เสียงลูกบอลพลาสติกสีส้มดังกระทบพื้นเป็นจังหวะไปทั่วสนามบาสเกตบอลในตอนพลบค่ำ อากาศอุ่นร้อนของช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิผสมกับความเหนื่อยล้าจากการย่ำฝีเท้าถี่ ๆ แบบไม่พักมาเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงทำให้ทั่วร่างกายของมนุษย์ที่เหลืออยู่เพียงแค่สามคน ณ ที่แห่งนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“พวกพี่สองคนเล่นกันเลยนะ ผมให้โอกาส” อิกอร์พูดขึ้น เขากลับมายืนในท่าทางปกติเพื่อเตรียมตัวเดินออกจากสนามหลังจากตัดสินใจบางอย่างได้ แต่ไม่วายต้องทิ้งท้ายให้คนที่อยู่ต่อได้คว้าโอกาสจากผลของการเสียสละครั้งนี้ไว้ แม้ตัวเขาเองจะยังไม่มีแต้มเลยก็ตาม
“อืม” อีกสองคนขานรับพร้อมกันโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง
อิกอร์ถอนหายใจ เขาอยากให้เกมไร้สาระนี้จบลงเร็ว ๆ เขาทั้งร้อนและเหนื่อย นาฬิกาข้อมือบอกเขาว่านี่ก็ใกล้เวลาเคอร์ฟิวที่พ่อกับแม่กำหนดเอาไว้แล้วด้วย แต่โรบินพี่สาวของเขาและโทยาเพื่อนสนิทของเธอดันตกลงกันเรื่องเส้นทางชีวิตช่วงปิดเทอมหน้าร้อนไม่ได้สักที จนต้องมาตัดสินกันด้วยแต้มจากการแข่งขันบาสเกตบอลที่กำหนดผู้ชนะเอาไว้แล้ว
ใคร ๆ ก็รู้ว่าโรบินเล่นกีฬาเก่งแค่ไหน
“เธอจำเป็นต้องไปจริง ๆ นะ ฉันขอร้องล่ะโรบิน” โทยาอ้อนวอน เขาแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“นายเหม่อแล้วโทยา นี่แหน่ะ” โรบินอาศัยจังหวะที่โทยาลดการป้องกันลง ก้าวยาว ๆ เข้าประชิดตัวแล้วต่อยเบา ๆ ที่หน้าท้องของเขา เมื่ออีกฝ่ายงอตัวด้วยความตกใจเธอจึงตบลูกบาสเกตบอลในมือเขาให้กระเด็นลงพื้นก่อนจะคว้ามันโยนลงห่วงตาข่าย
“ขี้โกงเกินไปแล้ว” โทยาบ่นอุบ แววตาสีเขียวใสปริ่มน้ำตาเมื่อครู่เปลี่ยนไปแข็งกร้าวอย่างฉับพลัน
“สิบห้าต่อศูนย์!” เสียงเล็กแหลมของอิกอร์ตะโกนมาจากที่ไกล ๆ ในที่สุดเขาก็ได้กลับบ้านเสียที “พี่ชนะอีกแล้ว เซ็งชะมัด..”
