[บันทึกการเดินทาง] Beamed into Duty: Saving Mr. Freckles

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-10-2 19:52:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 30 : หลับเป็นตายกินตลอดทาง
วันที่ 22 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงบ่าย เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง เมืองซัสคาทูน รัฐซัสแคตเชวัน จนถึง วินนิเพก รัฐแมนิโทบา แคนาดา

ถนนยาวเหยียดทอดตัวไปกลางทุ่งหญ้าและผืนป่ากว้างสุดสายตา ท้องฟ้าซัสแคตเชวันยังคงสว่างไสวราวกับไม่รู้จักค่ำคืน เส้นทางสู่วินนิเพกยังอีกไกลนัก แต่ภายในรถหรูเยอรมันบรรยากาศกลับอบอุ่นปนเหนื่อยอ่อน


วินเซนโซนั่งหลังพวงมาลัย มือข้างหนึ่งควบคุมพวงมาลัยนิ่งอย่างมั่นคง อีกข้างเคาะเป็นจังหวะเบา ๆ ไปกับเพลงอิตาลีที่เขาฮัมออกมาเสียงต่ำ ๆ ที่โมนีก้าฟังไม่ออกทุกคำ แต่จังหวะชวนให้บรรยากาศบนรถผ่อนคลายลงจากความกดดันก่อนหน้านี้ เสียงทุ้มของเขาคล้ายจะกล่อมให้ทุกคนในรถเอนตัวลงนั่งสบายขึ้น 


เบาะข้างคนขับมีอิซิเลียกอดอกนั่งหลังตรง มือข้างหนึ่งถือสมาร์ทโฟน Daedalus’s Legacy ที่หน้าจอสว่างอยู่ คอยบอกเส้นทาง ตรวจสอบพิกัด และเงยหน้าขึ้นมองข้างทางบ้างเป็นระยะ ดวงตาสีเทาคมกริบมองไม่พลาดแม้สิ่งเล็กน้อย ขนาดวินเซนโซฮัมเพลงอย่างเพลิน เธอยังแค่นเสียง “อย่าลืมฟังที่ฉันบอกด้วยล่ะ” ทุกครั้งที่เขาขับเร็วเกินหรือเลี้ยวแรงไป


ฮารุโตะในเบาะกลางด้านหลังเอียงหัวหลับสนิท แขนขาพาดไปกับเบาะราวกับเด็กที่เพิ่งหมดแรงหลังวิ่งเล่น เสียงหายใจสม่ำเสมอทำให้บรรยากาศเงียบสงบขึ้นเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลปรกหน้าผากแต่ก็ยังเห็นใบหน้าที่อ่อนโยนของเขา เห็นได้ชัดว่าความเหนื่อยล้าจากการยิงธนูและรักษาเพื่อนร่วมทีมเมื่อก่อนหน้านี้เริ่มกดทับร่างบาง ข้างเขามีลูคัสยังคงนั่งตรงอย่างระวังหลังพิงไม่สุด ตาสีฟ้าเข้มยังจับจ้องวิวด้านนอกผ่านกระจกบ้าง สลับกับมองเพื่อนร่วมทีมเพื่อประเมินสถานการณ์ เขาเป็นคนไม่ชอบปล่อยตัวผ่อนคลายเกินไป ยิ่งอยู่ระหว่างการเดินทางที่เสี่ยงอันตราย การนั่งนิ่งโดยไม่ระวังตัวถือเป็นเรื่องต้องห้าม


และสุดท้ายที่เบาะหลังสุดโมนีก้า เธอกำลังนั่งหลังตรงแต่สีหน้าเริ่มเกร็งเล็กน้อยเพราะเลสเตอร์ที่หลับสนิทมาตลอดหลายวันเปลี่ยนท่านอน มาทิ้งศีรษะไว้บนตักเธออย่างไม่รู้ตัว แขนขาของเขาเหยียดตามสบาย ปากขยับพึมพำอะไรเบา ๆ ในห้วงฝัน แต่คนที่เดือดร้อนกลับเป็นโมนีก้าเอง ขาของเธอเริ่มชาและตึงจนอยากขยับ แต่ก็ทำได้แค่กัดริมฝีปากแน่นแล้วแอบเหลือบมองเพื่อนคนอื่น ๆ อย่างลังเล


เธอหันไปสบตาลูคัสที่นั่งไม่ไกลเพราะอยู่ด้านหน้า ลูคัสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ทำไมไม่ขยับออกไปละ” โมนี่กลับรีบหันหน้าหนีทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใจหนึ่งก็เขินใจหนึ่งก็เกรงว่าจะปลุกเลสเตอร์ขึ้นมาโดยไม่จำเป็นเพราะเขาต้องนอน


เสียงฮัมเพลงของวินเซนโซยังคงก้องในรถ คลอด้วยเสียงลมที่พัดลอดเข้ามาเมื่ออิซิเลียกดปุ่มเลื่อนกระจกลงนิด ๆ เพื่อรับอากาศเย็นจากภายนอก รถยังแล่นไปบนถนนไกลโพ้น มุ่งหน้าสู่เส้นทางที่อาจเต็มไปด้วยอันตราย แต่ในวินาทีนี้ที่บรรยากาศกลับเหมือนการเดินทางท่องเที่ยวเล็ก ๆ ที่ทุกคนใช้ความเงียบ กลิ่นกาแฟในคอนโซลข้าง ๆ ของวินเซนโซยังหอมหวน และการปรับลมหายใจของกันและกัน กล่อมให้ผ่านช่วงเวลาที่ไม่มืดมิดของแคนาดาตะวันตกไปอย่างช้า ๆ


ไม่นานพอให้ก้นชาวินนิเพกก็ปรากฎต่อสายตาคนในรถต้อนรับด้วยลมเย็นคม ๆ ที่พัดกลิ่นฝนค้างพื้นถนนเข้ามาในปั๊ม วินเซนโซเลี้ยวรถเข้าช่องเติมอย่างเนียนกริบ ดับเครื่อง ขยับไหล่คลายเกร็ง แล้วคว้ากระเป๋าสตางค์กับบัตรเชื้อเพลิงลงไปจัดการงานหน้าตู้น้ำมัน อิซิเลียเปิดแผนที่ในโทรศัพท์เช็กเส้นทางล่วงหน้า นิ้วเรียวปัดหน้าจอเร็วและแม่นเหมือนคนคุ้นมือกับแผงควบคุมในห้องนักบิน ส่วนลูคัสวนอ้อมรถไปตรวจสภาพยางกับใต้กันชนแบบสั้น ๆ เคยชินเหมือนพิธีกรรมของทหาร ก่อนหยุดยืดขาหายใจลึกให้กล้ามเนื้อคลายตัว ฮารุโตะลงจากรถมาพร้อมหาวยาว เอามือเสยผมยิ้มแหย ๆ “โทษทีครับ หลับยาวไปหน่อย” แล้วก็เดินตามวินเซนโซไปช่วยถือขวดน้ำยาล้างกระจก


โมนีก้าได้จังหวะค่อย ๆ ประคองศีรษะเลสเตอร์ออกจากตักอย่างเบาที่สุด วางหมอนพิงไว้ให้เรียบร้อย เธอก้มดูใบหน้าที่หายใจสม่ำเสมออยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ฟื้นแฮะ…แต่สีหน้าดีขึ้นกว่าคืนก่อนเยอะ เธอค่อย ๆ เลื่อนตัวออกจากเบาะ หยิบกระเป๋าเป้แล้วเดินดิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อของปั๊ม


ประตูบานเลื่อนรับเธอด้วยเสียงติงคง เลเยอร์แสงฟลูออเรสเซนต์ขาวจัดตัดกับอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ กลิ่นกาแฟกรุ่น ๆ ผสมกลิ่นขนมปังอบใหม่พุ่งมาแตะจมูก ดีเลย แต่ยังไม่ถึงระดับโคตรดีแบบมุมข้าวปั้นกับของทอดในร้านญี่ปุ่น หรือมุมบะหมี่ถ้วยเรียงสูง ๆ ในร้านไทยที่เธอชอบ เธออมยิ้มกับตัวเองเบา ๆ แล้วเริ่มไล่ดูชั้นวางของ


มุมเครื่องดื่มเธอหยุดที่ตู้แช่เปิดประตูรับไอเย็น กวาดตาดูฉลากช็อกโกแลตร้อนพร้อมดื่มแล้วหยิบสองขวดเผื่อใครอยากจิบหวาน ๆ ระหว่างทาง ต่อด้วยสปอร์ตดริงก์รสองุ่นสองขวดสำหรับลูคัสกับวินเซนโซ น้ำเปล่าแพ็กเล็กอีกหนึ่ง เธอเหลือบเห็นกาแฟกระป๋องลาเต้เย็น ไม่ลังเลแม้แต่น้อยหยิบใส่ตะกร้าให้วินเซนโซเพิ่มอีกสอง (กันพลาด) มุมขนมซื้อมันฝรั่งทอดรสออริจินัลหนึ่งถุง รสบาร์บีคิวอีกถุง เธอหยิบบิสกิตไส้ครีมวานิลลา ขนมแท่งกร็อบกรอบ และเยลลี่ผลไม้รวมถ้วยเล็ก ๆ สองสามถ้วย 


“ถ้ามีข้าวปั้นทูน่ามายองเนสแบบที่โตเกียวก็ดีสิ” เธอบ่นกับชั้นวางเบา ๆ ก่อนจะเจอแซนด์วิชแฮมชีสกับครัวซองต์เนยก็หยิบมันทั้งคู่ไปเลย ความทรงจำเช้าวันที่เยลโลว์ไนฟ์แว่บกลับมาจนเธอเผลอยิ้มออกมาเล็ก ๆ 


โมนีก้าเลี้ยวไปโซนอาหารร้อน เห็นฮอตดอกเรียงบนแท่นอุ่น “กินง่าย แบ่งง่ายแล้วก็น่าอร่อยสุด ๆ เลยแฮะ” เธอพึมพำ ๆ เบา ๆ ก่อนเลือกแบบไส้กรอกหมูสองแท่ง เพิ่มขนมปัง สั่งซอสมัสตาร์ดกับซอสมะเขือเทศแยกซอง “มีกล่องใส่มั้ยคะ” โมนีก้าถามพนักงานสาวยื่นกล่องกระดาษให้กับรอยยิ้มใจดี เธอรับสิ่งนั้นมาแล้วกล่าวขอบคุณ แล้วกวาดสายตาเจอช็อกโกแลตแท่งเล็ก ๆ แปะป้ายลดราคาหน้าคิดเงิน เธอก็หยิบติดมือมาหนึ่งชิ้นสำหรับตัวเอง อีกหนึ่ง…วางเผื่อเลสเตอร์ ตอนฟื้นจะได้มีอะไรหวาน ๆ ช่วยเรียกเรี่ยวแรง


ที่เคาน์เตอร์ เธอเทของลง พนักงานสแกนของไปคล่อง ๆ “เดินทางไกลเหรอคะ”

เมื่อโดนถามแบบนั้นมีหรือที่เธอจะไม่คุยด้วย “ค่ะ ข้ามรัฐเลย” โมนีก้ายิ้ม “มีอะไรแนะนำสำหรับคนต้องนั่งรถยาว ๆ ไหมคะ”


“ถุงร้อนวางตักช่วยคลายเมื่อย กับหมากฝรั่งมิ้นต์ไม่ให้กรนค่ะเผื่อว่าจะได้ยินเวลาที่นั่งรถไปด้วย” พนักงานสาวนั้นเริ่มหัวเราะคิกคักเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ “เอาเป็นผ้าขนหนูเย็นอีกผืนไหมคะ” เธอเงนหน้าหันขึ้นมาถามทางโมนีก้าสตรีผมม่วงที่ดูท่าทางคุยง่าย


“เอาค่ะ…ขอสัก 5 ผืนเลยนะคะ” เธอกะว่าจะซื้อไปฝากทุกคนด้วยเลย และพอจ่ายเงินเสร็จ เธอก็หิ้วถุงพะรุงพะรังกลับไปที่รถที่จอดอยู่ข้างปั๊ม วินเซนโซกำลังปิดฝาถังเติมลมยางเสร็จพอดี ฮารุโตะถือที่ปัดน้ำฝนแบบสเปรย์ขัดกระจกจนเงา อิซิเลียคอยจดเลขไมล์กับยอดเชื้อเพลิงลงโน้ตในมือถือ ส่วนลูคัสยืนพิงกันชนหลังหันมามองถุงในมือโมนีก้าแล้วเลิกคิ้วนิด ๆ “ไงคะ สภาพรถเป็นไงบ้าง ฉันสำรองครัวเคลื่อนที่ของเราเรียบร้อยแล้วค่ะ” โมนีก้ายกถุงที่มีของมากมายขึ้นมาให้พวกเขาดู “มีทั้งหวาน ทั้งเค็ม ทั้งคาเฟอีน ครบ”


และทันทีที่ได้ยินคำว่ากาแฟวินเซนโซก็ยิ้มกว้าง “กาแฟมีไปครัับผมม”


“สี่กระป๋อง เย็นเจี๊ยบ” โมนีก้าคอบอีกคนยิ้ม ๆ แล้วยื่นให้ทันที จนวินเซนโซก็รับไปเหมือนได้ของวิเศษ “ขอบใจมากนะ” เขาเคาะกระป๋องกับหลังคารถเป็นเชิงเฮก่อนเปิดเสียงปั๊บ


อิซิเลียเหลือบตาขึ้น “ของฉันขนมที่ไม่หกเลอะรถ” เมื่อได้ยินแบบนั้นโมนีก้าก็รู้ได้ทันทีจากการที่เริ่มสังเกตพวกเขาระหว่างการเดินทาง เธอยื่นบิสกิตไส้วานิลลากับเยลลี่ถ้วยให้กับทางอิซิเลีย “ผ่านเกณฑ์ผู้กำกับการหรือเปล่าคะ”


“พอใช้” อิซิเลียรับไป แต่มุมปากยกขึ้นนิดเดียวที่โมนีก้าเริ่มดูใส่ใจเธอมากขึ้นกว่านี้แล้ว สำหรับเธอเท่านี้ถือว่ายิ้มได้แล้ว ระหว่างนั้นฮารุโตะก็รับฮอตดอกกับสปอร์ตดริงก์ที่โมนีก้ายื่นให้ดวงตาลุกวาว “ขอบคุณครับ! โอ้ ซอสมาสตาร์ดแยกให้อีก ใส่ใจสุด ๆ” ส่วนลูคัสได้มันฝรั่งทอดถุงบาร์บีคิว เขาพยักหน้าเบา ๆ “ขอบใจ” แค่นั้น แต่สายตาอ่อนลง


โมนีก้าเลาะรอบรถไปเปิดประตูหลังสุด ก้มดูเลสเตอร์อีกที ก่อนจะค่อย ๆ วางช็อกโกแลตแท่งเล็กไว้ในช่องเก็บของข้างเบาะ เธอหยิบผ้าขนหนูเย็นที่เพิ่งซื้อ บิดน้ำส่วนเกิน แล้วซับเบา ๆ ที่หน้าผากเขาสองสามครั้ง “รีบตื่นมาบ่นฉันเรื่องขนมได้แล้วนะคุณคนดื้อ” เธอกระซิบเบามากจนเหมือนพูดกับลม


ลมเย็นพัดชายเสื้อของวินเซนโซสะบัดจนดูเหมือนพระเอกเอ็มวีสักเรื่องก่อนเขาจะส่งสัญญาณมือเช็กวง “ถังเต็ม ยางครบ วิวโล่ง”

อิซิเลียจึงเริ่ใสรุปเส้นทางที่จะไปตอนนี้ “จากนี่ออกสู่ทรานส์แคนาดา ไปทิศตะวันออก วิ่งยาวสู่พรมแดนแมนิโทบาและออนแทรีโอ จุดพักต่อไปก่อนเข้าโซนคือวินนิเพกฉันปักหมุดสถานที่ไว้ให้แล้ว”


“ทีมโลจิสติกส์พร้อม” วินเซนโซชูดอกนิ้วโป้งตอบ

“ทีมแคลอรีพร้อมครับ!” ฮารุโตะชูฮอตดอก 

“ทีมรักษาความปลอดภัยพร้อม” ลูคัสสวมเข็มขัดเซฟตี้ในรถ


โมนีก้ายิ้มตอนที่เห็นพวกเขาดูแข็งขันกันดีก่อนขยับถุงของกินไปไว้กลางเบาะให้หยิบง่าย “ทีมสนับสนุน…พร้อมเหมือนกันจ้า” เธอปิดประตูเบา ๆ นั่งประจำที่ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่สว่างทั้งที่ควรเป็นบ่ายแก่ ๆ ความคิดลอยไปถึงปลายทาง ที่มอนทรีออล ท่าเรือที่นั้นและแผนการของ LoNex ที่ต้องตัดหน้าทันเวลา เธอสูดลมหายใจลึก กลิ่นช็อกโกแลตและกระดาษห่อใหม่ ๆ ผสมกับกลิ่นน้ำมันสดจากหัวจ่าย แปลกดีที่มันช่วยให้ใจนิ่ง


เครื่องยนต์คำรามเบา ๆ วินเซนโซค่อย ๆ เคลื่อนรถออกจากปั๊ม ล้อหมุนพารถทั้งคันกลับสู่ทางหลวงยาวเหยียด ถุงขนมกรุ๊งกริ๊งอยู่กลางเบาะเสียงซองมันฝรั่งค่อย ๆ ถูกแกะ เสียงดูดสปอร์ตดริงก์ดังซ่า ส่วนอิซิเลียอ่านพิกัดต่อพลางกินบิสกิตไปด้วย วินเซนโซฮัมท่อนฮุคเพลงเดิมอีกครั้ง ฮารุโตะก็เคี้ยวขนมอย่างมีความสุข และลูคัสที่มองกระจกข้างสำรวจเส้นทาง


โมนีก้านั่งมองวิวตัดผ่านกระจกหลัง เธอแตะช็อกโกแลตแท่งที่วางไว้ข้างตัวเลสเตอร์เบา ๆ เหมือนให้คำสัญญากับทั้งทีมและตัวเอง จากนี้ไปจะยิ่งรัดกุมยิ่งรวดเร็วและยิ่งใจแข็งเท่าที่จำเป็น แต่ไม่ลืมเติมของหวานและรอยยิ้มเล็ก ๆ ไว้ในทุกช่วงพัก เพื่อให้การวิ่งไล่เวลาไปมอนทรีออลไม่กลายเป็นแค่การหนีตาย…แต่เป็นการไปให้ถึงด้วยกันทั้งหมด

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

Z z zzZZ  Z z  Z Z  Z (หลับเป็นตายไปสัก 5 วัน) 

avatar

Moneka M. Blossom

เดินทางออกเมืองเซัสคาทูนไม่รู้จะเขียนรายงานอะไรเอาเป็นว่าก็แค่ออกเดินทางแล้วกันนะ


[ถึงเมือง ซัสคาทูน]

[เดินทางต่อมุ่งหน้าสู่ เมืองวินนิเพก รัฐแมนิโทบา]

[ เวลา 16.00 น. เดินทางออกจาก เมืองซัสคาทูน มุ่งหน้าสู่ เมืองวินนิเพก]

[ใช้ระยะเวลา 8 ชั่วโมง 50 นาที]

avatar

Vincenzo Bergamotto

ขับรถอยู่และจิบกาแฟไปด้วย กาแฟคือชีวิตต

avatar

Icilia Dominicus

ดูแผนที่ไปด้วยกำกับการเดินทางและกินบิสกิต เธอเริ่มประทับใจในตัวโมนีก้าที่ใส่ใจว่าอิซิเลียชอบกินอะไรที่ไม่เลอะชุด ทำให้เธอรู้สึกว่าเด็กคนนี้ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น

avatar

Lucas Aquinas

ไม่อยากเขียนคอมเม้นท์ครับ

avatar

Haruto Higa

ฮอดดอกอร่อยจังเลยครับ หิวอาหารญี่ปุ่นจังเลย





แสดงความคิดเห็น

God
เจ้าพวกนั้นทำมลพิษแถบนี้เสียหายหมดเลย ไอกลุ่ม Lo Lo อะไรนี่แหละ อากาศภาคเหนือดูย่ำแย่เพราะคนพวกนั้นมาหลายเดือนแล้ว  โพสต์ 2025-10-2 20:12
God
ก่อนอควิลอนจะไป เขาเหมือนจะเพิ่งนึกอะไรได้ พวกขบวนรถดูแปลกๆ เหมือนรถทหารก็ไม่เชิงแต่เป็นสีดำทั้งคันรถเหมือนจะเพิ่งผ่านมาทางนี้ ไม่รู้พวกเธอรู้จักไหมนะ แต่ถ้าเจอฝากจัดการด้วย   โพสต์ 2025-10-2 20:11
God
อควิลอนแว๊นรถผ่านมาก่อนจอดข้างๆ "ไงเด็ก ๆ ยังอยู่แดนเหนืออีกหรือ" เขาทักทายก่อนมองดูด้านหน้ารถควันขโมง   โพสต์ 2025-10-2 20:09
God
ในขณะคุณผ่านเมืองแบรนดอน ก่อนมีเหตุให้ต้องเบรกกระทันหันเพราะแมวดำวิ่งตัดหน้ารถทำให้เบรดจนเสียหลักแวบหนึ่ง ในขณะวินซ่อมรถ ก็มีคนหนึ่งผ่านมา  โพสต์ 2025-10-2 20:08
โพสต์ 64190 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-2 19:52
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-3 05:05:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 31 : ลุงแกก็คนดีอยู่นี้หว่า?
วันที่ 22 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเย็น เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง เมืองแบรนดอน รัฐแมนิโทบา จนถึง เมืองธันเดอร์เบย์ รัฐออนแทรีโอ แคนาดา

ถนนตรงแบรนดอนทอดยาวไปในเช้าวันนั้นเงียบผิดปกติ ล้อรถกลืนระยะทางไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแว่บหนึ่งที่มีเงาสีดำพุ่งตัดหน้ารถของพวกเขา เจ้าแมวดำตัวเล็กพุ่งข้ามไปแบบไม่สนโลก เสียงเบรกดังเอี๊ยดลากยาว รถทั้งคันสะบัดเอียงไปเล็กน้อยก่อนจะหยุดกึกอยู่กลางทางเบี่ยงข้างเมืองแบรนดอน แรงกระชากทำเอาโมนีก้ากับฮารุโตะที่ไม่ได้คาดเข็มขัดเกือบจะหัวทิ่มชนเบาะหน้า ทั้งคู่ร้องอุทานพร้อมกัน โมนีก้าหน้าเหวอ ตาลุกโพลง มือคว้าเบาะเหมือนกำลังโหนเครื่องเล่นสวนสนุก ส่วนฮารุโตะรีบยันแขนกับแดชบอร์ดเพราะหัวเซไปเฉียดกระจก


