เจ้าของ: God

[ตรงกลางระหว่างบ้านพักทั้งหมด] กองไฟแห่งเฮสเทีย

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2024-12-26 23:59:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2024-12-27 00:28

Dean ตอบกลับเมื่อ 2024-12-26 23:29 262ความสูญเสียที่มากเกินไป 22/12/2024 เวลา 01.00 น. ...
60. AfterThe winter solstice War

-22.12.24  /  01:00AM.-


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


หลังจากการต่อสู้ที่กินเวลายืดเยื้อไปกว่าครึ่งค่อนวัน ในที่สุดสงครามภายในค่ายก็สงบลงด้วยความช่วยเหลือของเดมิก็อดจากค่ายฝั่งจูปิเตอร์ อสุรกายตัวสุดท้ายถูกกำราบลงด้วยบุตรมหาเทพโพไซดอนอย่างดีน แต่ถึงอย่างนั้นสงครามตรงหน้าประตูทางเข้าค่ายฮาล์ฟบลัดก็ยังไม่สิ้นสุดลง แม่ทัพควินตัสจากค่ายจูปิเตอร์และอาสาสมัครบางส่วนที่ยังพอมีแรงจึงไปเป็นกำลังเสริมต่อสู้กับฝูงอสุรกายและเทพโลกิต่อ


“เฮ้ ! ดีน นายโอเคไหม บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”


ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจของชาวค่าย แมคเคนซีรีบเก็บอาวุธในมือแล้วไปช่วยพยุงคนรักที่เกือบจะล้มลง แต่ยังดีที่อีกฝ่ายใช้อาวุธช่วยค้ำยันร่างตัวเองไว้เสียก่อน


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


“นายควรทำแบบนั้นตั้งนานแล้ว”


แมคเคนซีมุ่นคิ้วเล็กน้อย เขาสังเกตเห็นใบหน้าอิดโรยของดีนตั้งแต่พบอีกฝ่ายในบ้านหมายเลข 3 แล้ว และพวกเขาก็ยังต่อสู้กับพวกอสุรกายมาจนถึงตอนนี้ อยากจะดุอยู่เหมือนกันแต่ก็คิดว่าไม่ใช่เวลาที่จะทำเช่นนั้น เดมิก็อดหนุ่มบุตรแห่งเทพีเฮคาทีจึงทำได้เพียงแค่ช่วยพยุงคนรักไปนั่งพักตรงบริเวณโรงพยาบาลสนาม เพียงไม่นานก็มีหน่วยแพทย์คนหนึ่งมาช่วยดูอาการให้ดีน


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


ระหว่างที่ดีนกับเขาได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แมคเคนซีก็มองสำรวจสถานการณ์และพื้นที่รอบตัวไปด้วย ค่ายฮาล์ฟบลัดในตอนนี้เหมือนไม่ใช่สถานที่ที่เขาเคยรู้จัก ภาพเหล่าเดมิก็อดที่เคยทำกิจวัตรประจำวันอย่างสงบสุขถูกแทนที่ด้วยภาพของผู้บาดเจ็บ เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะแห่งความสุขถูกปิดทับด้วยเสียงร้องไห้หวาดกลัวและความหวาดระแวง สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ บ้างก็ถูกทำลาย บางส่วนถูกเผาไหม้จนเสียหาย จากตรงนี้เมื่อมองไปยังบ้านหมายเลข 20 ของตนเองก็ไม่อาจระเมินได้ว่ามีส่วนใดเสียหายไปบ้าง หากทุกอย่างคลี่คลายแล้วเขาคงต้องรีบไปดูสักหน่อย


ผ่านไปสักพักใหญ่กองกำลังที่ไปสู้รบอยู่ตรงหน้าประตูค่ายก็พากันกลับมาซึ่งนี่อาจเป็นเครื่องหมายที่บอกให้รู้ว่าศึกครั้งนี้ค่ายฮาล์ฟบลัดได้รับชัยชนะ แต่ความเงียบงันอันผิดปกติที่ควรจะเป็นนั้นกลับทำให้นึกแปลกใจ


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


 นอกจากกลุ่มเดมิก็อดที่เพิ่งสู้รบเสร็จแล้วเดินเข้ามาในค่ายก็ยังมีกลุ่มเปลสนามที่พากันหามผู้ได้รับบาดเจ็บมาวางเพิ่มตรงพื้นที่โรงพยาบาลสนามกันไม่หยุดหย่อน แต่กลับมีเปลหนึ่งที่ดูไม่รีบร้อนแต่อย่างใด ผู้ที่นอนอยู่บนเปลนิ่งสงบไม่ไหวติง จนกระทั่งเปลนั้นถูกหามมาวางไว้ที่ตรงหน้ากองไฟเฮสเทีย แมคเคนซีซึ่งนั่งอยู่ข้างดีนโดยให้อีกฝ่ายซบไหล่ต่างหมอนมองไปยังจุดนั้น ใบหน้าของคนคนนั้นช่างคุ้นตาเพียงแต่เขานึกไม่ออกว่าเป็นใคร


ท่ามกลางความเงียบราวกับทุกคนในที่นั้นต้องมนตร์สะกด คุณไครอน ผู้อำนวยการแห่งค่ายฮาล์ฟบลัดที่เวลานี้สวมชุดเกราะสำหรับออกรบเดินฝ่าวงล้อมเข้ามาตรงกองไฟที่ร่างนั้นถูกวางอยู่ สีหน้าของเซนทอร์เคร่งขรึมระคนเจ็บปวดต่างจากยามปกติที่มักจะยิ้มให้เหล่าเดมิก็อดอย่างอบอุ่นอยู่เสมอ เขาค่อย ๆ วางหมวกเกราะในมือลงข้างร่างนั้น ฝ่ามือใหญ่ลูบดวงตาที่ยังปรือปิดไม่สนิทราวกับกำลังบอกร่างที่นอนอยู่ให้หลับไหล ภาพตรงหน้าทำให้แมคเคนซีจะเริ่มเดาสถานการณ์ออกแต่ในใจก็ไม่คิดหวังให้เป็นเช่นนั้น


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


“เขาตายเหรอ?...”


“ไม่จริงน่า….”


“ต้องล้อเล่นกันแน่ ๆ”


“เอลลิสเนี่ยนะ!!”


เสียงกลุ่มคนรอบตัวเริ่มซุบซิบดังเซ็งแซ่ ในที่สุดแมคเคนซีก็รู้ว่าบุคคลผู้นั้นคือใคร ‘เอลลิส’ บุตรแห่งเทพแอรีสนั่นเอง แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่ก็เคยได้ยินดีนพูดถึงชื่อนี้ให้ฟัง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบหน้าคนรักของเขาเท่าไหร่ ส่วนสาเหตุมาจากอะไรก็จำแทบไม่ได้แล้ว


“ขอทาง!! ขอทางหน่อย!!!”


ท่ามกลางผู้คนที่กำลังแตกตื่น เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งฝ่าเข้ามากลางวงล้อมแล้วหยุดร้องไห้ฟูมฟายตรงหน้าเอลลิส


“ไม่!! เอลลิส ไม่จริง!!! นายตื่นขึ้นมาสิ!!!”


เสียงตะโกนปนสะอื้นที่เต็มไปด้วยความเจ็บช้ำช่วยตอกย้ำว่าภาพตรงหน้าเป็นเรื่องจริง เอลลิส บุตรแห่งเทพแอรีสได้จากไปอย่างไ่มีวันหวนกลับ ผู้คนในที่นั้นต่างพากันหลั่งน้ำตา แมคเคนซีขบริมฝีปากแน่นรีบเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้าด้วยอาการน้ำตาคลอหน่วย เขากุมมือดีนตอบกลับแน่นส่วนอีกมือก็ลูบผมสีเข้มปลอบอีกฝ่ายที่ซุกหน้ากับไหล่เรียกชื่อเขาด้วยเสียงแผ่วเบาไปด้วย


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ] 


“ไง…ซันซ์”


เสียงใครสักคนทักพวกเขา พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นซันซ์ มาเดิล เคานต์ บุตรแห่งมหา เทพโพไซดอนอีกคนหรือก็คือน้องชายของดีนนั่นเอง  สีหน้าของเด็กหนุ่มดูไม่ค่อยสู้ดีไม่ต่างกับพวกเขาเท่าไหร่นัก เมื่อดีนเห็นว่าเป็นใครจึงผละจากเขาออกไป ซึ่งแมคเคนซีเองก็เข้าใจดีถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายในตอนนี้จึงปล่อยให้พี่น้องได้พูดคุยกันสักหน่อย 


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ] 


“ก็…คิดว่าโอเคดี จูลี่ก่อนหน้านี้หอบกำเริบ แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ส่วนซิลเวอร์…รายนั้นน่าจะยังแข็งแรงดีอยู่”


เมื่อถูกถามถึงพี่น้องร่วมบ้านแมคเคนซีจึงอธิบายสถานการณ์ให้ซันซ์ฟัง ตอนกลับจากป่าต้องห้ามมาที่ค่าย พยาบาลสนามได้บอกอาการของน้องชายเขาแล้ว ตอนนี้น่าจะยังนอนพักดูอาการอยู่ที่ห้องพยาบาล ส่วนซิลเวอร์พี่คนโตของบ้าน หลังจากช่วยต่อสู้กับฝูงอสุรกายที่เข้ามาโจมตีในค่าย หมอนั่นก็เป็นอาสาสมัครไปช่วยรบกับกองทัพโลกิที่หน้าประตูค่าย และแมคเคนซีก็สังเกตเห็นอีกฝ่ายกลับมากับกองทัพพร้อมพยุงเดมิก็อดคนหนึ่งที่บาดเจ็บมาด้วย


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ] 

.


.


.

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ] 


@Daemon 


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


“สวัสดี ฉันแมคเคนซี คลอดด์ ลินคอล์น ยินดีที่ได้รู้จัก…เดมี่ ?”


แมคเคนซีแนะนำตัวอีกครั้งหลังดีนแนะนำเขาด้วยชื่อย่อไปพร้อมกับยื่นมือไปจับมือกับเดมิก็อดเพื่อนใหม่ตรงหน้าตามมารยาทก่อนจะค่อย ๆ คลายมือออก เขาเคยได้ยินดีนพูดถึงอีกฝ่ายมาบ้างในฐานะเพื่อนร่วมทีมเมื่อตอนที่ไปทำภารกิจด้วยกัน เมื่อมองพิจารณาดูแล้วอีกฝ่ายยังดูอ่อนวัยและงดงามสมกับเป็นบุตรแห่งเทพีอะโฟรไดท์จริง ๆ


@Daemon 


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


เมื่อแนะนำตัวทำความรู้จักกันเสร็จแล้ว ไทสัน ไซคลอปส์ บุตรแห่งมหาเทพโพไซดอนอีกคนก็เข้ามาแจกอาหาร แมคเคนซีจำไทสันได้ ชายหนุ่มคือคนที่คอยอธิบายเรื่องที่ดีนโดนมหาเทพ  โพไซดอนเรียกพบด้วยวิธีพิสดาร (?) จนไม่ทำให้เขาตระหนกจนเกินไป ดูท่าดีนจะดีใจมากที่ยังเห็นพี่น้องยังอยู่พร้อมหน้าจึงสวมกอดไทสันไปอีกคน


“ขอบคุณ…”


แมคเคนซีกล่าวขอบคุณพลางรับอาหารจากไทสันมาถือไว้ เขาลืมไปเลยว่ายังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่กลางวัน จนกระทั่งได้กลิ่นซุปหอม ๆ จึงรู้สึกหิวขึ้นมา


@Daemon 


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


“พวกนายคุยกันไปก่อน ฉันขอตัวแป๊บนึง”


เหมือนว่าดีนกับเดม่อนมีเรื่องที่ต้องคุยกัน ซึ่งมันอาจไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องรู้ พอดีกับที่แมคเคนซีเหลือบไปเห็นซิลเวอร์กับจูลี่ยืนอยู่ไม่ไกลนักจึงขอตัวออกไปคุยกับทั้งคู่ก่อน


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


@Daemon 


หลังจากพูดคุยสอบถามอาการของทั้งซิลเวอร์และจูลี่เสร็จ พอหันกลับมามองก็เหมือนว่าดีนจะสนทนากับเดม่อนเสร็จแล้ว เขาจึงเดินกลับมาหา


“คุยกันจบแล้วเหรอ”


เขาถามเพียงแค่นั้นแต่ไม่ได้คิดจะถามรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม


[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


“จูลี่ดีขึ้นแล้ว ออกจากห้องพยาบาลมาได้แล้ว ซิลเวอร์บอกว่าเดี๋ยวจะดูแลต่อเอง ให้ฉันมาดูแลแฟนบอยของฉันให้ดี ๆ”


แมคเคนซีบอกเล่าอาการของจู่ลี่พร้อมทั้งถ่ายทอดคำพูดของพี่ชายตัวแสบให้ดีนฟัง


“อืม คงต้องเป็นงั้น ซิลเวอร์บอกว่าบ้านมีส่วนเสียหายอยู่บ้าง ระหว่างนี้คงต้องนอนบ้านเฮอร์มีสไปก่อนจนกว่าจะซ่อมบ้านเสร็จ”


พอพูดถึงเรื่องที่ต้องเปลี่ยนที่นอนชั่วคราวแมคเคนซีก็ถอนหายใจบาง ๆ ซิลเวอร์บอกว่าบ้านหมายเลข 20 ซึ่งเป็นบ้านของพวกเขาได้รับความเสียหายจากการบุกทำลายของพวกอสุรกาย โชคยังดีที่เจ้าตัวมาเห็นทันจึงกำจัดอสุรกายพวกนั้นแล้วใช้เวทย์กางบาเรียป้องกันส่วนที่เป็นห้องสมุดซึ่งเก็บตำราเก่า ๆ ของบ้านและห้องปรุงยาที่เก็บสมุนไพรต่าง ๆ ไว้ได้ ส่วนที่ถูกไฟเผาก็ใช้เวทย์น้ำดับไปก่อนแล้ว บ้านพวกเขาจึงได้รับความเสียหายเพียบางส่วนเท่านั้น ซึ่งหลังจากนี้พวกเขาคงต้องช่วยกันซ่อมบ้านอีก แค่คิดก็เหนื่อยล่วงหน้าไปแล้ว


แต่ตอนนี้พวกเขาจำเป็นต้องพักผ่อนกันก่อน แมคเคนซีกับดีนวางถ้วยซุปที่ว่างเปล่าลงตรงที่พวกเขาเคยนั่ง แล้วพากันไปยังบ้านเฮอร์มีสที่จากนี้จะกลายเป็นที่นอนชั่วคราวของทั้งคู่และ    เหล่าเดมิก็อดที่บ้านถูกทำลายจนเสียหาย




รางวัลร่วมสู้ศึกสุดท้าย  :  100 ความกล้าหาญ

รางวัลจบงานปาร์ตี้ (เฉพาะคนร่วมปกป้องค่าย)  

+100 พลังน้ำใจ / +30 ดรักม่า / +3 Point

+500 เกียรติยศ และ 500 ความกล้าหาญ

กินอาหารในงานเลี้ยงจนอิ่ม  :  +100 พลังงาน

+ความสัมพันธ์กับ NPC รุ่นพี่ทุกคนที่อยู่ค่าย 50 แต้ม

ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของเอลลิส  :  +15EXP



@God


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] ไทสัน เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-27 00:04
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] โซเฟีย คลาร์ก เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-27 00:04
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-05] คริสโตเฟอร์ บราวน์ เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-27 00:04
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ไพเพอร์ แม็กลีน เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-27 00:03
God
คุณได้รับ +500 เกียรติยศ +600 ความกล้า โพสต์ 2024-12-27 00:01

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +100 เหรียญดรักม่า +30 พลังงาน +100 ย่อ เหตุผล
God + 100 + 30 + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Hydro X
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
แจ็คเก็ต YANKEES
รองเท้าเซฟตี้
น้ำหอม Unisex
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
สร้อยข้อมือถัก
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x13
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x15
x15
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x2
โพสต์ 2024-12-29 01:19:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2024-12-29 12:06





22 ธันวาคม 2024
เวลา 01.10 น.



เอโลอิสกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาด้วยความยากลำบากจากอาการบาดเจ็บและความอ่อนเพลีย ทุกก้าวที่เดินมีความเจ็บแปลบอยู่เล็ก ๆ แม้ว่าบาดแผลของเธอจะเล็กน้อยและไม่เป็นอะไรมากก็ตาม เคอร์ติสและสุมิตรวิ่งตามเธอมาติด ๆ ด้วยความเป็นห่วงเพราะลำพังเอโลอิสเองก็ยังไม่หายดีและรู้ว่าสิ่งที่รออยู่ที่บริเวณกองไฟนั้นคืออะไร

เมื่อถึงบริเวณกองไฟเฮสเทีย เอโลอิสพบว่ามีผู้คนจำนวนมากยืนมุงอยู่รอบ ๆ ทั้งหมดยืนกันอย่างเงียบงัน แต่บรรยากาศที่ควรจะเป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองศึกที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานที่ได้รับชัยกลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานนักก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากฝูงชนเดมิก็อดมุง

“ขอทาง!! ขอทางหน่อย!!!”

