เครื่องบินพาณิชย์ลอยตัวอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนในวันที่สภาพอากาศเหมือนจะแย่ที่สุดในปีนี้ สายฝนซัดกระหน่ำเข้าที่หน้าต่างห้องโดยสารมาตลอดสามชั่วโมงตั้งแต่เครื่องขึ้นบินได้ไม่นานประกอบกับเสียงกัปตันประกาศผ่านลำโพงเป็นระยะว่าเที่ยวบินนี้คงจะดีเลย์เล็กน้อยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงกระทันหันกระตุ้นความรู้สึกไม่ปลอดภัยลึก ๆ ในใจของผู้โดยสารส่วนใหญ่ได้ดีทีเดียว ก็พยากรณ์อากาศวันนี้บอกว่าแดดจะร้อนจัดทั้งวันนี่นา
โรบินมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเหม่อลอย บางจังหวะที่เราบินผ่านหมู่เมฆก้อนใหญ่ เมื่อประกายไฟฟ้าส่งผ่านจากเมฆก้อนหนึ่งสู่อีกก้อนหนึ่งจนเกิดเป็นแสงสว่าง เธอสังเกตเห็นสีหน้าบึ้งตึงของกลุ่มไอน้ำสีเข้มพวกนั้นจากที่ไกล ๆ คงจะตาฝาด
ใช่แล้ว
คนปกติที่ไหนจะเห็นก้อนเมฆประกอบกันจนกลายเป็นใบหน้าของชายชราเครายาวชัดเจนได้ขนาดนี้ หรือบางครั้งที่เธอเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วห่อตัวด้วยไอน้ำบินมากระทบหน้าต่างจนสีหน้าเหยเกแทนที่จะเป็นหยดฝน นี่ก็คงจะตาฝาดอีกเช่นกัน
“พวกเขาต้อนรับเธอได้ถึงใจสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่หรือไงเนี่ย” แต่มีบางคนไม่ได้คิดแบบนั้น ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่โรบินไม่อยากยอมรับ เธอไม่ได้ตาฝาดแต่แค่กำลังปลอบใจตัวเอง
“นายก็นอนบ้างเถอะ แค่เสียงกรนของพ่อฉันก็ปวดใจจะแย่แล้ว” โรบินว่า
“ยูรอสน่ะ เขาเป็นอนีมอยแห่งลมตะวันออก เพราะพวกเรากำลังบินเข้าสู่น่านฟ้าในเขตปกครองของเขาแน่ ๆ อากาศถึงได้ปั่นป่วนขนาดนี้” และโทยาไม่ได้ฟังที่บ่นอีกเช่นเคย
ภายในห้องโดยสารชั้นหนึ่งที่มีเพียงสามที่นั่งถูกจับจอง มีเสียงของโทยาเพื่อนสนิทที่คอยเล่านิทานจากปกรณัมกรีกให้โรบินฟังเป็นระยะ เขาบอกว่าเธอและเขาเป็นส่วนหนึ่งของมันและนี่คือหนึ่งในวิธีการเตรียมใจ หากไปเจอสถานการณ์จริงเธอจะได้ไม่ตกใจมากนัก
โรบินปิดหน้าต่าง หยิบหูฟังขึ้นมาสวมและกดสุ่มเล่นหนังบนหน้าจอทีวีหน้าที่นั่ง
จริง ๆ แล้วเรื่องราวพวกนี้เคยผ่านหูเธอไปแล้วหลายครั้งจากคุณมิไคเลอร์วิช อิวานพ่อของเธอเป็นนักเล่าเรื่องที่ชอบเชื่อมโยงเรื่องราวรอบตัวเข้ากับเรื่องเล่าในตำนาน เธอจำได้บ้างไม่ได้บ้าง ถึงแม้ครอบครัวของเธอจะทำงานในวงการเทคโนโลยีที่วิทยาศาสตร์อยู่เหนือความเชื่อท้องถิ่นไปมากโข แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอิวานก็มีมุมของคนที่เคร่งศาสนาอยู่เช่นกัน บ้านของเราทุกหลังถึงกับต้องมีเตาไฟหินเล็ก ๆ อยู่กลางบ้านในห้องนั่งเล่น แยกต่างหากกับเตาผิงทำความร้อนในช่วงฤดูหนาว พวกเรามักจะมีกิจกรรมที่ทำด้วยกันนั่นคือในวันเทศกาลหรือวันสำคัญใด ๆ ของคนในครอบครัว เราจะมานั่งล้อมวงกินข้าวในห้องนั่งเล่น แบ่งอาหารส่วนที่อร่อยที่สุดเข้ากองไฟเพื่อขอพรกับเหล่าเทพเจ้าที่พ่อมักจะคอยย้ำอยู่เสมอว่าเขาคอยเฝ้ามองเราอยู่ตั้งแต่รุ่นของคุณตา