วินเซนโซถอนหายใจยาวกดเบรกค้างไว้แล้วหันไปมองพวกเขาผ่านกระจกหลัง "แม่เจ้า…ใครมันจะไปเหยียบแมวได้วะ" น้ำเสียงเหมือนจะติดขำแต่แฝงความซีเรียสอยู่ไม่น้อย เขาเห็นแมวดำตัวเล็กพุ่งตัดหน้ารถเมื่อครู่ ถ้าไม่เบรกก็คงชนแน่ ๆ ล้อหลังฝั่งซ้ายสั่นนิด ๆ เหมือนต้องเช็กอีกที เขาพึมพำ "ขอออกไปดูรถก่อน แค่แวบเดียว"  เขากระตุกยิ้มขณะเปิดประตูลงจากรถ เดินไปเปิดฝากระโปรงตรวจดูเครื่องยนต์อย่างใจเย็น ท่าทางเหมือนเป็นเรื่องปกติของเขาเสียมากกว่า เหมือนนักขับที่คุ้นชินกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า


อิซิเลียที่นั่งเงียบมาตลอดขยับผ้าลูกไม้ของชุดโกธิคโลลิต้าเล็กน้อย ดวงตาสีเทานั้นยังคงจับจ้องไปข้างหน้าอย่างไม่แสดงอารมณ์ แต่หากสังเกตดี ๆ มือเล็กที่กุมหัวกะโหลกอลันอยู่กลับบีบแน่นขึ้นกว่าเดิม ความจริงเธอเองก็ตกใจไม่น้อย เพียงแต่เลือกเก็บซ่อนมันไว้ภายใต้ท่าทางเย่อหยิ่งสงบนิ่ง


ลูคัสขยับตัวตรงหลังสุด เสียงของเขาเข้มและจริงจัง "ถ้าไม่อยากให้พวกเราตายเพราะหัวใจวาย ก็อย่าเบรกกระทันหันแบบนี้อีกสิ" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ แต่ก็ปนเป็นห่วงเพียงแต่สไตล์ทหารโรมันของเขามักจะไม่อ่อนโยนต่อคำพูด 


“ฉันได้ยินนายบ่นนะลูคัส” เสียงของวินเซนโซเอ่ยขึ้นจากบริเวณด้านนอกรถ โมนีก้าหันไปหัวเราะคิกคักเบา ๆ คลายบรรยากาศให้เบาลง "อย่างน้อยก็โชคดีนะคะที่ไม่ต้องเก็บซากแมวขึ้นรถนะคะ ฉันใจสลายก่อนแน่เลยงั้นอ่ะ" เธอพูดพลางยกมือปัดผมสีม่วงครามที่หล่นลงมาบังดวงตา


ในระหว่างที่วินเซนโซก้มหน้าก้มตาซ่อมเล็ก ๆ ตรงหน้ารถ เสียงเพลงอิตาลีเก่าที่เขาเคยฮัมยังติดอยู่ในหูคนในรถ ช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงบ้าง ฮารุโตะพยายามเปลี่ยนเรื่องโดยหยิบสมุดบันทึกเล็ก ๆ ออกมา วาดรูปแมวดำที่วิ่งตัดหน้าแล้วชูให้โมนีก้าดู "นี่ไง ตัวการ… ดูมันเจ้าเล่ห์จริง ๆ" เขายิ้มกว้าง ดวงตาเขียวสว่างด้วยความร่าเริงแม้ในสถานการณ์เสี่ยงอันตรายก็ยังหาเรื่องขำให้ได้ โมนีก้าหัวเราะออกมาจริง ๆ คราวนี้เพราะภาพแมวนั้นน่ารักถูกใจ เสียงหัวเราะใส ๆ ของเธอทำให้ทุกคนที่ยังตึงเครียดคลายลงชั่วขณะ แม้กระทั่งอิซิเลียยังหันมามองเธอด้วยหางตาและเอียงคอน้อย ๆ ราวกับกำลังประเมินว่าเด็กสาวคนนี้มีบางอย่างที่มากกว่าเพียงแค่เด็กใหม่ในทีมสำหรับเธอเสียแล้ว


เสียงลมเย็นพัดผ่านต้นไม้ใหญ่ริมทาง กลิ่นไอของน้ำมันและไออุ่นจากเครื่องยนต์ยังลอยจาง ๆ อยู่ในอากาศ ขณะที่วินเซนโซคุกเข่าตรวจใต้ฝากระโปรงอย่างใจเย็น ทุกคนเลยออกมาขยับร่างกายยืดเส้นยืดสาย โมนีก้ากำลังบิดไหล่แล้วรีดหลังตึง ๆ ด้วยท่าทางขี้เกียจผสมเขินเมื่อยังเจ็บจากแรงเบรกกะทันหัน ฮารุโตะยืนยืดแขนลูบคอเหยียดขาเป็นท่าบิด ๆ ไปมา ลูคัสยืนพิงรถคอยช่วยวินเซนโซถ้าจำเป็น ส่วนอิซิเลียยืนกอดอกมุมหนึ่งมองด้วยสายตาเยือกเย็น แต่ลึก ๆ แววตานั้นก็ไม่ซ่อนความระมัดระวัง


แล้วเสียงมอเตอร์ไซค์กระหึ่มเข้ามา มันไม่ใช่แค่เสียงธรรมดา แต่เสียงที่มาพร้อมท่วงท่าของคนขี่ที่ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที พลันมอเตอร์ไซค์ชอปเปอร์คันใหญ่สีดำเงาวับแง๊นล้อผ่านหน้าพวกเขาอย่างเท่ อควิลอน ชายสูงวัยแต่งกายขรึม นั่งคร่อมแชอปเปอร์ทรงคลาสสิก เขาจอดลงตรงข้าง ๆ แล้วเลิกคิ้วให้เป็นการทักทาย ท่าทางเยือกเย็นของเขาเหมือนกับลมที่นิ่งสงบก่อนพายุ


อควิลอน เงยหน้ามองโมนีก้าแล้วยักคิ้วเรียบ ๆ “ไงเด็ก ๆ ยังอยู่แดนเดือนกันอีกหรอเนี้ย” น้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่เต็มไปด้วยความคุ้นเคยแบบคนที่เห็นโลกมานาน โมนีก้าหยุดบิดตัวสักพักเธอประมวลผลชั่วครู่แล้วยิ้มแห้ง ๆ เมื่อเห็นว่าตาลุงที่เคยทำให้เธอจอดเครื่องบินฉุกเฉินเมื่อหลายวันที่แล้วรอบนี้ไม่ได้แง๊นรถบนท้องฟ้า พลางตอบกลับพร้อมความตื่นเต้นยับยั้งไม่อยู่ในเสียงเล็ก ๆ “สวัสดีค่ะท่านอควิลอน ครั้งก่อนท่านขี่บนฟ้านะคะ คราวนี้ลงมาบนพื้นดินแล้วเหรอคะ”


อควิลอนหัวเราะในลำคอ เผยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่หาได้ยากบนใบหน้าเยือกเย็นของเขา “รอบนี้จะพยายามมาปกติให้บ่อยขึ้นน่ะ” เขามองไปรอบ ๆ รถของพวกเด็ก ๆ ด้วยท่าทีพินิจ “รถพวกเธอเป็นยังไงบ้าง เสียงยังดีอยู่หรือเปล่า” วินเซนโซโผล่จากฝากระโปรงยิ้มอย่างไม่ได้ตั้งใจ “เรียบร้อยครับ เดินต่อได้ไม่มีปัญหา”


อควิลอนมองลึก ๆ เหมือนไล่หาอะไรบางอย่างในสายลม แล้วจู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นนิดหนึ่ง “ระวังขบวนรถสีดำพวกนั้นเถอะ ดูเหมือนผ่านมาทางนี้ไม่นาน เขาเป็นพวกองค์กร…ทำมลพิษแถบนี้เสียหายไปมาก ไอ้พวก Lo…LoNex อะไรนั่นล่ะ” พูดคำว่า LoNex ราวกับเป็นสิ่งที่ทำให้เขาระคายใจ อควิลอนวางมือบนแฮนด์มอเตอร์ไซค์ชั่วครู่ก่อนจะเสริมด้วยความเป็นห่วงที่ซ่อนใต้ท่าทีนิ่ง “ถ้าเจอพวกมัน ฝากจัดการให้ดี ๆ ด้วยล่ะ ข้าไม่ชอบคนที่ทำลายสมดุลของลมและอากาศทางเหนือเลยให้ตายสิ”


โมนีก้าพยักหน้าอย่างจริงจัง ใบหน้าสีอมแดงจากทั้งความเขินและความตึงเมื่อกังวล แต่ตอนนี้ดวงตาเทาเงินของเธอมีประกายมุ่งมั่น “พวกเรากำลังตามจัดการพวกนั้นอยู่พอดีค่ะ และขอบคุณมากนะคะที่เตือน” เสียงเธอสั่นเล็กน้อยเพราะรับรู้ว่างานนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่การที่อควิลอนรู้จักพวก LoNex ยิ่งทำให้เธอรู้สึกได้ว่าพวกองค์กรนั้นใหญ่และน่ากลัวจริง ๆ มันคงสร้างความลำบากให้กับพื้นที่จริงจังสินะ


อควิลอนเงยหน้ามองท้องฟ้าเป็นเสี้ยววินาที ดวงตาของเขาคมและเยือกเย็น “พวกมันไม่ชอบให้ใครไปรบกวนแผนการ ห้ามประมาทกันล่ะ” เขาพูดช้า ๆ แล้วหันมามองโมนีก้าเป็นการให้ความสำคัญ “แต่หนู…มีอะไรบางอย่างในสายตา ข้าหวังว่าพวกเธอจะยังรักษาความสมดุลไว้ได้แล้วกันนะ”


วินเซนโซก้าวเข้ามาแทรกด้วยท่าทางเป็นมิตร “ขอบคุณจริง ๆ ที่เตือนพวกเราจะระวังครับ” เขาแล้วยักคิ้วไปทางอควิลอน “แต่ถ้าท่านอยากจะร่วมทางกับพวกเรา มันก็ดูน่าสนุกไม่ใช่น้อยนะครับ” วินเซนโซพูดติดตลกแต่แววตาของเขาจริงจังกว่าคำพูด เสียงหัวเราะของอควิลอนแผ่วเบาดังตามมา “ข้าไม่แทรกแทรงเรื่องของพวกเธอหรอก แต่ถ้าเห็นอะไรที่ควรทำข้าจะเป็นหูเป็นตาให้ก็ได้นะ สักนิดหน่อย” เขาเอ่ยก่อนคร่อมมอเตอร์ไซค์เตรียมจะจากไป แต่ก่อนเลี้ยวตัว เขาหยุดและมองมาที่โมนีก้า “โชคดีนะเด็กน้อยระวังใจตัวเองให้ดีล่ะ” น้ำเสียงนั้นไม่ให้คำสั่งเกินเหตุ แต่เต็มไปด้วยคำเตือนจากผู้ที่เห็นกาลเวลามาเยอะ


โมนีก้าหยุดสติคิดทันทีที่คำเตือนของอควิลอนก้องอยู่ในหัว เธอรู้สึกแปลก ๆ และขอบคุณในเวลาเดียวกัน ทั้งที่หัวใจยังเต้นแรงเพราะความตื่นเต้นแต่เธอก็ดึงลมหายใจลึก ๆ “รับทราบค่ะ…ขอบคุณนะคะ ท่านอควิลอน” เธอตอบพร้อมโค้งเล็ก ๆ อย่างไม่เต็มปากแต่จริงใจ


อควิลอนยักคิ้วอีกครั้งแล้วมอเตอร์ไซค์ชอปเปอร์ก็แง๊นหายไปบนถนน ลอยตัวขึ้นอย่างช้า ๆ จนหายลับไปกับท้องฟ้า เหลือเพียงเสียงลมและกลิ่นน้ำมันที่ตอนนี้กลับกลายเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าโลกนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง และพวกพวกเดมิก็อดตัวเล็ก ๆ กลุ่มนี้กำลังเดินหน้าต่อไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่


เมื่อเขาจากไปบรรยากาศที่ก็กลับมาปกติ วินเซนโซทิ้งมือลงที่หลังพวงมาลัย ทำหน้าอมยิ้มผสมเก๊กเล็กน้อย “เอาล่ะ ไหนใครยังอยากได้อะไรอีกบ้างไหม เดี๋ยวไปกันต่อ” อิซิเลียขมวดคิ้วอย่างเป็นห่วงแต่พยักหน้า เธอเล็งเส้นทางต่อบนหน้าจอสมาร์ทโฟนของเธอแล้วพูดเสียงแผ่วแต่มั่นคง “จุดต่อไป ธันเดอร์เบย์ อย่าประมาท” 

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

Z z zzZZ  Z z  Z Z  Z (หลับเป็นตายไปสัก 5 วัน) 

avatar

Moneka M. Blossom

เดินทางออกเมืองซัสคาทูนตอนนี้ถึงเมืองแบรนดอนละเนี้ย เจอคุณเทพฤดูหนาวซะงั้น ลุงแกก็คนดีกว่าที่คิดนะเนี้ย เอาล่ะ ขึ้นรถแล้วก็มุ่งหน้าไปต่อ


[ถึงเมือง แบรนดอน ซ่อมรถ เดินทางต่อมุ่งหน้าสู่ เมืองธันเดอร์เบย์ รัฐออนแทรีโอ]

[ เวลา 19.00 น. เดินทางออกจาก เมืองแบรนดอน มุ่งหน้าสู่ เมืองธันเดอร์เบย์]

[ใช้ระยะเวลา 7 ชั่วโมง 30 นาที]

avatar

Vincenzo Bergamotto

ชีวิตที่ต้องซ่อมรถ ขอกาแฟตอบแทนสักหน่อย

avatar

Icilia Dominicus

-

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-

[GOD-32-2] อควิลอน

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปรานของเทพ +25




แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [GOD-32-2] อควิลอน เพิ่มขึ้น 40 โพสต์ 2025-10-3 05:22
โพสต์ 43753 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-3 05:05
โพสต์ 43,753 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-3 05:05
โพสต์ 43,753 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-3 05:05
โพสต์ 43,753 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-3 05:05
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-3 08:52:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 32 : 15 ชั่วโมง ก้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วคุณพี่
วันที่ 24 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงบ่าย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง เมืองธันเดอร์เบย์ เมืองซัดเบอรี่ รัฐออนแทรีโอ จนถึง ท่าเรือมอนทรีออล เมืองควิเบก รัฐเกแบ็ก แคนาดา

เส้นทางจากธันเดอร์เบย์ไปซัดเบอรี่นั้นทอดยาวราวกับไม่มีสิ้นสุด ถนนเลียบป่าไม้หนาทึบและทะเลสาบที่สะท้อนแสงแดดเย็นเฉียบให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอีกใบ เสียงเครื่องยนต์ Audi Q7 คันหรูยังคงดังต่ำ ๆ อย่างมั่นคง แต่บรรยากาศในรถกลับไม่สงบเท่าไรเพราะอิซิเลียคอยเตือนให้ทุกคนระวังเพราะเธอรับรู้ถึงกลิ่นของศัตรูไม่ผิดแน่ ไม่นานพวกเขาก็ต้องหยุดรถ เมื่อเห็นกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธสองกลุ่มขวางถนนไว้ กองกำลังพิเศษของ LoNex การเคลื่อนไหวของพวกมันเป็นระบบราวกับฝึกมาอย่างดี แต่ในสายตาของเดมิก็อดที่ผ่านศึกมาหนักหนา ทุกอย่างดูช้าและเปิดช่องโหว่มากมาย


วินเซนโซปิดเครื่องยนต์ ถอนหายใจพลางบ่นเบา ๆ ว่า “อีกแล้วสินะ…ชักจะเบื่อเต็มที” ก่อนจะหยิบอุปกรณ์กลเล็ก ๆ จากเสื้อคลุมมาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง อิซิเลียก้าวลงจากรถอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเทาสว่างไหวด้วยพลังแห่งน็อกซ์เหมือนจะวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของศัตรูทีละคน ลูคัสปลดดาบที่หลังออกมา ขยับไหล่ราวกับนักรบที่พร้อมปะทะทุกเมื่อ ส่วนฮารุโตะหยิบธนูออกมา ตั้งคันศรขึ้นพร้อมลูกธนูเรืองแสงในแสงแดด


โมนีก้าก็ลงมาด้วย แม้จะยังใหม่และยังไม่เชี่ยวชาญ แต่เธอก็พยายามตั้งสมาธิมือกำแน่นที่มีดสั้นเล็ก ๆ ที่เธอพกติดตัวมาเพื่อช่วยเสริมพลัง สนามรบนี้เธออาจไม่ใช่คนแบกรับหลัก แต่เธอจะไม่ถอยหลัง การปะทะเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว กลุ่มแรกของ LoNex พุ่งเข้ามา ลูคัสตะโกนสั่งเสียงดังลั่นเหมือนนายทัพโรมัน “จัดการให้เร็ว อย่าให้พวกมันเรียกกำลังเสริมได้!” เขาก้าวออกไปข้างหน้าแล้วฟันศัตรูด้วยแรงมหาศาลจนคนแรกกระเด็นไปชนต้นไม้ ส่วนฮารุโตะก็ปล่อยศรแสงที่แม่นยำ เจาะลงบนอาวุธพลังงานของศัตรูจนระเบิดควันขาวพุ่งขึ้น


อิซิเลียยกมือขึ้นควบคุมพลังของเธอที่ไหลจากเท้าศัตรู มัดพวกมันให้นิ่งเหมือนถูกพันธนาการด้วยโซ่ที่มองไม่เห็น ก่อนจะพึมพำคำสาปแผ่วเบาให้พวกนั้นหมดแรงร่วงลงกับพื้น ส่วนวินเซนโซไม่ได้ออกไปกลางวง เขาเพียงกดปุ่มเล็ก ๆ ที่พกมา ทำให้ระเบิดควันขนาดเล็กปล่อยกลิ่นฉุนใส่กลุ่มที่พยายามบุกด้านข้าง ทำให้พวกมันสับสนและเซไป โมนีก้าพยายามเคลื่อนไหวสนับสนุน เธอรู้ตัวดีว่ายังไม่เก่งพอจะสู้ตรง ๆ แต่แค่ปกป้องช่องโหว่ของเพื่อน ๆ ได้ก็คุ้มค่าแล้ว


7 นาทีต่อมา ทุกอย่างก็จบลง ศัตรูทั้งสองกลุ่มถูกปราบลงโดยไม่มีใครตาย ทุกคนแค่หมดสติหรือบาดเจ็บสาหัสจนนอนกองอยู่ข้างถนนเหมือนเศษผ้า ลูคัสสะบัดดาบเรียกคืนเข้าฝักเขาหายใจแรงแต่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ฮารุโตะเก็บศรพลางมองไปรอบ ๆ อย่างมั่นใจ อิซิเลียก้าวกลับเข้ารถโดยไม่พูดอะไร แต่รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก วินเซนโซหัวเราะเบา ๆ “จบง่ายกว่าที่คิดนะ คราวนี้ไม่เปลืองแรงเท่าไร”


โมนีก้ามองทุกคนตาค้างเบิกออกแบบเหนื่อย ๆ เธอยังหอบหายใจนิดหน่อยจากการเคลื่อนไหว แต่แววตาเต็มไปด้วยความทึ่ง “ถึงฉันจะพูดแบบนี้บ่อย ๆ แต่พวกคุณนี่มัน…เก่งกันเกินมนุษย์ไปแล้วจริง ๆ” เธอพูดพลางยิ้มแบบเหนื่อย ๆ แต่ชื่นชม อิซิเลียเหลือบตามองเธอแล้วตอบเสียงเรียบ “ก็แน่อยู่แล้ว เราไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา”


วินเซนโซยักไหล่ หยิบกุญแจรถขึ้น “เอาล่ะ กลับขึ้นรถเถอะ ก่อนที่ใครจะผ่านมาเห็นเข้าจะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรยาว ๆ”


เมื่อวินเซนโซ่บอกแบบนั้นทุกคนก็กำลังจะกลับเข้ารถแต่ทว่าเสียงเครื่องยนต์ของรถตำรวจสายตรวจคันนั้นดังใกล้เข้ามาอย่างชัดเจน ไฟสีน้ำเงินแดงกระพริบสะท้อนกับผิวถนนและผิวรถ Audi ของวินเซนโซ แวบแรกทุกคนต่างชะงักไปชั่วครู่ ลูคัสรีบยืดตัวตรง หันมาสบตากับเพื่อนราวกับพร้อมอธิบายสถานการณ์ แต่ทันทีที่เจ้าหน้าที่ก้าวลงจากรถบรรยากาศกลับเปลี่ยนไปในพริบตา ร่างของตำรวจคนนั้นค่อย ๆ บิดเบี้ยว เสียงเครื่องจักรคำรามดังก้องจากในอก ก่อนโครงสร้างร่างกายฉีกขาด เผยให้เห็นโครงเหล็กสีดำสนิทที่แผ่พลังงานสีแดงออกมา กลายเป็นเดธแมทชีนที่สูงใหญ่เกือบสามเมตร ดวงตาสองข้างเปล่งแสงสว่างโรจน์เหมือนเปลวไฟจากนรก สองแขนเปลี่ยนเป็นปืนกลอัตโนมัติที่หมุนก้องดังสนั่น


“โธ่เอ๊ย…” วินเซนโซสบถพลางยกมือกุมหน้าผาก “นึกว่าจะได้ขึ้นรถไปต่อซะแล้ว” แต่ทันใดนั้นเขาก็ล้วงเอาอุปกรณ์กลเล็ก ๆ ออกมา บิดหมุนกลไกให้แผ่นโลหะบาง ๆ ขยายเป็นโล่พลังงานสีส้มสว่าง


ลูคัสไม่รอช้า เขาก้าวออกไปข้างหน้าเหมือนนักรบโรมันยุคโบราณที่ยืนปักหลัก เขายกดาบขึ้นฟาดอย่างแรงจนประกายไฟแตกกระจาย เสียงเหล็กกระทบกับเกราะเครื่องจักรดังสนั่น ฮารุโตะตะโกนบอกให้เพื่อนระวัง พร้อมชักศรพลังแสงขึ้นเล็ง ปล่อยลูกธนูสีทองทะลวงเข้าใส่ข้อต่อที่หัวเข่า ทำให้เดธแมทชีนเสียจังหวะโงนเงน


อิซิเลียในชุดโกธิคโลลิต้ายืนกอดอกอยู่นาน ในที่สุดเธอก็ยกมือขึ้นพลังของเธอทอดยาวไปบนพื้น ก่อนจะขยับราวกับสิ่งมีชีวิต พันธนาการแขนกลด้านหนึ่งของเดธแมทชีนให้หยุดนิ่ง เสียงหัวกะโหลกอลันที่เธอพกไว้เหมือนจะหัวเราะเบา ๆ “อะไหล่ตึงไปหน่อยไหมเจ้านี่?” อิซิเลียหัวเราะหยัน แล้วพึมพำคำสาปจนแสงสีดำห่อหุ้มเครื่องจักรนั้น โมนีก้ายืนกำยันต์แน่น หัวใจเต้นรัวแต่ก็ไม่ถอยหลังคอยป้องกันให้เพื่อน ๆ ในทีมทุกคนเท่าที่จะทำได้