“ฉันได้ยินนะ!” โรบินตวาดกลับไประหว่างเดินออกจากสนาม โทยาวิ่งมาขนาบข้างพร้อมกับอุ้มลูกบาสเกตบอลที่เพิ่งไปเก็บมาไว้แนบอก
เมื่อมาถึง ทั้งสองก็คว้าขวดน้ำที่อิกอร์ยื่นมาให้กระดกขึ้นดื่มด้วยความกระหาย
“แล้วก็โทยา ปีนี้ฉันมีไปค่ายกับสมาคมแล้วล่ะ พ่อกับแม่น่าจะจัดกระเป๋าไว้ให้เรียบร้อยแล้วด้วย ตอนนี้ก็เหลือแค่ภาวนาให้พวกท่านไม่ลืมว่าฉันกับหมอนี่ต้องนอนแยกห้องกันเนี่ยแหละ” เธอบุ้ยปากไปยังเด็กชายตัวเล็กข้าง ๆ ที่กำลังกระชับกระเป๋าเป้บนหลัง แค่คิดภาพว่าเธอต้องไปเคาะห้องพักเด็กผู้ชายกลางดึกเพื่อขอของใช้ส่วนตัวที่คุณและคุณนายมิไคเลอร์วิชใส่ผิดไว้ในกระเป๋าของน้องชายเหมือนปีที่แล้วก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าว
แต่โทยาไม่ได้สนใจ เขาวุ่นวายกับการเก็บบอลใส่ตาข่ายแล้วยื่นมันให้อิกอร์ เด็กชายรับมันมาถือด้วยความอารมณ์ดี
“ฉันจะไปคุยกับพ่อแม่ของเธอ” โทยาพูด “วันนี้พวกท่านจะกลับมาตอนไหนล่ะ”
โรบินหยุดทุกการกระทำ เธอหันไปสบตาอีกฝ่ายอย่างหมดความอดทน วันนี้ทั้งวันโทยาทำตัวประหลาดเกินไป เขามาหาเธอกับอิกอร์ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันอาทิตย์เพื่อชวนกันไปปั่นจักรยานรอบเมือง แวะพิพิธภัณฑ์เมืองจำลอง และจบที่สวนสาธารณะใจกลางเมือง ทั้งหมดเพียงแค่ต้องการให้เธอไปเจอกับครอบครัวของเขาและกำลังจะเป็นครอบครัวของโรบินในอนาคตด้วย(เขาว่าแบบนั้น)ที่ลองไอส์แลน
“นี่ ฉันฟังนายมาทั้งวันแบบไม่แสดงความคิดเห็นอะไรเลย ตอนนี้นายก็ควรฟังฉันบ้างหรือเปล่า?” โรบินพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย “เกมนี้ฉันชนะ หรือถ้านายจะแข่งอีกรอบฉันให้นายเลือกได้เลย เอาเป็นปีนผาจำลองเป็นไง? ฉันเห็นนายทำมันได้ดีในวิชาของคุณโจนาธานนี่”
โทยาประสานมือไว้กลางหน้าอก เขาถูนิ้วโป้งไปมาด้วยความประหม่า ส่วนอิกอร์นั่งลงกับม้านั่งอีกครั้งและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด ดูท่าว่าบทสนทนานี้จะยังไม่จบลงง่าย ๆ แต่การกระทำนี้ก็ดูท่าจะยิ่งทำให้โทย่าระแวงหนักกว่าเดิม เขาเริ่มหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรน
“ฟังนะโทยา–”
“ไม่ๆๆ ตอนนี้เธอสิต้องฟังฉัน ช่วยอย่าให้น้องชายของเธอเปิดอินเตอร์เน็ตตอนนี้ได้ไหม?”
“เพ้อเจ้ออะไร? เอางี้ ถึงฉันจะแอบคิดว่าไอ้ค่ายเลือดผสมอะไรนั่นของนายมันน่าสนใจก็เถอะ แต่เราเพิ่งจะเล่นละครเวทีด้วยกันไปเมื่อต้นเทอมไม่ใช่หรือไง ฉันไม่อยากทำมันอีกรอบตลอดช่วงปิดเทอมหน้าร้อนหรอกนะ”
“มันไม่ใช่การเล่นสวมบทบาทนะโรบิน เธอน่ะใจร้อน.. เฮ้ ! อิกอร์ อย่าเพิ่งเล่นโทรศัพท์มือถือ !” แล้วโทยาก็หันไปยื้อแย่งเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมกับอิกอร์ เด็กนั่นชูโทรศัพท์ไว้เหนือแขนแล้วเอนตัวซ้ายทีขวาทีด้วยความสนุกสนาน
