บันทึกการเดินทาง [4]
ลานจอดรถร้าง , โอ๊คแลนด์
21 · กันยายน · 2025 · 13.00 น.
เสียงโลหะเสียดสีดังไล่หลังมาไม่ขาดช่วง
ครืน… ครืน…
เอสเปอร์กับพิลวอนวิ่งจนสุดแนวกำแพงคอนกรีต ก่อนหยุดหอบหายใจ ดวงตาทั้งคู่จับจ้องไปยังหมอกที่กลืนกินทุกอย่างด้านหลัง.แสงสีน้ำเงินอมเทาวูบวาบในนั้น เหมือนเปลวไฟเย็นที่ไม่มีวันดับ
“มันไม่หยุด” เอสเปอร์พูดเสียงแผ่ว
พิลวอนหันมาทางเขา “เราคงหนีไม่พ้น ถ้าออกจากลานไม่ได้ก็ต้องสู้”
เอสเปอร์กัดฟันแน่น ส่ายหน้าเล็กน้อย “กับวิญญาณเนี่ยนะ จะสู้ยังไง ดาบไม้ไม่มีทางฟันโดนแน่”
“มันไม่ใช่วิญญาณธรรมดา” พิลวอนตอบเรียบ “พวกมันยังถูกผูกไว้กับโลกนี้ แปลว่ามันมี ‘ร่าง’ บางส่วนที่แตะต้องได้”
เสียงก้าวเท้าโลหะหนักหน่วงขึ้นใกล้ ร่างทหารสามตนปรากฏชัดในหมอก ชุดเกราะสนิมเขรอะเปื้อนเงาแสงสีน้ำเงิน รอยร้าวบนโล่เรืองวาบราวกับรอยแผลของกาลเวลา พวกมันเดินเรียงแถวอย่างช้า ๆ ดาบสั้นเย็นเฉียบในมือสะท้อนแสงหมอกเหมือนกระจก
พิลวอนกระชับดาบไม้ หันมามองเอสเปอร์ “อย่าใช้แรงฟาด ต้องใช้จังหวะ”
“นี่นายจะให้สู้แบบใช้เทคนิคงั้นเหรอ?”
“ใช่” เขาพยักหน้า “เราผ่านการฝึกจากลูปาแล้ว จำได้ไหมอย่าต่อต้านแรงใช้มัน”
เอสเปอร์สูดลมหายใจลึก เขาวางเท้าซ้ายถอยครึ่งก้าว ยกดาบขึ้นระดับอก
หมอกเย็นไหลเข้าปอดราวกับน้ำแข็ง
ร่างแรกของลาเรสพุ่งเข้ามาก่อน โล่ในมือกระแทกเข้าด้านข้างของเอสเปอร์ด้วยแรงมหาศาลจนเขาเซล้ม พิลวอนหมุนตัวรับจังหวะนั้น ฟาดดาบไม้เข้าใส่ข้อมือโลหะของมัน
เพล้ง!!!
เสียงไม้กระทบเหล็กสะท้อนก้องไปทั่วลาน โล่ของลาเรสสะบัดหลุดไปด้านข้าง
“ตอนนี้!” พิลวอนตะโกน
เอสเปอร์กัดฟันลุกขึ้นรวดเร็ว ใช้แรงถีบพื้นกระแทกเข้ากลางอกเกราะของมัน
เสียงครืนดังขึ้นเหมือนกระแทกแท่งเหล็ก แต่ร่างของลาเรสก็ถอยหลังไปสองก้าว
พิลวอนไม่รอช้า ฟันเข้าด้านล่างของหมวกเกราะ “แกร๊ง!”
เศษเหล็กแตกกระจายแสงสีฟ้าในดวงตาพลันดับลง ร่างนั้นทรุดลงก่อนสลายกลายเป็นเถ้าหมอก
“หนึ่ง...” พิลวอนหอบ หยาดเหงื่อไหลตามขมับ
“ยังเหลืออีกสอง” เอสเปอร์ตอบ พลางถ่มเลือดจากริมฝีปากที่แตก
ร่างที่สองพุ่งเข้ามา เสียงก้าวเท้าของมันหนักกว่าเดิม โล่เหล็กสะบัดเป็นแนวกว้าง เอสเปอร์ยกดาบไม้ขึ้นกัน เสียงไม้แตกสะท้อนก้อง แรงกระแทกทำให้เขาถอยหลังไปหลายก้าว ดาบไม้ในมือหักเป็นสองท่อน
“เอสเปอร์!”
