02. Long Island
…เขาโดนบอกให้มาที่ลองไอแลนด์กี่รอบแล้วนะ…
ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วที่เขาขี่มอเตอร์ไซต์ออกมา โชคดีที่เขาเติมน้ำมันไว้จนเต็มถังเมื่อวาน การเดินทางครั้งนี้จึงไม่ต้องหยุดแวะกลางคัน และพวกเขาคงจะถึงลองไอแลนด์ในอีกไม่นานนี้
“อ้าว พี่ชาย หยุดรถทำไม” แดนนี่ถามอย่างสงสัย เมื่ออยู่ ๆ แมคเคนซีก็หยุดรถแล้วนั่งคร่อมมอเตอร์ไซต์ตรงตำแหน่งคนขับอยู่อย่างนั้น
“เราน่าจะสลัดมันหลุดแล้ว ใช่ไหม คราวนี้ตานายเล่าให้ฉันฟังแล้วว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” แมคเคนซีหันมาถามเด็กหนุ่มที่นั่งซ้อนหลังเขาอยู่ สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยจนแดนนี่ถึงกับต้องถอนหายใจอย่างจำยอม
“ผมก็บอกไม่ได้หรอก แถวนี้อาจจะมีพวกมันอีกก็ได้ แต่โอเค ผมจะเล่าให้ฟัง พี่ชายเคยเห็นพวกภาพหลอนหรือตัวประหลาดอะไรแบบนี้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ครับ” พอถูกตั้งคำถามแบบนี้แมคเคนซีก็ชะงักไป เขามั่นใจว่าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนอกจากพ่อ
“ก็…สักช่วงอายุสิบต้น ๆ มั้ง พอเห็นฉันก็เล่าให้พ่อฟัง แล้วพ่อก็ส่งฉันไปเรียนศิลปะป้องกันตัว เดี๋ยวนะ…” นึกถึงช่วงนั้นแล้วแมคเคนซีก็ถอดหมวกกันน็อคมาวางไว้บนตัก พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพ่อเขารู้อะไรบางอย่าง และเตรียมการเพื่อเขามาโดยตลอด รวมถึงเรื่องที่ส่งเขามาเรียนที่นิวยอร์กหลังโดนสัตว์ประหลาดเล่นงานเมื่อตอนช่วงอายุ 18 ปีด้วยงั้นเหรอ
“คุณพ่อของพี่ชายเตรียมตัวรับมือดีมากเลยนะครับ แสดงว่าท่านแม่ของพี่ชายคงบอกอะไรคุณพ่อไว้ล่วงหน้าแล้วล่ะ” แดนนี่ยิ้มอย่างปลื้มใจ แต่พอเห็นแมคเคนซีจ้องหน้าอยู่ด้วยใบหน้าซีเรียส รอยยิ้มนั้นก็เจื่อนลงเล็กน้อย
“นายรู้เรื่องแม่ของฉันงั้นเหรอ นายเป็นใคร ลูกติดแม่ฉันหรือไง” เขาไม่อยากคิดไปในแนวละครน้ำเน่าหรอกนะ ประมาณว่าแม่ไปคลอดลูกทิ้งไว้แล้วไปมีลูกอีกคน พอลูกคนเล็กโต แม่ก็บอกว่าที่จริงแล้วลูกมีพี่ชายอีกคนนึง ไปตามหาเขาซะนะลูก แล้วบอกว่าแม่ขอโทษที่ทิ้งเขาไป…อะไรแบบนั้น แค่คิดก็ชวนขนลุกสิ้นดีแล้ว
“ไม่ครับ ไม่ใช่ ผมไม่ใช่ลูกท่านแม่ของพี่ชายนะ” ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย อย่างน้อยชีวิตเขาก็ไม่เหมือนละครดาด ๆ ตามโทรทัศน์ล่ะนะ
“ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ที่พี่ชายเห็นสัตว์หรือคนรูปร่างประหลาดนั่นก็เพราะพี่มีสายเลือดของเทพเจ้าไหลเวียนอยู่ในตัว หรือพูดให้ง่ายกว่านี้อีกก็คือพี่เป็นลูกเทพหรือที่พวกเราเรียกกันว่าเดมิก็อด พวกลูกเทพมักจะถูกพวกปีศาจหรืออสูรกายไล่ล่ามาเป็นอาหาร ยิ่งเป็นพวกลูกสามมหาเทพก็จะยิ่งดึงดูดพวกปีศาจให้เข้ามาทำร้ายได้ง่ายขึ้น เพราะอย่างนั้นพวกลูกเทพเลยต้องไปยังที่ที่ปลอดภัย ซึ่งก็คือค่ายฮาร์ฟบลัดที่อยู่ในลองไอแลนด์ ส่วนผมก็คือคนนำทางหรือที่เรียกว่าแซเทอร์ที่จะพาพี่ไปยังที่นั่นไงล่ะครับ”
“……………” จากที่อยากจะเค้นความจริง แมคเคนซีถึงกับมองอีกฝ่ายค้าง ข้อมูลที่เขาได้รับมามันมากเกินไป ลูกเทพเดมิก็อดอะไรกัน นี่มันเหลือเชื่อยิ่งกว่าละครน้ำเน่าเสียอีก แดนนี่กำลังจะบอกว่าเขามีแม่เป็นเทพงั้นเหรอ…ไม่จริงน่า แต่การที่เขาเห็นตัวประหลาดบ่อย ๆ และถึงกับจะโดนเจ้าพวกนั้นไล่เขมือบล่ะจะอธิบายยังไง แล้วการที่แดนนี่มาอยู่ข้างห้องเขาก็เพื่อรอเวลาที่จะพาเขามาที่นี่น่ะเหรอ งั้นทั้งหมดนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญน่ะสิ
“พี่ชาย ผมว่าเราควรไปกันต่อ เหมือนว่าผมจะได้ยินเสียงฝีเท้าจากที่ไกล ๆ อีกแล้ว”
“หะ…ยังมีอีกเรอะ” ยังไม่ทันถามอะไรต่อให้คลายสงสัย สิ่งที่แดนนี่พูดก็ทำเอาแมคเคนซีตีหน้ายุ่งอีกครั้ง จริงไม่จริงไม่รู้ แต่มาถึงขั้นนี้แล้วเขาคงต้องเชื่อไว้ก่อน ชายหนุ่มรีบสวมหมวกกันน็อคแล้วออกรถไปต่อทันที
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงลองไอแลนด์ แมคเคนซีหยุดรถลงอีกครั้ง แล้วหันมาถามคนที่บอกตัวเองว่าเป็นผู้นำทาง
“ค่ายฮาร์ฟบลัดอะไรนั่นอยู่ในนี้เหรอ” ชายหนุ่มหันไปมองอีกครั้ง ตรงหน้าเขาคือป่า ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ อยู่ในนี้ ไม่สิ…เหมือนจะคุ้น ๆ อยู่ว่าเคยเห็นทางเข้าแบบนี้ที่ไหน ใช้เวลานึกไม่นานเขาก็ร้อง “อ้อ…” ออกมาเบา ๆ
เมื่อประมาณเดือนก่อนแมคเคนซีเคยเห็น ‘ใครบางคน’ ที่จะเรียกว่าคนรู้จักก็ได้ไลฟ์ผ่านโซเชียลว่ามาที่ลองไอแลนด์ คนคนนั้นเคยชวนเขามาที่นี่ด้วยกันแล้วบอกว่าจะเป็นไกด์ให้ แต่ต้องรอสัก 4 เดือนให้ทำธีสิสเสร็จก่อน สุดท้ายหมอนี่ก็โผล่มาไลฟ์ที่ลองไอแลนด์แถมยังมากับสาวหน้าตาน่ารักซะด้วย แต่ดูได้แค่ไม่นานเหมือนว่าสัญญาณก็ถูกตัดขาดไป เขาพยายามส่งข้อความหา นึกเป็นห่วงว่ามีเรื่องอะไรไหม แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ จากนั้นอีกไม่กี่วันให้หลังเขาก็เห็นสเตตัสจากคนคนนั้นว่า ‘ไปอยู่บ้านญาติที่ชนบท’ ส่วนเขาน่ะเหรอ ก็มาที่นี่กับแดนนี่แทนไงล่ะ
“ในนี้ล่ะครับ แต่ว่าเราต้องเดินเท้าเข้าไป ผมว่าพี่ชายจอดมอเตอร์ไซต์——-“
ตึง !