วินเซนโซฉวยโอกาสนั้น ขว้างลูกระเบิดจิ๋วของเขาเข้าใส่เดธแมทชีน ระเบิดดังตูมพร้อมควันพวยพุ่ง ลูคัสฟันฉับสุดแรงใส่กลางลำตัวในจังหวะเดียวกับที่ฮารุโตะปล่อยศรเรืองแสงดอกสุดท้ายพุ่งเข้าที่ศูนย์พลังงานของมัน ร่างเหล็กสูงใหญ่ส่งเสียงกรีดร้องแบบจักรกล ก่อนจะระเบิดแหลกสลายกลายเป็นละอองทองปลิวว่อนกลางอากาศ เมื่อฝุ่นควันจางลงอิซิเลียถอนหายใจแรง ดวงตาสีเทาเย็นชากวาดมองซากละอองทองนั้นก่อนเอ่ยเสียงขุ่น “กระจอกสิ้นดี เสียเวลาเปล่า” เธอสะบัดกระโปรงแล้วหมุนตัวกลับขึ้นรถทันที วินเซนโซเก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋าแล้วหัวเราะเบา ๆ “ก็อย่างที่เธอว่าแหละ กระจอกแต่พวกมันโผล่มาขัดจังหวะจนน่าเบื่อชะมัด”


ลูคัสเก็บดาบเข้าฝักอย่างเป็นระเบียบ ฮารุโตะยิ้มบาง ๆ ยกนิ้วโป้งให้โมนีก้า “เก่งแล้วนะ” เด็กสาวหน้าขึ้นสีเล็กน้อยยิ้มเขิน ๆ พลางพยักหน้ารับคำชมนั้นของลูคัส


เมื่อทุกคนกลับขึ้นรถอีกครั้ง ความเงียบกลับคืนมาในห้องโดยสาร เลสเตอร์ยังคงหลับสนิท ไม่รู้เลยว่าเพื่อน ๆ ของเขาเพิ่งปะทะกับเดธแมทชีนจนเหลือเพียงละอองทองไปเรียบร้อยแล้ว รถคันนั้นเคลื่อนต่อไปบนเส้นทางยาวเหยียดมุ่งสู่ซัดเบอรี่ โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือท่าเรือมอนทรีออลในควิเบก ที่ซึ่งชะตากรรมใหม่กำลังรออยู่ข้างหน้า


และไม่นานทั้งห้าก็เดินทางถึงซัดเบอร์รี่เพื่อพักผ่อนประมาณสองชั่วโมง และเมื่อเดินทางออกจากเมืองซัดเบอร์รี่เพื่อที่จะไปที่ท่าเรือมอนทรีออล กลิ่นดินชื้นและกลิ่นไม้สดอบอวลในอากาศ แต่โมนีก้ากลับรู้สึกหนาววาบที่ต้นคอ เธอชะงักหยุดฟังเสียงจากป่าที่แทรกเข้ามาเหมือนกระซิบในหู ด้านหน้ามี…ไฮดร้า เสียงแผ่วเบาเหมือนมาจากวิญญาณพงไพรทำให้หัวใจของเด็กสาวเต้นแรงขึ้น “ทุกคนคะ… ด้านหน้ามีไฮดร้าอยู่” โมนีก้าหันไปบอกเสียงสั่นเธอไม่แน่ใจว่าตัวเองควรตื่นเต้นหรือกลัวดี แต่สัญชาตญาณกำลังร้องเตือนว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็ก


อิซิเลียที่นั่งกอดอกอยู่ข้างคนขับเพียงเหลือบตามองมา “ไฮดร้าแบบไหน เลอร์เนียหรือท้องแดง” น้ำเสียงเรียบเย็นเหมือนพูดถึงสภาพอากาศ แต่ในแววตากลับแฝงการประเมิน


โมนีก้าเม้มปากเพราะเธอไม่แน่ใจว่ามันเป็นชนิดไหนแต่น่าจะชนิดนี้แหละก่อนสูดหายใจแล้วตอบ “ท้องแดงค่ะ”


“หึ ตัวกระจอก” อิซิเลียยกคิ้ว “มันมีแค่สามหัวเอง จัดการไปเถอะ ถ้าปล่อยไว้จะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น” เธอพูดตามสไตล์ของเธอตรงไปตรงมาแฝงความดูแคลนชัดเจน


วินเซนโซถอนหายใจเฮือกใหญ่แต่ยังคงจับพวงมาลัยแน่น “ให้ตายสิ พักสองชั่วโมงยังไม่พอใช่ไหม” แต่เขาก็หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าเส้นทางป่าที่เสียงกระซิบพาไป ริมฝีปากยังฮัมเพลงอิตาเลียนเบา ๆ ราวกับทำให้ตัวเองใจเย็นขึ้น ไม่นานพวกเขาก็มองเห็นร่างยักษ์สีแดงคล้ำตรงกลางถนน ไฮดร้าท้องแดง ตัวโตเท่ารถบัสมีสามหัวแผ่เกล็ดมันวาว ดวงตาสีเลือดกวาดมองไปทั่ว หัวหนึ่งพ่นพิษออกมาแผดเผาต้นไม้ข้างทางให้ตายซาก ขณะที่อีกสองหัวเลื้อยหันซ้ายขวาอย่างระวัง


และในขณะนั้นรถก็หยุดลงไม่นานทุกคนก็ก้าวออกมา เสียงรองเท้ากระทบพื้นชื้นก้องชัดในความเงียบ ลูคัสคว้าดาบออกมาแล้วหันมามองโมนีก้า ดวงตาสีฟ้าเข้มเปล่งประกายมั่นใจ “จำไว้นะ เด็กใหม่ ไฮดร้าไม่ตายง่าย ๆ ถ้าแค่ตัดหัว มันจะงอกกลับมาอีก” 


ฮารุโตะที่กำลังขึ้นสายธนูเสริมต่อทันที “ต้องปิดปากแผลด้วยไฟนะครับ ไม่งั้นหัวมันจะงอกซ้ำ” เขาเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง แต่ยังมีรอยยิ้มเล็ก ๆ เพื่อไม่ให้โมนีก้าตื่นตระหนกเกินไป วินเซนโซขยับนิ้วไปที่อุปกรณ์ตรงเอว “โชคดีนะ ผมพกไฟมาเต็มกระเป๋าเลย” เขาพูดพลางกดปุ่มของปีนกลไกคล้ายเครื่องพ่นไฟย่อส่วนกางออกจากแขนเสื้อ


อิซิเลียก้าวมาข้างหน้าทุกคนเสียงหัวกะโหลกอลันที่เธอพกอยู่ดังขึ้นเบา ๆ ราวกับหัวเราะ “กฎคือกฎ มันคือสัตว์ร้ายไม่รักดีก็ต้องถูกกำจัด” เธอว่าเสียงเย็น สายตาไม่ไหวเอนแม้แต่น้อย โมนีก้ากลืนน้ำลายหัวใจเต้นระรัว เธอรู้ดีว่าตัวเองยังเป็นเพียงเด็กใหม่ แต่สายตาของพี่ ๆ ทุกคนจับจ้องมาที่เธอราวกับอยากให้เรียนรู้วิธีต่อสู้จริง ๆ


เสียงคำรามสามหัวของไฮดร้าดังก้องสะท้อนทั่วผืนป่า ร่างยักษ์สีแดงคล้ำย่ำลงบนพื้นหญ้าเกิดแรงสะเทือนจนต้นไม้รอบด้านไหวระรัว วินเซนโซเป็นคนแรกที่ก้าวออกมาเขาสะบัดข้อมือเรียกเครื่องกลเล็ก ๆ ที่เขาดัดแปลงจากอาวุธไฟฟ้าและพ่นไฟมาแนบแขน ท่ามกลางประกายไฟสว่างพรึบที่ฉายแสงให้ทุกคนมองเห็นศัตรูชัดเจนขึ้น


ลูคัสคว้าดาบโรมันขึ้นมาอย่างมั่นใจ แสงสะท้อนจากคมดาบสีน้ำเงินเข้มวาววับ เขายืนกำบังให้โมนีก้าที่กำลังชักกราดิอุสออกมา แม้เด็กสาวยังดูเก้ ๆ กัง ๆ แต่แววตามุ่งมั่นเต็มเปี่ยม เสียงหัวใจเต้นแรงเหมือนจะดังแข่งกับเสียงคำรามของไฮดร้า ฮารุโตะรีบวิ่งไปด้านข้างขึ้นสายธนู ดวงตาสีเขียวจ้องเป้าหมายอย่างจริงจัง แม้จะไม่ชอบการฆ่า แต่เมื่อถึงเวลาปกป้องพวกพ้อง เขาไม่ลังเลที่จะปล่อยลูกศรอาบแสงอาทิตย์ของอพอลโล่พุ่งเข้าไป


อิซิเลียยืนอยู่เบื้องหลัง มือขาวซีดกอดหัวกะโหลกอลันไว้แนบอก เธอกระซิบคาถาภาษาละตินโบราณจนเงามืดก่อตัวรอบร่าง ไฮดร้าเหมือนสะดุ้งชั่วขณะเมื่อสัมผัสพลังนั้น เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างเย่อหยิ่ง “สามหัวกระจอก…ฉันจะจัดการแกเอง” สิ้นคำไฮดร้าพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วผิดขนาด หัวหนึ่งอ้าปากพ่นเปลวเพลิงพิษใส่ทันที วินเซนโซยกแขนขึ้น ปล่อยม่านพ่นไฟสวนออกไปจนเปลวไฟปะทะกันกลางอากาศ เกิดระเบิดแสงสีส้มกระจาย ลูคัสฉวยโอกาสพุ่งไปด้านซ้าย ฟันคมดาบใส่คอหนึ่งของมัน รอยเลือดสีดำหนืดกระเด็นสาดเต็มพื้นดิน


“โมนีก้า! ไฟ! ปิดแผล!” ลูคัสตะโกน เธอกัดฟันวิ่งไปข้าง ๆ ยกกราดิอุสแทงไปที่เนื้ออ่อนตรงโคนคอข้างที่ถูกฟัน แรงไม่มากแต่เพียงพอให้วินเซนโซหันพ่นไฟเข้าปิดรอยแผล ไฟเผาไหม้จนหัวนั้นไม่อาจงอกกลับมา ไฮดร้าสองหัวที่เหลือคำรามก้องเสียงสะท้านป่า ลำตัวมันเหวี่ยงหางปัดเข้าหากลุ่มพวกเธอจนอิซิเลียยกมือขึ้นสั่งให้เงามืดพุ่งเข้าพันหางไว้ชั่วครู่ “รีบจัดการซะ ก่อนที่ฉันจะเบื่อ”


ฮารุโตะปล่อยลูกศรเรืองแสงอีกดอก ทะลุเข้าตาไฮดร้าหัวที่เหลือจนเลือดสีทองสาดซ่าน มันโกรธจนพุ่งหัวอีกข้างเข้าใส่โมนีก้าโดยตรง เด็กสาวแทบล้มแต่ยังตั้งดาบกราดิอุสสั้นขึ้นกันปลายดาบเสียบทะลุลิ้นไฮดร้าที่ฟาดใส่ เธอถูกแรงกระแทกจนตัวถอยหลังไปหลายก้าว หอบหายใจแรงแต่ยังไม่ยอมปล่อยดาบ “ดีมาก เด็กใหม่!” ลูคัสคำรามก่อนพุ่งเข้าฟันอีกหัวขาดสะบั้น วินเซนโซตามมาติด ๆ ใช้ไฟพ่นปิดแผลในเสี้ยววินาที เสียงเนื้อแตกและเปลวไฟไหม้ดังลั่น ก่อนหัวสุดท้ายของไฮดร้าจะถูกฮารุโตะซัดลูกศรอาบแสงตัดขาดการเคลื่อนไหว


ในที่สุดร่างมหึมาของไฮดร้าท้องแดงก็ค่อย ๆ สลายไป กลายเป็นละอองแสงทองที่ปลิวกระจายไปทั่วบริเวณ ทุกคนหอบหายใจหนักยกเว้นเลสเตอร์ที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ในรถราวกับไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้เลยสักนิด โมนีก้ายืนหอบเหงื่อชุ่มหน้าผาก มือที่จับกราดิอุสสั่นน้อย ๆ แต่ริมฝีปากกลับเผยรอยยิ้มจาง ๆ ดวงตาเทาเงินเปล่งประกายความโล่งใจ


“กระจอกจริง ๆ ด้วย” อิซิเลียเอ่ยเสียงเรียบพร้อมสะบัดผมเงินที่เปื้อนฝุ่นออก เธอหันหลังขึ้นรถไปโดยไม่เหลียวมองซากละอองทองอีก วินเซนโซหัวเราะเบา ๆ พลางยกเครื่องพ่นไฟพาดไหล่ “เฮ้อ… ข้าวเช้าครั้งนี้หนักท้องกว่าปกติเลยนะ อยากได้กาแฟล้างท้องสักแก้ว”


ลูคัสฟาดดาบลงดินข้างตัวก่อนเก็บเข้าฝัก ดวงตาสีฟ้ายังจับจ้องโมนีก้าเพื่อชื่นชมความเป็นนักรบของเธอ “เธอ…ทำได้ดีสำหรับครั้งแรกนะ” ฮารุโตะก็เดินเข้ามาตบไหล่เด็กสาวเบา ๆ ยิ้มอบอุ่น “เธอเก่งกว่าที่คิดไว้นะโมนีก้า อย่าดูถูกตัวเองเชียว”


โมนีก้าหัวเราะทั้งที่หอบเหนื่อย “แต่ฉันก็ยังใช้ได้แค่กราดิอุสสู้นะคะ…” แต่นั้นแหละมันเป็นสิ่งที่ทำให้โมนีก้าได้เติบโตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง


Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

Z z zzZZ  Z z  Z Z  Z (หลับเป็นตายไปสัก 5 วัน) 

avatar

Moneka M. Blossom

เดินทางจนถึงเมืองซัดเบอรี่ตอนนี้โดนโจมตีรัว ๆ แต่ก็ผ่านมาได้ โมนีก้าเริ่มฝึกการต่อสู้จนชินเกินกว่าที่เธอจะคิดออก และตอนนี้ก็เดินทางต่อแล้วล่ะ ครั้งแรกเลยที่ได้จัดการไฮดร้า ถ้าเจอตัวที่มันใวหญ่กว่านี้ทำยังไงกันเนี้ย น่ากลัวจริง ๆ 


[ถึงเมือง ซัดเบอรี่ ปะทะกับ กองกำลังพิเศษขององค์กร และอสุรกายรายทาง]

[เดินทางต่อมุ่งหน้าสู่ ท่าเรือมอนทรีออล เมืองควิเบก รัฐเกแบ็ก]

[ เวลา 13.00 น. เดินทางออกจาก เมืองซัดเบอรี่ มุ่งหน้าสู่ ท่าเรือมอนทรีออล]

[ใช้ระยะเวลา 5 ชั่วโมง 20 นาที]

avatar

Vincenzo Bergamotto

ขับรถอยู่และขี้เกียจเขียนรายงานด้วย

avatar

Icilia Dominicus

-

avatar

Lucas Aquinas

เริ่มคิดว่าโมนีก้าเองต้องฝึกกราดิอุสเพิ่มในระหว่างที่พลังของเธอไม่ใช่พลังของการต่อสู้ เพื่อปกป้องตัวเอง

avatar

Haruto Higa

-

กำจัดเดธแมทชีน

มีค่า LUK 100 หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ มอเตอร์ไฮดรอลิก จำนวน 1 ชิ้น 1 x 2 = 2 ชิ้น

ได้รับ โลหะผสมพิเศษ จำนวน 10 ชิ้น 10 x 2 = 20 ชิ้น


กำจัดไฮดร้า (ท้องแดง)

มีค่า LUK 60 หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ เกล็ดไฮดร้า จำนวน 2 ชิ้น 2 x 2 = 4 ชิ้น

สรุป ได้รับ มอเตอร์ไฮดรอลิก 1 ชิ้น, โลหะผสมพิเศษ 10 ชิ้น, เกล็ดไฮกร้า 2 ชิ้น

+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด ไอดร้า(ท้องแดง) ครั้งแรก



แสดงความคิดเห็น

God
โลหะผสมพิเศษ 10 ชิ้นไม่เกี่ยวกับ x2 มันไม่ได้สุ่ม เป็นการันตีได้  โพสต์ 2025-10-3 19:18
โพสต์ 72244 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-3 08:52
โพสต์ 72,244 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-3 08:52
โพสต์ 72,244 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-3 08:52
โพสต์ 72,244 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-3 08:52

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-3 16:25:07 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 33 : ที่นี่ที่ไหนชีวิตของบ้านคาร์เดเชี่ยนหรอ?
วันที่ 24 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเย็น เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ ท่าเรือมอนทรีออล เมืองควิเบก รัฐเกแบ็ก แคนาดา

เสียงล้อรถลากผ่านถนนคอนกรีตดังเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะหยุดสนิทตรงลานจอดรถเช่าที่อยู่ใกล้ท่าเรือมอนทรีออล บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงผู้คน เสียงคลื่นกระทบตัวเรือ และกลิ่นเค็มอ่อน ๆ ของทะเลสาบแซงต์ลอว์เรนซ์ที่ลอยมากับสายลม เมื่อวินเซนโซดับเครื่องรถทุกคนก็แทบจะเฮออกมาอย่างพร้อมเพรียง ราวกับเพิ่งผ่านสงครามยาวนานสามวันเต็มที่ไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่เป็นบททดสอบชีวิตจริง


โมนีก้าถอนหายใจแรงเหมือนยกภูเขาออกจากอก เธอลูบต้นขาที่เมื่อครู่ยังชาเพราะเลสเตอร์เอาหัวมาหนุนไว้เป็นเวลานาน ก่อนยิ้มกว้างพลางบ่นเสียงเบา “โชคดีที่เช่ามาสามวันนะ ไม่งั้นได้จ่ายค่าปรับยับแน่ ๆ” น้ำเสียงแฝงความเหนื่อยแต่ก็เต็มไปด้วยความโล่งใจ


อิซิเลียที่ยืนกอดอกอยู่ข้างรถมองไปรอบ ๆ เมืองใหญ่ด้วยสายตาเย็นชา แต่ก็ไม่ปิดบังน้ำเสียงเหน็บแนมเล็ก ๆ “จริง ๆ ระยะทางมันใช้เวลาแค่สองวันครึ่งเท่านั้น…แต่เพราะระหว่างทางเจอพวกกวนใจนี่แหละ เลยช้า” คำพูดนั้นเหมือนมีหนามประชดแต่ทุกคนรู้ดีว่ามันคือความจริง


วินเซนโซยืดไหล่ของตนเองหมุนคอกรอบ ๆ ก่อนยัดกุญแจคืนให้บริษัทเช่าโดยไม่ลืมพูดติดตลก “เอ้า รถยังอยู่ดี ไม่มีรอยบุบสักนิด…เก่งกว่าพวกเราที่แทบจะบุบทั้งคนแล้วมั้ง” ทำเอาฮารุโตะหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะสดใสของเขาเหมือนชะล้างความเหนื่อยล้าระหว่างทางได้เล็กน้อย ลูคัสในตอนนี้ไม่ได้พูดอะไรมาก เขามีหน้าที่สำคัญกว่าใครทั้งหมดคือแบกร่างเลสเตอร์ที่ยังคงหลับสนิทไว้บนหลัง ร่างสูงของเขาทำให้ภาพที่เห็นเหมือนพี่ชายที่หวงแหนน้องชายสุดชีวิต แม้เลสเตอร์จะตัวโตกว่าเด็กทั่วไป แต่บนไหล่ของลูคัสกลับดูเบาเหมือนเขาเต็มใจจะแบกไปถึงสุดปลายโลก


รอบ ๆ ท่าเรือเต็มไปด้วยเรือยอชต์สีขาวเรียงรายแวววาวตัดกับท้องฟ้าและเส้นขอบฟ้าของเมืองมอนทรีออล ตึกสูงสลับกับอาคารเก่าโบราณสร้างทิวทัศน์ที่ชวนตะลึง เสียงคลื่นกระทบโป๊ะไม้ดังสม่ำเสมอราวกับกำลังบอกว่าพวกเขาเดินทางมาถึงอีกหนึ่งจุดหมายสำคัญแล้ว


โมนีก้าหันไปมองเรือยอชต์ตรงหน้าแล้วเอียงหัวบ่นกับตัวเองเบา ๆ “ทีนี้ก็เหลือแค่การนั่งเรือมาราธอน…ขออย่าเจออะไรประหลาด ๆ อีกเลยนะ” แต่ทุกคนในกลุ่มต่างรู้ดีว่าความเงียบสงบในคำพูดของเธอ คงเป็นแค่ความหวังเพราะการผจญภัยของเดมิก็อดไม่มีวันเรียบง่าย ก่อนที่ระหว่างการเดินทางเข้าท่าเรือเสียงโต้เถียงเล็ก ๆ เริ่มต้นขึ้นเมื่อพวกเขามาถึงเขตท่าเรือมอนทรีออล ลูคัสที่เดินนำหน้ามีเลสเตอร์อยู่ที่หลัง เขามองเรือยอชต์ที่เรียงรายแล้วถามขึ้นตรง ๆ “แล้วเราจะเอาเรือลำไหนไปกันล่ะ หรือว่า…ต้องยืม?”


โมนีก้ารีบหันขวับไปมองทางคุณลูคัสทันทีทำไมเขาถึงชอบยืมของนักนะ! น้ำเสียงเธอจริงจังเกินกว่าปกติ “ห้ามขโมยนะคะ! จะบอกว่ายืมก็ไม่ได้!” ดวงตาเทาเงินของเธอเป็นประกายเด็ดขาดจนวินเซนโซเผลอยกมือยอมแพ้ก่อนหัวเราะเบา ๆ หญิงสาวหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงใสแต่มั่นใจ “จริง ๆ ฉันใช้โทรศัพท์คุณฮารุโตะติดต่อเพื่อนของเลสเตอร์แล้วค่ะ ก่อนที่เขาจะหลับไปบอกเบอร์ไว้อยู่ เพื่อนคนนั้นบอกว่าจะเอาเรือมารอไว้ให้…แถมตอนที่เราไปช่วยพวกคุณครั้งก่อน เขาก็เป็นนักบินที่ขับเครื่องบินพาไปนะคะ”


ทันทีที่เดินลึกเข้าไปในท่าเรือพวกเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ เขาดูอายุน่าจะยี่สิบปลาย ๆ ผมสีน้ำตาลเข้มเซตอย่างสบาย ๆ สวมเสื้อเชิ้ตแขนพับธรรมดากับกางเกงขายาว เขาไม่ได้แต่งตัวเป็นนักบินเหมือนเคยแต่รอยยิ้มอบอุ่นกับแววตามั่นใจทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปทันที ด้านหลังเขาคือเรือยอชต์ Heesen Yachts (FDHF Series) Superyacht ที่จอดนิ่งแวววาวราวกับอัญมณีขนาดยักษ์ โครงสร้างเพรียวโฉบเฉี่ยว ลำเรือสีขาวสะท้อนแดดยามบ่ายจนเกือบแสบตา


“ไง โมนีก้า” เขาทักทายด้วยเสียงที่ฟังแล้วสบายใจ ก่อนกวาดสายตามาที่คนอื่น ๆ “พวกนี้เหรอ…ที่เธอกับเลสเตอร์ช่วยกันฝ่าเรื่องบ้า ๆ นั่นมา?”


