แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันนั้นสาดส่องผ่านช่องวงกลมบนเพดานโดมของโถงห้องสภาเซเนท เงาทอดลงบนพื้นหินอ่อนขัดเงาที่สลักเสลาเป็นรูปนกอินทรีสัญลักษณ์ของโรม บรรยากาศภายในห้องนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกำยานและมนต์ขลังเก่าแก่ เสียงฝีเท้าของเหล่าสมาชิกสภาเซเนทและแขกผู้มีเกียรตินั้นกระทบกับพื้นหินดังห้องกังวานไปทั่วห้องโถงกว้างขวาง ก่อนที่จะค่อย ๆ เงียบลงเมื่อทุกคนเข้าประจำที่บนม้านั่งหินอ่อนโค้งตามลำดับยศของแต่ละคน
ทว่าหนึ่งในนั้น เจ้าของเรื่อง… เอสต้า หรือก็คือ โมนีก้า เอ็ม บลอสซัม ในสายตาของเธอภาพรวมทั้งหมดดูเหมือนห้องประชุมสภาโบราณเก่ากึ๊กที่ถูกยกมาแปะปลายปี 2025 เพราะอีกแค่ 10 วันก็จะถึงปี 2026 แล้วด้วยซ้ำแบบไม่ถามความสมัครใจสักคน
ท่ามกลางความเงียบสงัดที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังนัยน์ตาหลายคู่ต่างจับจ้องไปยังศูนย์กลางของสภาแห่งนี้ ที่นั้นมีบุคคลสำคัญนั่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบไม่ว่าจะเป็นลูซิอุส คอร์เนลิอุส ฟูสกัส คนทำบัญชีสุดเนียบ ควินตัส แอนเดอร์สัน แฟรงค์ จาง ในวัยสามสิบเอ็ด และเฮเซล เลเวสก์ ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็น่าจะมีใบหน้าเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังมีเหล่าสมาชิกผู้ทรงเกียรติอย่างซาวันนาห์ รุ่นพี่กองร้อยที่สอง อารีเอล เป็นเอมพูซ่า และแอสเทอเรี่ยนจากกองร้อยสำคัญ
รวมถึงเธอ โมนีก้า ไม่สิ… ต้องเรียกว่าเอสต้ามากกว่า ร่างกายที่เธอใช้ตอนนี้เป็นที่โดนคำว่าผู้ถูกตีตราเป็นคนแบกรับภาระแห่งคำพยากรณ์ที่ทุกคนต่างรอคอยจะรับฟัง ทุกคนเหมือนจะรับรู้ได้ถึงกระแสกดดันบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศ คล้ายประกาศกลาย ๆ ว่าพรุ่งนี้อาจจะเป็นวันเริ่มต้นอะไรสักอย่างที่ถอยหลังไม่ได้แม้แต่น้อย
เสียงไม้เท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังขึ้นสามครั้ง กึก กึก กึก
มันดังก้องกังวานชัดเจนพอที่จะเสียงฮือฮาเล็ก ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในเงียบลงไปทันที เป็นสัญญาณเริ่มต้นวาระสำคัญการประชุมในครั้งนี้ สมาชิกทุกคนนั้นขยับตั้งตัวยืนตรงเหมือนถูกสั่งให้เข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้าหน้าเสาธง เอสต้ามองภาพรวมเหล่านี้ด้วยสายตาที่แสนเรียบเฉ ยเพราะเธอรู้ว่าในกระดาษนั้นคงเขียนบรรยายว่าเป็นบรรยากาศอันทรงเกียรติ แต่ในหัวของเอสต้าเธอมองว่ามันคือคาบแนะแนวเวอร์ชั่นจริงจังกว่าเดิมมากกว่าเสียอีก ถามว่ามีประโยชน์ไหม เธอยังไม่รู้เลย
ก่อนที่ไม่นาน เฮเซล เลเวสก์จะขยับตัวเล็กน้อย นัยน์ตาของเธอสะท้อนแสงจากโดมด้านบนจนดูเด่นขึ้นไปอีก เฮเซลกวาดสายตามองรอบห้องประชุมสภาเซเรท ประสานสายตากับเหล่าสมาชิกและแขกรับเชิญทั้งหลาย ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีที่พร้อมสำหรับการเริ่มต้นพิธีการ เอสต้าที่มองผ่านทุกอย่างนี้อย่างคนที่รับรู้แต่เธอไม่อินอะไรสักนิดเดียว นิ้วมือข้างหนึ่งโดนยกขึ้นมามว้วนปลายผมสีแดงเข้มที่ถูกรวบเป็นโพนี่เทลเล่น ๆ ช้า ๆ ระหว่างรอว่าเมื่อไรใครสักคนจะเปิดปากอ้าออกมาพ่นคำน่ารำคาญในสายตาของเธอเสียที ในชุดโทก้าที่โดนปรับแต่งให้มีช่องระบายอากาศได้ดีขึ้นตามนิสัยคนขี้ร้อนอย่างเอสต้า แต่ไม่ใช่แบบเจ้าของร่างอย่างโมนีก้า เธอเอนตัวสบาย ๆ ได้แม้อยู่กลางสภา ดูไม่เหมือนคนที่กำลังถูกจับจ้องในฐานะผู้รับคำพยากรณ์เท่าไรนักด้วยซ้ำ เหมือนว่าเธอจะเหมือนคนที่กำลังรอฟังใครสักคนเริ่มพูดอะไรสักอย่างที่จะทำให้เธอไม่เบื่อจนหลับไปเสียก่อน
ในหัวของเอสต้ามีคำพุดขึ้นมาแบบไม่ได้จริงจัง โมนีก้าหรือเอสต้ากันแน่วะ? ที่ควรโดนเรียกชื่อบนใบประชุมในครั้งนี้ เหอะ…
แต่เธอก็ไม่ได้ไปต่อท้ายด้วยคำตอบอะไรในหัว แต่ปล่อยให้ความคิดนั้นลอยผ่านไปเหมือนกับการเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเล่นเนคทาร์หรือไอจีแล้วข้ามโพสต์ที่ไม่อยากอ่าน ถามว่าเอสต้าจะฟังไหมงั้นหรอ? ถ้าคนที่พูดหล่อมาก เธออาจจะทำเป็นตั้งใจฟังให้หน่อยก็ได้นะ? แต่แน่นอน… ว่ากระทั่งคนที่หล่อที่สุดในโอลิมปัส เธอยังไม่ฟังเลย นับประสาอะไรกับคนที่พวกนี้ส่วนใหญ่ที่ใส่ชุดโทก้าทำหน้าตาเครียด ๆ บนสภาเหมือนกำลังจะคุยเรื่องงบประมาณของสงครามโลกครั้งที่สองที่เสียไป เวลาคิดแบบนี้แล้วเธอก็หลุดหัวเราะในใจเบา ๆ