‘เทพองค์ใดก็ตาม ทานให้อร่อยนะคะ’ เธอพูดแบบนี้ทุกครั้งที่โยนอาหารเข้าเตาไฟ
สำหรับโรบิน มันคงสนุกไม่น้อยหากนั่นเป็นเพียงจินตนาการของเด็ก ๆ ว่าธรรมชาติรอบตัวของเราเป็นมากกว่าต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว เป็นมากกว่าแม่น้ำ หรือพายุ หรือเปลวไฟ สสารรอบตัวต่างถูกถ่ายทอดออกมาให้มีเรื่องเล่าของมันเอง มีเทพผู้พิทักษ์ มีภูติผี มีแม้กระทั่งเวทมนตร์มหัศจรรย์ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับถูกฉายซ้ำออกมาในมุมมองที่ต่างออกไป
การปรากฏตัวพร้อมกันของพ่อและโทยาในคืนที่โรบินถูกโจมตีทั้งที่ปกติทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกันไปมากกว่าการทักทายยามเช้าก่อนไปโรงเรียน การรับรู้ว่าอสุรกายหมีคู่นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานกรีกจริง ๆ โอเรียสกับแอเกรียสที่เกิดจากแม่ผู้เป็นมนุษย์ถูกสาปจากเทพีองค์หนึ่งให้ไปตกหลุมรักกับหมี สุดท้ายแล้วจุดจบของอสุรกายแฝดคือถูกเทพเจ้าสององค์เปลี่ยนให้กลายเป็นนกเค้าอินทรีและแร้ง การรับรู้ว่าโทยาเพื่อนผู้รอบรู้ของเธอมีขาเป็นแพะ แถมมีความสามารถในการใช้ธนูชนิดหาตัวจับยาก นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับการรับรู้ว่าแท้จริงแล้วพ่อของเธอไม่ได้เป็นพ่อแท้ ๆ ด้วยซ้ำ แต่เป็นลูกพี่ลูกน้อง ไม่สิ เรียกว่าน้องชายน่าจะดีกว่า แม่กลายเป็นน้องสะใภ้ ส่วนน้องชายก็กลายเป็นหลาน
อิวานเล่าว่าแม่ของโรบินเสียชีวิตไปตั้งแต่ช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังปะทุ เธอคนนั้นเป็นพี่สาวของพันตรีอเล็กซานเดอร์พ่อของอิวาน แต่พ่อแท้ ๆ ของเธอเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นใคร โทยายืนยันว่าโรบินเป็นลูกที่เกิดจากเทพกรีกแน่นอน เขายังบอกอีกว่าหากเป็นเทพเจ้าองค์เล็ก ๆ สักองค์หนึ่ง หลังจากไปค่ายเพื่อรับการรับรองจากเขาเธอก็สามารถฝึกฝนและเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในค่ายแค่ช่วงหน้าร้อนของปีและกลับมาใช้ชีวิตข้างนอกได้ปกติเพราะกลิ่นของเธอจะไม่ได้รุนแรงเท่ามนุษย์กึ่งเทพที่เกิดจากเทพเจ้าองค์อื่น ๆ
ทุกอย่างที่เธอรับรู้หลังหมดสติไปสามวันแทบจะมากเกินไปด้วยซ้ำสำหรับเด็กอายุสิบสาม มันกลายเป็นหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง แผนการไปค่ายของสมาคมถูกยกเลิกเปลี่ยนไปเป็นค่ายที่ลองไอส์แลนด์แทน เพียงเพื่อไปรับการรับรองจากคนแปลกหน้าผู้ให้กำเนิดที่ไม่เคยแม้แต่จะยื่นมือเข้ามาดูแลและฝึกฝนเอาตัวรอดจากผลพวงของการเกิดมามีสายเลือดอันตรายแบบนี้ เธอไม่รู้ว่ามนุษย์กึ่งเทพคนอื่นคิดเหมือนกันไหม แต่นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
Yondu : ‘He may have been your father, boy, but he wasn’t your daddy.’