โรบินพยายามอธิบายอีกครั้ง แม้เธอจะไม่มั่นใจว่าเขากำลังฟังอยู่หรือเปล่า “ขอฉันพูดอะไรอีกอย่างได้ไหม? ฉันว่าพ่อกับแม่ฉันก็คงจะคิดไม่ออกเหมือนกันนะว่าที่นั่นมันจะช่วยให้ฉันหายจากอาการวูบบ้า ๆ นี่ได้ยังไง” เธอว่า มือสองข้างภายออกพร้อมเอียงคออย่างไม่เข้าใจ “มันไม่ใช่โรงพยาบาลเสียหน่อย คือถ้านายคิดถึงฉันมากจนทนอยู่ห่างกันไม่ไหวเลยต้องใช้ข้ออ้างแบบนี้ล่ะก็ ฉันไปขอโธมัสให้เพิ่มชื่อนายเข้าไปได้นะ เราสามคนจะได้อยู่ด้วยกันทั้งฤดูร้อนไปเลย”
โทยาหยุดกึก โรบินสังเกตว่าผิวสีมะกอกบนใบหน้าของเขาเริ่มมีเลือดฝาด “ไม่…”
“ฉันล้อเล่น” โรบินกระตุกยิ้ม “เอาเป็นว่าไม่ไป เจอกันพรุ่งนี้” เธอคว้าแขนอิกอร์มายืนข้าง ๆ โบกมือลาพอเป็นพิธีแล้วดันแผ่นหลังน้องชายให้เดินออกจากสนามบาสเกตบอล ปล่อยให้โทยายืนโดดเดี่ยวโดยมีความรู้สึกล้มเหลวอยู่เป็นเพื่อน
โรบินรู้ว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็จะกลับมาใหม่ ตั้งแต่รู้จักกันเธอค่อนข้างแน่ใจว่าโทยาไม่ใช่คนที่จะยอมล้มเลิกอะไรง่าย ๆ วันนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยืนยันได้จากการที่เขาย้ายตามมาถึงอเมริกาหลังจากที่ทั้งสองเจอกันที่อินเดียเมื่อประมาณสี่ปีก่อนและแทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย เธอไม่แน่ใจนักว่ามีเหตุผลอะไรให้เขายึดติดกับเธอขนาดนี้ แต่การที่โรบินยังอยู่ที่นี่และยังเป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาเช่นกัน
ระยะทางระหว่างสนามกีฬากับเขตชุมชนไม่ได้ไกลนัก โรบินแยกกับอิกอร์ตรงจัตุรัสหน้าหมู่บ้าน เธอรอจนมั่นใจว่าน้องชายเดินขึ้นไปจนสุดเนินถนนฝั่งขวาแล้วถึงค่อยเดินไปในทิศตรงกันข้ามที่เป็นสนามเด็กเล่นและในเวลานี้ร้างผู้คน หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความเสียงสั้น ๆ ถึงพ่อแล้วเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง อีกไม่นานคงจะมีสายโทรเข้ามาไม่หยุด อิวานร้อนรนทุกครั้งที่โรบินไม่อยู่ในสายตาเกินสิบห้านาทีหลังเวลาเคอร์ฟิว แล้วหากนานกว่านั้นก็เป็นไปได้ที่เขาจะแจ้งตำรวจหรือระดมคนในหมู่บ้านออกตามหาเธอ
แต่โรบินยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ เธอนั่งลงที่ชิงช้าตัวหนึ่ง ถอดรองเท้าออกทั้งสองข้าง ให้เท้าเปล่าได้สัมผัสกับทรายหยาบ ๆ ในสนาม เธอชอบทำแบบนี้ในเวลาที่รู้สึกหงุดหงิดหรือฟุ้งซ่าน ยอมรับว่าคำพูดของโทยาในวันนี้มีอิทธิพลกับความคิดของเธอมากทีเดียว แถมเมื่อกลางวันเขายังพยายามทดสอบเธอโดยการให้อ่านใบปลิวที่เขียนด้วยสัญลักษณ์แปลก ๆ ทั้งแผ่นและมีรูปของสิ่งมีชีวิตที่ดูเข้าใจยากประกอบอยู่ พอเธออ่านให้ฟังแบบขอไปที เขาก็พูดเหมือนกับว่าเธอตั้งใจทำแบบนี้เพื่อให้เขาผิดหวัง
เป็นบ้าอะไรนะ?