ฮ่ะ ๆ แม่ง… ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตาเลยจริง ๆ ให้ตายสิ
ไม่นานนักผู้หญิงผิวดำก็ลุกขึ้นยืนกดศีรษะลงเล็กน้อยคล้ายขออนุญาตจากผู้มีเกียรติทุกท่านที่เข้ามารับฟัง “การประชุมครั้งนี้เปิดขึ้นเนื่องในโอกาสที่คุณโมนีก้า เอ็ม. บลอสซัม ได้รับคำพยากรณ์ซึ่งมีเนื้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง และสมควรได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม” ธิดาพลูโตอย่างเฮเซลเอ่ยขึ้นในห้องโถง เธอพูดเสียงเรียบนิ่งและชัดเจน
เอสต้ายังคงฟังแบบปล่อยอ่าน แต่ก็ยังจับใจความว่า โมนีก้า เอ็ม. บลอสซัม ได้ทุกครั้งหากถูกเรียกเหมือนมีสัญญาณเตือนในระบบหัวสมองอันน้อยนิดว่าตอนนี้ใครกำลังถูกลากเข้าประเด็นอะไรอยู่
เฮเซลที่เป็นหญิงสาวเอ่ยเปิดการประชุมอย่างฉะฉานส่งหยักรอยยิ้มบาง ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าพลางเปิดแผ่นเอกสารซึ่งคัดลอกคำทำนายที่เคยส่งมาถึงอ่านขึ้นมา เป็นเสียงของคำพยากรณ์ที่หลั่งไกลออกมาทีละบรรทัด
เมื่อรอยแยกแห่งเวลาเปิดกว้าง พลันปรากฏและพลันลับหาย
โลกถูกบิดเบือน พันธนาการแห่งสมดุลแตกสลาย
รอยรั่วโหมกระหน่ำไม่หยุดหย่อน ภัยเงียบจากห้วงบาดาล
ราชาแห่งบาดาลผู้หลับใหล บัดนี้คืนชีพ จงพึงระวัง!
ธิดาแห่งห้วงน้ำลึกผู้สาบสูญ ถูกกลืนในความโกลาหล
บุตรแห่งผู้ส่งสาร ติดอยู่ในยุคแห่งสามอาณาจักร
และบุตรแห่งคุณไสย ติดกับดักในเพลิงแห่งความหวาดระแวง
มุ่งหน้าสู่นครแห่งแรงลม ที่ซึ่งเหล็กกล้าและกระจกเงาสูงเสียดฟ้า
เจ้าจักพบบุตรแห่งจ้าวอัสนี
กรีกและโรม จักต้องร่วมมือ
เพื่อปลดปล่อยพันธนาการแห่งกาล คืนสมดุลแก่เวลา
ก่อนราชาไททันจักกลืนกินแม้ลมหายใจแห่งกาลเวลา
จงเดินทางสู่ใจกลางแห่งความรู้โบราณ ณ ที่ซึ่งมนุษย์เริ่มนับกาล
ที่ซึ่งกลไกแห่งจักรวาลบิดเบี้ยว
ณ แหล่งกำเนิดแห่งพลังงานกาลอวกาศ บัดนี้กำลังร้าวรานและเสียหาย
จงผนึกกำลัง หยุดยั้งภัยที่กำลังยึดครอง
และเยียวยากลไกแห่งกาลที่แตกหัก
ตามสัญชาตญาณแห่งโชคชะตา เจ้าจักพบสิ่งที่ตามหา...
เสียงอ่านลากยาวไปตามเนื้อหา เอสต้ารับรรู้เนื้อหาทั้งหมดอยู่แล้ว แต่สำหรับเธอนั้นมันเหมือนข้อความแจ้งเตือนยาว ๆ ที่ควรโดนย่อเหลือสามบรรทัดเสียมากกว่า เมื่อจบคำเฮเซลก็ลดมือลงจากกระดาษที่เธอถือ แล้วถอนหายใจยาว ๆ ก่อนที่จะปรับสีหน้ากลับมาพูดอย่างจริงจังทั้งที่ตอนแรกแม่งก็จริงจังอยู่แล้ว “คุณโมนีก้า ฉันต้องขอบอกว่าภารกิจนี้ทั้งยุ่งยาก ยาวนาน และคงเต็มไปด้วยอุปสรรค การพัวพันกับไททันหรือยุ่งเกี่ยวกับองค์ความรู้โบราณถือเป็นสิ่งที่เกินการควบคุมของเราไปมาก ในฐานะที่ฉันเคยเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันภัยพิบัติจากไกอา งานนี้ไม่มีคำว่าง่ายแน่นอน” เฮเซลหันมองผู้เข้าร่วมประชุมในฐานะตัวแทนฝ่ายต่าง ๆ อีกครั้ง
“ก่อนอื่น ขอเชิญสมาชิกทุกท่านให้ความเห็นต่อคำทำนายนี้ค่ะ”
เอสต้าพยักหน้าเหมือนคนที่เข้าใจเนื้อหาโดยรวม ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด เธอไม่เคยเห็นเฮเซลตัวจริงมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ใครกันนะ? ภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้หญิงผิวดำในชุดโทก้าสีเข้ม หน้าตานิ่งแต่ดูมีน้ำหนักมากพอที่ทำให้คนทั้งห้องฟังตามได้ง่ายในสายตาของธอเอง เอสต้ากำลังทำใบหน้านิ่ง เข้ม เหมือนกาแฟอเมริกาโน่ช็อตเข้มจัด แต่ในใจของเอสต้าเองกลับเต็มไปด้วยความงงสุด ๆ ไปเลย ธอหันสายตาไปทางคนอื่น ๆ แล้วเอนหลังนั่งกอดอกด้วยท่าทีสบาย ๆ ไม่ได้ถึงขั้นเคารพ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นหยามเกียรติเลยด้วยซ้ำ แค่อยากรู้เหมือนกันว่าแต่ละคนจะมีความเห็นต่อคำพยากรณ์ยาวเหยียดนี้ยังไงบ้าง
ใช่ เธอไม่เคยจะคิดอะไรเกี่ยวกับคำพยากรณ์นี้เลยสักนิด ในหัวมีเพียงเสียงบ่นของตัวเองที่ดังขึ้นมาอย่างหงุดหงิด นังโมนีก้ามันเขียนว่าอะไรนะ… อยู่ในหนังสือลายมือก็แย่ บ้าบอที่สุด บอกให้พิมพ์ไว้ในแทบเล็ตเดดาลัสไง!