“ไม่เป็นไร!” เขาขว้างด้ามที่เหลือใส่หน้าของลาเรส ก่อนหมุนตัวหลบด้านข้าง แรงปะทะเฉียดแขนจนเจ็บแปลบ เขาหยิบเศษท่อเหล็กที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาแทนดาบ
พิลวอนเคลื่อนเข้าข้างหลังของมัน ก้าวยาวหนึ่งก้าว ฟันตรงจุดเชื่อมหลังเกราะ เสียงโลหะฉีกดัง แสงสีเหลืองพุ่งทะลุรอยร้าวแล้วดับวูบ
ร่างนั้นทรุดลงเหมือนหุ่นที่เชือกถูกตัดขาด เหลือเพียงร่างสุดท้าย ร่างที่สาม สูงกว่าและสวมหมวกเกราะเต็มใบ ไม่มีช่องตามีเพียงแสงเย็นส่องลอด
พิลวอนยืนหอบมือสั่นเพราะแรงกระแทกสะสม เขาเหลือแรงอีกไม่มาก เอสเปอร์เองก็เจ็บแขนจนแทบยกไม่ขึ้น
ร่างสุดท้ายก้าวช้า ๆ เข้ามา ทุกย่างก้าวของมันทำให้หมอกหมุนวนรอบขา เหมือนโลกทั้งใบหายใจพร้อมกัน
เอสเปอร์กระซิบ “นายไปหลอกมันทางขวา ฉันจะลอบเข้าใกล้จากด้านหลัง”
“แน่ใจเหรอ”
“มันหนักเกินไป เคลื่อนไหวช้า ถ้าใช้แรงทั้งหมดตอนมันฟันพลาด เราอาจจะล้มมันได้”
พิลวอนพยักหน้าแล้วพุ่งไปทางขวา
ลาเรสหมุนตามทันที เสียงลมหายใจเย็นของมันดังผ่านช่องเกราะ พิลวอนหลบการฟันครั้งแรกได้เฉียดฉิว ดาบโลหะฝังลงพื้นจนแตก
ในจังหวะนั้นเอสเปอร์พุ่งเข้าจากด้านหลัง ใช้ท่อเหล็กฟาดเข้าด้านหลังหัวของมันเต็มแรง
มันไม่ล้ม แต่สะดุดก้าว
พิลวอนเห็นช่องรีบใช้ปลายดาบไม้ที่เหลืออยู่แทงเข้าใต้แขนเกราะ ร่างโลหะสั่นไหวแสงในหมวกเกราะสั่นระริก ก่อนจางลงอย่างช้า ๆ
ทั้งคู่หอบหายใจแรงหมอกเริ่มบางลง เมื่อร่างสุดท้ายสลายหายไป เหลือเพียงเศษฝุ่นโลหะและกลิ่นอับของสนิม
พิลวอนทรุดนั่งลง เอามือกุมท้อง “ผมคิดว่าผมจะตายจริง ๆ”
เอสเปอร์หัวเราะเบา ๆ ทั้งที่หอบแทบไม่ไหว “อย่างน้อยก็ไม่ได้แย่ที่สุดที่เจอมา...”