หนุ่มน้อยแจสเปอร์ บุตรแห่งแอรีสที่กำลังจะต้องเดินทางไปทำภารกิจคำพยากรณ์กับเอโลอิสขอทางแหวกฝูงชนอย่างรีบร้อน สภาพของเขาดูสะบักสะบอมไม่ต่างจากเดมิก็อดคนอื่น ๆ ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้

“ไม่!! เอลลิส ไม่จริง!!! นายตื่นขึ้นมาสิ!!!”

เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นจนเอโลอิสทนสงสัยต่อไปไม่ไหวเลยเขย่งขามองลอดผ่านฝูงชนเข้าไป พบร่างอันแน่นิ่งของเอลลิสกับแจสเปอร์ที่กำลังปล่อยโฮออกมาด้วยความเศร้าเสียใจที่สูญเสียน้องชายร่วมสายเลือด วินาทีนั้นเองที่เอโลอิสรู้ในทันทีว่าสิ่งที่เธอกลัวว่ามันจะเกิดขึ้น บัดนี้มันได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ขอของเธอที่วิ่งมาจนถึงกองไฟได้โดยไม่เป็นอะไรมาก อยู่ดี ๆ ก็อ่อนยวบลงไปเสียอย่างนั้น เธอทรุดลงไปนั่งกับพื้นไม่อยากเชื่อสายตาในภาพที่เพิ่งเห็น น้ำตาของเอโลอิสคลอเบ้าเล็กน้อย ถึงเธอจะไม่ค่อยสนิทกับเอลลิสสักเท่าไหร่แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นคนแปลกหน้าไปเสียทีเดียว เหตุการณ์นี้ทำให้เธอทำตัวไม่ถูก แต่จะร้องไห้ปล่อยโฮออกมามันก็ร้องไม่ออกเช่นกัน

“เอลลิส…จากไปแล้วจริง ๆ เหรอ…” เธอพึมพำกับตัวเองไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่

สุมิตรย่อตัวลงมาโอบไหล่น้องสาวแล้วตบบ่าเธอสองสามทีเป็นการปลอบใจ เขารู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นใครก็ต้องช็อค แม้แต่ลูกของเทพสงครามก็ยังมีวันเพลี่ยงพล้ำ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น และทางค่ายก็จำเป็นต้องเยียวยาจิตใจของเดมิก็อดคนอื่นที่รอดชีวิตมาได้

ในคืนนั้นเองแม้บรรยากาศจะไม่เหมาะแก่การเฉลิมฉลองแต่ทางค่ายก็จัดเลี้ยงอาหารให้แก่เหล่านักรบชาวค่ายผู้มีความกล้าหาญ บอกตามตรงว่าเอโลอิสไม่ค่อยเจริญอาหารสักเท่าไหร่ ทีแรกเธอปฏิเสธที่จะกินด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็โดนพี่สุมิตรเอาอาหารยัดปากไปหลายคำเพราะกลัวว่าเธอจะไม่หายป่วยในเร็ววัน อีกทั้งยังได้ข่าวว่าบ้านเฮเฟตัสของพวกเขาได้รับความเสียหายจากการโจมตีของอสุรกาย จบศึกคราวนี้ก็เหนื่อยพอดู แต่ดูท่าแล้วยังต้องเหนื่อยกับการซ่อมบ้านอีกหลายวันทีเดียวเชียวล่ะ…



างวัลจบงานปาร์ตี้ (เฉพาะคนร่วมปกป้องค่าย): 
+100 พลังน้ำใจ / +30 ดรักม่า / +3 Point
+500 เกียรติยศ และ 500 ความกล้าหาญ
+100 พลังงาน กินอาหารในงานเลี้ยงจนอิ่ม

+ความสัมพันธ์กับ NPC รุ่นพี่ทุกคนที่อยู่ค่าย 50 แต้ม







แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] ไทสัน เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-29 15:00
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] โซเฟีย คลาร์ก เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-29 15:00
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-05] คริสโตเฟอร์ บราวน์ เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-29 14:59
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ไพเพอร์ แม็กลีน เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-29 14:59
God
คุณได้รับ +500 เกียรติยศ +500 ความกล้า โพสต์ 2024-12-29 14:59

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +100 เหรียญดรักม่า +30 พลังงาน +100 ย่อ เหตุผล
God + 100 + 30 + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
โพสต์ 2024-12-30 19:03:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
Dean ตอบกลับเมื่อ 2024-12-26 23:29 262ความสูญเสียที่มากเกินไป 22/12/2024 เวลา 01.00 น. ...







Daemon  Kannel

22 · ธันวาคม · 2024 
 · 01.00 น.
               ท่ามกลางความโกลาหล ณ ใจกลางค่าย…

               เดม่อนลุกขึ้นจากเตียงในห้องพยาบาลก่อนเขาจะหยิบไม้ค้ำที่รุ่นพี่เตรียมไว้ให้เดินออกมาดูสถานการณ์ ดูเหมือนเสียงดังไปทั่วเลย ค่ายจะวุ่นวายพอสมควรอีกทั้งเขาเห็นควันไฟโขมงหลายจุดในค่าย ดูเหมือนทางเนินรูปปั้นอะธีน่ากำลังทำอะไรบางอย่างเพื่อซ่อมแซมกำแพงล่องหนค่าย 

               เดม่อนรู้ได้ทันทีว่าค่ายคงโดนตีแตก เขาหมดสติไปนานแค่ไหนแล้วกันนะ 'บ้าเอ๊ย' เขาอ่อนแอเกินไปสินะ ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่านี้ได้สักหน่อยล่ะก็.... เขาคงจะเป็นกำลังให้ค่ายได้มากกว่านี้ เขากำหมัดให้กับความอ่อนแอของตัวเองก่อนจะเดินค้ำไม้เท้าไปทางทิศที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไป

               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               เดม่อนหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเห็นคนคุ้นเคย ดูเหมือนดีนจะปลอดภัยดีสินะ เขาเดินกะเผลกเข้าไปหาอีกฝ่าย

               "ไงดีน และ...." เดม่อนทักทายเพื่อนก่อนหันไปทางอีกคน ทั้งคู่หรือจะใช่คน ๆ นั้นที่เป็นข่าวซุบซิบของดีนหรือเปล่านะ ก่อนคลี่รอยยิ้มทักทาย

               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               [ดูโรลเพลย์แมค]

               "เรียกเดม่อนก็ได้ ฉันเดม่อน แคนเนลท์..." เดม่อนทักทายเพื่อนใหม่ก่อนจะหันไปทางไซคลอปส์รุ่นพี่อีกคน พี่ไทสัน เดินตรงมาทางนี้พร้อมกับถาดอาหารพะรุงพะรังเต็มมือ

               หลังแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อยฝ่ายบริการอาหารก็ยกมาเสิร์ฟ คน ๆ นั้นคือ ไทสัน ไซคลอปส์ผู้เป็นบุตรแห่งโพไซดอนอีกคนนึง “อาหารมาเสิร์ฟแล้ว พวกนายคงเหนื่อยกันมามาก กินกันไปก่อน”

                เดม่อนยืนมองดีนที่รีบลุกทันทีเมื่อเห็นของกินก่อนเขาแอบอมยิ้มกับมุมนี้ของอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะเดินกะเผลกตามไป

               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               “ฉันก็ดีใจเหมือนกันดีนที่เห็นนายยังอยู่ตรงนี้” ไทสันได้แต่เพียงอมยิ้ม ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่รู้เลยว่าควรจะปั้นหน้ายังไง ความจริงแล้วหลังศึกสงครามใหญ่ คนในค่ายควรได้เฉลิมฉลองยินดี แต่ในเมื่อวันนี้เกิดการสูญเสียความยินดีเหล่านั้นจึงสูญตาม “แต่ว่า.. รับอาหารไปก่อนเถอะ”

               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               “พวกนายก็ด้วยนะ กินบำรุงกันหน่อย กินของร้อน ๆ ก่อนนอนเผื่อจะได้หลับสบายขึ้น” ไทสันผู้ใจดีบอกแก่รุ่นน้องทั้งสอง เมื่อแจกจ่ายอาหารกับคนกลุ่มนี้เสร็จเขาก็ขอตัวไปช่วยเสิร์ฟอาหารต่อ

               [ดูโรลเพลย์แมค]

               "ขอบคุณครับ เพิ่งฟื้นมากำลังหิวพอดีเลย" เดม่อนพูดขึ้นก่อนค้ำข้างหนึ่ง และยื่นแขนไปหยิบแซนวิสมาแกะกิน 

               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               [ดูโรลเพลย์แมค]

               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               "งืม...เหมือนผมจะพลาดท่า โดนพวกลัทธิประหลาดจับตัวในดีทรอยต์..." เดม่อนพูดขึ้นพลางหลบสายตาดีน ก่อนจะมองที่กองไฟ "แต่ต้องขอบคุณลิเลียน่าที่เธอเชื่อคำพูดแม่ของผม เธอตามความฝันมาจนเจอผม...." เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะเงียบไป นั่นเท่ากับว่าลิเลียน่ารู้เรื่องที่ดีนรวมหัวกับเขาโกหกเธอแล้ว

               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               "ขอโทษนะดีนที่ทำให้นายโดนหางเลขไปด้วย..." เดม่อนพูดขึ้นพลางมองกองไฟตรงหน้า "ว่าแต่ช่วงนี้นายเป็นยังไงบ้างงั้นเหรอหลังจากกลับจากภารกิจ"

               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               "โห..." เดม่อนอึ้งกับสิ่งที่ดีนเล่า ไม่คิดว่าเขาไม่อยู่หลายเดือนมานี้ค่ายจะมีเรื่องมากมายให้ตามเก็บเลย เขารู้สึกว่าอ่อนแอเกินไป โชคดีนะที่ลิเลียน่าเธอไม่เป็นอะไร... เขาเผลอคิดถึงยัยฉลาดขึ้นมาอีกแล้วโดยไม่รู้ตัว 

               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               "หืม... ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคิดว่าอะพอลโลคงจะเล่นสนุกเกินเหตุไปหน่อยละมั้ง" เดม่อนครุ่นคิดตามที่ดีนพูด หากเป็นลิเลียน่าอยู่ที่นี่ บางทีเธออาจจะพอคิดอะไรที่แตกต่างจากเขาออกก็ได้  

               "ว่าแต่นายไม่ลองไปขอคำพยากรณ์ดูเหรอ เผื่อบางทีเราอาจจะได้รู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ก็ได้" เดม่อนพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมา
               
               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               เดม่อนมองอีกฝ่ายก่อนจะหยิบแหวนเธซีอุสออกมา "ฉันคิดว่าบางทีเธซีอุสอาจจะไม่โทษนายก็ได้นะ" เขาโยนแหวนก่อนมันจะกลายสภาพเป็นดาบสีฟ้าเปล่งประกาย

               [ดูโรลเพลย์ดีน]

               เดม่อนพยักหน้าตอบรับอีกฝ่าย ก่อนเขาจะมองดูดาบในมือ 'ผมอยากรู้วิธีที่คุณใช้ผนึกเจ้าสิ่งนั้นจัง แม้จะต้องแลกมาด้วยชีวิตผมก็ยินดีทำ ในเมื่อคุณเลือกผม...' เดม่อนพูดขึ้นพลางจ้องมองดาบสีฟ้าแวววาว



รางวัลร่วมสู้ศึกสุดท้าย:  100 ความกล้าหาญ

รางวัลจบงานปาร์ตี้ (เฉพาะคนร่วมปกป้องค่าย):

+100 พลังน้ำใจ / +30 ดรักม่า / +3 Point

+500 เกียรติยศ และ 500 ความกล้าหาญ

+100 พลังงาน กินอาหารในงานเลี้ยงจนอิ่ม


+ความสัมพันธ์กับ NPC รุ่นพี่ทุกคนที่อยู่ค่าย 50 แต้ม

 

NC

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ไพเพอร์ แม็กลีน เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-30 19:14
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-05] คริสโตเฟอร์ บราวน์ เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-30 19:14
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-06] เอมีเลีย (แมรี่) แอร์ฮาร์ต เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-30 19:13
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] ไทสัน เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-12-30 19:13
God
คุณได้รับ +500 เกียรติยศ +600 ความกล้า โพสต์ 2024-12-30 19:13

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +100 เหรียญดรักม่า +30 พลังงาน +100 ย่อ เหตุผล
God + 100 + 30 + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x7
x10
x1
x2
x1
x11
x2
x8
x1
x2
x1
x3
x2
x1
x18
x1
โพสต์ 2024-12-31 08:47:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-12-31 08:51

269
แด่ เอลลิส เวคฟิลด์ ชายผู้สง่าเหมือนกับดาว
               
               29/12/2024 เวลา 15.30 น. - 18.00 น.

               วันแห่งพิธีการไว้อาลัยได้มาถึง… วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใสตลอดทั้งวัน ราวกับทวยเทพดลบันดาลส่งวิญญาณของผู้กล้าขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ไม่ใช่วันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มสายฝนโปรยปรายเหมือนในฉากหนัง

                ไม่คิดเลยว่าสูทสีดำที่เตรียมไว้เผื่อได้สมัครงานในนิวยอร์ก จะถูกสวมใส่อีกครั้งในงานขาวดำแบบนี้ ชายหนุ่มพยายามแต่งตัวเนี้ยบที่สุดในชีวิตอย่างไม่เคยเป็น ผมเผ้าจัดทรงเรียบร้อย โกนหนวดเคราออกจนใบหน้าเกลี้ยงเกลา สิ่งที่ดีนทำให้เอลลิสเป็นครั้งสุดท้ายได้ นอกจากแต่งตัวสุภาพเพื่อให้เกียรติคงเป็นสคริปบทไว้อาลัยในมือที่เหล่าสายเลือดแห่งโพไซดอนช่วยกันเรียบเรียงขึ้นมา

                .
                .
                .

                “ถ้าให้พูดถึงเอลลิส… ข้อดีของหมอนั่นคือวินัยการฝึกฝนอย่างเข้มงวด ฉันไม่เคยเห็นเอลลิสขาดซ้อมเลยสักครั้ง เด็ก ๆ หลายคนมองเขาเป็นแบบอย่างของวีรบุรุษที่ดี”

                จากปากคำของซันซ์ เอลลิสเป็นคนมุมานะและขยันขันแข็ง เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เหล่ารุ่นน้องในค่ายที่อยากเดินตามรอยวีรบุรุษตาม

                “พี่เอลลิสเคยช่วยหนูด้วยค่ะ ตอนนั้นหนูหกล้มแล้วพี่เขาเข้ามาถามว่าหนูเป็นอะไรมากไหม ให้หนูขี่หลังแล้วพาไปส่งห้องพยาบาลด้วย”

                ใครจะเชื่อว่าเอลลิสผู้เลือดร้อนคนนั้นจะมีมุมใจดีอ่อนโยนกับเด็ก หากคำพูดนี้หลุดออกจากปากของเด็กใส่ซื่อบริสุทธิ์อย่างรีชา รับรองว่าเป็นเรื่องจริงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น

                “ผมไม่ค่อยรู้จักเขาเท่าไร แต่ถ้าอยากให้ช่วยเกลาคำก็เรียกได้นะครับ”

                เจโรมเป็นเด็กคนละรุ่นกันกับเอลลิส ด้วยความเป็นไอดอลนักดนตรีของอีกฝ่ายคงต้องฝากให้น้องชายคนนี้ช่วยดูแลความสละสลวยของบทไว้อาลัย

                “ฉันก็ไม่ได้รู้จักเขามากมาย โทษทีนะที่ช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ว่าฉันพอจะช่วยตรวจทานสคริปได้นะ”

                แม้ไทสันจะไม่สนิทกับเอลลิส แต่พี่ชายใจดีก็ยินดีช่วยเหลือเรื่องนี้อย่างเต็มที่

                “ขอบคุณนะทุกคน ถึงเอลลิสจะจากไปแล้ว แต่ถ้าจิตวิญญาณของเขายังอยู่ตรงนี้ พวกเขาต้องรับรู้ถึงความใจดีของทุกคนแน่ แล้วก็ขอบคุณนะที่ให้ฉันเป็นตัวแทนกล่าวบทอาลัยนี้ของพวกเราทุกคน”

                และสุดท้าย เป็นดีนที่แบกความคาดหวังของพี่น้องร่วมสายเลือดไว้บนบ่า ในฐานะของที่ปรึกษาของกระท่อมโพไซดอน

                .
                .
                .