สิ่งที่เขียนในหนังสือลายมือก็แย่ อ่านยากเป็นบ้า บอกแล้วว่าควรพิมพ์เก็บไว้ในแทบเล็ตเดดาลัสจะได้หาง่าย ๆ ดันไม่ทำเอง สุดท้ายก็มาตกที่เธอต้องมานั่งฟังเวอร์ชันทางการในห้องประชุมแทน
สายตาของเอสต้าขยับกรอกไปมาด้วยความเหนื่อยใจ เธอมาหยุดสายตาของตนเองที่ควินตัส แอนเดอร์สัน แม่ทัพที่ทุกคนรู้จักกันดี เธอพอจะรู้ประวัติพื้น ๆ ของเขาว่าเขาเริ่มจากการเป็นเด็กหนุ่มรัฐแท็กซัสที่โตมากับอเมริกันฟุตบอล ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับบัลลังก์หินอ่อนอะไรทั้งนั้น แต่วันนี้ต้องกลับมาใส่ชุดโทก้าสีม่วงระยับโคตรเชยสะบัดนั่งอยู่ตรงแถวสหน้าในฐานะแม่ทัพแห่งกองพันที่สิบสองฟุลมินาตา แถมยังพึ่งมีข่าวลือหน้าหนูทั้งเรื่องของหายและเคสวิกฤตที่ถาโถมเข้าใส่ค่ายจูปิเตอร์ไม่หยุด เอสต้ามองท่าทางอีกฝ่ายที่ขยับตัวเล็กน้อยเหมือนจัดท่าทางให้ไม่ปวดหลัง แล้วก็เดาเอาง่าย ๆ ว่าคนแบบนี้น่าจะอยากอยู่สนามฝึกมากกว่านั่งฟังคำพยากรณ์ในห้องอุดอู้แสนน่าเบื่ออันนี้
ควินตัสพยักหน้าเล็กน้อยให้เฮเซล แล้วจึงเอ่ยขึ้น เสียงของเขาดังกังวานไปทั่วห้องประชุม น้ำเสียงนิ่งแต่มั่นคงจนเอสต้าต้องยอมรับว่าฟังแล้วไม่หงุดหงิดเท่าที่เธอคิดไว้ในตอนแรก “ขอบคุณครับท่านเลเวสก์ที่ช่วยสรุปใจความสำคัญให้เราได้เห็นภาพชัดขึ้น ผมเห็นด้วยกับท่านเลเวสก์ครับคุณบลอสซั่ม ภารกิจนี้มันดูจะเต็มไปด้วยตัวแปรที่คาดเดาได้ยากเกินไปหน่อย โดยเฉพาะส่วนที่พูดถึงรอยแยกแห่งเวลาและการที่บุตรแห่งผู้ส่งสารเข้าไปติดอยู่ในยุคสมัยอื่น”
“ผมสงสัยว่าคำว่านครแห่งแรงลมที่พยากรณ์กล่าวถึงจะหมายถึงชิคาโกหรือเปล่า เพราะถ้าใช่ การเดินทางข้ามเขตแดนไปถึงที่นั่นในสภาวะที่กาลเวลาบิดเบี้ยวแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ สมาชิกสภาทุกท่านครับ ผมคิดว่าเราควรลองพิจารณาส่วนที่ว่าด้วยการร่วมมือกันระหว่างกรีกและโรมให้ดี เพราะนั่นอาจเป็นกุญแจสำคัญที่คำพยากรณ์พยายามบอกเรา แต่ในฐานะแม่ทัพ ผมยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของคนที่จะต้องถูกส่งออกไป คุณบลอสซั่มครับ ในบรรดาบรรทัดที่ยาวเหยียดพวกนี้ มีส่วนไหนที่คุณรู้สึกว่ามันส่องสว่างหรือดูจะสื่อสารกับคุณเป็นพิเศษบ้างไหม ผมหมายถึงในฐานะที่คุณเป็นคนรับมันมาน่ะครับ"
เอสต้าที่ฟังและรับรู้ทุกคำ แต่ความรู้สึคกของเธอกลับกำลังฟังเหมือนรีวิวเควสต์เกมยาว ๆ มากกว่าการถูกถามความเห็นจริงจังเสียอีก ในวินาทีที่สายตาหลายคู่หันกลับมามองเธอ เอสต้าปล่อยให้ความเงียบกินพื้นที่ไปชั่วหนึ่งอึดใจก่อนที่จะโคลงศีรษะเล็กน้อยเหมือนคนพึ่งนึกอะไรออก “อ๊า…” เสียงของเธอนั้นหลุดออกมาจากปากเบา ๆ คล้ายคนที่พยายามจะเริ่มต้นตอบอะไรสักอย่าง เอสต้านั้นขยับตัวคลายท่านั่งก่อนก้มมือล่วงอะไรบางอย่างออกมาจากชายเสื้อโทก้าของตัวเองที่มัดโชว์เอวด้านข้างตามสไตล์คนขี้ร้อนของเธอ
มันคือม้วนกระดาษที่เธอยัดเอาไว้แบบไม่แคร์ระเบียบการแต่งงานของสภาเซเนทด้วยซ้ำ พลางสะบัดข้อมือทีเดียวให้ม้วนกระดาษที่คลี่ออกมานั้นม้วนออกเป็นกระดาษยาวเหยียดดีดตัวลงไปกระทบพื้นหลังสภาอย่างชัดเจนและเสียงดัง
พรึบ!!
