[ห้องขอสร้างสัตว์วิเศษปี 2025]

Eloise HEROES

[แบบฟอร์มสร้างสัตว์วิเศษ]

คราเคน (Kraken)

ชื่อ สัตว์วิเศษ : คราเคน (Kraken)

สัตว์วิเศษตำนานของที่ใด : ตำนานนอร์ส

สังกัด : -

บุคลิกภาพสัตว์วิเศษ (Personality) : 

อสุรกายขนาดมหึมา มีรูปลักษณ์คล้ายหมึกยักษ์หรือหมึกกล้วยขนาดใหญ่ นิสัยดุร้าย โหดเหี้ยม และคาดเดาไม่ได้ มีลักษณะเด่นตรงหนวดขนาดใหญ่ที่สามารถพันเรือได้ทั้งลำหรือแม้กระทั่งดึงเรือรบใหญ่ลงไปในทะเลลึกได้ การเคลื่อนไหวของมันสามารถทำให้เกิดกระแสน้ำวนที่รุนแรงมากพอที่จะดูดทุกสิ่งลงไปในก้นมหาสมุทร

ชีวประวัติโดยสรุป :

คราเคนเป็นสัตว์ทะเลในตำนานที่มีต้นกำเนิดจากนิทานพื้นบ้านของชาวนอร์สและสแกนดิเนเวีย กล่าวกันว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาที่อาศัยอยู่ในทะเลลึก โดยเฉพาะบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือและใกล้ชายฝั่งนอร์เวย์ ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมันบางครั้งจึงถูกมนุษย์เข้าใจผิดว่าเป็นเกาะหากมองจากระยะไกล พลังอันมหาศาลของมันนั้นสามารถสร้างความปั่นป่วนให้ทะเลได้เพียงแค่ขยับตัว

ในตำนานเล่าว่าคราเคนมักซุ่มอยู่ใต้น้ำลึกและปรากฏตัวเพื่อโจมตีเรือที่แล่นผ่าน โดยใช้หนวดยาวมหึมาเพื่อพันรอบเรือลากลงสู่ก้นทะเลหรือบดขยี้ให้แหลกเป็นเสี่ยง ๆ การเคลื่อนไหวของมันสามารถสร้างกระแสน้ำวนที่รุนแรงจนเรือใกล้เคียงไม่สามารถหลบหนีได้ นักเดินเรือในยุคโบราณมักเชื่อว่าการพบเห็น คราเคนเป็นลางร้าย และเป็นเครื่องหมายเตือนว่าพวกเขาได้ละเมิดดินแดนที่ต้องห้ามในมหาสมุทร บางตำนานระบุว่าคราเคนนั้นไม่ได้โจมตีเรือเพราะความหิวโหย หากแต่เพราะต้องการปกป้องอาณาเขตของตัวเอง หรือถูกปลุกเร้าด้วยเสียงเรือหรือกิจกรรมของมนุษย์บริเวณใกล้เคียงนั่นเอง