Yondu : ‘I’m sorry I didn’t do none of it right. I’m damn lucky you’re my boy.’
“ฮ่า..” โรบินหัวเราะอย่างขมขื่น เมื่อหนังเรื่องโปรดที่เธอกำลังดูอยู่บนจอทีวีเล่นมาถึงตรงนี้ ฉากที่กินใจเธอที่สุดกลายเป็นฉากที่เศร้าที่สุดเมื่อตอนนี้มันตรงกับชีวิตของเธอจนน่าเจ็บใจ ความผิดหวังเริ่มก่อตัวเมื่อคิดได้ว่าพ่อแท้ ๆ ของเธอเองก็อาจจะเลวร้ายและคิดถึงแต่ตัวเองไม่ต่างจากพ่อแท้ ๆ ของสตาร์ลอร์ด เขาส่งคนแบบโทยาออกตามหาเธอเพื่อให้ความช่วยเหลือหรือต้องการผลประโยชน์จากเธอกันแน่
โรบินหยิบแล็ปท็อปขึ้นมากดเปิดหน้าจอเข้าโปรแกรมสำหรับพัฒนาแอพลิเคชัน เลือกโปรเจคล่าสุดขึ้นมาทำต่อเพื่อคลายความกังวลใจ
เวลาผ่านไปจนลูกเรือเข้ามาเตือนให้เก็บอุปกรณ์เข้าที่และปรับที่นั่งเพราะเครื่องจะลงจอดในอีกไม่ช้า น่าแปลกที่อากาศสงบลงทันทีหลังเข้าสู่นิวยอร์ก โรบินปลุกพ่อขี้เซาข้าง ๆ และตะโกนเรียกโทยาที่หลับไปตอนไหนไม่รู้ให้ตื่นขึ้นมา
หลังรับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่(เกินตัว)ของโรบินที่จุดรับสัมภาระสำหรับโหลดใต้ท้องเครื่องเรียบร้อยแล้ว อิวานก็เดินนำทั้งคู่ไปจุดรับรถเช่าที่ใช้ในการเดินทางต่อ เขารับกุญแจมาจากชายร่างใหญ่ผู้เป็นเจ้าของรถ พยายามยัดกระเป๋าเดินทางเข้าท้ายรถมินิคูเปอร์จนสำเร็จแล้วหันมายกนิ้วโป้งพร้อมยิ้มสดใสให้เด็กน้อยทั้งสอง
รถยนต์โดยสารขนาดกระทัดรัดเคลื่อนตัวออกจากสนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดีเข้าสู่ย่านดาวน์ทาวน์ของมหานครนิวยอร์ก ถนนยามเช้าตรู่แทบจะร้างผู้คนแต่ความรู้สึกประหลาดคล้ายถูกสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่กลับแผ่ซ่านไปทั่วตั้งแต่ก้าวแรกที่มาเหยียบจนโรบินรู้สึกอึดอัด ส่วนโทยาก็เงียบมาตลอดทางจนผิดสังเกต
“ลูกรัก พ่อรักลูกมากนะโรบิน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” หลังผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง อิวานเป็นคนแรกที่ตัดสินใจทำลายบรรยากาศหนักอึ้งภายในรถ
“อื้อ หนูก็รักพ่อ” เธอและพ่อตัดสินใจคงสถานะและสรรพนามเอาไว้ดังเดิมเพื่อไม่ให้รู้สึกประหลาดที่จู่ ๆ เด็กอายุสิบสามจะเปลี่ยนไปเรียกชายอายุย่างเข้าห้าสิบด้วยชื่อห้วน ๆ อีกอย่างคือนี่เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคนในบ้านเท่านั้น เพราะเบเรนีซก็ใจกว้างพอตั้งแต่เต็มใจรับโรบินมาเลี้ยงดูในฐานะลูกอีกคนทั้งที่เธอมีอิกอร์น้อยอายุสี่ขวบอยู่แล้ว