                ก่อนเริ่มงาน…

                “สวัสดีครับคุณไครอน” ดีนกล่าวทักทายผู้อำนวยการด้วยอาการเกร็ง ๆ แม้ไครอนจะดูสุขุมนุ่มลึก ทว่าช่วงเวลาอันหนักหน่วงตลอดสัปดาห์นี้ทำให้ดีนรู้สึกว่าอีกฝ่ายแก่ลงไปสักร้อยปีเห็นจะได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่เขาคิดไปเอง

                “สวัสดีคุณดีน ทางกระท่อมหมายเลขสามเป็นอย่างไรบ้าง”

                ไครอนเอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเขามัวแต่วุ่นวายซ่อมแซมพื้นที่ส่วนกลางให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม แม้ไม่ได้ไปไถ่ถามความสะดวกสบายจากกระท่อมแต่ละหลัง แต่เขาก็มีหูมีตาในค่ายอยู่มากที่จะส่งความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนไปถึงที่ เช่น ข่าวสารจากมาร์ธา คอสตาคิส มนุษย์สาวซึ่งอยู่ท่ามกลางเดมิก็อด และช่วยดูแลขวัญกำลังใจแก่พวกเขาราวกับมารดาอีกคน และไหนจะแซเทอร์ที่มีอยู่มากมายทั่วทั้งค่าย

                “ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วครับ เพราะว่าที่บ้านโพไซดอนคนเยอะพวกเราเลยทำงานเสร็จกันไว วันที่เหลือเลยมีเวลาพอไปช่วยบ้านหลังอื่นด้วย”

                “ขอบคุณที่ช่วยดูแลฮาล์ฟบลัด” ไครอนวางมือแตะบ่าของที่ปรึกษาแห่งบ้านโพไซดอนเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะชักมือออกแล้วหยิบถุงเงินซึ่งดีนรู้แน่ชัดว่าคือดรักม่า เพราะว่าเขาเคยเห็นถุงเงินนี้มาก่อน “ค่าเหนื่อยนิดหน่อยเป็นสินน้ำใจ ได้ข่าวว่าคุณเองก็ออกเงินส่วนตัวเพื่อซ่อมบ้านด้วยเช่นกัน”

                “ขอบคุณครับคุณไครอน ความจริงสิ่งที่ผมจ่ายก็เพื่อสร้างห้องใหม่ไม่ใช่ซ่อมแซมบ้านเลยครับ แต่ถึงอย่างนั้นในเมื่อรับเงินมาแล้วผมก็ไม่คืน ขอบคุณอีกที…” ดีนยิ้ม “จริงสิ… ผมเป็นตัวแทนของกระท่อมหมายเลขสาม อยากจะกล่าวไว้อาลัยแก่เอลลิสสักหน่อยครับ ไม่ทราบว่าได้หรือเปล่า?”

                “คุณเป็นตัวแทนสินะ…” ไครอนเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถาม “ในมือคุณคือสคริปใช่ไหม ขอผมตรวจสอบก่อน”

                “ได้ครับ”

               ดีนส่งบทพูดให้ไครอนโดยไร้ข้อกังขา จากท่าทีเหมือนอีกฝ่ายไม่ไว้ใจขึ้นมาทันที หลังจากที่ดีนบอกว่าเขาคือคนพูด คงจะกลัวว่าชายหนุ่มคนนี้จะเล่นอะไรแผลง ๆ ใส่คำพูดประหลาดหรือลบหลู่คนตายล่ะมั้ง โธ่.. อย่างน้อยเขาก็รู้จักกาละเทศะนิดหน่อย ไม่กล้าพูดจาเสีย ๆ หาย ๆ ว่าร้ายผู้ตายต่อหน้าที่สาธารณะหรอก…

                เมื่อไครอนคัดกรองบทไว้อาลัยจากบ้านโพไซดอนจบเขาก็ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะส่งกระดาษใบนั้นคืนให้แก่ดีน “คุณเขียนได้ดี ทุกคนในบ้านคงช่วยกันสินะ”

                “ใช่แล้วครับ ทุกคนพยายามถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดของเอลลิสลงมาในบทไว้อาลัยฉบับนี้” ดีนโล่งอกที่ไม่มีปัญหา คงเพราะได้พี่ใหญ่อย่างไทสันเป็นคนช่วยกรองในขั้นสุดท้ายก่อนนำมาท่องจำ

                ไครอนพยักหน้าเบา ๆ ก่อนแจ้งกำหนดการให้ดีนทราบอีกครั้ง “การไว้อาลัยของชาวค่ายจะเริ่มช่วงห้าโมงเย็น หากว่าคุณพร้อมก็ขึ้นต่อจากคุณอลิเซียได้เลย ในตอนนี้ยังไม่มีคนอื่นมาขออนุญาตกล่าวคำไว้อาลัย”

                “โอเคครับ ผมจะไม่ทำให้งานเสีย”

                พิธีการใกล้เริ่มขึ้นไครอนจึงขอตัวเตรียมความพร้อมอื่น ๆ ส่วนดีนก็เข้านั่งประจำที่ รวมกลุ่มกับเหล่าพี่น้องในบ้าน สายตาของเขามองไปทางบ้านเฮคาที จนสายตาสบกับหนุ่มผมบลอนด์ย้อมสีเจ้าของดวงตาสีฮาเซล ทั้งคู่ก็ได้เพียงแต่พยักหน้าให้แก่กันถือว่าเป็นคำทักทาย

                .
                .
                .

                16.00 น. [อ้างอิงพิธีการทั้งหมดจาก Honoring Ellis Wakefield: Legacy of a Warrior]

                พิธีการเริ่มขึ้นด้วยการกล่าวเปิดงานของเทพไดโอนีซุส ซึ่งวันนี้อีกฝ่ายแต่งกายสุภาพเป็นพิเศษ เป็นวันแรกที่ดีนได้ยินคุณดีเรียกชื่อคนในค่ายถูกโดยไม่ผ่านการเสริมเติมแต่งอย่างบรรเจิดเพริศแพร้ว พิธีการเป็นไปอย่างโศกเศร้า เพียงแค่ฟังคำไว้อาลัยไม่กี่คำก็เรียกน้ำตาให้นองหน้าตามได้ ดีนคิดถูกที่วันนี้เลือกใส่แว่นตาแทนที่จะเป็นคอนแทกเลนส์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำแนะนำจากเจโรมด้วย

                ‘งานนี้น่าจะเรียกน้ำตาได้ ผมคิดว่าพี่ใส่แว่นไปดีกว่า ถ้าร้องไห้ขึ้นมาแล้วเผลอขยี้ตา มันจะแสบตาหนักมากเลยครับ’

                เพียงแค่ฟังคุณดีกล่าวคำอาลัยรีชาก็ปล่อยโฮออกมาทำให้ดีนต้องกอดปลอบน้องสาวตัวเล็ก ความจริงเขาก็หาประโยชน์จากเธอ.. ใช้ไหล่น้อย ๆ บังหน้าเอาไว้ ปิดบังคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่ให้ดูเป็นคนอ่อนไหวมากเกินไป…

                คุณดีกล่าวจบต่อด้วยการเปิดงานของคุณไครอน ตอนนี้ในหัวของดีนอื้ออึงไปหมด เขาไม่คิดว่าตนจะอ่อนไหวกับคำอำลาที่มาจากผู้อำนวยการได้ เอลลิสเคยทำเรื่องไม่ดีกับเขาอย่างร้ายแรง หากพลาดไปตามคำแนะนำของอีกฝ่าย เขาอาจจะตายเลยก็ได้ แต่ดีนเลือกที่จะไม่จดจำมัน แล้วระลึกถึงผู้จากไปตามถ้อยคำของไครอน


                บทเพลงโศกบรรเลงทว่าฮึกเหิมดังก้องยิ่งเสริมสร้างบรรยากาศแห่งการจากลาของโศกนาฏกรรม ดีนรู้สึกทนฟังไม่ไหว เขาจึงขอตัวลุกออกจากที่นั่งเพื่อไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย ไม่งั้นได้กล่าวบทไว้อาลัยไม่รู้เรื่องแน่ ๆ…

                ชายหนุ่มกลับเข้ามาในงานอีกครั้งในเวลาสิบหกนาฬิกาสามสิบนาที ตรงกับช่วงเวลาที่เทพแอริสลงมาจากโอลิมปัสเพื่อกล่าวคำอำลาแก่ลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย เขาจึงไปยืนรอข้างเวทีกับอลิเซีย คอร์เนอตี้ คนรักของเอลลิส แทนที่จะกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง โฉมงามจากบ้านแห่งความรักมีสีหน้าเศร้าโศก ดวงตาแดงก่ำ

                “เสียใจด้วยนะอลิเซีย..” เขาเอ่ยคำพูดเพียงบางเบากับหญิงสาวผู้สูญเสียหัวใจอีกครึ่งนึงของเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ

                เธอหันกลับมา แค่นยิ้มอย่างรวดร้าวแทนคำขอบคุณทว่าไร้สุ้มเสียงตอบกลับ ราวกับความเศร้าทั้งหลายได้เผาผลาญเสียงหวานใสจากลำคอจนเหือดแห้ง เขาควรจะสวมกอดปลอบประโลมเธอไว้เหมือนกับที่กอดรีชา แต่ไม่อาจทำได้... ส่วนหนึ่งที่ทำให้เอลลิสไม่ชอบดีนเป็นเพราะครั้งหนึ่งอลิเซียเคยบอกว่าปลื้มที่เขาเป็นคนตลก ดีนทำไม่ได้แม้แต่จับมือเธอมาบีบแน่น ๆ แทนบอกว่า ‘เธออ่อนแอได้ แต่เธอยังมีพวกเราทุกคนในฮาล์ฟบลัดอยู่เคียงข้าง’ ทว่าหญิงสาวคงรับรู้ถึงเจตนานั้น เธอต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้ด้วยกำลังของตัวเอง ด้วยปีกคู่นี้ที่จะโบยบินออกไปในวันฟ้าสว่างอย่างสง่างาม ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไร.. ช้าเร็วไม่รู้ ทว่าวันนั้นต้องมาถึงอย่างแน่นอน

                นอกจากคนรักแล้วยังมีบิดาเทพอีกองค์ที่โศกเศร้าไม่แพ้กัน ความโศกาของเทพเจ้าแห่งสงครามทำให้ดีนได้รู้ว่าแม้แต่เทพเจ้าก็ยังหลั่งน้ำตาได้อ่อนไหวเป็น ชวนให้เขาหวนคิดไปว่าหากคนตายคือตนพ่อจะรู้สึกอย่างไรบ้าง ที่แน่ ๆ คงไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รู้สึกรู้สากับการเสียชีวิตของบุตรและธิดา ชายหนุ่มเคยฟังตำนานของดวงดาวมาบ้าง มีวีรบุรุษหลายคนที่เสียชีวิตไปและกลายเป็นดวงดาวบนท้องนภาจากพรของบิดาที่มอบให้ เพื่อจารึกกิตติคุณความดีไว้เป็นตำนาน เพียงแค่แหงนหน้ามองฟ้าก็จะได้เห็นประกายแสงของผู้กล้า

                แอรีสจะทำแบบนี้กับเอลลิสหรือเปล่านะ? อีกไม่นานจะมีดวงดาวใหม่เกิดขึ้นแล้วถูกตั้งชื่อว่า ‘เอลลิส’ หรือเปล่า

                เมื่อจบจากเทพแอรีสก็ถึงคราวของอลิเซีย.. ตอนนี้ชายหนุ่มอยากขอความช่วยเหลือจากใครสักคน ต้องทำยังไงถึงจะไม่ร้องไห้จากบทไว้อาลัยจากเธอได้นะ? สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คงเป็นการสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทำสมาธิเพื่อไม่ให้ขึ้นไปปี่แตกบนเวที จนกระทั่งอลิเซียเดินลงมาแล้วมีพี่น้องร่วมบ้านอะโฟร์ไดท์รอต้อนรับ ดีนมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนรู้สึกสับสนใจความทรงจำ

                ‘บ้านนี้...ไม่ใช่มีคนมากกว่านี้เหรอ?’

                แต่ไม่มีเวลาคิดต่อในเมื่อเขาถูกคุณไครอนสะกิดให้ขึ้นไปกล่าวบทไว้อาลัยเป็นคนถัดไป…

                .
                .
                .

                “สวัสดีทุกท่าน ผมดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล ที่ปรึกษาจากกระท่อมหมายเลขสาม โพไซดอน... เป็นตัวแทนกล่าวบทไว้อาลัยจากพี่น้องทุกคนในบ้าน คือ.. พวกเราทั้งหมดช่วยกันรวบรวมความรู้สึกรำลึกถึง เอลลิส เวคฟิลด์ นี่จึงเป็นความรู้สึกจากพี่น้องบ้านโพไซดอนทุกคนครับ”

                ความตื่นเต้นทำให้ชายหนุ่มพูดวกไปวนมา พอมาอยู่ในจุดนี้แล้วมันยากมากยิ่งกว่าออกไปพรีเซนต์งานวิจัยแบบคอนเฟอเรนซ์เสียอีก ทว่าไม่มีสิทธิ์ให้พูดใหม่... เขาจึงต้องเดินหน้าลุยต่อสถานเดียว ดีนคลี่สคริปเปิดอ่านแต่… โอ้ ให้ตายสิ! เขาเผลอขยำจนมันยับยู่ยี่แถมยังชื้นเหงื่อไปหมดจนหมึกเลอะติดฝ่ามือ สงสัยต้องใช้วิธีด้นสดจากความทรงจำเพียงอย่างเดียว เขาจึงตัดสินใจพับสคริปในมือลงในกระเป๋าเสื้อ แว้บหนึ่งที่ดีนเห็นว่าคุณไครอนหน้าเสีย…
               
                “แม้ว่าผมอาจไม่ได้สนิทสนมกับเอลลิส แต่ทุกคนคงประจักษ์กันดีแล้วว่า เอลลิสเป็นมิตรแท้ที่พึ่งพาได้ เขาพยายามอย่างหนักเพื่อฝึกฝนตนเอง ให้เชี่ยวชาญการต่อสู้เพื่อเป็นวีรบุรุษที่กล้าหาญ เพื่อเกียรติยศ เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อปกป้องทุกคนจากภัยร้ายที่คุกคามฮาล์ฟบลัด”

                ดีนรู้สึกคันยุบยิบในใจเพราะว่าเขาไม่เคยเห็นด้วยกับแนวคิด ‘การสร้างเด็กเพื่อเป็นวีรบุรุษ’ มาก่อน แต่นั่นคือความคิดฝังหัวของเดมิก็อดเกือบทุกคนไปแล้วว่าควรเดินในเส้นทางวีรบุรุษ ความจริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นควรจะมีชีวิตที่ดีเพื่อตนเองหาใช่ศักดิ์ศรีที่กินไม่ได้

                “ไม่มีวันไหนเลยที่เราไม่เห็นเอลลิสอยู่ที่สนามฝึกซ้อมหรืออัฒจันทร์ ความมุมานะ ความมีวินัย ความบากบั่น ความกล้าหาญ ความพากเพียร คือแบบอย่างที่ดีที่รุ่นน้องหลายคนได้ทำตาม นอกจากนี้แล้วเอลลิสยังมีมุมอ่อนโยนเล็ก ๆ ที่หลายคนอาจมองไม่เห็นจากโฉมหน้าที่มุทะลุดุดันของเขา รีชาน้องสาวผมเล่าว่าเอลลิสเคยช่วยเหลือตอนที่เธอหกล้มและพาไปที่ห้องพยาบาล เขาดูแลเธออย่างดีประดุจว่าเธอเป็นน้องสาวอีกคน”

                “สำหรับชาวค่าย เอลลิสอาจเป็นน้องชาย เป็นพี่ชาย เป็นเพื่อนสนิท หรือเป็นคนรัก.. แต่สำหรับผมแล้วเอลลิสคือหลานชาย… คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ หากนับญาติกันตามสายเลือดความจริงคือแบบนั้น และผมก็คิดเช่นนั้นมาตลอด แม้ไม่ได้สนิทกันแต่ก็คอยเฝ้าดูการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเขาอยู่ตลอดเวลา น่าเสียดายหากพวกเราได้สนิทกันมากกว่านี้ ได้พบเจอกันในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ก็คงดี…”

                น้ำเสียงที่เอ่ยท้ายประโยคแผ่วเบา ดีนพยายามสูดจมูกเอาไว้ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เสียงไมค์ดูดเสียง ‘ซื้ดดด’ ใหญ่ ๆ ไว้อย่างชัดเจน และเผยแพร่มันออกทางลำโพง

                “สุดท้ายนี้ผมไม่อยากจะเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของเขา เอลลิสไม่ได้ไปไหนไกลเลย เพราะว่าเอลลิสอยู่ในใจผม และอยู่ในใจของพวกคุณตลอดไป สิ่งสุดท้ายที่อยากจะกล่าวคือคำขอบคุณ ผมรู้สึกขอบคุณเอลลิสอย่างสุดหัวใจที่เป็นฮีโร่ของเด็ก ๆ ขอบคุณที่ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอในยามตกยาก ขอบคุณที่เป็นมิตรสหายและคนรักที่ดีของอลิเซีย ไม่ต้องบรรยากก็รู้สึกได้เลยว่าเขารักเธอมากแค่ไหน และฝากคำขอบคุณนี้ไปถึงเทพแอรีสด้วยแม้ว่าเขาจะไปแล้ว ลูกชายของคุณเข้มแข็งและกล้าหาญ สมกับเป็นบุตรแห่งเทพสงครามจริง ๆ”

                “ผมขอพูดอีกครั้ง แม้ว่าร่ายกายของเขาจะสลายไป ทว่าเอลลิสยังคงสง่าเหมือนกับดาว ขอบคุณครับ…”

                .
                .
                .