สายตาแทบทั้งห้องประชุมหันมามองเธอโดยอัตโนมัติ เอสต้านั้นมอลปลายกระดาษที่ยาวลากพื้นไปแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีเงินเทาใสจ้องควินตัสตรง ๆ “ฉันมีความรู้สึกว่า... บรรทัดที่สื่อถึงฉันนั้น....” เธอเงียบไปพักหนึ่ง ปล่อยให้ช่องว่างของเสียงยืดออกไปอย่างจงใจ ก่อนที่จะจบประโยคด้วยน้ำเสียงอันว่างเปล่าและเรียบสนิท สีหน้าที่เธอทำเป็นหน้าซื่อแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวแทบจะทันที เหมือนคนยอมรับตรง ๆ ว่าตัวเองไม่เห็นว่าอะไรในบรรทัดยาว ๆ พวกนี้มันส่องสว่างหรือส่งสัญญาณหาเธอเลยสักนิด ทั้งที่ในฐานะคนที่เป็นคนรับคำพยากรณ์เธอควรจะดูจริงจังกว่านี้แต่เธอไม่เห็นว่าตัวเองจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
“ไม่มีเลยค่ะ”
เฮเซลนิ่งไปชั่วอึดใจหลังจากที่ได้ยินคำตอบที่ตัดจบแบบหน้าตาใสของเอสต้า หรือก็คือโมนีก้าในสายตาของเธอ แววตาของสตรีผิวดำกะพริบช้า ๆ คล้ายต้องใช้เวลาประมวลผลกับม้วนกระดาษที่ยาวลากพื้นกับประโยคที่พึ่งได้ยินเมื่อครู่ ก่อนที่มุมปากของธิดาพลูโตจะยกขึ้นเล็กน้อย เธอหัวเราะในลำคอเบา ๆ พอให้คนแถวหน้าของโต๊ะได้ยิน “คำพยากรณ์เป็นแบบนี้เสมอ เลื่อนลอยราวกับบอกใบ้ แต่ก็ไม่เคยบอกอะไรที่ชัดเจน นั่นเลยเป็นสาเหตุที่การประชุมนี้เปิดขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือให้คุณ.. พอจะนึกภาพออกถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้น”
เอสต้านั้นฟังประโยคแล้วก็อยากจะหัวเราะซ้ำ ๆ ในหัวแบบกดปุ่มรีเพลย์ออกมา เพราะในมุมมองของเธอแล้วคำว่า ช่วยเหลือ มันฟังดูโอเวอร์กว่าเนื้อหาจริงพอสมควรเลยล่ะ สำหรับเธอแล้วสิ่งที่ค่ายจูปิเตอร์กับสภาเซเนททำให้มีอยู่ไม่กี่อย่างในหัวข้อ ค่าใช้จ่ายที่ไม่ครอบคลุม เงินและอาหารที่ต้องแลกกับการทำงาน ที่ซุกหัวนอน แล้วก็การยัดความรู้เข้าหัวเจ้าของร่าง ความรู้สึกในหัวเลยออกมาเป็นคำสรุปสั้น ๆ ว่า..
ก็คงจะเป็นเงินกับที่ซุกหัวนอนแล้วก็ความรู้ละมั้ง? มั้งนะ?