ผู้หญิงแสนดีคนนั้นเข้าใจว่าครอบครัวของโรบินประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทางรถยนต์ เด็กเกิดอาการช็อกจนความจำเสื่อม ถ้าญาติที่อยู่เหลือเพียงคนเดียวไม่ช่วยเอาไว้ เธอก็คิดภาพไม่ออกเช่นกันว่าเด็กน้อยไร้เดียงสาจะต่อสู้กับโลกทุนนิยมที่แสนโหดร้ายนี้คนเดียวได้อย่างไร
‘ดีเลย! ถ้าอิกอร์มีพี่สาวก็จะได้ร้องหาแม่น้อย ๆ ลงหน่อย’ อิวานเล่าให้ฟังว่านี่เป็นประโยคแรกที่เบเรนีซพูดหลังเขาอุ้มโรบินที่หลับอยู่เข้ามาในบ้านและเล่าเรื่อง(ที่ด้นสดตอนนั้น)ให้ภรรยาฟัง
พอโรบินตื่น สองสามีภรรยาก็ป้อนความทรงจำใหม่เข้ามาทันที
เธอเติบโตมาอย่างมีความสุขและไม่ได้โหยหาชีวิตเก่าที่ขาดห้วงไป ไม่รู้ทำไมแต่โรบินค่อนข้างแน่ใจว่ากาบรีลา แม่แท้ ๆ ของเธอก็คงอยากให้เธอรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน หลังตกตะกอนสิ่งใหม่ ๆ ที่ได้ฟังมาราว ๆ หนึ่งอาทิตย์ เธอเหมือนได้ปลดล็อคเรื่องหนึ่งที่ค้างอยู่ในใจมาตลอดนั่นคือความรู้สึกหน่วงในอกหลังฟื้นจากอาการวูบทุกครั้ง เดาว่ามันคงเป็นสัญญาณของความรู้สึกผูกพันธ์กับครอบครัวเก่า เธออาจจะเคยมีชีวิตที่อบอุ่นมาก หรืออาจจะเคยมีชีวิตที่เศร้ามากมาก่อน
แต่ใครจะสนล่ะ ตอนนี้ขอให้พ่อของเธอเป็นแค่เทพเจ้าแห่งสุนัขพันธ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ก็พอ
“ถ้าพวกเขา.. ถ้าพวกเขาทำไม่ดี ..ฟืด” โรบินได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบา ๆ เธอเห็นพ่อสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปเช็ดหยาดน้ำตาใต้กรอบแว่น “ให้หนูรีบหนีออกมา ครอบครัวของเรารออยู่ข้างหลังเสมอนะ ส่วนเรื่องทางกฎหมาย–”
“บะ.. แบ๊! คุณมิไคเลอร์วิช พวกเราไม่ใช่อาชญากรเสียหน่อย” โทยาท้วงเสียงดัง
ตั้งแต่รู้ความจริงว่าเพื่อนคนนี้ของเธอเป็นแพะ อ่า.. ครึ่งคนครึ่งแพะหรือแซเทอร์อะไรสักอย่าง เสียงร้องเบา ๆ เวลาเขาโอดครวญที่โรบินนึกว่าเป็นคำว่า ‘แง’ มาตลอดก็ชัดเจนว่าเป็นเสียงร้องของสัตว์มีเขาต่างหาก
“ฉันรู้น่าเจ้าเด็กแพะ”
“คุณรู้มากแค่ไหนกันครับ”
“ก็เท่าที่พวกนายอยากให้รู้นั่นแหละ” อิวานตอบอย่างไม่ยี่หระ “สงครามจบไปนานแล้ว เหล่าเทพเจ้าคงไม่มาตามรังควาญไม้ใกล้ฝั่งอย่างฉันหรอก”