“ใช่ค่ะ พวกเขานี้แหละ ทีมของเลสเตอร์” โมนีก้าตอบพลางพยักหน้ายิ้มสดใส


ชายหนุ่มนักบินหัวเราะเบา ๆ ก่อนปรายตามาที่ร่างเลสเตอร์ที่ลูคัสยังแบกไว้บนหลัง “แล้วทำไมเจ้านั่นถึงยังหลับอยู่ล่ะ?” โมนีก้ายักไหล่แก้เก้อแต่ก็บอกแบบสบาย ๆ กับเขาไปตอนได้รับคำถาม “ก็…หลับเพราะใช้พลังเกินไปค่ะ เหนื่อยจัดเลย” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นอีกครั้ง เขาส่ายหัวน้อย ๆ “ก็ว่าอยู่ ถึงดูหมดแรงขนาดนั้น” ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองเรือขนาดใหญ่ด้านหลัง พลางถามเสียงตรง “แล้วมีใครในนี้ขับเรือเป็นบ้าง?”


วินเซนโซยกมือขึ้นแบบขี้เล่น “ผมขับได้แต่ต้องมีคนบอกเส้นทางนะ ไม่งั้นพาไปเกาะขั้วโลกเหนือแน่” อิซิเลียยืนกอดอกเหมือนเคยแต่ก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ฉันก็ขับเป็น ไม่ได้อยากโอ้อวดหรอก แต่คงแม่นยำกว่าคนที่พึ่งสัญชาตญาณอย่างเขา”


ชายหนุ่มหัวเราะขำกับท่าทีต่างกันสุดขั้วของทั้งสอง ก่อนใช้มือชี้ไปยัง Heesen Yachts ด้านหลั“งั้นก็ดี ลำนี้แหละ…ใช้มันพาพวกเธอไปให้ถึงจุดหมาย” ทันทีที่ทุกคนเห็นว่าเรือด้านหลังคือเรือตรงหน้าคือเรือที่จะได้ใช้มันคือซูเปอร์ยอชต์ Heesen FDHF Series ลำมหึมา 


ดวงตาของวินเซนโซก็เปล่งประกายไม่ต่างจากคนเห็นของเล่นใหม่ เขาเดินวนรอบ ๆ ช่วงหัวเรือพลางเปรยเสียงยียวนปนความรู้จริงจัง “เล่นของใหญ่เสียด้วยนะ… Heesen FDHF Superyacht ของจริงเลยนี่หว่า คิดว่าลำนี้มันเท่าไหร่กัน? เทคโนโลยี Fast Displacement Hull Form ที่พัฒนาร่วมกับ Van Oossanen Naval Architects เนี่ยไม่ธรรมดานะ เอาเข้าจริง Efficiency Across the Speed Range มันโคตรเจ๋ง”


พอพูดจบ เขาก็หันกลับมามองคุณนักบินที่ยืนกอดอกยิ้มบาง ๆ อยู่อย่างสงบ นักบินหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ ก่อนอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงเรียบแต่มั่นใจ “ก็ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเรือที่แล่นเร็วไง ประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงเหนือกว่า ทั้งในความเร็วต่ำแบบ Displacement ที่ใช้เดินทางระยะไกล หรือช่วงความเร็วกึ่งสูงแบบ Semi-Displacement แถมยังลดแรงต้านน้ำได้ถึง 15% เมื่อเทียบกับเรือท้องแบนทั่วไป ทำให้ใช้กำลังเครื่องยนต์น้อยลงแต่ยังวิ่งได้เร็ว”


วินเซนโซหัวเราะหึ ๆ พลางยกนิ้วโป้งให้ “แถมที่ขนาด 499 GT เนี่ย พื้นที่ภายในสมบูรณ์แบบเลยนะ ยังคงอยู่ในข้อกำหนดที่ง่ายกว่าเรือที่เกิน 500 GT แต่ก็ยังให้ความหรูหราสำหรับคนได้ถึง 12 คนเต็ม ๆ เกินเบอร์มาก” แล้วเขาก็หันไปหานักบินหนุ่มถามกึ่งเล่นกึ่งจริง “นี่ตกลงคุณเป็นมหาเศรษฐีใช่ไหม?” นักบินหนุ่มเพียงแค่ยักไหล่ ยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อยโดยไม่ตอบตรง ๆ ปล่อยให้เป็นปริศนา 


ส่วนคนอื่น ๆ อย่างลูคัสกับฮารุโตะยืนฟังด้วยใบหน้าเหมือนคนกำลังพยายามถอดรหัสภาษาเอเลี่ยน เพราะไม่เข้าใจศัพท์เครื่องยนต์เลยสักนิด แม้แต่โมนีก้าก็มองเรือลำใหญ่ด้วยตาโต รู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในโฆษณาชีวิตหรูของพวกคาร์เดเชี่ยนยังไงก็ไม่รู้ หญิงสาวเลยก้มไปกระซิบกับฮารุโตะข้างหู “นายว่าลำนี้มันกี่ล้านกันนะ?”


ฮารุโตะทำท่าคิดหนัก เหงื่อซึมตรงขมับ “เอ่อ…สิบล้าน? หรือยี่สิบล้านมั้งครบ?” เสียงเขาสั่นอย่างไม่มั่นใจนัก ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะเถียงกันเสร็จคุณนักบินก็หัวเราะน้อย ๆ ก่อนเฉลยเสียงดังพอให้ทุกคนได้ยิน “ราคาเริ่มต้น…ไม่รวมการตกแต่งนะ เจ็ดสิบล้านดอลลาร์”


ทันใดนั้น โมนีก้ากับฮารุโตะอ้าปากค้างพร้อมกันแทบจะพูดไม่ออก ส่วนวินเซนโซถึงกับผิวปากยาว “โอ้โห เล่นใหญ่จริง ๆ” คุณนักบินหันกลับมามองทุกคนอีกครั้ง “แต่ไม่ต้องห่วง ให้ยืมได้…แต่อย่าทำพังล่ะ” จากนั้นสายตาคมก็เหลือบไปทางเลสเตอร์ที่ยังหลับสนิทอยู่บนหลังลูคัสก่อนหัวเราะในลำคอ “ถ้าพัง…ฉันจะไปเก็บเงินจากเจ้าหมอนี่เอง” ไม่มีใครเข้าใจมุขนั้นนอกจากเขา เพราะมีเพียงนักบินที่รู้ว่าคนที่กำลังนอนหลับอยู่ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือเทพอะพอลโล่ในคราบมนุษย์  ความลับที่เขาเก็บเงียบไว้ไม่แม้แต่จะคิดปริปากเล่าให้ใครได้ยิน


เสียงคลื่นซัดเบา ๆ กระทบกับผิวเรือสีขาวสะอาดขณะที่ Heesen FDHF Superyacht ที่เตรียมตัวออกจากท่า โครงสร้างหรูหราและการออกแบบที่เฉียบคมสะท้อนแสงแดดยามบ่ายวาววับจนแทบทำให้ทุกคนตาพร่า วินเซนโซกับอิซิเลียยืนคุยกับนักบินหนุ่มที่กำลังส่งเอกสารชุดหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นใบอนุญาตข้ามน่านน้ำกับคู่มือการควบคุมระบบเรือขั้นพื้นฐาน วินเซนโซยกคิ้วอย่างนักช่างผู้พยายามจะทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องง่ายเพราะขี้เกียจ ส่วนอิซิเลียก็กอดอกฟังนิ่ง ๆ พลางถามรายละเอียดเรื่องเส้นทางด้วยน้ำเสียงจริงจัง


ลูคัสซึ่งยังคงทำหน้าที่อย่างพี่ชายที่ดี แบกเลสเตอร์ที่ยังหลับสนิทอยู่ลงไปยังชั้นล่างสุดของเรือ เขาผลักประตูบานไม้เนื้อดีเข้าไปพบห้องนอนหรูหราที่ประดับด้วยโทนสีครีมทอง เตียงคิงไซส์นุ่มแน่นราวกับจะกลืนคนลงไป ลูคัสวางร่างเลสเตอร์เบา ๆ ลงบนที่นอน ห่มผ้าสะอาดเรียบให้ แล้วถอนหายใจยาว “หลับสบายเกินไปแล้วมั้ง เจ้านี่”


ขณะเดียวกัน ฮารุโตะกับโมนีก้าก็เดินสำรวจรอบเรือ ดวงตาของโมนีก้าแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าเมื่อได้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน “พระเจ้า…ราคาเกิน 70 ล้านดอลลาร์แน่ ๆ!” เธอร้องเบา ๆ ขณะมองไปรอบ ๆ โถงกลางที่ประดับโคมไฟคริสตัล มีบันไดวนขึ้นไปยังดาดฟ้าชั้นบน พรมสีงาช้างปูเต็มพื้น เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ร่วมสมัยวางเรียงรายราวกับโรงแรมห้าดาว โมนีก้านับห้องไปทีละส่วน “ห้องนอนใหญ่สองห้อง เตียงคิงไซส์หรูหรา…ห้องเตียงคู่สองห้อง…ห้องลูกเรืออีกหกห้อง โอ้ย หรูจัดไปไหมเนี่ย” เธอแทบหัวหมุนเมื่อเห็นแต่ละห้องมีห้องน้ำในตัวพร้อมอ่างอาบน้ำหินอ่อน ขณะที่ฮารุโตะหัวเราะคิกเบา ๆ กับปฏิกิริยาของเธอ


แล้วทั้งสองก็เดินขึ้นไปยังชั้นบนสุด ดวงตาโมนีก้าแทบไม่เชื่อเมื่อเห็นอ่างจากุชชี่กลางแจ้งตั้งอยู่ท่ามกลางดาดฟ้า เปิดให้เห็นวิวท้องทะเลกว้างสุดสายตา ลมเย็นพัดผ่านผมสีม่วงครามของเธอพลิ้วไหว “โห…แบบนี้มันไม่ใช่แค่เรือแล้ว มันคือคฤหาสน์ลอยน้ำชัด ๆ” เธอพึมพำ


ยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อเดินไปส่วนท้ายเรือก็พบเรือสปีดโบ๊ทเล็กสองลำที่จอดประจำไว้ เผื่อการเดินทางสั้น ๆ หรือภารกิจที่ไม่สามารถนำเรือใหญ่เข้าไปได้ “โอ้ย หรูเกินไปแล้ว…” โมนีก้าถึงกับจับอกตัวเองแทบจะเป็นลม ขณะที่ฮารุโตะยกแขนเท้าสะเอวมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ “อย่างน้อยเราคงไม่เบื่อแน่นอนตลอดการเดินทางครั้งนี้”


ไม่นานนัก เสียงเครื่องยนต์ดีเซลคู่ของเรือก็คำรามต่ำ ๆ อย่างมั่นคง แรงสั่นสะเทือนแผ่วเบาสะท้อนผ่านพื้นไม้เนื้อดี เรือยักษ์เริ่มออกเดินทาง ลากเส้นน้ำเป็นทางยาวทอดออกไปสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่ การเดินทางใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว พร้อมกับความตื่นเต้นครั้งใหม่ที่รออยู่เบื้องหน้า

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

Z z zzZZ  Z z  Z Z  Z (หลับเป็นตายไปสัก 5 วัน) 

avatar

Moneka M. Blossom

เดินทางจนถึงท่าเรือจนได้โว้ยยยยยยยยยย ตูดจะชาหมดแล้ววววว ตูดด้านแล้วโว้ยยยยยย จากการเดินทางสามวันเต็ม ๆ เนี้ยตอนนี้ถึงท่าเรือมอลทรีออลโดยปลอดภัย และคุณนักบินเตรียมเรือให้ แล้วคุณพี่ทำไมเตรียมเรือเอาซะหรูเลยล่ะ ราคาเท่าไรนะ เกิน 70 ล้านดอลล์ บ้าไปแล้ว แม่งเป็นมหาเศรษฐีแน่ ๆ พี่แกมีเมียยังนี้ หรือยังไงเป็นเกย์อะป่าว รู้แค่ว่าแบบ พี่หล่อรวยขนาดนี้ สนใจเมียเด็กสักคนไหมค่ะ แค่ก ๆ เอาเป็นว่า ออกเดินทางโล่ดดดดด


[ถึงเมือง ท่าเรือมอลทรีออล เดินทางออกจากท่าเรือมุ่งหน้าสู่ โรมเก่า อิตาลี]

[ เวลา 19.00 น. เดินทางออกจากท่าเรือ]

avatar

Vincenzo Bergamotto

ขี้เกียจจังเลย ต้องขับเรืออีกแล้วหรอ กาแฟสักแก้วหน่อยเถอะน่า

avatar

Icilia Dominicus

จะขับก็ขับได้แหละนะ

avatar

Lucas Aquinas

โนคอมเม้นท์

avatar

Haruto Higa

เรือหรูจังเลยครับ...



แสดงความคิดเห็น

ลุงแม่งคนดีเกิน ฮือออ เดี๋ยวไปโรลโบกมือให้ลุง รักลุง T_T หนูจะหัวใจ 10 ดวงลุงให้ดูค่ะ  โพสต์ 2025-10-3 19:23
God
อควิลอนยืนที่ประภาคารในฐานะผู้ปกครองเมืองนี้ส่งเด็กๆกึ่งเทพ  โพสต์ 2025-10-3 19:19
โพสต์ 55,951 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-3 16:25
โพสต์ 55,951 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-3 16:25
โพสต์ 55,951 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-3 16:25
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-4 02:51:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-4 07:46

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 34 : กลัว
วันที่ 24-26 เดือน กันยนยา ปี 2025
เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง ท่าเรือมอนทรีออล เมืองควิเบก รัฐเกแบ็ก แคนาดา มุ่งหน้าสู่ ท่าเรือชิวิตาเวกเกีย โรม อิตาลี

เรือหรู Heesen Superyacht ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากท่าเรือมอนทรีออล เสียงเครื่องยนต์ก้องต่ำสะท้อนกับผืนน้ำกว้าง ขณะที่สายลมเย็นพัดผมสีม่วงครามของโมนีก้าโบกสะบัดไปตามแรงลม เด็กสาวยืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าสูงสุด มองย้อนกลับไปยังเมืองใหญ่เบื้องหลังที่ค่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่สะดุดตาเธอที่สุดไม่ใช่ตึกระฟ้าหรือแสงแดดสะท้อนบนผืนน้ำ หากแต่เป็นเงาร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงประภาคารหินเก่าแก่ริมชายฝั่ง


ชายร่างสูงใหญ่ในชุดหนังเก่าแบบนักขี่มอเตอร์ไซค์ เส้นผมยาวรุงรังและเคราครึ้มปกปิดกรอบหน้า ทว่าดวงตาเปี่ยมด้วยพลังและความอบอุ่น ร่างนั้นคือเทพอควิลอน ผู้ปกครองแดนเหนือและเป็นผู้คุ้มครองเมืองนี้มาตลอดหลายศตวรรษ เขายืนอยู่บนแท่นสูงสุดของประภาคาร ร่างกายสะท้อนกับแสงตะวันเหมือนจะกลืนหายไปกับสายลมเหนือที่พัดแรง


โมนีก้าเบิกตากว้าง รอยยิ้มสดใสพลันแผ่กระจายเต็มใบหน้า เธอยกมือโบกแรง ๆ เหมือนเด็กที่เห็นญาติผู้ใหญ่แสนอบอุ่น “แล้วพบกันนะคะ! ฉันจะส่งของบูชาให้บ่อย ๆ ถ้ามีโอกาสค่ะ!” เสียงเธอแหลมใสลอยไปกับสายลม


เทพอควิลอนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นดังก้องไปทั่วอากาศเหมือนเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ เขามองเด็กสาวลูกครึ่งเทพเซเรสด้วยสายตาอ่อนโยนและพยักหน้ารับเบา ๆ แม้จะไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่พลังแห่งสายลมที่พัดปะทะใบหน้าโมนีก้าก็เป็นคำตอบแทนว่าเขารับรู้และยินดี


วินเซนโซที่ยืนพิงราวเหล็กด้านข้างมองภาพนั้นแล้วหัวเราะเบา ๆ “เป็นเด็กที่สนิทกับคนไปทั่วเลยนะเนี้ย” เขาพึมพำพลางยกแก้วกาแฟในมือจิบ ส่วนฮารุโตะที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวเราะคิกขำไปกับความใสซื่อของเธอ อิซิเลียหันหน้าหนีเหมือนไม่อยากสนใจ แต่แอบเหลือบตามองอยู่เช่นกัน ในขณะที่ลูคัสเพียงยืนไขว้แขนเงียบ ๆ มองภาพเทพผู้ยิ่งใหญ่ส่งเด็กสาวออกเดินทาง ราวกับเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภารกิจใหม่ เรือค่อย ๆ เคลื่อนตัวสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่ ทิ้งเสียงหัวเราะและสายลมแห่งแดนเหนือไว้เบื้องหลัง พร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงติดอยู่บนใบหน้าของโมนีก้าไม่เลือน


ท้องทะเลเปิดกว้างรับเรือยอชท์สีขาวสะอาดที่แล่นฝ่าคลื่นออกไปสู่เส้นขอบฟ้า ทุกอย่างบนเรือลำนี้เริ่มเข้าสู่จังหวะชีวิตประจำวันที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นราวกับเป็นบ้านเคลื่อนที่กลางมหาสมุทร แต่ละคนมีหน้าที่ของตนชัดเจน และถึงแม้จะต่างบุคลิกต่างนิสัย แต่ก็ช่วยกันประคับประคองให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น


วินเซนโซรับหน้าที่หลักในการควบคุมเรือร่วมกับอิซิเลีย เขามีความรู้ด้านเครื่องกลและระบบต่าง ๆ ของเรือ จึงคอยเช็กเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้าและบำรุงรักษาไม่ให้เกิดปัญหา ขณะเดียวกันก็ยังแอบดื่มกาแฟแก้วแล้วแก้วเล่าในทุกเวลายามที่เรือแล่นตรงและลมสงบ เขาจะพึมพำกับตัวเองเรื่องประสิทธิภาพเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีทางวิศวกรรมเสมือนเป็นนักวิชาการผู้รักในงานอดิเรกมากกว่านักรบ


อิซิเลียแม้มีร่างกายเล็กกระทัดรัดเหมือนเด็ก แต่เธอมีสมาธิและความเฉียบคมในด้านการนำทาง เธอเป็นดวงตาของพวกเขา คอยจับเส้นทางจากแผนที่และท้องฟ้าอย่างไม่ผิดเพี้ยน แม้จะมีอารมณ์แปรปรวน แต่เมื่อทำงานกลับจริงจังจนไม่มีใครกล้ากวน เธอจะยืนเท้าแขนกับหัวกะโหลกนามอลันราวกับคุยกับมันขณะออกคำสั่ง


ฮารุโตะกลายเป็นหัวใจของเรือในฐานะพ่อครัว ทุกมื้ออาหารบนเรือต้องผ่านมือเขา ไม่ว่าจะเป็นซุปผักหอมกรุ่น ข้าวญี่ปุ่นง่าย ๆ หรือแม้กระทั่งของหวานเล็ก ๆ ที่ช่วยให้ทุกคนผ่อนคลาย นอกจากนั้นเขายังคอยเฝ้าดูเลสเตอร์ที่ยังคงหลับลึกอยู่ เขาจะวัดชีพจร เช็ดร่างกายเวลาเหงื่อออกและเปลี่ยนผ้าห่มให้เหมือนเป็นหน้าที่ที่รับผิดชอบอย่างเต็มใจ


โมนีก้าแม้ยังเด็กใหม่แต่ก็เต็มไปด้วยพลังใจ เธอช่วยงานจิปาถะทุกอย่าง ตั้งแต่ทำความสะอาดเช็ดโต๊ะ ขัดราวเหล็ก ไปจนถึงเสิร์ฟอาหารให้ทุกคน ทว่าแทบทุกครั้งหลังทำงานเสร็จ เธอมักจะเดินลงไปยังห้องนอนที่เลสเตอร์พักอยู่ นั่งลงข้างเตียงคอยมองใบหน้าที่กำลังหลับสนิทของเขาด้วยความห่วงใย แม้เขาจะยังไม่รู้สึกตัวแต่เธอก็เลือกจะอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ เหมือนเฝ้าให้กำลังใจ


ลูคัสในฐานะหน่วยเฝ้าระวังและนำการรบ คอยเดินตรวจตรารอบเรือทั้งกลางวันและกลางคืน เขาจะยืนพิงราวเหล็ก มองไปที่ทะเลกว้างด้วยสายตาจริงจัง หูคอยฟังทุกเสียงผิดปกติ แม้บางครั้งจะช่วยโมนีก้ายกของหรือทำงานเบ็ดเตล็ด แต่ความรับผิดชอบหลักของเขายังคงเป็นการป้องกันภัยเงียบ ๆ ราวกับนักรบผู้ไม่วางดาบ และที่ห้องพักด้านล่างสุด เลสเตอร์ยังคงนอนหลับยาวอย่างสงบ เสียงลมหายใจสม่ำเสมอ แม้จะดูเหมือนหลับลึกไม่รู้เรื่องแต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาเพียงพักฟื้นจากการใช้พลังมหาศาล ก่อนที่วันหนึ่งเขาจะตื่นขึ้นอีกครั้งพร้อมกลับมาทำตัวน่าหมั่นไส้ขี้เก็กตอนนั้น 


ชีวิตบนเรือจึงดำเนินไปเช่นนี้เป็นเวลาสองวัน ราวกับฟันเฟืองแต่ละชิ้นทำงานอย่างพอดี แม้ต่างที่มา ต่างเลือดเนื้อ แต่ความรับผิดชอบและความห่วงใยซึ่งกันและกันกำลังค่อย ๆ เชื่อมโยงให้พวกเขากลายเป็นทีมเดียวกันอย่างช้า ๆ 


