามา แน่นอนว่าเป้าก็คงจะไม่ใช่ใครอื่น ผู้ป่วยคนสำคัญ ร้อยเอก ฮาวลิ่ง แมด อาร์ เมอด็อก ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการลับฯ และตอนนี้ก็อยู่ในกลุ่มของผู้ป่วยในสถาบันจิตเวชฯ.. โรงพยาบาลจิตประสาทนั่นเอง..

ในขณะนั้นเองที่เมอด็อกปิดม่านกันแสงก่อนจะเดินไปยังมู่ลี่ที่ปิดกันแสงเอาไว้ เขาได้เห็น คนกลุ่มเดิมที่พวกเขาทั้งสี่รวมถึงเมอด็อกนั้นได้เจอในก่อนหน้านี้ก่อนที่จะอุทานเสียงเบาๆด้วยความหวดกลัวแบบเล่นๆ

"นางมารร้ายแล้ว.." 

หลังจากนั้นเมอด็อกจึงพยายามรีบสงบสติปรรยาการในห้องและเริ่มเปิดหนัง ก่อนที่ตัวเองนั้นจะไปนั่งรวมกับผู้ป่วยคนอื่นๆ แน่นอนล่ะว่าเขานั้นไม่บ้า แต่เพื่อความปลอดภัย ก็ต้องแกล้งบ้าเอาไว้ก่อนไม่เสียหาย จนกระทั่ง คนของกลาโหมฯเข้ามาในห้องและเดินเข้ามาทักทายกับเมอด็อก มีที่ไหนที่คนบ้าจะทักตอบ จะแกล้งบ้าแล้วก็เอาให้สุด เมอด็อกทำทีเอ๋อใส่หญิงสาวที่นำทีมมาก่อนจะกล่าวทักทาย

"ผู้กองเมอด็อก คุณจำฉันได้มั้ย เราเคยเจอกัน" หญิงสาวนอกเครื่องแบบเอ่ยถามต่อหน้าคนบ้าที่ไม่ได้บ้าจริง เพียงแค่แกล้งเอ๋ฮไปเท่านั้น

ซึ่งคำตอบนั้นก็เป็นไปตามที่เห็น เมอด็อกทำทีเหมือนคนเอ๋อใส่หญิงสาวคนนั้น ทหารนายที่ตามมาด้วย เมื่อเห็นสภาพของเมอด็อกก็ด่วนสรุปออกไปอย่างไม่ทันได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน

"ไม่มีประโยชน์หรอก คนมันบ้า แบบนี้เข้าขั้นเอ๋อด้วย"

"เขาคงโด้ปยาไว้เยอะ" ทหารอีกนายเสริม ก่อนที่หญิงสาวจากกลาโหมจะพูดต่อ

"เพื่อนร่วมทีมของเขาแหกคุกหนีไปหมดแล้ว เหลือแค่เขาคนเดียว" 

ในขณะนั้นเอง เสียงเพลงก็ดังขึ้น จอภาพยนตร์เริ่มฉาย ดึงความสนใจของทั้งสามให้หันไปยังจอฉายหนัง

ภายในภาพยนตร์นั้น แสดงให้เห็นถึงรถฮัมวี่กำลังขับเขามาด้วยความเร็วที่เหมาะสมกับดนตรีปลุกใจในแบบทหารหาญ ตัวหนังสือขึ้นแสดงชื่อของผู้กำกับ และทีม และสุดท้ายก็คือชื่อของหนังเรื่องนี้

"Great Escape" ซึ่งถ้าจะให้แปลง่ายๆ มันก็คือ.. แหกคุกนรก...

*ตูมม!!*

ราวกับวัตถุในภาพยนตร์ที่ฉายนั้นทะลุออกมาจากจอภาพ แต่ที่ไหนได้ เป็นรถฮัมวี่จริงๆที่พุ่งชนเข้ามาในจังหวะนั้นอย่างพอดิบพอดี ราวกับมีใครเตรียมแผนการนี้เอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ สภาพในตอนนี้ก็คือ เจ้าหน้าที่จากกลาโหมรวมถึงนายทหารสองนายกระเด็นเสียหลักจนล้มไม่เป็นท่า แต่ตรงกันข้าม ผู้ชมในห้องที่เมื่อเห็นรถฮัมวี่พุ่งเข้ามาก็พลันคิดไปว่ามันเป็นความสมจริงของหนัง พากันปรบมือโห่ร้องกันยกใหญ่ ซึ่งในจังหวะนั้นเอง เมอด็อกที่ได้จังหวะก็รีบกระโดดขึ้นรถพร้อมกับร่ำลาสหายในที่นั้นอย่างเห็นมิตร

"เฮ้ ฉันต้องไปแล้ว เล่าตอนจบให้ฟังด้วยล่ะ"

 และอีกคนที่ยื่นหน้าออกมาทักทายแฟนเก่า

"ราชรถมาเกยแล้วผู้กอง โอ้นั่น เฮ้ไงมาริสา คุณสวยขึ้นเยอะเลยนะ"

จังหวะชุลมุนอย่างนั้นหญิงสาวฯดึงสติของตนเองได้ก่อนได้ชักอาวุธปืนออกมายิงสกัดคนร้ายที่ตอนนี้กำลังจะหลบนี้ ซึ่งเอาจริงๆทั้งสี่นั้นหนีออกมาได้อย่างสำเร็จเรียบร้อย อดีตสิบโท บอสโก้ บาราคัสที่ตอนนี้จับพวงมาลัยเป็นคนขับได้ใส่เกียร์ถอยหลังพร้อมกับเปลี่ยนทิศทาง ขณะที่ทั้งสามพยายามยิงสกัดรถอย่างเคร่งเครียด 

"โว้วๆ เธอยิงมาแล้ว ยิงมาจริงๆด้วย"

"หดหัวเข้ามาสิวะไอ้บ้าเอ้ย!"

"กระสุนสามมิตินั่นเหมือนกระสุนจริงๆเลย"

"ก็นั่นมันกระสุนจริงๆน่ะสิเว้ยไอ้บ้านี่"

*ปุ้ง!!*

กระสุนนัดนึงเจาะเข้าไปที่ยางด้านหลังซ้ายของรถที่พวกเขานั้นกำลังจะหนีซึ่งมันยังเหลืออีกสามล้อที่มันยังวิ่งได้ และพวกเขาที่ตอนนี้ครบทีมสี่คนเรียบร้อยพร้อมกับหัวหน้าทีมก็ได้ฝ่าเข้าฐานทัพอากาศของสหรัฐฯที่ตั้งอยู่ในประเทษเยอรมันเพื่อทำการออกไปจากที่ตรงนี้ให้ได้.. 

"บีเอ นั่นขับไปตรงนั้น" ผู้พันฮัลนิบาลชี้ไปยังเครื่องบินขนส่งลำใหญ่ที่กำลังจอดอยู่ นั่นทำให้บาราคัสเกิดอาการเกร็งขึ้นมาจับจิต แต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งได้ จึงขับตรงดิ่งไปที่เครื่องบินลำนั้น และทั้งสามก็ลงจากรถ ยกเว้นบาราคัสคนเดียวที่ไม่

"เฮ้ บีเอ ลงมาได้แล้ว เราต้องไปกันต่อ" เฟซแมน บอกกับสหายในทีมที่ตอนนี้ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในรถไม่ยอมออกไป

"เอ่อ คือ เอ่อ.." บีเอ ทำได้เพียงอ้ำออึ้ง ซึ่งแน่นอนว่าทุกๆคนในทีมนั้นรู้ดี ว่าบีเอนั้นกลัวเครื่องบิน จากที่เมอด็อกได้ก่อวีรกรรมกับเขาเอาไว้ที่เม็กซิโกเมื่อหลายเดือนก่อน

"ไม่เอาน่า บีเอ นายเป็นบ้าอะไรของนายอีกวะเนี่ยฮะ"

"พวกนายก็รู้ ฉันจะไม่นั่งเครื่องบินกับไอ้นักบินบ้านั่น" บีเอเอ่ย ก่อนที่เพื่อนๆในทีมสองคนจะเปิดประตูรถและลากร่างอันบึกบึนของชายร่างใหญ่ออกมาจากที่นั่งคนขับ และพยายามที่จะพาขึ้นเครื่องให้ได้ ในขณะนั้นเอง ผู้พันฮัลนิบาลได้ขึ้นไปยังเครื่อง ซึ่งในขณะนั้นเองก็มีนายทหารสองนายประจำการอยู่บนเครื่องเพื่อซ่อมบำรุง ฮัลนิบาลไม่รอช้าเข้าทักทายปราศัยอย่างเป็นมิตร โดยที่มีเสียงโวยวายจากด้านหลังดังมาเป็นระยะๆ

"สวัสดีทุกท่าน" ฮัลนิบาลกล่าวทักทาย ก่อนที่จะเริ่มบทสนทนาต่อ

"พวกคุณมีอาวุธหรืออยากจับนักโทษหนีคุกมั้ย?" คำถามนี้สร้างความฉงนให้กับทหารที่กำลังซ่อมบำรุงอยู่บนเครื่อง ขณะที่ทั้งสามคนที่ด้านหลังเครื่องก็ยังวอแวเรื่องที่บีเอจะไม่ยอมขึ้นเครื่อง จนจำต้องลากร่างของบีเอเข้ามา ในขณะที่อีกฝ่ายก็ยื้อยุดฉุดกระชากเพื่อไม่อยากให้ตัวเองขึ้นเครื่อง

นายทหารทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่จะหันกลับไปตอบท่านผู้พัน

"ไม่ครับ"

"ผมก็ไม่.. นั่นหมายความว่า"

เพียงบทสนทนาสั้นก็ทำให้นายทหารทั้งสองนั้นรู้ได้ทันที

"คุณจะเอาเครื่องบินไปเหรอ?" คำตอบนั้นทำให้ผู้พันรู้สึกถูกใจอย่างยิ่ง

"เพราะอย่างนี้ไงผมถึงได้มาเป็นทหาร"

ผู้พันที่เกลี้ยกล่อมนายทหารให้ลงจากเครื่องอย่างไร้การขัดขืน ได้ยื่นมือจับทั้งสองพร้อมกับพูดกับทั้งสองด้วยถ้อยคำที่ยกย่อง

"เก่งและมีสมอง ผมรบกวนพวกคุณเพียงเท่านี้ล่ะ ขอบคุณ" 

ตอนนี้ทั้งเครื่องไม่มีใครอื่น นอกจากพวกเขาทั้งสี่คน โดยที่คนนึง ก้ไม่เต็มใจที่จะขึ้นมานั่งในห้องคนขับ ต่างบ่นไปต่างๆนาๆ

"กุญแจอยู่ไหน ฉันต้องใช้มัน" เมอด็อกเอ่ยเชิงเย้าหยอก เพราะเอาจริงๆ เครื่องบินนั้นไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจเหมือนรถยนต์ด้วยซ้ำ

"อะไร กุญแจอะไร แกไม่ต้องใช้มัน แกไม่ต้องขับเครื่องนี้ ไม่ต้องใช้ ใช้ทำไม? จะให้มันขับเหรอ? ไอ้หมอนี่เพิ่งหลุดออกมาจากโรงบาลโรคจิต ฮัลนิบาล ปล่อยนักบินจริงไปแล้วเหรอ?"

"ไม่เอาน่าบีเอ อย่าเครียดไป ไม่ถึงตายหรอก" ฮันนิบาลปลอบประโลมชายร่างใหญ่ที่ตอนนี้ถูกรัดด้วยเข็มขัดนักบินอย่างแน่นกระชับ ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังคงบ่นไม่หยุด 

"เอานี่ไปกินสะเม็ดนึง เอา.." เมอด็อกยื่นยาเม็ดนึงให้บีเอให้อีกฝ่ายถือ เพื่อกระดกลงคอไป แต่ก็เกิดคำถามกับพี่เบิ้มอยู่ดี

"นี่อะไร? กินแล้วหลับมั้ย เพราะถ้าฉันไม่หลับแกจะต้องหลับ"

ไม่ทันที่พี่เบิ้มของเราจะพูดจบ เมอด็อกก็เริ่มกวนใส่

"บีเอปุ่มมันเยอะ ฉันสับสนไปหมด" เมอด็อกรู้ว่าบีเอในตอนนี้เป็นยังไง แต่ก็ยังไม่หยุดแกล้งอีกฝ่ายให้โมโห ซึ่งไม่ได้ผล เขากดปุ่มเตรียมจุดระเบิดเครื่องยนต์ทั้งสี่เกือบจะเสร็จเรียบร้อย

"อย่ากวนตีน อย่าเล่นเมอด็อกรีบไปเหอะ" ทางผู้พันเอ่ยกับนักบินให้เร่งมือให้พร้อมที่สุด

"ฮันนิบาล ให้หมอนี่ขับเหรอ งั้นฉัน เอ่อ ฉันจะไปมอบตัว" คำพูดที่ดูสิ้นหวังนี่ มันแสดงให้เห็นชัดว่าบีเอนั้นกลัวการบินมากขนาดไหน

"เมอด็อกเร่งมือเข้า อย่าเล่นเมอด็อกรีบไปเถอะ"

"ปุ่มนี้ปุ่มอะไรเนี่ย อุ้วว!! นี่สินะขอบอก" เมอด็อกกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ทั้งสี่ เครื่องยนต์ใบพัดค่อยๆเริ่มทำงานอย่างช้าๆ และเพิ่มรอบหมุนมากขึ้น จนกระทั่งถึงจุดที่สามารถออกตัวไป เมอด็อกปลดห้ามล้อและเปลี่ยนไปจับคันบังคับแทน สีหน้าของบีเอสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด

ในขณะเดียวกันนั้นเอง รถเอสยูวีที่ขับเข้ามาในลานบินหมายจะจับผู้ต้องหาที่ตอนนี้ทั้งสี่อยู่บนเครื่องเรียบร้อยและพร้อมออกบิน เกิดการประจันหน้ากันระหว่าง เครื่องบินลำเลียงลำใหญ่ยักษ์กับรถเอสยูวีพลเรือน เมื่อเห็นไม่เข้าถ้า มาริสาหรือสิบตรีหญิงฯสั่งให้ทหารที่จับพวงมาลัยเบรคและใส่เกียร์ถอยหลังในทันที

"เฟส เด็กแกกลับมาแล้วล่ะ" เมอด็อกที่เห็นรถเอสยูวีเบื้องหน้าโดยที่ภายในนั้นคือแฟนเก่าของเฟซ แต่ก็ไม่ได้สนใจ เมอด็อกเร่งความเร็วเครื่องขึ้นเรื่อยๆซึ่งรันเวย์นั้นคือจุดจอดของเครื่องขับไล่จำนวนมาก ที่เปิดฝากระจกนิรภัยค้างเอาไว้อยู่ทุกลำ แน่นอนว่ามันยิ่งสร้างความวินาศสันตโรมากขึ้นไปอีก 

ปลายปีกของเครื่องกระแทกฝาปิดนิรภัยของเครื่องบินขับไล่พังเสียหายไปเรื่อยๆ โดยไม่มีท่าทีว่านักบินนั้นจะสนใจ แน่นอนเขาไม่สนใจแน่ เพราะแม้แต่รถเอสยูวีที่พยายามขับถอยหลังอย่างสุดแรงก็ไม่ได้สนใจ ขอเพียงแค่เครื่องค่อยร่อนขึ้นจากพื้นได้เป็นพอ

"ขณะนี้ ซี-130 ตรงเข้าวัดใจกับรถเบนซ์"

"เอาเครื่องขึ้นเมอด็อก" ฮันนิบาลสั่งการ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายติดเล่นเกินไป


 ใช้คำว่านักบินโนสนโนแคร์สิ่งใด เมอด็กค่อยดึงคันบังคับเข้าหาตัวอย่างช้าๆพลางร้องเพลงไปขณะที่เครื่องค่อยเชิดหน้าขึ้นอ และเพียงนิดเดียว เครื่องก็แทบจะเหยียบรถตรงหน้าแล้ว

El diablo esta niña, El diablo esta niña, El diablo esta niñaaaaaaaaaaaa

เสียงร้องระงมของทั้สามในรถที่โดนฐานล้อของเครื่องฯกระแทกใส่จนบุบทำเอาทั้งสามใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม..ก่อนจะหันไปมองเครื่องบินลำเลียงลำใหญ่ที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไป

เมอด็อกที่เห็นว่าตัวเองทำอะไรลงไป มันทำให้เขานั้นรู้สึกบันเทิงจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ขณะที่ผู้พันสมิทธ์ของทีมนั้นหน้าตึงอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก็เข้าใจ และไม่สนใจอะไรมากไปกว่า ไปให้ถึงจุดหมาย ซึ่งก็คือ กลับสหรัฐฯ เพื่อภารกิจที่ตอนนี้ มีคนที่กำลังเราพวกเขาให้ไปช่วยอยู่...

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 48389 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-9-26 01:06
โพสต์ 48,389 ไบต์และได้รับ +10 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +6 ความศรัทธา จาก ช่ำชองการรบ[II]  โพสต์ 2024-9-26 01:06
โพสต์ 48,389 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก ดุจสายลม  โพสต์ 2024-9-26 01:06
โพสต์ 48,389 ไบต์และได้รับ +4 ความศรัทธา จาก น้ำหอมบุรุษ  โพสต์ 2024-9-26 01:06
โพสต์ 48,389 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-9-26 01:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ช่ำชองการรบ[II]
กระโดดแห่งชัยชนะ
น้ำหอมบุรุษ
นาฬิกาสปอร์ต
มีดสั้นสัมฤทธิ์
ความถึก
กำไลหินนำโชค
เกราะหนัง
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โล่อัสพิส
หอกกรีก
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x4
x60
x4
โพสต์ 2024-10-2 03:40:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด





X

July..

เรื่องราวในตอนนี้ ยังคงอยู่กับโคตรทีมมหากาฬที่ตอนนี้พวกเขาสามารถหนีออกมาจากคุกได้ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย และได้ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เข้าสู่น่านฟ้าของทวีปอเมริกาเป็นที่เรียบร้อย ด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันแยบยล เพียงแค่อดีตนักบินของหน่วยปฏิบัติการลับ พวกเขาสามารถเติมเชื้อเพลิงทางอากาศได้อย่าง่ายดาย โดยที่ไม่มีใครสงสัย ก็ไม่รู้ว่าด้วยเล่ห์กลหรือมนต์คาถา แต่สุดทายพวกเขาก็สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาจนได้ และมุ่งหน้ามายังที่หมายที่พวกเขานั้นได้รับบัญชามาจากเบื้องบน ให้ช่วยนำทาง นักท่องเที่ยวจำนวนนึงให้เดินทางต่อไปได้...

ในขณะเดียวกัน.. ที่โมเตลในเมืองแกรนด์ขังค์ชั่น จริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นโมเตลทั่วไปหรอก แต่เป็นโรงแรงระดับสามดาวที่พอจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปได้อยู่ไม่น้อย 

ซึ่งตอนนี้ ท่ามกลางความมืด เหล่าปีศาจจากขุมนรกต่างเข้าโรมรัมชายร่างใหญ่ที่มีเพียงหนึ่งเดียวที่ตอนนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่มองเห็นเหล่ากากเดนปีศาจจากขุมนรกเหล่านี้ มีผลทำให้ไฟต่างๆ แสงสว่างโดยรอบบริเวณถูกความมืดจากขุมนรกกลืนกินจนมืดสนิท แต่ด้วยความกล้าหาญที่มีและศรัทธาที่เพียงพอที่จะมีอานุภาพอยู่บ้าง ชายหนุ่มได้ใช้บางสิ่งเทราดลงบนดาบยาวของเขาก่อนที่จะเริ่มสวดบทสรรเสริญ 

"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกำชัยอยู่เหนือหมู่มารทั้งปวง..
ขอพระองค์ทรงประทานกำลังแด่ลูกผู้โง่เขลาเบาปัญญา
ทรงชี้นำและเปิดทางสว่างให้แก่ลูกผู้กำลังจะนำเหล่า..
นรชนผู้วิปลาสผู้ล่วงเกินต่อพระองค์กลับสู่ขุมนรกดังเดิม..
....
อาเมน.."

*พรึบบ!!!*

ทันทีที่ชายร่างใหญ่นั้นจุดไฟใส่ของเหลวศักดิ์สิทธิ์ที่ชโลมทั่วทั้งคมดาบลงไป ก็พลันเกิดเปลวไฟที่โหมกระหน่ำบนใบดาบ เปลวไฟที่โชดช่วงชัชวาลนั้นพาทำให้เหล่ากากเดินของปีศาจจากขุมนรกบางตัวสลายไปด้วยอำนาจแห่งเปลวเพลิง แต่ก็ยังมีบางตนที่ยังสามารถทานทนต่ออำนาจเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ เหล่าปีศาจที่เหลือจึงใช้โอกาสที่ชายร่างใหญ่ยังไม่เริ่มโจมตีพุ่งเข้าใส่ แต่กับปีศาจจากขุมนรก จังหวะของพวกมันก็นรกพอกับชื่อของมัน ขณะที่พวกมันพุ่งเข้ามาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คมดาบที่ใหญ่และยาวตัดผ่านพร้อมกับแผดเผากายหยาบที่ผุดจากนรกขึ้นมาจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน 

ชายร่างใหญ่ที่ตอนนี้เข้าโรมรัมกับศัตรูจำนวนมากในคราวเดียวด้วยทุกสิ่งที่เขามี เขากางโล่ห์ของเขาออกมาเพื่อป้องกันในจังหวะที่พวกมันเสียหลัก ในมือของเขาที่ถือปืนอยู่นั้น ก็พลันเหนี่ยวไกสวนไปอย่างทันท่วงที เป็นการสอดประสานท่วงท่าของการโจมตีและตั้งรับในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มร่างใหญ่นั้นเกิดความคึกฮึกเหิมในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่า ช่วงเวลาแบบนี้ ไม่ได้มีบ่อยๆ ที่จะมีศัตรูเข้ามารุมกินโต๊ะตัวเขาคนเดียวแบบนี้ เขาจึงได้ใช้ทักษะที่เขานั้นได้ฝึกฝนมาด้วยตนเอง กับเหล่ากากเดนปีศาจเหล่านี้จนกลุ่มสุดท้ายที่เข้าจู่โจม ชายร่างใหญ๋ได้ปักคมดาบใหญ่ของเขาลงพื้น และด้วยอานุภาพของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ได้สร้างคลื่นเพลิงแผ่ขยายออกไปราวกับเป็นการระเบิด ด้วยรัศมีการระเบิดของมันนั้นเอง ทำให้เหล่ากากเดนปีศาจที่เหลือถูกเปลวเพลิงฯสลายร่างจนไม่เหลือแม้แต่เพียงเถ้าถ่าน..

