แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-5-15 07:56
327 คำแนะนำจากปรมาจารย์
(TUE) 13/05/2025 เวลา 14.00 น.
“ขออนุญาตครับ”
“เชิญ”
หลังได้รับอนุญาต ดีนก็หมุนลูกบิดเปิดประตูกระจกสเตนกลาสเข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการค่ายฮาล์ฟบลัดอย่างไครอน
แม้ไม่ได้มาเยือนอย่างกิจลักษณ์เป็นเวลานานร่วมครึ่งปีทว่าภายในห้องทำงานของไครอนก็ยังคงเข้มขลัง ชั้นหนังสือไม้ที่เต็มไปด้วยหนังสือและบันทึกการเดินทางของชาวค่าย โซฟาไม้บุนวมอย่างดีที่นั่งไม่ปวดหลัง เคล้าไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องหนัง กระดาษเก่า และชากาแฟ กระจกแก้วหลากสีกรองแสงสว่างจ้าของพระอาทิตย์ไม่ให้สาดส่องเข้ามามากเกินไป ทุกอย่างเหมือนเดิมอย่างน่าประหลาด ทั้ง ๆ ที่ค่ายผ่านเพลิงไหม้ใกล้ ๆ กันถึงสองครั้งแท้ ๆ
“ไม่ได้พบคุณที่นี่เสียนานเลยคุณดีน เชิญนั่ง”
ปรมาจารย์เซนทอร์เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน เขาผายมือให้ที่ปรึกษาแห่งกระท่อมโพไซดอนนั่งลงที่โซฟารับแขกตามมารยาท
“ขอบคุณครับ” พอได้นั่งคนปากไม่อยู่สุขก็เริ่มจะปากแจ๋วขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนความกังวลในใจ “แต่ก็แหม ถึงไม่ได้เจอกันที่นี่แต่เราก็เจอกันที่โรงหลอมเหล็กนะอย่าลืมสิ”
‘เจ้าครึ่งเทพคนนี้ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด!’
ผู้อำนวยการยกยิ้มที่มุมปากหนึ่งวินาทีก่อนจะลดมุมปากลงตามเดิม ก็บอกอยู่ว่าไม่ได้พบกัน ‘ที่นี่’ ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้พบกันที่อื่นเสียหน่อย! แต่ผู้อาวุโสสุขุมกว่าไม่มัวมาต่อปากต่อคำกับเจ้าเด็กเมื่อวานซืนหรอก
ไครอนอาจจะมองดีนผิดไปหน่อย ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายผ่านประสบการณ์ของเดมิก็อดมาแรมปีอาจมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สุขุมขึ้น คราวนี้จึงมาขอรับคำปรึกษาโดยที่ไม่ได้ทุบประตูปลุกแต่เช้าตรู่ หรือไม่ก็แหกปากโวยวายวิ่งเข้ามาเหมือนมีใครเอาไฟแช็กไปลนขนหน้าแข้ง
แต่ที่คาดการณ์ได้ถูกก็คือถ้าไม่มีเรื่องขอคำปรึกษาเกี่ยวกับบันทึกเดินทางหรือภารกิจกระดานเทพ น้อยคนนักที่จะมาหาเขาที่ห้องทำงาน ณ บ้านใหญ่
“คือว่างี้ครับ คุณยังจำชาร์ล็อตได้ใช่ไหม ที่เป็นเด็กบ้านเฮคาทีน่ะครับ พอดีว่าผมเป็นแฟนกับแมคซี่ก็เลยไปบ้านของเขาบ่อย อันที่จริงก็คือไปอยู่ด้วยกันเลยแหล่ะ”
“...อืม ครับ” ไครอนพยักหน้าน้อย ๆ ตอบกลับ สีหน้าเซนทอร์ยังคงราบเรียบแม้ในใจมีคำถาม ‘แค่มาอวดแฟนหรอกเหรอ!?’
“นั่นล่ะครับ เลยทำให้ผมกับลูกบ้านนั้นสนิทกัน รีชน้องสาวผมก็พลอยสนิทกับชาร์ล็อตไปด้วย อย่างตอนนั้นที่เจรี่ไปทำงาน ซันซ์ยังไม่มาค่าย ไทสันอยู่ที่นิวโรม แล้วผมต้องออกไปทำภารกิจกับแฟน น้องต้องอยู่บ้านคนเดียวผมก็เลยพาเธอไปฝากไว้ให้อยู่กับชาร์ล็อตน่ะครับ”
‘ยัง! ยังไม่หยุดอีก!’