คืนวันที่สองของการเดินทาง วันที่ 26 นั้น ฟ้าเหนือทะเลยังไม่มืดสนิท แสงราง ๆ สีครามผสมทองยังทอดยาวอยู่เหนือผิวน้ำ แต่ในห้องนอนเล็กของโมนีก้า เธอกลับพลิกตัวไปมาเหงื่อผุดซึมทั่วหน้าผาก แม้จะมีลมเย็นจากทะเลพัดลอดช่องเข้ามา ร่างกายกลับร้อนวูบวาบเหมือนถูกขังอยู่ในเตาเพลิง ภาพฝันโถมเข้ามาอย่างไม่ปรานี โมนีก้านั่งคุกเข่ากลางห้องโถงโอ่อ่าที่เต็มไปด้วยความมืดหนาทึบ ร่างของเธอโดนโซ่เหล็กเย็นเฉียบพันธนาการแน่นหนา ทั้งข้อมือข้อเท้าถูกตรึงไว้กับแท่นหินหยาบ ความรู้สึกเหมือนนักโทษที่รอวันประหารชัดเจนจนหัวใจเต้นแรงแทบทะลุอก เสียงโซ่กระทบกันดังแกรกกรากก้องไปทั่วห้อง เธอพยายามดิ้น แต่ยิ่งดิ้นโซ่ก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น


เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอเห็นบัลลังก์สูงชันที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า บัลลังก์นั้นสร้างจากหินดำมันวาวคล้ายออบซิเดียน แผ่ไอเย็นเยียบกดข่มทุกอณูอากาศ และบนบัลลังก์นั้นมีเงาร่างของใครบางคนที่เธอมองไม่ชัด ร่างนั้นนั่งนิ่งอยู่ในความมืด เหมือนส่วนหนึ่งของเงาสลัวที่กัดกินห้องทั้งห้อง


ทันใดนั้น เสียงของเขาก็ดังขึ้นมันเป็นเสียงทุ้มต่ำ แฝงไปด้วยความเย็นชาและวิปริต บาดลึกเข้าไปถึงกระดูกสันหลังจนโมนีก้าหนาวสั่น เสียงนั้นถามชัดถ้อยชัดคำ “การเตรียมการ...ไปถึงไหนแล้ว” น้ำเสียงเต็มไปด้วยแรงกดดันดุจมีดคมที่บังคับให้เธอตอบ แต่ลิ้นของเธอกลับแข็งชาไร้เสียงออกมา รอบข้างค่อย ๆ มืดหนาขึ้นจนไฟคบเพลิงที่กำแพงดับวูบ เสียงโซ่กึกก้องสะท้อนกลายเป็นเสียงกระซิบเร้นลับ 


ม่านภาพตรงหน้าพลันแตกสลายเหมือนเศษกระจก เธอถูกฉุดรั้งไปยังที่แห่งใหม่ กลางฟ้าสีดำครึ้มไร้แสงสว่าง เมฆหม่นลอยหนาทึบปกคลุมจนทุกทิศมืดสลัว โมนีก้าเงยหน้ามองท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว 


และในวินาทีนั้นเอง ดวงอาทิตย์ที่ควรจะทอแสงทองกลับกลายเป็นดวงอาทิตย์สีดำสนิท เย็นชา มืดมนและผิดธรรมชาติ เธอรู้สึกเหมือนมันกำลังจ้องกลับมา ลำแสงมืดที่แผ่ออกมากดทับจิตใจจนเธอแทบหายใจไม่ออก หัวใจของเธอเต้นแรง เสียงในฝันยังคงก้องอยู่ในหัว “เตรียมการไปถึงไหนแล้ว…” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับเป็นประโยคสาปที่ฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของโมนีก้า


ในห้วงฝันที่มืดมน โมนีก้าเงยหน้ามองดวงอาทิตย์สีดำสนิทที่ฉายแสงบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ และทันใดนั้นเสียงก้องมหาศาลก็ระเบิดขึ้นมารอบตัวเธอ เสียงของผู้คนมากมายดังประสานกัน เสียงชายหญิงนับพันสรรเสริญก้องกังวาน ราวกับกำแพงหินทั้งมวลสะท้อนกลับมาเป็นเสียงเดียว


“องค์จักรพรรดิผู้เกรียงไกร สุริยเทพทมิฬผู้เป็นมหาราชาแห่งเหล่าเทพยุคใหม่ จงเจริญ! จงเจริญ! จงเจริญ!” 


เสียงนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า บีบอัดเข้าไปในขมับของโมนีก้าจนหัวแทบแตก ทุกถ้อยคำไม่ใช่เพียงเสียง แต่เป็นแรงกดดันดั่งเกลียวคลื่นที่ซัดสาดเข้าใส่เธอ ดวงใจเธอเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก ความเย็นเยียบจากเสียงเหล่านั้นกัดกินเข้าไปในไขกระดูก เธอไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร สุริยเทพทมิฬ คือใคร มหาราชาแห่งเหล่าเทพยุคใหม่ หมายถึงอะไร แต่ทุกถ้อยคำกลับทำให้เธอหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ


และก่อนที่เธอจะร้องออกมา ภาพตรงหน้าก็ตัดพรึ่บไปเป็นฉากใหม่ทันที ร่างเธอตกอยู่กลางทะเลมืดทะมึน กลิ่นคาวเลือดและเกลือทะเลลอยอบอวล แผ่นน้ำปั่นป่วนด้วยซากปรักหักพัง ซากเรือที่คุ้นตา ใช่...นั่นคือเรือที่พวกเขากำลังโดยสาร!


สายตาของโมนีก้าเบิกกว้าง ร่างเพื่อน ๆ ของเธอนอนกระจัดกระจายไปทั่วผิวน้ำราวกับตุ๊กตาที่ถูกฉีกขาด เลสเตอร์นอนอาบเลือดอยู่บนพื้นไม้เรือที่กำลังแหลกสลาย ดวงตาสีฟ้าเบิกโพลงมองมาที่เธอด้วยความว่างเปล่า วินเซนโซนอนในสภาพบิดเบี้ยวสยดสยองจนแทบจำไม่ได้ อิซิเลียถูกแยกชิ้นส่วนฉีกเป็นสองส่วน กระจายไปคนละทิศ ฮารุโตะมีเพียงร่างที่ยังชุ่มเลือดสดที่ไร้ศีรษะ ลูคัสที่เหลือเพียงท่อนล่างที่จมครึ่งหนึ่งลงในทะเลเลือด


“ไม่...ไม่นะ...” โมนีก้าแทบจะอาเจียนออกมากับภาพตรงหน้า หัวใจบีบรัดจนหายใจไม่ออกเธอสำลักความรู้สึกอาเจียนและความบ้าคลั่ง


ทว่าท่ามกลางศพเหล่านั้นท่ามกลางความวิปโยคที่น่าหวาดหวั่น เธอกลับเห็นร่างของใครบางคนยืนอยู่กลางกองเลือด ผมสีม่วงครามสะท้อนแสงครามันยะเยือก...ใช่ เธอรู้ทันทีมันคือเธอเองโมนีก้าอีกคน


เงาร่างนั้นหันช้า ๆ มาทางเธอ ใบหน้าซีดเผือดแห้งเหี่ยวราวซากศพที่ไร้วิญญาณ ดวงตาขุ่นมัวเหมือนตายไปแล้ว แต่กลับจ้องเธอราวกับกำลังสะกดจิต และในวินาทีนั้น ร่างซากศพของเธอค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ เสียงแตกพร่าแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากที่เน่าเปื่อยแห้งกรัง


“...ระวัง...” เพียงคำเดียว แต่ชัดเจนและหนักแน่นเกินกว่าจะเป็นเพียงเสียงลม


ซากศพนั้นก้าวเข้ามาใกล้...ใกล้ขึ้นทุกที จนเธอเห็นรายละเอียดของแผลฉีกและผิวหนังที่ลอกหลุดออกมาทีละชิ้น ดวงตาที่ไร้แสงทอประกายสีดำสนิทเหมือนดวงอาทิตย์ในฝัน เมื่อมันเอื้อมมือมาเกือบจะสัมผัสใบหน้าของเธอ


โมนีก้าสะดุ้งเฮือก!


เธอผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงในห้องพักของตนเอง เหงื่อเย็นไหลอาบไปทั่วแผ่นหลังและหน้าผาก หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสีเทาเงินมืดหม่นด้วยความหวาดผวา แม้จะตื่นแล้ว แต่เสียงสรรเสริญและภาพซากศพยังคงก้องสะท้อนอยู่ในหู ราวกับฝันนั้นไม่ใช่ฝัน แต่เป็นคำเตือนจริง ๆ ที่จะกัดกินเธอไปอีกนาน


ชั่วพริบตาโมนีก้ารีบรุดไปที่ห้องน้ำภายในห้องนอนทันที "แหวะะ... ฮึ่ก! แอ๊ก..." เสียงอ้วกกระแทกและไอแหบพร่าของโมนีก้าดังก้องไปทั่วห้องน้ำเล็ก ๆ ของห้องพัก เธอแทบไม่อาจควบคุมร่างกายได้ มือข้างหนึ่งเกาะขอบอ่างล้างหน้าแน่นจนเล็บแทบจะหัก อีกข้างกดท้องที่หดเกร็งไม่หยุด เหงื่อเย็นไหลเป็นสายทั่วผิวซีดขาวจนใบหน้าสวยสดใสในยามปกติกลับซีดเผือดเหมือนกระดาษ น้ำตาไหลพรากผสมกับเส้นผมสีม่วงครามที่เปียกชื้นติดแก้ม ร่างกายสั่นระริกเหมือนคนถูกลากลงไปในฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“เกิดอะไรขึ้น!!”


เสียงประตูถูกผลักเปิดออกแรง ๆ ฮารุโตะวิ่งเข้ามาก่อน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตระหนก ดวงตาสีเขียวสั่นระริกทันทีที่เห็นสภาพเพื่อนสาวที่นั่งทรุดอยู่กับอ่างล้างหน้า เลือดจาง ๆ ผสมกับน้ำลายและเศษอาเจียนไหลเลอะตามมุมปากของเธอ “โมนีก้า!” เสียงเขาสั่น เขารีบพุ่งตัวไปนั่งข้าง ๆ ยกมือขึ้นลูบหลังเธอเบา ๆ ด้วยความอ่อนโยนพยายามให้เธอหายใจคลายจากอาการเกร็ง


และไม่นานเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามา เลสเตอร์ ที่ควรจะยังหลับอยู่กลับปรากฏขึ้นตรงประตู เขามองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาสีฟ้าที่เบิกกว้าง น้ำเสียงที่เคยเย่อหยิ่งและร้อนรนกลับกลายเป็นจริงจังและสั่นเครือ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น...” เขาก้าวเข้ามาแทบจะทันที ทิ้งท่าทีโอ้อวดทั้งหมดแล้วคุกเข่าลงข้าง ๆ ฮารุโตะ


"แค่กๆ! แอ๊ก... ฮึก"  โมนีก้าพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่หลุดออกมามีแต่เสียงไอและน้ำตา เธออาเจียนออกมาอีกระลอกหนึ่ง เส้นเลือดฝอยในลำคอที่แตกทำให้เลือดสีแดงสดไหลปนออกมากับน้ำย่อย กลิ่นคาวทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียด ฮารุโตะใจแทบขาดที่เห็นแบบนั้น เขารีบหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่เช็ดปากและเช็ดเหงื่อให้เธอพลางพูดด้วยเสียงสั่น “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ตรงนี้...หายใจลึก ๆ โมนีก้า หายใจ!”


เลสเตอร์เองถึงจะยังอ่อนแรงจากการหลับยาว แต่เขายื่นมือเข้ามาจับไหล่ของเธอแน่นเหมือนต้องการถ่ายแรงใจทั้งหมดไปให้ “ฟังนะ โมนีก้า...เธอไม่เป็นอะไร เข้าใจไหม” น้ำเสียงจริงจังนั้นแม้จะยังมีร่องรอยความทะนงอยู่แต่ชัดเจนว่ามันเต็มไปด้วยความห่วงใย โมนีก้าตาแดงก่ำตอนได้ยินแบบนั้นน้ำตาไหลอาบแก้ม เธอสั่นหัวแรง ๆ แต่พูดอะไรไม่ออก เสียงสะอื้นกับเสียงหอบหายใจขาดห้วงดังสลับกันเหมือนคนใกล้จะขาดใจ 


ฮารุโตะรีบล้วงหยิบขวดน้ำมาล้างปากเธออย่างระมัดระวัง มือของเขาสั่นไม่ต่างจากหัวใจที่กำลังเต้นรัว “เลสเตอร์เธอไม่ไหวจริง ๆ นะ ต้องให้พักใช่ไหม ต้องให้ใครสักคนช่วยหรือเปล่า” ภาพที่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ซึ่งปกติยิ้มสดใส กำลังร้องไห้สะอื้นอ้วกไม่หยุดน้ำตาและเลือดเปื้อนปากเลอะจนเสื้อผ้าเปรอะเปื้อน ทำเอาเลสเตอร์ถึงกับยืนนิ่งค้างไปชั่วขณะ หัวใจเขาเหมือนถูกบีบจนแทบขาด เขารู้ว่าเธอต้องเจออะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ ๆ


ไม่นานหลังจากนั้นก็ไร่ซึ่งเสียงอ้วกในห้องพร้อมกับเสียงเค้นคอเพื่ออาเจียนหนัก ในความเงียบอันหนักอึ้งหลังเสียงสะอื้นและเสียงอ้วกที่เพิ่งสงบ โมนีก้ายืนพิงอ่างล้างหน้า ร่างกายสั่นสะท้าน ผมสีม่วงครามของเธอเปียกชื้นแนบแก้ม ใบหน้าซีดเผือกเหมือนคนไร้ชีวิต เธอพยายามหายใจเข้าลึก ๆ แต่ลมหายใจกลับสั้นและสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เธอล้างปากแปรงฟันจนสะอาดแล้วเงยหน้าสบตากับเงาตัวเองในกระจก ตาสีเงินที่ปกติส่องประกายสดใสตอนนี้กลับแดงก่ำพร่ามัวด้วยน้ำตา


เลสเตอร์ยืนอยู่ข้างหลัง มองเธอด้วยสายตาที่ไม่ค่อยได้เปิดเผยให้ใครเห็นความห่วงใยที่แทบจะกลายเป็นโทษทัณฑ์สำหรับตัวเขาเองหลังจากตื่น เขายกมือขึ้นแตะแขนเธอเบา ๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยกับฮารุโตะ “ใจเย็นก่อน ให้เธอหายใจสักหน่อย” จากนั้นจึงหันไปบอกเสียงหนักแน่น “ไปทำซุปไก่อุ่น ๆ มาเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ฉันดูเอง”


ฮารุโตะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้ายอมเดินออกไป แม้จะหันกลับมามองด้วยความห่วงไม่วางใจอยู่หลายครั้งก็ตามเพราะเขารู้ว่าเลสเตอร์น่าจะสนิทกับโมนีก้ามากกว่าตนเอง


เมื่อเหลือกันเพียงสองคน โมนีก้าหันกลับมาช้า ๆ ดวงตาของเธอสั่นระริกเหมือนเด็กหลงทางกลางความมืดที่ไร้แสงนำทาง โมนีก้าเห็นภาพใบหน้าของเลสเตอร์แล้วภาพในฝันที่แสนโหดร้ายก็ซ้อนทับมาอีกครั้ง เธออ้าปากเหมือนจะบอกเลสเตอร์สิ่งที่ติดอยู่ในใจ ภาพฝันร้ายที่ชัดเจนเกินไปจนเธอแทบไม่อยากเอ่ย แต่ทันทีที่เสียงติดคอ เธอพูดได้เพียงคำสั้น ๆ ที่แตกหักเหมือนแก้วร้าว


“ฉัน…กลัว” 


คำพูดนั้นพรั่งพรูออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงเงียบ ๆ ลงบนแก้ม ความเงียบโอบล้อมทั้งห้องราวกับทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ เสียงเครื่องยนต์ของเรือที่แล่นฝ่าคลื่นยังดังอยู่ไกล ๆ แต่กลับไม่อาจลบความอ้างว้างในใจเด็กสาวได้


แววตาสีฟ้าเข้มของเลสเตอร์ที่เคยเย่อหยิ่งตอนนี้กลับอ่อนลงอย่างไม่คุ้นตา เขาไม่ได้พูดอะไรเกินจำเป็น เพียงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มเธอออกด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไร…เธอยังอยู่ตรงนี้ ฉันยังอยู่ตรงนี้” เขาไม่ได้สัญญาอะไรฟังดูยิ่งใหญ่ ไม่ได้พูดว่าจะปกป้องโลกหรือท้าทายชะตา เขาเพียงบอกอย่างเรียบง่าย แต่ในความเรียบนั้นกลับหนักแน่นพอจะทำให้หัวใจเด็กสาวที่สั่นสะท้านได้พักหายใจอีกครั้ง


โมนีก้าตัวสั่น เธออยากเล่า อยากระบายสิ่งที่เห็น แต่เพียงสบตาของเลสเตอร์ ความจริงอันน่าสยดสยองกลับติดคอ ไม่อาจกลั่นออกมาได้เธอได้แต่พึมพำเบา ๆ ซ้ำไปมา “กลัว…กลัว…จริง ๆ นะ” เลสเตอร์ไม่ได้เร่งรัด ไม่ถามให้เธอต้องฝืนบอกสิ่งที่ยังไม่พร้อม เขายกผ้าสะอาดขึ้นซับเหงื่อที่ซึมออกมาบนหน้าผากเธอ แล้วพยุงโมนีก้ามานั่งที่เตียงอย่างช้า ๆ ก่อนจะย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับเธอ ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงสีหน้าโอหังหรือยียวนเหมือนปกติ แต่กลับเต็มไปด้วยความตั้งใจจริง เขามองเธอที่กำลังหอบหายใจแรง ๆ ราวกับพยายามระบายสิ่งที่ติดค้างอยู่ในอกออกมา


โมนีก้าใช้เวลาสักพักในการพักหายใจและทำใจก่อนจะเริ่มพูดเสียงสั่น “ฉันฝันร้าย… ฝันว่าทุกคนตายหมดเลย ฉันเห็นศพ…ศพที่น่ากลัว ฉันเห็นทุกคนเป็นศพกันหมด…” น้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง เลสเตอร์ขยับมือขึ้นแตะไหล่เธอทันทีที่เห็นว่าโมนีก้าไม่ไหว “พอแล้ว ไม่ต้องเล่าต่อแล้ว” น้ำเสียงเขาไม่ได้แข็งกระด้าง แต่เป็นการตัดบทเพื่อปกป้องเธอจากการจมลึกลงไปในความกลัว


ทว่าความอึดอัดที่ค้างอยู่ในอกทำให้โมนีก้าเอ่ยต่อ “ฉันกลัว…กลัวอะไรที่มันเละ ๆ น่ากลัว…กลัวผีด้วย ตอนฉันเห็นภาพนั้นมันเหมือนความกลัวทั้งหมดในตัวฉันถาโถมมาในทีเดียว…กลัวจนไม่รู้จะทำยังไง…” เด็กสาวกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาสีเงินพร่ามัวไปด้วยน้ำตา เธอหันหน้าหนีเล็กน้อยเหมือนไม่อยากให้เขาเห็นสีหน้าอ่อนแอของเธอตอนนี้


เลสเตอร์ถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบแต่แฝงอารมณ์ขันเล็กน้อย “ให้ตายเถอะ ฉันเพิ่งตื่นขึ้นมาแล้วมาเจอเธออ้วกแตกหน้าเละ แถมเล่าเรื่องผีใส่อีก โชคดีจังที่ชีวิตฉันตื่นมาเจออะไรแบบนี้” โมนีก้าหันขวับมามองเขาทันทีด้วยสีหน้าไม่พอใจ หน้างอจนแก้มป่อง เธอรู้ว่าเขาตั้งใจแซวเพื่อเบี่ยงอารมณ์แต่ก็อดไม่ได้ที่จะงอนจริง ๆ


เลสเตอร์เห็นแบบนั้นก็ยักคิ้วให้พร้อมหัวเราะเบา ๆ “เอาน่า ฉันไม่ได้ล้อเธอจริงจังหรอก แต่ถ้าเธอกลัวนัก ฉันก็จะอยู่ตรงนี้ไง” เขาพูดพลางขยับตัวนั่งใกล้ขึ้นเล็กน้อย “ฝันมันก็เป็นแค่ฝัน อย่าให้มันมามีอำนาจเหนือเธอได้จริง ๆ สิ” โมนีก้ายังคงหน้างอใส่เขาแต่สายตาเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย ความตลกร้ายที่เขาใช้บรรเทาความกลัวแม้จะไม่ได้ช่วยให้เธอสบายใจทั้งหมด แต่ก็ทำให้บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อครู่คลายลงบ้าง เธอสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง พยายามกดความสั่นสะท้านในใจให้สงบลงช้า ๆ ข้าง ๆ เลสเตอร์ที่ยังคงนั่งเฝ้าไม่ยอมไปไหน


เด็กสาวยังคงหายใจแรงใบหน้าซีดจัดแต่ก็พยายามบังคับให้ร่างกายสงบลง มือเล็ก ๆ ยังสั่นเบา ๆ ขณะที่ยกขึ้นเช็ดหยดน้ำตาออกจากหางตา "ตอนนี้กี่โมงแล้ว" เสียงของเธอสั่นพร่าแต่ก็พยายามถามอย่างมีสติ


"ประมาณตีสอง" เลสเตอร์ตอบพลางยกคิ้วเล็กน้อย "ฉันเพิ่งตื่นน่ะ ก่อนหน้านี้ฮารุโตะเล่าว่าในห้าวันที่ฉันหลับไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วพอได้ยินเสียงอ้วกของเธอ เราก็รีบพุ่งมาที่นี่เลย" พอได้ยินแบบนั้นโมนีก้าก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะถามเสียงเบา "แล้วนายล่ะ อาการเป็นยังไงบ้าง" น้ำเสียงเธอเปี่ยมด้วยความห่วงใยจนปิดไม่มิด


"ห่วงฉันเหรอ" เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ แกล้งทำเป็นไม่จริงจังถามโมนีก้า

"ถ้ายังพูดกวนอีก ฉันจะไม่ถามแล้วนะ" เด็กสาวชักสีหน้าทันทีที่โดนอีกฝ่ายกวน


"โอเค ๆ ยอมแล้ว" เขายกสองมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ แต่รอยยิ้มยังปรากฏบนใบหน้า "ฉันดีขึ้นแล้วล่ะ นอนเต็มอิ่มเหมือนเพิ่งชาร์จพลังจนเกินร้อย ขอบคุณนะ ตั้งแต่ช่วยฉันตามหาเพื่อนถ้าไม่ได้เธอ…ฉันคงไม่มีทางได้เห็นพวกเขาปลอดภัยครบทุกคนแบบนี้" โมนีก้าขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่คุ้นกับคำพูดจริงใจแบบนี้จากเขาเลย คิดพลางเอื้อมมือขึ้นบีบแก้มเขาทั้งสองข้างแล้วยืดแรง ๆ “ตรวจเช็คก่อน เผื่อเป็นผีปลอมตัวมาหลอกฉัน”