ในตอนนี้แสงสว่างกลับมาส่องแสงได้ดังเดิมแล้ว ไฟทุกดวงโดยรอบเริ่มกลับมาติดและใช้ได้ดังเดิม ชายร่างใหญ่ ที่ตอนนี้เขาได้มองไปโดยรอบ ในพื้นที่ ที่ตอนนี้มีเพียงความว่างเปล่าและสิ่งต่างๆโดยรอบที่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ล่วงรู้ได้ทันทีว่า ระรอกนี้ได้หมดไปแล้ว การต่อสู้ในรอบนี้นั้นจบลงแล้ว ชายร่างใหญ่สังเกตุได้ถึงอีกสิ่งที่เขาเพิ่งจะรู้สึกได้ นั่นคือลักษณะของโล่ห์ที่ติดที่แขนของเขา เพราะในตอนแรกนั้นมันยังเป็นโล่ห์สัมฤทธิ์รูปวงกลมเหมือนกับของชาวสปาร์ตัน เพียงแต่ตอนนี้ มันเปลี่ยนรุปร่างของมันไป จากที่เป็นรูปวงกลม ตอนนี้ มันได้แปรเปลี่ยนรูปร่างของมัน กลายเป็นรูปทรงที่ดูยังไงก็คือทรงกางเขนชัดๆ แถมยังมีรายละเอียดที่เปลี่ยนไปมากจนเขานั้นรู้สึกประหลาดใจในการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่เมื่อเขาเก็บมันเข้าไปอยู่ในรูปร่างที่เหมาะสม ก่อนจะกลับสู่รูปร่างของสมาร์ทวอช มันก็ยังเปลี่ยนรุปทรงของมันเป็นโล่ห์กลม ก่อนที่จะกลับไปอยู่ในรุปของสมาร์ทวอชดังเดิม เหมือนกับว่า รูปร่างของโล่ห์นั้น ในบางครั้งมันก็เอื้อประโยชน์ต่อผู้เป็นเจ้าของของมันเองเหมือนกัน..

 พวกเด็กยังคงพักอยู่ในห้องพักต่อไป มีเพียงเขาที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ดูแลเด็กๆเหล่านั้นที่เขานั้นรับพวกเขาเข้ากลุ่มเดินทางมาด้วยทำหน้าที่ในครั้งนี้แทนเพื่อให้พวกเด็กๆได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม เพราะหลังจากนี้ จะเป็นการเดินทางล้วนๆ ไปยังรัฐต่อไป.. 
...
ที่ลอสแองเจลิส...

....

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15585 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2024-10-2 03:40
โพสต์ 15,585 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 เกียรติยศ +6 ความกล้า +3 ความศรัทธา จาก ช่ำชองการรบ[II]  โพสต์ 2024-10-2 03:40
โพสต์ 15,585 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก ดุจสายลม  โพสต์ 2024-10-2 03:40
โพสต์ 15,585 ไบต์และได้รับ +4 ความศรัทธา จาก น้ำหอมบุรุษ  โพสต์ 2024-10-2 03:40
โพสต์ 15,585 ไบต์และได้รับ +3 EXP +4 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-10-2 03:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ช่ำชองการรบ[II]
กระโดดแห่งชัยชนะ
น้ำหอมบุรุษ
นาฬิกาสปอร์ต
มีดสั้นสัมฤทธิ์
ความถึก
กำไลหินนำโชค
เกราะหนัง
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โล่อัสพิส
หอกกรีก
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x4
x60
x4
โพสต์ 2024-10-29 22:48:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Johnathan เมื่อ 2024-11-11 18:15






XI

July..

สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนก่อน เล่นทำเอาฉันไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไม่คิดว่าจะมีใครที่สะกดรอยตามมาได้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างคิดไว้เสมอไป.. ตอนนี้ฉันยังต้องการการพักผ่อน ความรู้สึกของร่างกายในตอนนี้ ฉันนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ ไร้ซึ่งคนนำทาง มีแต่เพียงคำบอกใบ้ที่นำพาฉันและเด็กๆที่มาร่วมชะตากรรมด้วย ไปยังจุดหมาย โดยที่ฉันเองก็ไม่อาจจะล่วงรู้ถึงอนาคตได้เลยว่ามันจะเป็นเช่นไร ฉันก็คงได้แต่หวังลมๆแล้งว่า การเดินทางที่ฉันรู้สึกว่ามันไกลแสนไกลนี้ อุปสรรค์ในการเดินทางหน้าจะน้อยลง ไม่ก็ขอให้มันคงอยู่ในระดับนี้ ตลอดไปในการเดินทางต่อไปหลังจากนี้..

คืนนั้น หลังจากที่เสร็จศึกกับเหล่าอมนุษย์ที่ถูกส่งตรงจาก.. นรกขุมไหนสักขุม เหมือนเป็นการท้าทายและสร้างความคุ้นชินให้กับตัวฉันเองไปในตัว.. หลังจากที่เห็นว่า ไม่มีกากเดนของเหล่าสัตว์นรกนี้เหลืออยู่ ฉันจึงปลอดกังวลไปได้หน่อย ก่อนที่จะขึ้นไปชำระล้างร่างกายที่เปรอะเปื้อนเต็มตัวไปด้วยคราบเลือดเหม็นๆของเหล่าสัตว์นรกเหล่านั้น ก่อนที่จะเดินกลับมาพักอีกครั้ง ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง ยังพอมีเวลาให้ฉันได้หลับตาพักผ่อนอย่างสนิท แต่แล้ว..

"แหม่ๆ บุตรชายแสนวิเศษของแม่ ไม่นึกว่าตลอดกาลยาวนานท่ผ่านมา มันยังคงติดอยู่ในอนุสัยของเจ้าจนกลายเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในกายเจ้ามาตลอด แม้กระทั่งตอนนี้ ลูกรักของแม่"



ศีรษะของชายร่างใหญ่หนุนนอนอยู่บนตักของหญิงสาวแทนหมอนหนุน เทพีแห่งชัยชนะ ไนกี้ ได้มองดูเขาจากที่ไกลๆ และนางเห็นว่า ตัวของชายร่างใหญ่ผู้นี้นั้น ผ่านการต่อสู่มาอย่าสาหัสเพียงไหน และนางมาที่นี่เพื่อปลอบประโลม บุตรชายของตนเอง..

".. ยินดี.. ไม่สิ ดีใจที่ได้เจอท่านแม่อีกครั้ง ในรอบหลายปี นึกไม่ถึงว่าจะมาหาถึงนี่ ถ้าท่านแม่ทาเร็วกว่านี้ ผมคงไม่มีเวลาคุยกับท่านแม่แบบนี้ หรือท่านอาจจะมาช่วยผมจัดการกับพวกมันอีกแรงนึง"

".. เรื่องนี้เป็นชะตากรรมของเจ้า แม่ไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้ นอกจากตัวเจ้าเอง สิ่งที่แม่ทำได้มีเพียงเท่านี้ เด็กน้อยของแม่" 

น้ำเสียงที่อ่อนโยนชวนฟัง พาทำให้ชายร่างใหญ่ที่นอนอยู่บนตักหายเหนื่อยและคิดถึง เทพีแห่งชัยชนะค่อยลูบไปบนศีรษะของชายร่างใหญ่อย่างทะนุถนอมแล้วบรรจงจุมพิตลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา เพียงแค่เป็นกำลังใจและมอบของขวัญเล็กน้อยก่อนจะจากลา

"สิ่งที่แม่มาในวันนี้ คือส่งขวัญกำลังใจให้ลูกมีแรงสู้ต่อไป แม่ได้เสริมทักษและความแข็งแกร่งของลูกให้เหนือขึ้นไปในอีกระดับนึงแล้ว กับเรื่องที่ลูกควรจะรู้ เพียงแต่ทุกๆครั้งที่บอกเจ้าไป ลูกก็จะลืมเลือน ด้วยมนตราของสถานที่เจ้าพักพิงมาตลอด"

"ท่านแม่มีอะไรที่ท่านจะบอกข้าอย่างนั้นเหรอ ข้าลืมเรื่องอะไรที่่ทำให้ท่านนั้นต้องลำบากมาบอกกับข้าในตอนนี้.. ไม่สิ บอกกับผมทุกครั้งเมื่อเจอกัน.." 

"เรื่องนั้น.. ถ้าจะให้เอ่ยอีกครั้ง มันก็คงจะไม่เป็นไร.. เพราะตัวลูกเอง นอกเหนือจากสายเลือดของเทพแห่งโอลิมปัสที่ไหลเวียนอยู่ในกายแล้ว ยังมีสายเลือดของยอจ์นาร์(jǫtunn)ที่ถูกหลอมรวมให้กายเป็นเจ้าในตอนนี้" 

".. ท่านแม่กำลังจะบอกว่า ท่านพ่อของผม มาจากชนเผ่ายักษ์ของตำนานนอร์สอย่างงั้นเหรอ?" 

"สิ่งที่แสดงให้เห็นเจ้าว่าเป็นส่วนหนึ่งกับยักษ์ในตำนานโบราณของเหล่าไวกิ้ง ก็คงไม่ต้องดูไกลนักหรอก สายเลือดแห่งเทพที่ไหลเวียนอยู่ในกายของลูกกับสายเลือดของยักษ์ที่เป็นของพ่อของลูกนั้น ก่อกำเนิดให้ลูกเป็นอย่างที่เห็นในขณะนี้ เพียงแต่ผลของสายเลือดนั้นแสดงออกมาได้เพียงรูปลักษณ์ของลูกเพียงเท่านั้น พลังกายของยักษ์กับร่างกายที่มัน.. ควรจะใหญ่ได้มากกว่านี้ แต่แม่ก็คิดว่า มันเป็นสัดส่วนที่กำลังดีสำหรับมนุษย์สายเลือดเทพและยักษ์ปนเปกันขนาดนี้ ลูกสามารถใช้เรี่ยวที่เหลือล้นของความเป็นยักษ์ในตัวลูกได้ และความสามารถของความเป็นเทพของแม่ได้ ถือว่าเป็นของขวัญ และสิ่งที่ลูกควรจะรู้เอาไว้ เพราะแม่คิดว่า ครั้งนี้ คงเป็นครั้งสุดท้าย ที่ลูกจะกลับออกมาใช้ชีวิตเช่นคนปกติ 

แม่หวังว่าลูกคงจะไม่กลับไปพักที่"คอนทิเน็นทัล"อีกแล้ว"

เทพีแห่งชัยชนะอธิบายทุกอย่างที่ชายร่างใหญ่นั้นควรจะรู้ แต่ก็ลืมในทุกๆครั้งที่เขานั้นกลับไปที่โรงแรม มันเหมือนเป็นสถานที่รีเซ็ตความทรงจำของชายร่างใหญ่ ในทุกๆครั้งที่ออกไป ความทรงจำของเขานั้นจะยังเหมือนกับครั้งแรกที่เข้า และจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อกลับเข้าไปอีกครั้ง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ร้อยกี่พันปี การมีชีวิตอยู่ของเขานั้นยาวนาน เพียงพอที่จะสามารถจดจำประวัติศาสตร์ต่างๆได้ 

เพียงแต่เมื่อเขากลับเข้าไปพักในโรงแรมนั้น ทุกอย่างก็ค่อยเลือนหายไป ผู้ที่เป็นคอยบอกเรื่องราวต่างที่เกิดขึ้นกับตัวของเขา มีเพียงเทพีแห่งชัยชนะที่จะกลับลงมาในทุกๆครั้งที่เขานั้นจะออกไปทำอะไรสักอย่าง ซึ่งส่วนมากนั้น คือการทำสงคราม หรือภารกิจของหน่วยรบพิเศษ อะไรต่างๆนาๆที่เขานั้นได้รับมา และนี่คือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า ชายร่างใหญ่ผู้นี้ มีอายุที่ไม่ต่ำกว่าพันปีแล้วก็ว่าได้ เพียงแต่ โรงแรมหรูที่เขาเข้าพักเหมือนคอนโดหรูนั้น เป็นเหมือนเขตแดนอาคม เวลาทุกอย่างในที่แห่งนั้นคล้ายกับว่าจะหยุดนิ่ง หากแต่เวลาภายนอกยังคงเดินต่อไป ทำให้ทุกๆครั้งที่เข้านั้นออกมาจากโรงแรมแห่งนี้ สภาพของบ้านเมือง หรือโลกใบนี้ ได้เปลี่ยนไปในทุกๆครั้งที่เข้านั้นออกมา ความสงสัยสำหรับเข้านั้นบังเกิด แต่ก็ถูกปัดตกไปอย่างไม่สนใจ 

ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เทพีแห่งชัยชนะจะกลับมาบอกลูกที่มีอายุมากที่สุดในบรรดาลูกหลานสายเลือดเทพีแห่งชัยชนะ เพราถ้าให้นับตามความจริงๆ อายุของเขาในตอนนี้ ก็ปาเข้าไปร่วมหลายพันปีแล้วก็ว่าได้ และครั้งนี้ เทพีแห่งชัยชนะได้นำบางสิ่งนำมาให้ชายร่างใหญ่ผู้นี้อีกด้วย ชายร่างใหญ่ค่อยๆย่อตัวลงมา ในขณะนี้เทพีแห่งชัยชนะผู้เป็นแม่ ได้แตะไปที่หน้าผากของชายร่างใหญ่ ทักษะการต่อสู่ต่างๆก็พลั่งพลูเข้ามาในกมลสันดานของชายร่างใหญ่ผู้นี้ นางรู้ว่าหากถ่ายทอดลงไปในความทรงจำที่จอห์นได้เคยเผชิญกับมันมาแล้ว หากเกิดเขากลับเข้าไปที่โรงแรมนั้นอีก ทักษะต่างๆก็จะถูกอาคมของโรงแรมนั้นล้างออกไปเสียสิ้น ซึ่งนางก็คิด ถ้ามันติดในความทรงจำไม่ได้ ก็ให้มันติดเนื้อติดหนังไป ติดในใจเข้าไปเลย

".. เท่านี้ก็เรียบร้อย" หลังจากที่ความทรงจำและทักษะในการต่อสู้และเอาชีวิตรอดไปสู่ชัยชนะถูกถ่ายทอดลงในร่างกายอันศักดิ์สิทธิ์ของชายร่างใหญ่แล้ว ทุกอย่างที่เข้านั้นจำได้ก็กลับพลั่งพลูเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ชายร่างยักษ์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เพราะเหมือนทุกๆอย่างที่เขานั้นได้ทำมา มันเข้ามาเร็วมาก จนตัวเข้านั้น รับมือกับมันแทบไม่ไว้ แต่หลังจากที่ทุกอย่างลงตัว ตอนนี้ จอห์นาทานก็ได้รื้อฟื้นความทรงจำของเขากลับมาอีกครั้ง 

หลังจากที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบร้อย โดยที่ไม่มีใครตื่น เทพีแห่งชัยชนะจึงเดินออกจากห้องพักไป ดังเช่นคนปกติ ต่างจากที่ตอนเข้ามา นางเข้ามาทางใด ไม่มีใครทรายได้ แต่ขากลับ นางนั้นตั้งแต่ที่จะเดินออกจากประตูไปดังเ่นคนปกติเพื่อให้ดูไม่เตะตาจนเกินไป..

"ที่แม่มาหาลูกก็มีเพียงเท่านี้ ภารกิจของลูกนั้นอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่พวกเราเคยเห็นและเป็น งานนี้ต้องอาศัยตัวเจ้าและ.. เด็กๆเหล่านั้นด้วย แม่ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้าลูกจะปรับเปลี่ยนความเชื่อในใจของลูก เพราะครัทธาของจ้านั้น คือพลังที่จะสามารถต่อกรกับอุปสรรค์ของลูกได้ แม่บอกลูกได้เพียงเท่านี้ ขอให้ลูกโชคดี.." 

หญิงสาวปิดประตูลง ทิ้งชายร่างใหญ่เอาไว้กับความเงียบ ก่อนที่เขานั้นจะกลับไปนอนยังที่เดิม เพื่อเตรียมตัวเดินไปต่อ การเดินทางนับร้อยนับพันกิโลนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนนั่งเครื่องบิน แม้แต่จะนั่งเครื่องอุปสรรค์ในการเดินทางนั้นก็ยังมีให้เห็นอยู่ตลอดทาง ชายร่างใหญ่นั้นคิดว่า มันคงเป็นเหมือนการฝึกฝนเด็กน้อยในค่ายที่เข้านั้นพามาด้วยไปในตัว และเมื่อจบการเดินทางนี้ เขาคิดว่า ทุกคนคงจะแข็แกร่งขึ้น ไม่น้อย..

จุดหมายต่อไป รัฐยูทาห์..

....

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 25,652 ไบต์และได้รับ +8 EXP จาก โรคสมาธิสั้น  โพสต์ 2024-10-29 22:48
โพสต์ 25,652 ไบต์และได้รับ +8 EXP จาก โรคดิสเล็กเซีย  โพสต์ 2024-10-29 22:48
โพสต์ 25,652 ไบต์และได้รับ +5 ความกล้า จาก โล่อัสพิส  โพสต์ 2024-10-29 22:48
โพสต์ 25,652 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก หอกกรีก  โพสต์ 2024-10-29 22:48
โพสต์ 25,652 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด  โพสต์ 2024-10-29 22:48
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ช่ำชองการรบ[II]
กระโดดแห่งชัยชนะ
น้ำหอมบุรุษ
นาฬิกาสปอร์ต
มีดสั้นสัมฤทธิ์
ความถึก
กำไลหินนำโชค
เกราะหนัง
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โล่อัสพิส
หอกกรีก
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x4
x60
x4
โพสต์ 2024-12-5 23:19:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด





XII

...


เช้าวันต่อมา..

ไม่มีใครล่วงรู้ในเรื่องเมื่อคืนนี้ ท่ามกลางยามราตรีที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์สาดส่อง ไร้ซึ่งแสงใดพาดผ่าน การต่อสู้กับเหล่าสัตว์นรกที่ผุดขึ้นมาจากนรกทำให้พื้นที่โดยรอบนั้นกลายเป็นเหมือนกับนรกขนาดย่อมไปโดยปริยายแต่.. ใครจะสนล่ะ? ฉันที่เดินทางจากที่อยู่ปัจจุบัน เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นกับตัวของฉันและพรรคพวกจนเกือบพาคนเป็นร้อยต้องตายเพราะปีศาจจากนรกเหล่านั้น มันแย่มาก ที่มันมาได้จังหวะในแบบที่ ฉันนั้นไม่ชอบเอาเสียเลย เหล่าเด็กที่พามาด้วย ก็สามารถแบ่งเบาได้ในระดับนึง เป็นระดับที่พวกเขาพอจะรับไหว แม้ว่าจะออกจะดื้อไปหน่อย แต่ฉันก็เข้าใจแหละ ฉันเลยไม่ได้เข้าไปห้ามปรามอะไร แต่จะเอาไว้บอกกล่าวกับพวกเขาในยามว่าง ในเวลาที่พวกเขาพร้อมที่จะรับฟัง..

วันนี้ได้เวลาที่พวกเราจะได้ออกจากแกรนด์จังชั่น โคโลนาโด, แต่เส้นทางของเรานั้นยังอีกไกล ไม่รู้ว่าอะไรจะรอเราอยู่ข้างหน้า ฉันได้แต่หวังว่า พลังจากครอบครัว จะมีพลังเหนือศรัทธาที่ฉันคิดว่าจะช่วยเหลือเราได้ไปเสียทุกอย่าง เอาจริงๆ ลำพังเพียงพลังของสายเลือดก็พาอุปสรรค์ตรงหน้ากลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย เหมือนฉันกำลังหยอดเหรียญตู้อาเคดอะไรทำนองนั้น.. แล้วทำไมฉันถึงเปรียบเทียบการเดินทางที่วุ่นวายนี้เหมือนกับเกมตู้ล่ะ..? 

อุปสรรค์เดิมๆที่ไม่ค่อยเหมือนเดิมเท่าไหร่นี่ไงล่ะ..

.......

ชายร่างใหญ่ปลุกเด็กๆทั้งสองที่พามาด้วยให้ตื่นในยามเช้าเพื่อเตรียมตัวเดินทาง พวกเขาทั้งสองนั้นยังเป็นช่วงวัยรุ่นแรกแย้ม แต่การเดินทางที่ทั้งสามกำลังไป และจุดหมายปลายทางที่พวกเขาจะได้เผชิญนั้น มันเหมือนพาทั้งสองวัยรุ่นไปเตรียมตัวสู่ความตายก่อนวัยอันควร...

"เอาล่ะตื่นกันได้แล้วหนูๆทั้งหลาย อพอลโล่แผลงศรแล้ว เรายังไปได้ไม่ถึงไหนเลยนะ เอาล่ะๆ ลุกได้แล้ว ได้เวลาออกเดินทางต่อ"

ชายร่างใหญ่สะกิดเด็กที่นอนกันคนละที่ โดยที่ตัวเขานั้น เหมือนกับคุณพ่อของทั้งสองมากกว่าเพื่อนร่วมทริปไปเสียแล้ว 

ชั่วโมงต่อมา..

ทั้งสามได้เช็คเอาท์ออกจากโมเตลที่พักก่อนที่จะเดินทางต่อ ต้องขอบคุณที่เด็กหนุ่มนั้นมีของวิเศษที่สามารถเก็บสัมภาระที่มีเยอะมากๆให้อยู่ภายในกระเป๋าสะพายใบเดียว เหมือนกระเป๋าวิเศษในการ์ตูนเลยก็ว่าได้..