โรบินพอจะนึกอะไรออก เธอล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงข้างซ้าย คลำหาเหรียญทองแดงเก่า ๆ ที่ตั้งใจหยิบมาจากกระเป๋ากางเกงของโทยาในจังหวะที่เขาไม่รู้ตัว เธอจำได้ว่าโทยาใช้สิ่งนี้เพื่อทำอะไรบางอย่างเวลาที่เจ้าตัวมั่นใจว่าไม่มีใครสังเกตเห็น เธอไม่รู้ว่ามันมีกลไกการทำงานยังไง แต่โทยาเริ่มพูดคนเดียวหลังจากใช้เจ้าสิ่งนี้
โคมไฟในสนามเด็กเล่นเรืองแสงสลัวแต่ก็ยังมองออกว่ามันเป็นเหรียญทองแดงสองด้านทั่วไป ด้านหนึ่งเป็นใบหน้าด้านข้างของผู้ชายและมีใบหน้าด้านข้างของผู้หญิงอีกคนซ้อนอยู่ด้านหลัง อีกด้านของเหรียญเป็นรูปวัวทั้งตัวอยู่ตรงกลางโดยมีช่อมาลัยลอเรลล้อมเป็นกรอบ คงจะเป็นเงินของสักประเทศหนึ่งในโลกที่โทยาเคยไปมา เขาเคยเล่าว่าครอบครัวตัวเองก็เป็นนักเดินทางเช่นเดียวกับเธอ แต่ส่วนใหญ่จะย้ายไปมาระหว่างรัฐในอินเดียเสียมากกว่า
โรบินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะถ่ายรูปหาคำตอบสิ่งน่าสงสัยนี้ใน Google
แต่ความคิดนี้ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงฟึ่บตามด้วยเสียงต้นไม้ล้มดังครืนมาจากริมสนามพ้นเขตบ่อทรายไปประมาณหกเมตร ก่อนหน้านี้มันเคยเป็นรั้วไม้พุ่มทรงสูงแซมกับต้นสนเป็นแนวยาว แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่าและแทนที่ด้วยชายร่างยักษ์สองคน ร่างกายช่วงบนของทั้งคู่ถูกบดบังด้วยความมืดเพราะไฟถนนส่องไปไม่ถึง ในมือของพวกเขามีกระบองยาวปลายแหลมกระพริบวูบวาบด้วยประกายไฟสีน้ำเงิน หอกไฟฟ้า โรบินเย็นวาบไปทั่วไขสันหลัง สัญชาตญาณเตือนไม่ให้เธออยากรู้ว่าพวกเขาใช้สิ่งนั้นกวาดเอารั้วให้หายไปได้อย่างไร
เธอลุกขึ้นยืน เก็บเหรียญเข้ากระเป๋าแล้วก้าวหลบไปด้านหลังช้า ๆ แม้จะมองไม่เห็นหน้าแต่ก็มั่นใจว่าพวกมันกำลังจ้องเขม็งมาที่เธอแน่ ๆ
“ฮี่ๆๆ! กลิ่นมนุษย์กึ่งเทพน่าอร่อย!” เสียงหัวเราะแหบพร่าดังมาจากเจ้าตัวด้านซ้าย แม้จะอยู่ไกลแต่เธอได้ยินมันชัดเจน เพราะรอบข้างในเวลานี้เงียบสงัดจนขนาดแมลงสักตัวยังไม่กล้าส่งเสียง
“เงียบซะเจ้าปัญญาอ่อน!” เจ้าตัวด้านขวาคำรามด้วยเสียงที่น่าขนลุกยิ่งกว่า “สุภาพกับอาหารเสียบ้าง ท่านหญิงจะได้อนุญาตให้เราร่วมโต๊ะด้วย ข้าไม่อยากเสียการเสียงานเพราะเจ้าอีกแล้ว”
“อาหารของท่านหญิง!”
“กรอดด..”