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าพื้นมันสะเทือนนิด ๆ แต่คงไม่หรอกมั้ง เพราะพอหันมามองหน้าแดนนี่ อีกฝ่ายก็เงียบแล้วจ้องหน้าเขาเหมือนกัน พอหันกลับไปมองในป่าอีกครั้งก็ปรากฏร่างตัวประหลาดรูปร่างเหมือนที่เขาหนีมาเมื่อคืนออกมาจากม่านหมอกแมกไม้ด้านซ้ายและขวาอย่างละตัว ที่สำคัญคือมีตัวนึงใหญ่กว่าอีกตัวและตัวที่เขาเจอเมื่อคืนถึงสองเท่า
“น..นั่นมัน จ่าฝูงอัลกูล” แดนนี่พูดเสียงสั่น
“พี่ชาย เราต้องจอดมอเตอร์ไซต์แล้วรีบไปจากที่นี่”
“จอดไว้ก็โดนงาบกันหมดนี่น่ะสิ !”
“หวาาาา !!” แดนนี่ร้องลั่นป่าพร้อมกับที่แมคเคนซีกำแฮนด์มอเตอร์ไซต์ไว้แน่นแล้วออกแรงบิดด้วยความเร็ววิ่งเข้าไปยังทางเล็ก ๆ สู่ป่าลึก โดยด้านหลังก็มีอัลกูล 2 ตัววิ่งไล่อย่างไม่ลดละ
“ค่ายนั่นอีกไกลไหมเนี่ย ! แล้วไอ้พวกนั้นจะตามไปถึงเมื่อไหร่ !” แมคเคนซีตะโกนอย่างเหลืออด เจ้าสัตว์ประหลาดที่ชื่ออัลกูลพวกนี้ดูจะไม่เหนื่อยเลย ซ้ำเจ้าตัวใหญ่ดูจะไล่กวดพวกเขาขึ้นมากระชั้นชิดขึ้นด้วย ไม่ ๆ เขาจะไม่ยอมให้มันจบแค่นี้แน่ อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงค่ายที่ชื่อว่าฮาร์ฟบลัดแล้ว เขาต้องรู้ให้ได้ว่าค่ายนั้นมีจริงหรือไม่ แล้วมันจะปลอดภัยสำหรับเขายังไง ไหนจะเรื่องแม่ของเขาที่ยังเป็นปริศนาอีกล่ะ
“เฮ้ย !” อยู่ ๆ เจ้าอัลกูลตัวโตก็โดดเข้าชนท้ายรถเขาจนรถเสียหลักพุ่งไปด้านหน้า แมคเคนซีที่คุมรถไม่อยู่จึงตัดสินใจดริฟรถในแนวขวางแล้วจับตัวแดนนี่ให้กระโดดออกมาจากรถมอเตอร์ไซต์ด้วยกันจนพวกเขากลิ้งหลุนๆ ไปด้านหน้า ภาพสุดท้ายของมอเตอร์ไซต์สุดรักที่เขาเห็นคือมันสไลด์ไปทางเจ้าอังกูลตัวใหญ่นั่น แล้วก็โดนเจ้าสัตว์ประหลาดเหยียบเข้ากลางตัวรถจนไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กชิ้นนึง
“โอ๊ยยยย แมคกี้ลูกพ่อ !!!” แมคเคนซีตะโกนลั่นเมื่อเห็นลูกรักของตนพังยับไม่เป็นชิ้นดี ก่อนจะไอโขลกออกมา ดูท่าว่าตอนกลิ้งเขาคงไปชนกับอะไรต่อมิอะไรเข้าจนรู้สึกจุกไปหมด ชายหนุ่มถอดหมวกกันน็อคออกเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น แต่ตอนนี้สติของเขาเลือนรางเหลือเกิน เบื้องหน้าของเขาคือเจ้าอังกูล 2 ตัวที่กำลังย่างสามขุมมาทางนี้ ส่วนอีกด้าน…ไม่รู้ว่าเขาตาฝาดไหมที่เห็นประตูซึ่งมีแสงเปล่งประกายออกมาจากด้านในอยู่ไม่ไกลออกไป
‘หรือนั่นคือค่ายฮาร์ฟบลัด…’
แต่ตอนนี้เขาขยับตัวไม่ไหวแล้ว
‘เรามาได้ถึงแค่นี้จริงดิ…’
แมคเคนซีคิดพลางหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
@Dean
|