ไครอนคิดในใจแต่ก็ยัง (ทน) ฟังต่ออย่างสงบ เพราะว่าเนื้อหาอาจจะมาในอีกสามวินาทีข้างหน้าก็ได้
“แต่ช่วงกลางปีที่แล้วชาร์ล็อตออกไปทำภารกิจกับพวกคนบ้านเฮอร์มาโฟร์ไดตัสใช่ไหมครับ จากนั้นก็หายต๋อมไปเลย”
ไครอนพยักหน้า เขาแอบถอนหายใจเล็กน้อยที่ในที่สุดก็กำลังจะทราบ ‘เนื้อหา’ ของเรื่องที่มาปรึกษา ไม่ใช่มีแต่ ‘น้ำ’ ไม่มีเนื้อไม่มีมูล
“จนเวลาผ่านมาช่วงต้นปีที่ผมไปช่วยพ่อหาเสียงที่นีออมน่ะครับ แล้วเผอิญผ่านแอตแลนติสเลยแวะพักนิดหน่อย มีคืนนึงที่ผมฝันถึงชาร์ล็อตมันเป็นความฝันที่บ้าบอมาก ๆ เลย ความจริงก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย เพิ่งมานึกออกเอาช่วงนี้”
“อะแฮ่ม.. ช่วยเข้าประเด็นเลยได้ไหมครับ?” ไครอนถาม ปรับเปลี่ยนบรรยากาศให้ดูจริงจังขึ้นมา
“โอ้ โทษที เหมือนว่าผมจะนอกเรื่องมากไปหน่อย แต่ถ้าไม่เท้าความเลยก็จะเล่าไม่ถูกน่ะครับ” ดีนยิ้มยิงฟันแบบเขิน ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าออกทะเลมาไกล “งั้นข้ามเรื่องฝันไปให้หมด… เอ้ย! ไม่ได้สิ เพราะว่าช่วงนี้ผมฝันถึงเธอหลายคืนเลยเป็นห่วง จนไปรับภารกิจเดินทางมาเนี่ย”
“ฝันเป็นลางบอกเหตุสินะ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้บ่อยในหมู่เดมิก็อด… เช่นนั้นแล้วคำทำนายที่คุณรับมากล่าวไว้เช่นไร” ไครอนพยายามตบให้เข้าที่ แค่ปล่อยให้พูดห้าวินาทีเจ้าดีนก็เฉลงข้างทางอีกแล้ว
“คำทำนายสินะครับ รอแป๊บนะ ผมอัดเสียงมาด้วย”
ดีนยกนิ้วขึ้นให้ไครอนรอ จากนั้นเขาก็เอาสมาร์ทโฟนที่บันทึกเสียงบทสนทนาการดูดวงกับเรเชลออกมา แตะนิ้วเปิดหาในช่วงท่อนที่เป็นคำทำนายจากเทพพยากรณ์เดลฟี
“กรี๊ดดดดด!!”
“โอ้ ไม่ ๆ หลังจากนี้ต่างหาก”
ดันไปกดโดนช่วงที่เรเชลใกล้จะถูกเทพลงทรงพอดี เสียงกรีดร้องของเธอทำเอาไครอนสะดุ้ง ทำสีหน้าไม่ถูก ทั้งตกใจ ทั้งสงสัยว่าสองคนนี้ไปทำอะไรกันมา ดีนกดเล่นเสียงเข้าในช่วงจังหวะขอรับคำทำนาย จากนั้นน้ำเสียงของเรเชลก็เปลี่ยนโทนไปอย่างประหลาด ฟังดูแล้วไม่ใช่ทั้งเสียงของผู้หญิงและผู้ชาย ไม่ใช่ของเด็กและคนแก่ เพราะว่านั้นคือเสียงศักดิ์สิทธิ์ของเดลฟี
โอ้ วีรบุรุษแห่งโอลิมปัส ผู้ห้าวหาญ บัดนี้เงาแห่งโครนอส คืบคลานเข้าครอบงำ บ้านเลขต้องสาป ณ แดนเจอร์ซีย์ กลืนกินชีวิต ปลดปล่อยความมืด พึงระวังน่านฟ้า เจ้าจักถูกจับตามอง....
หนึ่งชีพดับสูญ หนึ่งจมในห้วงลืมเลือนนิจนิรันดร์ หนึ่งถูกจองจำ รอคอยความตาย
จงฝ่าม่านแห่งมายา มองทะลุคำลวง ไขปริศนาแห่งบ้านเลขต้องสาป ก่อนพลังแห่งอดีตกาลจะตื่นขึ้น....
สายเลือดแห่งมนตรา จักเชื่อมต่อม่านแห่งเทพ ซ่อมแซมบาดแผลแห่งมนตราที่แตกสลาย
มุ่งหน้าสู่แดนเอกวาดอร์ ดินแดนแห่งภูเขาไฟ หยุดยั้งแผนการชั่วร้าย ก่อนความมืดจะครอบงำ อะพอลลีออน จอมทำลาย รอวันปลดปล่อย ชะตากรรมแห่งโลกอยู่ในมือของเจ้า
หลังเสียงที่บันทึกหยุดลงห้องทั้งห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ เหลือเพียงเสียงของเข็มนาฬิกาเก่าและลูกตุ้มที่แกว่งไปมา ไครอนมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด มีหลายเรื่องเหลือเกินที่เขาต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ภัยร้ายครั้งนี้หนักหนาสาหัส อะไรก็ตามที่มีชื่อของ ‘อะพอลลีออน’ มาเกี่ยวข้องล้วนเป็นเรื่องร้ายเกี่ยวข้องกับตำนานวันสิ้นโลกทั้งหมด นี่เป็นภารกิจที่มีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพันอย่างแท้จริง มันอาจจะหนักหนาเกือบ ๆ เท่าภารกิจของเจ็ดวีรบุรุษที่ยังมีลมหายใจเลยด้วยซ้ำ
“คุณไครอน?”
ดีนเรียกอีกฝ่ายที่กำลังใช้สมาธิ เรียกสติของผู้อำนวยการให้กลับมา ไครอนพยักหน้ารับก่อนจะหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาจดบันทึก
“เราลองมาตีความกันทีละท่อนเลยดีกว่า รบกวนคุณเปิดเสียงบันทึกอีกครั้งได้ไหม?”
“ได้ครับ” ดีนตอบรับ เขาจำวินาทีของคำพยากรณ์ได้เลยไม่จำเป็นต้องจิ้มหามั่วอีก “แต่ก่อนอื่น ผมขอใช้โทรศัพท์อีกเครื่องอัดเสียงของพวกเราได้ไหม?”