“เฮ้ เดี๋ยวหน้าหล่อ ๆ ของฉันเสียรูปหมด” เขาพูดอู้อี้เพราะแก้มโดนดึง ก่อนที่เธอจะยอมปล่อย รอยยิ้มที่แวบขึ้นในดวงตาของเขาไม่ใช่แค่ขี้เล่น แต่เต็มไปด้วยความโล่งใจที่ได้เห็นเธอหัวเราะออกมาบ้าง


“ก็คือหล่อได้แค่นี้ชะ?” โมนีก้าเอ่ยแรงจัดแล้วถลึงตาใส่เลสเตอร์เพราะเธอเจอคนหล่อกว่านี้เยอะเป็นกอง โมนีก้าเบือนหน้าออกเล็กน้อย แต่เสียงสั่นยังคงมีอยู่ในลมหายใจ “ฝันร้ายนั่นมัน…ชัดเกินไป ฉันเห็นทุกคนเป็นศพหมดเลย เหมือนกับทุกความกลัวของฉันมันถาโถมพร้อมกัน ฉันกลัวจริง ๆ กลัวมาก” เลสเตอร์มองเธอนิ่ง ๆ เห็นดวงตาของโมนีก้าเขาก็รู้แล้ว แววตาสีฟ้าเข้มของเลสเตอร์ไม่มีร่องรอยเยาะเย้ย “เธอไม่จำเป็นต้องพูดต่อก็ได้ แค่รู้ว่าเธอกำลังกลัวจริง ๆ มันก็พอแล้ว” เขาหยุดไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยต่อ “แต่อย่าลืมว่าตอนนี้ไม่ใช่ฝันนะ”


บรรยากาศเงียบลง มีเพียงเสียงเครื่องยนต์เรือเบื้องล่างที่ดังสม่ำเสมอ เด็กสาวกัดริมฝีปากแต่ก็พยักหน้าเบา ๆ ไม่นานฮารุโตะก็มาเพื่อที่จะเสิร์ฟซุปไก่หอม ๆ อร่อย ๆ ก่อนขยับตัวยื่นให้กับทางโมนีก้าอย่างเงียบ ๆ “ร้อนระครับระวังด้วย” เธอเอื้อมมือไปแตะซุปที่ฮารุโตะส่งมาให้ กลิ่นไก่อบอวลขึ้นทันที ความอุ่นของมันเหมือนกำลังกลืนเอาความสั่นในอกไปทีละน้อย


เลสเตอร์ยกมือขึ้นพาดเข่าของตนเองระหว่างมองโมนีก้าดื่มซุปเขามองเธออย่างจริงจัง “จำไว้นะ เธอไม่ต้องแบกภาพพวกนั้นไว้คนเดียว ทุกครั้งที่มันกลับมา ฉันจะนั่งตรงนี้จะดึงเธอกลับมาเอง” โมนีก้าเงียบไปชั่วครู่ แต่ในที่สุดก็ยอมยกช้อนขึ้นชิม รสชาติอุ่น ๆ ทำให้สีหน้าที่ซีดเผือกดูดีขึ้นเล็กน้อย เธอเหลือบตาขึ้นมองเขาแล้วพึมพำแผ่วเบา


“ดีใจที่นายตื่นแล้วนะ เลสเตอร์”

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ตื่นแบบมึน ๆ แล้วก็ต้องมาปลอบโมนีก้าเพราะฝันร้ายเนี้ยนะ ก็ได้อยู่แหละ

avatar

Moneka M. Blossom

โมนีก้าฝันร้าย ดวงอาทิตย์สีดำ? คนบนบัลลังค์นั้นใครกันนะ


[อยู่ระหว่างการเดินทาง]

[ระยะทางที่เดินทางไปแล้ว 1,080 ไมล์ทะเล]

avatar

Vincenzo Bergamotto

นอน

avatar

Icilia Dominicus

ขับเรือ

avatar

Lucas Aquinas

นอน

avatar

Haruto Higa

อยู่ห่าง ๆ แบบเห่วง ๆ 

[GOD-32-2] อควิลอน

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปรานของเทพ +25


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 109574 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-4 02:51
โพสต์ 109,574 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-4 02:51
โพสต์ 109,574 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-4 02:51
โพสต์ 109,574 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-4 02:51
โพสต์ 109,574 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-10-4 02:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-4 09:16:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-4 11:16

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 35 : afterglow กับ สัญญา
วันที่ 26-29 เดือน กันยนยา ปี 2025
เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง ท่าเรือมอนทรีออล เมืองควิเบก รัฐเกแบ็ก แคนาดา มุ่งหน้าสู่ ท่าเรือชิวิตาเวกเกีย โรม อิตาลี

             แดดยามกลางวันที่ทอดตัวไม่สิ้นสุดคลุมผิวทะเลจนระยิบระยับสะท้อนเข้าตา โมนีก้านั่งอยู่บนเก้าอี้อาบแดดบน Sun Deck ชั้นบนสุดของเรือ ลมทะเลพัดอ่อน ๆ จนปลายผมสีม่วงครามพลิ้วกระจายไปรอบใบหน้าขาวซีดแต่ดูอ่อนเยาว์ ดวงตาเทาเงินทอดมองฟ้าไกลราวกับจะข่มใจตนเองให้ผ่อนคลายหลังจากฝันร้ายเมื่อคืน แม้เธอจะไม่เคยชอบที่ต้องเผชิญกับแสงกลางวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในเขตละติจูดเหนือเช่นนี้ แต่วันนี้กลับยอมให้น้ำหนักของแสงตะวันกดทับลงมาอย่างเงียบงัน เพราะมันให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่าความมืดที่เธอเผชิญมาในฝัน


             เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากบันไดด้านข้างก่อนที่ร่างสูงของลูคัส อควินัส จะก้าวเข้ามา เขาสวมเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมสองเม็ดด้านบน แขนเสื้อพับขึ้นครึ่งท่อน พาดสายตาคมสีน้ำเงินเข้มไปยังโมนีก้าที่นั่งพิงเบาะราวกับกำลังแช่ตัวอยู่ในแดดมากกว่านั่งเล่น “ไม่คิดว่าจะเห็นเธอออกมานอนรับแดดแบบนี้นะ” น้ำเสียงเรียบแฝงความแปลกใจ เพราะตลอดการเดินทางโมนีก้าแทบไม่ชอบแสงแดดเท่าไรเลยเธอชอบอยู่ในห้องมืด ๆ เวลากลางคืนเพราะบอกว่าชอบที่มันเหมือนกลางคืนที่สุด


             โมนีก้าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองคนที่เข้ามาทัก ดวงตาที่เหมือนจะเหนื่อยล้าแต่ก็ยังฉายแววอบอุ่น เธอยิ้มบาง ๆ แล้วหัวเราะเบา “แต่ก่อนฉันเกลียดสุด ๆ เลยนะ ที่มันกลางวันตลอด 24 ชั่วโมง รู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้…” เธอทอดสายตามองไปยังขอบฟ้า ไหล่เล็กสั่นไหวเล็กน้อยเหมือนปล่อยลมหายใจยาวที่กดทับในอก “ตอนนี้กลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาลึก ๆ เหมือนมันช่วยกลบความคิดในหัวฉันไปได้บ้าง”


             ลูคัสยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ชั่วครู่ เขาไม่ใช่คนที่แสดงออกเก่งนักแต่แววตาก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว เขาดึงเก้าอี้อีกตัวมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ หันหน้าออกไปทางทะเลที่แสนกว้างใหญ่เช่นกัน


             โมนีก้าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “แค่ตอนนี้เท่านั้นนะ เดี๋ยวช่วงอื่นฉันก็ยังไม่ชอบเหมือนเดิม” เธอยิ้มเจื่อน ๆ แต่เสียงหัวเราะสั้น ๆ หลุดตามมาเหมือนพยายามกลบเกลื่อนบรรยากาศที่ยังติดค้างจากความฝันเมื่อคืน “ในฝัน…ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท แล้วดวงอาทิตย์ก็กลายเป็นสีดำด้วย เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะดับแสง ทุกคนตายหมดอบบสยองขวัญด้วย ฉันตื่นมาแล้วใจยังสั่นไม่หาย”


             ลูคัสหันหน้ามองเธอเต็ม ๆ ดวงตาคมกระทบเข้ากับความเปราะบางที่เธอไม่ค่อยยอมเผยออกมา “มันอาจไม่ใช่แค่ความฝัน” เขาพูดช้า ๆ นิ่งแน่วตามแบบของนักรบ “ถ้า LoNex กำลังพยายามสร้าง Black Sun อย่างที่พวกเธอเคยบอกก็ไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกถึงมันได้ตั้งแต่ตอนนี้” คำพูดนั้นทำให้โมนีก้าหันมามองเขาทันที แววตาสีเงินไหวระริกแต่ก็ฉายประกายจริงจัง “นั่นสิ ฉันก็คิดแบบนั้น ฝันมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ มันเหมือนเสียงในหัวพยายามเตือน ฉันกลัวนะแต่ก็ต้องพูดออกมา”


             เสียงสนทนาเงียบไปครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงลมพัดผ่านระหว่างทั้งคู่ ลูคัสเอนกายพิงพนักของเก้าอี้ที่หยิบมาหยิบดาบสั้นโรมันที่วางพาดข้างตัวขึ้นมาเช็ดผ้าอย่างใจเย็น “ความกลัวไม่ใช่ความอ่อนแอหรอก” เขาเอ่ยเรียบ ๆ “มันคือสิ่งที่ทำให้เรามีสติและเตรียมพร้อมต่อสู้ได้ดียิ่งขึ้น”


             โมนีก้าเผลอหัวเราะในลำคอ “พูดซะเหมือนคนเตรียมใจตลอดเวลาเลยนะคะ”


             “เพราะฉันเป็นลูกเทพแห่งสงครามไง” ลูคัสเลิกคิ้วตอบกลับแบบไม่ลังเล เสียงของเขาติดดุเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพื่อตำหนิกลับทำให้โมนีก้ารู้สึกมั่นคงมากกว่าที่จะกลัว


             ในช่วงเย็น โมนีก้าช่วยฮารุโตะที่ทำอาหารอยู่วันนี้ฮารุโตะกะว่าจะทำอาหารชุดใหญ่เพราะเลสเตอร์พึ่งตื่นเราจะพักกันให้กำลังใจและทบทวนแผนกันสักหน่อย กลิ่นหอมของเนยที่กำลังละลายบนกระทะผสมเข้ากับกลิ่นเครื่องเทศที่ฮารุโตะคัดสรรมาอย่างดี เสียงฉ่า ๆ ของสเต็กปลาสดที่ลงไปโดนความร้อนดังแข่งกับเสียงคลื่นกระทบลำเรือเบื้องล่าง โมนีก้ายืนข้าง ๆ ฮารุโตะช่วยหยิบจับเครื่องปรุง จัดจาน และยื่นวัตถุดิบให้ตามที่เขาขอ เธอยิ้มบาง ๆ แม้ดวงตายังมีร่องรอยความอ่อนล้าจากฝันร้ายเมื่อคืนแต่การได้ช่วยในครัวทำให้หัวใจเธอผ่อนคลายลงบ้าง


             "ขอบคุณนะครับโมนีก้า" ฮารุโตะพูดพลางใช้ตะหลิวพลิกสเต็กให้สุกทั่ว "พอมีคนช่วยแล้วมันไวขึ้นเยอะเลย แถมผมอยากทำมื้อนี้ให้พิเศษหน่อย เลสเตอร์พึ่งตื่นมันควรเป็นเหมือนงานเลี้ยงต้อนรับกลับมา"


             เด็กสาวผมม่วงครามหัวเราะเบา ๆ "ก็จริงแหละค่ะ อาหารมันช่วยให้ทุกคนลืมเรื่องแย่ ๆ ได้บ้าง อย่างน้อยก็ชั่วคราว" เธอหยิบสมุนไพรที่เตรียมไว้โรยหน้าปลาย่าง ก่อนจะหันไปมองถาดอาหารทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เลสเตอร์ตกมาได้และบางส่วนที่ดึงจากสต็อกในตู้เย็น ทั้งหมดถูกจัดเรียงสวยงามราวกับงานเลี้ยงริมชายฝั่งหรูหรา


             ไม่นานนัก วินเซนโซก็เดินขึ้นมาที่ดาดฟ้าพร้อมแก้วกาแฟในมือ กลิ่นเข้มข้นอบอวลรอบตัวเขา เขาเหลือบตามองโต๊ะอาหารที่กำลังถูกจัดเรียงด้วยคิ้วยกสูง "โอ้โห พวกเธอสองคนเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ นี่มันไม่ใช่มื้อเย็นธรรมดาแล้วนะ มันเหมือนเลี้ยงรับรองแขกวีไอพีเลย"


             "ก็เลสเตอร์นอนเหมือนคนตายมาตั้งหลายวัน" อิซิเลียที่ก้าวตามขึ้นมาพร้อมหัวกะโหลกอลันที่ห้อยอยู่บนแขนข้างหนึ่งเอ่ยเสียงเรียบ "ถ้าไม่จัดใหญ่หน่อยก็คงน่าเบื่อไป" เธอวางตัวลงบนเก้าอี้ราวกับราชินีในคราบเด็กสาว ดวงตาสีเทาหม่นมองโต๊ะอาหารด้วยท่าทีที่ทำให้ทุกอย่างเหมือนอยู่ในการตรวจสอบ


             ลูคัสก้าวตามมาทีหลัง เขายกเก้าอี้ออกจากโต๊ะอย่างแข็งแรงแล้วช่วยจัดวางให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง “อย่างน้อยก็ได้กินก่อนมีศึกใหญ่ก็ยังดี” เขาพูดด้วยเสียงมั่นคง พลางเหลือบไปมองเลสเตอร์ที่กำลังเดินขึ้นมาช้า ๆ ใบหน้าของเขายังซีดนิดหน่อยแต่ดวงตาสีฟ้ากลับดูมีประกายกว่าก่อนหน้านี้ ทุกคนล้อมวงบนโต๊ะอาหารริมบาร์ชั้นบน เสียงหัวเราะ เสียงถกเถียง เสียงเก้าอี้เลื่อนกระทบพื้นไม้ผสมกันจนอบอุ่นกว่าที่เคย 


             แต่ในขณะเดียวกันท้องฟ้าที่ปกติแล้วสว่างไสวตลอดทั้งวันกลับเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นโทนสีเข้มทีละน้อย เงามืดบางเบาเลื่อนมาปกคลุมขอบฟ้า เสมือนเวลาค่ำที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โมนีก้าเป็นคนแรกที่สังเกต เธอหยุดมือที่กำลังตักกุ้งใส่จานแล้วเงยหน้าขึ้น ดวงตาเทาเงินเบิกเล็กน้อย "ทุกคน…ดูท้องฟ้าสิ"


             บทสนทนาทั้งหมดหยุดลงพร้อมกัน สายตาของเหล่าเดมิก็อดหันไปทางเดียวกัน ความเงียบเข้าปกคลุมแม้แต่เสียงคลื่นก็เหมือนจะช้าลง วินเซนโซขมวดคิ้วพึมพำ "ไม่น่าใช่เรื่องดีแน่ ๆ …ที่ฟ้ามืดลงแบบนี้" เขายกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ดวงตาคมทอดมองท้องฟ้าที่ค่อย ๆ คลายแสงสีทองออกเป็นม่านสีเทาเข้มราวกับพลบค่ำที่ไม่เคยมีใครเห็นมาตลอดปีที่ผ่านมา แต่เลสเตอร์ที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างกลับจับสังเกตุได้


             ร่างเล็กของโมนีก้านั้นแข็งค้าง ตั้งแต่ที่เห็นท้องฟ้าเริ่มมืดลงและยิ่งคำนั้นของวินเซนโซเหมือนคำพูดนั้นไปสะกิดภาพฝันร้ายเมื่อคืนที่ยังสดใหม่เกินไปในความทรงจำ แววตาสีเงินซีดลงอย่างเห็นได้ชัด และภาพเรือที่ล่มกลางท้องทะเลเต็มไปด้วยร่างเพื่อนที่ไร้วิญญาณผุดขึ้นมาอีกครั้งในหัว เธอเหมือนหลุดหายไปในภวังค์ หายใจติดขัดส้อมที่ถืออยู่แทบจะร่วงจากมือ


             ทว่า ก่อนที่เธอจะจมดิ่งลงไปมากกว่านี้ มืออุ่นข้างหนึ่งก็มาสัมผัสที่หลังมือของเธอ เป็นมือของเลสเตอร์ที่เขาใช้ดวงตาสีฟ้าเข้มจับจ้องใบหน้าเธออย่างจริงจัง เขาเรียกสติด้วยเสียงต่ำแต่หนักแน่น “โมนีก้า มองฉันสิ ไม่ต้องกลัวมันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด” เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยจากคพำนั้น คล้ายเพิ่งดึงตัวเองออกมาจากน้ำเย็นจัด เธอหันมามองเขาแววตายังพร่าซีดเผือด แต่ก็มีชีวิตชีวากลับมาเพราะเสียงเรียกนั้น


             เลสเตอร์หันไปยังเพื่อน ๆ คนอื่นที่มองมาอย่างเคร่งเครียด เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยในแบบฉบับที่ชอบทำ แม้สถานการณ์ไม่ปกติ “อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไป วินเซนโซ ฉันเดาว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอก น่าจะเป็นฝีมือเทพเวสเปอร์มากกว่า” เขาเอนหลังเล็กน้อยราวกับเล่าเรื่องที่เตรียมมาแล้ว “ถ้าฉันเดาไม่ผิด เขาคงสละพลังบางอย่างเพื่อทำให้พลบค่ำกลับมาอยู่ยาวขึ้น เห็นมั้ย ฟ้าไม่ได้มืดสนิทมันแค่กลายเป็นพลบค่ำ”


             อิซิเลียที่นั่งไขว่ห้างอยู่ปลายโต๊ะเลิกคิ้วสูง “เวสเปอร์งั้นเหรอ...ถ้าใช่จริง นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบปีที่โลกมีค่ำคืนกลับมา” น้ำเสียงเธอเย็นแต่แววตาเป็นประกายราวกับกำลังคำนวณผลลัพธ์ใหม่ในสมอง ลูคัสปล่อยลมหายใจยาวร่างสูงสง่าแบบนักรบของเขาเอนตัวพิงเก้าอี้ “ถ้าเป็นอย่างที่เลสเตอร์พูดจริง อย่างน้อยนี่ก็ไม่ใช่ลางร้ายของ LoNex สินะ” เขาพูดด้วยโทนจริงจังแฝงความโล่งใจ


             ฮารุโตะที่วางผ้าเช็ดปากลงข้าง ๆ ก็พยักหน้าหงึก “แบบนี้พวกเราก็จะได้มีเวลาพักผ่อนจริง ๆ เสียทีสิ ใช่ไหมครับ? ตลอดมาเจอแต่กลางวันที่ยาวนานจนร่างกายสับสนเรื่องนาฬิกาชีวิตมาตลอดเลย...ฟังดูดีออกนะครับ” 


             เมื่อทุกคนบอกแบนั้นโมนีก้าที่ในที่สุดก็ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา เธอมองท้องฟ้าสีม่วงหม่นแล้วกระซิบเบา ๆ “ครั้งแรก...ที่ได้เห็นท้องฟ้าสลัวจริง ๆ ในรอบปีสินะ” เสียงนั้นปนทั้งความกลัวและความตื่นเต้นในคราวเดียว เลสเตอร์หันกลับมามองเธออีกครั้ง ยักไหล่ก่อนจะแกล้งพูดต่อ “ไม่ต้องกังวลไปหรอก โมนีก้า พลบค่ำแบบนี้คงจะยาวหน่อย อาจลากไปถึงตีสองตีสามทุกวันด้วยซ้ำ เทพเวสเปอร์คงหมดพลังไปเยอะเลย...พอกลับค่ายเมื่อไหร่คงต้องหาทางบูชาเขาให้สมเกียรติหน่อยล่ะนะ”


             ประโยคนั้นทำให้บรรยากาศรอบโต๊ะเปลี่ยนไปจากความตึงเครียดสู่ความโล่งใจที่ทุกคนสัมผัสได้ เสียงหัวเราะเบา ๆ ของวินเซนโซดังขึ้นเป็นคนแรก ตามมาด้วยฮารุโตะที่ยิ้มกว้างราวกับเด็ก “ถ้างั้นคืนนี้พวกเราจะได้กินข้าวใต้แสงดาวสินะครับ”


             ช่วงเวลากลางคืนที่เป็นพลบค่ำของวันเมื่อทุกคนแยกย้ายตอนนี้โมนีก้าอยู่ตรงดาดฟ้าชั้นบนลมเหนือพัดแนบแก้ม กลิ่นเกลือจากแอตแลนติกเหนือค่อย ๆ ละลายแสงสุดท้ายจนผืนฟ้าพลบค่ำกลายเป็นผ้ากำมะหยี่สีครามเข้ม ชั้นดาดฟ้าสูงสุดเงียบพอให้ได้ยินเสียงเครื่องเรือฮัมต่ำ ๆ โมนีก้ายืนพิงราวเหล็ก มองเส้นขอบน้ำที่ยังเก็บประกายส้มไว้บาง ๆ ราวแสงเทียนปลายพิธี ฝีเท้าเบา ๆ ของเลสเตอร์ดังขึ้นข้างหลัง คุ้นจนไม่ต้องหันหลังกลับไปดู โมนีก้ายิ้มก่อนที่เขาจะพูดเสียอีก


             “ไม่ได้เห็นฟ้ามืด ๆ แบบนี้มาตั้งปีหนึ่ง…คิดถึงไหม” น้ำเสียงเขากึ่งล้อกึ่งจริง แต่มีอุ่นแฝงลึก


             “คิดถึงมาก” เธอตอบง่าย ๆ แล้วหันมองเขา แววตาใสซื่อแบบคนกำลังอารมณ์ดี “แล้วรู้ไหม ตอนนี้ฉันคิดถึงอะไร” เลสเตอร์เอนศอกกับราว “ว่ามาสิ อย่าบอกนะว่าอยากกินโค้กเย็นจัดตอนลมแรง ๆ แบบนี้”



             “คิดถึงเพลง” โมนีก้าหัวเราะ รอยยิ้มวิบวับเหมือนดาวดวงแรกไม่ได้บอกชื่อแต่โมนีก้าเริ่มยกนิ้วแตะราวเหล็ก เคาะจังหวะเบา ๆ tik…tik… ลมพัดผมเธอปลิวเป็นริ้ว เธอเริ่มฮัมทำนองเนื้อร้องพูดถึงการอยากหยุดเวลาไว้ชั่วคราว ความงามของแสงที่เต้นระบำบนผมของใครบางคน เช้าวันเสาร์ที่ค่อย ๆ เลือน และการสบตาที่ทำให้หัวใจกลับไปอยู่จุดเริ่มใหม่อีกครั้ง ภาพหิมะฤดูหนาว ความรักที่มึนเมา การรอปาฏิหาริย์… Oh, I won’t be silent and I won’t let go ท่อนฮุกนั้นเธอไม่ขึ้นเสียงสูงนัก แต่ความหวานมันซึมหัวใจมากกว่าไต่โน้ต