“พ่อหมายถึงอะไรคะ” โรบินหันขวับ เธอเข้าใจว่าพ่อแค่ศรัทธาในพวกเขาเฉย ๆ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับโลกอีกฝั่ง
“เรื่องนี้ลูกต้องไปหาคำตอบด้วยตัวเอง ลูกรัก เทพีแห่งโชคชะตาคงไม่ยอมให้พ่อถลำลึกไปมากกว่านี้”
“โทยา พ่อหมายถึงอะไร” เมื่อพ่อพยายามบ่ายเบี่ยง โรบินจึงเปลี่ยนเป้าหมาย แต่พอหันกลับไปเจ้าตัวก็แกล้งหลับเสียแล้ว ฝากไว้ก่อนเถอะ เธอคิด
แสงแรกของวันค่อย ๆ เผยให้เห็นบรรยากาศสองข้างทางที่ปกคลุมด้วยหมอกเบาบาง พวกเธอกำลังวิ่งไปบนถนนแคบ ๆ สายหนึ่ง ตึกรามบ้านช่องลดลงจนเหลือเพียงป่าไม้ ไม่บ่อยนักที่เธอจะเห็นแผงขายผลไม้สดริมทาง แม้รถจะวิ่งผ่านไปด้วยความเร็วแต่เธอสังเกตได้ว่าทุกร้านมีหญิงชราท่าทางใจดีเฝ้าอยู่สามคนเสมอ
“ไม่ชอบแบบนี้เลย” โทยาบ่น
“นายตื่นแล้วหรอ” โรบินถามโดยไม่หันไปมอง
“เธอก็งีบสักหน่อยเถอะ ไม่ได้นอนมาทั้งคืนนี่”
“ถูกของเพื่อนนะ อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว เดี๋ยวพ่อปลุก”
“หนูนอนไม่หลับหรอกค่ะ ใกล้ถึงแล้วมันยิ่งตื่นเต้น”
“เถอะน่า/เถอะน่า” ทั้งคู่ว่าพร้อมกัน แล้วก็หลุดขำในความบังเอิญ
แม้จะว่าแบบนั้นแต่โรบินก็รู้สึกตัวอีกทีตอนมีคนเขย่าเบา ๆ ที่แขนขวา เธอปลุกตัวเองให้ตื่นโดยการออกมายืนนอกรถ บิดขี้เกียจเบา ๆ และปรับโฟกัสสายตา ตอนนี้รถจอดอยู่ใต้เนินเขาเตี้ยลูกหนึ่ง บนยอดเนินมีต้นสนต้นใหญ่สะดุดตา
พ่อช่วยโรบินสะพายกระเป๋าเป้ที่บรรจุแล็ปท็อปเครื่องโปรด และส่งกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ให้โทยาช่วยถือ พร้อมกำชับอย่างหนักแน่น
“ต่อจากนี้ฝากเธอดูแลโรบินจนกว่าจะถึงมือครูใหญ่ ฉันจะรออยู่ตรงนี้ ดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามเรามา”
โทยารับกระเป๋าไปถือ “ครับ”
“เดี๋ยวนะคะ พ่อจะไม่เข้าไปส่งหนูด้วยกันหรอ” โรบินใจหายวาบ
แต่พ่อไม่ได้ฟัง เขาทรุดตัวลงต่อหน้าแล้วจับมือทั้งสองข้างของเธอไว้ “ส่วนโรบิน พ่อขอโทษที่ไม่รีบพาหนูมาเร็วกว่านี้ พ่อชะล่าใจที่คิดว่าหนูจะปลอดภัยไปสักระยะหากเราไม่อยู่ที่นึงนานเกินไป แต่ที่นี่คืออเมริกา พวกเขาจะหาหนูเจอได้เร็วกว่าเดิม ความจริง.. ความจริง..” พ่อกัดปากข่มเสียงสะอื้น เธอสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายตัวสั่น “เรากำลังจะย้ายไปที่ใหม่อีกครั้ง คราวนี้พ่อจะพาหนูไปไกลให้กว่าเดิม ไปในที่ที่อารยธรรมนี้จะแผ่ไปไม่ถึง แม้แม่จะค้านหัวชนฝาแต่พ่อก็เตรียมไว้หมดแล้ว แต่มันก็ยังสายเกินไป.. พ่อปล่อยให้มันทำร้ายหนูจนได้”