“เชิญ”
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยทำแบบนั้น หากยังจำกันได้ เมื่อปีก่อนดีนก็ขออัดเสียงการตีความเช่นเดียวกัน บุตรแห่งโพไซดอนนำสมาร์ทโฟนอีกเครื่องมาตั้งไว้บนโต๊ะ จากนั้นกดบันทึกเสียงทิ้งไว้ แล้วสลับมาที่อีกเครื่อง เปิดคำทำนายวรรคแรกออกมา
“โอ้ วีรบุรุษแห่งโอลิมปัส ผู้ห้าวหาญ บัดนี้เงาแห่งโครนอส คืบคลานเข้าครอบงำ”
“โครนอส… คุณรู้จักชื่อนี้ไหม?” ไครอนถาม
“รู้จักครับ” ดีนพยักหน้า “โครนอส.. ปู่ของผม เคยกินพ่อกับลุงป้าคนอื่น ๆ ไปเพราะเคยถูกทำนายไว้ว่าลูกจะมีพลังมากกว่าแล้วมาโค่นล้ม อาซุสเป็นคนเดียวที่ไม่โดนกินเพราะว่าคุณย่าพาคุณอาไปให้วัวเลี้ยง”
“ไม่ใช่วัวแต่เป็นแพะต่างหาก” ไครอนแก้ให้
“แพะก็ได้…” ดีนยอมแก้ให้แบบหัวขบถนิดหน่อย “แล้วก็ตรงตามคำทำนายที่อาซุสโค่นล้มคุณปู่สำเร็จจากนั้นก็ช่วยพ่อกับลุงป้าคนอื่น ๆ ออกมาจากตัวปู่ที่กลืนกินลงไป”
จะว่าเอ็นดูก็บอกไม่ถูก ที่เดมิก็อดเล่าเรื่องครอบครัวแสนวิบัติของตนเองออกมาโดยใช้สรรพนามแทนเครือญาติ ซึ่งอยากจะบอกเหมือนกันว่า ‘เทพเจ้าน่ะไม่นับญาติกันหรอกแล้วก็ไม่มีเด็กคนไหนในค่ายที่นับญาติสายเลือดอื่นนอกจากพ่อแม่ของตัวเอง’ แต่ก็ไม่อยากไปทำลายความฝันอันบริสุทธิ์ของเด็กเขื่อง ไครอนจึงเลือกที่จะพูดจาเข้าประเด็น
“โครนอสถูกนึกไว้ในทาร์ทารัส แต่ก่อนหน้านี้เมื่อสิบกว่าปีก่อนโครนอสเคยล่อลวงเดมิก็อดคนหนึ่งที่ชื่อว่า ลุค คาสเทลแลน เพื่อสิงร่างและกลับไปยึดครองโอลิมปัส–..”
“เดี๋ยวนะ…” ดีนยกมือขึ้นขัดจังหวะ “ลุคนี่ชื่อคุ้น ๆ แฮะ… ลูกเทพเฮอร์มีสที่แร๊กน่าอ้างชื่อไปทำชั่วน่ะเหรอ? ผมจำได้ว่าตอนนั้นที่ยืมบันทึกของเพอร์ซีย์ไปอ่านไม่มีเนื้อหาถึงตอนนี้นี่นา…”
“ประทานโทษ ที่คุณอ่านตอนนั้นคือบันทึกสายฟ้าที่หายไป แต่เรื่องราวการปราบโครนอสอยู่ใน ‘บันทึกเทพองค์สุดท้าย’ ต่างหาก”
กล่าวจบไครอนก็ไปเปิดตู้บันทึกการเดินทางเก่า ๆ แล้วส่งบันทึกทั้งหมดของเพอร์ซีย์ แจ็กสันให้ดีนดู ซึ่งมันมีด้วยกันทั้งหมดห้าเล่มด้วยกัน
“แปลว่าที่คุณเล่าคือเนื้อหาของเล่มที่ห้าสินะ… เฮ้! คุณไครอนสปอยบันทึกนี่นา!”
ดีนโวยวายขึ้นมาเมื่อเขาเผลอไปรู้ตอนจบการเดินทางของเพอร์ซีย์โดยไม่ได้ตั้งใจ จนไครอนหายใจทิ้งออกมา
“สิ่งที่คุณต้องสนใจคือบันทึกของคุณเองไม่ใช่เหรอ จดจ่อกับมันต่อเถอะคุณดีน” ไครอนเลิกพูดเรื่องเทพโครนอสต่อ อย่างน้อยบุตรแห่งโพไซดอนตรงหน้าก็พอจะรู้ความเป็นมาของเทพไททันอยู่บ้าง “กดเล่นย่อหน้าต่อไปที”
“บ้านเลขต้องสาป ณ แดนเจอร์ซีย์ กลืนกินชีวิต ปลดปล่อยความมืด พึงระวังน่านฟ้า เจ้าจักถูกจับตามอง....”