เขามองเศษดาบไม้ในมือ เหลือเพียงครึ่งเดียว “เห็นไหม ดาบไม้ก็เอาอยู่”
พิลวอนมองหน้าเขา พลางหัวเราะแผ่ว “พี่นี่มัน ไม่ยอมแพ้อะไรเลยจริง ๆ”
เอสเปอร์ยักไหล่ “พี่แค่ไม่อยากตายแบบโง่ ๆ เท่านั้นเอง”
หมอกค่อย ๆ จางลงเผยให้เห็นท้องฟ้าที่มีแสงอาทิตย์ลอดผ่านมาอีกครั้ง ลานจอดรถกลับมาเป็นเหมือนเดิมเงียบงันแต่มีชีวิต
เอสเปอร์กับพิลวอนยืนเคียงกัน มองไปทางเขตตึกสูงในเบิร์กลีย์ ปลายทางคืออุโมงค์คัลลีคอตต์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสิบกิโลเมตร
“เราไปกันต่อไหม” พิลวอนถาม
เอสเปอร์พยักหน้า “ต้องไปสิ”
ทั้งสองออกเดินอีกครั้ง.ท่ามกลางกลิ่นควันของเมืองและไอหมอกที่ยังหลงเหลือเบาบาง ชัยชนะครั้งนี้ไม่ยิ่งใหญ่ แต่ก็เพียงพอให้พวกเขารู้ว่าความกล้า ไม่ได้เกิดจากพลังของเทพ แต่อยู่ในหัวใจของคนที่ไม่ยอมถอย
เสียงลมหอบหายใจสั้นถี่ของเอสเปอร์ผสมกับเสียงเท้าเบา ๆ ของพิลวอนที่เหยียบย่ำเศษกรวดบนพื้นคอนกรีต ทั้งสองพิงหลังกับซากรถบัสเก่าที่ถูกไฟไหม้ครึ่งคัน แสงหมอกสีขาวอมฟ้าล้อมรอบทุกอย่างจนดูเหมือนโลกกำลังละลาย
“ขอพักแค่ห้านาทีได้ไหม” เอสเปอร์พึมพำ เสียงแหบเล็กน้อย มือยังจับกลาดิอุสไม้แน่น
พิลวอนหันมามอง ดวงตาสีม่วงแซมขาวของเขาดูสงบ แต่ภายใต้ความนิ่งนั้นมีความร้อนรนที่ซ่อนอยู่ “พักได้ แต่ต้องฟังเสียงรอบตัวไว้ตลอดนะ” เขาวางกระเป๋าลง ควักขวดน้ำที่เหลือเพียงครึ่งแล้วยื่นให้ “ดื่มหน่อย เดี๋ยวจะหมดแรงก่อนถึงอุโมงค์”
เอสเปอร์รับมาช้า ๆ ดื่มเพียงอึกเดียวก่อนยื่นคืน “นายเองก็ดื่มสิ พวกเราเหลือแค่นี้”
“ไม่เป็นไร” พิลวอนส่ายหน้า “ผมยังไหว”
เงียบไปครู่หนึ่ง ลมหายใจของทั้งสองประสานกันอย่างเหนื่อยล้า ราวกับความเงียบในหมอกนั้นกำลังรัดคอให้แน่นขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งเสียงบางอย่างดังขึ้นเสียงกระพือปีกอันใหญ่โต ผสมกับเสียงกรนต่ำในลำคอ
กรรรรรรรซ์
เอสเปอร์สะดุ้งเฮือก “มันมาอีกแล้ว” เขากระซิบเสียงสั่นเล็กน้อย แต่สายตากลับเฉียบพลัน
พิลวอนลุกขึ้นทันที คว้าดาบไม้แน่น “ถ้ามันยังตามมาตั้งแต่สวน… แสดงว่ามันจำเราได้”
ทั้งคู่มองไปทางเดียวกันหมอกข้างหลังเริ่มแหวกออก เสียงกึกกักของกรงเล็บขูดพื้นดังก้อง สามีทปรากฏร่างในเงาหมอก ขนาดตัวมหึมาปีกคลี่ออกจนบดบังไฟถนนที่ยังหลงเหลือ มันส่งเสียงคำรามต่ำก่อนจะพุ่งเข้าใส่
“วิ่ง!!” พิลวอนตะโกนโดยไม่ต้องคิด
เสียงฝีเท้าทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกัน ข้ามซากเหล็กที่หักงอ วิ่งผ่านตรอกแคบระหว่างอาคารร้าง ลมหายใจหนักขึ้นทุกวินาที
“มันเร็วกว่าครั้งก่อนแน่ ๆ!” เอสเปอร์พูดขณะหลบเศษป้ายถนน
“อย่าหันกลับไป” พิลวอนตะโกน “ทางนี้ มีบันไดหนีไฟข้างตึก”
พวกเขาวิ่งเข้าไปในซอกกำแพงที่เปื้อนสนิม บันไดเหล็กผุๆ ทอดยาวขึ้นไปถึงชั้นสองของอาคารพังทลาย เอสเปอร์ปีนขึ้นก่อน แต่ขาแทบไม่มีแรง “ไกด์! เราจะหนีไปได้ยังไง ถ้ามันบินได้แบบนั้น”
พิลวอนยกกลาดิอุสขึ้นในมือข้างหนึ่ง ก่อนเหยียบขั้นบันไดต่อ “มันติคอร์มันใหญ่เกิน จะบินเข้าซอกแคบ ๆ ไม่ได้หรอก ขึ้นไปบนหลังคา แล้วค่อยหาทางอีกที!”