[แบบฟอร์มสร้างสัตว์วิเศษ] ชื่อสัตว์วิเศษ: เคลพี (Kelpie) สัตว์วิเศษตำนานของที่ใด: ตำนานยุโรป,ตำนานพื้นบ้านสกอตแลนด์,ตำนานชาวเคลต์ สังกัด: -  บุคลิกภาพสัตว์วิเศษ (Personality): รูปลักษณ์ภายนอก: เคลพี มีลักษณะคล้ายคลึงกับเซนทอร์, ลิมนาเดส และสคิลลา ในเทพปกรณัมกรีก และม้าบ้อง ในคติความเชื่อพื้นบ้านของล้านนา สัตว์ร้ายที่มีหน้าตาเหมือนกับม้าในบางตำนานก็เล่าว่าครึ่งล่างของมันเป็นปลา หรือบ้างก็ว่ามันมีผิวสีดำและลื่นเหมือนกับปลา มักปรากฏในรูปของม้าสีเทาหรือสีดำเงางามที่งดงามเป็นพิเศษ ขนของมันดูเปียกชื้นตลอดเวลา และบางครั้งแผงคอของมันถูกแทนที่ด้วยสาหร่ายหรือพืชน้ำอาศัยอยู่ตามแม่น้ำหรือหนองน้ำจะเป็นสถานที่ที่มันชอบอยู่  นิสัยและพฤติกรรม: เคลพีถือว่าเป็นสัตว์ที่ชั่วร้ายมาก เพราะมันจะชอบหลอกนักเดินทางหรือเด็กและผู้หญิง โดยการแปลงกายเป็นเพศตรงข้าม และดึงดูดให้อีกฝ่ายลงเข้าไปในน้ำจากนั้นมันก็จะลากเหยื่อให้ลงไปจมน้ำจนตาย ถึงอย่างนั้นเคลพีก็มีจุดอ่อนอยู่เช่นเดียวกัน ซึ่งใครก็ตามที่สามารถคว้าขนที่แผงคอมันได้ มันจะอ่อนแรงและยอมทำตามคนที่จับขนแผงคอมันไว้ เคลพีเป็นตัวแทนของความลึกลับและพลังแห่งสายน้ำที่ทรงพลัง บางตำนานเล่าว่ามันสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่ยังคงร่องรอยความเป็นม้าผ่านลักษณะพิเศษ เช่น เท้าที่ผิดปกติหรือพลังที่ล้นเหลือ เคลพีมักถูกพรรณนาว่ามีดวงตาที่ทรงเสน่ห์ ทำให้เหยื่อรู้สึกถูกดึงดูดเข้าไปใกล้ ตามตำนานเคลพีมีพฤติกรรมหลอกลวง ล่อลวงมนุษย์ โดยเฉพาะเด็กหรือผู้ที่เดินทางผ่านแหล่งน้ำลึกเพื่อขี่หลังมัน เมื่อเหยื่อขึ้นขี่หลัง มันจะวิ่งลงไปในน้ำลึกทันที ทำให้เหยื่อจมน้ำเสียชีวิตและตกเป็นอาหารของมันก่อนจะปล่อยเครื่องในให้ลอยขึ้นเหนือน้ำ เรื่องเล่านี้ทำให้เคลพีมีชื่อเสียงว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายและพยศ แม้ว่าในบางตำนานมันจะมีด้านที่ช่วยเหลือมนุษย์ เช่น การปกป้องแหล่งน้ำจากผู้บุกรุก แต่ก็มีเรื่องของ เคลพีที่แปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อแต่งงานกับหญิงสาว จุดอ่อนและวิธีปราบ: เคลพีมีจุดอ่อนที่สำคัญคือสายบังเหียนบริเวณแผงคอ หากมีใครสามารถจับสายบังเหียนของเคลพีได้ พวกเขาจะสามารถควบคุมและใช้พลังของมันตามต้องการ อย่างไรก็ตาม การพยายามควบคุมเคลพีต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากความเฉลียวฉลาดและความร้ายกาจของมัน นอกจากนี้ เคลพียังไม่สามารถหลบหนีจากพันธนาการที่ทำขึ้นจากเหล็กหรือเงินบริสุทธิ์ได้ในบางตำนาน ชีวประวัติโดยสรุป: เคลพีเป็นวิญญาณน้ำในตำนานพื้นบ้านสกอตแลนด์ มีการกล่าวถึงในตำนานและนิทานพื้นบ้านที่แพร่หลายในหมู่ชาวบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำและทะเลสาบ คำว่า "เคลพี" มาจากภาษาสกอตซึ่งหมายถึงวิญญาณหรือภูตน้ำ มักถูกใช้เป็นคำเตือนให้ผู้คนระวังแหล่งน้ำลึกที่อาจเป็นอันตราย มักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของพลังธรรมชาติ โดยเฉพาะพลังน้ำและความโหดร้ายของแหล่งน้ำที่ยากจะควบคุม ในยุคก่อน ชาวสกอตเชื่อว่าเคลพีอาจเป็นผู้ปกป้องหรือเฝ้าแหล่งน้ำสำคัญ เช่น ทะเลสาบ ลำธาร หรือแม่น้ำใหญ่ ความเชื่อนี้สะท้อนถึงความเคารพและความกลัวที่มนุษย์มีต่อธรรมชาติ เรื่องเล่าเกี่ยวกับเคลพีมักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอนเด็กไม่ให้เล่นใกล้แหล่งน้ำลึกหรือเดินทางลำพังในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย การใช้ตำนานนี้แสดงถึงความพยายามในการสร้างความปลอดภัยให้กับชุมชน หรือแม้แต่ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อให้การเสียสละชีวิตของมนุษย์ในอดีตเพื่อบูชาเหล่าเทพเจ้าแห่งสายน้ำเป็นเรื่องที่ชอบธรรม เคลพีสามารถแปลงร่างได้หลากหลายรูปแบบที่ไม่ใช่ม้า และสามารถปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของมนุษย์ได้ โดยรูปร่างดังกล่าวมักจะเปิดเผยตัวตนของพวกมันด้วยเศษวัชพืชน้ำที่ติดอยู่ในเส้นผม เรื่องเล่าหนึ่งกล่าวถึงเคลพีที่แปลงร่างเป็นชายชราผอมแห้งนั่งบนสะพานและพึมพำกับตัวเองขณะเย็บกางเกง เมื่อชาวบ้านคนหนึ่งที่เดินผ่านมาเชื่อว่านี่คือเคลพี เขาใช้ไม้ตีศีรษะของมันจนทำให้เคลพีกลับสู่ร่างม้าและวิ่งหนีไปยังบ่อน้ำ ที่มันอาศัยอยู่ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าที่เคลพีในร่างมนุษย์ปรากฏตัวเป็นชายร่างใหญ่ ขนหยาบกระด้างที่กระโดดขึ้นไปหลังนักขี่ม้าที่อยู่เพียงลำพัง และทำร้ายเขาจนเสียชีวิต หรือในบางกรณี เคลพีในร่างมนุษย์ก็ฉีกเหยื่อเป็นชิ้น ๆ และกินพวกเขา นิทานพื้นบ้านจากเกาะบาร์รา กล่าวถึงเคลพีที่แปลงร่างเป็นชายหนุ่มรูปงามเพื่อเกี้ยวพาราสีหญิงสาว ที่มันตั้งใจจะพาไปเป็นภรรยา แต่หญิงสาวคนนั้นสามารถจับได้ว่าชายหนุ่มคือเคลพี และได้ถอดสร้อยเงิน (ซึ่งเป็นบังเหียนของเคลพี) ออกจากคอของเขาขณะหลับ เคลพีกลับคืนร่างเป็นม้าทันที หญิงสาวจึงนำมันกลับไปที่ฟาร์มของบิดาและใช้มันทำงานอยู่หนึ่งปี ต่อมา หญิงสาวขี่เคลพีไปพบนักปราชญ์ ซึ่งแนะนำให้เธอคืนสร้อยเงินนั้น เมื่อสร้อยถูกคืน เคลพีแปลงร่างเป็นชายหนุ่มที่เธอพบครั้งแรกอีกครั้ง นักปราชญ์ถามเคลพีว่า หากสามารถเลือกได้มันจะเลือกเป็นม้าหรือมนุษย์ เคลพีถามหญิงสาวกลับว่าหากมันเป็นมนุษย์เธอจะตกลงเป็นภรรยาของมันหรือไม่ เมื่อหญิงสาวตอบตกลงหลังจากนั้น เคลพีเลือกที่จะกลายเป็นมนุษย์และทั้งคู่ก็แต่งงานกันในที่สุด ตามตำนานดั้งเดิม เคลพีในร่างมนุษย์มักมีลักษณะเป็นชาย แต่ก็มีเรื่องเล่าที่กล่าวถึงเคลพีในร่างหญิง ซึ่งเกิดขึ้นที่คฤหาสน์โคนันในรอสและครอเมอร์ตี เรื่องเล่านี้กล่าวถึงหญิงสูงสง่าในชุดสีเขียว ผู้มีใบหน้าแห้งเหี่ยวและบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย หญิงคนนั้นกระโดดออกมาจากลำธาร และจับชายกับเด็กชายคนหนึ่งกดน้ำจนเสียชีวิต อิทธิพลของศาสนาคริสต์ ในสกอตแลนด์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ทำให้เรื่องเล่าและความเชื่อเกี่ยวกับเคลพีบางส่วน ถูกบันทึกโดยนักบวชหรือพระคริสต์ศาสนิกชน แทนที่จะถูกเล่าต่อกันแบบปากต่อปาก เรื่องราวบางอย่างกล่าวว่าเคลพียังคงมีกีบเท้าของมันอยู่ แม้จะแปลงร่างเป็นมนุษย์ ทำให้มันถูกเชื่อมโยงกับแนวคิดของซาตานในศาสนาคริสต์ เช่นเดียวกับแพน โรเบิร์ต เบิร์นส์ กวีชื่อดังยังกล่าวถึงการเชื่อมโยงนี้ในบทกวี "Address to the Devil" (1786): เมื่อหิมะละลายจากลานน้ำแข็ง และน้ำไหลเชี่ยวข้ามสะพานน้ำแข็ง เคลพีแห่งสายน้ำจะวนเวียนอยู่ใต้สะพาน ด้วยคำสั่งของเจ้า และล่อลวงผู้เดินทางยามค่ำคืน สู่หายนะของพวกเขา ในบางครั้งยังพบลูกผสมของลูกหลานที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างเคลปี้และม้าธรรมดาสามารถหายใจใต้น้ำได้ และสามารถจำแนกจากหูที่สั้นกว่าปกติ ซึ่งเป็นลักษณะที่วัวน้ำในตำนาน หรือทาร์บู อุยส์เกะในภาษาสกอตเกลิกมีเหมือนกัน คล้ายกับทาร์รู อุชเทย์ของ เกาะแมนซ์