“อืม... ไม่รู้สิคะ พอดีฉันไม่ได้มีสมองเก่ง ๆ เท่าไรในเรื่องการตีความ หวังว่าพวกคุณจะช่วยเหลือฉันในเรื่องนี้นะคะ หากช่วยแนะนำคนที่ไม่เคยเข้าร่วมการประชุมที่แสนสำคัญอย่างฉันก็จะเป็นพระคุณมากเลยค่ะ” เอสต้าพูดด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะละมุนแบบที่ถ้าดูเผิน ๆ ก็คือรุ่นน้องที่สุภาพและให้เกียรติสภาเต็มที่ ท่าทางเนียนเสียจนแทบไม่มีใครจับได้เลยว่าในหัวสมองของคนที่พูดคิดในใจว่าตัวเองพร้อมถือมีดจ้วงแทงอยู่ด้านหลังอยู่ตลอดเวลาเลยล่ะ
สายตาของควันตัสเลื่อนไปหยุดที่ม้วนกระดาษในมือของเอสต้าอีกครั้งมันยังคังคลี่ตัวทอดยาวลากไปกับพื้นหินอ่อนเหมือนใบเสร็จในร้านขายของชำหรือใบเสร็จเวลาไปซื้อของเข้าบ้านไม่มีผิด แม่ทัพหนุ่มขยับตัวบนเก้าอี้หินที่แข็งจนคนธรรมดาปวดหลังไปแล้ว เขามองภาพรวมด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออกไม่ง่ายนักในสายตาคนอื่น ก่อนที่จะโน้มตัวเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างเป็นทางการคมเข้มตามสไตล์ของตัวเขาเอง
“ความสัตย์จริงของคุณเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากครับคุณบลอสซัม” เสียงของเขาเอ่ยแบบนิ่ง ๆ ฟังแล้วจับความประชดไม่ได้ชัด ๆ แต่เอสต้าก็แยกออกว่ามันมีส่วนผสมของความเหนื่อยนิด ๆ อยู่ด้วย “อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการตีความนิมิตที่ไม่มีอยู่จริง แต่การที่คำพยากรณ์เมินเฉยต่อเจ้าของม้วนกระดาษแบบนี้ก็ถือเป็นปริศนาที่ชวนปวดหัวเอาเรื่องเลยทีเดียว มีสมาชิกท่านไหนมองเห็นร่องรอยของคำตอบในรายการยาวเหยียดนี่บ้างไหมครับ หรือเราจะปล่อยให้ปริศนาพวกนี้เงียบหายไปพร้อมกับความสว่างที่มันไม่ยอมสำแดงออกมาเสียที”
เอสต้ามองเขานิ่ง ๆ พลางคิดในใจว่าถ้าเปลี่ยนคำว่าคำพยากรณ์เป็นรีเซิร์ชเปเปอร์ที่อ่านมาสามวันยังไม่เข้าใจน่าจะตรงกว่าด้วยซ้ำ แต่เธอเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไปแค่เลิกคิ้วนิด ๆ พร้อมกับเก็บท้วนกระดาษขึ้นจากพื้นช้า ๆ แบบม้วนเข้าตรงนั้นแหละ
ท่ามกลางวงสนทนา ซาวันนาห์ที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันนั้นก็ขยับตัวเล็กน้อย ปลายนิ้วของเธอที่แตะกำไลเทสเซราบนข้อมืออย่างเคยชิน เอสต้ารับรู้การเคลื่อนไหวนั้นจากหางตาของเธอ แถมยังจำได้ลาง ๆ จากความทรงจำของโมนีก้าว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่กองร้อยเดียวกันที่จริงจังกว่าเธอหลายเท่าตัว
“คุณบลอสซัมคะ ดิฉันพิจารณาจากใจความในคำพยากรณ์ที่กล่าวว่า กรีกและโรมจักต้องร่วมมือ แล้ว…” ซาวันนาห์เริ่มต้นด้วยน้ำเสียงชัดเจน “มันชี้ให้เห็นว่าภารกิจครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่ค่ายจูปิเตอร์จะแบกรับไว้เพียงลำพังได้ รอยแยกของกาลเวลาที่บิดเบี้ยวจนไปถึงยุคสามอาณาจักร รวมถึงภัยคุกคามจากราชาไททัน เป็นเรื่องที่ใหญ่เกินกว่าความชำนาญของพวกเราฝ่ายเดียวจะรับมือไหว” เธอกวาดตามองไปรอบห้องประชุมสั้น ๆ ก่อนจะกลับมาสบตากับเอสต้าอีกครั้ง “จริงอยู่ที่คำพยากรณ์ระบุถึงการร่วมมือกัน แต่ในสถานการณ์เร่งด่วนแบบนี้ หากจะให้ติดต่อประสานงานไปยังค่ายฮาล์ฟบลัดตอนนี้ก็คงจะไม่ทันการณ์แล้ว ดิฉันเลยอยากทราบว่าคุณมีแผนการยังไงในตอนนี้คะ? คุณวางแผนจะพาใครไปร่วมภารกิจนี้ด้วย?”
เอสต้าที่กำลังเล่นบทเป็นเซนจูเรี่ยนของกองร้อยที่ 2 นั้นต้องชะงักงันไปกับคำถามนั้นของควันตัสเป็นเสียงเอ็คโค่อยู่ไกล ๆ ในหัวของเธออยู่เลย แต่พอซาวันนาห์ถามตรง ๆ แบบนักวางแผนเธอก็จำเป็นที่จะต้องยกมือแตะคางของตัวเองพลางทำท่าทางคิดอย่างเอาจริงเอาจัง ในตอนแรกหากมองยังไงมันเหมือนว่าเธอกำลังพยายามชั่งน้ำหนักทางยุทธศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงสมองของเอสต้ามีแค่ประโยคที่ลอยวิ่งวนอยู่ในหัวไม่กี่อัน
หนึ่ง คือ เธอคือเอสต้า ไม่ใช่โมนีก้า
สอง คือ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครหน้าไหนนั่งอยู่ตรงไหนบ้าง
สาม คือ คนถามเป็นรุ่นพี่กองร้อยที่ 2 ของ โมนีก้า ไม่ใช่ของเธอ
“ไม่รู้ค่ะ”
คำตอบของเอสต้านั้นถูกปล่อยออกมาจากปากแบบตาใสสุด ๆ น้ำเสียงเรียบแต่ตรงไปตรงมาจนคนฟังอาจจะรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าเบา ๆ ด้วยความจริงที่เอสต้าไม่มีอะไรในหัวสมองเลยสักนิด เอสต้ากะพริบตาช้า ๆ แล้วต่อประโยคโดยที่ไม่เว้นช่องให้ใครแทรก “แต่เอาความจริงตอนแรกฉันอยากจะไปคนเดียวอยู่หรอกค่ะ แต่ถ้าต้องมีใครไปเข้าร่วมภารกิจก็ได้มั้งคะ? ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเหมาะสม ฉันไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไรค่ะ เพราะวัน ๆ ฉันก็ทำแต่งาน งาน งาน แล้วก็ งาน แล้วก็ออกไปทำภารกิจ แล้วก็กลับมาทำงาน วน ๆ แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะเจอคนก็ย๊ากกก ยากค่ะ”
คำว่า งาน งาน งาน แล้วก็ งาน ถูกเน้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหย่ายใจแบบที่คนเคยอยู่เวรดึกติดต่อกันหลายวันคงอินด้วยง่าย ๆ เอสต้าพูดจบก็ยิ้มบาง ๆ ส่งให้คุณซาวันนาห์ ท่าทางเหมือนคนที่ยอมรับสภาพว่าชีวิตตัวเองมีแต่ตารางภารกิจจริง ๆ ส่วนในหัวเธอตอนนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
คือฉันไม่ได้โกหกว่าไม่รู้จักใครเลยนะ เพราะฉันคือเอสต้า ไม่ใช่โมนีก้า ว๊อย ใครเป็นใครยังไม่รู้ตัวเลย ฮืออ ใครก็ได้ เฮลป์มี! ฉันจำหน้าใครไม่ได้สักกะคน!