"นี่คุณโจนาทาน เรายังต้องเดินทางแบบนี้ต่อไปอีกงั้นเหรอครับ?" เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างสงสัยขณะที่กำลังเดินทางไปที่ท่ารถเพื่อขึ้นรถโดยสารข้ามเมือง

"อืม ใช่.. ทำไมเหรอ?" โจนาทานเอ่ยถามขึ้น

"มันก็ ไม่มีอะไรนักหรอกครับ ขอโทษด้วย ผมคงลืมเรื่องวุ่นวายต่างๆที่เจอๆกันมา เกือบไปไม่รอดกันทั้งนั้น" เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างปลงตก

"เราจำเป็นที่จะต้องเดินทางกันแบบนี้ยังไงล่ะ ไม่งั้น ฉันพูดได้เลย ความวุ่นวายจะยิ่งทวีคูณนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่างานนี้จะดูเหมือนพวกเราจะต้องศรัทธาต่อความเชื่อพวกนั้น แต่บอกได้เลยว่าพวกเราคิดผิดมาตลอด พลังความเชื่อความศรัทธาเหล่านั้นเป็นเหมือนความศรัทธาที่ปิบเบือนอันแรงกล้า ที่บิดเบือนมาจากความเชื่อในตำนานต่างๆ.." 

ชายร่างใหญ่เริ่มพูดอย่างมีหลักการ อีกที่ดูหน้าตาก็เริ่มให้ความสนใจกับรายละเอียดตรงจุดนี้มากยิ่งขึ้น

"ไม่ต้องพูดถึงความเชื่ออื่นใดหรอก ศรัทธาที่เหล่าทวยเทพควรจะได้รับเหมือนดังเช่นในสมัยกรีกโบราณ ในยุคที่พ่อแม่ของพวกเรายังเรืองอำนาจเหล่าผู้คนศรัทธาในเหล่าทวยเทพไม่ว่าจะด้านใด พวกเขาเหล่านั้นได้รับอย่างเท่าเทียม แต่พอลองย้อนกลับมาดูดังเช่นตอนนี้สิ พวกเธอก็หน้าจะเห็นกันแล้ว ถ้าพินิจพิเคราะห์ดีๆ จะเห็นเรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ไอ้หนู"

พวกเขาไม่ใช่สิ่งที่พวกเรานั้นจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาพลังจากความศรัทธาของความเชื่อที่บิดเบือนเหล่านั้น แต่มันเป็นสิ่งที่เราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วยซ้ำ เพราะอะไรล่ะ.. ในประวัติศาสตร์ พวกผู้คนเหล่านี้อุปโลกผู้สร้างของพวกเขาขึ้นมาเอง โดยที่ไม่เคยเห็นเป็นรูปลักษณ์หรือรูปธรรมเลยด้วซ้ำ มีเพียงบุคคลที่ใครก็ต่างเรียกเขาว่า บุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ที่มีอยู่ในคัมภีร์ของผู้คนในความเชื่อนี้ มันต่างกันมากนัก ลองฉุกคิดให้ดีไอ้หนู ถึงแม้พวกเราจะไม่ใช่ หรือไม่ได้เป็น.. แต่พ่อแม่ของพวกเราที่ยังคงอยู่ พวกเขายังลงมาหาให้พวกเรานั้นมองเห็นได้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่สิ่งที่พูดกันปากต่อปากแต่พอถามหาแล้วกลับไม่ได้คำตอบที่สามารถพิสูจน์ได้เหล่านั้นเลยแม้เพียงนิด ธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพียงแค่ผิดปกติ เหล่าสาวกก็ต่างพากันคิดไปต่างๆนาแล้วว่านี่คือปาฏิหารย์แห่งสิ่งที่พวกเขาอุปโลกตัวตนขึ้นมาว่าคือพระผู้เป็นเจ้า แต่ถามจริง เรื่องแบบนี้ เกิดขึ้นได้ทั่วไปแทบจะทั่วโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนนี้ ที่ไหนสักแห่งในโลก มันก็จะมีเรื่องแบบนี้ให้เหล่าศรัทธาสาธุชนต้องอวยความศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระเจ้าที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริงมั้ย.." 

ชายร่างใหญ่อธิบายให้เด็กหนุ่มสาวทั้งสองเข้าใจ เพื่อที่อย่างน้อย หากเกิดศึกครั้งหน้า พวกเขาคงไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งของซึ่งเป็นตัวแทนของความเชื่อนั้นอีกต่อไป แต่บรรยากาศโดยรอบของเขานั้น ก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตั้งแต่ที่ชายร่างใหญ่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา ผู็คนมองเขาด้วยความแปลกแยก บางคนเพียงสีหน้าก็พอจะรู้ได้ว่า พวกเขาเหล่านั้น มองทั้งสามเป็นศัตรูของความเชื่อของเขาไปเสียแล้ว 

เพียงชั่วข้ามคือ โจนาทานทำให้พวกเขาทั้งสาม กลายเป็นข้าศึกต่อผู้ศรัทธาของอีกความเชื่อนึงไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ใครจะกล้าล่ะ ในเมื่อยุคนี้มันยุคสมัยไหนกันแล้ว เหล่าคนที่เชื่อในเรื่องปาฏิหารย์ก็มีเพียงคนแก่คนเก่าที่ความเชื่อและความศรัทธายังคงตั้งมั่นอยู่เช่นเดิม เท่านั้นไม่พอ ยังคงเหยียดคนรอบข้างที่ไปนับถือความเชื่ออื่นๆที่ไม่ใช่ความเชื่อที่ตนเองให้ความศรัทธาอยู่ ด้วยการกล่าววาจาที่ไม่ควรจะกล่าวออกมา..

"ไอ้พวกนอกรีต"

และใช่.. มันมีคนตะโกนออกมาในที่สาธารณะพร้อมทั้งชี้มายังชายร่างใหญ่กับหนุ่มสาวอีกสองคน สร้างความอลม่าน สับสน แต่โจนาทานหาได้รู้สึกร่วมใดๆกับผู้คนเหล่านั้น ก่อนที่จะเดินไปที่ท่ารถต่อ เพราะในใจเขานั้นคิดเพียงแค่ เรายังต้อเดินทางต่อ จะเกิดเรื่องอะไรก็ตาม หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ปล่อยผ่านได้เขาก็จะปล่อย และเขากับเด็กๆทั้งสองก็เดินปล่อยผ่านไป ก่อนที่จะนั่งรออยู่ที่นั่งรอรถประจำทาง ในระหว่างนั้น ก่อนที่จะเดินมาถึงที่รอรถ ก็ได้เข้าร้านแซนด์วิชมียี่ห้อไปหนึ่งรอบ สั่งเมนูกันมาคนละสามชิ้น ส่วนโจนาทาน เบิ้ลไปอีกเท่านึง แน่ล่ะ ตัวก็ขนาดนี้แล้ว จะกินแซนด์วิชให้อิ่ม มันก็ต้องเป็นขนมปังเต็มชิ้นหั่นครึ่งแนวนอนก่อนจะใส่สารพัดสิ่งต่างๆที่ชายร่างใหญ่เลือก โดยที่รวมแล้ว ทั้งหมดหกอันแบบไม่ตัดไม่ลด ใส่ถุงกระดาษและหิ้วไป เรื่องเงินไปต้องห่วง เพราะมากับโจนาทาน ยังไงก็ไม่อดแน่นอน..

"เอาล่ะ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านๆไปเถอะนะ กินมื้อเช้ากันเถอะ.." 

ทุกๆอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คำๆนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่เท่าไหร่ เพราะจากความทรงจำที่ถ่ายมาจากแม่ของเขาแล้วนั้น ดูๆโจนาทานก็ผ่านอะไรมามามากมายกว่าคนทั่วๆไปหรือเหล่าสายเลือดเทพด้วยกันเองจะนึกถึง อายุร่วมพันกว่าปีของเขาทำให้เขานั้นรู้สึกเฉยๆกับเรื่องที่เกิด แต่ก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่เขานั้นเพิ่งจะเคยได้เห็น ในตอนนี้ เขารู้สึกเอ็นจอยกับแซนด์วิชที่เขานั้นซื้อมาตุนเอาไว้เป็นมือเช้าที่ป้ายรถประจำทาง โดยที่ไม่มีใครสนใจ หรือไม่ก็ ไม่มีใครกล้าเข้ามา

เวลาผ่านไปไม่นาน รถประจำทางคันล่าสุดหลังจากที่เสร็จมื้อเช้า โจนาทานคงติดใจแซนด์วิชร้านนี้ไปอีกพักใหญ่ แถมได้ยินมาว่า มีหลายสาขาอีกด้วย รู้ได้เลยว่ายังไงสะ ไม่มีทางที่เรี่ยวแรงของเขาจะหดหายเพราะไม่ได้กินแน่นอน แต่อาจจะเป็นปัยหาเพราะกลายเป็นคนห่วงกินแทน.. 

ทั้งสามขึ้นรถประจำทางไปต่อในเมือง ผ่านป้ายรถต่างๆ จนไปถึงจุดหมายต่อไปของพวกเขา ซึ่งจะเป็นการเดินทางต่อไป ที่สนามบินประจำเมืองแกรนด์จังค์ชั่น งานนี้ จะมีอะไรมาขัดขวางพวกเขาอีก งานนี้ ต่อให้เป็น เทวาหรือตัวแทนแห่งซาตาน ก็ไม่หวั่นอีกต่อไปแล้ว.. 




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 26255 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2024-12-5 23:19
โพสต์ 26,255 ไบต์และได้รับ +10 เกียรติยศ จาก ชุดทักซิโด้  โพสต์ 2024-12-5 23:19
โพสต์ 26,255 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +8 เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก ช่ำชองการรบ[II]  โพสต์ 2024-12-5 23:19
โพสต์ 26,255 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +8 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก กระโดดแห่งชัยชนะ  โพสต์ 2024-12-5 23:19
โพสต์ 26,255 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก น้ำหอมบุรุษ  โพสต์ 2024-12-5 23:19
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ช่ำชองการรบ[II]
กระโดดแห่งชัยชนะ
น้ำหอมบุรุษ
นาฬิกาสปอร์ต
มีดสั้นสัมฤทธิ์
ความถึก
กำไลหินนำโชค
เกราะหนัง
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โล่อัสพิส
หอกกรีก
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x4
x60
x4
โพสต์ 2024-12-21 01:55:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Johnathan เมื่อ 2024-12-21 01:58






XIII

..

ออกจากแกรนด์จังชั่น ไปต่อยังเซลีน่า กรีนรีเวอร์ จุดพักรถในยูทาห์..
จากใจของโจนาทาน..

ตอนนี้เราไม่มีเวลาแล้ว ศัตรูเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงจุดนี้ ไม่ต้องพูดถึงหรอก แม้แต่ตอนที่พกเรากำลังเดินทางออกจากแกรนด์จังชั่นผ่านขบวนรถไฟด่วยพิเศาไม่มีหยุดพัก ไปที่ยูทาห์ มันก็ยังสิ่งที่เรียกว่า หมานรกจำนวนนึง.. ต้องบอกก่อนว่า หมานรก ไม่ได้ความว่าหมานิสัยเ_ี้ย แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่มาจากนรกซึ่งรูปร่างของมัน ก็หมานั่นแหละ คนในตู้ขบวนที่ฉันโดยสารแตกตื่นกันหมดเมื่อมีคนเห็นมัน คนในรถกระวนกระวายจนฉันเองก็ทนไม่ไหว มันน่ารำคาญนะ ไม่ใช่รำคาญพวกหมานรกนั่นหรอก รำคาญเสียงคนในรถเนี่ยแหละแตกตื่นอย่างกับวันโลกแตก งานนี้มันก็เป็นเพียงฉันอีกล่ะ ปล่อยให้พวกเขานอนพักในรถต่อไปก่อนเถอะ หูฟังที่อุดไป มันคงช่วยให้เด็กๆทั้งสองไม่ถูกรบกวนจากเสียงโวยายบนรถหรอก


................


สิ่งจอห์นเห็นกับสิ่งที่คนทั่วไปเห็นนั้นต่างกัน จอห์นเห็นสุนัขตัวใหญ่ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นสิงโต กำลังใช้สี่เท้าของมันวิ่งตะกุยทรายขนาบข้างขบวนรถอยู่ห่างๆ แต่คนทั่วไปนั้นเห็นเป็นเพียงลมที่ตีฝุ่นคลุ้งไล่มาข้างๆขบวนรถ จอห์นที่เห็นดังนั้นจึงเดินไปตรงจุดรอยต่อระหว่างตู้โดยสารและประตูรถก่อนที่จะกระโดดขึ้นหลังคาเพื่อไปจัดการ มันไม่ได้ยากนักสำหรับคนเจนศึกอย่างจอห์น เขามองเห็นฝูงหมานรกพวกนั้นวิ่งไล่ตามมาด้วยความเร็ว มันเป็นสิ่งที่เห็นทำเอาชายร่างใหญ่ตื่นเต้นไม่น้อย การไล่ล่าที่น่าจะเคยเห็นจากในภาพยนต์ นั่นล่ะ ใช่เลย.. 

เขากระชับเน็คไทล์และสูทพร้อมติดกระดุมก่อนที่จะกระโดดออกจากตู้รถโดยสารไปเมื่อถึงจุดที่ใกล้จะตกก็ชักดาบใหญ่ออกมาสะบั้นเข้าที่คอหมานรกตัวนึงขาดออกไปจากนั้นก็ใช้ความแข็งแรงและพลังของเทพที่ผสานเข้ากับชนเผ่ายักษ์โบราณวิ่งไล่กวดหมาใหญ่จากนรกอย่างเร้าใจ จอห์นไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้ เพราะลำพังการจะทำอะไรด้วยตัวคนเดียวด้วยแรงของตนเอง มันก็มักจะพาให้สิ่งของที่จับหรืออะไรก็ตามที่สัมผัสนั้นพังจนไม่มีชิ้นดี ซึ่งครั้งนี้ มันต่างออกไป..

พื้นที่โดยรอบทางรถไฟเป็นเพียงที่ว่างเปล่า และเป้าหมายที่ชายร่างใหญ่นั้นไล่กวด เป็นโอกาสเหมาะที่น้อยครั้งมักจะได้ทำอะไรแบบนี้สักครั้ง 

"แม่ๆ นั่นอะไรน่ะ"

"ไม่รู้เหมือนกันลูก ดูเหมือนพายุไล่กวดรถไฟมาเลย"

"เฮ้ๆดูสิ นายเห็นนั่นรึเปล่า คนตัวโตกับดาบยักษ์นั่นกำลังซัดกับหมาตัวใหญ่ๆอยู่ เห็นรึเปล่า?"

"ม่ายอ่ะ? นายตาฝาดไปรึเปล่า? แันเห็นแค่ลมแรงๆมันกวดฝุ่นขึ้นมาเฉยๆ นายคงจัดหนักมาสินะ ตาแดงเชียว ฮะๆๆ"

"ไม่จริงเว้ย เนี่ยเห็นจริง"

"เออๆ เลิกมองแล้วนอนไปเหอะ เล่นมาเยอะก็แบบเนี่ย"  

การต่อสู้ที่ดูเหมือนการแสดงจบลงโดยไร้ซึ่งเสียงปรบมือ ก่อนที่จะกลับมานั่งที่เดิม หลังจากที่บั่นคอหมานรกตัวนั้นขาดสะบั้น แล้วจึงใช้แรงที่เหลือกระโดดกลับมาที่ตู้รถโดยสารท่ามกลางผู้ที่มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ที่มองเห็นเพียงแค่ฝุ่นที่ลมแรงไล่พัด  ชายร่างใหญ่กลับมานั่งที่นั่งที่เขาจัดไว้ให้และหยิบหูฟังไร้สายทั้งสองข้างอุดหูทำเป็นเหมือนไม่มีเกิดขึ้น 

...........................

ในสิ่งที่โจนาทานเจอนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เขานั้นไม่คิดว่ามันจะออกมากลางวันแสกๆแบบนี้ เขาคาดไม่ถึงว่าสุนัขจากนรกตัวใหญ่ราววัวป่ากระโจนสี่ขาไล่ราวกับกำลังล่าเหยื่อ ชายร่างใหญ่ที่กำลังวางเส้นทางผ่านไอแพดในมือของเขาแล้ว ขณะที่อยู่ในขบวนรถพิเศษ ในตอนนั้น ตัวของเขาเองก็ยังไม่เห็น ว่าเกิดอะไร เพราะหูฟังที่เขาใส่มันตัดเสียงรบกวนออกจนหมด วึ่งชายร่างใหญ่ที่มีงบ เขาก็ซื้อให้เด็กๆทั้งสองให้เอาไปใช้ตอนกำลังพักบนตู้รถโดยสาร ซึ่งพวกเขาก็หลับสนิทดี แต่ชายร่างใหญ่เมื่อเห็นท่าทีของผู้คนบนรถที่วิ่งกรูไปดูที่ด้านข้างตู้โดยสาร ก็รู้สึกไม่ดีแล้วในขณะนี้.. 

ชายร่างใหญ่ลุกขึ้นยืนติดกระดุมเสื้อสูททั้งที่เสื้อและนั่งรถโดยสารต่อไป ข้อความที่เขานั้นบันทึกมันลงในไอแพดยังคงปรากฎให้เห็นชัดขึ้นตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะในครั้งไหนๆ ล้วนมีศัตรูให้ต้องเสียเวลาตลอดทาง ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้.. สำหรับเขานั้นเตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอ เรียกได้ว่าเป็นเหมือน PTSD กำเริบอยู่ตลอดเวลาก็ว่าได้ อย่างน้อยตอนนี้ ในตัวของเขานั้น ปืนหนึ่งกระกระบอก ดาบสองเล่ม ทั้งเล่มไซส์มาตรฐานและเล่มใหญ่แบบสองมือ โล่ห์ และหอก ที่อยู่ในรูปของอุปกรณ์สำนักงานและอุปกรณ์สำหรับป้องกันตัวพื้นฐาน.. ยกเว้นปืนที่เขานั้นจะไม่เก็บมันในแบบซ่อนรูป

ในรูปแบบของเหตุการณ์นั้น เมื่อเทียบตามคำทำนายแล้ว ชายหนุ่มแทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเกิดขึ้นได้ทุกๆครั้งที่เดินทาง แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นแบบสุ่มเกิด โดยไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรโผล่มา แต่ทุกอย่างนั้นล้วนใช้คำว่า ขึ้นมาจากนรกทั้งสิ้น ทั้งสัตว์นรกทั่วไปที่ไม่ได้เก่งกาจอะไรมาก หากแต่จะใช้จำนวนเข้าสู้ และเหล่าสัตว์ประหลาดทั่วๆไปที่เขานั้นเห็นอยู่ในป่าต้องห้ามที่หลังค่าย หากแต่ลักษณะของพวกมันนั้นจะแตกต่างและไม่ค่อยโสภาหรือน่ามองเท่าไหร่.. ก็แน่ล่ะ พวกมันมาจากนรก ไม่ได้มาจากสวรรค์ฯ จะให้สวยงามอย่างในอุดมคติคงเป็นไปไม่ได้..

ชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ในตู้รถโดยสาร และกำลังครุ่นคิดเรื่องสิ่งมีชีวิตทรงภูมิและทรงพลังที่เป็นตัวก่อเนิดความเชื่อที่ยิ่งใหญ่จนกลืนกินเบียดบังความเชื่อของแต่ละพื้นที่ ทำให้ศรัทธาของความเชื่อตามท้องถิ่นกลายเป็นสิ่งนอกรีตในศาสนานี้ เป็นอะไรที่แย่ที่สุดกับการที่ความเชื่อเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งที่มัวหมองและแปดเปื้อน ถูกกล่าวหาว่าชั่วร้าย ศรัทธาแห่งซาตาน.. บ้าบอ!! ชายร่างใหญ่ทุบไปยังเท้าแขนจนเด็กหนุ่มเด็กสาวสะดุ้งตื่น ทำให้ชายร่างใหญ่เองก็รู้สึกตัว ว่าตนนั้นถูกความโกรธครอบงำไปชั่วขณะเสียแล้ว..

"อืมม.. เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?" เด็กสาวตื่นเอ่ยถามด้วเสียงอันงัวเงีย 

"อุ๊บ! ขอโทษที ฉันเผลอใส่อารมณ์กับความคิดตัวเองมากไปหน่อย ทำพวกเธอตื่นจนได้.. ขอโทษด้วยนะ"

"อ่าห์.. กำลังฝันหวานอยู่เลย เกิดอะไรขึ้นเหรอ?" เด็กหนุ่มที่รู้สึกตัวช้ากว่าอีกฝ่ายได้เอ่ยถามขึ้นอีกคน..


"เออ.. ตื่นกันหมดเลยทีนี้.."

จอห์นเอ่ยอย่างหน่ายใจกับตนเอง และก็คิดในใจ ว่ากับเด็กแล้ว.. ให้นอนตื่นสายมันก็กะไรอยู่ นอนไม่เป็นเวลาจะพาลทำให้เด็กๆพวกนี้เสียนิสัย เลยปลุกและให้ไปหาอะไรกินที่ตู้เสบียงเพื่อไปหาอะไรกิน ส่วนตัวของเขานั้นจะตามไปหลังจากอ่านหน้านึงจากในไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่าและควบคู่เทียบเคียงกับของใหม่ไปด้วย เพราะคิดว่า คงจะมีอะไรที่น่าสนใจและอาจจะเกิดขึ้นกับตนเองในอนาคต..

ด้วยความที่เด็กๆนั้นโตๆกันแล้ว เขาจึงให้เงินไปและปล่อยให้ไปหาอะไรกินกันส่วนตัวเขานั้นก็ยังคงอ่านไบเบิลต่อไปเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือนิยายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนรกภูมิในทางศาสนาคริสต์อย่าง"นรกของดันเต้"พลางคิดตามไปเรื่อยๆว่า ในนรกนั้นจะเป็นอย่างเช่นในหนังสือที่เขียนเอาไว้มั้ยเผื่อเอาไว้ หรือว่ามันอาจจะเป็นเรื่องคนเพ้อคนนึงแต่งขึ้นมาเมื่อตนเองเข้าวัยเบญจเพศพอดี.. 