Laura HEROES

ธันเดอร์เบิร์ด (Thunderbird)

สังกัด : เทพซุส

สถานที่พบเจอ : ในเขตป่าเขาและบริเวณที่ราบสูงทางตอนเหนือของทวีปอเมริกา มีการปรากฏตัวพร้อมกับพายุฝน ฟ้าร้อง และสายฟ้า 

ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ: รัฐวอชิงตัน โอเรกอน บริติชโคลัมเบียของแคนาดา

ภูมิภาคเกรตเลกส์: ทั้งในสหรัฐฯ และแคนาดา รวมถึงมิชิแกน วิสคอนซิน มินนิโซตา 

บุคลิกภาพสัตว์วิเศษ (Personality) : ธันเดอร์เบิร์ดเป็นสัตว์ผู้รักความสงบแต่ก็มีพลังลึกลับและน่าเกรงขาม เป็นนักปกป้องที่กล้าหาญ มุ่งมั่น และไม่เคยเกรงกลัวต่ออันตรายใด ๆ เมื่อยามที่จำเป็นต้องปกปักษ์รักษาถิ่นที่อยู่หรือคุ้มครองผู้ที่ตนเลือกไว้ นอกจากนี้ยังค่อนข้างหวงถิ่นและชอบใช้ชีวิตโดดเดี่ยว จึงไม่ค่อยปรากฏตัวให้มนุษย์ได้เห็นกันบ่อยนัก

ประวัติ

ธันเดอร์เบิร์ดเป็นสัตว์วิเศษในตำนานของชนเผ่าอเมริกันพื้นเมือง (Native American) ที่มีชื่อเสียงมากในหลายภูมิภาคของทวีปอเมริกาเหนือ ทั้งแถบชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ (Pacific Northwest) เกรตเลกส์ (Great Lakes) และมิดเวสต์ (Midwest) รวมถึงรัฐอิลลินอยส์ (Illinois) ตัวธันเดอร์เบิร์ดถูกยกให้เป็น “วิญญาณใหญ่” ผู้ควบคุมพายุ สายฟ้า และฝน เชื่อกันว่ามันอาศัยอยู่บนยอดเขาหรือเหนือเมฆ และสามารถสร้างฟ้าร้องด้วยการกระพือปีก พร้อมทั้งปล่อยสายฟ้าจากดวงตาหรือปลายปีกเพื่อกำราบวิญญาณร้ายหรือนำฝนมาให้ชุมชนหล่อเลี้ยงผืนดิน 