                ดีนลงจากแท่นพิธีจากนั้นก็รีบตรงกลับไปหากลุ่มบุตรธิดาเจ้าสมุทร

                “นี่พวกนาย คำกล่าวไว้อาลัยของฉันเป็นไงบ้าง?”

                “ก็ดีนะ เอ่อ… แบบว่าเหมือนจะตรงกับสคริปสักสามสิบเปอร์เซ็นได้” ซันซ์กล่าว รู้สึกใจหายวาบตอนที่ดีนเริ่มพูดนอกบทตั้งแต่สามประโยคแรก แต่อย่างน้อยเขาก็ปิดได้สวย นับว่ายังดี..

                “นายเก่งมากดีนที่ไม่ร้องไห้กลางเวที” ไทสันพี่ชายผู้ใจดียกมือขึ้นยีผมที่จัดทรงมาอย่างดีเสียยุ่งเหยิง

                “ก็เพราะว่าฉันพยายามกลั้นน้ำตาไว้แล้วยังไงล่ะ”

                แต่ดูเหมือนตอนนี้ชายหนุ่มจะอดกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป แต่ได้เหล่าพี่น้องร่วมสายเลือดคอยโอบรับและปลอบประโลมเอาไว้ ตอนนี้ดีนรู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับคนเหล่านี้

                .
                .
                .


                หลังจากที่ตัวแทนกล่าวไว้อาลัยขึ้นพูดครบทุกคนก็ได้เวลาวางพวงหรีดและจุดคบเพลิง บทเพลงโศกถูกขับขานขึ้นอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนจะได้มองใบหน้าของเอลลิสในโลงศพก่อนที่เขาจะได้รับการจุดคบเพลิง ดีนไม่มีของมีค่าใดมากไปกว่า ‘ดอกไม้สีทอง’ ที่ได้รับจากเทพีอะโฟร์ไดท์ติดตัว เป็นไปได้เขาก็อยากจะใส่หินอุกกาบาตเพลิงที่ได้รับจากการสู้ศึกที่หัวหาดสักก้อนหนึ่งให้สมกับความร้อนแรงของเอลลิส ทว่าหินนั้นมันร้อนเกินไป แช่น้ำไว้ตั้งหลายวันแล้วยังไม่หายเดือดปุด ๆ เสียที

                แม้เวลาจะผ่านเลยไปถึงหนึ่งสัปดาห์ ทว่าสภาพศพของเอลลิสยังคงหล่อเหลาเหมือนเพียงแค่หลับไป ดีนไม่รู้ว่าใช้กระบวนใดในการรักษาศพ จะด้วยวิทยาศาสตร์อย่างการใช้สารเคมี หรือจะด้วยเวทมนตร์คาถาก็สุดแต่จะหยั่งถึง ดีนไม่อยากคิดมากให้ปวดหัว ความเป็นเด็กวิทย์ในตัวถูกกลืนหายไปสวนทางกับพรจากเจ้าสมุทรที่เพิ่มขึ้น

                ร่างสูงกล่าวร่ำลากับผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นวางกุหลาบสีทองไว้บนโลงศพ

                “เอลลิส.. ฉันไม่รู้ว่านายเกลียดฉันเพราะอะไร แต่ว่าเราคืนดีกันได้ไหม? ไม่ว่าอะไรที่ฉันล่วงเกินนายไปก็ขอโทษ อลิเซียแฟนนายฉันไม่ได้คิดอะไรกับเธอมากกว่าพี่น้องร่วมค่ายอยู่แล้ว สาบานได้เลย แล้วก็นะ.. ที่ฉันเรียกนายว่าหลานชาย ฉันคิดแบบนั้นจริง ๆ นะ…”

                หลังวางสิ่งของเพื่อให้เอลลิสพกติดไปถึงสรวงสวรรค์เสร็จ ดีนก็เดินออกมาจากงานแต่ไม่ลืมรับของที่ระลึกงานศพมาด้วย เขายืนรอแมคเคนซีอยู่ที่มุมหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อรออีกฝ่ายกลับไปยังกระท่อมเฮคาทีพร้อมกัน

                .
                .
                .
               
                หลังได้เห็นภาพความสูญเสีย… ทำให้ดีนรู้สึกได้ทันทีว่าเขากลัวการจากลาคนรักมากแค่ไหน
               

ของไว้อาลัย แก่ เอลลิส เวคฟิลด์ [กุหลาบสีทอง]

คนที่ไว้อาลัยได้รับโบนัส: หินแห่งกำลัง 1 ก้อน และ +20 EXP และ +50 เกียรติยศ
+100 พลังน้ำใจ / +3 Point / +50 พลังงาน
+50 เกียรติยศ และ +50 ศรัทธา
ของขวัญไว้อาลัย: หินแห่งกำลัง 1 ก้อน

รับรางวัลซ่อมค่าย 4 ครั้ง (ครั้งละ 50,000 ไบต์++) = 60 ดรักม่า จากไครอน
หลักฐาน: [LINK1] [LINK2] [LINK3] [LINK4]

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับ +50 เกียรติยศ โพสต์ 2024-12-31 20:02
God
((ก่อนจะมีขวดกาวปรากฎตรงหน้า พร้อมเสียงกระซิบคล้ายเสียงพ่อ(?) - นำมันไปใช้ซ่อมบ้านเฮเฟตัสสิ จะติดทนเหมือนปูนฉาบลูกรัก))  โพสต์ 2024-12-31 09:12
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-01] เอลลิส เวคฟิลด์ [ตาย] เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2024-12-31 09:09
God
คุณได้รับ +50 เกียรติยศ +50 ความศรัทธา โพสต์ 2024-12-31 09:08
โพสต์ 49601 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-12-31 08:47

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +100 เหรียญดรักม่า +60 พลังงาน +150 ย่อ เหตุผล
God + 100 + 60 + 150

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เข็มกลัดโพไซดอน
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่แห่งเกียรติยศ
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
เข็มทิศมหาสมุทร
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
ควบคุมน้ำ
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
น้ำหอม Unisex
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x10
x1
x2
x4
โพสต์ 2024-12-31 19:51:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด
62. Rest in peace "ellis wakefield" 

-29.12.24  /  03:30PM.-


เป็นเวลากว่าสามเดือนที่ปรากฏการณ์รัตติกาลสาบสูญยังคงอยู่ แต่ความหนาวเย็นของเหมันต์ฤดูก็ช่วยให้อากาศไม่ร้อนแรงจนเกินไป หลังจากผ่านเหตุการณ์อันหนักหน่วงมา ตอนนี้ค่ายฮาล์ฟบลัดก็เริ่มกลับเข้าสู่ความสงบสุข บ้านที่ได้รับความเสียหายบางหลังยังคงต้องช่วยกันซ่อมแซมต่อไป แต่ภายใต้ชีวิตอันเป็นปกติกลับมีจุดเล็ก ๆ ที่ซุกซ่อนความเศร้าหมองอยู่ในใจ…การสูญเสียบางสิ่งที่ไม่มีวันกลับมา

.


.


.

พิธีการไว้อาลัยให้แก่ ‘เอลลิส เวคฟิลด์’ บุตรแห่งแอรีสที่เข้าร่วมต่อสู้กับกองทัพของโลกิเมื่อวันเหมายันถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่สมเกียรติบริเวณกองไฟเฮสเทีย แมคเคนซีกับพี่น้องในบ้านมาถึงก่อนเวลางานพิธีเริ่ม แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเดมิก็อดเริ่มมานั่งตรงที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ตามตำแหน่งของบ้านต่าง ๆ แล้ว ทุกคนในที่นั้นล้วนแต่งกายอย่างสุภาพเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้เสียชีวิต ไม่เว้นแม้แต่บุตรทั้งสามของบ้านเฮคาทีก็เช่นกัน


“ใส่สูทแบบนี้ไม่ชินเลยแฮะ อึดอัดชะมัด”


ซิลเวอร์บ่นออกมาเบา ๆ ขณะสอดนิ้วเข้าปกคอเสื้อ ดูท่าคงรำคาญเนคไทที่รูดขึ้นมาถึงคอกับกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ติดขึ้นมาถึงเม็ดบนสุดเต็มทน แม้อยากจะปลดมันออกหลายครั้งแต่ชายหนุ่มยังมีมารยาทและรู้กาลเทศะพอจึงไม่ทำเช่นนั้น


“พี่แมค…ดูนั่นสิฮะ”


จูลี่ที่นั่งดูบรรยากาศภายในงานสะกิดแขนพี่คนรองของบ้าน เมื่อหันไปมองตามที่เด็กชายชี้ก็เห็นหนุ่มใบหน้าละตินคนหนึ่งเดินเข้ามาในงาน ที่น่าแปลกเห็นจะเป็นกลุ่มอสุรกายตัวน้อยที่เดินตามหลังต้อย ๆ มาเป็นขบวน 


“นั่นพี่ฮิวโกฮะ อยู่บ้านฮีบี้ พี่เขาเลี้ยงอสุรกายไว้เต็มเลย มีทั้งฮาร์ปี้ ก็อบลิน ไซคลอปส์ สิงโตนีเมียนแบบออมเล็ตของพี่ดีนก็มี อ้อ แล้วก็มีกริมาลคินด้วยนะฮะ”


เมื่อได้ยินชื่อสัตว์ชนิดสุดท้ายแมคเคนซีก็หูผึ่ง จากที่สนใจนิดหน่อยกลายเป็นสนใจมากขึ้นมาทันที ชายหนุ่มไล่สายตามองตามฝูงอสุรกายของฮิวโกแล้วก็พบแมวดำขนฟูฟ่องตัวหนึ่งอยู่ในฝูงนั้น


“นายจะไปจับแมวดำพอดีไม่ใช่เหรอ ลองไปขอลูบ ๆ คลำ ๆ…ฉันหมายถึงลองไปขอดูแมวแล้วก็ขอคำแนะนำจากเจ้าเด็กบ้านฮีบี้คนนั้นดูสิ”


ซิลเวอร์ที่นั่งถัดจากจูลี่เสนอขึ้นมา ซึ่งก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย แมคเคนซีดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่ายังพอมีเวลาอยู่บ้างก่อนจะเริ่มพิธี


“งั้นเดี๋ยวผมมา“


หนุ่มอังกฤษลุกออกมาจากตรงที่นั่งประจำบ้านตนเองแล้วเดินไปยังบุคคลผู้เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ เหมือนว่าเจ้าก็อบลินตัวน้อยจะสังเกตเห็นเข้า ดวงตาใสแป๋วต่างจากก็อบลินที่แมคเคนซีเคยเจอมามองจ้องหน้าเขา


”ใครอะ….“


เสียงเล็ก ๆ ที่ร้องทักทำให้เจ้าของฝูงอสุรกายที่อยู่ด้านหน้าชะงักก่อนจะหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าสงสัยราวกับจะถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


“อ..เอ่อ สวัสดี ฉันแมคเคนซี อยู่บ้านเฮคาที พอดีฉันเห็นว่านายเลี้ยงกริมาลคิน เลยจะมา…ขอคำปรึกษาหน่อย”


ไม่ให้เสียเวลา แมคเคนซีรีบกล่าวแนะนำตัวแล้วเข้าเรื่องโดยทันที เมื่อหลุบตาลงมองกริมาลคินก็กลับถูกเมินเชิดหน้าใส่เสียอย่างนั้น


“หืม…อ้อ ได้สิแมคเคนซี ฉันฮิวโก ยินดีที่ได้รู้จักนะ นายสนใจจะเลี้ยงกริมาลคินงั้นเหรอ”


ดูท่าว่าบุตรแห่งฮีบี้คนนี้คงจะมนุษยสัมพันธ์ดีไม่น้อย ชายหนุ่มแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มแล้วยื่นมือมาจับกันตามมารยาทก่อนจะผละออก เมื่อเห็นกริมาลคินในครอบครองของตนเชิดใส่เพื่อนใหม่ก็ยิ้มเจื่อนเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบา ๆ


“ขอโทษแทนเอสเปรสโซด้วยนะ น้องค่อนข้างหยิ่งเลยไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แต่นายไม่ต้องกังวลนะ ถ้าได้เลี้ยงกริมาลคินแล้วน้องจะรักเจ้าของมากเลย”


ราวกับจะบอกว่าคำพูดของฮิวโกเป็นความจริง จากการที่กลิมาลคินนามว่าเอสเปรสโซเดินไปน้วยแข้งขาของเจ้าของแล้วร้อง ‘เหมียว’ เบา ๆ


“แล้ว…กริมาลคินนี่เลี้ยงยากหรือเปล่า มีอะไรต้องระวังเป็นพิเศษไหม”


ถึงพอเห็นตัวจริงแล้วภายนอกจะดูเหมือนแมวธรรมดา แต่หากขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์อสูรก็อาจมีสิ่งที่แตกต่างไปจากสัตว์ปกติก็เป็นได้


“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก น้องก็เหมือนแมวกับสัตว์เลี้ยงทั่วไป ถ้าเลี้ยงแล้วก็ต้องให้ความรัก เอาใจใส่ คอยดูแลกันไปจนตลอดอายุขัยของน้องนั่นล่ะ อ้อ…แต่ฉันแนะนำอย่างนึงแล้วกัน ถ้านายอยากสนิทกับกริมาลคินได้เร็ว ๆ ตอนที่ไปหาน้องก็ซื้อเนื้อเกรดพรีเมียมติดไปสักหน่อยนะ น้องชอบกินมากเลย แล้วถ้านายเล่นดนตรีเป็นก็เล่นให้น้องฟังบ้าง จะร้องเพลงหรืออะไรก็ได้ น้องจะได้อารมณ์ดี”


อาจฟังดูไม่พิเศษแต่สิ่งที่ฮิวโกแนะนำก็ถือว่าเป็นรายละเอียดเล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้าม แมคเคนซีพยักหน้ารับเป็นครั้งคราวอย่างตั้งใจ พยายามจดจำทุกอย่างให้ได้มากที่สุด


“ขอบคุณฮิวโก คำแนะนำของนายมีประโยชน์มากเลย”


“เล็กน้อยน่า เรื่องแค่นี้เอง ถ้าสงสัยตรงไหนถามฉันได้นะ จะว่าไปไหน ๆ นายก็จะไปจับกริมาลคินแล้ว นายไม่สนใจไปจับเพกาซัสบ้างเหรอ ฉันได้ยินคนในค่ายคุยกันว่าช่วงนี้มีข่าวม้าป่าคลั่งออกมาเพ่นพ่านกลางเมือง ถ้าเป็นคนปกติก็คงเห็นเป็นม้าป่าแหละ แต่ฉันดูคลิปข่าวแล้วนั่นมันเพกาซัสชัด ๆ”


สีหน้าฮิวโกดูตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเพกาซัส ที่จริงถ้าพูดให้ถูกคือตื่นเต้นทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องสัตว์วิเศษน่าจะถูกกว่า


“คงยังดีกว่า ฉันยังไม่ได้เรียนขี่เพกาซัสเลย น่าจะโดนดีดกระเด็นซะก่อน เหมือนจะใกล้เวลาเริ่มพิธีแล้ว งั้นฉันขอตัวก่อน ถ้ามีโอกาสจะมาคุยด้วยใหม่ ขอบคุณอีกครั้งนะ”


แมคเคนซียิ้มเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะเคยขี่ม้าเมื่อตอนไปซานอันโตนิโอกับดีนแล้ว แต่มันก็เป็นเพียงแค่การฝึกหัดและเป็นการขี่ม้าครั้งแรกในชีวิตของเขา การจะให้ไปจับเพกาซัสคงเป็นงานยากเกินไป อย่างน้อยเขาควรจะเข้าเรียนคลาสขี่เพกาซัสเสียก่อน ขณะเดียวกันผู้คนในงานก็เริ่มมากันเยอะขึ้นจนแมคเคนซีต้องดูเวลาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาแล้วจึงเอ่ยขอตัว


“ถ้ามีเวลาก็ลองเข้าคลาสดูสิ ฉันรับรองว่าสนุก เอ๋…จะไปแล้วงั้นเหรอ ไม่เห็นต้องรีบก็ได้นี่นา แต่ถ้านายว่างั้นก็ได้ เรื่องกริมาลคินขอให้สำเร็จนะ ไว้คุยกันใหม่แมคเคนซี“


ฮิวโกส่งยิ้มพร้อมโบกมือให้ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกัน แมคเคนซีกลับมานั่งตรงที่ตำแหน่งบ้านตนเอง จากตรงนี้เขาเห็นคนรักนั่งรวมกลุ่มอยู่กับพี่น้องบ้านโพไซดอน วันนี้อีกฝ่ายสวมชุดสูทเป็นทางการสีดำสนิท ทรงผมถูกจัดแต่งมาอย่างดีรับกับใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่วันนี้สวมแว่นตาขับให้ดูเคร่งขรึมกว่าที่เคย ดูเหมือนดีนเองก็มองมาที่เขาเช่นกัน เมื่อสายตาประสาน ทั้งคู่จึงทำเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยให้แก่กัน จากนั้นพิธีการไว้อาลัยก็เริ่มขึ้น

.