เสียงคำรามข้างล่างดังลั่น พื้นสั่นสะเทือนจากแรงชน มันพยายามพุ่งหัวกระแทกเข้ามาในช่องแคบ แต่ถูกผนังตึกกั้นไว้ เอสเปอร์รีบดึงพิลวอนขึ้นมาทันเวลา ทั้งคู่กลิ้งเข้ามาบนพื้นหลังคาเก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยเศษแก้ว
ทั้งคู่หอบหายใจแรง “ฉัน… เกลียดมันจริง ๆ” เอสเปอร์พูดเบา ๆ
“ฉันก็เหมือนกัน” พิลวอนตอบ ยกมือขึ้นแตะบาดแผลที่แขนซ้ายซึ่งโดนหนามพิษครูดไว้เมื่อคราวก่อน “มันคงตามกลิ่นพวกเรามา”
“เราต้องหาทางตัดรอยตาม ไม่งั้นจะไม่ถึงอุโมงค์แน่”
เอสเปอร์มองลงไปข้างล่าง เห็นเงาปีกเคลื่อนผ่านหมอกอีกครั้ง เสียงปีกกระพือแรงจนเศษกระจกปลิวกระจาย
“มันยังไม่ไป…” เขาพึมพำ ดวงตาสีเงินซีดสะท้อนแสงหมอก
พิลวอนขบฟันแน่น “เราต้องล่อมันไปอีกทาง”
“อย่าบอกนะว่านายจะเป็นเหยื่อ?”
“ไม่ใช่เหยื่อ” พิลวอนตอบนิ่ง “แค่ล่อออกไปให้ไกลพอที่พี่จะไปต่อได้”
“ไม่มีทาง ฉันไม่ทิ้งนายไว้แน่”
เสียงของเอสเปอร์หนักแน่นจนน่าแปลกใจ ทั้งคู่สบตากันกลางหมอก เสี้ยววินาทีนั้นมีความเข้าใจบางอย่างที่ไม่ต้องใช้คำพูด ความดื้อดึงในแบบเดียวกันความไม่ยอมแพ้แม้จะรู้ว่าตัวเองบอบช้ำเกินจะสู้
เสียงคำรามของสามีทดังขึ้นอีกครั้ง ร่างของมันโผล่ขึ้นเหนือหลังคาตึก ฝุ่นคอนกรีตปลิวกระจายจากแรงปีก มันคำรามในลำคอและพุ่งตรงมาทางพวกเขา
“โดดลงไป!” พิลวอนผลักเอสเปอร์ให้หล่นลงช่องหลังคาที่เปิดไว้ก่อน แล้วตัวเองกระโดดตาม เสียงกระแทกพื้นดังตุบ ทั้งคู่กลิ้งเข้ามาในห้องร้างชั้นล่าง เต็มไปด้วยเศษโต๊ะเก่าและผ้าม่านเปื้อนฝุ่น
“โอ๊ย” เอสเปอร์ครางเบา ๆ “นายบ้าไปแล้ว”
“แต่มันช่วยให้เรารอด” พิลวอนตอบเรียบ ๆ ทั้งที่หายใจหอบ “ขยับเร็วเข้า มันอาจเข้ามาทางหน้าต่าง”
พวกเขารีบมุดออกหลังตึก วิ่งผ่านตรอกอีกเส้น มุ่งไปทางเนินเขาที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ทางเดียวที่จะไปถึงอุโมงค์คัลลีคอตต์ได้
ระหว่างวิ่ง พิลวอนถามทั้งที่ยังไม่หันหน้า “เอสเปอร์ พี่ยังพกเนคทาร์กับแอมโบรเซียอยู่ไหม?”
“มีแต่ยังไม่ถึงคราวใช้”
“งั้นดี” พิลวอนพยักหน้า “เพราะถ้าเจ็บอีกครั้ง ผมอาจต้องใช้มันจริง ๆ”
เสียงปีกกระพือดังตามหลังอีกครั้ง ทั้งคู่ไม่พูดอะไรต่อ วิ่งไปเรื่อย ๆ ในความมืดของหมอกที่เหมือนจะหนาขึ้นเรื่อย ๆ เสียงลมหายใจของพวกเขากลืนหายไปกับเสียงคำรามอันไกลโพ้นของอสุรกายสามีทที่ยังไม่เลิกรา
พวกเขาไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงอุโมงค์ แต่รู้เพียงอย่างเดียว คือถ้าหยุดตอนนี้มันจะเป็นการสิ้นสุดของทั้งหมด