ในหลายความเชื่อของหลายเผ่า ธันเดอร์เบิร์ดเปรียบเสมือนทูตหรือผู้รับใช้ของเทพสูงสุดอย่างซุส ทำหน้าที่ปกปักษ์ผืนแผ่นดินให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติ นิสัยของธันเดอร์เบิร์ดมักถูกเล่าว่าเป็นสัตว์วิเศษที่ทรงพลังและเด็ดเดี่ยว รักความโดดเดี่ยว ไม่ชอบให้มนุษย์รบกวน แต่ก็พร้อมจะปรากฏตัวเมื่อจำเป็นต้องคุ้มครองผู้คนหรือขับไล่สิ่งชั่วร้าย เสียงฟ้าร้องและพายุฝนเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาของธันเดอร์เบิร์ด ในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องหมายว่ามนุษย์ควรเคารพธรรมชาติและพลังอันยิ่งใหญ่ของฟากฟ้า ธันเดอร์เบิร์ดยังสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ การงอกเงยของพืชพันธุ์ในช่วงฤดูกาลเพาะปลูก เพราะสายฝนที่มันพามาช่วยหล่อเลี้ยงทุกชีวิตให้ดำรงอยู่ หลักฐานเกี่ยวกับธันเดอร์เบิร์ดยังพบได้ในงานศิลปะของชนเผ่า เช่น เสาโทเท็ม (Totem pole) หน้ากาก หรือลวดลายที่แกะสลักเพื่อบูชา สรุปโดยรวมแล้ว ธันเดอร์เบิร์ดคือตัวแทนพลังศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ ผู้มีอำนาจเหนือสายฟ้าและพายุและเป็นทั้งเครื่องเตือนใจว่ามนุษย์กับธรรมชาติต่างพึ่งพาอาศัยกันและต้องอยู่ร่วมกันโดยไม่ละเมิดต่อกันนั่นเอง

Cooper HEROES

[แบบฟอร์มสร้างสัตว์วิเศษ]

ชื่อ สัตว์วิเศษ: 

ชิกชาร์นีย์
(Chickcharney)

สัตว์วิเศษตำนานของที่ใด:
ตำนานพื้นเมืองบาฮามาส

สังกัด: อะธีน่า (Athena)

บุคลิกภาพสัตว์วิเศษ (Personality): 

 ชิกชาร์นีย์ เป็นสัตว์วิเศษที่เต็มไปด้วยความลึกลับและยากจะคาดเดา มันมีสัญชาตญาณอันเฉียบแหลม สามารถรับรู้เจตนาของผู้ที่พบเห็นมันได้อย่างรวดเร็ว หากสัมผัสได้ถึงความจริงใจหรือความเคารพ มันจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคดีและความอุดมสมบูรณ์ แต่หากพบกับการดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือความโอหัง มันจะจดจำและลงทัณฑ์อย่างสาสม  

รูปลักษณ์ของมันดูคล้ายกับนกฮูกผสมกับสิ่งมีชีวิตลึกลับ มีขนหยาบยุ่งเหยิงและดวงตากลมโตที่ดูเหมือนไม่กะพริบ ทำให้ผู้ที่จ้องมองมันรู้สึกไม่สบายใจ บางตำนานเล่าว่าดวงตาของมันสามารถสื่อสารความคิดกับผู้ที่เผชิญหน้ากับมันได้โดยไม่ต้องเปล่งเสียงใด ๆ และมันสามารถอ่านจิตใจของมนุษย์ได้ด้วยสายตาเพียงครั้งเดียว  

มันยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีนิสัยเงียบขรึมและไม่ชอบความวุ่นวาย มันหลบซ่อนตัวอยู่ตามป่าลึกและมักไม่ปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์โดยไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม มันมีนิสัยขี้เล่นและซุกซนในบางครั้ง โดยเฉพาะหากต้องการทดสอบนิสัยของผู้เดินทาง

มันอาจปรากฏตัวเพื่อดูปฏิกิริยา หากผู้เดินทางตอบสนองด้วยความเคารพ ชิกชาร์นีย์อาจนำทางไปสู่เส้นทางที่ปลอดภัย หรือแม้กระทั่งส่งสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าเกี่ยวกับอันตรายที่อยู่เบื้องหน้า แต่หากผู้ใดเลือกที่จะทำร้าย หรือแม้แต่หัวเราะเยาะรูปลักษณ์ของมัน ชิกชาร์นีย์จะถือเป็นการดูหมิ่น และพลังแห่งโชคร้ายก็จะติดตามคนผู้นั้นไปตลอดเส้นทาง

ชีวประวัติโดยสรุป:

ชิกชาร์นีย์  มีต้นกำเนิดจากเกาะอันห่างไกลของบาฮามาส โดยว่ากันว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งนกครึ่งมนุษย์ มีขนหยาบยุ่งเหยิง ดวงตากลมโต และสามารถหมุนศีรษะได้เกือบรอบตัว พวกมันมักอาศัยอยู่ในป่าทึบบนเกาะ แฝงตัวอยู่ตามต้นไม้ และชื่นชอบการสังเกตผู้ที่เดินทางผ่านดินแดนของพวกมัน

ตำนานท้องถิ่นกล่าวว่าชิกชาร์นีย์เป็นผู้ที่สามารถนำโชคดีหรือเคราะห์ร้ายมาให้ผู้คนได้ หากมีผู้เดินทางพบพวกมันและแสดงท่าทีเคารพ เช่น ทักทายหรือมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ พวกมันก็จะตอบแทนด้วยพรแห่งโชคลาภและการเดินทางที่ปลอดภัย แต่หากมีผู้ใดหัวเราะเยาะ เย้ยหยัน หรือพยายามทำร้ายพวกมัน คนผู้นั้นจะต้องพบกับภัยพิบัติตลอดเส้นทางของตน

 ชิกชาร์นีย์ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์พื้นเมืองของบาฮามาสเท่านั้น แต่ยังมีความเชื่อมโยงกับเทพีอะธีน่า เทพีแห่งปัญญาและสงคราม ชิกชาร์นีย์ถือเป็นเครือญาติห่าง ๆ ของนกฮูก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระนาง กล่าวกันว่าในอดีตกาล เทพีอะธีน่าได้ส่งชิกชาร์นีย์มายังเกาะเหล่านี้เพื่อตรวจสอบปัญญาและจิตใจของมนุษย์

พระนางทรงมองเห็นว่าสัตว์วิเศษนี้มีสัญชาตญาณอันเฉียบแหลม และสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการลงทัณฑ์ผู้ที่โอหัง ดูหมิ่นภูมิปัญญาของผู้อื่น หรือแม้แต่ผู้ที่สร้างความขุ่นเคืองแก่พระองค์

กล่าวกันว่าหากเทพีอะธีน่าทรงไม่พอใจผู้ใด พระนางจะส่งชิกชาร์นีย์ไปปรากฏตัวในเส้นทางของคนผู้นั้น โดยเฉพาะนักเดินทางที่หยิ่งยโสและหลงตนในสติปัญญาของตนเอง มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่งที่เดินทางผ่านป่าลึกแห่งหนึ่งของบาฮามาส ระหว่างทางเขาได้พบกับชิกชาร์นีย์ตัวหนึ่ง แต่แทนที่จะให้ความเคารพ เขากลับหัวเราะเยาะและขับไล่มันด้วยการปาก้อนหิน

นับจากนั้นเป็นต้นมา การเดินทางของเขาก็เต็มไปด้วยอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นการพายุพัดเรือของเขาออกนอกเส้นทาง อาหารและน้ำที่เตรียมมาค่อย ๆ เน่าเสียโดยไร้สาเหตุ ขณะที่ม้าของเขาก็ล้มป่วยอย่างกะทันหัน แม้ว่าเขาจะพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการบูชาทวยเทพ แต่ทุกสิ่งกลับเลวร้ายลงเรื่อย ๆ เมื่อเดินทางไปถึงจุดหมาย เมืองที่เขาหมายจะไปค้าขายกลับประสบอัคคีภัยครั้งใหญ่ และสินค้าทั้งหมดของเขาก็ไม่เหลืออะไรให้ขายอีกต่อไป

มีตำนานหนึ่งกล่าวถึงนักรบผู้ห้าวหาญที่เดินทางไปยังเกาะแห่งหนึ่งเพื่อขยายอำนาจของตน ระหว่างทางเขาได้พบชิกชาร์นีย์ และเพราะความหยิ่งผยอง เขาใช้หอกไล่มันออกไปโดยไม่สนใจคำเตือนของลูกเรือของตน จากนั้น เมื่อเขาไปถึงเป้าหมาย กองทัพของเขาก็พบกับพายุหนักในยามค่ำคืน เรือรบของเขาถูกซัดกระจัดกระจาย เมื่อขึ้นฝั่ง พวกเขากลับต้องพบกับโรคร้ายที่ทำให้ทหารล้มตายเป็นจำนวนมาก และเมื่อถึงเวลาต่อสู้ ศัตรูของเขากลับมีชัยเหนือกว่าอย่างง่ายดาย ในท้ายที่สุด นักรบผู้นั้นต้องล้มตายอย่างไร้เกียรติ ซึ่งผู้เฒ่าในท้องถิ่นต่างกล่าวว่า นั่นเป็นคำสาปของชิกชาร์นีย์