ทว่าหากมองด้านนอกเอสต้ายังคงนั่งยิ้มสุภาพเหมือนเดิมในขณะที่ในใจบ่นเป็นพายุ ฝ่ามือที่ถือม้วนกระดาษขยับนิดหน่อยเหมือนกำลังหาวิธีเอาตัวรอดจากการถูกโยนคำถามเรื่องแผนการเดินทางใส่กลางวง ซึ่งสำหรับเอสต้าแล้วมันยังห่างจากคำว่าวางแผนไปไกลมาก
ลูซิอุส คอร์เนลิอุส ฟูสกัสนั่งนิ่งอยู่บนม้านั่งหินฝั่งวุฒิสมาชิก มือข้างหนึ่งของเขานั้นวางพาดบนพนักเก้าอี้ อีกข้างแตะขอบโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ แสงจากใต้โดมตกกระทบเสี้ยวหน้าคมทำให้เขาดูเคร่งขรึมกว่าปกติ เอสต้ามองผ่านไปแบบคนที่จำหน้าใครไม่ค่อยได้ มีแต่โน้ตตัวโตในหัวว่าคนนิ่ง ๆ ชุดเนี๊ยบ = ฟูสกัส ฝ่ายการเงิน เท่านั้นเอง ชายคนนั้นเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ชัดเจนพอจะสะท้อนก้องไปทั่วโถง “ตอนนี้พวกเรากำลังเหมือนคลำทางจากคำพยากรณ์กันอยู่ กรีกและโรมต้องร่วมมือ...นั่นแปลว่าตัวแปรในการทำภารกิจครั้งนี้อาจมีชาวสายเลือดกรีกมาร่วมด้วย ซึ่งนั่นอาจหมายถึงธิดาแห่งห้วงน้ำลึก บุตรแห่งผู้ส่งสาร และบุตรแห่งคุณไสย...” เอสต้ามองปากของเขาขยับไปเรื่อย ๆ พยายามถอดเสียงของเขาเข้าหัวเหมือนกำลังฟังอาจารย์สอนวิชาตัวเองที่ไม่ได้อยากจะลงทะเบียนเรียนด้วยซ้ำในมหาวิทยาลัย
“คุณแอนเดอร์สันให้ความเห็นว่าควรเริ่มต้นจากเมืองชิคาโกใช่ไหม ก็มีความเป็นไปได้....แต่หลังจากนั้นล่ะ ผมกำลังสงสัยว่าเราควรหาตัวสามคนนี้ให้เจอเป็นอันดับแรกเพื่อเป็นกุญแจในการไขไปสู่ขั้นตอนต่อไปหรือเปล่า” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หันมาทางเอสต้าเต็มตัว สายตาของเขานิ่งมากจนเอสต้ารู้สึกเหมือนโดนเรียกตอบคำถามหน้าชั้นในวิชาที่แม่งไม่ถนัดเลยสักนิดเดียว “คุณบลอสซัม ในฐานะที่คุณได้รับคำพยากรณ์นี้ คุณได้ลองหาข้อมูลในส่วนนี้เพิ่มเติมมาบ้างหรือเปล่าครับ”
ในหัวของเธอแม่งมีแต่คำว่า ยังจะให้หาข้อมูลอะไรอีกละวะ? ในเมื่อคนที่ควรทำการบ้านเรื่องคำพยากรณ์บ้า ๆ นี้คือโมนีก้าไม่ใช่เอสต้า แต่คนที่โดนลากมานั่งประชุมคือเธอ ที่เป็นเอสต้า หญิงสาวเหมือนอยากจะกัดปลายลิ้นตัวเองนิดหน่อยกันไม่ให้หลุดพูดแบบนั้นออกไปต่อหน้าสภาเซเนท
เสียงเคาะโต๊ะเบา ๆ ด้านหน้าเรียกความสนใจของทุกคนกลับไปยังเฮเซล เลเวสก์ ธิดาพลูโตที่นั่งอยู่ใกล้โพเดียม (ทุ่มแม่งเลยดีไหม?) เฮเซลเอนตัวมาข้างหน้า จนปลายนิ้วเคาะกับผิวหินอ่อนเป็นจังหวะช้า ๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “ฉันพอจะตีความได้บ้าง ไม่ทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็จุดเริ่มต้น” เอสต้าหันไปมองผู้หญิงผิวเข้มผมดัดสีน้ำตาลนั้นอย่างดูนิ่งและมั่นคงเหมือนเสาหลักประธานค่ำคอในห้องประชุมแห่งนี้เมื่อเธอพูด “นครแห่งแรงลมเป็นฉายาของชิคาโก จุดเริ่มต้นคงเป็นที่นั่น แต่เมื่อพูดถึงอารยธรรมโบราณของสองฝั่งที่ร่วมรากเดียวกันอย่างกรีกและโรมัน.. อาจต้องวนกลับไปที่ยังพื้นที่เก่าแก่.. อาจเป็นกรีซ? แต่เมื่อคำพยากรณ์ที่กล่าวถึงผู้เคราะห์ร้ายอื่นดูเหมือนจะมีโครงที่เกี่ยวข้องกับเวลา บางทีคุณโมนีก้าอาจถูกรอยแยกพากลับไปยังช่วงเวลานั้น”
สายตาของเฮเซลหันกลับมามองเอสต้าจนเธอรู้สึกเหมือนโดนเรียกไปเขียนโครงการใส่มือโดยที่ยังไม่ได้อ่านแม้แต่หัวข้อเลยด้วยซ้ำ เอสต้าส่งยิ้มสุภาพไปให้อีกฝ่ายสักหนึ่งที ทั้งที่ในใจคิดว่าถ้าจะโยนตัวเองลงหลุมกาลเวลาก็คงต้องมีสักคนต้องเซ็นยินยอมหรือเปล่าวะ? อาจจะต้องมีด้วยสิ? เพราะเลสเตอร์ไม่น่าจะยอม