“บ้านเลขต้องสาป ณ แดนเจอร์ซีย์… ชวนให้ผมนึกถึงคำทำนายของภารกิจคุณอาร์ตี้ที่มีคุณชาร์ล็อตร่วมทีม ส่วนนี่คือคำพยากรณ์ของพวกเขา”
ไครอนหยิบแฟ้มแบบฟอร์มภารกิจขึ้นมาให้เปิดให้ดีนดู เพราะว่าช่วงปีที่ผ่านมามีคนรับภารกิจเดินทางไม่เยอะ เปิดแฟ้มไปไม่กี่หน้าก็เจอ
657 บูเลอวาร์ด ยามรัตติกาล จักปกคลุมด้วยหมอกหายนะ
ผู้คนสูญหาย มิทราบเหตุ มนตราเสื่อมคลาย
ทุกสิ่งล้วนเห็นเป็นจริง ความน่าสะพรึงคืบคลาน
“ทำไมคำพยากรณ์เขาสั้นจังอ่ะ ทีของผมยาวเป็นเมตร ทั้งสองครั้งเลย” อดที่จะบ่นไม่ได้ เพราะหลังจากนี้ชายหนุ่มต้องกรอกสิ่งที่อยู่ในเทปลงไปในแบบฟอร์มภารกิจ ซึ่งมันเมื่อยมือ ทว่าประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น… “แต่ว่านะ... หกห้าเจ็ด บูเลอวาร์ด… ผมเห็นป้ายนี้อยู่หน้าบ้านที่ผมฝันถึงด้วยล่ะ”
“ถนนบูเลอวาร์ดอยู่ที่นิวเจอร์ซีย์ไม่ผิดเพี้ยน แล้วยิ่งคุณเกริ่นมาว่าคำทำนายของคุณเกี่ยวข้องกับคุณชาร์ล็อต ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นบ้านหลังเดียวกัน ซึ่งจากภารกิจของคุณอาร์ตี้ที่ยาวนานเกินไป ผมคาดว่าทีมนั้นคงล่มไปแล้ว”
เซนทอร์ดึงคันโยกโลหะเปิดเหล็กห่วงแล้วนำกระดาษแบบฟอร์มของนักร้องชื่อดังสายเลือดเดมิก็อดออกมาจากหมวดภารกิจกำลังดำเนินการไปใส่ในช่องภารกิจล้มเหลว ดีนอ้าปากค้างเพราะเขาเห็นว่ายังมีภารกิจที่ทำค้างไว้นานเป็นปีอยู่ด้วย แล้วถ้าภารกิจล้มเหลวเหล่าเดมิก็อดจะมีชะตากรรมเป็นอย่างไรล่ะ
“คนที่ยังทำค้างไว้อยู่หมายความว่าของพวกเขาก็ล้มเหลวงั้นเหรอครับ…”
“ไม่เสมอไป เคยมีกรณีที่เดมิก็อดไปทำภารกิจกันห้าปีแล้วเพิ่งจะกลับมาด้วย สาเหตุเพราะว่าเขาติดอยู่ในคาสิโนโลตัสนานเกินไป” ไครอนอธิบาย
“อ้อ.. คาสิโนโลตัส… เข้าใจแจ่มแจ้งเลยล่ะ” ดีนเองก็เคยผ่านเข้าไปในคาสิโนสุดหลอนนั่นมาแล้วเหมือนกัน หากไม่ได้ลูซิเฟอร์ช่วยเอาไว้มีหวังว่าทีมเขาคงมีชะตากรรมไม่ต่างจากเดมิก็อดที่ไครอนเล่าให้ฟังหรอก
“ก่อนหน้านี้เมื่อปีก่อนมีข่าวคราวเกี่ยวกับบ้านหกห้าเจ็ด บูเลอวาร์ด เมืองเวสต์ฟิลด์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ เจ้าของบ้านหลายรายที่เข้าพักอาศัยในบ้านหลังนั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปัจจุบันเปลี่ยนเจ้าของบ้านกว่าร้อยครัวเรือน ทำให้ทางการรัฐนิวเจอร์ชีย์ต้องปิดการขายบ้านเลขที่หกห้าเจ็ด แต่ก็มีผู้รอดชีวิตหนีออกมาได้หนึ่งรายทว่าเสียสติ ผู้รอดชีวิตเล่าว่าเขาเห็นยักษ์ไซคลอปส์หลายสิบตัวราวกับลัทธิ จับคนไปบูชายัญบางอย่างและต้มทั้งเป็น แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบกลับไม่พบอะไร”
“ไซคลอปส์.. ในฝันผมก็เห็นไซคลอปส์ …ไม่สิ จะบอกว่าเห็นก็ไม่ได้ ผมไม่เห็นตัวเอง แต่ผมเห็นชาร์ล็อตแล้วเธอเรียกผมในฝันว่า ‘ไซคลอปส์น่ารังเกียจ’”
“แบบนี้มีเหตุผลรองรับหลายข้อแล้วที่ชี้นำว่า ‘บ้านเลขต้องสาป ณ แดนเจอร์ซีย์’ คือที่เดียวกันกับ ‘บ้านเลขที่หกห้าเจ็ด บูเลอวาร์ด เมืองเวสต์ฟิลด์ รัฐนิวเจอร์ซีย์’” ไครอนเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนวิเคราะห์ต่อ “พึงระวังน่านฟ้า เจ้าจักถูกจับตามอง ประโยคนี้ตีความได้หลายทาง ศัตรูของคุณอาจบินได้ การจับจ้องทางอากาศ เดินทางทางอากาศจะไม่ปลอดภัย หรือแม้กระทั้งให้ระวังปีศาจเจอร์ซีย์อสุรกายพื้นถิ่นของรัฐนั้น”
“ปีศาจเจอร์ซีย์เนี่ยนะ มีตัวจริงด้วยเหรอ? ผมนึกว่าอยู่แค่ในครีปปี้พาสต้า”
“อย่าได้ดูถูกเรื่องเล่าในอินเตอร์เน็ตไปคุณดีน ในนั้นมีทั้งอสุรกายที่มีตัวตนจริงและเรื่องแต่ง” ไครอนตอบ
“ถ้างั้นไซเรนเฮดล่ะมีจริงไหม?” ได้ทีก็เลยถาม
“นั่นมันก็เกินไปหน่อยไหม? ดูก็รู้ว่าปีศาจหัวลำโพงคือเรื่องแต่ง”
ก็จริงอย่างที่ไครอนว่าแหล่ะ ถ้ามีจริงน่ากลัวตายชัก…
“โชคดีนิดนึงที่ผมเป็นบุตรแห่งโพไซดอน ก็เลยขึ้นเครื่องบินไม่ได้อยู่แล้วเลยไม่ค่อยเสียตาย แต่สำหรับภารกิจนี้เพกาซัสก็เป็นสิ่งต้องห้ามด้วยสินะ…”
ประโยคหลังคล้ายพึมพำ แต่ควีนคงไม่อยากไปเสี่ยงตายกับเขาหรอก ตอนไปนีออมเธอยังโวยวายทุกแมทช์ที่สู้เลย เพราะงั้นปล่อยให้อยู่เลี้ยงลูกก็อบลินที่คอกม้าประจำค่ายน่ะดีแล้ว
เมื่อวิเคราะห์ประโยคนี้เรียบร้อยดีนก็เปิดเสียงบันทึกต่อ
“หนึ่งชีพดับสูญ หนึ่งจมในห้วงลืมเลือนนิจนิรันดร์ หนึ่งถูกจองจำ รอคอยความตาย”
“ผมไม่ชอบท่อนนี้เลยแฮะ แปลว่าถ้าไปทำภารกิจนี้แล้วจะตายงั้นเหรอ?”