ในขณะที่จอห์นกำลังนั่งคิดพิจารณาไปอยู่นั้นเอง บางสิ่งที่ตัวเขานั้นคาดการณ์เอาไว้ ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง!

"ตูมม!!"

มีบางสิ่งพุ่งลงมาด้วยความเร็ว กระแทกเข้าใส่ตู้รถโดยสารอย่างแรง ขบวนรถไฟครึ่งนึงของสายกระเด็นตกจากราง เหลือเพียงส่วนที่ชายร่างใหญ่นั้นนั่งอยู่ เกิดแรงสนั่นไปทั่วตู้รถโดยสาร จอห์นที่รู้สึกตัวไว ว่าสิ่งนี้กำลังจะเกิด จึงได้ยืนขึ้นและมองไปยังจุดเกิดเหตุ พลันนึกขึ้นได้ว่า ถัดจากตู้โดยสารที่เขากำลังนั่งอยู่ไปประมาณสามตู้นั้น เป็นตู้เสบียง และเด็กๆก็อยู่ที่นั่น เทพีไนกี้ผู้เป็นมารดาเทพของเขาและน้องสาวที่พามาด้วยต้องเล่นงานตัวเขาชุดใหญ่แน่ถ้ารู้ว่าเขาปล่อยให้น้องเป็นอันตราย อีกทั้ง เทพเฮอร์มีสอีกองค์ที่จอห์นพาลูกเขามาตกอยู่ในอันตรายหรือสาหัสกว่านั้นก็ถึงขั้นเลือดตกยางออก แน่นอนว่าจอห์นนั้นไม่ยอมให้อะไรก็ตามเกิดขึ้นกับเด็กๆแน่นอน..

ชายร่างใหญ่กุมกระบองปราบจลาจลก่อนจะสะบัดเพื่อยืดมันออก ในขณะที่ผู้โดยสารในรถทุกคนลงไปนั่งกับพื้นด้วยความหวาดกลัว.. 

ที่ตู้เสบียง เด็กหนุ่มที่ตอนนี้ในมือของเขานั้นกุมอาวุธคู่กายของเขาไว้มั่น เช่นเดียวกับเด็กสาวที่กำหมัดแน่นพร้อมต่อกรกับศัตรูตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออะไร แต่ทั้งสองนั้นคิดเหมือนกัน คือถ้ามันจะเอาชีวิต ตัวของพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องป้องกันชีวิตของตัวเอง.. 

เบื้องหน้าของทั้งสองเยาว์วัยนั้น คือร่างของชายซึ่งสูงใหญ่เทียบเคียงผู้ปกครองของเขาทั้งสอง ภายนอกถูกประดับด้วยชุดเกราะยุคโบราณกับสิ่งที่สะดุดตาทั้งสองที่สุด นั่นคือปีกสีขาวที่เหมือนจะถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิงบางๆ กับในมือของบุรุษร่างใหญ่ผู้นั้น คือดาบที่ใบดาบถูกปกคลุมด้วยเพลิงสีทองลุกโชนตลอดใบดาบที่ยาวและใหญ่นั้น




สายตาที่บุรุษผู้นั้นเหลือบตามองต่ำลงมายังทั้งสองที่ยังยืนหยัดสู้ ในขณะที่คนอื่นๆพากันวิ่งหนีออกจากตู้เสบียงที่รอบข้างนั้นแหกออกข้างและตู้โดยสารที่ถัดไปขาดออกและตกรางไป บุรุษร่างสูงใหญ่กับปีกสองคู่ที่สะบัดจนลมร้อนพัดพาสิ่งที่กองอยู่รอบปลิวกระจายออกจากตัวรถ เหลือเพียงสองคนที่ยังคงยืนหยัด ทันใดนั้นบุรุษร่างสูงใหญ่งามสง่านั้นก็เปิดปากเอ่ยกับทั้งสอง

"เหล่าลูกแกะผู้หลงทาง ใยพวกเจ้ายังคงดื้อดึง ความหลงผิดจักพาพวกเจ้าไปสู่ขอบเหว ณ ที่สุดแห่งทะเลเพลิงและกำมะถัน จงอย่าได้พลั่นพรึงกับสิ่งที่เจ้าได้เห็น เพราะนี่คือปาฏิหารย์ที่พระผู้เป็นเจ้าส่งข้าลงมาเพื่อพวกเจ้า เหล่าแกะผู้หลงทาง.. ข้ามาเพื่อปลดปล่อยเจ้า ช่วยเจ้ากลับสู่อ้อมกอดแห่งพระผู้เป็นเจ้า"

เสียงที่เปล่งออกมานั้นราบเรียบและไพเราะ ไม่แม้เพียงเอื้อนเอ่ย ก็เกือบทำให้ทั้งสองหลงไหลไปกับวาจาสิทธิ์ของชายผู้นั้นไปเสียแล้ว ยังดีที่ทีฟา เด็กสาวได้แตะไหล่ของเด็กหนุ่มเพื่อเรียกสติไม่ให้ไหลไปกับเสียงนั้น 

"แกจะมาเพื่ออะไรฉันไม่สนหรอก แต่สิ่งที่แกทำลงไป มันไม่ได้เรียกว่าช่วยเลยสักนิด แกทำอะไรลงไปรู้บ้างรึเปล่าน่ะ"

เด็กสาวเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงอารมณ์กร่นด่าสาปแช่งด้วยความโกรธ เธอไม่รู้หรอกว่าตรงหน้านั้นคือใครหรือเป็นตัวอะไร แต่ที่แน่ๆ มันทำคนตายไปแล้วหลายคนเพียงแค่ชั่วขณะเดียว.. 

"ชีวิตของผู้คนที่ล่วงลับไป ล้วนเป็นประสงค์แห่งพระองค์ ไม่อาจหลีกเลี่ยง นั่นเป็นชะตากรรม"

"ชะตากรรมบ้าบออะไรกันล่ะ หากแกไม่พุ่งเข้าใส่รถไฟ คนเหล่านั้นก็จะไม่ตาย มันไม่ได้เรียกชะตากรรม แต่มันคือการสร้างโศกนาฏกรรมแล้ว ไอ้บ้า"

เด็กชายแผดเสียงกร้าว เกิดสะกิดอะไรบางอย่างในตัวของบุรุษในชุดเกราะโบราณนั่น เขาสะบัดปีกทั้งสองคู่กางออก พร้อมกับสะบัดดาบเพลิงของตนชี้มาทางด้านหน้าทั้งสอง สายตาของชายผู้นั้นนิ่งเรียบเฉย ไม่มีท่าทีใดๆ อีกทั้งไร้อารมณ์ แต่รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างที่อาบเปล่าเพลิงบางๆนั้น ทั้งสองกระชับอาวุธของตนเอาไว้มั่น แสดงเป็นสัญญะว่า ไม่มีทางยอมแน่นอน อีกฝ่ายที่เห็นเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาหากแต่ยังคงวางท่าราวกับว่าตนเองนั้นเหนือกว่า..

"พวกเจ้าช่างขลาดเขลายิ่งนัก.." คำพูดที่เอ่ยออกมาจากบุรุษเทวดาผู้นั้น ได้ชะงักทั้งสองไปชั่วขณะนึงพลางทำทั้งสองกระชับอาวุธของตนเตรียมเข้าปะทะ 

ในทันทีที่บุรุษเทวดาผู้กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีก

*ผัวะ!!!*

เงาบางอย่างลอยผ่านเหนือศีรษะทั้งสองไปกับอีกฝ่ายที่กำลังถูกรองเท้าบูทครึ่งน่องแบบผูกเชือกแบรนด์เซลีนยันเข้าหน้าเต็มสองฝ่าเท้า ร่างอันใหญ่โตถูกแรงถีบลอยกระเด็นหงายหลังเสียทรงลงไปนอนกองกับพื้นรถไฟ รอยรองเท้าเบอร์ใหญ่พิเศษสั่งทำยังประทับอยู่บนใบหน้าที่เคยงดงามราวเทวรูปสลัก ชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำลุกยืนขึ้นตรงหน้าก่อนสะบัดกระบองยืดหดเอนกประสงค์ให้กลายเป็นดาบใหญ่สองมือ
และชี้ไปทางด้านหน้าตรงจุดที่ผู้โดนจอห์นกระโดดขาคู่ใส่แบบเต็มฝ่าเท้าทั้งสอง

ชายร่างใหญ่ นัยน์สีเหลืองอำพันกับสีขาวควันไฟ ในตอนนี้กระบองยิดหดเอนกประสงค์ไดค่อยแปลงสภาพกลายเป็นดาบใหญ้สองมือที่กำตอนนี้คมดาบนั้นชี้ไปยังเทวาเพลิงตนนั้น ผู้ชเป็นต้นเรื่องของทุกสิ่ง

อัคคีเทวาตนนั้นค่อยลุกขึ้น รอยรองเท้าที่จอห์นมันลงไปที่หน้าหายไปกลับสู่สภาพใบหน้าที่งดงามดังเดิม เทวาตนนั้นปาดโลหิตที่หยดออกจากมุมปากและเผยรอยยิ้มบนใบหน้าของตนให้ทั้สามได้ยลโฉม เพียงแค่มันหาได้เป็นรอยยิ้มแห่งความปรีดา หากแต่เป็นรอยยิ้มที่แสดงให้รับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นกับศัตรูแห่งพระผู้เป็นเจ้า 

"นานมาแล้วที่ข้านั้นไม่ได้ลงมือสังหารเหล่าสาวกผู้นอกรีต ข้ารับใช้ปรปักษ์แห่งพระองค์ หน้าที่ของข้าได้ถูกเติมเต็มอีกครั้งโดยพวกเจ้า"

อัคคีเทวาตนนั้นกระชับดาบของตนด้วยสองมือตั้งท่าเตรียมข้าสู้ ชายหนุ่มที่ย่อตัวกระซิบที่ข้างหูทั้งสอง และทั้งสองก็รีบผละจากจุดที่ตนนั้นยืนอยู่ไปยังจุดหมายใหม่ที่ชายร่างใหญ่ได้บอกกับพวกเขา 

ที่หัวลากของขบวนรถฯ สีหน้าของเจ้าหน้าที่นั้นกังวลอย่างมากถึงมากที่สุดด้วยปัญหาที่มันเป็นอะไรที่มันแก้ไม่ได้จริงๆ และมันจะพาโศกนาฏกรรมมาสู่พวกเขารวมผู้โดยสารทั้งหมดที่ร่วมทางมาด้วยในครั้งนี้ โดยที่อีกไม่กี่สอบไมล์ ก็ถึงชานชะลาในเมืองที่จะถึง นั่นคือเมือง กรีนรีเวอร์ และพวกเขาทั้งสามต้องลงเพื่อเดินไปต่อรถที่นั่น และทั้งสาม โดยเฉพาะชายร่างใหญ่นั้น ไม่อยากที่จะต้องทำให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ โดยเฉพาะเรื่องในแบบที่เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของการเดินรถราง และมันคงจะแย่มากถ้ามันเกิดจากพวกเขาทั้งสาม โดยที่แม้ว่าเขาจะพูในเรื่องที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดอะไร ผู้คนต่างต้องหาว่าพวกเขาต้องบ้าหรือเพื้ยนเป็นแน่แท้ เพราะงั้น หากเกิดเรื่องจริงๆ จอห์นจะรับหน้าเอาไว้เพียงคนเดียว..

ซึ่งตอนนี้เอง เขายังคประจันหน้าอยู่กับเทวาอัคคีนามอูลิเอล หนึ่งในอัตรทูตสวรรค์ ที่ตอนนี้กำลังขัดขวางพวกเขาไม่ให้ไปถึงผู้นำทาง ผู้ที่จะบอกเบาะแสสำคัญของพวกเขาต่อไป.. 

*เปรี้ยง ๆๆ !! เคร้งๆๆๆ !!!*

ดาบเพลิงกับดาบใหญ่สองมือของจอห์นปะทะกันอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว มันสร้างความเร้าใจให้จอห์นไม่น้อยเพราะอีกฝ่ายก็มีพละกำลังที่พระเจ้าของตนประทานให้กับตัวเขาเอง ที่ใช้เพียงพลังกายและทักษะในการรบเป็นกำลังของตนเอง แบะถึงแม้ว่าตัวตนของอัตรทูตสวรรค์นั้นจะมีเพียงดาบอัคคีเพียงเล่มเดียว แต่ปีกทั้งสองคู่นั้นกลับทำหน้าที่เหมือนแขนเสริมให้กับทูตสวรรค์ตนนี้ให้ได้เปรียบกว่าตนได้หลายขั้น ถึงขั้นที่จอห์นจำเป็นต้องกางโล่ห์ใหญ่ของตนออกและดาบที่เหน็บอยู่ในโล่ห์ออกมาช่วยกันอีกด้านของแขนอีกข้างเพื่อไม่ให้เสียเปรียบ 

อีกฝ่ายที่เห็นจอห์นที่กำลังเสียเปรียบก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนกับคำพูดที่เหมือนหลุดออกมาจากในไบเบิล

"จงอย่าได้กลัวที่จะเป็นส่วนหนึ่งกับเรา พละกำลังของเจ้านั้นจักเป็นที่ประจักษ์ต่อเรา และต่อพระองค์ เจ้าจักส่วนหนึ่งในการปกปักษ์ และปกป้องบัลลังค์ของพระองค์ และได้เป็นส่วนหนึ่งกับหมู่เรา ภราดาแห่งศาสนจักรฯ.."

จอห์นเองที่ได้ยินคำเชิญชวนนั้น ไม่ต่างอะไรกับโฆษณาขายเครื่องกรองน้ำที่หน้าบ้าน มันแย่เสียยิ่งกว่าพวกลูกเสือขายคุกกี้เสียอีก เขาเงยหน้าขึ้นก่อปักดาบใหญ่ของตนเองลงที่พื้นตู้เสบียงที่ตอนนี้มีเพียงซากของมัน ก่อนที่จะยิ้มและเอ่ยกลับ

"สำนึกที่เถรตรง ไม่เอนเอียง มุ่งตรงต่อพระผู้เป็นเจ้าของแกน่ะ เป็นสิ่งเดียวที่ฉันนั้นยอมรับในตัวของพวกแกจริงๆ.. แต่พวกแกรู้อะไรมั้ย พวกแกมันก็แค่หมากตัวนึงของสิ่งที่พวกแกไม่เคยเห็นแม้แต่แผ่นหลัง ไอ้สิ่งที่พวกแกเรียกว่าพระผู้เป็นเจ้าของแกน่ะ ต่อให้แกพยายามสักเพียงใด แกก็ไม่มีวันเอื้อมถึงแม้นเพียงฐานของบัลลังค์ พูดก็พูดเถอะ หน้าที่ของแกน่ะ ก็มีเพียงแค่นี้เท่านั้นแหละ เป็นเบี้ยคอยรับใช้ในพระเจ้าที่เข้ามองไม่เห็น และรู้อะไรมั้ย พวกสาวกสมองน้อยในอดีตอขงพวกแกน่ะ มันพาความวินาศไปทั่วทุกหนแห่งของโลกใบนี้แล้ว โลกใบนี้ไม่มีทางเป็นสุขหากพวกแกยังอยู่บนโลกใบนี้.."

*ฉัวะ!!*

ในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังเผลอนั้นเองปลายคมดาบคมดาบใหญ่ของจอห์นที่ปักอยู่บนพื้นตู้รถเสบียงถูกดึงขึ้นมาพร้อมกับสะบัดอย่างแรง ปลายคมดาบปาดเข้าเต็มๆกลางใบหน้าที่ขาวเนียนนั้นจนของเหลวสีแดงพุ่งออกมาจากบาดแผลนั้น อัครทูตฯเสียหลักจากการโจมตีในทีเผลอ จอห์นที่กำลังจะวิ่งหนีนั้นหมายจะทำบางสิ่ง แต่กลับถูกห้ามไว้

*ฟิ้ว.. เคร้ง !!*

ดาบอัคคีถูกเขวี้ยงขวางชายร่างใหญ่เอาไว้ เปลวไฟจากดาบค่อยโหมขึ้นอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ชายร่างใหญ่ไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากดึงดาบเล่มนี้ออก แต่เมื่อเขาพยายามที่จะดึงมันออก เปลวไฟที่คลุมดาบเอาไว้กลับแผดเผามือของจอห์นปวดแสบปวดร้อนไปทั้งมือ สร้างเสียงหัวเราะกับอัครทูตสวรรค์อย่างอูรีเอลไม่น้อย

"ฮึๆ ฮะๆๆ เจ้าช่างขลาดเขลายิ่งนัก ศาสตราของอัตรทูตสวรรค์นั้นน่ะ มิใช่สิ่งที่มนุษย์อันต้อยต่ำเยี่ยงเจ้าจะหยิบจับมันมาใช้ได้อย่างอาวุธดาษดื่นทั่วไปหรอกนะ"

คำพูดนั้นทำให้จอห์นรู้สึกดูกลายเป็นคนสมองน้อยไปช่วงขณะนึง แค่ชั่วขณะนึงที่เขากลับมาคิดอีกครั้ง ถ้าในเมื่อใช้มือหยิบหรือจับไม่ได้ งั้นแบบนี้ล่ะ?

จอห์น ชายร่างใหญ่จึงจับดาบใหญ่ของตนเองเกี่ยวกับโกร่งดาบของอีกฝ่ายก่อนที่จะใช้โล่ห์ใหญ่ของตนเองเดาะดาบนั้นจนได้ในลักษ์ณะที่พอดี แล้วทำในสิ่งที่เทพที่กำลังสงสัยในการกระทำนั้นก็ประหลาดใจ 

*เปรี้ยง!!*

จอห์นกระชับดาบใหญ่ไว้ในสองมืออย่างมั่นเหมาะและทันทีที่ลักษณะของดาบนั้นตั้งในระนาบแนวนอน เขาใช้กำลังกายของตนเองหวดดาบใหญ่ของตนอย่างแรงไปที่กร่นด้ามดาบด้วยความแรงและแม่นยำ ด้วบแรงของกำลังแห่งยักษ์ในตำนานนอร์สผสานกับพลังกายของสายเลือดเทพ ทำให้ดาบอัคคีของอัครทูตสวรรค์พุ่งเข้าใส่ปีกของเทวาผู้เป็นเจ้าของศาสตรานั้นอย่างจัง ร่างของเทวาตนนั้นเหมือนโดนบางอย่างฉุดให้ล้มตัวลงอย่างแรง ซึ่งมันก็คือดาบอัคคีของตนเอง แม้ว่ามันจะไม่สร้างความเสียหายด้วยเพลิงอัคคีกับผู้เป็นนายของมัน แต่ตมดาบที่พุ่งเข้าไปอย่างเร็วและแรงนั้นมันไม่เรื่องโกหก และทางด้านเทวาผู้เป็นนายแห่งศาสตานั้นเองก็ไม่ทันได้เตรียมใจ

ร่างของอัครทูตสวรรค์ถูกดาบอัคคีอันเป็นศาสตราคู่กายของตนตรึงปีกเอาไว้จนไม่อาจขยับไปไหนได้ชั่วขณะ ในจังหวะที่จอห์นเองนั้นก้เหนื่อยหอบจนไม่สนที่จะพูดอะไรต่อ ได้เพียงแต่โบกมือวันทยาหัตรให้กับเทวาตนนั้น และวิ่งออกจากช่วงตู้รถเสบียง เพื่อไม่ลืมที่จะทำในสิ่งที่ตนนั้นคิดเอาไว้ 

"ฮึบ!"

*แคร้ง!!*

ชายร่างใหญ่กระหมุนตัวเพื่อเพิ่มแรงส่งกำลังอันมหาศาลในตัวของเขาที่ยังเหลืออยู่รวมกับคมดาบที่มี ฟันข้อต่อของขบวนตู้เสบียงที่เสียหายให้ขาดภายในการฟันเพียงครั้งเดียวและเกาะขึ้นหลังคารถไฟที่ท้ายขบวนตอนนี้ โบกี้ของตู้รถชุดนึงก็หลุดออกจากรางไปแล้ว เสี่ยงอย่างมากที่จะพาให้ทั้งขบวนที่ยังคงวิ่งอยู่นั้นพลิกออกจากรางได้อย่างง่ายดาย.. จอห์นรีบวิ่งไปดูที่ด้านหน้าของหัวขบวน แล้วกระโดดโหนตัวเข้ามาในห้องคนขับ 

"เป้นไงบ้างเด็กๆ ฉันภาวนาหวังว่ามันคงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกนะ" ชายร่างใหญ่เอ่ยกับเด็กๆทั้งสองอย่างมีความหวัง แต่..

