เก้าร้อยเก้าสิบหก
เก้าร้อยเก้าสิบเจ็ด
เก้าร้อยเก้าสิบแปด
เก้าร้อยเก้าสิบเก้า…
“ถ้าจะเอาให้ชัวร์ ผมว่าคุณไปเรียนกับ–แบ๊ะะะ!!” เสียงร้องปริศนาดังขึ้นพร้อมกับใบดาบที่ตวัดไปทางต้นเสียงจนเกือบจะเฉี่ยวเข้าที่คอของคนที่เข้ามาแบบไม่ส่งสัญญาณ
“โกรเวอร์!” โรบินร้องลั่น เธอลดดาบลงและถอนหายใจอย่างแรง “คุณเข้ามาแบบนี้ได้ยังไง! เกือบโดนดาบฟันแล้วรู้ไหม!”
โกรเวอร์ยกมือสองข้างขึ้นอย่างปกป้องตัวเอง “ใจเย็นสิ ผมแค่เดินเข้ามาไม่ได้คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้เสียหน่อย” ใบหูแหลมแบบแพะของเขากระดิกอย่างเร็วเหมือนใบพัดจนถ้ามันมีขนาดใหญ่กว่านี้คงพาเขาลอยได้ไปแล้ว “ไครอนเรียกพบคุณ เขารออยู่ที่บ้านใหญ่นะ”
โรบินเช็ดเหงื่อที่หน้าผากด้วยหลังมือและหันไปเก็บดาบเข้าฝักบนชั้นวาง “ขอบใจที่มาบอกนะคะ แต่คราวหลังระวังกว่านี้หน่อย คุณก็รู้ว่าฉัน… ไม่ได้จับดาบบ่อยๆ” เธอลดเสียงประโยคสุดท้ายให้เบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
“เข้าใจแล้วๆ” มนุษย์แพะตอบพลางพึมพัมเบาๆ กับตัวเอง “นี่แหละเหตุผลที่ผมไม่ชอบอะไรที่เกี่ยวกับดาบเลย... มันอันตรายเกินไป ขลุ่ยต้นกกยังดีกว่าอีก ไม่อันตรายแถมยังทรงพลัง เอามาประกอบทำนองก็ได้”
แซเทอร์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบทอดของแพนผู้ยิ่งใหญ่ถ่ายน้ำหนักไปมาบนขามีกีบของตัวเองด้วยความประหม่า เขาทำให้โรบินนึกถึงโทยา เพื่อนผู้นำทางของเธอที่หายหน้าหายตาไปนาน ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตามแต่แซเทอร์พวกนี้ก็ยังมีมุมขี้กลัวเหมือนกันไปหมดเสียจริง
“ถ้าคุณมาทำฉันตกใจอีก คราวหน้าดรักม่าที่คุณเก็บไว้จะหายหมดแน่” โรบินแซวกลับก่อนจะเดินออกจากสนามฝึก ทิ้งให้โกรเวอร์ยืนบ่นพึมพำอยู่คนเดียว
“นี่คุณขู่ผมหรอ!”
เมื่อเดินมาถึงบ้านใหญ่ โรบินก็เดินไปหยุดอยู่ที่ประตูทำจากไม้มะฮอกกานีแสนคุ้นเคย ก่อนที่จะทันได้เคาะประตู เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านในราวกับรู้ว่ามีแขกมาเยือน
“เข้ามาได้เลย”
“ขออนุญาตนะคะ” แขกที่ว่าผลักประตูเข้าไปตามคำเชื้อเชิญ
ภายในห้องทำงานไม้ ร่างของเซนทอร์ในชุดสีกากีกำลังฮึมฮัมในลำคออย่างอารมณ์ดีขณะนำเอกสารเข้ามาจัดวางไว้บนชั้นหนังสือ “โชคดีที่เธอมาเร็ว”
“คือว่า… มีอะไรหรือเปล่าคะไครอน?” โรบินกวาดสายตาไปรอบห้องด้วยความหวาดระแวง “ขอออกตัวก่อนว่าหนูไม่ได้ไปขโมยเงินใครนะคะ ถ้าคุณไปได้ยินมาจากข่าวลือ คือบอกเลยว่าไม่ใช่ความจริง”
ไครอนเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา “โอ้ๆ ฉันไม่ได้เรียกเธอมาสอบสวนเรื่องนั้นหรอกเด็กน้อย พอดีวันนี้เรามีแขกคนสำคัญที่อยากจะแนะนำให้เธอรู้จักต่างหาก”
“แขกคนสำคัญ?” โรบินแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก โอเค เรื่องที่เฮคาทีมาขอให้ทำอะไรแปลกๆ เมื่อวันก่อนยังไม่ถูกเปิดเผย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดี ว่าแต่แขกที่ไครอนพูดถึงคือใครกัน เธอจำได้ว่านอกจากคนในครอบครัวหรือคนในวงสังคมของที่บ้านแล้ว ก็ไม่ได้รู้จักใครเป็นการส่วนตัวอีก เว้นเสียแต่ว่าในกลุ่มคนพวกนั้นมีคนที่ไม่ใช่มนุษย์ปะปนอยู่…