ดีนเม้มปาก เขายังไม่อยากตาย ไม่อยากให้ชาร์ล็อตตาย และไม่อยากให้ใครอีกคนที่ไปด้วยตาย ซึ่งถ้ารู้ล่วงหน้าแบบนี้เลือกไม่ถูกเลยว่าจะพาใครไปทำภารกิจด้วยดี
“ไม่ใช่หรอก นี่คืออดีตและปัจจุบันที่เกิดขึ้น จากท่อน ‘หนึ่งถูกจองจำรอความตาย’ จึงไม่ใช่อนาคตครับ…” กระนั้นไครอนก็ขมวดคิ้ว “หากคุณชาร์ล็อตคือผู้ที่ถูกจองจำรอคอยความตาย อีกสองคนที่เหลือ คุณอาร์ตี้ และคุณไฮรี่ จะมีหนึ่งคนที่เสียชีวิต และอีกคนที่จมในห้วงลืมเลือน”
“แล้วใครจะตายล่ะครับ ผมยังจำทั้งสองได้อยู่นะ ถึงแม้จะไม่มากก็เถอะ…” เพราะว่าเคยเห็นกันแค่ผ่าน ๆ เลยจำหน้าไม่ค่อยได้ แต่ ‘อาร์ตี้ เดอ วิล’ เป็นดาราดัง ตัวแม่ตัวมัมของวงการ ใครจะลืมได้ลง
“อาจตีความว่าหายสาปสูญได้เหมือนกัน และหากนานกว่านี้ย่อมถูกลืมเลือน” ไครอนให้คำจำกัดความ
“ไม่ว่าอย่างไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นเลย มีความเป็นไปได้ไหมครับว่าคำนำนายจะคลาดเคลื่อน”
ไครอนไม่ตอบด้วยวาจา ทว่าเขาส่ายหน้า คำพยากรณ์เดลฟีเป็นจริงเสมอ แค่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไรเท่านั้นเอง นั่นทำเอาดีนหายใจไม่ทั่วท้อง เขาเม้มปากแล้วก้มหน้าลง ก่อนจะกดเล่นเสียงไปต่อ
“จงฝ่าม่านแห่งมายา มองทะลุคำลวง ไขปริศนาแห่งบ้านเลขต้องสาป ก่อนพลังแห่งอดีตกาลจะตื่นขึ้น....”
“ภายในบ้านที่ว่า คิดว่าน่าจะมีมนตร์มายา คำสาป ไม่ก็กลไกอะไรบางอย่างที่ต้องฝ่าเข้าไปถึงด้านใน ภารกิจนี้ต้องทำให้สำเร็จก่อนที่พลังแห่งอดีตจะตื่น อาจหมายถึงโครนอส หรืออีกชื่อหนึ่งที่ปรากฏในคำทำนาย..”
“คุณกำลังหมายถึงอะไรครับ?” ดีนถาม
“อีกชื่อหนึ่งก็คือ ‘อะพอลลีออน’ …”
“อะพอลลีออน? ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย.. ไม่สิ เคยได้ยินแหล่ะ แต่เป็นตอนแรกที่ได้ฟังคำทำนาย เหมือนว่าชื่อนั้นจะอยู่ท่อนถัดไปอีก เขาคือใครเหรอครับ?”