เรื่องไม่ปกติคือตอนนี้โรบินกำลังยืนฟังเพื่อนใหม่ถกเถียงกันเรื่องมื้ออาหารโดยมีวัตถุดิบหลักเป็นเนื้อของตัวเอง เธอรู้เพราะโทยาก็เคยเรียกเธอแบบนั้น มนุษย์กึ่งเทพ
จะอะไรก็ช่าง แต่พอพวกมันก้าวเข้ามาสู่แสงสว่าง โรบินก็อยากกรีดร้อง
ก่อนหน้านี้ความมืดช่วยปิดบังร่างกายท่อนบนของสิ่งนั้นไว้ พอได้เห็นชัดๆเธอก็ไม่รู้จะอธิบายสิ่งมีชีวิตตรงหน้าอย่างไรดี ทั้งคู่สูงราวสามเมตร เหมือนจะเป็นมนุษย์แต่ก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะนอกจากท่อนล่างที่สวมกางเกงยีนสีน้ำเงินกับรองเท้าบูทยาง แต่ตั้งแต่เอวขึ้นไปจนถึงหน้าอกใหญ่โตกลับปกคลุมไปด้วยขนสีน้ำตาลดกหนา มือสองข้างที่ถือหอกไฟฟ้ากลายเป็นกรงเล็บ ส่วนหัวมีลักษณะแบบเดียวกับสัตว์บนธงประจำรัฐแคลิฟอร์เนีย
นี่คือหมีกริซลีย์ที่ยืนเต็มความสูง แถมพูดได้ด้วย
โรบินอยากวิ่งแต่เธอก้าวขาไม่ออก
“สวัสดี..” โรบินไม่แน่ใจว่าเสียงที่พูดออกไปใช่เสียงตัวเองไหม มันทั้งแหลมสูงและสั่นราวกับจะร้องไห้เต็มแก่ “ลุงเฟอร์ดินานหรือเปล่าคะ?” เธอรู้ว่าคนข้างหน้าไม่ใช่ลุงเฟอร์ดินานที่อาศัยอยู่บ้านตรงข้าม ลุงไม่มีกลิ่นเหมือนซากสัตว์เหม็นหืนแบบนี้ แต่ความกลัวทำให้สติแตก
“สวัสดีคุณหนู!” มนุษย์หมีตัวที่นิสัยเป็นมิตรทักทายตอบ “เราไม่ใช่ลุงเฟอร์ดินาน แต่เราอยากกินนาน ๆ ต่างหากล่ะ!” มันยิ้มกว้างให้ คงจะดีกว่านี้ถ้าฟันทั้งหมดในปากไม่ได้ยาวแหลมจนน่าสยดสยอง
“เจ้าโอเรียสปัญญาอ่อน!” มนุษย์หมีตัวที่นิสัยโมโหร้ายใช้ด้ามหอกกระแทกอกของเจ้าตัวที่ชื่อโอเรียสจนเซไปด้านหลัง แล้วใช้ปลายหอกที่มีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนอยู่พุ่งฝ่าอากาศมาข้างหน้า หมายจะปลิดชีวิตของโรบินในคราเดียว
เธอหลบทันอย่างหวุดหวิด แต่ก็ล้มจนหงายหลัง หอกไฟฟ้าเฉียดศรีษะไปแค่นิดเดียว เธอได้กลิ่นไหม้จากเส้นผมที่ถูกเผาไปบางส่วนด้วย
ตอนนี้โรบินอยู่ในสภาพกึ่งเดินกึ่งคลาน แฝดหมีคู่นั้นอยู่ห่างไปไม่ถึงสามเมตรแล้ว พวกมันก้าวเข้ามาข้างหน้าอย่างใจเย็นเหมือนต้องการข่มขู่ สถานการณ์ตอนนี้เหมือนในหนังสยองขวัญที่เธอชอบดูกับพ่อ ตอนนั้นพวกตัวละครดูน่าสมเพชในสายตาของเธอเพราะมักจะลงมือทำอะไรที่ประหลาดจนตัวเองต้องตาย แต่ตอนนี้เธอเข้าใจทุกความรู้สึก ในหัวกำลังคิดว่าปกติแล้วพวกเขาเอาตัวรอดยังไงกันบ้าง ถ้าเธอลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งกลับบ้านไป พวกมันจะตามไปทำร้ายครอบครัวของเธอด้วยหรือเปล่า แล้วถ้าเธอสู้กลับ มีโอกาสกี่เปอร์เซ็นที่จะมีชีวิตรอดกลับไปโดยไม่มีอวัยวะใดเสียหาย
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาจากที่ไกล ๆ แต่โรบินจำไม่ได้ว่ามันหล่นอยู่ตรงไหน คงจะเป็นพ่อที่โทรมา หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก
กร๊อบ!