             เลสเตอร์นิ่งฟังเหมือนคนเดินออกจากห้องทั้งโลก มาอยู่ใต้ดาดฟ้าเล็ก ๆ นี้ เงาพลบค่ำแตะกรอบหน้าของเขาดวงตาสีฟ้าเข้มจับประกายคลื่นทะเลเหมือนบันทึกทุกคำที่เธอร้อง “Afterglow…” เขาพูดชื่อเพลงในจังหวะที่สายลมเงียบไปนิดเดียว “เลือกเพลงได้เก่งเหมือนเลือกจังหวะชีวิตเลย”


             “ก็มันเหมาะนี่” โมนีก้ายักไหล่ “ช่วงที่ฟ้าไม่ใช่กลางวันแต่ก็ยังไม่ใช่กลางคืน ทุกอย่างออกสีทองนิด ๆ พอดีจะยอมอ่อนให้ความหวังสักหน” เลสเตอร์หัวเราะในคอ “เธอนี่เก่งเรื่องทำให้ความมืดดูไม่ได้น่ากลัวนะโมนีก้าเหมือนบอกมันว่าเดี๋ยวแป๊บเดียวเราจะเรืองแสงต่อ”


             “ฉันก็แค่…อยากให้คนข้าง ๆ เห็นแสงกับความมืดไปด้วยกัน” เธอพูดเรียบ ๆ แต่ยิ้มตาเป็นประกายโดยที่ไม่รู้เลยว่าคำพูดของตัวเองมันตีความได้มากกว่าที่คิด ในช่วงที่เลสเตอร์มองหน้าโมนีก้า เส้นผมสีม่วงครามที่ปลิวจากลมทะเล เรือโยกนวล ๆ ดาวดวงแรกกะพริบเหนือยอดเสากระโดง เลสเตอร์เอื้อมนิ้วเคาะราวเข้าจังหวะเดียวกับโมนีก้า “ถ้าฉันขอคำขอพรหนึ่งข้อ” เขาว่า “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่…แค่เพลงถัดไปขอให้ฉันเป็นคนเก็บคอร์ดให้เธอได้ไหม”


             โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มเล็ก ๆ แบบอารมณ์ดี “โอเค แต่ห้ามปล่อยคอร์ดหลุดนะ” เธอแกล้งขู่ “ถ้าหลุด ฉันจะถือว่าเป็นสัญญาณว่านาย…” เธอกัดริมฝีปากยิ้มกวน ๆ อีกฝ่าย “ไม่สมควรได้ฟ้ามืดอีกปี”


             “โห” เลสเตอร์เลิกคิ้ว “งั้นฉันจะเก็บคอร์ดให้แน่นกว่าเก็บความลับคอยดูสิ” คำว่าความลับลอยอยู่ระหว่างลมหายใจทั้งคู่ครู่หนึ่ง มันเป็นคำที่มีเพียงเลสเตอร์คนเดียวที่เข้าใจความหมายของคำว่าความลับ และคนข้าง ๆ เขาก็ไม่ได้รับรู้อะไรเลย ก่อนจะถูกคลื่นกลืนไปเมื่อโมนีก้าเริ่มฮัมเดิมอีกครั้ง คราวนี้ช้าลง นุ่มกว่า ราวกับกำลังจารึกดนตรีลงบนผืนทะเล เลสเตอร์เคาะราวคุมพัลส์สม่ำเสมอ ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป นิสัยของเขาขี้เล่น ขี้เก็กปากเก่ง แต่จังหวะนี้กลับจริงจังอย่างน่าประหลาด


             We were love drunk, waiting on a miracle, Trying to find ourselves in the winter snow, So alone in love like the world had disappeared, Oh, I won’t be silent and I won’t let go”


             เพลงจบตรงที่เส้นฟ้าคล้ำขึ้นอีกแดดหนึ่ง โมนีก้าวถอยครึ่งก้าวขณะที่เอียงคอมองเลสเตอร์ “ให้คะแนนเพื่อนร่วมวงคืนนี้กี่คะแนนคะ”


             “เต็มสิบ” เขาตอบแบบไม่คิด “เพราะเธอทำให้ผม…” เขาเบรกคำไว้ เปลี่ยนเป็นยิ้ม “...ลืมไปว่าไม่ได้เห็นฟ้ามืดมานานแค่ไหน” เมื่อได้ยินแบบนั้นโมนีก้าก็พยักหน้า “งั้นจำไว้นะ ต่อให้มืดสนิทแค่ไหน เราก็ยังมีแสงหลังโชติช่วงให้เก็บไว้ใช้เดินต่อ ใช่ไหมล่ะคุณคนธรรมดาที่เทพพระอาทิตย์เอ็นดู?”


             “ครับ คุณนักร้องนำ” เลสเตอร์เอ่ยทำท่าโค้งแบบกวนตีนพอเป็นพิธี โมนีก้าเลยหันไปมองค้อนเขาแล้วสวนกลับด้วยคำพูดอย่างไว  “อย่าเลี่ยงประเด็นสิ ผู้ช่วยมือกีตาร์เลสเตอร์” เพราะคำล้อนั้นทำให้ทั้งคู่หัวเราะเบา ๆ เหนือลมเย็น โมนีก้าเงียบไปนิดก่อนพูดต่อ “งั้นฉันขอนายบ้างได้ไหม? …ถ้าฉันหลงทางช่วยเตือนจังหวะให้ฉันแบบเมื่อกี้อีกได้ไหม” มันเป็นคำพูดง่าย ๆ แต่บ่งบอกถึงความไว้ใจของโมนีก้าที่มีให้เลสเตอร์ตลอดมา ความสนิทที่เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้ชายข้างตัวของโมนีก้าต้องมองดวงตาของเธอที่ไม่เคยมีอะไรปิดบังเขาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์ที่เกินกว่าจะคิดว่ามันมาจากเด็กที่ไม่ชอบคิดอะไรเลย “ได้เสมอแหละ ต่อให้หิมะจะตกตรงปล่องภูเขาไฟหรือคลื่นซัดที่ทะเลทราย ฉันก็จะเคาะจังหวะให้เธอฟังจนกว่าดวงอาทิตยบ์จะกลับมาหาเธออีกครั้ง” 


             โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเธอทำให้พลบค่ำกลายเป็นช่วงเวลาที่แสนแบอุ่นกว่าที่ไหนบนเรือ โมนีก้าหันกลับไปมองทะเล คราวนี้ไม่ใช่เพื่อหาคำตอบต่ออะไรทั้งนั้น แต่เพื่อฟังเสียงหัวใจของเธอที่ยังคงเต้นเท่ากับจังหวะการเคาะของใครบางคนข้าง ๆ เธอนั้นเอง


             เหนือศีรษะของทั้งคู่ ดาวเพิ่มขึ้นทีละดวง แสงไกล ๆ บนเส้นโค้งของโลกสิ่งตาม เลสเตอร์จ้องมองภาพของโมนีก้าแบบนั้น ทุกคำพูดของเขาลึกซึ้งและมีความนัย แต่เขาไม่บอกหรอกว่าตัวเองเป็นใคร และโมนีก้าก็ไม่ได้ถามว่าเขาซ่อนอะไรไว้เลยด้วยซ้ำ ทั้งคู่ปล่อยให้ค่ำคืนนี้เป็นพื้นที่ของทำนองที่รู้กันทั้งสองคนและคำสัญญาเงียบ ๆ ที่ไม่ว่าจะมีความมืดหนาแน่นเพียงใด เราก็จะกอดแสงนั้นไว้ด้วยกันจนกว่ามันจะกลายเป็นแสงจริง ๆ อีกครั้ง

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ระหว่างการทานอาหารเขาพบว่าช่วงเวลากลางคืน ไม่สิ พลบค่ำกลับมา มันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างแย่กับคนที่พึ่งฝันร้ายอย่างโมนีก้า เลสเตอร์ที่รับรู้บางสิ่งเลยบอกเธอกับทุกคนให้สบายใจได้ โมนีก้าเลยดูผ่อนปรน ช่วงเวลากลางคืนโมนีก้าอารมณ์ดีขึ้น เลสเตอร์เริ่มรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แย่ ละมั้ง? ไม่รู้สิ? 


[อยู่ระหว่างการเดินทาง]

[ตอบสนองต่อเหตุการณ์โลก มีช่วงเวลาพลบค่ำ]

[ระยะทางที่เดินทางไปแล้ว มากกว่า 1,080 ไมล์ทะเล]

avatar

Moneka M. Blossom

... ? 🥰🥰🥰

avatar

Vincenzo Bergamotto

รอบนี้วินเซนโซขับเรือและเขาก็จิบกาแฟชิล ๆ 

avatar

Icilia Dominicus

นอนกอดอลัน(?)

avatar

Lucas Aquinas

นอน

avatar

Haruto Higa

นอน...


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-10-4 11:24
โพสต์ 83489 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-4 09:16
โพสต์ 83,489 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-4 09:16
โพสต์ 83,489 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-4 09:16
โพสต์ 83,489 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-4 09:16
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-4 11:54:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-5 01:32

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 36 : ได้ไม่นาน
วันที่ 27 - 28 เดือน กันยนยา ปี 2025
เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง ท่าเรือมอนทรีออล เมืองควิเบก รัฐเกแบ็ก แคนาดา จนถึง หมู่เกาะอะโซร์ส

แสงตะวันสีส้มทองของวันที่ 27 กระทบผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับเหมือนแผ่นกระจกที่สะท้อนโลกทั้งใบกลับลงทะเล หลังผ่านมา 3 วันเต็มนับตั้งแต่เรือออกจากท่าในวันที่ 24 ท้องทะเลก็เริ่มกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของพวกเขาอย่างไม่รู้ตัว เสียงเครื่องยนต์เรือขนาดกลางดังคลอเบา ๆ ผสมกับเสียงคลื่นกระทบกราบเรือจังหวะสม่ำเสมอ เสมือนดนตรีกล่อมอารมณ์ที่ทำให้ทุกอย่างดูสงบกว่าที่ควรเป็นสำหรับภารกิจสะกดรอยองค์กรอันตรายอย่าง LoNex


ท้องฟ้าเปิดโล่งไร้เมฆเรือแล่นห่างจากแนวร่องน้ำหลักอย่างระมัดระวัง เส้นทางที่พวกเขาใช้ตาม LoNex ถูกคำนวณมาอย่างดี ไม่ใกล้เกินไปจนถูกจับสัญญาณ ไม่ไกลเกินจนหลุดเรดาร์วัดคลื่น แผนง่ายแต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้บรรยากาศบนเรือในตอนนี้แทบไม่ต่างจากการล่องเรือพักผ่อนในฤดูร้อน


บนห้องควบคุม วินเซนโซกำลังเอนหลังพิงเบาะ มือข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟ ส่วนอีกข้างขยับคันบังคับเรืออย่างเชื่องช้า ขณะที่อิซิเลียซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามก้มมองหน้าจอเรดาร์ขนาดเล็ก แสงสีเขียวสะท้อนเข้าดวงตาเทาเย็น ๆ ของเธอเป็นจังหวะ “เส้นทางตรงดีมากวินเซนโซ อย่าให้หลุดนะ ฉันไม่อยากต้องคำนวณใหม่อีกรอบ” เธอพูดเสียงเรียบแต่ฟังดูคล้ายคำบ่นมากกว่า


“รู้แล้วน่า คุณเจ๊ใหญ่” วินเซนโซหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้ “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวมีรอยตีนกาในร่างเด็กนะ” คำพูดนั้นทำเอาอิซิเลียปรายตามองอย่างรำคาญก่อนจะหันกลับไปที่จอ โดยไม่ตอบสักคำ


ส่วนลูคัสในตอนนี้อยู่บริเวณดาดฟ้ามือกำแน่นที่พนักเหล็ก มองรอบท้องทะเลอย่างระแวดระวัง ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาจับภาพทุกเงาในระยะไกล ร่างสูงตั้งตรงไม่ยอมลดการ์ดแม้เพียงเสี้ยววินาที “สงบเกินไป...” เขาพึมพำกับตัวเอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะรู้ว่าทุกคนต้องการความเงียบเช่นกัน


ฮารุโตะอยู่ในครัวใต้ดาดฟ้า กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งออกมาตามช่องระบายอากาศ เขากำลังทอดปลาทะเลสดและผักที่โมนีก้าเตรียมไว้เมื่อวาน ขณะเดียวกันเจ้าตัวก็ฮัมเพลงญี่ปุ่นเบา ๆ ไปด้วย เสียงนั้นไพเราะจนนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของลูกครึ่งเทพอพอลโล่ “อาหารจะเสร็จอีกแป๊บเดียวนะครับ โมนีก้า!” เขาตะโกนเรียกเสียงดัง 


“ค่า~!” เสียงโมนีก้าตอบกลับจากอีกฟากของเรือพร้อมเสียงหัวเราะ เธออยู่ตรงท้ายเรือในตอนนี้ มือถือไม้ถูพื้นในขณะที่สายลมพัดผมสีม่วงครามของเธอปลิวเบา ๆ เธอเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ชำระคราบน้ำทะเลที่เกาะอยู่บนพื้นดาดฟ้า พร้อมฮัมเพลงตามฮารุโตะไปด้วย ใบหน้าของเด็กสาวดูสดใสอย่างแปลกประหลาดหลังจากผ่านฝันร้ายมาเกือบสัปดาห์


ด้านเลสเตอร์ในเวลานี้ เขาเพิ่งเดินขึ้นมาจากห้องเครื่องหลังช่วยวินเซนโซเช็กระบบขับเคลื่อนอยู่พักใหญ่ มือยังเปื้อนคราบน้ำมันบาง ๆ แต่รอยยิ้มกลับดูอารมณ์ดีผิดคาด “ใครบอกว่าฉันจะมาเป็นคนแบกกล่องอะไหล่ทั้งวันกันนะ...” เขาพึมพำพร้อมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกข้างโมนีก้า “ก็อย่าทำตัวเป็นคุณชายสิคะ” เธอตอบกลับเสียงกลั้วหัวเราะโดยไม่เงยหน้า “ถ้าช่วยงานพวกเราได้บ้างจะดีมากเลย~ ไม่งั้นระวังจะโดนลากไปล้างห้องน้ำอีกนะ”


“อ้อเหรอ แล้วใครกันที่เมื่อวานเผลอทำถังน้ำคว่ำใส่? นี้ยังจะกล้าลากฉันไปล้างห้องน้ำอีกรอบหรอ” เขาเลิกคิ้วถามกลับพลางยิ้มข้างปาก ท่ามกลางเสียงหัวเราะของโมนีก้าที่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ชีวิตบนเรือที่ควรจะตึงเครียด กลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบชั่วคราวของเหล่ากึ่งเทพที่ผ่านการต่อสู้และความสูญเสียมาไม่น้อย ทุกคนต่างรู้ว่าความเงียบนี้อาจไม่ยืนยาวแต่ก็เลือกที่จะใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด


เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงเข้าสู่เวลาพลบค่ำ ลมทะเลพัดเย็นกว่าทุกวัน เลสเตอร์แหงนมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนจากส้มเป็นม่วงหม่น ก่อนพูดขึ้นเรียบ ๆ “พวกนายรู้มั้ย...บางทีชีวิตแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องหนี ไม่ต้องสู้ แค่ล่องเรืออยู่กลางทะเลเฉย ๆ” วินเซนโซที่ยืนอยู่หลังหางเสือหัวเราะตอบ “อย่าพูดแบบนั้นสิเลสเตอร์ ถ้านายเริ่มพูดอะไรดูซึ้ง ๆ แบบนี้ทีไร มักจะมีเรื่องไม่ดีตามมาเสมอ”


“ฉันไม่ได้เป็นลางร้ายสักหน่อย” เลสเตอร์แยกเขี้ยวยิ้มตอบ แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เขามองเพื่อนร่วมทีมทีละคน ที่ต่างมีหน้าที่มีน้ำหนักของอดีตและมีชีวิตที่ยังคงเดินต่อได้


ยามสายของวันที่ 28 แสงอาทิตย์ส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นประกายจ้า แต่ความรู้สึกที่ลอยอยู่บนเรือในตอนนี้กลับแตกต่างจากทุกวันอย่างสิ้นเชิง บนห้องควบคุมอิซิเลียหญิงสาววัย 25 ในเด็กสาวผมเทาสวมชุดโกธิคสีดำยืนพิงโต๊ะควบคุม มือเรียวแตะหน้าจอเรดาร์ที่ปรากฏสัญญาณแปลกปลอมบางอย่าง เธอขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเทาเยือกมองกราฟเส้นคลื่นสีเขียวที่ขยับถี่ผิดจังหวะ เสียงของเธอเมื่อเปล่งออกมาผ่านลำโพงบนเรือแผ่วเย็นแต่หนักแน่นจนทุกคนที่ได้ยินถึงกับหยุดชะงัก


“ทุกคน ระวังให้ดี ตอนนี้เราเข้าสู่น่านน้ำหมู่เกาะอะโซร์สแล้ว... หมู่เกาะอะโซร์สอยู่ไม่ไกล ฉันตรวจพบการเคลื่อนไหวในน้ำที่ผิดปกติหลายจุด” เสียงอิซิเลียดังผ่านเครื่องขยายเสียงทั่วเรือพร้อมเสียงคลื่นกระทบหัวเรือที่เริ่มแรงขึ้น “น่านน้ำตรงนี้ขึ้นชื่อเรื่องฝูงอสุรกายที่ยังหลงเหลือจากสงครามเทพเก่า มีโอกาสสูงที่จะเจอเข้าให้เต็ม ๆ ระวังรอบทิศให้มากที่สุด”


วินเซนโซที่อยู่หลังหางเสือพ่นลมหายใจออกแรง “งั้นแปลว่าทริปพักผ่อนจบแล้วสินะ...” เขาว่าเบา ๆ แต่ก็ขยับมือเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ เสียงเครื่องคำรามต่ำดังก้องใต้ท้องเรือ เขาหันไปพยักหน้ากับอิซิเลียที่ตอบกลับเพียงการจ้องตานิ่ง ๆ เหมือนเข้าใจโดยไม่ต้องพูด แล้วยกกาแฟขึ้นจิบ


ขณะเดียวกันเสียงฝีเท้าดังขึ้นเหนือดาดฟ้า เลสเตอร์ที่ถือธนูสีดำทองเดินขึ้นไปยังจุดสูงสุดของเรืออย่างคล่องแคล่ว เขาปีนขึ้นไปตรงจุดที่สูงที่สุดและปลอดภัยที่ดัดแปลงเป็นจุดยิง ระหว่างที่ลมแรงพัดผ่านใบหน้าของเขา ดวงตาสีฟ้าเข้มมองไกลออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่คลื่นสาดซัดเหมือนมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวน้ำ “รับทราบ อิซิเลีย ฉันจะประจำการตรงนี้ ถ้าอะไรโผล่มาแม้แต่ครีบเดียว ฉันจะเป็นคนแรกที่เห็น” น้ำเสียงของเลสเตอร์เต็มไปด้วยความมั่นใจตามสไตล์เดิม แต่ในใจกลับรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็ก เขารู้สึกถึงแรงสั่นบางอย่างในอากาศ คล้ายกับพลังงานของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรอยู่ในโลกนี้


ลูคัสประจำอยู่ด้านหัวเรือในชุดเกราะเบา ดาบสั้นติดข้างเอว มืออีกข้างจับโล่ทรงกลมที่มีสัญลักษณ์โรมันสลักไว้ เขามองผิวน้ำสลับกับท้องฟ้า “ไม่ต้องห่วง ถ้ามันขึ้นมาบนเรือได้...ฉันจะเป็นคนต้อนมันกลับลงทะเลเอง” เขาพูดเสียงทุ้มขรึมอย่างมั่นใจ


ฮารุโตะกับโมนีก้าอยู่ตรงท้ายเรือ เด็กหนุ่มถือธนูของตนเองส่วนโมนีก้าถือกราดิอุสที่เธอพกติดตัวไว้เป็นอาวุธ ดวงตาสีเทาเงินของเธอมองผืนน้ำตรงหน้าอย่างระแวดระวัง แม้แสงแดดจะจ้าจนแทบแสบตา แต่ลมหายใจของเธอกลับแผ่วหนักเหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างใต้ผิวน้ำ “ฉันไม่ชอบแบบนี้เลย...” โมนีก้าพึมพำ น้ำเสียงเธอสั่นนิด ๆ “ทะเลเงียบเกินไป”


ฮารุโตะยิ้มบาง ๆ พลางวางมือแตะบ่าเธอ “อย่าคิดมากสิครับ ถ้ามีอะไรจริง ๆ อย่างน้อยเราก็มีคนเก่ง ๆ เต็มเรือเลยนี่นา เนอะ” เขาพูดปลอบ แม้ดวงตาของตัวเองจะเหลือบมองผืนน้ำไม่วางตา ดูเหมือนช่วงเวลาแห่งความสงบจะจบลง พร้อมกับการเดินทางด้วย Heesen Yachts  ก็ใกล้จะถึงปลายทางขึ้นทุก ๆ ครั้งเหมือนกัน

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

การเดินทางตลอดเกือบสัปดาห์ทำให้พวกเขาเดินทางมาจนถึงน่านน้ำของยุโรปแล้ว ช่องแคบยิบรอลตาร์เห็นได้จากระยะของสายตา ทุกคนเปลี่ยนเป็นการระวังภัยแบบเต็มที่ ตอนนี้ทุกคนพร้อมสู้สุด ๆ เพราะหากเรือจม ทุกคนก็ไม่รอด จะไม่มีใครรอดทั้งนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร 


[อยู่ระหว่างการเดินทาง]

[เดินทางถึงน่านน้ำใกล้ หมู่เกาะอะโซร์ส]

[ระยะทางที่เดินทางไปแล้ว 2,184 ไมล์ทะเล]

avatar

Moneka M. Blossom

โนคอมเม้นท์

avatar

Vincenzo Bergamotto

ขับเรือและระวังภัย

avatar

Icilia Dominicus

นำทางและระวังภัย

avatar

Lucas Aquinas

ระวังภัยเต็มที่

avatar

Haruto Higa

ระวังภัยเหมือนกับทุกคน


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-10-5 12:09
โพสต์ 51158 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-4 11:54
โพสต์ 51,158 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-4 11:54
โพสต์ 51,158 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-4 11:54
โพสต์ 51,158 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-4 11:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-5 04:40:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-5 04:42

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 37 : แวะเกาะกันเถอะน่า
วันที่ 28 เดือน กันยนยา ปี 2025
เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง ท่าเรือมอนทรีออล เมืองควิเบก รัฐเกแบ็ก แคนาดา จนถึง หมู่เกาะอะโซร์ส

ไม่นานหลังจากนั้นลำเรือสะเทือนวูบเมื่อเงาดำทะมึนแหวกผิวน้ำขึ้นใกล้กราบซ้าย ฟองคลื่นแตกพร่าพร้อมเสียงหวีดจากอากาศที่ถูกดึงลงเป็นวังวน หนวดสีม่วงเข้มพุ่งตวัดราวแส้ เลสเตอร์ที่ประจำอยู่บนจุดสูงสุดชักสายธนูจนตึง ลูกศรแสงปักเข้าโคนหนวดตัวแรกดังฉึก กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งผสมเกลือทะเลทันที “ระวัง! ลูซก้า 5 ตัว! มากับน้ำวน!” เลสเตอร์ตะโกนย้ำ


ฮารุโตะตะลึงวูบเดียวก่อนสวมท่าธนูตามสัญชาตญาณ เขาตะโกนอธิบายเร็วปราดให้โมนีก้าที่หน้าซีดเผือก “โมนีก้าครับ เจ้าตัวนี้มันเป็นพันธ์ุผสมระหว่างฉลามขาวกับหมึกยักษ์! มันดูดทุกอย่างด้วยวังวนแล้วรัดด้วยหนวด ระวังฟันนะครับ! แหลมพอจะตัดเหล็กเลย!” อิซิเลียกดสวิตช์ไซเรนสั้น ๆ แล้วสั่งเสียงนิ่ง “วินเซนโซ หมุนหัวเรือ 30 องศา อย่าปะทะหน้าตรง! ลูคัสยืนยันท้ายซ้าย! โมนีก้า เก็บระยะครึ่งกราบอย่าให้หนวดถึงราว!”