.


.

-04:00PM.-


[อ้างอิงงานพิธีการจาก Honoring Ellis Wakefield: Legacy of a Warrior]


พิธีการไว้อาลัยแด่เอลลิสเริ่มต้นขึ้นโดยมีเทพไดโอนีซุสหรือที่เหล่าเดมิก็อดรู้จักกันในนาม ‘คุณดี’ เป็นผู้กล่าวเปิดงาน คุณดีในวันนี้แต่งกายด้วยชุดสุภาพต่างไปจากทุกวันเช่นเดียวกันกับท่าทางที่สำรวมกว่าทุกครั้ง จากนั้นเทพแห่งไวน์ก็เป็นคนแรกที่กล่าวบทไว้อาลัย บรรยากาศภายในงานเริ่มเศร้าหมอง เหล่าเดมิก็อดส่วนนึงเริ่มร้องไห้อย่างไม่อาจเก็บกักความเสียใจไว้ได้ แมคเคนซีลูบผมจูลี่ที่หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดขอบตาที่เริ่มมีหยาดน้ำใสคลอปริ่มพลางเหลือบมองพี่คนโตของบ้านที่นั่งหลังตรงเป็นสง่ารับฟังคำไว้อาลัยด้วยสีหน้านิ่งสงบ


คุณไครอนผู้ดูแลค่ายเป็นผู้กล่าวเปิดงานและถ้อยคำไว้อาลัยเป็นลำดับต่อไป เสียงที่สั่นเครือและแววตาอันเศร้าสร้อยของเซนทอร์ทำให้แมคเคนซีต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึกสะเทือนใจไปกว่านี้ เขาเข้าใจดีว่าทั้งคุณดีและคุณไครอนคงผูกพันกับเหล่าเดมิก็อดในค่ายมาก แม้ไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ แต่ก็รักทุกคนประหนึ่งลูกหลาน ให้การดูแลสั่งสอนพวกเขาราวกับคนในครอบครัว การสูญเสียใครไปสักคนย่อมนำพามาซึ่งความเศร้าของคนที่ได้ชื่อว่าผู้ปกครองอย่างแน่นอน


จากนั้นก็เป็นการฉายภาพชีวประวัติและวีรกรรมต่าง ๆ ของเอลลิสที่เคยทำให้แก่ค่าย รวมไปถึงรูปภาพของบุตรแห่งเทพแอรีสผู้ล่วงลับในอิริยาบถต่าง ๆ ซึ่งชวนให้รำลึกนึกถึง กับคนที่มีความทรงจำร่วมกันมา เมื่อเห็นภาพเหล่านี้แล้วคงทำใจได้ยากที่จะห้ามไม่ให้น้ำตาหลั่งรินยามคิดถึงวันวานครั้งเอลลิสยังมีชีวิตอยู่…แต่วันนี้กลับไม่มีอีกแล้ว


เมื่อจบจากการฉายภาพก็เข้าสู่ช่วงกล่าวถ้อยคำไว้อาลัยต่อ ซึ่งผู้ที่กล่าวคำไว้อาลัยในลำดับต่อมาก็คือเทพแอรีสผู้เป็นพ่อ และอลิเซียธิดาแห่งเทพีอะโฟร์ไดท์ผู้เป็นคนรักของเอลลิส ซึ่งเมื่อมาถึงตรงนี้แมคเคนซีก็ไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป เขาไม่ชอบการจากลาทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการจากลาของคนหรือสิ่งที่รักด้วยแล้วนับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ชายหนุ่มยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาหยดหนึ่งที่ร่วงหล่นแล้วพยายามกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่ความรู้สึกจุกแน่นที่อยู่ในใจ


หลังจากนั้นคุณไครอนก็เปิดโอกาสให้เหล่าเดมิก็อดที่ต้องการกล่าวคำไว้อาลัยได้ขึ้นไปพูดตรงแท่นพิธี คนแรกที่เป็นผู้กล่าวถ้อยคำอาลัยก็คือดีนนั่นเอง โดยอีกฝ่ายขึ้นไปพูดในฐานะที่ปรึกษาบ้านโพไซดอนและเป็นตัวแทนสมาชิกภายในบ้าน แมคเคนซีสังเกตเห็นว่าปลายจมูกของดีนขึ้นสีแดงจาง ๆ น้ำเสียงทุ้มของอีกฝ่ายก็แตกพร่าจากปกติและขึ้นจมูกเล็กน้อย ไม่ต้องเดาเลยว่าคนรักของเขาคงเพิ่งร้องไห้มาแน่ ๆ น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้นั่งเคียงข้างกันขณะพิธีการดำเนิน แต่แมคเคนซีก็เชื่อว่าพี่น้องของอีกฝ่ายคงทำหน้าที่นี้ได้อย่างดีไม่แพ้ตนเอง บทไว้อาลัยของดีนอาจไม่ได้ใช้ภาษางดงามสวยหรูเหมือนภาษากวี แต่เขาก็รู้ว่าทุกสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นล้วนมาจากความรู้สึกอันแท้จริงที่กลั่นกรองออกมาจากใจ


“เจ้าเด็ก…นายขึ้นไปพูดถ้อยคำไว้อาลัยสักหน่อยสิ”


หลังจากดีนกล่าวจบและกลับไปนั่ง อยู่ ๆ ซิลเวอร์ที่นั่งเงียบมานานก็หันมาพูดกับเขา จูลี่ที่นั่งคั่นกลางระหว่างพี่ชายทั้งสองคนก็หันมามองตาปริบ ๆ


“หะ…ผมน่ะเหรอ ไม่สิ พี่เป็นพี่คนโตของบ้าน คนที่ออกไปควรเป็นพี่ไม่ใช่ผม”


แมคเคนซีมุ่นคิ้วเล็กน้อย ยกนิ้วชี้มาที่ตัวเองอย่างงง ๆ ซิลเวอร์ยักไหล่เล็กน้อย ทำราวกับไม่ได้ยินประโยคหลังที่เขาพูด


“ฉันไม่ถนัดพูดอะไรแบบนี้ นายนั่นแหละเหมาะสุด เอาน่า…ถือว่าขึ้นไปพูดในฐานะตัวแทนบ้านเรา ไปเร็วเข้า !”


ป้าบ !!!


“อุ๊บ !”


แมคเคนซีร้องเสียงหลงเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ของซิลเวอร์ตบเข้าที่หลังจนสะดุ้ง พอดีกับที่คุณไครอนซึ่งกำลังรอผู้มากล่าวถ้อยคำไว้อาลัยคนถัดไปมองมาทางนี้พอดี


“โอ้ คุณลินคอล์น ต้องการขึ้นมากล่าวเป็นคนต่อไปใช่ไหม เชิญมาที่แท่นพิธีได้เลย”


เซนทอร์ผู้ดูแลค่ายผายมือมายังไมโครโฟนตรงแท่นพิธี รวมถึงสายตาทุกคู่ของเดมิก็อดที่จับจ้องมายังเขาจนแทบอยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนี แมคเคนซีมองพี่ชายร่วมสายเลือดของตนเองที่ขยิบตาให้ข้างนึงอย่างเอาเรื่องก่อนจะปรับสีหน้าตนเองให้เป็นปกติ จับเสื้อสูทของตนเองให้เข้าทรงแล้วลุกขึ้นเดินไปยังแท่นพิธี


“สวัสดีครับ ผมแมคเคนซี คลอดด์ ลินคอล์น เป็นตัวแทนจากบ้านเฮคาที มากล่าวบทไว้อาลัยแก่เอลลิส เวคฟิลด์…”


หลังจากกล่าวแนะนำตัวแล้วแมคเคนซีก็เงียบไปเล็กน้อย ดวงตาสีฮาเซลกวาดมองผู้คนในพิธีด้วยความประหม่า เขารู้สึกว่าขาตัวเองสั่นเล็กน้อยจึงต้องหลับตาลงสูดหายใจเข้าลึกเพื่อลดอาการตื่นเต้นแล้วจึงลืมตาขึ้นมา


“ผม…ก็เช่นกัน ผมไม่ได้สนิทสนมกับเอลลิสเป็นการส่วนตัว เรียกว่าตั้งแต่มาที่ค่ายฮาล์ฟบลัดผมไม่เคยคุยกับเขาเลยก็ว่าได้ แต่หลังจากที่ผมเห็นทุกคนในที่นี้มาร่วมพิธีไว้อาลัยการจากไปของเขา ผมก็เชื่ออย่างหมดหัวใจว่าเอลลิสเป็นที่รักของทุกคน ไม่ว่าจะในฐานะพี่น้อง เพื่อน ชาวค่าย นักเรียนในคลาส รวมถึงการเป็นคนรักที่ดีก็ตาม…”


“ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะต้องทำหรือเสียสละอะไรเพื่อคนอื่นมากมาย จนกระทั่งผมได้มาอยู่ที่นี่ การใช้ชีวิตที่ค่ายฮาล์ฟบลัดทำให้ผมรู้ว่า นอกจากตัวเองและสิ่งที่รักแล้ว เรายังมีอะไรอีกมากมายที่เราทำได้และจำเป็นต้องปกป้อง และการเสียสละของเอลลิสก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ผมตระหนักได้ถึงเรื่องนั้น…”


“สุดท้ายนี้ แม้ว่าเราจะไม่เคยได้พูดคุยกัน แต่ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่อย่างน้อยก็เคยได้ร่วมต่อสู้กับเอลลิสและทุกคนเพื่อปกป้องค่ายด้วยกัน ความกล้าหาญและความเสียสละของเอลลิสเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่อง ขอบคุณเอลลิสที่ช่วยปกป้องบ้านหลังนี้ของทุกคนเอาไว้ ขอบคุณครับ”


แมคเคนซีค้อมหลังเล็กน้อยก่อนจะกลับไปนั่งที่ จูลี่หันมายิ้มให้แล้วคว้ามือที่ยังเย็นเฉียบและสั่นน้อย ๆ ของเขาไปกุมไว้ ส่วนซิลเวอร์ก็หันมายกยิ้มมุมปากแล้วขยิบตาอีกครั้งพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้


แน่นอน…เขาสาบานเลยว่าจบจากพิธีนี้ไป พี่ชายของเขาจะต้องโดนเตะก้นสักที

.


.


.

หลังจากตัวแทนขึ้นไปกล่าวบทไว้อาลัยกันครบ ก็ถึงช่วงสุดท้ายของงานพิธีนั่นคือพิธีวางพวงหรีดและจุดคบเพลิง


“สู่สุขคตินะเอลลิส ไม่ต้องห่วงอะไรอีกต่อไปแล้ว”


แมคเคนซีวางดอกไม้ที่เขากับซิลเวอร์ไปเก็บมาเมื่อสายและให้จูลี่ช่วยจัดเป็นช่อสวยงามลงไปในกองไฟ หลังจากนั้นผู้ที่มาร่วมงานก็ร่วมกันขับร้องเพลง และคุณไครอนก็กล่าวปิดงาน เป็นการจบพิธีไว้อาลัยให้แก่เอลลิส เวคฟิลด์อย่างสมบูรณ์แบบ

.


.


.

หลังรับของที่ระลึกจากการเข้าร่วมงานพิธีแล้ว แมคเคนซีก็เดินมาหาดีนที่รออยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มบางให้แก่คนรัก เขาเข้าใจดีว่าสุดท้ายแล้ววันแห่งการจากลาย่อมเกิดขึ้นในสักวันหนึ่ง แต่ตอนนี้เขายังอยากใช้ชีวิตกับคนคนนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตราบสิ้นอายุขขัย แมคเคนซีจึงได้แต่ภาวนาว่าวันนั้นจะมาถึงช้าสักหน่อย ฝ่ามือใหญ่ของทั้งคู่กอบกุมกันไว้ก่อนจะพากันเดินกลับบ้านเฮคาที




กล่าวคำไว้อาลัยต่อจาก @Dean


ของไว้อาลัยแด่ เอลลิส เวคฟิลด์  :  ช่อดอกไม้

ผู้ที่ไว้อาลัยได้รับโบนัส  :  หินแห่งกำลัง 1 ก้อน / +20 EXP / +50 เกียรติยศ

รางวัลผู้ร่วมงาน   +100 พลังน้ำใจ / +25 EXP / +50 พลังงาน /

+50 เกียรติยศ / +50 ศรัทธา

ของขวัญไว้อาลัย  :  หินแห่งกำลัง 1 ก้อน


@God 

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับ +50 เกียรติยศ โพสต์ 2024-12-31 20:02
God
คุณได้รับ 45 EXP โพสต์ 2024-12-31 20:01
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-01] เอลลิส เวคฟิลด์ [ตาย] เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2024-12-31 20:00
God
คุณได้รับ +50 เกียรติยศ +50 ความศรัทธา โพสต์ 2024-12-31 20:00
โพสต์ 106346 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2024-12-31 19:51

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +100 พลังงาน +150 ย่อ เหตุผล
God + 100 + 150

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Hydro X
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
แจ็คเก็ต YANKEES
รองเท้าเซฟตี้
น้ำหอม Unisex
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
สร้อยข้อมือถัก
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x13
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x15
x15
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x2
โพสต์ 2025-1-1 00:34:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
29-12-2024 16.00 PM

I want to be your everything little darling


RIP Ellis Wakefield


[อ้างอิงงานพิธีการจาก Honoring Ellis Wakefield: Legacy of a Warrior]


16.00 PM


            ยามเย็นของค่ายฮาล์ฟบลัดอบอวลไปด้วยความเงียบสงัด สายลมเย็นบางเบาพัดผ่านลานกว้างระหว่างบ้านพัก เหล่าต้นสนสูงใหญ่โยกไหวเล็กน้อยตามแรงลม แต่ทว่าความสงบในธรรมชาติกลับไม่สามารถกลบเสียงหัวใจที่หนักอึ้งในอกของใครหลายคนได้ ไนมีเรียยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าของเด็กสาวเปี่ยมด้วยความครุ่นคิดขณะเงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งยังคงฉาบด้วยแสงสีทองเรื่อจากอาทิตย์


            เธอจับมัดผมบลอนด์ยาวของตนให้เรียบร้อย พลางถอนหายใจเงียบ ๆ ราวกับจะรวบรวมความกล้า ดวงตาสีเฮเซลคมกริบทอดมองไปยังลานพิธีที่อยู่ไม่ไกล แสงตะวันอ่อนโยนตกกระทบลานหินอ่อนซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างแสดงความเคารพต่อวีรบุรุษผู้ล่วงลับ


            คิดแล้วก็น่าใจหาย.. ช่วงเวลาที่เธอออกเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงในโอลิมปัส คือวันเวลาเดียวกันกับที่ค่ายเกิดเหตุโลกิบุกโจมตีเพื่อแย่งชิงขนแกะทองคำ สภาพซากของสถานที่ทั้งเละเทะและวุ่นวาย บ้านที่มีร่องรอยของการถูกซ่อมแซม แล้วยังมี.. ผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อขับไล่โลกิ


            วันนี้คือวันงานพิธีไว้อาลัย..