“‘อะพอลลีออน ผู้ทำลายล้าง’ ปีศาจระดับสูงตามคัมภีร์วิวรณ์ในคริสต์ศาสนา ‘อะพอลลีออน’ เป็นภาษากรีก แต่ตามคัมภีร์คริสต์จะเรียกนามว่า ‘อะแบนดอน’” ไครอนอธิบาย
“เอ่อ.. ก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกันแหล่ะครับ”
ดีนยกมือลูบท้ายทอยปอย ๆ เล่นทำเอาไครอนหรี่ตามอง ก็จะเอาอะไรกับคนที่ไปโบสถ์เฉพาะตอนที่โรงเรียนจัดทัศนศึกษา กับตอนไปเลือกตั้งเพราะทางรัฐชอบยืมศาสนสถานแถวบ้านมาเป็นคูหาเลือกตั้งกันเล่า จำชื่อนักบุญได้สามสี่คนนี่ก็สุดแค่ไหนแล้ว
“อธิบายสั้น ๆ ให้เข้าใจง่าย อะพอลลีออน คือ ปีศาจชั้นสูงผู้นำกองทัพตั๊กแตนปีศาจออกมาทำลายล้างโลกจากขุมนรก ตั๊กแตนพวกนั้นมีเขี้ยวเหมือนสิงโต ใบหน้าคล้ายคน หัวสวมมงกุฎ มีหางที่ต่อยเจ็บเหมือนแมงป่อง มันเคยปรากฏอยู่ในภัยพิบัติเจ็ดประการตามวิวรณ์ตำนานวันสิ้นโลก เมื่อพระผู้เป็นเจ้าต้องการขจัดความชั่วร้าย ผู้คนที่ไร้ความศรัทธาไม่อยู่ในศีลธรรม โดยส่งเทวทูตเจ็ดองค์เป่าแตร เป็นสัญญาณเตือนนำมาซึ่งหายนะร้ายแรงแต่ละประการ”
เทวทูตเป่าแตร.. ชวนให้ดีนนึกถึงไพ่ทาโรต์ที่เป็นเหตุการณ์ในอนาคตของชาร์ล็อตเสียเหลือเกิน
“แตรดอกที่หนึ่ง… ไฟและลูกเห็บผสมเลือด ตกลงมาเผาผลาญโลก หนึ่งในสามของต้นไม้และหญ้ามอดไหม้ไปทั้งหมด, แตรดอกที่สอง… ภูเขาเพลิงขนาดใหญ่ ถูกโยนลงทะเล ทำให้ทะเลกลายเป็นเลือด ปลาและเรือจำนวนมากพินาศ, แตรดอกที่สาม… ดาวตกชื่อว่า ‘วูร์มวูด’ ตกลงมาในแม่น้ำ ทำให้น้ำกลายเป็นขม มนุษย์จำนวนมากตายเพราะน้ำ, แตรดอกที่สี่… ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวมืด หนึ่งในสาม ทำให้โลกมืดลง เป็นสัญญาณก่อนภัยร้ายแรงกว่า, แตรดอกที่ห้า… ตั๊กแตนปีศาจ นำโดยอะพอลลีออน ผุดจากหุบเหวไร้ก้น โจมตีมนุษย์ ไม่ฆ่าแต่ทรมาน”
ไครอนหยุดอธิบายต่อเพราะบทบาทของอะพอลลีออนจบที่ตรงนี้
“มีต่ออีกไหมครับ แตรดอกที่หกแล้วก็เจ็ดล่ะ?” ดีนรบเร้าให้อีกฝ่ายเล่าต่อราวกับตั้งใจฟังนิทาน
“มีครับ แตรดอกที่หก… ทูตสวรรค์ปล่อยทหารม้าปีศาจ สี่ตนจากแม่น้ำยูเฟรตีส์ มาพร้อมกองทัพสองร้อยล้านตัว ฆ่าหนึ่งในสามของมนุษย์ และสุดท้ายแตรดอกที่เจ็ด… อาณาจักรของพระเจ้ามาถึง เสียงฟ้าร้อง แผ่นดินไหว เมืองใหญ่แตกสลาย ตบท้ายด้วยหีบพันธสัญญาเปิดออกในสวรรค์”
“อื้อหือ แต่ละอย่าง.. แต่งี้อะพอลลีออนเป็นภัยพิบัติลำดับที่หก แล้วก่อนหน้านั้นล่ะครับ หนึ่งถึงสี่ไปไหน?” ดีนตั้งข้อสงสัย คงไม่จู่ ๆ ภัยลำดับห้าก็โผล่มาอันแรกแบบสุ่มเหมือนกดสั่งเล่นเพลงจากสปอติฟายล่ะมั้ง
“ตรงนี้ก็มีให้ตีความครับ แตรดอกที่หนึ่งอาจหมายถึงยุคไดโนเสาร์สูญพันธุ์ก็ได้”
“นานขนาดนั้นเลยเหรอ งี้กว่าโลกจะแตกคงไม่ต้องกลัวแล้วมั้ง ถ้าเจ็ดสิบกว่าล้านปียังอยู่แค่ข้อที่ห้า ยังไงมนุษย์ก็คงตายหมดก่อนแหงม ๆ”
“ก็แค่สมมติฐาน… ความจริงอาจเป็นกรณีอื่น ซึ่งคำทำนายของแตรบางดอกผมก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมีเดมิก็อดบางกลุ่มไปจัดการกู้โลกอยู่”
“งั้นผมก็เป็นอีกกลุ่มที่ถูกเลือกสินะ..” ดีนยิ้มเจื่อน “ว่าแต่ถึงไหนแล้วนะครับ เหมือนก่อนหน้านี้จะไม่ได้พูดถึงอะพอลลีออนกัน”
“ถ้าเป็นการตีความคำทำนายท่อนล่าสุดก็จบแล้วครับ กดเล่นต่อเพื่อไปวรรคถัดไปได้เลย”
“โอเค”
ดีนตอบรับจากนั้นเขาก็กดเล่นเสียงต่อ
“สายเลือดแห่งมนตรา จักเชื่อมต่อม่านแห่งเทพ ซ่อมแซมบาดแผลแห่งมนตราที่แตกสลาย”