โรบินนั่งยองลงไปให้ระดับสายตาประสานเข้ากับพ่อ “พ่อพูดอะไรเนี่ย มันไม่ใช่ความผิดของพ่อซะหน่อย มันเป็นเพราะพ่อต่างหาก เขาไม่มาปกป้องหนูด้วยซ้ำ” จากที่โรบินเคยคิดว่าตัวเองเป็นลูกเสือในสายตาพ่อแม่ ตอนนี้ระดับความรุนแรงเหมือนจะกลายเป็นระเบิดขนาดย่อมเลยแฮะ
“โรบิน.. ระวังหน่อย” โทยาหมุนมือกับที่จับกระเป๋า สายตาล่อกแล่ก
“ก็มันเป็นความจริงนี่นา”
“จากตรงนี้พ่อไปกับหนูไม่ได้แล้วลูกรัก พ่อข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ได้ แต่พ่อมั่นใจว่าคนเก่งของพ่อเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว” พ่อปัดผมที่ปรกหน้าโรบินออกอย่างอ่อนโยนแล้วจูบเบา ๆ ที่หน้าผากแบบที่ชอบทำเวลาให้กำลังใจคนในครอบครัว “ไปได้แล้วคนเก่ง”
โรบินกอดลาพ่อแล้วเดินไปหาโทยาที่ยืนรออยู่บนเนิน เธอหันไปมองพ่อที่ยังยืนมองตามหลังมา พอเธอโบกมือให้อีกฝ่ายก็โบกมือสองข้างตอบ
เมื่อมาถึงต้นสนที่โทยายืนรออยู่ เธอก็สังเกตเห็นอะไร ๆ ชัดขึ้น
ภูมิประเทศอีกฝั่งหนึ่งของเนินเขาดูมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่โรบินเคยเห็นมา จากประตูทางเข้าที่อยู่สุดทางลาดนี้ไปจนถึงช่องแคบลองไอส์แลนด์เหมือนยกประเทศกรีซมาตั้งไว้ แต่สถาปัตยกรรมทุกชิ้นที่ตั้งเรียงรายอยู่เป็นหย่อมกลับดูสะอาดและใหม่กว่า แสงแดดยามเช้ากระทบหินอ่อนสีขาวกับทะเลสาบที่มีเรือแคนูวางเทียบฝั่งส่องประกายระยิบระยับ ฝั่งตะวันตกจากจุดที่เธอยืนอยู่มีบ้านหลังใหญ่ที่สุดตั้งตระหง่านอยู่ใกล้กับไร่สตอเบอร์รี่ ไฟสีเหลืองนวลหน้าบ้านเปิดอยู่ ตอนนี้คงยังเช้าเกินไป
“ฉันไม่เคยเห็นที่นี่ใน YouTube ได้ยังไง” โรบินอุทาน
“มันถูกซ่อนไว้ด้วยมนตร์บังตาน่ะสิ” โทยาตอบราวกับว่ามันสิ่งที่รู้ ๆ กันอยู่
“มันคืออะไร”
“เดี๋ยวเธอก็รู้”
โรบินจิ๊ปาก เธอเพิ่งสังเกตว่าใต้ต้นสนที่มีอยู่ต้นเดียวที่พวกเธอยืนอยู่ มีก้อนปริศนาสีทองขดรอบต้น มันพองตัวและหุบตัวเป็นจังหวะ โรบินเดาว่าเจ้าสิ่งนี้คงกำลังหายใจ
“นั่นอะไรน่ะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“ให้ทาย” โทยายักยิ้มเจ้าเล่ห์ โรบินไม่ชอบทุกครั้งที่เพื่อนตัวดีทำให้ความสงสัยของเธอเหมือนเป็นเรื่องสนุกแบบนี้
“เหอะ นายจะบอกว่านั่นเป็นมังกรหรือไง”
“ก็เป็นมังกรจริง ๆ”
“ว่าไงนะ?”