            ไนมีเรียเดินช้า ๆ ไปยังลานกว้าง ส้นรองเท้าของเธอแตะพื้นอย่างแผ่วเบา แต่ทุกย่างก้าวกลับหนักอึ้งด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน ไม่ว่าเธอจะพยายามปิดกั้นความเศร้าในใจเพียงใด มันก็ยังคงแทรกซึมเหมือนหมอกยามรุ่งสาง เธอเลือกยืนอยู่ห่างจากกลุ่มของบ้านพักแอรีสซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า หญิงสาวไม่คุ้นเคยกับพี่น้องร่วมค่ายเหล่านั้นนัก แต่เรื่องราวของเอลลิส เวคฟิลด์ที่เธอได้รับรู้ทำให้เธอตัดสินใจมาร่วมพิธีในวันนี้


            เสียงในแหวนจันทราทมิฬที่เธอสวมอยู่เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “ไม่บ่อยนักที่จะเห็นเธอยอมไปงานพิธีของใคร..ทำได้ดีแล้วที่มาที่นี่ อย่างน้อยก็แสดงความเคารพต่อผู้ที่สละชีวิตเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อมั่น”


            “ฉันแค่รู้สึกว่าเขาสมควรได้รับมัน ไม่ว่าจะเป็นความระลึกถึงหรือเกียรติยศสุดท้ายแด่วีรบุรุษ” ไนมีเรียตอบกลับในใจ ขณะที่สายตาของเธอจับจ้องไปยังแท่นพิธีที่ตั้งอยู่กลางลาน มันถูกตกแต่งด้วยพวงหรีดสิ่งของไว้อาลัยซึ่งส่องประกายราวกับเปลวไฟแห่งเกียรติยศ


            เทพไดโอนีซุส หรือที่ชาวค่ายเรียกกันว่า "คุณดี" ยืนอยู่ที่แท่นพิธีในชุดทักซิโด้สีดำสนิท ใบหน้าที่ปกติแล้วมักเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจกลับดูเคร่งขรึมและสำรวมในวันนี้ 


            “เอลลิส เวคฟิลด์ บุตรแห่งแอรีส ผู้เสียสละเพื่อปกป้องค่ายฮาล์ฟบลัด...” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความเศร้า ขณะที่สายตาของเขากวาดมองเหล่าผู้ร่วมงาน  ไนมีเรียมองไปยังเทพแห่งไวน์ด้วยความรู้สึกแปลกใจ เธอไม่เคยเห็นคุณดีในภาพลักษณ์ที่ดูจริงจังขนาดนี้มาก่อน เขากล่าวคำไว้อาลัยอย่างเคร่งขรึม ขณะที่ผู้คนในลานพิธีเริ่มก้มหน้าหลั่งน้ำตา


            “เอลลิสสละชีวิตเพื่อพวกเรา” ไนมีเรียกระซิบกับคลาริสซ่าในแหวน “มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่แน่ใจเลยว่าเปลี่ยนเป็นตัวเองอยุ่ที่นั่นฉันจะกล้าทำแบบเขาได้หรือเปล่า”


            “เขากล้าหาญ และเธอก็มีความกล้าหาญในแบบของตัวเอง พรสวรรค์ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน” คลาริสซ่าปลอบ


            หลังจากคุณดีกล่าวจบ ก็ถึงช่วงฉายภาพชีวิตของเอลลิส รูปถ่ายของชายหนุ่มในช่วงเวลาต่าง ๆ ปรากฏบนวิดีทัศน์เหนือแท่นพิธี เขายิ้มอย่างสดใสในภาพที่ถ่ายระหว่างฝึกซ้อม และในงานเลี้ยงของค่ายรวมไปถึงเล่าถึงประวัติภารกิจและผลงานที่ผ่านมาของเขา


            ไนมีเรียมองภาพเหล่านั้นด้วยความเงียบงัน เธอไม่เคยรู้จักเอลลิสเป็นการส่วนตัว แต่การได้เห็นเขาผ่านเรื่องราวเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของความสูญเสียที่คนอื่น ๆ ต้องแบกรับ


            “เคยมีคำกล่าวว่าชีวิตของคนผู้นั้นเป็นอย่างไร ให้มองผ่านผู้คนที่มาร่วมงานศพของเขา.. ผู้คนที่รักและหวงแหน พี่น้องและมิตรสหายจะร่ำไห้เพื่อเขา” เธอพึมพำขณะเบนสายตาไปยังกลุ่มเดมิก็อดบ้านแอรีสที่นั่งอยู่ด้านหน้าพวกเขาร้องไห้โดยไม่ปิดบังความรู้สึก


            “นายสอนให้ฉันเข้มแข็ง สอนให้ฉันกล้าหาญ และสอนให้ฉันรู้จักรักแท้ นายคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน เอลลิส แต่แล้ว...  วันที่ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นก็มาถึงวันที่ฉันต้องสูญเสียนายไปตลอดกาล ฉันเสียใจเอลลิส ฉันเสียใจที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างนายในวินาทีสุดท้าย ฉันเสียใจที่ไม่ได้บอกลา แต่ฉันรู้ว่านายจะอยู่ในใจฉันเสมอ ความรักของเราจะไม่มีวันจางหาย เอลลิส... ฉันรักนาย... หลับให้สบายนะ... วีรบุรุษของฉัน…”


            เสียงของอลิเซีย ธิดาแห่งอะโฟรไดท์ ดังก้องในลานพิธีขณะที่เธอกล่าวคำไว้อาลัยน้ำเสียงของหญิงสาวสั่นไหวเต็มไปด้วยความเศร้า “เอลลิสคือแสงสว่างในชีวิตฉัน เขาคือเหตุผลที่ทำให้ฉันลุกขึ้นยืนทุกวัน”


            ไนมีเรียรู้สึกถึงความเศร้าอันลึกซึ้งในคำพูดนั้น มันเป็นความเจ็บปวดที่เธอเข้าใจดี


            “รักไม่ได้มีแต่ความสุข” คลาริสซ่าพึมพำคล้ายพูดกับตนเอง “มันเต็มไปด้วยการเสียสละและความเจ็บปวด”


            เมื่อถึงช่วงวางพวงหรีด ผู้คนทยอยกันขึ้นไปวางดอกไม้และพวงหรีดบนแท่นพิธี ไนมีเรียเดินไปหยิบช่อดอกไม้สีขาวที่เธอนำมา วางลงบนแท่นอย่างแผ่วเบา


            “ลาก่อน วีรบุรุษผู้กล้าหาญ คุณจะยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป” เธอเอ่ยเบา ๆ ก่อนถอยกลับไปยืนอยู่ในมุมเดิม มุมที่ไม่ยุ่งกับใครและมีแค่วิญญาณที่สังเกตเห็นเธอ


            เมื่อพิธีจบลง ไนมีเรียยังคงยืนอยู่ในลานที่เริ่มว่างเปล่า คลาริสซ่าเอ่ยขึ้นในแหวนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น “เธอทำได้ดีแล้วนะที่มาร่วมพิธีในวันนี้ อย่างน้อยก็เพื่อแสดงความเคารพ”


            “ฉันแค่รู้สึกว่าเขาสมควรได้รับมัน” ไนมีเรียตอบกลับ พลางถอนหายใจยาว เธอรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเองเล็กน้อย การได้เห็นความกล้าหาญของเอลลิสทำให้เธอคิดถึงความหมายของการเสียสละ


            “บางที...การเป็นเดมิก็อดไม่ได้หมายถึงแค่การรอดชีวิตไปในแต่ละปี แต่หมายถึงการทำอะไรบางอย่างเพื่อคนอื่นด้วย” เธอเอ่ยเบา ๆ


            “จุดมุ่งหมายในชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าอย่างไรหนทางที่เธอเลือกได้ช่วยเพิ่มขึ้นอีกสักคนก็ฟังดูเป็นเรื่องที่ดีใช่ไหมล่ะ” คลาริสซ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


            ไนมีเรียมองดูเปลวไฟที่ยังคงลุกโชนบนแท่นพิธี เธอรู้ว่าเอลลิสจากไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้คือแรงบันดาลใจที่ไม่มีวันดับสลายและในความเงียบของลานพิธี เธอรู้ว่าชาวค่ายฮาล์ฟบลัดจะพร้อมก้าวต่อไป พร้อมกับความทรงจำของผู้ที่พวกเขารัก


ของไว้อาลัยแด่ เอลลิส เวคฟิลด์  :  ช่อดอกไม้

ผู้ที่ไว้อาลัยได้รับโบนัส  :  หินแห่งกำลัง 1 ก้อน / +20 EXP / +50 เกียรติยศ

รางวัลผู้ร่วมงาน  :  +100 พลังน้ำใจ / +25 EXP / +50 พลังงาน /

+50 เกียรติยศ / +50 ศรัทธา

ของขวัญไว้อาลัย  :  หินแห่งกำลัง 1 ก้อน @God 


i'll melt your heart into two @HyeRi Codes

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับ 45 EXP โพสต์ 2025-1-1 00:43
God
คุณได้รับ +100 เกียรติยศ +50 ความศรัทธา โพสต์ 2025-1-1 00:43
โพสต์ 37370 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-1-1 00:34
โพสต์ 37,370 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความศรัทธา จาก ผลิตภัณฑ์กันแดด  โพสต์ 2025-1-1 00:34
โพสต์ 37,370 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +25 ความศรัทธา จาก แหวนจันทราทมิฬ  โพสต์ 2025-1-1 00:34

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +100 พลังงาน +150 ย่อ เหตุผล
God + 100 + 150

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เวทมนต์ [II]
ศาสตร์การปรุงยา
คบเพลิงเวท
ผลิตภัณฑ์กันแดด
แหวนจันทราทมิฬ
หยกหงส์คู่นิรันดร์
โล่อัสพิส
เกราะหนัง
หมวกเกราะ
ชุดเครื่องเพชร
รองเท้าส้นสูง
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
โรคสมาธิสั้น
แว่นกันแดด
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
มีดสั้นสัมฤทธิ์
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x5
x1
x2
x6
x3
x3
x17
x5
x4
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x9
x1
x1
x20
x1
x1
x2
x3
x3
x11
โพสต์ 2025-1-1 03:21:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Daemon เมื่อ 2025-1-1 03:23








Daemon  Kannel

1 · มกราคม · 2025
 · 00.00 น.
               เดม่อนที่กำลังนอนพักรักษาตัวในห้องพยาบาล เขาตื่นหลังจากพิธีไว้อาลัยเอลลิสผ่านไปแล้ว ก่อนตนเองจะเดินค้ำไม้เท้าไปยังกองไฟเฮสเทียเพื่อวางช่อดอกไม้ให้เอลลิส แม้เขากับเอลลิสจะเรียกว่าไม่ถูกกัน แต่เดม่อนก็นับถือใจเอลลิสที่ยอมเสียสละเพื่อค่าย เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งและกล้าหาญคนหนึ่ง ก่อนสายตาหันไปเห็นลิเลียน่า ไม่คิดว่ายัยฉลาดจะกลับมาแล้ว

               “ยัยฉลาด!!” เดม่อนตะโกนเรียกลิเลียน่าก่อนเดินกะเผลกไปทางหญิงสาว


               ลิเลียน่ากลับมาแล้ว เธอกลับมาพร้อมรอยยิ้มสดใส ดวงตาที่แม้จะหม่นหมองแต่ก็ยังเป็นประกายเช่นคนที่ใคร่รู้ในสิ่งต่าง ๆ โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบมากมาย ดังนั้นเธอจึงไม่อยากเป็นส่วนประกอบของความโศกเศร้าที่ทำให้ทุกอย่างยิ่งพังยับเยิน โดยหาได้รู้ไม่เลยว่าเสี้ยวหนึ่งที่เคยหวงแหน ได้สูญสลายไปตามกาลเวลา


               เสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เรียกหาใครสักคนทำให้เธอหันไปมอง ‘เขาบาดเจ็บ’ นั่นคือสิ่งที่เธอคิด ชั่วขณะหนึ่งมีบางอย่าง.. บางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าความประหลาดใจที่ทำให้หัวใจรู้สึกสั่นคลอน แต่ก็เป็นแค่เสี้ยววินาที


               “บาดเจ็บขนาดนี้นอนพักที่ห้องพยาบาลไม่ดีเหรอ? ” มันต่างจากความเป็นห่วงเป็นใยที่เคยให้ ตอนนี้เหลือแค่เพียงการแนะนำตามประสา ‘เพื่อนร่วมค่าย’ ที่ไม่ค่อยจะคุ้นตานัก


               “แค่นี้เองไม่เป็นไรหรอก–” เดม่อนพูดขึ้นก่อนมองลิเลียน่า ดูเหมือนเธอจะดูดีขึ้นแตกต่างจากคนไปเฮติที่อันตรายเช่นนั้นเลย “จริงสิ ภารกิจที่เฮติเป็นยังไงบ้างเหรอ” เดม่อนถามออกไปโดยเขาหารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขาเลยสักนิด…. แววตาสดใสและเป็นห่วงหญิงสาวตรงหน้าฉายเป็นประกายจนสีตาเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อ


คำถามของเขาทำให้ลิเลียน่าชะงัก คล้ายว่าเสียงหายไป ภาพติดตาของสถานการณ์ที่รุนแรง ความพยายามในการรอดชีวิตและทางเลือกมากมายเวียนกลับมาฉายในหัวราวกับว่าเธอยังคงติดอยู่ในสถานที่แห่งนั้น “พูดว่าไงดีล่ะ..”


                “ก็หินตามประสาภารกิจใหญ่? คิดว่างั้น..นะ” ดวงตาของเธอกวาดมองชายที่เข้ามาถามไถ่อีกครั้งอย่างพิจารณา “ไม่ใช่ว่าทางค่ายวุ่นวายกว่าเหรอ สภาพนายดู..ไม่จืด?”


               “ครั้งนี้ดูจะหนักหนาทีเดียว อีกทั้งยังเสียพี่เอลลิสไปอีกคน…..” เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะถอนหายใจด้วยความคับข้องใจ เขาก้มหน้าไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย “ผ…ผมขอโทษนะที่ผิดสัญญา ทำให้ตัวเองบาดเจ็บขนาดนี้….”


               “สัญญา?” ลิเลียน่าไม่มีแม้แต่เสี้ยวที่จดจำสัญญาอะไรเหล่านั้นได้ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ถึงกับดูอารมณ์เสียหรือโกรธ มันดูเหมือนความประหลาดใจที่หาคำอธิบายไม่ได้จนต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ “ สัญญาเหรอ? สัญญาอะไร .. นาย.. ไม่สิ เราเคยคุยกันมาก่อนด้วยเหรอ? ”


               เดม่อนที่ได้ยินอีกฝ่ายตอบก่อนเขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุงงง หรือลิเลียน่าจะแกล้งอะไรเขาอีกแล้วหรือเปล่านะ


               “นี่เธอจะมาไม้ไหมอีกเนี่ย ผมเดม่อนไง…. เรามักจะฝึกฝนด้วยกันที่สนามฝึกอยู่เสมอ…” เดม่อนตอบอีกฝ่ายพลางพยายามมองสังเกตอีกฝ่าย และเตรียมรับมือว่าเธอจะมาแกล้งอะไรเขาอีก


               ฝึกฝน.. คำพูดของเขาสะท้อนไปมาในความคิดของเธอ ดวงตากลมโตที่มีมักส่อประกายสดใสเริ่มเปลี่ยนมาเป็นพิจารณาอย่างตั้งใจ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนนั้นเปี่ยมไปด้วยความห่างเหินราวกับว่าเธอแค่ประเมินสิ่งที่เขามี “ฉันไม่จำเป็นต้องฝึกกับคนอื่น”



               นั่นคือความจริงเพียงเสี้ยวเดียว .. อันที่จริงลิเลียน่าก็จำไม่ได้แล้วว่าเธอฝึกกับใคร มันเปรียบเสมือนความเคยชินที่รู้อีกทีก็แตกฉานในศาสตร์การต่อสู้ สมควรเรียกว่าเป็นผลพลอยได้ของสายเลือดที่ทำให้เธอเชี่ยวชาญ ไม่ใช่เพราะการฝึกฝน— เรื่องนี้เธอแน่ใจ และแน่ใจมานานตั้งแต่ก่อนจะได้รู้จักใครในค่ายด้วยซ้ำ


           “ฉันคิดว่านายอาจจะเข้าใจอะไรผิดไป” สองแขนของลิเลียน่ายกขึ้นกอดอก “นาย.. ไม่สิ ฉันคิดว่าฉันคงไม่เสียเวลาไปฝึกร่วมกับใครหรอก”


               “ใช่เธอเป็นคนเก่ง ที่เราฝึกด้วยกัน….ส่วนใหญ่เพราะเธอเป็นคนช่วยแนะนำผมมากกว่า ที่ผมสามารถเอาตัวรอดได้ทุกวันนี้เพราะเธอ……” เดม่อนมองอีกฝ่ายก่อนจะกระพริบตาด้วยความงุงงง ทำไมอีกฝ่ายพูดจาแปลกไป “นี่เธอไม่ได้แกล้งผมอยู่ใช่ไหม….”



         “ไม่? ทำไม .. ทำไมฉันต้องแกล้งนายด้วย” จากความไม่เข้าใจเปลี่ยนมาเป็นขบขันอย่างไร้สาเหตุ เสียงหัวเราะของลิเลียน่ายังคงก้องกังวานคล้ายเสียงกระดิ่งลมที่เสนาะหู แต่ความรู้สึกที่ซ้อนอยู่ในนั้นกลับไม่เหมือนเดิม แววตาของเธอเองก็ด้วย.. ครั้งหนึ่งทุกครั้งที่หัวเราะ เธอมักจะมองไปทางเขาคอยสังเกต คอยแบ่งปัน คอยซึมซับทั้งความรู้สึกประทับใจ ขบขันหรือการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้านั้นแต่ไม่ใช่อีกแล้ว


         เธอทำทั้งหมดเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อเขาอีกต่อไป


         “นายต่างหาก คิดจะมาแกล้งอะไรฉัน?”


        “บ….เปล่านะ ผมไม่กล้าแกล้งเธอหรอก นี่ผมเดม่อนเองไง…” เดม่อนรีบตอบปัดทันที เมื่ออีกฝ่ายคิดว่าเขากำลังแกล้งเธอ แม้จะงุงงงกับท่าทีอีกฝ่ายที่ดูแปลกไปไม่เหมือนลิเลียน่าคนเดิมแต่ก็เหมือนคนเดิมทั้งบุคลิกท่าทางเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่…. 