ชิกชาร์นีย์อาจเป็นสัตว์วิเศษที่ดูเล็กและไร้พิษสง แต่หากมีผู้ใดลบหลู่หรือทำร้ายมัน พลังของมันสามารถทำให้การเดินทางของคนผู้นั้นกลายเป็นหายนะอย่างแท้จริง  

 

Cooper HEROES

[แบบฟอร์มสร้างสัตว์วิเศษ]

ชื่อ สัตว์วิเศษ: 

นกฮูกแห่งอะธีน่า
(Athena’s Owl)

สัตว์วิเศษตำนานของที่ใด:
ตำนานกรีก

สังกัด: อะธีน่า (Athena)

บุคลิกภาพสัตว์วิเศษ (Personality): 

  นกฮูกแห่งอะธีน่า เป็นสัญลักษณ์ของ ปัญญา ความรู้ และการมองเห็นในยามรัตติกาล ในตำนานกรีก นกฮูกตัวนี้เป็นสัตว์คู่ใจของเทพีอะธีน่า เทพีแห่งปัญญาและสงคราม กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรอบคอบและการตัดสินใจที่ชาญฉลาด ดวงตาของมันใหญ่และคมกริบ เปรียบเสมือนผู้ที่มองเห็นสิ่งซ่อนเร้นในความมืดหรือความจริงที่หลบเร้นจากสายตาคนทั่วไป

  ขนของมันมักถูกจินตนาการว่ามีสีเทาอมเงิน ให้ความรู้สึกสงบนิ่งและน่าเกรงขาม เสียงร้องที่แว่วมากับสายลมยามค่ำคืนเปรียบเหมือนคำเตือนที่เงียบสงบ แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ความรู้ลึกซึ้ง และความเข้าใจที่กว้างไกล

  นกฮูกแห่งอะธีน่าจึงไม่เพียงแต่เป็นผู้เฝ้าระวังเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของ ความเฉลียวฉลาดและความสงบนิ่งภายใต้แรงกดดัน เสมือนเสียงกระซิบของปัญญา ที่ช่วยชี้แนะให้ผู้คนทำสิ่งที่ถูกต้องในช่วงเวลาที่ยากลำบาก นกฮูกเหล่านี้มีสติปัญญาเพียงพอที่เข้าใจและสื่อสารกับมนุษย์ได้ จึงมีความสามารถในการ สอดแนม ส่งข้อความ หรือแม้แต่การโจมตีศัตรู ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชีวประวัติโดยสรุป:

นกฮูกแห่งอะธีน่า  เป็นสัตว์คู่ใจในตำนานของ อะธีน่า (Athena) เทพีแห่งปัญญา ยุทธศาสตร์ และสงครามที่ยุติธรรมในตำนานกรีก นกชนิดนี้มีชื่อว่า นกฮูกน้อยพันธุ์ลิตเติลอาวล์ (Athene noctua) และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความรู้ ความรอบคอบ และการมองเห็นสิ่งที่ซ่อนเร้น

  ในตำนาน นกฮูกได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ประจำตัวของอะธีน่า ซึ่งมักจะคอยติดตามและเฝ้าระวังให้กับเธอ คุณลักษณะของมันที่แสดงถึงความฉลาดและมุมมองที่แตกต่างทำให้นกฮูกกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญา และบางตำนานกล่าวว่า อะธีน่ารับนกฮูกเข้ามาเป็นสัตว์ประจำตัวหลังจากมองเห็นในสายตามัน ความฉลาดล้ำลึกและมุมมองที่แตกต่าง

นกฮูกนี้เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองเอเธนส์ เมืองที่อยู่ภายใต้การปกปักษ์ของเทพีอะธีน่า ภาพของนกฮูกถูกพิมพ์ลงบนเหรียญเงินโบราณที่ใช้ในเมืองสะท้อนความรุ่งเรืองทางปัญญาและเศรษฐกิจ