“อยากไปดูหน้ามันให้ชัด ๆ ไหมล่ะ มังกรพีลิอุสมันกำลังเฝ้าเขตแดนค่ายกับขนแกะทองคำบนกิ่งนั่น” โรบินมองตามจุดที่โทยาชี้ “ปกติมันจะนอนหลับอยู่แบบนี้แหละจนกว่าจะมีอาหารหรือมีอันตรายเข้ามาใกล้ แต่ถ้าเธออยากให้มันตื่นตอนนี้ฉันไปปลุกให้ได้นะ”
โรบินกลอกตา “พอเลย ฉันจะเข้าไปข้างใน”
“ฮ่า ๆๆ”
โทยาเดินนำโรบินลงมาตามทางลาดจนถึงประตูโค้งหินอ่อนสีขาวแบบกรีกที่เธอเห็นเมื่อครู่ โรบินมองขึ้นไปบนซุ้มประตูเห็นเป็นตัวอักษรสีทองร้อยเรียงกันเป็นคำภาษากรีกโบราณ ‘ค่ายฮาล์ฟบลัด’ โรบินอ่านมันได้ทันทีเพราะโรคดิสเลกเซีย โทยาเคยบอกเธอแบบนั้น
หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นด้วยความตื่นเต้น รู้แบบนี้เธอน่าจะหยิบทาร์ตผลไม้ที่แม่ทำมาด้วย กลิ่นหอมของมันช่วยให้เธอผ่อนคลายลงได้เสมอ หลังประตูบ้านนี้จะมีอาหารรสชาติแบบที่แม่ทำไหมนะ แล้วถ้า.. แล้วถ้าเธอผ่านฤดูร้อนนี้ไปไม่ได้ พวกเขาจะปล่อยให้เธอกลับมาสู่โลกภายนอกอีกหรือเปล่า
โรบินอยากหันหลังวิ่งกลับไปหาพ่อที่รออยู่ตรงตีนเขาเสียตอนนี้
“ทำอะไรอยู่น่ะ” โทยาที่เดินเข้าไปแล้วหันกลับมามอง
“โอ้ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
อาจจะเพราะยังเช้าอยู่ หลังบานประตูเลยมีคนทำกิจกรรมอยู่แค่ประปราย(หรือไม่ก็มีกันแค่นี้อยู่แล้ว โรบินเดา) หลายคนสวมเสื้อยืดสีส้มของค่ายฮาล์ฟบลัด(ก็มันเขียนอยู่) ที่สนามวอลเลย์บอลชายหาดทางทิศตะวันออกของค่ายมีกลุ่มเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับโรบินสามคนจับจอง พอเห็นเธอเดินเข้ามาพวกเขาก็หยุดมองแล้วหันไปกระซิบใส่กันแทน
โรบินวิ่งเหยาะ ๆ ไปตามถนนปูด้วยหินให้ทันโทยาที่เร่งฝีเท้าไปทางบ้านหลังใหญ่
“เด็กใหม่หรือเปล่าน่ะ”
“มากับโทยาด้วย”
เด็กหญิงคู่หนึ่งที่เพิ่งเดินออกมาจากไร่สตอเบอร์รี่สวนทางกับโรบินพอดีเธอจึงได้ยินบทสนทนาเข้าเต็ม ๆ
“นี่ มากับนายแล้วทำไมหรอ” โรบินกระซิบถามโทยาที่เดินก้มหน้ามาตลอดทาง
“ไม่มีอะไรหรอก รีบเดินเถอะ ใกล้ถึงบ้านใหญ่แล้ว”
“นายมีอะไรปิดบังฉันอยู่หรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า”
“นี่ มองทางด้วยสิ”
“อ้าว โทยา!”