“เอ่อ.. คุณไครอน ตรงนี้ผมพอเข้าใจ จากข่าวที่คุณเล่าบอกว่ามีคนธรรมดาเห็นไซคลอปส์ แปลว่าเขตมนตราเฮคาทีมีปัญหา แล้วภารกิจของคุณอาร์ตี้ที่ชวนชาร์ล็อตไปด้วยเพราะว่าเธอเป็นลูกสาวเทพีแห่งเวทมนตร์เลยมีความสามารถซ่อมแซมมนตรา แต่ถ้าเธอถูกจับขังเป็นเวลานานเกินไปจะมีเรี่ยวแรงพอที่จะใช้เวทมนตร์ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ จะดีไหมถ้าผมชวนแมคซี่ไปอีกคนน่ะครับ”
“คุณคงหมายถึงคุณแมคเคนซี? ย่อมได้ ภารกิจครั้งที่แล้วยังมีสายเลือดโพไซดอนไปถึงสองคนเลยนี่ครับ”
“ครับ แมคซี่ต้องตอบรับแน่ ๆ”
ดีนถอนหายใจออกมา ความจริงเขาไม่อยากพาคนรักไปผจญกับอันตราย แต่ว่าชายหนุ่มก็ไม่อยากแยกจากคนรักไปนานเป็นเดือนอีกเหมือนกัน เพราะฟังจากคำทำนายและสรรพคุณของอะพอลลีออนอะไรนั่นแล้ว การเดินทางครั้งนี้ไปนานแน่นอน ส่วนอีกใจก็คิดว่านี่มันภารกิจที่ต้องให้ลูกหลานเฮคาทีไปทำหรือเปล่า ไหงถึงกลายเป็นเขาไปได้ล่ะนี่
ดีนกดปุ่มเล่นเสียงให้มันเพลย์ต่อ
“มุ่งหน้าสู่แดนเอกวาดอร์ ดินแดนแห่งภูเขาไฟ หยุดยั้งแผนการชั่วร้าย ก่อนความมืดจะครอบงำ อะพอลลีออน จอมทำลาย รอวันปลดปล่อย ชะตากรรมแห่งโลกอยู่ในมือของเจ้า”
“เหมือนผมเคยได้ยินมาตอนไปทำงานที่สถานีรถไฟเฮเฟตัส... ทวีปอเมริกาทั้งเหนือและใต้มีสถานีรถไฟเฮเฟตัสแค่นิวยอร์กที่เดียว แล้วต้องเดินทางไปเอกวาดอร์นี่มัน…”
ตามแผนที่โลก ประเทศเอกวาดอร์ ดินแดนแห่งภูเขาไฟอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ แถมยังมีช่องดาเรียนที่ซึ่งเป็นสถานที่อันตรายแบบสุด ๆ จนไม่มีทางไปต่อ โดยปกติแล้วประชาชนมักจะโดยสารด้วยเครื่องบิน น้อยมากจะขึ้นเรือ แต่ว่าดีนนั่งเครื่องบินไม่ได้เนี่ยสิ แถมในคำทำนายยังระบุให้ระวังการจับตามองจากฟากฟ้าอีก แล้วแบบนี้เขาจะไปยังไง เรือโดยสารก็ไม่ได้แล่นล่องไปอย่างรวดเร็วฉับไวเสียด้วยสิ
“ตามที่คุณเข้าใจ พวกคุณต้องเดินทางไปต่อเอง ส่วนเส้นทางไหนนั้นแล้วแต่คุณจะเลือก ทางบกอันตราย ส่วนทางทะเลก็อาจจะช้าเกินไป”
“แล้วทำไมสถานีรถไฟเฮเฟตัสถึงไปสร้างที่อื่นนอกจากนิวยอร์กไม่ได้ล่ะครับ อเมริกาก็กว้างใหญ่ เดินทางลำบากตายเลยเนี่ย”
อดที่จะบ่นไม่ได้จริง ๆ คงไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่า ‘เดมิก็อดผู้กล้าจำเป็นต้องเดินทางด้วยเท้าเท่านั้นถึงจะมีเกียรติ!’ ซึ่งมันไร้สาระสิ้นดี เทพเจ้าคงชอบดูลูกหลานทรมาณ นี่ก็เข้าสู่ปีสองพันยี่สิบห้าแล้ว รถก็มี เครื่องบินก็มี ไม่ยอมให้ปรับใช้เครื่องทุ่นแรงกันบ้างเลย
“ผมรู้ว่าคุณอยากบ่น แต่ความจริงแล้วมันมีเหตุผล” ไครอนหยุดเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “เดิมทีเทพกรีกอาศัยอยู่ที่ยอดเขาโอลิมปัสแถบนครเอเธนส์ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ชาวโอลิมปัสขยับขยายโยกย้ายไปในดินแดนใหม่ที่ศิวิไลซ์กว่า ซึ่งนั้นก็คือนิวยอร์ก การเข้ามาของผู้รุกรานอย่างเราย่อมสร้างความไม่พอใจแก่เทพท้องถิ่น ดังนั้นบางส่วนบางแดนจึงอยู่นอกขอบเขตที่เทพกรีกให้ความคุ้มครอง”
“เอ่อ… พอคุณพูดแบบนี้เหตุผลมันก็พอจะฟังขึ้นอยู่แฮะ ถือว่าผมซวยเองแล้วกันที่ได้ไปทำภารกิจที่อเมริกาใต้น่ะ”
ถึงจะบอกว่ายอมรับได้แต่ก็อดที่จะย่นจมูกไม่ได้จริง ๆ
“แต่เอกวาดอร์ก็กว้างใหญ่ ใบ้แบบนี้มันกว้างไปไหม จะรู้ได้ไงครับว่าขุมนรกที่ว่ามันอยู่ตรงไหน?” ดีนถามต่อ