“ใช่แล้ว ส่วนเรื่องขโมย…ไว้เดี๋ยวฉันจะขอคุยเรื่องนั้นกับเธออีกทีแล้วกัน” ประโยคนั้นทำเอาหัวใจของคนฟังตกลงไปอยู่ตาตุ่มทันที เธอตีปากตัวเองเบาๆ ด้วยความเจ็บใจที่ดันหลุดปากพูดอะไรให้น่าสงสัยไปเสียเอง
ไครอนไม่เว้นจังหวะให้โรบินได้ตบตีกับตัวเองนาน เขาขยับตัวกลับไปยังที่นั่งหลังโต๊ะทำงาน และนั่นก็ทำให้โรบินเห็นร่างของแขกคนสำคัญที่ซ่อนอยู่ข้างหลังม้าศึก
ชายร่างสูงโปร่งที่ขนาดตัวพอๆ กับไครอนเมื่อยืนเต็มตัวส่งยิ้มให้เด็กสาวมาจากมุมชั้นหนังสือ เขามีอายุสักประมาณสี่สิบหรือห้าสิบต้นๆ ชายคนนี้ครอบครองแววตาสีเทาพายุที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ผมสีน้ำตาลสั้นที่มีบางส่วนเริ่มเป็นสีดอกเลากับเคราสีเดียวกันก็ได้รับการแต่งเล็มอย่างเรียบร้อย เขาสวมรองเท้าบูตและกางเกงปีนเขาสีดำกับเสื้อยืดธรรมดาแต่กลับดูมีรสนิยมเมื่ออยู่ในร่างชายสูงวัย และเมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้ๆ โรบินก็สังเกตเห็นว่าที่ฐานลำคอของเขามีรอยสักสีม่วงซ่อนอยู่ใต้สาบเสื้อ
เขาให้ความรู้สึกเหมือนนักการเมืองท่าทางภูมิฐานในวันสบายๆ ที่เพิ่งกลับมาจากเดินป่ากับครอบครัวในวันหยุด
โรบินหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เธอพยายามค้นหาในความทรงจำว่าเคยเจอผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ…ไม่มีเลย
“สวัสดีสาวน้อย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทัก พร้อมเก็บหนังสือที่ถืออยู่เข้าชั้น “ฉันควินตัส หรือถ้าเธออยากเรียกฉันว่าจิมมี่ก็ได้ หรือ…”
“เดดาลัส คุณเลิกแกล้งเธอเสียทีเถอะ” ไครอนพูดขัดขึ้นมาเสียก่อนด้วยน้ำเสียงระคนระอา
“ขอโทษทีไครอน พอมีคนเรียกชื่อใหม่ของผมมาหลายศตวรรษเข้า มันก็กลายเป็นเรื่องที่ชินกว่าชื่อเก่าไปเสียแล้ว” ชายที่ถูกเรียกว่าเดดาลัสยักไหล่เล็กน้อย รอยยิ้มมุมปากของเขาทำให้โรบินรู้สึกประหลาดใจ
เขายื่นมือออกมา “เดดาลัส”
โรบินยื่นมือที่ชื้นเหงื่อเพราะความตื่นเต้นออกไปจับ ในครั้งแรกที่ไครอนเรียกชื่อเขา เธอคิดว่าตัวเองคงหูฝาดไป แต่เมื่อชายตรงหน้าพูดออกมาเองอีกครั้งก็ทำเอาเธอหูผึ่ง สมองวิ้งไปชั่วขณะ
“คุณคือ…เอ่อ…เดดาลัส? คุณหมายถึงคุณคือเดดาลัสคนนั้นหรอคะ?” พูดแล้วก็จะหาว่าเวอร์ แต่เธอไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าเพิ่งจะเรียกชื่อของสุดยอดสถาปนิกในตำนานออกมา นายช่างเอกผู้เสกสร้างเขาวงกต นักประดิษฐ์คนแรกที่สร้างปีกบินขึ้นฟ้า อัจฉริยะผู้เชื่อมต่อเทคโนโลยีเข้ากับโลกแห่งเทวตำนานด้วยสมาร์ทโฟน Daedalus's Legacy และชายผู้ที่เคยปลิดชีวิตหลานชายของตัวเอง…
ถึงจะไม่คุ้นเคยกับปรกรณัมกรีก แต่หลายคนต้องเคยได้ยินชื่อของชายคนนี้ผ่านหูมาแน่นอน
“ใช่แล้วสาวน้อย ฉันคือ เ-ด-ด-า-ลั-ส คนนั้น ที่เธอหมายถึง ถ้าเข้าใจไม่ผิดนะ” เจ้าตัวยืนยันพร้อมสะกดชื่อให้ฟังทีละตัวอักษร
“แล้วทำไมคุณถึง…เอ่อ… ” โรบินพยายามหาคำถามที่เหมาะสม ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อในหัวของเธอเอาแต่พ่นคำว่า ‘งั้นหนูก็คืออาธีน่า แม่ของคุณล่ะมั้งคะ’ อยู่ตลอดเวลา “คือหนูหมายถึงคุณมาทำอะไรที่นี่ แบบว่าคุณคือแขกของหนูหรอ?”
ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ถ้าเธอคือยัยเด็กถามมากที่ไดโอนีซุส หมายถึงล่ะก็ ฉันว่าฉันคงมาหาไม่ผิดคน”
คำพูดของนักประดิษฐ์ในตำนานทำให้โรบินอึ้ง เธอมองไปทางไครอน แต่เซนทอร์เพียงแค่ยิ้มบางๆ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าปฏิกิริยาของเธอจะเป็นอย่างไร
“มานี่สิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอเสียหน่อย”
ที่โต๊ะน้ำชาในห้องของไครอนมีถ้วยกาแฟกับมัฟฟินบลูเบอรี่ที่ถูกกัดไปครึ่งหนึ่งวางอยู่ ข้างกันมีคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปรูปทรงคุ้นตาแต่โลโก้ของมันไม่ได้เป็นรูปแอปเปิ้ลถูกกัด มันเป็นสามเหลี่ยมแบบตัวอักษรกรีกลำดับที่สี่ที่เปล่งแสงสีเงินออกมาจางๆ หน้าตาแบบ Δ
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ฉันมีงานมาเสนอให้เธอพร้อมค่าตอบแทน แต่ที่รัก เธอช่วยหุบปากนั่นทีได้ไหม?” เดดาลัสพูดพลางยกมือขึ้นเชยขากรรไกรของโรบินที่ค้างอยู่ด้วยความอึ้งให้หุบลง แล้วเขาก็หันไปกดแป้นพิมพ์ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาพร้อมหน้าจอที่มีดีไซน์ไดอะแกรมของโครงงานที่เขากำลังทำอยู่
“ขอโทษค่ะ” โรบินตบแก้มเบาๆ สองสามทีเพื่อดึงสติกลับมา “ว่าแต่คุณพอจะบอกได้ไหมคะว่าปีกที่คุณสร้างมาจากขนนกกับขี้ผึ้งนั่นมันบินขึ้นฟ้าไปได้ยังไง คือไม่ใช่ว่าหนูไปแอบถอนขนนกมาลองทำหรืออะไรหรอกนะคะ แต่คือมันดูเหลือเชื่อจนเกินกว่ากฎฟิสิกส์จะอธิบายได้น่ะค่ะ”
ไครอนกระแอมเบาๆ มาจากโต๊ะทำงานกลางห้อง เดดาลัสหัวเราะเบาๆ แววตาสีพายุของเขาวาววับอย่างมีเลศนัย “มันคือขนนกสัมฤทธิ์ อีกอย่างกระแสลมร้อนในตอนนั้นช่วยฉันเอาไว้ได้เยอะทีเดียว… เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องของฉันกันต่อดีไหม?”