ไม่นานเสียงขยับเก้าอี้หินก็ดังขึ้นจากชั้นบน แฟรงค์ จาง เขาอยู่ในชุดโทก้าของแม่ทัพนั่งหลังตรง มองลงมาที่กลางโถงประชุม สีหน้าของเขานิ่ง แต่น้ำหนักสายตาทำให้เอสต้ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในห้องสอบมากกว่าสภา เธอเคยเห็นเขาจากระยะไกลในฐานะตำนานของค่าย แต่ไม่เคยมีโอกาสคุยตรง ๆ เลยสักครั้งเดียว เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นตามประสาคนที่เคยเป็นแม่ทัพ
“หากกล่าวถึงธิดาแห่งห้วงน้ำลึก ผมนึกถึงคุณเอลิน่า เลทาเนีย ธิดาแห่งเนปจูน อดีตสมาชิกกองร้อยสอง เพื่อนร่วมกองร้อยของคุณบลอสซัม เธอหายไปกลางมหาสมุทรในภารกิจตามหาทองคำจักรพรรดิเมื่อต้นปี ผมคิดว่าเธอคนนั้นอาจเกี่ยวข้องกับภารกิจนี้ไม่มากก็น้อย” ชื่อที่พูดเอ่ยขึ้นทำให้หลายคนในห้องต้องขยับตัวเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่มีน้ำเสียงอื้ออึงนัก เอสต้ารู้สึกว่าบรรยากาศมันเย็นลงนิด ๆ อย่างที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบเครื่องปรับอากาศเลยแม้แต่น้อย เธอเองกลับมีคำหนึ่งขึ้นมาในหัว
ใครวะ?
แม่งลากยาวอยู่ในความทรงจำของโมนีก้าที่รั่วออกมาไม่ทัน ณ จุดนี้ เอสต้าที่ได้ยินชื่อคนหน้าไม่คุ้นอีกคนก็พยักหน้าเหมือนเขาเรื่องทั้งที่ในหัวกำลังอุทานคำหยาบชุดใหญ่ เธอก้มมองม้วนกระดาษในมือมองลายมือของเจ้าของร้านตัวจริงแล้วอยากจะถามว่านี้เอามือหรือเอาส้นตีนเขียนวะเนี้ย เพราะแต่ถอดทีละตัวอักษรก็เเหมือนกับทำเควสย่อยที่ใช้เวลานานเกินควรแล้ว
ฉันไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีนะโมนีก้า!!
เอสต้าสูดหายใจ เปิดโพยในมือขึ้นอ่านอีกครั้งแล้วตัดสินใจตอบอย่างใจเย็นกว่าที่เคย “เอ่อ จากที่เห็นฉันก็ไม่แน่ใจว่าสามคนนั้นเป็นคนจากฝั่งกรีกหรือเปล่านะคะ อืม.. ธิดาแห่งห้วงน้ำลึกอาจจะสายเลือดเทพสมุทร แต่ฉันไม่เข้าใจคำว่าถูกกลืนในความโกลาหน” เธอเลื่อนสายตาไล่ตัวหนังสือไปบนกระดาษอย่างตั้งใจมากกว่าที่หัวสมองของตัวเองจะตามทัน แต่ปากก็ยังคงเดินหน้าพูดต่อไป “ส่วนบุตรแห่งผู้ส่งสารก็ค่อนข้างชัดเจน ยุคแห่งสามอาณาจักรนั้นฉันเดาว่าอาจจะเป็นสองอย่าง คือยุคสามก๊กของจีน ช่วง ค.ศ.220-280 หรือยุคสามราชอาณาจักรของเกาหลี ประมาณ 57 ปีก่อนคริสตกาล จนถึง ค.ศ.668 หรืออาจจะเป็นยุคสามอาณาจักรของเวียดนามก็ได้นะคะ เพราะตามประวัติศาสตร์เวียดนามมีช่วงที่แผ่นดินถูกแบ่งแยกออกเป็น 3 อาณาจักรช่วงศตวรรษที่ 16-17 หรือจะเป็นยุคเซ็นโกกุของญี่ปุ่น”
เอสต้ารู้สึกได้ว่าหลายสายตาหันมามองเธอแบบพร้อมเพียงกันนั้นแหละถึงนึกออกว่าตัวเองพูดรัวเหมือนไล่ลิสต์สารคดีทางประวัติศาสตร์อยู่กลางสภาเซเนท แต่ไหน ๆ ก็ออกตัวไปแล้ว เอสต้าก็ทำเป็นว่านี้คือแผนการที่วิเคราะห์ไว้ก่อนซึ่งเตรียมมาอย่างดีจาก คุณ บลอส ซัม
และตอนที่ได้ยินคำว่าเอลิน่าอีรกครั้งเธอก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีกชั่ววินาทีชิบหายแล้ว เหมือนความทรงจำของโมนีก้าพยายามจะดันตัวขึ้นมาจากก้นสมอง แต่ติดอะไรบางอย่างที่ล็อกไว้เธอเลยเลือกเล่นตามน้ำด้วยคำตอบตรง ๆ “คุณเอลิน่านั้นฉันไม่ทราบเลยค่ะว่าเป็นใคร เคยเห็นแต่ชื่อในกองร้อยที่สองเก่าค่ะ เธอน่าจะหายไปก่อนที่ฉันจะเข้าค่ายจูปิเตอร์ในช่วงวันที่ 6 กันยายนสินะคะ” พูดจบก็พยายามทำหน้าเครียดให้สมกับบทบาท ทั้งที่ในหัวคือคำว่า
กูไม่รู้จักเลยโว้ยยย
คำนั้นกระแทกซ้ำ ๆ ไปมาเหมือนกับชายแก่ในสภาของประเทศไทย ไม่รู้ ๆ ไม่รู้ ๆ