เสียงหนึ่งทักขึ้น ทั้งคู่หยุดเดิน โทยาเม้มริมฝีปากแน่น
“มีคนเรียกนายแหน่ะ”
เมื่อหันไปตามทิศทางของเสียง โรบินก็เจอเข้ากับเด็กชายรูปร่างสูงโปร่งชาวเอเชีย ภายนอกเขาดูโตกว่าโรบินไม่มากแต่คงเพราะเล่นกีฬาบ่อยเลยทำให้ร่างกายกำยำกว่าคนรุ่นเดียวกัน เขาสวมเสื้อเกราะพอดีตัวทับเสื้อยืดค่ายสีส้ม ในมือถือธนูไม้และข้างหลังสะพายกระบอกธนู ไม่ต้องเดาเลยว่าเพิ่งทำอะไรมา
พอเขาเข้ามาใกล้ โรบินก็คิดได้อีกอย่างว่าหน้าเขาคล้ายกับแมวคาราคัลไม่มีผิด
“เจมส์” เขายื่นมือข้างที่ว่างมาตรงหน้าโรบิน แววตาสีทองดูตื่นเต้นจนเก็บไม่อยู่
“โรบิน เดาว่านายต้องนามสกุลบอนด์แน่ ๆ” โรบินยื่นมือไปจับ แม้จะสวมถุงมือหนังสำหรับยิงธนูอยู่แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ออกมาจากมือของเขา
เจมส์หัวเราะเสียงดัง “เพื่อนนายตลกดีนะโทยา” เขาหันไปพูดกับโทยาพร้อมเขย่ามือข้างที่จับกับโรบินไปด้วยอย่างแรง “งั้นเธอก็นามสกุลเกรย์สันสินะ”
“เดรคต่างหาก”
แล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“ปัญญาอ่อนชะมัด” โทยาบ่นเบา ๆ
“ว่าแต่กลับมาคราวนี้นายจะอยู่นานแค่ไหนล่ะ” เจมส์ถาม
“อีกเดี๋ยวก็คงจะไปแล้วล่ะ ฉันจะไปส่งโรบินแล้วทักทายคุณไครอนก่อน”
“ได้ไงเนี่ย ฉันเขียนสิ่งที่อยากทำถ้านายกลับมาไว้ประมาณร้อยอย่างแล้วท่องมันก่อนนอนทุกคืนเลยนะเพื่อน” เจมส์บ่นเสียงอ่อย ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยมือเธอเสียที
“พวกนายสองคนเป็นแฟนกันหรอ?”
ทั้งสองคนหันมามองโรบินเป็นตาเดียวเพราะคำถามที่ยิงไปแบบไม่คิด โทยาอ้าปากค้าง ส่วนเจมส์ระเบิดหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้เหมือนจะเสียงดังกว่าเดิม เธอเริ่มรู้สึกชอบหมอนี่แล้วแฮะ หัวเราะง่ายสุด ๆ
“นายจะปลุกคนทั้งค่ายเลยหรือไงเจมส์” โทยากระซิบ
พอตั้งสติได้เจมส์ถึงค่อยตอบ “นี่ ฉันชอบเธอมากนะ แต่ความจริงแล้วฉันแค่เป็นคนแรกที่หมอนี่พามาค่ายน่ะ แล้วเขาก็เป็นครูสอนธนูที่เก่งที่สุดของฉันเลยด้วย เธอต้องเดาไม่ออกแน่ ๆ ว่าจริง ๆ เขาอายุเท่าไหร่”
ได้ยินแบบนั้นโรบินก็ตั้งใจหันไปคาดโทษกับเพื่อนสนิททันที แต่อีกฝ่ายเดินนำลิ่วไปแล้ว “ได้ไงเนี่ยโทยา มีอะไรที่ฉันไม่รู้อีกบ้างเนี่ย”
“รีบตามมาเถอะน่า บ้านใหญ่ก็อยู่แค่นี้แต่พวกนายจะยื้อไปให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเลยหรือไง”
“เฮ้ ๆ ! ฉันไปด้วย ๆ” แล้วเจมส์ก็วิ่งตามทั้งคู่มาติด ๆ