แม้จะยังมีคำถามอีกสองสามข้อผุดขึ้นมาในหัว แต่เธอก็พยายามข่มมันไว้ เธอเลื่อนสายตาไปยังหน้าจอแผนผังที่เดดาลัสเปิดแสดงอยู่ มันเต็มไปด้วยเส้นสายและสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนเหมือนภาพร่างของงานที่พวกนักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้คุยกัน
“เท้าความก่อนว่าฉันไปคุยกับไดโอนีซุส หรือคุณดี. ของพวกเธอมาเมื่อเช้าแล้วบังเอิญไปเห็นอะไรน่าสนใจเข้า” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้โรบินรู้สึกเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าในตำนาน “เลยเกิดเป็นไอเดียที่พอจะแมปเข้ากับสิ่งที่ฉันกำลังจะทำอยู่พอดี”
เขาปัดไปยังแท็บที่แสดงภาพของแผนที่ที่แคปเจอร์มาจาก Google Map และมีคำอธิบายประกอบ “อย่างที่เธอเห็น นี่เป็นแบบร่างของโครงงานที่ฉันกำลังพัฒนาอยู่ แอปพลิเคชันใหม่ของสมาร์ทโฟนที่ฉันกำลังวางขาย เป็นระบบแผนที่เรียลไทม์ที่สามารถช่วยให้เลือดผสมติดตามสถานการณ์รอบตัวได้ แอปนี้จะมีฟังก์ชันแจ้งเตือนเมื่อกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่อันตราย… พอจะคุ้นๆ ไหม?”
“แต่หนูเคยได้ยินมาว่ามนุษย์กึ่งเทพใช้อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้นี่คะ?” เธอเอียงคอด้วยความสงสัย นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ค่ายฤดูร้อนแห่งนี้แทบจะเรียกว่าห่างไกลจากความเจริญขั้นสุด จนแทบจะกลับคืนสู่ยุคหิน ด้วยอะไรบางอย่าง คลื่นวิทยุที่กระจายอยู่ในอากาศทำให้อสุรกายสามารถเข้าถึงตำแหน่งของมนุษย์กึ่งเทพได้พอๆ กับกลิ่นที่พิเศษจากมนุษย์ทั่วไปจนน่ารำคาญ
เดดาลัสเชิดจมูกอย่างถือดี ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เพราะอย่างนี้ Daedalus's Legacy ถึงได้พิเศษกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปยังไงล่ะสาวน้อย ระบบป้องกันสุดล้ำของฉันสามารถปิดกั้นสัญญาณรบกวนจากอสุรกายได้อย่างแนบเนียนเลยล่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกแกะรอยอีกต่อไป”
คำตอบนั้นทำเอาคนฟังอึ้งไปอีกรอบ คนตรงหน้าของเธอไม่ใช่ใครอื่น เขาคืออัจฉริยะในตำนานตัวจริงเสียงจริง “แต่ทำไมต้องเป็นหนูล่ะคะ?”
“ฉันได้ข่าวมาว่าเธอคือคนที่ช่วยคุณดี. ทำงานอยู่ เลยคิดว่าเธอน่าจะเหมาะสมกับงานนี้ อีกอย่างฉันพอจะรู้จักญาติสายตรงของเธอคนหนึ่ง นอกจากการสงครามแล้ว เขายังพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นนักแกะรอยชื่อดังในตำนาน…”
โรบินยังไม่ทันได้ถามว่าเขาคนนั้นเป็นใคร เผื่อเธอจะได้ไปขอลายเซ็นและฝากตัวเข้าทำงานในอีกสิบปีข้างหน้า อีกฝ่ายก็ถามต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เธอพอจะมีพื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรมบ้างไหม?”
“ก็มีบ้างค่ะ ” และโรบินก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสัมภาษณ์งานในขณะที่ตัวเองยังเรียนอยู่เกรดแปด เธอบอกตัวเองว่าให้บันทึกสิ่งนี้ลงสมอง แล้วกลับบ้านไปจะไปเล่าให้น้องชายฟัง หมอนั่นต้องอิจฉาตาร้อนสุดๆ แน่ๆ
“ดี ฉันมีไอดีสำหรับเข้าเว็บไซต์ Map.Daedalus.com ให้เธอใช้จัดการเพิ่มข้อมูลลงไปในระบบแผนที่ บ้านเฮอร์มีสน่าจะมีคอมพิวเตอร์เพียงพอสำหรับงานนี้ใช่ไหม?”
“ค่ะ… ใช่ค่ะ มีคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้านเฮอร์มีส แต่คุณหมายความว่า… ให้หนูช่วยอัปเดตข้อมูลลงไปในระบบแผนที่ใช่ไหม?”
เดดาลัสพยักหน้า และเปิดหน้าจอแผนผังไดอะแกรมที่เต็มไปด้วยเส้นทางและจุดหมายปลายทาง
“ใช่ นี่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบที่ฉันเพิ่งออกแบบไว้ตอนรอเธออยู่ แต่ที่เหลือฉันอยากฟังความเห็นจากเธอ มีไอเดียอะไรที่อยากเพิ่มไหม?”
โรบินนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มอธิบายอย่างกระตือรือร้น “หนูคิดว่า เราอาจจะทำเป็นเว็บแอปพลิเคชันที่เปิดผ่านบราวเซอร์ได้ทั้งในโทรศัพท์และแล็ปท็อป ตัวแอปจะแสดงแผนที่แบบเรียลไทม์ สามารถแสดงตำแหน่งชาวค่ายในขณะนั้นได้ และแจ้งเตือนเมื่ออยู่ใกล้พื้นที่ที่มีอสุรกายในรัศมีไม่เกิน 3 กิโลเมตร นอกจากนี้ สำหรับคนที่ต้องการตามหาอสุรกายเพื่อทดสอบฝีมือหรือเหตุผลอื่น แอปนี้จะบอกข้อมูลตำแหน่ง จุดเด่น และจุดอ่อนของอสุรกายตัวนั้นๆ ด้วย”
เดดาลัสฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ
“น่าสนใจมาก เธอมีไอเดียดีจริงๆ ฉันจะเพิ่มระบบนี้เข้าไปในโปรเจกต์และดีไซน์มันตามที่เธอแนะนำ” เขาหันกลับไปที่แล็ปท็อป พิมพ์อะไรบางอย่างยุกยิกๆ อย่างรวดเร็ว
โรบินรู้สึกหัวใจพองโตเมื่อได้รับคำชมจากชายในตำนาน เธอยังรู้สึกเหมือนนี่เป็นความฝันอยู่เลย หรือนี่จะเป็นความรู้สึกของแฟนคลับเค-ป็อปแบบที่เพื่อนในโรงเรียนญี่ปุ่นเคยเล่าให้เธอฟัง ตอนได้สิทธิ์ลุ้นพูดคุยกับศิลปินที่ชอบแบบตัวต่อตัว
“อ้อ! ฉันมีระบบ Cloud Computing ที่ออกแบบเอง เรียกว่า Daedalus Computing นอกจากจะมีฐานข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงแล้ว มันยังสามารถทำ Automation Deployment ให้กับโปรเจกต์ได้ทุกรูปแบบ เดี๋ยวฉันจะให้ Username กับรหัสผ่านไว้สำหรับใช้งานระบบนี้”
เดดาลัสเปิดเข้าเว็บไซต์หนึ่งบนหน้าจอที่เขาบุ๊คมาร์คเอาไว้ ตัวอักษรสามเหลี่ยมเดลต้าสีเงินคว่ำที่ถูกออกแบบให้เหมือนหมุดนำทางแห่งอนาคตปรากฏขึ้นพร้อมกับตัวอักษร DCP ที่เรียงตัวอย่างโดดเด่นอยู่ด้านล่างหมุนคว้างไปไม่กี่วินาทีก่อนจะนิ่งและเผยหน้าตาของเว็บเซอร์วิสที่ถูกออกแบบมาอย่างล้ำสมัย หน้าจอประกอบไปด้วยเมนูหลักที่แสดงฟังก์ชันต่าง ๆ อย่างชัดเจน และพื้นที่แสดงข้อมูลที่ดูสะอาดตาแต่เปี่ยมด้วยรายละเอียด
จากนั้นเดดาลัสก็ยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่มีไอดีและรหัสผ่านให้โรบิน พร้อมกับช่องทางการติดต่องาน เธอรับมันมาและท่องจำทีละตัวอักษรได้จนขึ้นใจ
“มีคำถามอะไรอีกไหม?”
“เอ่อ…ยังไม่มีค่ะ” โรบินตอบอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“โอเค ฉันเอาข้อมูลทั้งหมดใส่ในไดรฟ์และแชร์เข้าบัญชีที่เพิ่งสร้างไว้ให้เธอแล้ว เธอไปลองเล่นดูก่อน แล้วถ้ามีอะไรสงสัยก็ทักมาถามฉันได้ตลอดเวลา” เดดาลัสพูดพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย เขาก้มมองสมาร์ทวอชบนข้อมือ มันปรากฏข้อความสั้นๆ ที่ส่งมาจากแอปพลิเคชั่นแชท เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วผุดลุกขึ้น “ดูเหมือนฉันจะต้องไปแล้ว ผมไปก่อนนะครับไครอน แล้วก็ยินดีที่ได้ร่วมงานนะ…คุณมิไคเลอร์วิช”
เดดาลัสพับจอแล็ปท็อปเข้ากระเป๋าถือ เขาโบกมือให้เธอกับไครอนก่อนจะเปิดประตูออกไป ทิ้งไว้ให้คนที่รอส่งจนลับตานั่งยิ้มอย่างเหม่อลอย
‘เท่ชะมัด… เท่สุดๆ ไปเลย’