"คุณจอห์น ดูเหมือนสิ่งที่คุณภาวนาเอาไว้มันจะไม่ส่งผลเท่าไหร่" เด็กหนุ่มเอ่ย ก่อนที่จะโชว์ในสิ่งที่เขาได้เห็น 

คันบังคับความเร็วของรถไฟที่มีเพียงเดียวนั้นหักเสียหายจากการกระแทกของหัวนายรถไฟ สิ่งที่มีในตอนนี้นั้น คือเบรกฉุกเฉินที่สามารถใช้การได้ จอห์น ชายร่างใหญ่ที่เห็นดังนั้น ได้ใช้กล้องส่องทางไกลในห้องคนขับมองไปที่ไกลๆ ซึ่ง ไม่กี่ไมล์นั้นเอง เขาเห็นป้ายของชานชะลาเมืองกรีนรีเวอร์ ซึ่งนั่นคือจุดหมายของพวกเขาทั้งสามที่จะต้องเดินทางต่อไป แต่ตอนนี้ พวกเขาทั้งสามต้องวางแผนอะไรเสียก่อน

"คุณจอห์น เราจะทำยังไงต่อคะ?" เด็กสาวเอ่ยถาม

"ชู่วว ไม่ต้องห่วงน่ะ ฉันมีแผน.. อย่างนี้นะ อีกไม่กี่ไมล์เราจะถึงชานชะลาของเมืองที่เราจะลง ตอนนี้เบรกฉุกเฉินยังคงใช้ได้ เราจะกดมันก่อนที่จะถึงที่ชานชะลาเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายโดยรอบ หลังจากจากนั้นเราจะสวมรอยเป็นเป็นผู้โดยสารที่ลงจากขบวน แล้วเดินเข้าเมือง พอถึงในกรีนรีเวอร์แล้ว เราค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ ตามนี้นะ" 

ชายร่างใหญ่บรีฟงานให้กับเด็กหนุ่มเด็กสาว ในขณะที่อีกไม่กี่ไมล์นั้นเอง แผนการของพวกเขาก็จะเริ่ม เมื่อหัวขบวนเข้าใกล้ทางข้ามรถไฟนั้นเอง

"เอาเลย" ชายร่างใหญ่สั่ง เด็กสาวดึงคันโยกซึ่งเป็นเบรกฉุกเฉินในทันที เบรกฉุกเฉินที่เชื่อมตลอดทั้งขบวนทำงาน ทำให้ขบวนรถทั้งขบวนสั่นอย่างหน้ากลัว สิ่งที่พวกเขานั้นไม่อยากจะให้มันเกิดนั่นคือทั้งขบวนพลิกคว่ำและตกราง 

แต่ก็เหมือนเทพธิดาแห่งโชคลาภจะอยู่ข้างทั้งสาม ขบวนที่สั่นอย่างแรงด้วยแรงเสียดทานอันมหาศาลนั้น ขบวนรถก็ค่อยๆชะลอตัวลงอย่างช้าๆ แล้วตามด้วยขบวนรถที่ค่อยไหลเข้าชานชะลาอย่างช้าๆและขรุขระ ก่อนจะจอดสนิทที่ชานชะลาอย่างนิ่มนวล เหตุการณ์ที่มีเพียงหนุ่งในพันหรือในหมื่นที่โศกนาฏกรรมจะมีผู้รอดชีวิตถึงครึ่ง ชายร่างใหญ่กับเด็กหนุ่มเด็กสาวเด็กสาวเดินออกจากห้องคนขับรถไฟอย่างอ่อนแรง ชายร่างใหญ่ แม้ว่าจะอ่อนเพลียแรงเพียงใด เขาก็ยังไม่ลืมที่จะจัดเสื้อและชุดสูทของตนเองตลอดหลังจากผ่านเหตุการณ์สุดระทึกใจนั้น เขากระชับเงื่อนเน็กไทล์ เช็กเครื่องประดับที่ปกเสื้อ กระเป๋าสูท รวมถึงกระดุมติดแขนเสื้อ เมื่อทุกอย่างยังอยู่อย่างปกติ เขาจึงพาหนุ่มสาวทั้งสองเดินออกจากชานชะลาเหมือนไม่มีอะไนเกิดขึ้น

ทั้งสามพยายามทำตัวให้เนียนที่สุด โดยที่ให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่อย่างไม่มีขัดขืน แต่ถึงกระนั้น อุปสรรค์ก็ทำให้เขานั้นต้องหยุดอยู่ที่นี่พักนึง พักใหญ่เลยด้วย..

"ขออภัยด้วยนะครับคุณเอ่อ.." เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ย

"โจนาทาน" ชายร่างใหญ่เอ่ย

"คุณโจนาทาน ขอความร่วมคุณให้ปากคำแก่พวกเราหน่อย" เจ้าหน้าท่ใส่กุญแจมือไพล่หลัง

"ที่ไหน ที่นี่เหรอ?" โจนาทานเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย

"ไม่ใช่ ที่นี่ไม่มีกองกำกับการ เราจะไปที่ซอลท์เลกซิตี้ เราหวังว่าคุณและเด็กๆพวกนั้นคงจะให้รายละเอียดที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ครั้งนี้ได้" 

"ได้.. แต่ผมขออะไรอย่างนึงสิ" ชายร่างใหญ่เอ่ยขอร้อง

"อะไร?"

"อย่าใส่กุญแจมือพวกเขา พวกเขาไม่เกี่ยว อีกอย่าง พวกเขายังเด็กอยู่"

"เราจะดูตามอายุไป.." เมื่อบทสนทนาระหว่างตำรวจกับชายร่างใหญ่จบลง 

ชายร่างใหญ่ โจนาทาน และ เด็กหนุ่ม เซลซิล ถูกใส่กุญแจมือขึ้นรถคุมผู้ต้องหาไปยังกองกำกับการฯ มีเพียงเด็กสาวเท่านั้นที่นั่งรถตามไป

"ไม่มีอะไรหรอกสาวน้อย เราเพียงขอความร่วมมือกับพวกเธอเท่านั้น หากพวกเธอไม่ได้เป็นต้นเหตุฯ พวกเราก็พร้อมที่จะปล่อยพวกเธอไปอยู่แล้ว หวังว่าเธอจะเข้าใจนะ" เจ้าหน้าที่หญิงที่ขับรถตามพยายามปลอบใจเธอให้หายกังวล ซึ่งเด้กสาวเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับพวกเธอทั้งสาม

เรื่องนี้มันชักจะวุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว..

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 72639 ไบต์และได้รับ 42 EXP!  โพสต์ 2024-12-21 01:55
โพสต์ 72,639 ไบต์และได้รับ +10 เกียรติยศ จาก ชุดทักซิโด้  โพสต์ 2024-12-21 01:55
โพสต์ 72,639 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +8 เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก ช่ำชองการรบ[II]  โพสต์ 2024-12-21 01:55
โพสต์ 72,639 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +8 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก กระโดดแห่งชัยชนะ  โพสต์ 2024-12-21 01:55
โพสต์ 72,639 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก น้ำหอมบุรุษ  โพสต์ 2024-12-21 01:55
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ช่ำชองการรบ[II]
กระโดดแห่งชัยชนะ
น้ำหอมบุรุษ
นาฬิกาสปอร์ต
มีดสั้นสัมฤทธิ์
ความถึก
กำไลหินนำโชค
เกราะหนัง
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โล่อัสพิส
หอกกรีก
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x4
x60
x4
โพสต์ 2024-12-27 23:41:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด





XIV

July..
Salt Lake City Police Department, Utah ..

จากใจของโจนาทาน..
จากจุดเก่ามาถึงตรงนี้ ถือว่ามาได้ไกลไม่น้อย มันติดอยู่อย่างเดียว อย่างเดียวเลยจริงๆ ไม่ใช่เรื่องอื่นใดเลย เราออกนอกเส้นทาง ที่ชานชะลาในกรีนรีเวอร์ที่เราลองจอดนั้น ที่นั่นไม่มีสถานีตำรวจ จะมีก็เพียงแค่ป้อมตำรวจสายตรวจทางหลวง แต่เรื่องใหญ่ขนาดที่เป็นข่าวดังแบบนี้ ต้องไปกองกำกับการตำรวจ ซึ่งกองกำกับการเมืองซอลต์ เลก ซิตี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้น ได้มาถึงที่เกิดเหตุก่อน และคุมตัวพวกเราไปสอบสวน ฉันก็หวังว่าพวกเขาจะเห็นแก่ความร่วมมือของพวกเรานะ เอาจริงๆ เชื่อเลยว่าร้อยทั้งร้อย เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนทั่วไปฟัง ไม่ห้องขังก็โรงบาลจิตเวช ซึ่งโอกาสแบบนั้นมีสูงมาก เพราะฉะนั้น อะไรที่ฉันตอบได้ก็จะพยายามให้ความร่วมมืออย่าเต็มที่ก็แล้วกัน ถ้าเสร็จเรื่องที่นี่เร็วเท่าไหร่ เราอาจจะหารถไปต่อจากที่นี่เลยก็เป็นได้ จะให้เดินข้ามรัฐไป กี่วันล่ะจะถึง.. นี่ไม่ใช่ธุดงค์แสวงบุญ ไม่ใช่การทำเพื่อบูชาเทพที่เป้นพ่อหรือแม่เรา และเชื่อได้เลยว่า ถ้าพวกเขาเห็นเราใช้หัวล่างมากกว่าหัวบนคิด เขาอาจจะสมเพชในตัวเรามากกว่าจะสงสารก็เป็นได้..

ในห้องสืบสวน..

จริงๆมีเพียงสองที่ควรจะถูกสอบปากคำ แต่ ทีฟาเองกลับกลายเป็นว่าก็ถุกทางการคาดคั้นถามเช่นเดียวกัน เนื่องจาก ทั้งสามนั้นอยู่ในเหตุการณ์ ไม่ใช่.. ต้องเรียกเป็นผู้ต้องสงสัยเลยก็ว่าได้ คงไม่ค้องอธิบายให้สามความ กลับไปอ่านตอนที่แล้วดูแล้วจะรู้เอง..

ที่ห้องสืบสวนแรกนั้นชายร่างใหญ่กับกุญแจมือที่ถูกคล้องอยู่กับโต๊ะเหล็ก มือทั้งสองของเขาวางไว้บนโต๊ะอย่างสุภาพและนั่งนิ่งๆ ให้ความร่วมมือกับทางการ ซึ่งหน้าแปลกที่เจ้าหน้าที่สืบสวนที่เข้ามานั้น แทบจะไม่ได้อะไรจากเขาไปเลย เริ่มจากที่พนักงานสืบสวนนั้นเดินเข้ามาในห้องขณะที่ชายร่างใหญ่กำลังนั่งนิ่งสงบอยู่ หนักสืบฯถือแฟ้มรูปคดีพร้อมกับผู้ช่วยอีกคนที่เดินถือของตามเข้ามาเยอะพอสมควร ซึ่งล้วนเป็นแฟ้มเอกสาร และที่น่าสนใจนั้น แฟ้มเอกสารนั้น บางแฟ้มเก่าจนสีนั้นเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย

"ก็อกๆ" พนักงานสืบสวนชายทำเสียงก่อนที่จะยกเก้าอี้นั่งลง ก่อนจะนำสิ่งของที่เป็นของโจนาทานฯมาวางเอาไว้พร้อมกล่าวทักทาย

"ทำสมาธิอยู่รึเปล่า?" พนักงานเอ่ยถามอีกครั้ง

"เปล่า.. ผมแค่นั่งเฉยๆ ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องคิด" ชายร่างใหญ่ตอบกลับโดยเสียงอันยะเยือก

".. บางทีคุณควรคิดนะ อย่างน้อยก็เรื่องทนาย หรือไม่ ก็เรื่องที่คุณนั้นทำลายทรัพย์สินของทางบริษัทขนส่งตัวเบ้ง.. ลองไตร่ตรองให้ดีก่อนนะ เอาล่ะ.." 

พนักงานสอบฯได้เปิดแฟ้มนึงขึ้นมา ดูเป็นแฟ้มประวัติอะไรสักอย่างซึ่งเก่ามากพอที่จะสังเกตได้ถึงสีของแฟ้มที่เปลี่ยนไป..

"พลเอก โจนาทาน เกรกอร์ลีย์ วิกเค็ท แห่งกองพลอากาศที่ 2 ฐานทัพอากาศ แลงลีย์ เวอร์จีเนีย ปลดประจำการเมื่อปี 2011, ได้รับเหรียญเกียรติยศเป็นแพ โดยเฉพาะเหรียญเกียรติยศซิลเวอร์สตาร์ฯ.. แหม่ ขอบคุณที่รับใช้ชาติ ท่านนายพล"

พนักงานสอบยังคงอ่านแฟ้มของเขาต่อไป.. อย่างน่าแปลกใจ.. แต่ด้วยอายุหรืออะไรก็ตามที่พาให้พนักงานสืบสวนสอบสวนคนนี้อึ้งเป็นไก่ตาแตก เขาก็ยังพอมีสติและกลับเข้าเรื่องได้

"เอาล่ะกลับเข้าเรื่องของเรากันเถอะ ท่านนายพล เพื่อไม่ให้เป็นการอคติหรือเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายนึง ซึ่งก็อาจจะเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว คุณพอจะบอกเล่า เรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นให้พวกเราฟังได้มั้ย?" 

"... "ชายร่างใหญ่ยังคงเงียบ ก่อนที่ขยับตัวเข้าไปเล็กน้อย แต่เพียงแม้จะเล็กน้อย มันก็ทำให้อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงความกดดันของอีกฝ่ายที่ส่งถึงอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนในความรู้สึกของพวกเขาเอง หลังจากนั้น ชายร่าใหญ่จึงเอ่ยคำถามออกมา

 "คุณเชื่อ.. ในเรื่องเหนือธรรมชาติมั้ย?" ชายร่างงใหญ่

"ผม.. ไม่เชื่อ.. มันต้องมีหลักฐานหรือเหตุผลมาลองรับผมถึงจะเชื่อ"

"แล้ว.. คุณเชื่อในพระเจ้ารึเปล่า?" คำถามเดียวเท่านั้นที่ทำให้ทั้งสองพนักงานถึงกับผงะไปพักนึง ก่อนที่จะตบโตีะด้วยความโมโห

"พอแล้ว ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกคุณเป็นอะไร หรือนับถือผีห่าซาตานอะไรก็ตาม แต่ถ้าสิ่งที่คุณกำลังจะบอกกับพวกเราเป็นเรื่องของความเชื่อหรือพระเจ้าแล้วล่ะก็ เชื่อเถอะ อย่าว่าแต่พระผู้เป็นเจ้าเลย ผมเองก็ไม่อาจจะให้อภัยกับคุณได้ คุณกำลังบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามกับเรา งั้นผมจะขอความร่วมมือจากคุณอีกครั้ง อยู่ในประเด็นด้วย คุณอยู่ในเหตุการณ์นั้น มันเกิดอะไรกับที่นั่น และสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ ไม่เอาเรื่องความเชื่อหรืออะไรก็ตามที่คุณพยายามจปั่นประสาทผม ผมพอแล้ว ตอบผมมาตามตรง ทุกอย่างจะได้มีปัญหามาก"

พนักงานสอบสวนเอ่ยอธิบาย ในขณะที่อีกห้องสืบสวน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เด็กหนุ่มเล่นโชว์ของเล่นที่เขามีทั้งหมดให้กับพนักงานสืบสวนออกมาจนหมด จนเกือบถูกจับกุม แต่จนแล้วจนรอด เมื่อได้คำตอบ สรุปผล ทุกอย่างก็ยังไม่เป็นผลที่ดีเท่าสำหรับตัวเขาและเด็กๆ ทั้งสามถูกคุมตัว เตรียมที่จะเข้าคุมตัวในพื้นที่คุมขัง จนกว่าทนายของบริษัทขนส่งที่พวกเขาทำเรื่องเอาไว้จะมาถึง.. 

ซึ่งยังไม่ทันจะได้ส่งตัวเข้าซังเต จู่ๆก็มีชายสี่คน ทั้งสี่นั้นเดินเข้ามาด้วยความรีบเล็กน้อย ก่อนที่จะถามหาใครสักคนในที่แห่งนี้

"ยินดีต้อนรับค่ะ ต้องการให้ช่วยอะไรคะ?" 

"โอ้.. ก็ไม่มีอะไรมาก พวกเราได้ยินข่าวแล้ว ผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ พวกเราได้ยินว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ เลยต้องการที่จะพาตัวไป แล้วเอกสารเหล่านี้ พวกคุณช่วยเร่งมือหน่อยก็ดี พวกเราไม่มีเวลามากนัก พวกเราได้รับหน้าที่ส่งตัวพวกเขาไปต่อ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก"

ท่าทีของเจ้าหน้าที่ในชุดสูทสำนักงานนั้นดูจริงจังอย่างมาก กับเจ้าหน้าที่อีกสองคนที่ตามมาที่ด้านหลังพร้อมกับเดินเข้าไปพร้อมที่จะปลดกุญแจมือ หากแต่เจ้าหน้าที่ประจำกองำกับการก็ได้ห้ามทั้งสองชายในชุดสูทสวมแว่นดำเอาไว้ 

"เฮ้ยๆ เดี๋ยวสิ ผมรู้ว่าพวกคุณเป้นใคร แต่จะมาพาผู้ต้องสงสัยคดีใหญ่แบบนี้ไปโดยที่ไม่มีหมายส่งตัวเนี่ยนะ ชุ่ยไปรึเปล่าคุณเจ้าหน้าที่"

"อ๋อ ถ้าเรื่องใบส่งตัวล่ะก็ อยู่นี่แล้ว.." ชายที่ดูเหมือนเป็นผู้นำทีมของสองคนนั้นได้หยิบกระดาษพับและส่งให้กับเจ้าหน้าที่กองกำกับการฯ ก่อนที่จะให้สองคนนั้นปลดกุญแจมือและพาตัวทั้งสามขึ้นรถลิโม่ฯสิสีดำออกจากกองกำกับการไปอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งไว้เพียงกระดาษหมายส่งตัวปลอมให้กับอีกฝ่ายรับรู้เพียงเท่านั้น

ถ้าคนที่กำลังสนทนากับพนักงานในกองบังคับการ จะไม่เป็นที่รู้จักก็ไม่แปลก พวกเขาไม่ได้ออกตั้งแต่เขาหนีออกมาจากเยอรมันฯ และก็มาเจอกับทั้งสามคนนี้อย่างที่เรียกได้ว่า ตามหากันจนเจอ เจ้าหน้าที่ตำรวจปลดกุญแจทั้งสอง รวมถึงปล่อยเด็กสาวให้เป็นอิสระและรีบพาทั้งสามขึ้นรถคันใหญ่ไป ก่อนที่จะหายไปอย่างที่ไม่มีใครสังเกตทัน และทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

"ให้ตายสิ นี่ฉันต้องมาเป็นคนขับรถให้พวกนาย แต่พวกนายมัวแต่คุยชักช้าเป็นบ้า" ชายผิวสีร่างกำยำในชุดสูทขับรถอยู่ด้านหน้าบ่นอย่างอารมณ์เสีย

"เอาน่ะ บอสโก้ ถือว่าเสียเวลาไม่มากนัก ฉันคาดคะเนเอาไว้แล้ว ไม่มากไม่น้อย พวกเราทำเวลาได้ดี แต่ก็ช่วยเหยียบหน่อยล่ะ ก่อนที่เรื่องจะตามเรามา" ชายวัยกลางคนผมขาวตัดสั้นที่นั่งอยู่ที่เบาะตรงข้ามกำลังมองด้านหลังให้อยู่

"ผู้พันฯ อย่าบอกนะว่านี่คือภารกิจของพวกเราน่ะ พาคนสามคนหนีจากตำรวจไปจุดหมายเนี่ยนะ" ชายหนุ่มหน้าคมคายที่นั่งอยู่ข้างชายวัยกลางคนเอ่ยถาม

"คงไม่ใช่คนอื่นเป็นแน่.. วัยรุ่นสอง พี่ใหญ่อีกหนึ่ง ชุดภูมิฐาน ทรงผู้รากมากดีผมสีขาว ดวงตาสีเหลืองอำพันแวววาว ไม่มีคนอื่นหรอก"

"ผู้พันฯ แล้วพวกเราจะไปที่ไหนต่อ ขับรถไปแบบนี้ กี่วันจะถึง" ชายที่นั่งอยู่ข้างหน้ากับชายที่ชื่อบอสโก้หันมาถามก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มตีกัน

"นี่บอสโก้หยุดนะ ฉันยังไม่ได้บอกว่าการเดินทางของเราพอถึงอเมริกาแล้วจะเหมือนเดิม แต่ฉันเองก็รับรองไม่ได้เหมือนกันว่าเราจะปลอดภัยตลอดเส้นทางที่เรากำลังจะไป"

"ผู้พันหมายความว่าไง?"

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงคำถามจากในรถ..

*ตูมม!!*

เสียงระเบิดก็ดังสนั่นที่ด้านข้างของรถ ทำเอาบอสโก้ ชายกำยำผิวสีคนขับต้องสะบัดพวงมาลัยหลบมันอย่างกระทันหัน รถคันนี้มีหน้าต่างบนหลังคา ผู้พันปริศนาจึงเปิดช่องหลังคานั้นออกและยืนขึ้นในขณะที่รถลิมูซีนคันกว้างและใหญ่และสูงกำลังแล่นไปด้วยความเร็ว

"นายพลจอห์น หยิบของที่ผมต้องใช้ในตอนนี้มากที่สุดมาให้ฉันหน่อยได้มั้ย?" โจนาทานที่ได้ฟังคำขอของผู้พันปริศนาคนนี้นั้น เจ้าตัวก็ยังประหลาดใจและสงสัย ว่าพวกนี้เป็นใครกันแน่ แต่ที่รู้ๆคือพวกเขาช่วยทั้งสามออกมา จะช่วยพวกเขาตอบก็ไม่เห็นจะเสียหาย ชายร่างใหญ่หันไปที่ด้านหลังซึ่งเป็นช่องสำหรับที่นั่งได้อีกสามถงห้าคน แต่ถูกแทนที่ด้วยอาวุธสงครามจำนวนนึง ชายร่างใหญ่ได้หยิบไรเฟิลจู่โจมนำมาให้ถึงมือ 

เมื่อผู้พันปริศนาได้รับเรียบร้อยก็เปิดฉากยิงโต้กลับใส่อีกฝ่าย ซึ่งมีรถเอสยูวีจำนวนหกคันขับไล่ตามมาตลอดทาง 

"ท่านนายพล ขอผมกระบอกนึง" ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆเอ่ยขอ ชายร่างใหญ่ก็เอื้อมือไปหยิบให้อย่างรวดเร็วก่อนส่งให้อีกฝ่าย ชายหนุ่มคนนั้นเปิดกระจกข้างพร้อมกับสาดกระสุนใส่คารวานที่ตามหลังมาเช่นเดียวกัน

"ท่านนายพลๆ ฉันยังไม่ได้ๆ ขอฉันหน่อย นะๆ" ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็ขอเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นการขอที่อ้อนเกินจนใช้คำว่าอ้ออนตีนได้เลยทีเดียว..