[แบบฟอร์มสร้างสัตว์วิเศษ]

ชื่อ สัตว์วิเศษ: 

ลูซก้า
(Lusca)

สัตว์วิเศษตำนานของที่ใด:
ตำนานถิ่นทะเลแคริบเบียน

สังกัด: -

บุคลิกภาพสัตว์วิเศษ (Personality): 

ลูซก้า อสุรกายลูกครึ่งที่มีท่อนบนเป็นฉลามขาว ส่วนท่อนล่างเป็นหมึกยักษ์
นิสัยดุร้าย สูบเหยื่อเข้าปากด้วยการสร้างกระแสน้ำวน และใช้หนวดจับกินอย่างรวดเร็ว

มันรวดเร็วในน้ำลึก แต่ไม่สามารถมาถึงส่วนที่เป็นน้ำตื้นหรือชายฝั่งได้

มีความสามารถในการพรางตาในมุมมืดใต้น้ำลึก

ว่ากันว่าหากเป็นลูซก้าชั้นสูงจะมีหัวงอกมาอีก 2 หัว

และมีขนาดใหญ่กว่าเรือสินค้า

ชีวประวัติโดยสรุป:

ลูซก้า เป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานพื้นบ้านของชาวแคริบเบียน โดยเฉพาะในหมู่เกาะบาฮามาส

ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นโพรงน้ำลึกสีฟ้าที่เรียกว่า “บลูโฮล” (Blue Holes)

ตำนานเล่าว่าลูซก้าอาศัยอยู่ในถ้ำเหล่านี้ โดยมีลักษณะคล้ายปลาหมึกยักษ์ผสมฉลาม

บางครั้งก็ถูกบรรยายว่ามีหนวดมหึมาและฟันแหลมคมพอจะลากเรือหรือคนลงไปใต้ทะเลได้ในพริบตา

ผู้คนในท้องถิ่นเชื่อว่าลูซก้าเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์เรือหาย

กระแสน้ำวนรุนแรง หรือผู้คนจมหายไร้ร่องรอยใกล้ปากถ้ำ

[แบบฟอร์มสร้างสัตว์วิเศษ]

ชื่อ สัตว์วิเศษ: 

คูเลบรอน
(Culebrón)

สัตว์วิเศษตำนานของที่ใด:
คาบสมุทรไอบีเรีย, อเมริกาใต้

สังกัด: -

บุคลิกภาพสัตว์วิเศษ (Personality): 

คูเลบรอน เป็นอสุรกายงูยักษ์ หรือมังกรที่มีปีกค้างคาว

เกล็ดแข็งหนา มีพิษที่รุนแรง มันสามารถพ่นพิษได้ไกลหลายเมตร
มักจะมีตาสว่างเป็นประกาย และมีพลังเวทมนตร์หรือคำสาป

อาศัยอยู่ใน ถ้ำ ลำธาร หรือในป่าอันห่างไกล

โดยปกติมันเป็นงูที่รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขนาด

หลงใหลในประกายแวววาวของสมบัติจนได้ชื่อว่าเป็น "ผู้เฝ้าสมบัติที่ถูกสาป"

ชีวประวัติโดยสรุป:

คูเลบรอน เป็นอสูรงูในตำนานพื้นบ้านของแถบคาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้เฝ้าสมบัติที่ต้องคำสาป

โดยมักมีเรื่องเล่าถึงหญิงสาวที่ถูกล่อลวงหรือกักขังโดยมันไว้ในถ้ำเพื่อเฝ้าทรัพย์สินล้ำค่า

บางตำนานกล่าวว่าคูเลบรอนคือวิญญาณของอัศวินหรือชายผู้ต้องคำสาปให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดเพื่อชดใช้บาป

หากมีผู้กล้าสามารถฆ่าหรือปลดปล่อยมันได้สำเร็จ ก็จะได้รับขุมทรัพย์มหาศาลที่มันปกปักรักษาไว้

และในบางเรื่องเล่าคูเบรอนจะกลับคืนร่างมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อได้รับจูบจากหญิงสาวผู้บริสุทธิ์

เปรียบเสมือนเทพนิยายที่ซ่อนความโศกเศร้าและไถ่บาปไว้ในตำนาน