         “ยัยฉลาด เธอยังเรียกผมตาทึ่มอยู่ตลอดเลยนะก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่โกรธ….” เดม่อนพูดขึ้นแจ้งต่ออีกฝ่าย “ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบให้เธอเรียกแบบนั้น แต่มันก็คงจะเป็นความจริง…. เพราะแบบนั้นผมก็เลยไม่เคยโกรธที่เธอเรียกแบบนั้นเลย”


         ลิเลียน่าเลิกคิ้วขึ้น เธอไม่แน่ใจว่าควรจะทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แบบไหน ควรเรียกความรู้สึกสุดประหลาดนี้ว่าอะไร “นายก็ดูทึ่มจริง ๆ นั่นแหละ .. คือ ไม่ได้ว่านะ” แม้จะเป็นคำที่ใช้จนคล่องปากแต่ตอนนี้กลับรู้สึกเฉยชาต่อมัน สาวน้อยจากบ้านอะธีน่าถอนหายใจพร้อมกับยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง


         “นายจะโกรธไม่โกรธนั่นก็เรื่องของนาย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน” เธอคิดว่าการพูดออกไปแบบนี้จะทำให้จบปัญหาได้แต่เปล่าเลย ยิ่งเห็นสีหน้าของเขา ครู่หนึ่งลิเลียน่าคิดว่าเธออาจจะ..เผลอลืมอะไรบางอย่าง แต่ ไม่หรอกน่า นั่นเป็นไปไม่ได้


         “ขอโทษนะคือฉัน.. ฉันสับสนนิดหน่อย แค่.. ไม่เข้าใจว่านายกำลังต้องการอะไรจากฉัน”


         เดม่อนกำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับลิเลียน่ากันแน่ ทำไมเธอดูเหมือนจะจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยความร้อนใจและเป็นห่วง “ตอนเธอไปเฮติเผลอเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มอะไรหรือเปล่านี่…” เขามองอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง และเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ หรือลิเลียน่าจะโกรธเรื่องหนังสือพิมพ์เฮอร์มีสนั่น ทำให้เธอไม่อยากจะคบเป็นเพื่อนกับเขาอีกแล้ว เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลยตอนแรกว่าจะพยายามคิดหาวิธีจัดการปัญหานี้แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงลืมมันไปเสียอย่างนั้น จนเพิ่งมานึกขึ้นได้…


      สีหน้าของลิเลียน่าเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย เธอมองเขาเหมือนกับตั้งคำถามว่า ‘เอาจริงเหรอ นั่นคือสิ่งที่นายจะถามฉัน?’ แต่ก็ไม่สำคัญแล้ว ช่องโหว่บางอย่างระหว่างพวกเขา.. ความเข้าใจที่พลิกผันกันไปคนละทางรวมไปถึงเส้นทางที่คาบเกี่ยวแต่ไม่มีทางหวนคืนกลับมาประสานกัน ทุกอย่างช้าเกินไป .. สายเกินไป ทั้งสำหรับพวกเขาที่จะตระหนักรู้ และสำหรับพวกเขาที่จะแก้ตัว


  “ฉันคิดว่าอาจจะเป็นนายที่ต้องพักผ่อน เฮ้ ฉันเข้าใจถ้านายอาจจะสมองกระทบกระเทือนระหว่างป้องกันค่าย ไม่เป็นไรฉันไม่โกรธ แต่คราวหลังอย่าเล่นแบบนี้ โอเคไหม? เอ่อ จะดีมากด้วยถ้านายเรียกว่าฉันลิเลียน่า ”


         “แล้ว….เรื่องที่ดีทรอยต์ล่ะ เธอเป็นคนไปช่วยชีวิตผมออกมาเลยนะ ถ้า…ผมไม่ได้เธอผมอาจจะไม่สามารถรอดกลับมาถึงค่ายได้แล้ว…” เดม่อนถามเรื่องในดีทรอยต์กับอีกฝ่าย ในดวงตาเริ่มมีน้ำตาเกริ่ม ๆ อยู่ภายในจนดูเหมือนตาใส เพียงแต่ไม่ได้หลั่งออกมา 


         “ฉันจำ..ไม่เห็นได้เลย”


         เพียงเท่านี้ความเงียบก็เข้าครอบคลุมบรรยากาศรอบตัวพวกเขา ลิเลียน่ากลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก เหมือนมีคำพูดบางอย่างติดอยู่ที่ปากแต่มันก็ไม่แน่ชัดว่าเป็นอะไร บางช่วง.. หัวใจของเธอกระตุกในจังหวะที่ประหลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีน้ำตาเอ่อล้นรอบดวงตาคู่นั้น “ฉัน.. ฉันเคยช่วยนาย? นั่นฟังดู.. ประหลาดดีจัง” การหัวเราะกลบเกลื่อนคือสิ่งเดียวที่เธอทำได้ท่ามกลางสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ลิเลียน่าไม่อาจแก้ไขหรือทำความเข้าใจ


         น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกจากดวงตาแผ่วเบา เขาไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือเธอจะโกรธอะไรเขาอย่างมากจนทำให้เธอไม่อยากเป็นเพื่อนกับเขาอีกต่อไป เดม่อนมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความงุงงง ก่อนยกมือปาดแก้ม “อืม…. ผมจะเคารพการตัดสินใจของเธอ… ขอโทษนะ….” 


         เดม่อนก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงแหบหร่าอย่างไร้เรี่ยวแรง 


         เขาร้องไห้? เป็นครั้งแรกในชีวิตของลิเลียน่า ไทเลอร์ที่เธอทำเด็กผู้ชายร้องไห้ เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำยังไง สองมือบางของธิดาอะธีน่ายื่นออกไปตามสัญชาตญาณที่จะปลอบประโลมแต่เมื่อสมองสั่งการให้คิดทบทวน ตัวเธอก็หยุดชะงัก .. สายเลือดเทพีแห่งปัญญาไม่เคยปล่อยให้หัวใจนำทางชีวิต ไม่เคย ไม่ใช่ และไม่มีวัน มือของลิเลียน่ากำเข้าหากันเป็นหมัดเล็ก ๆ ก่อนจะทิ้งลงห้อยข้างตัว


         “มันน่าแปลกนะ” เธอพูดเสียงเบา ดวงตายังคงมองที่เขาด้วยความไม่แน่ใจ “ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะรู้จักคนแบบนายแต่ในอีกทางหนึ่ง.. ฉันก็หวังจริง ๆ ว่านายจะสบายดี” 


         แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็ตาม


         “นายบอกว่านายชื่อเดม่อน.. ใช่ไหม?” เธอถามเขาอีกครั้งก่อนจะสูดหายใจเข้า “ฉันว่า..เราสองคนคงไม่มีความจำเป็นต้องเจอกันอีกแล้วล่ะ”


         “อืม…ผมจะเคารพการตัดสินใจของเธอ…” เดม่อนตอบรับอีกฝ่ายไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ยินดีเชื่อฟังลิเลียน่าเสมอ แม้ต้องปกป้องอีกฝ่ายเขาก็ยินดีทำซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น แต่หากสละชีวิตเขาก็ไม่เคยหวาดกลัว 


         “ขอให้เธอโชคดีนะ…..” เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะหันหลังเพื่อเดินกลับไปเคบินที่สิบ


         เธอเฝ้ามองแผ่นหลังที่ห่อเหี่ยวของเขาในยามที่เขาเดินจากไป ‘แปลกจัง’ ความคิดนี้ยังคงวนเวียนอยู่ซ้ำ ๆ ไม่จากไปไหน ราวกับว่าเธอไม่คุ้นชินในการร่ำลาของเขา ไม่คุ้นชินต่อการที่เขาเป็นฝ่ายหันหลังให้กับเธอ …มือบางยกขึ้นตีแก้มตัวเองเบา ๆ ส่งสัญญาณประท้วงจิตใจให้เลยโฟกัสที่สิ่งผิดปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเรา..




สรุปเหตุการณ์
-เดม่อนคิดว่าลิเลียน่าโกรธอะไรเขาสักอย่างจนทำให้เธอไม่อยากคบเขาเป็นเพื่อนอีกต่อไป 

-วาง ช่อดอกไม้ บนโลงเอลลิส (ไม่ได้ร่วมพิธีแค่มามอบให้ในฐานะคนรู้จักและความชื่นชมเอลลิส)

 

NC

แสดงความคิดเห็น

ทำไมไม่มีเม้ามอยแล้วนะ เอากลับมาทีอยากส่งเรื่องนี้  โพสต์ 2025-1-2 16:19
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-01] เอลลิส เวคฟิลด์ [ตาย] เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2025-1-1 03:24
อกหักดังเป๊าะ แถมไม่มีพี่สาวคอยปลอบ หว่าย ถ้านี่ไม่ใช่หนุ่มน้อยที่น่าสงสารที่สุด  โพสต์ 2025-1-1 03:24
โพสต์ 58379 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2025-1-1 03:21
โพสต์ 58,379 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก มนต์มหาเสน่ห์  โพสต์ 2025-1-1 03:21
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x7
x10
x1
x2
x1
x11
x2
x8
x1
x2
x1
x3
x2
x1
x18
x1
โพสต์ 2025-1-5 03:18:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ᏕᏝᏋᏋᎮᎥᏁᎶ ᎶᎥᏒᏝ
Feria Hayes
วันนี้เป็นวันหนึ่งที่เฟเรียได้มีโอกาสมาที่กองไฟแห่งเฮสเทีย หลังจากที่เธอนั่งทำใจอยู่นานว่าจะมาดีไหม แต่ใจก็ไม่กล้าพอเพราะยังรู้สึกผิดอยู่ แต่ก็นั่นแหละเธอเลยต้องยิ่งมามากขึ้นไปอีก เพื่อขอโทษที่เป็นคนชวนพี่อลิเซียไปทำภารกิจจนทำให้พี่อลิเซียไม่ได้อยู่ข้างพี่เอลลิสในวินาทีสุดท้ายของชีวิต และอยากเป็นการอำลาพี่เอลลิสถึงแม้จะเลยวันไว้อาลัยมานานแล้วก็ตามทีเถอะนะ เธอตัดสินใจเอาช่อดอกไม้ที่ซื้อมาจากเซเว่นพร้อมกับกระเป๋าสะพาย ไม่สิ กระเป๋าคาดเอวที่เอามาทั้งคาดเอวใบหนึ่ง คาดอกใบหนึ่งมากกว่า เธอเอาช่อดอกไม้วางลงบนโลงของพี่เอลลิสที่ตั้งอยู่บริเวณกองไฟแห่งเฮสเทียอย่างสุภาพเพื่อเป็นการระลึกถึงพี่เอลลิส

“พี่เอลลิสคะ หนูขอโทษด้วยนะคะ ที่มาส่งพี่อลิเซียช้าเกินไป จนไม่มีโอกาสที่พี่ทั้งสองจะได้อยู่เคียงข้างกันในวินาทีสุดท้ายของชีวิตพี่ หนูขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้หนูคงทำอะไรให้พี่ไม่ได้ นอกจากในชีวิตทดแทนส่วนของพี่ที่เสียไปแล้ว หนูไม่รู้จะทำได้มากแค่ไหนแค่จะทำค่ะ” แล้วก็ถ้ามีวิธีหนูจะให้พี่กลับมาให้ได้

เธอเอ่ยกับโลงของพี่เอลลิสด้วยความเศร้าโศกที่ตนไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แถมคิดว่าตนเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่อลิเซียไม่ได้อยู่กับพี่เอลลิสในเวลาที่ควรอยู่มากที่สุดแบบวันนั้นอีก เธอไม่อาจรู้เลยว่าวันนั้นมันหนักหนาสาหัสขนาดไหน แต่มันนำมาซึ่งความสูญเสียและความพินาศมากมายถึงขนาดนี้ ถ้าพวกเธอไม่ถูกเอซูหลอก ถ้าพวกเรากลับมาได้เร็วกว่านี้ก็คงดีสิ แต่ถึงจะคิดแบบนั้นมันก็เป็นอดีตไปแล้วเธอก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่ก็อดคิดไม่ได้เลย จนเธอร้องไห้ออกมาอย่างหนัก

“ฮือ….หนูขอโทษ”

ในตอนนั้นเองที่เสียงกีตาร์โปร่งดังบรรเลงขับกล่อมทำลายความเงียบงันและดึงความสนใจให้เฟเรียหยุดร้องไห้และหันไปมองก็พบกับเด็กหนุ่มอยู่คนหนึ่งที่สวมชุดเป็นเครื่องแบบชาวค่ายปกติเลย หัวทรงแอฟโฟ่รดูเป็นคนเอเชียเหมือนกับเธอด้วยสิ แต่ก็น่าแปลกนะที่เธอไม่ค่อยคุ้นหน้าเด็กคนนี้เท่าไรเลย หรือว่าจะใช้อาวุธกันคนละประเภทกันนะหรือว่าไม่ใช่สายต่อสู้รึเปล่ากันนะ แต่มันช่วยขจัดความเศร้าในใจเธอได้เป็นอย่างดี ก่อนจะไปนั่งฟังการเล่นกีตาร์ข้าง ๆ อีกฝ่าย แบบไม่ได้ใกล้ชิดมากมายนัก ห่างประมาณสักเมตรหนึ่งได้มั้งนะ พลางหลับตาลงฟังเพลงอย่างสงบจนจบเพลง เธอก็ปรบมือให้ด้วยความชื่นชม

“เพราะมากเลยค่ะ เราพึ่งเคยเจอคนเล่นกีตาร์เก่งขนาดนี้มาก่อนเลย”

ดูท่าทางอีกฝ่ายน่าจะไม่ค่อยพูดสักเท่าไร เลยมีแค่อาการเขินแก้มแดงเรื่อ ๆ ออกมานิด ๆ จนดูน่ารักพอสมควรทำเอาเธอรู้สึกเอ็นดูนิด ๆ เลย

“เออ..เราเฟเรีย เฮย์ส ธิดาแห่งฮิปนอสค่ะ แล้วเธอล่ะ”

“ทิปดา บินตัง บุตรแห่งอะพอลโล่“

ถึงกับถึงบางอ้อเลย แต่ก็ยอมรับเลยว่าทิปตาเล่นกีตาร์เก่งจริง ๆ คงต้องมีใจรักจริง ๆ ด้วยนั่นแหละ

“แล้วนี่เล่นอย่างอื่นได้ไหม”

เขาพยักหน้าตอบก่อนที่เธอจะคิดอะไรออกจึงเอาขลุ่ยรีคอร์เดอร์ออกมา

“เล่นขลุ่ยอันนี้ได้ไหม”

เขาพยักหน้าก่อนจะรับมาเป่าให้เธอฟังจนจบหนึ่งเพลง

“สุดยอดเลย นี่ ๆ สอนเราได้ไหมคะ”

เขาพยักหน้าก่อนจะคืนขลุ่ยให้เธอแล้วอ้อมมาข้างหลังเธอค่อยจับมือเธอวางตำแหน่งนิ้วตามแต่ละรู แล้วค่อย ๆ สอนเป่าโน๊ตทีละโน๊ตไปเรื่อย ๆ มันก็ยากนิด ๆ นะ แต่ก็สนุกดี

วาง ช่อดอกไม้ ให้กับ เอลลิส
เป่าขลุ่ยรีคอร์เดอร์กับทิปดา
บรรเลงดนตรี ความสัมพันธ์พิเศษโบนัส +5
เอฟเฟคน้ำหอม unisex : ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 ได้รับโบนัสพิเศษ +5 แต้ม

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-01] เอลลิส เวคฟิลด์ [ตาย] เพิ่มขึ้น 20 โพสต์ 2025-1-5 08:43
โพสต์ 9486 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2025-1-5 03:18
โพสต์ 9,486 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +2 ความกล้า จาก กำปั้นแห่งนิทรา  โพสต์ 2025-1-5 03:18
โพสต์ 9,486 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +2 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก ขลุ่ยรีคอร์เดอร์  โพสต์ 2025-1-5 03:18
โพสต์ 9,486 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก Daedalus's Legacy  โพสต์ 2025-1-5 03:18
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เรือแคนูไม้
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
ควบคุมดอกป๊อปปี้
ฝันร้าย
มีดสั้นสัมฤทธิ์
Daedalus's Legacy
จิตวิญญาณนักรบแห่งโอกู
เกราะสายรุ้ง
สะกดจิต
น้ำหอม Unisex
ทักษะหอก
กำไลหินนำโชค
หูฟังบลูทูธ
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โล่อัสพิส
หอกกรีก
หลับใหล
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x4
x7
x11
x24
x6
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x6
x18
โพสต์ 2025-1-8 00:05:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด





วันที่ 29 ธันวาคม 2024
เวลา 16.00 น.



ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมายืนไว้อาลัยให้กับเพื่อนร่วมค่ายแบบนี้ เอโลอิสปรากฏตัวในชุดสีดำแสนเรียบง่าย ลำพังฐานะครอบครัวของเธอก็ไม่สามารถจะซื้อชุดทางการสวย ๆ ได้เลยหาชุดที่ดูสุภาพที่สุดเท่าที่มีในตู้เสื้อผ้าบ้านเฮเฟตัสสวมใส่ออกมาเพื่อร่วมพิธีไว้อาลัยให้แก่เพื่อนร่วมค่ายผู้จากไป 

หลังจากที่ทุกคนมากันครบพิธีการก็เริ่มขึ้น คุณดีก้าวขึ้นมาก่อนจะเริ่มกล่าวเปิดงานแม้เสียงจะดูหนักแน่นแต่ก็แฝงด้วยความสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย 

“สวัสดี เหล่าสหายแห่งค่ายฮาล์ฟบลัด...วันนี้ เราทุกคนมาอยู่ร่วมกัน ณ ที่แห่งนี้ ด้วยหัวใจที่หนักอึ้งและความรู้สึกโศกเศร้า เพื่อร่วมส่งดวงวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้าหาญ เอลลิส เวคฟิลด์ สู่ทุ่งเอลลิเซียม…”

คุณดีเริ่มพูดถึงเอลลิส เวคฟิลด์ การกล่าวถึงความทรงจำและวีรกรรมของเขาทำให้หลายคนที่อยู่ในพิธีถึงกับน้ำตาซึม แน่นอนว่าเรื่องราวต่าง ๆ ของเอลลิสจะไม่หายไปจากความทรงจำของทุกคน เมื่อคุณดีกล่าวจบก็โค้งศีรษะอย่างนอบน้อมและก้าวลงจากแท่น ก่อนที่คุณไครอนจะเริ่มรับช่วงต่อ

“วันนี้เป็นวันที่น่าโศกเศร้าที่สุดวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ของค่ายฮาล์ฟบลัด เราได้สูญเสียบุตรแห่งแอรีสผู้กล้าหาญ เอลลิส เวคฟิลด์ ไปอย่างไม่มีวันกลับ…”

เมื่อเขาเริ่มกล่าวถึงวันที่เอลลิสได้เข้ามาในค่ายครั้งแรก ภาพความทรงจำของบุตรแห่งแอรีสที่กล้าหาญก็แล่นกลับเข้ามาในใจทุกคน หลังจบคำกล่าวของไครอน ทุกคนลุกขึ้นยืนพร้อมกันร่วมไว้อาลัยให้เอลลิสเป็นเวลา 1 นาที ความเงียบในช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความหมาย ดอกไม้ในมือของบางคนเริ่มหลุดร่วง บางคนหลับตาระลึกถึงวีรกรรมของเอลลิส

จากนั้นเสียงดนตรีจากบ้านอะพอลโลก็ดังขึ้น ท่วงทำนองของ The Last of the Mohicans ขับกล่อมไปทั่วลานพิธี รุ่นพี่ของบ้านอะพอลโลเริ่มบรรเลงเพลงไว้อาลัย ผู้ร่วมพิธีเริ่มขับร้องตามท่วงทำนองเพลง เสียงประสานของพวกเขาดังกังวานก้องไปทั่วบริเวณ หลังเพลงจบลงก็ตามด้วยการฉายภาพวีดีทัศน์รำลึกถึงเอลลิส เอโลอิสมองดูอย่างตั้งใจจนจบก่อนที่เธอจะสะดุ้งกับเสียงบางอย่างที่เกิดขึ้นในงานอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

เสียงฟ้าผ่ากึกก้องดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเทพแห่งสงครามแอรีสในชุดเกราะสีบรอนซ์ ดวงตาแดงก่ำของเขาจ้องมองไปยังรูปถ่ายของเอลลิส บุตรชายผู้หาญกล้าและน่าภาคภูมิใจของเขาด้วยความโศกเศร้า

"เอลลิส! ลูกชายของข้า!"

เทพแอรีสพรั่งพรูทุกสิ่งออกมากลั่นกรองเป็นคำพูด เห็นได้ชัดว่าเขาอาลัยบุตรชายคนนี้มากเพียงใด หลังจากกล่าวจบเขาก็หายวับไปในทันที ทิ้งไว้แต่เสียงสะอื้นไห้ของผู้ร่วมไว้อาลัย 

คนอื่น ๆ เริ่มทยอยสลับกันขึ้นมากล่าวคำอาลัยทั้งอลิเซีย แฟนสาวของเอลลิส และชาวค่ายคนอื่น ๆ เอโลอิสจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีคนขอขึ้นกล่าวกี่คนเพราะมันมากมายเหลือเกิน เอโลอิสกุมช่อดอกไม้ไว้ในมือก่อนจะเดินนำไปใส่ในกองไฟหลังจากที่ถึงคิวของเธอ

“หลับให้สบายนะเอลลิส นายจะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป” 

เอโลอิสกล่าวเบา ๆ ก่อนจะกลับไปเข้าที่เพื่อร่วมร้องเพลง My Immortal ร่วมกับทุกคน ไครอนยืนสงบนิ่งอยู่หน้าแท่นพิธี สายตาของเขาจับจ้องไปยังเปลวไฟจากคบเพลิงที่ลุกโชติช่วง ความเงียบที่บ่งบอกถึงความเศร้าและการเคารพในความทรงจำของผู้ที่จากไป ไครอนสูดหายใจลึก ก่อนจะเริ่มกล่าวปิดงาน

ในช่วงสุดท้ายไครอนกล่าวคำไว้อาลัยและขอให้ดวงวิญญาณของเอลลิสไปสู่สุคติ พร้อมทั้งขอให้ทุกคนเข้มแข็งและก้าวเดินต่อไปตามเจตนารมณ์ของเขา ขณะที่เขาทำการโค้งคำนับในพิธี เสียงปรบมือและเสียงสะอื้นไห้ของผู้ร่วมไว้อาลัยดังก้องไปทั่วลานพิธี ปิดท้าด้วยการร่วมรับประทานอาหารว่างที่เอโลอิสเองกินไม่ลงเลยสักนิดเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีในวันนี้


มอบช่อดอกไม้ให้ เอลลิส เวคฟิลด์






แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-01] เอลลิส เวคฟิลด์ [ตาย] เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2025-1-8 00:49
โพสต์ 12752 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-1-8 00:05
โพสต์ 12,752 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-1-8 00:05
โพสต์ 12,752 ไบต์และได้รับ +4 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +4 ความศรัทธา จาก สร้อยไข่มุกตาฮิตี   โพสต์ 2025-1-8 00:05
โพสต์ 12,752 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +4 ความศรัทธา จาก ผลิตภัณฑ์กันแดด  โพสต์ 2025-1-8 00:05
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
โพสต์ 2025-2-15 15:23:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด


Time


14/02/25



บทพิเศษ Valentine's Day


อนที่ 6


เปลวไฟสีส้มแดงลุกไหวตามแรงลมอ่อนๆ  กองไฟเฮสเทียตั้งอยู่ใจกลางค่ายฮาล์ฟบลัด ให้ความอบอุ่นและความสว่างไสวแก่พื้นที่โดยรอบ แสงของมันสะท้อนอยู่ในดวงตาของผู้คนที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่เป็นระยะ บ้างกำลังคุยกันเงียบๆ บ้างก็เพียงนั่งนิ่ง ปล่อยให้ไฟลุกโชนอยู่ตรงหน้า  


แต่ที่แน่ๆ ทุกสายตาที่อยู่ตรงนี้กำลังจับจ้องมาที่ ไลแซนเดอร์ วิสเปอร์ ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในค่าย... โดยมี คูเปอร์ โจนส์ อยู่ในอ้อมแขนของเขา


คูเปอร์รู้สึกได้ถึงสายตานับสิบคู่ที่จ้องมา เขาขยับตัวเล็กน้อย พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ไลแซนเดอร์กระชับอ้อมแขนให้มั่นคง  


นี่มันอะไรกัน...!? 


คนในค่ายฮาล์ฟบลัดส่วนใหญ่ไม่ได้รู้จักไลแซนเดอร์เป็นการส่วนตัวมากนัก แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำวง GETS!X และเป็นพี่ชายที่น้องในค่ายค่อนข้างเคารพ แต่การที่เขาอุ้มใครสักคนพาเข้ามาแบบนี้... มันไม่ใช่ภาพที่เห็นกันได้ง่ายๆ  


เสียงกระซิบกระซาบดังแว่วมา คูเปอร์ทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพยายามเบือนหน้าหนีสายตาเหล่านั้น  


"คุณวางผมลงได้แล้วครับ" เขากระซิบ พลางสะกิดเบาๆ "เดี๋ยวผมเดินไปเองก็ได้"  


ไลแซนเดอร์เหลือบตามองเขานิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ "คุณแน่ใจเหรอครับ?"  


"ครับ"  


ร่างสูงหยุดเดิน พลางก้มลงมองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ดวงตาสีดำสนิทของอีกฝ่ายดูสงบนิ่งแต่ก็คล้ายแฝงความกังวลบางอย่างไว้ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ วางคูเปอร์ลงอย่างระมัดระวัง  


คูเปอร์สูดหายใจเข้าลึกๆ ตั้งหลักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองไลแซนเดอร์ รู้สึกได้ว่าตัวเองยังคงรับรู้ถึงไออุ่นจากอีกฝ่ายแม้จะไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนนั้นแล้ว  


ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ” คูเปอร์พูดขึ้นก่อน ไลแซนเดอร์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับ  


“ผมก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกันครับ วันนี้สนุกดี”  


ดีใจที่คิดแบบนั้นครับ” คูเปอร์ยิ้มบางๆ พลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยชายเสื้อแจ็กเก็ตตัวเองไปมา รู้สึกเหมือนมีเรื่องอีกมากมายที่เขาควรพูด แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรดี  


ลมเย็นของค่ำคืนพัดผ่าน เปลวเพลิงสั่นไหวเล็กน้อย บรรยากาศรอบตัวพวกเขาดูจะเงียบสงบลงกว่าเดิม  


"เอ่อ..." คูเปอร์ลังเลนิดหน่อย ก่อนจะถามออกไป "คุณจะกลับเมื่อไหร่ครับ?"  


ไลแซนเดอร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ "น่าจะพรุ่งนี้เช้าครับ"  


"งั้นเหรอครับ..."  


“ทำไมเหรอครับ?”  


คูเปอร์ส่ายหน้าช้าๆ “เปล่าหรอกครับ แค่ถามเฉยๆ”  


ไลแซนเดอร์มองเขาเงียบๆ สายตาของอีกฝ่ายสงบนิ่งราวกับสามารถมองทะลุความคิดของคูเปอร์ได้ แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา  


“เดตวันนี้เป็นไงบ้างครับ?”  


“ก็...” คูเปอร์นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ “เป็นเดตที่สนุกดีครับ ต่างจากที่คิดไว้ตอนแรกมาก”  


ต่างจากที่คิดไว้ยังไงเหรอครับ?”  


ตอนแรกผมคิดว่ามันอาจจะ...แค่เป็นการไปกินข้าว เดินเล่นคุยกันนิดหน่อยแล้วก็แยกย้าย” คูเปอร์หัวเราะเบาๆ “ไม่คิดเลยว่าจะมีทั้งเขาวงกต สฟิงซ์ สวนสนุก แถมยังมีเทพีอะโฟรไดท์มาแจมอีก”  


ไลแซนเดอร์หัวเราะเบาๆ “เป็นวันวาเลนไทน์ที่ไม่ธรรมดาเลยสินะครับ”  


“ใช่เลยครับ”  


พวกเขามองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน ลมเย็นพัดผ่านพวกเขาไปช้าๆ แต่ถึงจะเป็นลมเย็น คูเปอร์กลับไม่ได้รู้สึกหนาวเลยสักนิด  


ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเขาอีกครั้ง แต่กลับไม่ใช่ความเงียบที่อึดอัด ตรงกันข้าม มันเป็นความเงียบที่...ผ่อนคลาย  


“...งั้นผมคงต้องไปแล้วครับ” คูเปอร์พูด พลางหมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป  


แต่ยังไม่ทันก้าวออกไปไกล เสียงของไลแซนเดอร์ก็ดังขึ้นด้านหลัง  


"บ้านอะธีนาก็เดินไกลอยู่นะ..."  


คูเปอร์ชะงักกึก  


"ถ้าอยากให้ผมพาไปส่งก็บอกมาเลยก็ได้นะครับ"  


เขาหันกลับไปมอง ไลแซนเดอร์ยังคงมีรอยยิ้มเล็กๆ ติดอยู่ที่มุมปาก  


ที่แท้ก็รู้อยู่แล้วสินะว่าเขามาจากบ้านไหน


คูเปอร์ขมวดคิ้วเล็กๆ “คุณรู้อยู่แล้ว?”  


อืม” ไลแซนเดอร์พยักหน้า “ตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ”  


คูเปอร์จ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือก “แบบนี้แสดงว่าผมเป็นคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลยสินะครับ”  


ไลแซนเดอร์หัวเราะเบาๆ “ก็คุณไม่เคยถามเองนี่ครับ”  


ให้ตายเถอะ...” คูเปอร์พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ ผมเดินเองได้”  


ไลแซนเดอร์ไม่ได้ว่าอะไร แค่พยักหน้ารับเบาๆ "งั้นก็เดินดีๆ นะครับ"  


คูเปอร์สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติหลังจากที่ไลแซนเดอร์พูดแหย่เรื่องพาไปส่งถึงบ้าน เขายกมือขึ้นเสยผมตัวเองลวกๆ ก่อนจะหมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป แต่แล้ว—  


“เดี๋ยวก่อนครับ”  


เสียงทุ้มของไลแซนเดอร์ดังขึ้นขัดจังหวะ  


คูเปอร์ชะงัก หันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เห็นไลแซนเดอร์ล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขา เป็นกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่ง  


“อะไรเหรอครับ?”  


ไลแซนเดอร์ไม่ได้ตอบทันที แต่กลับยื่นกระดาษใบนั้นให้กับคูเปอร์แทน  


“เบอร์ของผมครับ”  


คูเปอร์กระพริบตา มองกระดาษในมือของอีกฝ่ายราวกับมันเป็นวัตถุลึกลับ ก่อนจะไล่สายตามองตัวเลขที่เขียนอยู่บนนั้น  


2448440  


"...ให้ผมทำไมครับ?"  


ไลแซนเดอร์ยิ้มบางๆ “เผื่อว่าในอนาคต คุณอยากติดต่อผม”  


“...”  


คูเปอร์หรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องมองชายหนุ่มผมน้ำตาลด้วยสายตาพิจารณา  


นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?


ไม่ใช่ว่าพวกเขาคงไม่ได้เจอกันอีกอยู่แล้วเหรอ? นี่เป็นเพียงแค่เดตที่จัดขึ้นจากกิจกรรม ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสักหน่อย แล้วทำไมไลแซนเดอร์ถึงดูเหมือน...ตั้งใจจะให้พวกเขาติดต่อกันต่อไปจริงๆ กันล่ะ?  


เขากำลังจะปฏิเสธใจจะขาด แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นสายตาของชาวค่ายที่อยู่รอบๆ  


ทุกคนต่างจ้องมาที่เขา  


และมันเป็นสายตาแบบที่สื่อออกมาชัดเจนว่า


[ ‘รับเถอะน่าพี่!’ ]


คูเปอร์กัดฟันเล็กๆ พยายามไม่แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกไป สุดท้ายก็ต้องยอมใจอ่อน ยื่นมือไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาอย่างเสียไม่ได้  


"...ขอบคุณครับ"  


ไลแซนเดอร์ยังคงมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่บนใบหน้า ก่อนจะพยักหน้าให้เบาๆ  


"ยินดีครับ"  


คูเปอร์ถอนหายใจเฮือก ซุกกระดาษใส่กระเป๋าเสื้ออย่างลวกๆ ก่อนจะรีบตัดบท “งั้นผมไปก่อนนะครับ เดินทางปลอดภัยครับ”  


ไลแซนเดอร์หัวเราะเบาๆ “ครับ แล้วเจอกันใหม่นะครับ”  


คูเปอร์สะดุดเท้าตัวเองไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไลแซนเดอร์ไว้ข้างหลังกองไฟเฮสเทีย  


แต่ถึงอย่างนั้น...  


เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังคงมองตามหลังเขาอยู่


--------------------

--------------------



~จบกิจกรรม~


รับรางวัล


+2 Point


10 ดรักม่า (สำหรับค่ายฮาล์ฟบลัด)


ดอกกุหลาบสีทอง




  

@Dean 

แสดงความคิดเห็น

ส่งรางวัล: ดอกกุหลาบสีทอง 1 ดอก / 10 ดรักม่า  โพสต์ 2025-2-15 15:45
โพสต์ 62685 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-2-15 15:23
โพสต์ 62,685 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 เกียรติยศ +10 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก กลยุทธ์การรบ  โพสต์ 2025-2-15 15:23
โพสต์ 62,685 ไบต์และได้รับ +10 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความศรัทธา จาก ยาดม  โพสต์ 2025-2-15 15:23
โพสต์ 62,685 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก สายตาแห่งนกฮูก  โพสต์ 2025-2-15 15:23
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทเพลง
พริบตาแห่งวีรชน
ปัญญาแห่งการรบ
ร่างจำแลง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กลยุทธ์การรบ
ยาดม
สายตาแห่งนกฮูก
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
แว่นกันแดด
กำไลหินนำโชค
หมวกเกราะ
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
หอกกรีก
อัจฉริยะ
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
ต่างหูเงิน
น้ำหอมบุรุษ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x10
x20
x4
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x3
x1
x1
x4
x5
x1
x2
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้