"จะบ้าตาย.. เอานี่ เก็บให้หมดล่ะ ไม่งั้น คงจะมีอะไรที่แย่กว่านี้ตามเรามาแน่นอน" จอห์นเอ่ยกับชายหนุ่มที่นั่งหน้าพร้อมกับส่งปืนกลเบาให้กับอีกฝ่าย 

"ท่านนายพล รู้ใช่มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น" บอสโก้คนขับเอ่ยถาม 

"รู้สิ.. และพวกนายรู้กันรึเปล่าว่าจะ้อมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ในทุกๆการเดินทาง" เพียงชายร่างใหญ่เอ่ยจบ บอสโก้ที่เป็นคนขับถึงกับตะลึงงัน

"ทุกเส้นทางการเดินทาง..!! ผู้พัน ผมว่าเราพาทั้งสามคนนี้ไปส่งที่สถานีรถไฟที่เมืองถัดไปจะดีกว่านะ ผมไม่อยากเสี่ยงเหมือนครั้งที่เยอรมันนี"

"เฮ้ บอสโก้ นายอาจจะยังไม่รู้อะไรนะ ก่อนหน้าที่พวกเราจะเจอพวกเขาสามคนเนี่ย พวกเขาทำขบวนรถข้ามเมืองชิบหายไปครึ่งขบวนก่อนที่เราจะมาเจอพวกเขานะ" ชายกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เขาขอตลับกระสุนใหม่จากห้องผู้โดยสาร ซึ่งก็คือเด็กหนุ่มกับเด็กสาวรวมถึงชายร่างใหญ่ก็ช่วยกันจ่ายตลับกระสุนให้พวกเขาอย่างไม่ลดละ

"นี่ล้อกันเ่นใช่มั้ยเนี่ยปู่?!" สีหน้าของบอสโก้เริ่มเลิกลัก แต่ก็ยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปอย่างไม่มีท่าทีว่าจะสะลัดกองคารวานเอสยูวีสีดำนี้หมด

"ถ้าไม่ติดอะไรนะจอห์น จะขึ้นมาร่วมวงด้วยก็ได้ แต่ที่อาจจะอัดๆกันหน่อยนะ ฮะๆๆ" ชายกลางคนผมขาวหงอกเอ่ยขณะที่ตนนั้นกำลังสาดกระสุนอย่างบันเทิงอารมณ์ ชายร่างใหญ่ที่ได้ยินคำชวนนั้น ก็ไม่ติดขัดและพร้อมที่จะร่วมแจมด้วยอย่างเต็มใจ

"... จะทำเท่าที่ทำได้แล้วกันนะ.." โจนาทานเอ่ยตอบพร้อมกับประตูกระโดดออกจากรถแบบหน้าตาเฉย เด็กๆทั้งสองที่เห็นผู้อาวุโสของตนเองทำอะไรแบบไม่คิดแบบนี้ เล่นทำเอาทั้งสองเหวอจนพูดอะไรไม่ออก 

โจนาทานที่กระโดดออกจากรถที่กำลังวิ่งด้วยทำเร็ว ตามหลังมาด้วยกลุ่มรถเอสยูวีที่ตามมาเป็นขบวน เขาเกาะที่ขอบหน้าต่างพร้อมกับให้กำลังของรถนั้นลากตัวเขาไป ก่อนจะมองไปที่ด้านหลังเพื่อทำการดูจำนวน.. ก่อนที่จะปล่อยตัวเองออกจากลิมูซีนคันใหญ่ที่เขานั้นโดยสารมา ท่ามกลางดินแดนที่เต็มไปด้วยกรวดหินดินทราย ฝุ่นที่ก่อตัวขึ้นบังทัศนวิสัยที่คลุมร่างอันใหญ่โตของโจนาทานเอาไว้จนมองไม่เห็น ซึ่งเหล่าขบวนรถเอสยูวีสีดำที่กำลังไล่กวดพร้อมกับสาดกระสุนใส่อยู่นั้น ทั้งหมดหันไปมองเป็นจุดเดียวกันเหมือนกับว่าเป้าหมายสำคัญหลุดหายไปเข้ากลีบเมฆ

เหล่ากองกำลังเอสยูวีเหล่านั้นเลือที่จะไม่สนใจ หากแต่จะไล่กวดลิมูซีนคันใหญ่อยู่คันเดียว โดยที่พวกมันไม่รู้เลยว่า มีบางสิ่งที่พวกมันลืม

"นี่อัลฟ่าวัน เห็นเป้าหมายหลักมั้ย เปลี่ยน?"

"อัลฟ่าวัน นี่ฟ้อกทร็อตวัน ยังไม่พบเป้าหมายหลัก เปลี่ยน"

"นี่ไมค์วัน ไม่พบเป้าหมายเช่นกัน หายไปไหนแล้วเนี่ย?" 

"นี่อัลฟ่าวัน ไม่มีความเห็น แต่ฉันไม่ได้ยินด้านหลังติดต่อกลับมาเลย ไม่มีเสียงอะไรเลยด้วย.. เดี๋ยวนะ" 

ทันทีที่หัวขบวนหยุดการสื่อสารเพื่อสังเกตบางสิ่งที่พุ่งออกจากกลุ่มฝุ่นควันมา 

*โครมมม!!*

"ให้ตายสิ!!" รถหัวขบวนเบี่ยงรถหลบซากรถที่พังยับแทบจะไม่ทัน และพวกเขารับรู้ได้แล้วว่า มันเกิดอะไรขึ้นที่ด้านหลังของกลุ่มฝุ่นควันนั้น 

ชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำ ที่ตอนนี้กล้ามเนื้อของเขานั้นปูดออกแทบจะปริออกจากชุด ทุกส่วนของร่างกายที่ทำให้เขานั้นพังรถเอสยูวีทั้งคันได้ เพียงมือเปล่า และดาบใหญ่กับโล่ห์ขนาดใหญ่หนา กับสารพัดศาสตราวุธที่ประเคนใส่รถแต่ละคันก่อนที่จะทุบและเขวี้ยงไปด้านหน้าเยี่ยงเศษขยะในมือ และวิ่งตามรถที่กำลังขับไปด้วยความเร็ว 

"โอ้ พระเจ้าช่วย อะไรกันเนี่ย อ้ากกกกก!!" เสียงจากวิทยุที่สื่อสารกันทำเอาทั้งกลุ่มถึงกับผวากันไปตามๆกัน

"อย่าไปกลัว พระองค์อยู่ข้างเรา จงอย่าได้หวาดกลัวไป พวกมัน คนนอกรีตเหล่านั้นทำอะไรเราไปไม่ได้มากกว่านี้หรอก" หัวขบวนปลุกใจทั้งปลอบคในกลุ่มเพื่อลดความหวาดหวั่นที่เหมือนกับอยู่รอบตัวของพวกมันตลอดเวลา ณ ขณะนี้ 

"พระเจ้า มันเป็นตัวอะไรกันแน่วะเนี่ย วิ่งตามรถที่เหยียบมิดคันเร่งทันแบบนี้ ซาตานสร้างตัวอะไรขึ้นมา อ้าาาาาา!!!!!" คนในรถคันนึงหวาดผวากับการกระทำของชายร่างใหญ่ผู้นี้ ที่ทั้งฉีกกระชากมนุษย์ราวกับเศษขนมปัง ทุบรถที่วิ่งด้วยความเร็วก่อนจะเขวี้ยงไปข้างหน้าด้วยกำลังของตัวเขา ซึ่งมันแรงมากถึงขนาดที่ซากรถที่หนักร่วมตันลอยไปตกในบริเวณที่ลีมูซีนคันใหญ่นั้นวิ่งอยู่

ที่รถลีมูซีนสีดำคันใหญ่ ชายวัยกลางคนที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างทำได้เพียงหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ขณะที่กำลังมองรถที่ไล่ตามพวกเาแต่ละคันกลายเป็นซากขาดครึ่งในชั่วพริบตา พร้อมกับชายร่างใหญ่ที่วิ่งตามมาด้วยความเร็วสูง เช่นเดียวกับในตอนที่เขานั้น วิ่งขนาบข้างรถไฟความเร็วที่มีหมานรกไล่ตามเป็นฝูง

"ฮะๆ ดูเหมือนเขาจะพูดถูกเรื่องอยู่เรื่องนึงเกี่ยวกับเขาน่ะนะ" 

"เรื่องอะไรเหรอผู้พัน?" 

"เรื่องที่ตัวตนของเขานั้นไม่ใช่ทั้งเทวาและซาตานยังไงล่ะ ฮะๆๆๆ " ผู้พันวัยกลางคนหัวเราะขำขัน พาทำให้ทั้งรถนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของทหารทั้งสี่ที่มาช่วยพวกเขาออกจากที่ตรงนี้..

ร่างอันใหญ่โตของโจนาทานวิ่งตามมาจนกระทั่งถึงตัวรถฯ ขณะที่วิ่งอยู่ ผู้พันวัยกลางคนยื่นมือออกมาขณะที่โจนาทานนั่งชั่นเข่าบนหลังคารถ

"ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง ท่านนายพลวิกเคน"

"ยินดีที่ได้เจอกันอีกเช่นเดียวกัน.. ผู้พันฮัลนิบาล สมิทธ์"

"อะ.. พวกคุณรู้จักกันงั้นเหรอ" ชายหนุ่มหน้าหยกเอ่ยถามก่อนจะโยนอาวุธปืนไปที่ด้านหลัง

"รู้จักสิ เออ ก่อนอื่นเลย เดี๋ยวจะไม่มีเวลา นี่เฟสแมน ร้อยโท นั่นเมอด็อก คนพาเรามาที่นี่ ส่วนที่ขับอยู่ บอสโก้ จำไว้แค่นี้หน้าจะเพียงพอ พวกเขาเป็นทหารเหมือนกับฉัน และก็เหมือนกับคุณโจนาทาน" 

"คุณรู้ที่อยู่ของเราได้ยังไง?" ชายร่างใหญ่เอ่ยถาม ขณะที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างมานั่งในรถ

"ไม่มีใครรู้ มีเพียงข้อความสั้น และพิกัดตำแหน่งที่บอกพวกเรา หลังจากนั้นพวกเราก็มา.. เจอคุณ กับเด็กๆอีกสองคน"

ทุกสิ่งสร้างความงุนงงให้กับทั้งสาม ไม่มีใครรู้เลยว่า ทหารทั้งสี่คนนี้มาเจอพวกเขาได้ยังไง ใครนำทางมา และใครเป็นคนบอกสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ ไม่มีใครสักคนรู้ได้เลย นอกจากข้อความในเครื่องบอกพิกัด มีเพียงข้อความสั้นๆ ซึ่งก็ทำให้ทหารมียศทั้งสี่คนจับต้นชนปลายได้บ้าง เฉพาะในตอนนี้.. และหลังจากนั้น

*!!*

เสียงปิ้บๆดังออกจากเครื่องระบุตำแหน่งผ่านดาวเทียม มันปักจุดหมายไปยังสถานที่แห่งนึงไม่ไกลจากที่ๆพวกเขาอยู่มากนัก..

"มีสนามแข่งรถวิบากอยู่ไม่ไกลจากนี่.. มีรหัสทิ้งไว้ด้วย" ผู้พันฮัลนิบาลบอกกับชายร่างใหญ่ขณะที่เขากำลังมองอยู่นั้นเอง 

"130J GR มันคืออะไร?" โจนาทานเอ่ยถาม 

"ไม่รู้ เราอาจจะได้คำตอบเมื่อถึงที่หมายแล้ว.." 

.......

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 54186 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2024-12-27 23:41
โพสต์ 54,186 ไบต์และได้รับ +10 เกียรติยศ จาก ชุดทักซิโด้  โพสต์ 2024-12-27 23:41
โพสต์ 54,186 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +8 เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก ช่ำชองการรบ[II]  โพสต์ 2024-12-27 23:41
โพสต์ 54,186 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +8 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก กระโดดแห่งชัยชนะ  โพสต์ 2024-12-27 23:41
โพสต์ 54,186 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก น้ำหอมบุรุษ  โพสต์ 2024-12-27 23:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ช่ำชองการรบ[II]
กระโดดแห่งชัยชนะ
น้ำหอมบุรุษ
นาฬิกาสปอร์ต
มีดสั้นสัมฤทธิ์
ความถึก
กำไลหินนำโชค
เกราะหนัง
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โล่อัสพิส
หอกกรีก
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x4
x60
x4
โพสต์ 2025-1-23 23:57:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Johnathan เมื่อ 2025-2-6 22:25





XV
July..


บันทึกของโจนาทาน..

มันคงจะเป็นเรื่องที่อะไรสักอย่างพาให้พวกเรามาเจอกับพวกเขา คนเก่าที่คุ้นเคยกันเมื่อนานมาแล้วกว่าสิบๆปี มาเจอกันพร้อมกับสมัครพรรคพวกอีกสามคน โดยที่ทั้งสี่คนนี้ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไร รู้แค่ว่าพวกเขานั้นแหกคุก.. ใช่.. ฟังไม่ผิด พวกเขาแหกคุกออกมา ทั้งสี่คนเลย โดยที่คนแรก ฮัลนิบาล สมิทธ์ แหกออกมาเอง ส่วนอีกสามคนที่เหลือ เฟสแมน เพค ถูกฮัลนิบาลช่วย.. ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าพาแหกออกมาดีกว่า เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าอีกไม่กี่อาทิตย์เฟสก็จะได้รับการปล่อยตัวแล้ว เขายั้วะฮัลนิบาลจนทะเลาะกันนิด แต่สุดท้ายก็ยอมมาด้วยกันแต่โดยดี 

ส่วนคนต่อมาบอสโก้ บี.เอ บาราคัส คนนี้ขาโหด แต่พอตอนที่อยู่ในคุก ได้รับการปรับทัศนคติใหม่ กลายเป็นคนมากขึ้น ฮัลนิบาลว่ามาอย่างนั้นน่ะนะ 

ส่วนคนสุดท้าย.. ฮาวลิ่ง แมด เมอด็อก คนนี้ไม่ได้เข้าคุก แต่ถูกส่งตัวไปกักที่สถาบันจิตเวชในเยอรมันนี คนนี้ฮัลนิบาลบอกว่าเขาพิเศษกว่าคนอื่น มีเส้นคั่นบางๆระหว่างความอัจฉริยะกับบ้า.. ฟังไม่ผิดแน่นอน เมอด็อก ฉันขอเรียกเขาแบบนี้ก็แล้วกัน เป็นอัจฉริยะสติเฟื่อง สามคนที่รวมหัวจมท้ายกันมาเลยต้องบากหน้าไปช่วยลากตัวกลับมาที่สหรัฐ แล้วก็ดันเป็นเมอด็อกคนนี้ ที่พาฮัลนิบาลและพวกกลับมาที่สหรัฐฯ ฟังดูบ้ามั้ยล่ะ จำได้ว่าหลังจากที่ฮัลนิบาลได้รับเลื่อนยศใหม่ๆ เขาก็ใช้เวลาสักพัก กว่าจะได้สามหัวกะทิสุดระห่ำมาเป็นทีมพิเศษใต้บังคับบัญชาของเขาเอง 

แต่ก็นับได้ว่าฮัลนิบาลนั้นฉลาดเป็นกรด เรื่องวางแผนคาดคะเน จิตวิทยา การโน้มน้าวจิตใจ ของพวกนี้ต้องยกให้ฮัลนิบาลคนเดียว 

เขาเป็นคนเก่ง ทีมของเขาก็เก่ง เก่งเว่อร์ เก่งจนกลาโหมกำชับนายพลฯที่อยู่ใกล้ชิดกับเขา ให้พยายามยั้งทีมของฮัลนิบาลเอาไว้ ด้วเหตุผลอะไรไม่ทราบ แต่ก็เพราะความดื้อดึงและความเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงลิบ มันเลยทำให้พวกเขาต้องไปลงเอยที่ทัณฑสถานกันหมด ซึ่งฮัลนิบาลเป็นคนบอก ว่าพวกเขานั้นโดนใส่ร้าย ถูกใส่ความจนถูกปลดจากหน้าที่ สูญสิ้นเกียรติยศและศักดิ์ศรี พวกเขาใช้เวลาไม่นาน เพียงอาทิตย์เดียว ก็สามารถกู้ศักดิ์ศรีของพวกเขาคืนมาจนได้ คนพวกนี้เก่ง ฉันบอกได้แค่นี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะได้สิ่งที่พวกเขาหวังกลับคืนมา พวกเขาเหมือนถูกหลอกใช้ สิ่งที่พวกเขาหวังได้คืน ถูกทำลายจนสิ้น 

แล้วคิดว่าฮัลนิบาลคนนี้จะคิดยังไงน่ะเหรอ? ในเมื่อพวกเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ พวกเขาเองก็ไม่ง้อเหมือนกัน ก่อนที่จะมาที่นี่ ก็เช่นเคย พวกเขาหนีออกมาแบบที่ ในหัวของเขานั้นมีแผนเอาไว้อยู่แล้ว ก่อนที่จะมาที่นี่ แต่การมาของพวกเขาในครั้งนี้ มันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่ฮัลนิบาลเป็น พวกเขามาที่นี่โดยที่ไม่ได้วางแผนอะไรเอาไว้ ไม่ทราบคนไหว้วาน ไม่ทราบเป้าหมายหรือรายละเอียดของงานที่พวกเขาได้รับ มีเพียงข้อความจากเครื่องส่งสัญญาณตำแหน่งกับ พิกัดและรหัส กับข้อความสั้นๆ "SAVE THEM!" หรือช่วยพวกเขา.. ประมาณนี้ หลังจากนั้น พวกเขาก็ตามมายังที่จุดหมายที่ได้วางพิกัดเอาไว้ และก็เกิดเรื่องอย่างที่มันเป็น...


...........................


"เฮ้ย! ไม่จริงน่า ไม่เอาๆ นี่พวกแกหรอกฉันอีกแล้วงั้นเหรอ?" นั่นคือเสียงโวยวายที่ได้ยินมาแต่ไกลของ บอสโก้ แน่ล่ะ เขากลัวเครื่องบิน เหตุเกิดจากอะไรนั้น คงต้องถามเมอด็อกดู.. ทั้งสามรีบแจ้นขึ้นเครื่องไปขณะที่ สามคนที่มาช่วยพวกเขา ตอนนี้พวกเขาจำต้องพยายามช่วยพี่เบิ้มของเราขึ้นเครื่องบิน.. อีกแล้ว 


"ผมคงไม่ต้องถามหรอกมั้งว่าเขาเป็นอะไร" โจนาทานเอ่ยกับผู้พัน ขณะที่หันไปมองสองคนกำลังยื้อยุดฉุดกระชากลากถูพาบอสโก้ขึ้นเครื่อง 


ฮัลนิบาลยิ้มก่อนที่จะเดินขึ้นเครื่องนำไป ตามด้วยเมอด็อกที่เขานั้นรับหน้าที่เป็นนักบิน ส่วนเฟสกับบอสโก้นั้น


"นี่พวกแกพาฉันมาฝ่ากระสุนไม่พอ ยังจะพาฉันมาเจอกับฝันร้ายอีกอย่างงั้นเหรอ? ไม่เอาด้วยหรอก ขอตายตรงนี้ดีกว่า ขอร้องล่ะ" ชายร่างใหญ่ผิวสีน้ำตาลดำกำลังโวายขณะที่ถูกลากให้ขึ้นเครื่องบินที่จอดอยู่ ต่อให้จอดอยู่ ก็ดูเหมือนกับว่า ยังไงเขาก็ไม่ชอบเครื่องบินจริงๆ ชายร่างใหญ่ที่เห็นพวกเขากำลังทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องจึงเดินไป หมายจะช่วยสงเคราะห์ให้ 


"ไง พลทหาร" โจนาทานเอ่ยทักขณะที่กำลังเดินไปหา สีหน้าท่าทางของบอสโก้ก็พลันเปลี่ยนไปในทันที


"ไง.. พวกเราที่นี่ไม่ได้มีใครเป็นทหารอีกแล้ว และบอกไว้ก่อนนะว่า ก่อนที่จะโดนปลด ฉันมียศเป็นจ่าสิบตรีนะ ไม่ใช่พลทหารกิ้กก็อกอย่างที่คุณเข้าใจ" ชายร่างกำยำผิวดำมันเลื่อมเอ่ย


"โอเค.. งั้นบอกผมหน่อยสิจ่า คุณมีอะไรในใจถึงได้กลัวเครื่องบินขนาดนี้ บอกผมหน่อย" โจนาทานใช้ทักษะของทหารชั้นผู้ใหญ่ตั้งคำถาม โดยที่อีกฝ่ายนั้นไม่ได้เอ่ะใจหรือสงสัยอะไรในคำถามนี้ 


"ทำไมคุณไม่ลองไปถามไอ้คนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ดูล่ะท่านนายพล เสืออากาศที่ชั่วโมงบินสูงลิบ กลับต้องมาเป็นแบบนี้เพราะฮัลนิบาลเลือกเอาคนบ้ามาขับเครื่องบิน" บอสโก้บ่นความในใจออกมาอย่างอัดอั้น โดยที่ขณะนั้นเอง บอสโก้รู้สึกได้ถึงอะไรสักอย่างที่สะกิดที่ขาของเขา


จนกระทั่งอีกฝ่ายก้มลงไปมอง เขาจึงได้เห็น แล้วสบถออกมาด้วยเสียงอันเรียบเชียบหมดเรี่ยวแรง


"คุณนี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับพวววกกกกเขา......"


*ตุ้บ!*


ชายร่างหนาตรงหน้าของโจนาทานมึนเพราะฤทธิ์ของลูกดอกยาสลบที่ยิงออกมาจากปืนพกอัจฉริยะของโจนาทาน รวบรัดตัดตอน เบี่ยงเบนความสนใจและพอเห็นร่างที่สลบพับไปตรงหน้า เขาจึงหิ้วปีกชายร่างหนานั้นขึ้นเครื่องไปที่ห้องนักบิน พร้อมกับให้พรรคพวกของเขาช่วยรัดสายเข็มขัดให้กระชับ


เมอด็อกสวมหูฟังนักบินก่อนจะเริ่มแพล่มอะไรของเขาไปเรื่อย พาเอาเพื่อนๆของทีมแอบเหนื่อยหน่ายไม่น้อย ชายร่างใหญ่ โจนาทานยังแอบประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ว่าทำไมถึงมีเครื่องบินขนส่งของทางกองทัพมาลงจอดอะไรในที่แบบนี้ เครื่องที่พวกเขากำลังเตรียมเอาขึ้นนั้นคึอ เครื่องบินขนส่งของกองทัพสหรัฐรุ่นใหญ่อย่าง C-17 เครื่องบินขนส่งขนาดใหญ่ที่สุดของกองทัพ เป็นอะไรที่น่าประหลาด เพราะของแบบนี้จะมาอยู่ในที่แบบนี้นั้น เป็นไปไม่ได้เลย ชายร่างใหญ่ได้แต่คิด แต่สุดท้ายแล้วนั้น สิ่งที่ทำให้เขานั้นออกจากความคิดไปได้นั้นก็มีเพียง.. 