“ข้อสังเกตของท่านจางเรื่องคุณเลทาเนียมีน้ำหนักมากทีเดียวครับ” เสียงของควินตัสจะดังขึ้นอีกครั้งจากแถวที่นั่งของพวกแม่ทัพ เขาขยับตัวนิดเดียวเพื่อเรียกความสนใจจากคนทั้งห้อง เอสต้าจ้องเขาอย่างระมัดระวังเพราะทุกครั้งที่เขาพูด เหมือนจะมีงานเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้เสมอ “หากเธอคือธิดาแห่งห้วงน้ำลึกที่ถูกกลืนในความโกลาหลจริง ภารกิจนี้ก็ไม่ใช่แค่การกู้คืนกาลเวลา แต่มันคือการพามรดกของโรมกลับบ้านด้วย”
เขาหยุดพูดชั่วครู่ก่อนพูดต่อ “ผมเห็นด้วยกับคุณฟูสกัสครับว่าชิคาโกคือจุดเริ่มที่ชัดเจนที่สุด แต่สิ่งที่กวนใจผมคือเรื่องบุตรแห่งผู้ส่งสารที่ติดอยู่ในยุคสามอาณาจักร หากนั่นหมายถึงประวัติศาสตร์แถบเอเชียตะวันออก การส่งคนของกองพันเดินทางข้ามทั้งพรมแดนและกาลเวลาไปถึงที่นั่นคงเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนกันอย่างรัดกุมที่สุด ส่วนบุตรแห่งคุณไสยในเพลิงแห่งความหวาดระแวง ผมเกรงว่ามันอาจจะสื่อถึงเหตุการณ์เลวร้ายอย่างการล่าแม่มดในอดีต ซึ่งที่นั่นไม่ใช่ที่ที่ใครจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปได้โดยไม่มีการเตรียมตัว”
เอสต้าที่ได้ยินแบบนั้นก็คิดเงียบ ๆ ว่า ถ้าจะให้เธอไปยุคไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ยุคล่าแม่มดจะเป็นบุญกับชีวิตของเธอโคตร ๆ เพราะแค่พกดาบกับกลิ่นไลแลคไปโผล่ผิดที่ผิดเวลา เธอก็คงโดนลากไปมัดไว้กับเสาแล้วก็เผาไฟเป็นอันดับต้น ๆ อยู่ดีแน่ ๆ เลยล่ะ
ควันตัสละสายตาจากม้วนกระดาษแล้วหันมาสบตากับเอสต้าแบบตรง ๆ “คุณบลอสซัมครับ แม้คุณจะบอกว่าไม่รู้จักใครเลย แต่ในฐานะคนรับคำพยากรณ์ โชคชะตาได้ผูกโยงคุณเข้ากับเรื่องนี้แล้ว ผมเชื่อว่ากองพันของเรามีคนเก่ง ๆ มากมายที่พร้อมจะสนับสนุนคุณ”
“แต่การจะคัดเลือกใครไปเสี่ยงชีวิตในรอยแยกของเวลานั้น สภาเซเนทต้องมั่นใจว่าคนกลุ่มนั้นจะมีศักยภาพพอที่จะประสานรอยร้าวของกาลเวลาได้จริง ท่านจางครับ ผมมีความเห็นว่าเราควรเริ่มจากการตรวจสอบรายชื่อสมาชิกที่มีความเชื่อมโยงกับเทพผู้ส่งสารและเทพแห่งเวทมนตร์ในค่ายเราควบคู่ไปกับการหาเบาะแสที่ชิคาโก คุณเห็นด้วยไหมครับ”
เอสต้ามองหน้าคนที่พูดสลับกับเฮเซลแล้วลากสายตากลับมาที่ม้วนกระดาษของตัวเองอีกครั้ง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนถูกโยนเข้าไปกลางห้องคอนเฟอเรนซ์ที่ทุกคนคุยกันเรื่องโปรเจกต์ระดับโลก ในขณะที่เธอยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่แผนกไหนกันแน่ ในหัวของเอสต้าเต็มไปด้วยคำถามที่กองพะเนินเทินทึก
ตกลงเธอต้องพาใครกลับมากันแน่ กี่คนกันวะ? 1 คน? 2 คน? หรือ 3 คน หรือทั้งก๊กเลย? แต่พอคิดไปถึงคำว่าข้ามกาลเวลา ข้ามทวีป ข้ามสมดุลของจักรวานเธอก็แค่รู้สึกว่ามันเยอะเกินไปสำหรับรอยหยักในสมองของตัวเองที่มีอยู่อย่างจำกัดเสียเหลือเธอ เอสต้าอ้าปากเล็กน้อยก่อนสุดท้ายจะเลือกปิดมันลงแล้วปล่อยให้ความเงียบตอนแทนทุกอย่าง
“...”
ที่เลือกที่จะเงียบเพราะเธอแม่ง งงโคตร ๆ เลยล่ะในตอนนี้ เอสต้าทำเพียงนั่งนิ่ง ๆ พยายามใช้หัวสมองอันน้อย ๆ ของตัวเองเก็บรายละเอียดทุกคำที่หล่นอยู่กลางห้องประชุมเหมือนกำลังนั่งจดโน๊ตบทสรุปซีรี่ย์ที่เปิดข้ามไปแล้วสามตอน ขออย่างเดียวในใจตอนนี้คือขอให้การประชุมบ้า ๆ นี้จบลงเร็ว ๆ ที จะได้มีเวลาไปนั่งเปิดโพยอ่านอีกรอบว่าจริง ๆ แล้วคำพยากรณ์ของโมนีก้ากำลังจะลากเธอไปตายมุมไหนของโลกกันแน่