“หากจากคำนำนาย เป็นไปได้ว่าการปลุกพลังอะพอลลีออนจะอยู่ที่ภูเขาไฟสักแห่งในเอกวาดอร์ ก่อนหน้านี้ผมได้รับข่าวสารมาจากเพื่อนเซนทอร์ทางใต้ บอกว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติที่ภูเขาไฟสามแห่ง ดังนี้ ‘ภูเขาไฟทุงกูวารา’ ได้รับฉายาว่าเทพีแห่งเปลวเพลิงพิโรธ เป็นภูเขาไฟที่ได้รับการบูชาจากชนเผ่าเคชัว, ต่อมาคือ ‘ภูเขาไฟเรเวนตาดอร์’ ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ระเบิด ตั้งอยู่ในป่าฝนแอมะซอนทางตะวันออกของเทือกเขาแอนดีส และสุดท้าย ‘ภูเขาไฟโกโตพัคซี’ ฉายา ‘เทพเจ้าหิมะที่ยังตื่น’ ยอดภูเขาไฟปกคลุมด้วยธารน้ำแข็ง เป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่อันตรายที่สุดในโลก ในตำนานของชาวอินคา ‘โกโตพัคซี’ เป็นเทพแห่งพลังทำลายและการฟื้นฟู”
“สามแห่งนี้สินะ.. เหนื่อยหน่อยแต่ก็ดีกว่าต้องไปงมเข็มในมหาสมุทร”
“ก็ไม่แน่เสมอไปครับ สายข่าวเพียงแค่บอกว่าเป็นภูเขาไฟต้องสงสัย แต่อาจไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจของคุณเลยก็ได้ เพราะจากตำนานของหลายที่มีเทพเจ้าท้องถิ่นของตนเองคุ้มครอง เว้นแต่เทพเหล่านั้นจะร่วมมือกับสาวกอะพอลลีออนเพื่อปลุกพลังของเขาขึ้นมา”
“โอ๊ย! คุณไครอนอย่าทำลายความหวังสิครับ! ถ้าไม่ใช่หนึ่งในสามแห่งนี้ผมหาตาแหกเลยนะ” ดีนโวยวาย
“ผมก็แค่พูดเผื่อเอาไว้ให้คุณต้องเตรียมใจ บางทีระหว่างการเดินทาง เบาะแสอื่น ๆ อาจโผล่ออกมาก็เป็นได้” ไครอนชี้แจงก่อนจะวิเคราะห์คำทำนายท่อนสุดท้าย “อะพอลลีออนรอวันปลดปล่อย ผมคิดว่าผู้ร้ายน่าจะกำลังรอฤกษ์ยามที่เหมาะสม เพราะอะไรพวกสาวกถึงได้ไม่พาคุณชาร์ล็อตที่มีสายเลือดเฮคาทีที่เหมาะสมไปบูชายัญเลย?”
“คุณถามผมเหรอ?” สายเลือดเจ้าสมุทรชี้นหน้าตัวเอง “จากที่เล่นเกมกับดูหนังมานะ พวกตัวร้ายมันจะมีวันที่พลังสูงสุดต่ำสุดอยู่ อย่างคืนวันเพ็ญหรือคืนข้างแรมอะไรแบบนี้”
“คุณสันนิษฐานได้ดี และวันที่ผมคิดว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับการปลดปล่อยปีศาจร้ายซึ่งก็คือ ‘วันครีษมายัน’ คุณคุ้น ๆ หูกับวันนี้บ้างไหม?”
คำถามของไครอนชวนให้ดีนตะหงิดใจและได้กลิ่นแปลก ๆ ริมฝีปากของชายหนุ่มแสยะยิ้มเจื่อนทันที การทำภารกิจคราวที่แล้ว… ‘ตามหาตรีศูลที่หายไป’ ก็ต้องสำเร็จก่อนวันครีษมายัน ซึ่งเป็นวันฤกษ์ดีของเหล่าเทพเจ้าที่จะทำอะไรป่วน ๆ อย่างเช่นยกกองทัพมาถล่มใส่กัน..
“คุณตั้งใจจะออกเดินทางวันไหนกัน?” ไครอนถามต่อ
“ไม่รู้สิ ผมอยากจะออกเดินทางให้ไวที่สุด ถึงจะรู้ว่าชาร์ล็อตคงไม่ถูกบูชายัญในเดือนนี้ แต่ก็ไม่อยากให้เธอต้องลำบากนาน พรุ่งนี้เร็วไปคงเตรียมตัวกันไม่ทัน แต่ถ้าเป็นวันมะรืน… วันที่สิบห้าล่ะก็ ถ้าเร็วที่สุดผมว่าวันนั้นแหล่ะเหมาะสมที่สุดครับ”
คราวนี้เป็นไครอนที่แสยะยิ้ม เขาลุกไปหยิบบันทึกเล่มหนึ่งจากชั้นวาง มันไม่ใช่บันทึกของ เพอร์ซีย์ แจ็กสัน แต่เป็นบันทึกหน้าปกสีครามน้ำทะเลแบบที่คุ้นตาสุด ๆ ‘บันทึกการเดินทางตรีศูลที่หายไป’ ที่ดีน เดม่อน และไบร์ท ฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกันมานั่นเอง จากนั้นไครอนก็เปิดบันทึกไปที่หน้าแรกของการเดินทาง ตัวหนังสือสีดำลอยเด่นขึ้นมาเหนือหน้ากระดาษ
“สุขสันต์วันครบรอบหนึ่งปีภารกิจเดินทางนะคุณดีน รอบนี้ก็ขอให้คุณโชคดีแล้วกลับมากันอย่างปลอดภัยล่ะ”
“....”
พอเห็นวันที่แล้วแทบจะแดรกจุดไข่ปลา...
แม่งเอ๊ย! คำตอบกระจ่างชัดทันทีว่าทำไมถึงมีแรงกระตุ้นบางอย่างให้ดีนไปรับคำพยากรณ์ ไม่ใช่แมคเคนซี ซิลเวอร์ หรือสายเลือดเฮคาทีคนอื่น ๆ แบบนี้นี่มัน… ถูกเทพโอลิมปัสแกล้งชัด ๆ !
ปรึกษากับไครอนเรื่องภารกิจเดินทาง
ขอเงินค่าเดินทางด้วยครับ!
|