"ช่างมันเถอะ" เขาเอ่ยกับตัวเอง ขณะที่นั่งอยู่ในห้องเก็บสินค้า.. ที่ก็ไม่น่าเอ่ะใจอีกแล้วเพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะห้องสินค้านั้นมีรถถังหลัก A1M2 Abrams ถูกจอดอยู่หนึ่งคันเต็มพื้นที่ห้องเก็บสินค้าอย่างที่ไม่น่าสงสัยหรือเอ่ะใจเลยจริงๆ(ประชด)



ขณะที่เมอด็อกกำลังเตรียมเครื่องออก แน่ล่ะ ทรัพย์สินมูลค่าสามพันกว่าล้านเหรียญสหรัฐฯตกอยู่ในมือของกลุ่มคนที่ไหนก็ไม่รู้ซึ่งเป็นอดีตทหารมีฝีมือของประเทศตัวเองที่แหกคุกออกมา เรื่องแบบนี้แม้จะหาได้ยากหนึ่งในล้าน แต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เมอด็อกเมื่อเครื่องใบพัดเทอร์โบทั้งสี่เครื่องติด รันเวย์ฉุกเฉินที่พร้อมจะให้นกเหล็กลำยักษ์นี้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก็พร้อม อีกทั้งสิ่งที่ตามๆมาก็ไล่ตามมาอีกระลอกแล้ว 


"รีบเอาเครื่องขึ้นก่อนที่จะไม่มีโอกาส" ฮัลนิบาลเอ่ยเตือนเมอด็อกที่กำลังเพลิดเพลินกับห้องนักบินที่เขานั้นหลงไหล 


"โอเคๆ เอาล่ะนะ.." เมอด็อกกดปุ่มสารพัดในแผหน้าปัดพร้อมกับดันคันโยกเครื่องเพื่อเตรียมออกบิน แต่ว่า..


*ครืนนนน!!*


แทนที่เครื่องจะพุ่งไปด้านหน้า กลับค่อยๆเคลื่อนถอยหลังไปอย่างประหลาด


"เมอด็อกก แกทำอะไรของแกวะเนี่ยยย" เฟสโวยออกมาเสียงดังขณะที่เขานั้นเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง


"เดี๋ยวๆๆ ใจเย็น เจ้านี่มีลูกเล่นกว่าที่คิดนะ เอาล่ะ อีกนิดเดียว.. แล้ว" เมอด็อกสะกิดแผงควบคุมสามสี่ครั้งก่อนจะโยกคันโยกไปข้างหน้า 


เครื่องยนต์ใบพัดเจ็ทขนาดใหญ่ทั้งสี่คำรามเสียงดังก้อง พร้อมส่งตัวเครื่องพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ทุกๆคนในเครื่องหาที่จับอย่างทันที นักบินสติเฟื่องค่อยๆดึงคันโยกขึ้นอย่างช้าๆ แต่เร็วกว่าเครื่องบินลำอื่นๆ ด้วยความพิเศษของรุ่นนี้ ทั้งความเร็วที่ส่งการเทคออฟตัวเครื่องขึ้นได้อย่างรวดเร็ว พอรู้ตัวอีกที เครื่องฯก็อยู่กลางอากาศแล้ว 


ผ่านไปได้สิบห้านาที เมื่อเครื่องขึ้นไปถึงจุดนึงแล้วก็ตาม หากแต่ดูเหมือนว่า การเดินทางในครั้งนี้ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับครั้งแรกที่ออกเดินทางด้วยเครื่องบินนัก เผลออาจจะหนักกว่าที่คิด 


"ผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เรากำลังบินอยู่เหนือรัฐยูท่าห์ กรุณารัดเข็มขัดและห้ามปลดออกก่อนสัญญาณจะดับลง.. ไม่ต้องห่วงพี่น้อง หลุมอากาศไม่เคยทำให้เครื่องบินโตกกกก" 


ชายร่างใหญ่ได้ยินเสียงจากห้องนักบิน ด้วยความบ้าๆบ๊องๆของนักบินอัจฉริยะผู้นี้ บางทีก็ไม่ควรที่จะฟังเพียงแค่คำพูด แม้จะคนใกล้ตัวก็ตาม ซึ่งพอได้ลองร่วมทางด้วยแล้ว.. ไม่ได้รู้สึกว่าน่าเป็นห่วงหรือหวาดหวั่นนัก แต่บางที มันก็ฟันธงไม่ได้ คงต้องดูกันไปนานๆ


*!!!*


แต่แล้วจู่ๆ สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น 


"นั่นมันเสียงบ้าอะไรน่ะ" เฟสเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นมา 


เมอด็อกที่ดูเรดาห์ก็ได้เอ่ยขึ้นขณะที่ดูอยู่นั้นเอง


"กำลังมีอากาศยานไร้คนขับสี่ลำ บินเข้ามาใกล้พวกเรา และพวกโดรนบ้านี่ทำเครื่องตกได้ง่ายๆเลยด้วย ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว" 


นักบินเพียงคนเดียวของเราเร่งเครื่องเต็มกำลังพร้อมกับดูที่จอเรดาห์ไปด้วย โจนาทานที่กำลังดูที่กระจกข้างๆเครื่อง สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันต่างออกไป สิ่งที่เขาเห็นนั้น มันไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่เหมือนโดรนกองทัพเลยสักนิด แต่ดูเหมือนกับ วงแหวนคู่ลอยไขว้กันอยู่ตลอดขณะที่พวกมันนั้นกำลังบินฉวัดเฉวียนไปมาคล้ายเครื่องบินจริงๆ




การบินของพวกมันนั้นดูใกล้เคียงเครื่องบินจริงๆ ทำให้พวกมันก็แอบพรางแปลงกายของมันเองให้กลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปนั้นเข้าใจ มากกว่าตัวตนที่พวกมันนั้นเป็น ในหมูเมฆที่เหล่าสิ่งประหลาดที่ผู้คนเรียกพวกมันว่าเทวดานั้น บินสลับสับเปลี่ยนรูปร่างของมันกลายเป็นโดรนจู่โจมที่มนุษย์ทั่วไปนั้นคุ้นเคย นัยน์ของจอห์นเบิกโพลงเมื่อเห็นพวกมันที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ กับสิ่งที่พวกมันนั้นกำลังจะทำ


*ฟิ้ววว.. ตูม!!!*


ลูกไฟพุ่งเข้าใส่เครื่องที่กำลังบินด้วยความเร็ว พุ่งเข้าหาตัวเครื่องอย่างรวดเร็วราวกับขีปนาวุธ ซึ่งมันปรากฎในจอเรดาห์


"มาแล้วๆ เฉยก็แปลกล่ะตอบโต้มันหน่อย"


เมอด็อกกดที่แผงควบคุม ปล่อยพลุไฟจำนวนมากออกจากฐานปล่อย ซึ่งมันสามารถสกัดการโจมตีของลุกไฟเหล่านั้น ใช่.. ที่ใช้คำว่าเหล่านั้น เพราะพวกมันไม่ได้มาเพียงลำเดียว หากแต่มากันร่วมสี่ลำ ตามจำนวนในหนังสือที่จอห์นเคยอ่าน สิ่งๆนี้มีกล่าวถึงอยู่ในหนังสือหลายเล่ม บรรยายถึงลักษณะและจำนวนของพวกมันอย่างใกล้เคียง จอห์นยังคงจับจ้องพวกมันตลอดขณะที่พวกมันนั้นกำลังบินไล่กวดตามหลังมาอย่างไม่ลดละ..


"สลัดไม่หลุด เมอด็อกแบบนี้แย่แน่"


"ไม่ๆ เรายังไม่แย่เท่าไหร่หรอก.." นักบินเพียงคนเดียวที่ควบคุมนกเหล็กลำยักษ์นี้อยู่รัดเข็มขัดของตัวเองให้แน่นขึ้น และเหมื่อทุกคนเห็นท่าทางของกัปตันขึงขัง พวกเขาย่อมทำตาม เพราะทั้งลำนี้ ทุกคนฝากชีวิตไว้กับเขาทั้งนั้น


"เกาะให้ดีๆๆๆ เรากำลังจะเร่งความเร็วเครื่องแล้ว"


"อะไรวะน่ะ?" เฟสเป็นเพียงคนเดียวที่ร้องเสียงหลง โชคดีมากที่บาราคัสไม่ตื่น อาจจะมีคนร้องเสียงหลงเพิ่มอีกคนแน่นอน ดีที่ยาสลบแบบฉีดช่วยทำให้หลายๆอย่างนั้นง่ายขึ้น..


*!!!!*


เมอด็อกโยกคันบังคับข้างที่นั่งไปด้านหน้าจนสุด เสียงเครื่องยนต์ไอพ่นทั้งสี่ทำงานเต็มพิกัด สร้างแรงอันมหาศาลที่ทำให้เครื่องทำความเร็วได้มากกว่าที่นักบินทหารอากาศคนไหนเคยทำได้


"เอาล่ะระวังตัวเอาไว้ เรากำลังจะเข้ากลุ่มเมฆ รัดเข็มขัดให้แน่น งานนี้มีอ้วกแตกกก ฮ่าาๆๆ"


ความบ้าคลั่งของเมอด็อกได้ฉายออกมาผ่านการบังคับเครื่องบินลำยักษ์นี้ เหมือนกับว่าเขานั้นกำลังขับเครื่องโชว์ผาดโผน เสียงร้องโหวกเหวกดังลั่นทั่วห้องนักบิน มีเพียงฮัลนิบาลที่ยิ้มรับกับความบ้าบิ่นมุทะลุของลูกทีมตัวเอง


เครื่อง C-17 ที่ตอนนี้เร่งความเร็วเต็มพิกัด ได้แหวกอากาศบินหนีเหล่ากงล้อทูตสวรรค์ที่แปลงร่างของมันกลายเป็นโดรนไล่ตามอย่างไม่ลดละ ตามมาด้วยการยิ่งลูกไฟติตามราวกับมิสไซล์พุ่งเข้าใส่เครื่องที่มีเป้าหมายของพวกมันอยู่ ศัตรูของเหล่าเทวดาทั้งหลาย และศัตรูของพระเจ้า


การบินไล่กวดนั้นใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ เพราะน้ำมันในถังเล่มร่อยหลอลงไปจากการใช้ความเร็วสูงเป็นเวลานาน อีกทั้งเครื่องยนต์ไอพ่นทั้งสี่ของเครื่องก็เริ่มถึงขีดจำกัดแล้ว และนั่นเอง..


*ปังๆๆๆๆๆ บึ้ม!!*


"โว่ว!!" เมอด็อกอุทานเสียงดังในขณะที่เครื่องยนต์หมายเลขสามของเครื่องกำลังลุกเป็นไฟ


"ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ หากท่านมองไปขวาท่านจะพบว่าเครื่องยนต์ของเรานั้นเกิดไฟลุกไหม้ ขอความร่วมมือจากทุกท่านสละเครื่องโดยด่วนถึงด่วนที่สุด ขอบคุณค่ะ"


"ยังจะมีอารมณ์มาเล่นนะ.. บอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันไม่เอาแบบครั้งก่อนแน่นอน ขอย้ำ ไม่เอาแบบครั้งก่อน ลงแบบสวยนเข้าไจนะ"


"เออเฮอะ เอาล่ะ เมอด็อก หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบที่เยอรมันนะ"


เมอด็อกกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วหันไปมองที่ด้านหน้า และแจ้งเตือนกับทุกคนให้เตรียมตัวรับมือกับโชว์สุดท้ายของเครื่องลำนี้ เขากดคันบังคับไปด้านหน้าอย่างช้าๆ ในชั่วขณะที่เหล่าลูกไฟกำลังพุ่งมาด้วยความเร็วกำลังปะทะกับเป้าหมาย แต่กลับปะทะเข้ากับลูกไฟด้วยกันเองจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่น


เครื่องC-17ที่ได้รับความเสียหายกำลังแล่นลงพื้นด้วยความเร็วตามแรงโน้มถ่วง ทำมุม45องศากับผืนโลกซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะสร้างแรงฉุดที่มหาศาลจนเหล่ากงล้อเทวทูตเหล่านั้นไล่ตามแทบไม่ทัน ในขณะนั้นเอง ฮัลนิบาลสั่งการกับคนอื่นที่เหลือให้ทำตามที่เคยได้ทำเอาไว้


"เอาล่ะ ทำเหมือนกับเคยทำที่เยอรมัน เริ่มเลย"


"หมายความว่าไงผู้พัน?" เฟสเอ่ยถาม


"เครื่องบินลำใหญ่ ข้างในมีรถถังคันใหญ่ไซส์บิ้ก เข้าใจนะ" ฮัลนิบาลเอ่ยเพียงแค่นี้ ทุกๆคนในทีมก็เข้าใจในทันที แทบจะทันทีที่เมอด็อกลุกออกจากที่นั่งคนขับ ฮัลนิบาลฉุดเขากลับมานั่งที่เดิมก่อนที่จะกำชับกับเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง


"งานนี้ลงสวยๆนะผู้กอง งานของเรายังไม่จบ เราจำเป็นต้องไปต่อ.."


"รับทราบครับผู้พัน" เมอด็อกจับคันบังคับอีกครั้งและค่อยๆประคองเครื่องที่ลงด้วยความเร็ว จนถึงระดับความสูงเพียงห้าพันฟุต เมอด็อกค่อยเชิดหัวของเครื่องขึ้นเล็กน้อยเพื่อลดความเร็วของเครื่องที่กำลังดิ่งลง ตัวเครื่องค่อยร่อนลงอย่างช้าแต่ความเร็ซของมันนั้นยังคงไม่เปลี่ยน


ด้วยความเร็วความเตรื่องในตอนนี้ หากใครร่วงจากเครื่องพูดได้คำเดียวว่าตัวแตก เมื่อถึงระดับฮัลนิบาลแตะไหล่เมอด็อกเพื่อให้สละเครื่อง ในตอนนี้ทุกๆคนในเครื่องบินเข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยที่สุดในเครื่องบิน นั่ก็คือรถถังเอบรามส์ที่ถูกขนส่งติดมากับเครื่องด้วยความบังเอิญ...


ในขณะนั้น เครื่องที่ค่อยถลาลงกับพื้นด้วยความเร็ว ฉีกกระชากส่วนต่างๆของเครื่องบินออกอย่างบ้าคลั่ง และด้วยแรงกระแทกนั้น ทำให้รถถังที่ติดอยู่กับตัวเครื่องไถลลงมาด้วยความเร็ว เครื่องยนต์รถถังเริ่มติด และพุ่งชนเศษซากของเครื่องเพื่อวิ่งไปต่อ


*คลืนนนน!!*


เสียงตื่นตะขาบของรถถังที่เร่งความเร็วท่ามกลางพื้นดินที่ราบอันร้อยระอุ ล้อตีนตะขาบของมันตะกุยทรายและวิ่งไปต่อด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่มันจะทำได้..


"ทุกคนโอเคนะ" ฮัลนิบาลเ่ยถามรวมๆ ซึ่งในขณะนี้ ทุกๆคนในเครื่องบินที่ระเบิดก็อยู่กันครบแทบทุกคน..


"พวกเรายังอยู่ครับ/ค่ะ" เด็กหนุ่ม/สาวขานรับขณะที่ทั้งสองหาที่นั่งประจำตัวได้


"พวกมันจะคิดมั้ยว่าพวกเราตายแล้ว"เฟสเอ่ยถามขณะที่ตนนั้นประจำตำแหน่งจุดนึงในรถฯ


*ปังๆๆๆๆๆ...*


*แก๊งๆๆๆๆๆๆ...*


"มันไม่คิด" ฮัลนิบาลตอบได้อย่างไม่ต้องลังเล และขณะนั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ ว่าเหมือนพวกเขาขาดบางสิ่งไป


"จอห์นล่ะ?" ฮัลนิบาลเอ่ยถาม ในขณะที่ทุกๆคนนั้นเงียบ พากันหน้าถอดสี แต่แล้ว


*ตึง ๆ ๆ*


เสียงอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกับเสียงของกระสุนกระทบกับรถถัง และมันแรงกว่ามาก เมอด็อกเปิดฝารถถังก่อนจะยื่นหน้าขึ้นไป มองเห็นเงาขนาดใหญ่ที่ตกกระทบบนป้อมปืนของรถถัง


"เฮ้.. เมื่อกี้มีใครถามหาฉันรึเปล่า?" จอห์นที่ตอนนี้ แขนอีกข้างนั้นถูกคาดด้วยโล่ห์ขนาดใหญ่และมืออีกข้างนั้น คือปืนพกที่เขานั้นใช้มันเพื่อสู้กับศัตรูที่อยู่กลางอากาศอยู่ในขณะนี้


"ผู้พันกำลังถามหาคุณน่ะจอห์น มีอะไรจะฝากมั้ย?"


"บอกฮัลนิบาลด้วยฉันสบายดี แล้วก็เตรียมตัวได้แล้ว บรรจุกระสุนให้พร้อม เราจะตอบโต้แล้ว ให้ฮัลนิบาลออกคำสั่งได้เลย"


"รับทราบบ"


*แก๊งๆๆๆ !!!* เสียงที่คนข้างในได้ยินนั้นหาใช่เสียงกระสุนกระทบกับเกราะของรถถังอย่างเดียว หากแต่กระทบกับโล่ห์ขนาดใหญ่ของชายร่างใหญ่ที่เกาะอยู่บนป้อมปืนของรถถังตลอดตั้งแต่ตอนที่เครื่องเทคออฟลงพื้น


"เอาล่ะ" ชายร่างใหญ่สะบัดโล่ห์พร้อมผ้าคลุมของตนเองไปด้านหลังและเล็งดาบใหญ่ที่เขาชักมันออกมาไปที่ด้านหน้าเหล่ากงล้อเทวทูตทั้งหลายนั่น


"ถึงเวลาโต้กลับแล้ว" เพียงคำสั้นๆ ป้อมปืนที่ตั้งอยู่ที่ด้านหลังอยู่เรียบร้อยได้เล็งขึ้นไปที่ด้านบน ไต่ระดับองศาให้ได้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ..


*เปรี้ยงง!! ตูม!!* กระสุนระเบิดพุ่งเข้าใส่จนเกิดฝุ่นควันจำนวนมากลอยคลุ้ง


"หันกระบอกปืนไป15องศา รอคำสั่ง.." ฮัลนิบาลสั่งการเคร่งครัด เฟสหมุนกระบอกปืนตามองศาที่สั่งที่ตอนนี้ตรงหน้าของเขานั้นจะยังไม่มีอะไร


"ยังก่อน ๆ รอเดี๋ยว พวกฝูงแกะกำลังถูกต้อนเข้ามา.." ฮัลนิบาลรอคอยจังหวะที่เขานั้นคาดการเอาไว้ และ..


"ฝูงแกะเข้าคอกแล้ว"


"ยิง!!"


*เปรี้ยงง!!* กระสุนระเบิดรถถังพุ่งเข้าใส่กลุ่มเทวทูตกงล้อด้วยความเร็ซและระเบิดกลางวง ในจำนวนพวกมันระเบิดกลายเป็นผุยผง และยังเหลืออีกส่วนที่ยังบินไล่ตามอย่างไม่ลดละ โดยแฝงกายของตนเป็นโดรนจู่โจมอยู่อย่างนั้น


เสียงระเบิดจากปากกระบอกปืนใหญ่ของรถถังดังอย่างต่อเนื่อง จนกระสุนในห้องเก็บนั้นเหลืออยู่ไม่กี่ลูก แต่ในตอนนี้ศัตรูที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ชายร่างใหญ่คุกเข่าแล้วก้มลงไปบอกคนด้านในรถถัง


"เอาล่ะทหาร เป้าหมายที่ไล่ตามเราไม่มีเรา งานดีมาก.."


ทุกคนอยู่ในอาการโล่งใจอย่างที่สุด


"ว่าแต่ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนล่ะ?" เด็กหนุ่มเอ่ยถาม หลังจากที่นั่งเครื่องมาและตามด้วยตะลุยทะเลทรายแบบนี้อีก มันทำให้ไม่มีใครทันคิดเลยว่าตอนนี้พวกเขานั้นอยู่ตรงไหนของอเมริกา..


"ว่ากังวลไปหนุ่มน้อย เราเลยลาสเวกัสที่เป็ฯเป้าหมายของเรามาไกลแล้ว.."


"ฮะ อ่าว..แล้วกัน ทำไมเป็นยังงั้นล่ะ?" เซซิลเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย


"ใจเย็นไอ้หนุ่ม จุดหมายของพวกนายใช่ลาสเวกัสที่ไหนกัน ที่นั่นมันจุดพักของเราเฉยๆน่ะ จุดหมายของเราจริงคือแอลเอ ลอสเองเจอลิสตังหาก" ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่บนป้อมปืมรถถังเอ่ยขณะที่พวกเขานั้นกำลบลังมุ่งหน้าสู่จุดหมาย ท่ามกลางผู้คนที่แตกตื่นกับรถถังที่วิ่งอยู่ข้างทางหลวงที่เส้นทางนี้จะพากวพกเขาไปยังจุดหมายปลายทาง


อะไรกันที่กำลังรอพวกเขาอยู่ตรงนี้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะรู้ได้ และมีเพียงทางเดียวนั้น ก็คือพวกเขาต้องไปดูด้วยตาตัวเอง..


......