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็เงียบไป เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาตามกรอบหน้า ความหวังสุดท้ายหายไปแล้ว
“แอเกรียส พี่กำลังทำให้คุณหนูกลัวนะ!” โอเรียสว่า แต่เจ้าตัวที่ชื่อแอเกรียสไม่ตอบ มันสะบัดรองเท้าบูทยางออกเผยให้เห็นอุ้งเท้าแบบหมี พร้อมตั้งท่ากระโจน
โรบินตัดสินใจทำสิ่งที่โง่ที่สุดในชีวิต เธอดีดตัวไปข้าง ๆ แล้วหยิบหอกไฟฟ้าของแอเกรียสที่ปักอยู่ในเนินทรายมากอดไว้ในจังหวะที่เจ้าของของมันใช้ขาหลังพุ่งเข้ามาในจุดที่เคยยืนพอดี โรบินกลิ้งหลุน ๆ ไปตามพื้นปูนซีเมนต์จนไปกระแทกเข้ากับฐานม้าหมุน เธอรีบยันตัวขึ้นแม้จะรู้สึกเหมือนกระดูกซี่โครงหักเพราะโอเรียสกำลังวิ่งเข้ามาพร้อมหอกแบบเดียวกันที่ง้างไว้เหนือหัว
ปกติแล้วการต่อสู้กับอสุรกายไม่ได้เป็นหนึ่งใน ‘สิ่งที่ต้องทำก่อนตาย’ ของคนทั่วไปด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแม้น้ำหนักของอาวุธจะเบากว่าที่เห็นแต่โรบินก็ไม่รู้วิธีใช้อยู่ดี เธอวิ่งซ้ายทีขวาที มุดผ่านอุโมงค์ถังลอด ผ่านเสาปีนป่าย กระโดดข้ามคานกระดก เธอได้ยินเสียงโครมครามกับเหล็กที่ถูกบดขยี้ตามหลังไม่หยุด พวกมันทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าด้วยกรงเล็บสัตว์ป่า
“อย่าดื้อไปหน่อยเลยสาวน้อย” แอเกรียสว่า กรงเล็บของมันข่วนเข้าที่หลังเสื้อจนขาดวิ่น โรบินรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง พอ ๆ กับปอดที่กำลังจะระเบิด แต่เธอหยุดวิ่งไม่ได้
โรบินวิ่งข้ามถนนมาจนถึงสนามหญ้า เธอหักเลี้ยวซ้ายกระทันหัน ย่อตัวแล้วขว้างหอกไปข้างหน้า พระเจ้าเข้าข้างเธอเพราะหอกปักเข้าที่กลางลำตัวของโอเรียสพอดี แฝดหมีชะงักไปครู่หนึ่ง พวกมันหยุดวิ่ง
แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้น โอเรียสดึงหอกออก การโจมตีเมื่อครู่ทำให้มันโกรธ
“ใจกล้าดีนี่คุณหนู” โอเรียสว่า มันยื่นหอกไปให้แอเกรียส ตอนนี้พวกมันพร้อมสู้อีกครั้ง แต่โรบินไม่เหลืออะไรในมือแล้ว การเสียเลือดยิ่งทำให้สมองของเธอประมวลผลช้าลง ภาพข้างหน้าซ้อนทับกันจนกลายเป็นภาพเบลอ เงาของแฝดหมีใหญ่ขึ้นจนบดบังแสงจันทร์บนท้องฟ้า
ฟึ่บ!
เสียงอะไรบางอย่างพุ่งมาทางนี้
“อ๊ากกก!” ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของอสุรกายดังทะลุโสตประสาท โรบินไม่มีแม้แต่แรงจะยกมือขึ้นมาปิดหู ร่างของเธอล้มลงตามแรงโน้มถ่วงเพราะประคองเอาไว้ไม่ไหว ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ก่อนที่สติของเธอจะดับวูบไป เธอเห็นร่างของโอเรียส หรือแอเกรียส? ค่อย ๆ เจือจางลงจนหายไปต่อหน้าต่อตา
“โรบิน!”
“ลูกพ่อ!”
โทยา..? พ่อหรอ..?
“อ่า.. เจ้าแซเทอร์น่ารำคาญ..”