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 91827 ไบต์และได้รับ 54 EXP!  โพสต์ 2025-1-23 23:57
โพสต์ 91,827 ไบต์และได้รับ +10 เกียรติยศ จาก ชุดทักซิโด้  โพสต์ 2025-1-23 23:57
โพสต์ 91,827 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +8 เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก ช่ำชองการรบ[II]  โพสต์ 2025-1-23 23:57
โพสต์ 91,827 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +8 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก กระโดดแห่งชัยชนะ  โพสต์ 2025-1-23 23:57
โพสต์ 91,827 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก น้ำหอมบุรุษ  โพสต์ 2025-1-23 23:57
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ช่ำชองการรบ[II]
กระโดดแห่งชัยชนะ
น้ำหอมบุรุษ
นาฬิกาสปอร์ต
มีดสั้นสัมฤทธิ์
ความถึก
กำไลหินนำโชค
เกราะหนัง
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โล่อัสพิส
หอกกรีก
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x4
x60
x4
โพสต์ 2025-4-1 23:34:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Johnathan เมื่อ 2025-4-2 00:56






XVI

..
บันทึกการเดินทาง...
หลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายชนิดที่เรียกได้ว่าวินาศสันตะโรกันอย่างหนักหน่วง ฉันกับเด็กๆแล้วก็สมาชิกที่เข้ามาเพิ่มได้หนีออกจากที่เกิดเหตุ สละรถถังที่นั่งกันมาหลังจากพิฆาตเหล่าเทวดาจนหมด สลายกลายเป็นฝุ่นควัน ตอนนี้พวกเรากลายเป็นผู้ต้องหาหลบหนีรว่มกับทีมสี่คนที่มาช่วยพวกเราที่ยูทาห์ งานนี้ล่ะแย่จริงๆแล้วแหละ.. แต่ในตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดที่เห็นตัวฉันกับคนอื่นๆ หลังจากที่พวกเราหนีออกมากันหมด ฮัลนิบาลพาพวกฉันไปส่งที่สถานีใกล้ๆก่อนที่พวกเขาจะหายตัวไปโดยให้เหตุผลมาว่า.."เดี๋ยวไปหาอะไรดับกระหายสักหน่อย หลังจากจากนั้นก็หายไปเลย โดยที่ไม่มีท่าทีจะกลับมา ซึ่งก็แน่ล่ะ เรื่องหลายๆอย่างที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดขึ้นเพียงตัวฉันเพียงคนเดียว ไม่ต้องพูดถึงเด็กๆที่ตามฉันมาด้วยเลย จริงๆพวกเขาไม่ควรจะตามฉันมาด้วยเลยจริงๆ พวกเขาควรจะอยู่ที่ค่าย สนุกกับช่วงเวลาที่ค่ายมากกว่าจะมาฝ่าดงกระสุนปืนหรือระเบิดกับฉันแบบนี้ ฉันไม่อยากจะให้พวกเขาจะมีความทรงจำที่แย่ๆแบบนี้ สำหรับฉันน่ะ มันไม่มีปัญหาเท่าไหร่นักหรอก 

ตั้งแต่สงครามครูเสดมาจนถึงสงครามปัจจุบันที่เพิ่งจบไป และองค์มารดาเทพีฯก็รื้อฟื้นความทรงจำให้ ทำให้จำได้หมดทุกสิ่งอย่างที่เคยผ่านมา และมันก็ไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนักหากลองคิดดีๆ ชีวิตที่เมื่อรู้ตัวอีกทีตัวเองก็อยู่ในศึกสงครามหรือก่อนสงครามจะเกิดเพียงไม่กี่เดือน หลังจากนั้นก็มีแต่เหตุการณ์สะเทือนขวัญชวนให้สะเทือนใจ ตลอดมานับหมื่นนับพันปีที่อยู่ในความทรงจำ ลำพังคนธรรมดาหรือแม้แต่สายเลือดเทพด้วยกันเองอาจจะหลอนไปเลยก็เป็นได้หากรับรู้ถึงความทรงจำที่ฉันเคยผ่านมา ไม่ต้องพูดถึงเด็กๆข้างกายฉันเลย เอาจริงๆแค่พวกเขาเข้าห้องสอบในสถานีตำรวจก็อาจจะเป็นความทรงจำแย่ๆกับเขาแล้วก็เป็นได้

ณ ตอนนี้ เวลานี้ ก็ย่างเข้าสู่ช่วงเดือนกุมภาฯ ข่าวไฟป่าที่แอลเอตอนนี้คงจะสงบลงไปแล้ว เหลือเพียงเรื่องการเยียวยาจากทางการ ซึ่งรถไฟที่เราโดยสารเข้ามายังแอลเอนั้น ทำให้เราเห็นสภาพของสภาพสิ่งต่างๆที่ถูกไฟป่าเผาทำลาย ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่นัก.. และเรายังคงต้องไปต่อ การเดินทางของเรายังไม่ถึงครึ่งทาง..


............................................

"หลังจากนี้ พวกนายต้องไปต่อกันเองแล้ว"

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆจากปากของหัวหน้าทีมอย่างฮัลนิบาล แต่ก็พอจะรู้เรื่องได้ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่ทิ้งชายร่างใหญ่กับเด็กหนุ่ม/สาวไว้ที่สถานีรถไฟ เป็นสิ่งที่จอห์นนั้นรู้ได้ไม่ยาก แต่ก็ทำเอาเด็กๆทั้งสองสงสัย จอห์นเลยทำได้เพียงตอบไปบ่ายเบี่ยงไปเพื่อให้ทั้งสองสบายใจโดยที่ทั้งสองไม่รู้เลยว่า สี่คนนั้นจะอาจจะไม่ได้เจอกันอีกยาว

ทั้งสามนั่งรถไฟจากบาร์สโตว์ไปยังแอลเอ.. คงจะเป็นเพียงไม่กี่ครั้ง.. ไม่ใช่ คงจะเป็นเพียงครั้งเดียวหรือนับครั้งได้ ที่การเดินทางของทั้งสามนั้นไม่มีอุปสรรคอะไร ไม่มีสัตว์ประหลาด ไม่มีระเบิด ไม่มีอะไรที่ให้ทั้งสามต้องเหนื่อยหรือทำให้ต้องตื่นตัวในขณะเดินทาง เป็นการขบวนรถไฟที่นั่งไปเพื่อพักผ่อนจากการเดินทางที่ผ่านมาอยู่แท้จริง และเหมือนกับว่านี่เป็นการเตรียมตัวสำหรับพวกเขาทั้งสาม กับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า การเดินทางบนพื้นพิภพนั้นกำลังดำเนินมาได้ถึงครึ่งทาง ยังเหลือการเดินทางอีกยาวไกล และแน่นอนว่า มันไม่ง่ายเหมือนการเดินทางไปเที่ยวอย่างแน่นอน..

ทั้งสามเดินทางเข้าสู่เขตของลอสแองเจลิส ท่ามกลางเศษซากของสิ่งก่อสร้างที่มอดไหม้ด้วยไฟป่า ที่ทำลายบ้านเมือง ที่ถึงแม้ว่าจะอยู่ริมชายทะเล แต่ก็หาได้ช่วยให้ไฟที่โหมเข้ามานั้นหายไป กลับยิ่งทวีความรุนแรงจนสภาพนั้นยับเยินอย่างที่ไม่เคยมีใครได้พบเจอมาก่อน จนในท้ายที่แล้ว ทุกอย่าง ก็กลายเป็นตอตะโกอย่างที่เห็นในข่าวต่างประเทศ ไฟป่าที่มาลิบูแอลเอในครั้งนี้ หนักว่าที่คิด จอห์นเองก็ยังอดสงสัยไม่ได้เลยว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของทูตสวรรค์สักตนหรือไม่ก็จอมปีศาจแห่งขุมนรกสักตัวที่ทำความวายป่วงได้ขนาดนี้..

"มันเหมือนกับ เพลิงกัมปนาทของอูริเอลที่พวกเราเจอครั้งก่อนเลยนะ" เด็กสาวเอ่ย

"อืม ใช่ แต่ฉันว่าทำไมฉันไม่รู้สึกถึงสิ่งที่บ่งบอกถึงความที่เป็นเพลิงแห่งทูตสวรรค์คนนั้นเลย" เซซิลหันไปบอกกับทีฟาที่นั่งมองสภาพไฟโดยรอบ

"ทำไมล่ะ?" 

"ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เพลิงที่กระหนำทำลายเมืองทั้งเมืองให้ราบได้เช่นนี้ อูริเอลที่เราเจอคงจะไม่คิดที่จะทำแบบนี้กับผู้บริสุทธิ์หรอก ฉันคิดนะ"

"ถ้าเป็นงั้นจริง ผู้ประสบภัยที่ตู้เสบียงที่กระเด็นออกไปตอนนั้นนายจะเรียกว่าอะไรล่ะ" ทีฟาเอ่ยจนเซซิลได้แต่อ้ำอึ้ง

"จะยังไงก็ช่าง เทวทูตพวกนั้นไม่สนใจมนุษย์อย่างพวกเราอยู่แล้ว พวกเราเองมันก็คนละชั้นกับพวกเทวทูติ เป็นสายเลือดเทพที่พวกคนหมู่ใหญ่มันมองเราว่าเป็นพวกนอกรีตบาง ซาตานบ้าง ทั้งๆที่จริงๆพวกเราก็อยู่กันอย่างสันติตั้งแต่ไหนแต่ไรจนการมาถึงพวกนั้น พวกเขาเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ เปลี่ยนแปลงความเชื่อใหม่ และกีดกันความเชื่อเดิมๆโดยจัดให้พวกเราๆนั้น ไม่กลายเป็นพวกสาวกก็เป็นศัตรู.. เนี่ยล่ะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่เรียกตันเองว่าพระเจ้า กับพวกเราเหล่าสายเลือดเทพที่เป็นอารยชนฯที่มากด้วยอารยธรรม พวกเขาทำเหช้นนี้กับเรา แต่ก็อย่าได้ใส่ใจในกลุ่มศรัทธาพวกนั้นเลย สิ่งที่เหนือความเข้าใจของมนุษย์นั้น แม้แต่พวกเราเองก็ไม่ควรจะเข้าไปแทรกแทรงหรือทำเรื่องอะไรที่มันจะทำให้วุ่นวายในอนาคต" 

จอห์นอธิบายแก่เด็กหนุ่มกับเด็กสาวที่ตามมาด้วย เขานับถือในตัวของทั้งสองมากที่พวกเขาไม่ยอมท้อถอยกับการเดินทางที่แสนยาวนานในครั้งนี้ น่าเสียดายที่พวกเขานั้นไม่ได้ฉลองปีใหม่กับเพื่อนๆที่ค่ายหรือเคาท์ดาวน์ที่ไทม์แสควร์ แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นจะเต็มใจและสามารถตัดใจกับเรื่องงานฉลองพวกนั้นได้ มันอาจจะเป็นเพราะการเดินทางที่สุดแสนจะน่าระทึกใจทำให้พวกเขานั้นลืมเรื่องในโลกโดยรอบไปจนเกือบสนิทเลยก็ว่าได้..ล่ะมั้ง..

ทั้งสามจ้องมองไปยังซากของบ้านเมืองที่มอดไหม้ ทั้งสามนั้นสัมผัสได้เป็นเพียงอย่างเดียวกับกลิ่นอายของเพลิงที่อบอวลในห้องโดยสาร มันเป็นกลิ่นอายของความ หยิ่งผยอง จองหอง และเย่อหยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสามรู้สึกแปลกใจมาตั้งแต่แรกแล้ว ว่าทำไมเส้นทางรถไฟนั้นยังคงเปิดให้บริการอยู่อีก ทั้งๆที่บ้านเหมืองตอนนี้ไม่เหมาะที่จะเปิดให้บริการการผู้โดยสารที่จะเข้ามาในเมืองอย่างยิ่งด้วยเหตุหลักหลายประการ แต่กับความสงสัยนั้นเก็บเอาไว้ก่อน ในตอนนี้มีเรื่องที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาเท่าไหร่นัก..

จู่ๆไอของควันที่หาสาเหตุที่ที่มาไม่ได้นั้น ก็ลอยคลุ้งเข้ามาในตู้โดยสาร ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในตู้โดยสารนี้ ไม่มีใครอื่นเลยนอกจากพวกเขาเพียงกลุ่มเดียว โดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่า ผู้โดยสารคนอื่นลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ กลุ่มควันค่อยลอยคลุ่้งขึ้นมาขณะที่ขบวนรถฯยังคงวิ่งต่อไป กลุ่มควันนั้นค่อยก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นรูปร่างของมนุษย์ สีสันของมันเริ่มก่อเกิด และเริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น มันเป็นเงาดำรูปร่างของมนุษย์ที่เห็นได้ชัดเจนก็เพียงดวงตาสีแดงดุจเลือดกับเครื่องแต่กายที่ปกคลุมร่างกายของมันไว้เพียงเท่านั้น

"ยินดีต้อนรับ.. แขกผู้มาเยือน นายของตัวข้ากำลังรอคอยกับการเดินทางมาของพวกเจ้า.." ตัวอะไรสักอย่างภายใต้ชุดคลุมสีดำ ทำเอาทั้งสามรีบชักอาวุธออกมาอย่างไว แต่ท่าทีของสิ่งมีชีวิตใต้เงานั้น กลับนิ่งเฉยคล้ายกับว่าตัวมันนั้นไม่ได้กลัวในสิ่งที่กิดขึ้นตรงหน้าของมันเลยด้วยซ้ำ 

ราวกับว่า หอกและดาบรวมถึงอาวุธติดสนับมือนั้น จะไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งที่ตัวของมันได้รับคำสั่งให้มาส่งสารให้กับทั้งสามที่ผู้เป็นแขกผู้ที่ต้องการมาเข้าพบ..

"นายของข้า กำลังรอพวกเจ้าอยู่.. จงไปตามพิกัดที่ส่งไป นายของข้ารออยู่ที่นั่น" 

จากนั้นเงาสีดำเหลือบแดงในชุดคลุมสีดำก็หายไปราวกลุ่มควัน โดยที่ทั้งสามยังไม่ทันจะได้ถามอะไรสักคำ ไม่นานนักโทรศัพท์ของจอห์นฯก็สั่น เขายกมือขึ้นดูที่สมาทวอร์ชของตัวเอง ซึ่งที่หน้าจอได้แจ้งเตือนถึงพิกัดใหม่ที่ถูกส่งมา..

"พิกัดส่งไปที่ไหนหรอพี่ชาย?" เซซิลถามอย่างกระตือรือร้นอยากรู้ ส่วนเด็กสาวเองก็เก็บอาวุธของตนใส่ถุงมือและเดินตามไปดู 

"อืมม ฉันคิดว่า เราจะต้องลงจากรถไฟนี่กันแล้วล่ะ เพราะหลังจากสถานีหน้านี้ สถานีที่เหลือพังยับ ไปต่อไม่ได้" จอห์นเอ่ยกับทุกคน 

เมื่อรถไฟชะลอจอดหยุดที่ชานชะลาของสถานี ประตูรถไฟเปิดออก ทั้งสามที่ทั้งขบวนนั้นมีเพียงพวกเขาก็ได้ลงมาที่ชานชะลา และเมื่อขบวนรถไฟค่อยๆวิ่งออกจากสถานีไป..

*บึ้มมม!!*

ขบวนรถไฟนั้นก็เร่งความเร็วจนกระทั่งตกรางและระเบิดเป็นจุลต่อหน้าต่อตาพวกเขาทั้งสาม.. ใครจะไปคิดว่า ความวิปโยคของลอสแองเจลิสในตอนนี้จะมาถึงขั้นนี้แล้ว หลังจากที่ทั้งสามลงจากชานชะลาและเดินมาตามทางที่พิกัดได้บอกเอาไว้ ภายในคอนแทคเลนส์ของจอห์นเองก็เป็นของไฮเทค มันสามารถเชื่อมต่อกับสาร์ทโฟนรวมถึงสมาร์ทอีเล็กทรอนิกส์ต่างๆได้พร้อมๆกัน ทำให้ชายร่างใหญ่นั้นสามารถมองเห็นเส้นทางที่เขานั้นควรจะเดินไป



ทั้งสามเดินเท้าต่อไป ข้ามผ่านเมืองที่กลายเป็นเถ้าถ่านเพราะเหตุไฟป่าถล่มเมือง จากเมืองที่เคยคึกคักมีสีสันริมทะเลสวบงาม กลับกลายเป็นซากเมืองที่ไร้ผู้คน และเหลือเพียงสิ่งมีชีวิต.. ที่ไร้ชีวิต เหลือเพียงซากที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานั้น พวกเขายังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ภายในบ้านอันแสนอบอุ่น ก่อนที่เพลิงอันแสนอบอ้าวจะเผาผลาญทั้งชีวิตและความสุขของพวกเขาออกไป.. ไม่รู้ด้วยเหตุผลอันใด แต่ทั้งสามนั้นสามารถมองเห็นเหล่าวิญญาณที่พวกเขานั้นก็คือผู้ประสบเหตุและเป็นเจ้าของที่อยู่ตรงนั้น กำลังทุกข์ทรมานจากเพลิงที่แผดเผา ทั้งๆที่วิญญาณของพวกเขานั้นหลุดออกมาจากร่างเนื้อแล้ว.. เด็กๆที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ พวกเขาต่างพากันทำใจไม่ค่อยได้ ที่พวกเขานั้นไม่คิดว่าจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้..


"อดทนหน่อยนะ พวกเราจะผ่านตรงนี้ไปด้วยกัน ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่ข้างๆพวกเธอเสมอ.." 

ชายร่างใหญ่จับมือกับเด็กหนุ่มกับเด็กสาวเอาไว้แน่นพอประมาณ ก้าวข้ามผ่านบรรยากาศเหล่านี้ไปทีละช่วง แม้ว่าจะออกมาเดินที่ชายทะเลแล้วก็ตาม แต่เสียงโหยหวนของเหล่าวิญญาณที่ถูกแผดเผานั้นยังคงดังอยู่ในโสตประสาทของทั้งสามอยู่อย่างไม่สามารถหยุดยั้งหรือหลีกหนีได้ ในท่ามกลางสภาพแบบนี้ ชายร่างใหญ่ดูเหมือนว่าทั้งสองวัยรุ่นนั้นจะลืมอะไรบางสิ่งที่นำติดตัวมาด้วยอยู่รึเปล่า เลยเกิดคำถามขึ้นมา..

"นี่..ทีฟา เซซิล หูฟังพวกเธอน่ะอยู่ที่ไหนเหรอ?" โจนาทานเอ่ยถาม พลันทำให้ทั้งสองฉุกคิดขึ้นมาก่อนจะตั้งสติและหยิบหูฟังของตนเองขึ้นมาเพื่อกลบเสียงที่น่าพรั้นพรึงเหล่านั้นให้จางหายไป และมันสามารถช่วยให้ทั้งสามเดินทางไปยังจุดหมายได้เร็วยิ่งขึ้น.. 

โดยถึงแม้ว่าพวกเขาจะเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่จุดหมายที่โจนาทานได้รับมานั้น อยู่ไกลพอสมควร อีกทั้งที่นี่ยังระอุไปด้วยเถ้าถ่านไฟเก่า ซึ่งมันยังคงร้อนอยู่แม้จะมอดไปแล้วก็ตาม..

......

เส้นทางพาดผ่านถนนที่เส้นทางอันแสนไกล พวกเขาไม่ทันสังเกตว่าพวกเขานั้นเดินเลยออกมาจากบริเวณพื้นที่ความเสียหาย แต่ก็ไม่ได้ออกจากเส้นทางมากนัก ซึ่งพวกเขาทั้งสามยังต้องเดินเข้าสู่ย่านเริงรมย์.. ใช้คำว่าเป็น"อดีต"ย่านเริงรมย์คงไม่ห่างไกล เพราะสถานบันเทิงที่นี่นั้น ล้วนกลายเป็นตอตะโกไปจนหมด ถึงแม้ว่าจะมีเทคโนโลยีอัจฉริยะก็ตาม แต่ท่ามกลางสถานบันเทิงที่พังทลายนั้น คงจะเป็นไปได้ยากกับการหาสถานที่นั้นให้เจอ ที่ๆเขาจะต้องไปพบกับใครคนหนึ่ง ซึ่งผู้เป็นบ่าวได้ขึ้นไปต้อนรับพวกเขาบนขบวนรถไฟผีก่อนนั้นแล้ว..

"เฮ้ออ ดูเหมือนเราจะมาไม่ทันสะแล้วล่ะมั้ง ไฟไหม้ขนาดนี้ คิดว่าจะเหลือที่ไหนให้เข้าไปได้ล่ะ ยิ่งคนล่ะก็ ไม่ต้องพูดถึงเลยล่ะ" โจนาทานเอ่ยพร้อมทั้งกดที่สมาร์ทวอชของเขาเพื่อปิดการแจ้งเตือนที่ภายในนั้นบอกว่า คุณได้มาถึงที่หมายแล้ว.. 

"ก็ไม่เชิงนะ พี่ชาย.." เซซิลเอ่ย ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเงยหน้าขึ้นมองที่สถานบันเทิงเพียงที่เดียว ที่ดูแตกต่างจากที่อื่นๆ

"ที่นี่มัน.. อืมม.. ก็ดูสมกับชื่อของมันดี แล้วก็สมกับชื่อที่มันตั้งให้คล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ด้วย" โจนาทานเอ่ยติดตลกนิดหน่อย



"นรกชั้น 7 ชื่อโก๋เก้เท่สะไม่มี.." โจนาทานเอ่ย ทำเอาสองวัยหนุ่มสาวงงกับคำที่โจนาทานพูด

"ก..โก๋.. อะไรนะ?" เซซิลงงขณะที่กำลังเดินตามโจนาทานไป 
.....



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 36305 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-4-1 23:34
โพสต์ 36,305 ไบต์และได้รับ +10 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +6 ความศรัทธา จาก ช่ำชองการรบ[II]  โพสต์ 2025-4-1 23:34
โพสต์ 36,305 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก กระโดดแห่งชัยชนะ  โพสต์ 2025-4-1 23:34
โพสต์ 36,305 ไบต์และได้รับ +4 ความศรัทธา จาก น้ำหอมบุรุษ  โพสต์ 2025-4-1 23:34
โพสต์ 36,305 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2025-4-1 23:34
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ช่ำชองการรบ[II]
กระโดดแห่งชัยชนะ
น้ำหอมบุรุษ
นาฬิกาสปอร์ต
มีดสั้นสัมฤทธิ์
ความถึก
กำไลหินนำโชค
เกราะหนัง
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โล่อัสพิส
หอกกรีก
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x4
x60
x4
12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้