“รับทราบ!” วินเซนโซบิดคันเร่งของเรือปรับการขับเคลื่อนเครื่องยนต์คำรามลั่น เขาเลี้ยวเรือเฉียงสวนคลื่นเพื่อให้หัวเรือเฉียดวังวน ไม่กี่วินาทีต่อมา น้ำจากสปริงเกอร์ฉุกเฉินที่เขาปรับให้ยิงเฉพาะจุดก็พ่นกระแทกหนวดลูซก้าตัวหน้าให้เสียจังหวะ “ใช้แรงดันน้ำสู้หนวดไปก่อนแล้วกัน!” เขาตะโกนพร้อมยิ้มมุมปาก


ลูคัสกระโจนถึงราวเรือทันเวลา หนวดเส้นหนึ่งฟาดมารวดเร็ว เขายกโล่สอดรับจนได้ยินเสียงกระแทกดังอึก เขาใช้ดาบสั้นแทรกมุมตัดเฉียง ปลายคมบาดเนื้อเยื่อหนวดจนแตกนิ่ม ลูซก้าคำรามลอดฟันแหลมราวใบเลื่อย น้ำกระเซ็นเปื้อนใบหน้าหนุ่มโรมันแต่เขาไม่กะพริบตาแม้แต่นิด “เข้ามาอีกสิ!” เขาขู่กลับ


ระหว่างนั้นโมนีก้าก็กลืนน้ำลาย เธอถอยครึ่งก้าวตามที่อิซิเลียสั่ง กำกราดิอุสแน่นจนเหงื่อซึมปลายนิ้ว หนวดอีกเส้นพุ่งหวังเกี่ยวข้อเท้าของโมนีก้าจนเธอพลิกตัวเฉียดฉิวแล้วฟันสวนต่ำสุดแรงปลายมีดกระแทกกระดูกอ่อนจนหนวดสะดุ้งถอย “ฮารุโตะ! ฝั่งฉันหนึ่งเส้น!” เธอร้องบอก


“เห็นแล้วครับ!” ฮารุโตะปล่อยลูกศรติดเชือกตะขอที่วินเซนโซทำไว้ให้ เส้นเชือกเกี่ยวหนวดก่อนที่อิซิเลียจะกดสวิตช์วินช์ไฟฟ้า “ดึง!” หนวดถูกดึงตึงจนลูซก้าหนักเกือบตันเสียสมดุล พอดีกับที่เลสเตอร์ยิงศรแสงซ้ำเจาะตรงฐานใต้เหงือกจุดอ่อนของฉลามจนแสงกระจายเป็นวง ลูซก้าตัวนั้นทรุดฮวบกลับลงทะเล เลือดสีคล้ำไหลเป็นริ้ว “เหลือสี่!” อิซิเลียประกาศ ดวงตาเทาเย็นคุมจังหวะราวกำกับศึก เธอไล่นิ้วบนจออะไรบางอย่างเปิดโหมดโซนาร์เฉียบไว เสียงติ๊ดสั้น ๆ แสดงตำแหน่งที่พรางตัวในเงามืด “ตัวที่สองกำลังจะโผล่ใต้ท้องเรือ กราบขวา!”


วินเซนโซสบถเบา ๆ แล้วโยกคันเร่งคู่ สร้างกระแสน้ำขวางใต้ท้องเรือให้แรงดันตีกลับ “เกาะให้แน่นล่ะ!” เรือโยกแรงพาแรงดูดของวังวนหลุดจากแนวหัวเรือในเสี้ยววินาที ขณะเดียวกันลูคัสกระโดดข้ามฐานปั้นท้าย ชนโล่เข้าใส่ปลายหนวดที่พุ่งขึ้นจากกราบขวาแล้วซัดดาบแทงทแยงเฉียดตาซ้ายของมันไปครึ่งนิ้ว


“โมนีก้า ด้านหลัง!” เลสเตอร์ตะโกน เธอหันทันพบว่าหนวดอีกเส้นตวัดจากมุมตาบอดพุ่งเข้าคอ ของโมนีก้า เธอก้มหลบเฉียดคมฟัน ก่อนที่ไม่นานเธอจะหยิบเชือกใกล้ตัวตวัดรัดหนวดไว้ชั่วครู่พอให้ฮารุโตะซัดลูกศรหมุนเจาะทะลวง “เข้ากลางปล้อง!” เขาตะโกน เสียงเนื้อฉีกดังชัดเจน ลูซก้าดิ้นสะบัดจนเชือกขาด แต่แรงของมันตกลง คลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ากราบซ้าย 


เลสเตอร์ยังคงทรงตัวบนจุดสูงสุดอย่างเหลือเชื่อ เขารัวศรจังหวะสม่ำเสมอ สามดอกในสองวินาทีเพื่อตัดปลายหนวดที่พยายามกวาดอากาศเหนือดาดฟ้า “สามตัวล้อม! สองลึก หนึ่งตื้น!” เขารายงานด้วยความรวดเร็ว


“ใช้เคาน์เตอร์วอร์เท็กซ์” อิซิเลียสั่งทันที วินเซนโซยิ้มรับทราบ นี่คือของเล่นที่เขาติดตั้งไว้ เขาเปิดท่อฉีดน้ำท้ายเรือให้พ่นเป็นแนวครึ่งวงกลมสร้างวังวนสวนทิศ กระแสน้ำสองชุดชนกันจนแรงดูดของลูซก้าแตกซ่าน เสี้ยววินาทีทองนั้นลูคัสพุ่งไปยืนขอบราว ฟาดโล่บังปากฉลามที่งับเข้ามาแล้วตะโกน “เป็นผง!”


ฮารุโตะยิงลูกศรเชือกช็อตไฟฟ้าประกายไฟสีขาวแลบผ่านผิวน้ำเข้ากระพุ้งแก้มลูซก้า มันชะงักคา โมนีก้าตามไปซ้ำเพื่อจัดการมันต่อเธอกระโดดหลบหนวดที่ปัดกวาดแล้วปักกราดิอุสเข้าใต้เหงือกเต็มแรงโลหิตพุ่งเป็นรุ้งฝอยกลางแสงตะวัน ลูซก้าตัวนั้นทรุดฮวบ


“เหลืออีกสอง กำลังดำน้ำจะหนี!” เลสเตอร์เพ่งสายตา เขายิงลูกศรแสงโค้งตกผิวน้ำก่อนระเบิดเป็นวงออร่าใต้ทะเล เผยเงาร่างยักษ์ที่กำลังพรางตัว อิซิเลียกัดริมฝีปากรัวนิ้วเปลี่ยนวิถีเรือ “วินเซนโซ เลี้ยวตัดหน้ามัน ให้หัวเรือเฉือนหลังครีบ!” วินเซนโซตอบเพียง “งั้นก็เกาะไว้!” ก่อนหมุนพวงมาลัยเต็มขวา หัวเรือเฉือนคลื่นเฉียบเรือส่ายวูบผ่านหลังครีบยักษ์พอดี ลูคัสถลกแขนเสื้อขว้างหอกโยนทะลุผิวน้ำแทงเข้าข้อพับหนวด ทำให้มันโผล่หัวขึ้นมาด้วยความเจ็บ 


เลสเตอร์ไม่รอช้า ยกธนูยิงทันทีลูกธนูของเขาปะทุแสงเจาะเข้าตาขวา ลูซก้าตัวนั้นก็แน่นิ่งก่อนจมหายไปในที่สุด ตัวสุดท้ายที่เหลือนั้นเงียบผิดปกติ ไม่มีวังวนน้ำไม่มีหนวดโผล่ขึ้น อิซิเลียมองจอสัญญาณ “มันลงลึก…จะพุ่งขึ้นใต้ท้องเรือ!”


“ไม่ให้โอกาสหรอก” วินเซนโซกระซิบแล้วตบสวิตช์โหมดไล่สิ่งมีชีวิตที่เป็นท่อเสียงต่ำใต้ท้องเรือเปิด วาวล์ปล่อยฟองอากาศจำนวนมากสร้างชั้นกั้นลื่น มันพุ่งขึ้นมาแต่เสียแรงเกาะ หัวฉลามโผล่พ้นน้ำแบบลื่นไถลขึ้นไม่สุดตรงเข้ามุมยิงของเลสเตอร์อย่างจัง “ลาก่อนนะ เจ้าหมึกฉลาม” เลสเตอร์พึมพำ ดอกศรสุดท้ายปักลึกกลางขมับ แสงทองแตกวาบ ลูซก้าตัวที่ 5 ชะงักเฮือกแล้วจมลง ทิ้งฟองอากาศและเลือดคล้ำกระจายไปตามคลื่น


ความเงียบถาโถมเข้ามาฉับพลัน เหลือเพียงเสียงเครื่องยนต์หายใจและคลื่นสาดราวยอมจำนน ลูคัสค่อย ๆ ลดโล่ลง สะบัดเลือดออกจากขอบดาบ “ทุกคนปลอดภัยดีไหม?”


“ผมโอเค…” ฮารุโตะหอบน้อย ๆ ยิ้มให้โมนีก้าที่เข่ากำลังสั่น “เธอทำดีมากเลยเมื่อกี้ ถ้าไม่ใช่มีดของเธอเราสองคนคงโดนหนวดลากไปแล้ว” โมนีก้ากัดริมฝีปากหายใจลึกหลายครั้ง ก่อนพยักหน้าให้กับฮารุโตะแต่ทว่าดวงตาสีเทาเงินยังสั่นอยู่ “ขอบคุณค่ะ…ฉันยังกลัวอยู่ แต่…คิดว่ายังไหว” เธอเช็ดคราบที่แก้มแล้วเก็บกราดิอุสเข้าฝัก มืออีกข้างลูบรอยช้ำบนท่อนแขนที่หนวดเฉียดผ่านมา


อิซิเลียปล่อยมือจากคอนโซลหันมองผิวน้ำที่ค่อย ๆ สงบ “คาดว่าเป็นฝูงเฝ้าปากทาง พวกมันใช้วังวนบังเส้นทางเรือที่ลึกกว่า เพื่อพาเหยื่อลงทางลงใต้น้ำ…LoNex อาจปักแนวจัดการไว้ก่อนหน้า” น้ำเสียงเธอยังคงนิ่งแต่แฝงความไม่พอใจ วินเซนโซคลายไหล่ยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม “เอาล่ะ…เครื่องยนต์ยังสภาพดี ใบจักรไม่ติดหนวดเรือตัดคลื่นได้เหมือนเดิม” แล้วหันไปยักคิ้วให้เลสเตอร์ “แม่นเหมือนเดิมนะ คุณมือธนู”


เลสเตอร์ไหล่กระดิกอย่างภาคภูมิ “ก็ต้องมีประโยชน์บ้างสิ” เขาหรี่ตามองขอบฟ้าเสี้ยวอาทิตย์เริ่มเอียงเข้าสู่ช่วงพลบค่ำ “พักหายใจสั้น ๆ สิบห้านาที จากนั้นเข้าประจำที่เหมือนเดิมเราน่าจะเจออีกก่อนไปถึงตัวหมู่เกาะ”


ในขณะนั้นฮารุโตะก็หยิบชุดปฐมพยาบาลมาช่วยทำแผลถลอกบนแขนของโมนีก้า กลิ่นยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ ผสมกับกลิ่นเกลือทะเล “เดี๋ยววันนี้ผมทำอาหารญี่ปุ่นกับซุปทานอร่อย ๆ ดีไหมครับ์ เติมแรงก่อนการต่อสู้รอบหน้าจะถึง” เขาเอ่ยระหว่างที่ทำแผลให้โมนีก้าอย่างเงียบ ๆ 


เด็กสาวที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มบาง ๆ เพราะเธอรู้สึกว่าเขาก็เป็นคนอบอุ่นดี “ขอบคุณค่ะฮารุโตะ” เมื่อบอกแบบนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีที่คล้ำลงเรื่อย ๆ ลมทะเลพัดผ่านดาดฟ้า นำกลิ่นชัยชนะจาง ๆ ปะปนหวั่นไหวของศึกครั้งถัดไปมาให้ ทุกคนรู้ว่าฝูงลูซก้าที่เพิ่งล้มลงเป็นเพียงยามหน้าด่านเท่านั้น ส่วนเส้นทางสู่ยุโรปที่รออยู่เบื้องหน้า…คงไม่ปล่อยให้เรือซูเปอร์ยอชต์สีขาวลำนี้แล่นผ่านไปอย่างเงียบงันแน่


และแล้วตอนนี้เรือคันสวยก็แล่นเข้าสู่น่านน้ำสงบของมหาสมุทรแอตแลนติกตอนกลาง เส้นขอบฟ้ากว้างใหญ่ไหลรวมกับเมฆสีอ่อนจนดูแทบไม่มีเส้นแบ่ง เสียงเครื่องยนต์เบา ๆ แผ่วลงเมื่อวินเซนโซลดความเร็ว ใบพัดขนาดใหญ่ใต้ท้องเรือกรีดผ่านน้ำใสสีครามเข้มของหมู่เกาะอะโซร์สอย่างนุ่มนวล ปลายเรือสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นที่เริ่มเอียงลงมากแล้ว มหาสมุทรอาบแสงสีทองราวกระจกเหลว 


อิซิเลียยืนอยู่บนเก้าอี้ห้องควบคุม ดวงตาเทาเยือกเย็นจับจ้องไปยังแผ่นดินที่ปรากฏอยู่ไกลลิบ เกาะซังมีเกล หนึ่งในเกาะหลักของหมู่เกาะอะโซร์ส “อีกสิบนาทีจะถึงปงตาแดลกาดา” เธอเอ่ยเสียงเรียบแต่ชัดเจน “เราจะจอดเติมน้ำมันและเสบียงที่นั่น ให้เวลาพักสามชั่วโมงเท่านั้น” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นพอจะตัดผ่านเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกเรือเบา ๆ


ทันทีที่ได้ยินคำว่าพักวินเซนโซถึงกับยกมือดีดนิ้วเสียงดัง “ในที่สุด… แผ่นดินที่ไม่โยก!” เขาพูดพร้อมหาวลากยาว ยกแก้วกาแฟที่เย็นชืดขึ้นดมแล้วทำหน้าเบ้ “และกาแฟที่ไม่ต้องต้มบนเรือคงเป็นของขวัญจากสวรรค์” แต่เสียงของอิซิเลียก็ดังแทรกขึ้นทันที “นายต้องเติมน้ำมันกับตรวจเรือก่อน ส่วนเรื่องสวรรค์ไว้ทีหลัง”


และอีกคนที่อารมณ์ดีก็คือคนที่กำลังส่งเสียงหัวเราะเล็ก ๆ อย่างโมนีก้าที่นั่งอยู่บนกล่องเสบียง เธอแกว่งขาไปมาเบา ๆ ดวงตาสีเงินเทาเหลือบมองฝั่งด้วยความตื่นเต้น “ที่นี่เขาพูดภาษาอะไรกันเหรอ?” เธอหันไปถามเลสเตอร์ที่ยืนพิงราวเรืออยู่ไม่ไกล ผมหยิกสีเข้มสะท้อนแสงแดดจนดูเป็นประกายทอง “พูดอังกฤษได้ใช่ไหม? ถ้าคุยแล้วฟังไม่ออกคงขายหน้าแน่เลย”


เลสเตอร์หัวเราะในลำคอ เสียงทุ้มของเขาแฝงความขี้เล่น “โปรตุเกตน่ะ ที่นี่เขาพูดโปรตุเกตกันเป็นหลัก แต่ไม่ต้องกังวล ภาษาอังกฤษยังใช้ได้โดยทั่วไปแหละเพราะที่นี่เป็นเมืองท่าท่องเที่ยว มีนักเดินเรือกับนักท่องเที่ยวเยอะมาก” เขาเหยียดยิ้มพลางยกมือบังแสงตะวัน “ถึงเธอจะพูดผิดเขาคงไม่ถือหรอก อย่างน้อยเธอก็มีรอยยิ้มฆ่าคนตายได้นั่นไง”


โมนีก้าเลิกคิ้วขึ้นทันที “แหม ขอบคุณนะคุณนักแม่นธนู” เธอว่าอย่างติดตลกแต่ก็แก้มขึ้นสีจาง ๆ จากการที่เขาบอกแบบนั้น “แต่ฉันคงต้องยิ้มมากหน่อยแล้วละมั้งเนี้ย เพราะฟังโปรตุเกตไม่ออกแน่เลย”


ฮารุโตะหัวเราะเบา ๆ ตอนที่ได้ยินทั้งสองคุยกันขณะจัดเตรียมกล่องปฐมพยาบาลที่มุมดาดฟ้า “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าหลงทางหรือโดนหลอกค่าขนม ให้เลสเตอร์ไปช่วยแปลให้เอง” น้ำเสียงเขาอบอุ่นอย่างเคยจนบรรยากาศบนเรือคลายตึงเครียด ลูคัสที่ยืนพิงราวข้างหัวเรือขยับตัว หรี่ตามองเส้นขอบฟ้าที่เริ่มเห็นแนวเมืองเล็ก ๆ ริมฝั่ง “สามชั่วโมงเหรอ… ฉันจะไปสำรวจเส้นทางรอบท่าเรือไว้ก่อน เผื่อมีอะไรผิดปกติ” เขาพูดเสียงเรียบแต่สายตาแฝงแววระแวดระวังตามแบบนักรบ


“ดีมาก” อิซิเลียพยักหน้าโดยไม่หันกลับ “พวก LoNex เคยใช้ท่าเรือนี้ขนของขึ้นฝั่งมาก่อน อย่าลืมว่าที่นี่ไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยว มันเป็นจุดยุทธศาสตร์กลางมหาสมุทร” น้ำเสียงของเธอเย็นจนวินเซนโซถึงกับถอนใจ “นี่เราจะพักหรือจะไปสืบข่าวกันแน่?”


“ทั้งสองอย่าง” อิซิเลียตอบสั้น ๆ ก่อนกดสวิตช์ส่งสัญญาณขอเทียบท่า เสียงสัญญาณวิทยุภาษาต่างประเทศดังแทรกเข้ามาเป็นสำเนียงโปรตุเกตเข้มข้น 


“Aqui é o porto de Ponta Delgada. Bem-vindos ao Azores!” (ที่นี่คือท่าเรือปงตาแดลกาดา ยินดีต้อนรับสู่หมู่เกาะอะโซร์ส!)


โมนีก้าทำตาโตทันที “เขาพูดว่าอะไรนะ? อะไรเดกาดา?” เลสเตอร์หัวเราะตอนที่โมนีก้ากำลังพยายามที่จะพูดตามสิ่งที่วิทยุสื่อสารส่งมา “เขาต้อนรับเราน่ะ ไม่ต้องกลัวไม่ได้ด่าแน่”


“ขืนด่าฉันก็คงไม่รู้หรอก เพราะฟังไม่ออกอยู่ดี” เธอตอบพลางหัวเราะร่า เสียงของเธอกลบคลื่นเบา ๆ ไปชั่วขณะก่อนวินเซนโซจะขยับคันเร่งให้เรือค่อย ๆ เข้าเทียบท่า


ไม่นานเมืองปงตาแดลกาดาก็เผยตัวเต็มตา อาคารสีขาวเรียงรายตัดกับหลังคากระเบื้องสีแดงสด ถนนเล็ก ๆ เลียบทะเลเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่สวมเสื้อผ้าสีอ่อน กลิ่นกาแฟคั่วลอยมาตามลมจากร้านริมท่า กลิ่นขนมปังอบใหม่กับเสียงนกนางนวลผสมกันอย่างลงตัว เมื่อเรือเทียบท่าพอดี วินเซนโซก้าวลงไปก่อนพร้อมกล่องเครื่องมือ เขาหันมายิ้ม “สามชั่วโมงนะเด็ก ๆ ถ้าใครอยากกินไอศกรีมหรือกาแฟ ตอนนี้ล่ะโอกาสทอง แต่ฉันต้องไปงัดฝาเรือซ่อมปั๊มน้ำมันอยู่ใต้ท้องเรือแทน…”


“ขอให้โชคดีนะวินเซนโซ” เลสเตอร์แกล้งพูดเสียงเรียบ “อย่าให้หมึกยักษ์ในท่อดูดลงไปล่ะ”


“ฮ่าฮ่า ตลกมากนะ คุณคนโปรดของเทพพระอาทิตย์” วินเซนโซสวนกลับอย่างรู้ทันแต่ก็หัวเราะ เขาสะพายเครื่องมือเดินไปทางสถานีเติมน้ำมัน ขณะที่โมนีก้ากระโดดลงจากเรือบ้าง ดวงตาเปล่งประกายเมื่อสัมผัสพื้นดินจริงเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน “โห…พื้นไม่โยกจริง ๆ ด้วย” เธอพูดพลางเหยียบสองเท้าเบา ๆ แล้วหันไปยิ้มให้ฮารุโตะ “ฉันจะไปดูร้านขายของฝั่งโน้นสักหน่อยนะ จะซื้อผลไม้สดหน่อย ที่นี่น่าจะมีพวกกล้วยหรือสับปะรดแบบในตลาดท้องถิ่นด้วย”


ฮารุโตะพยักหน้าตอบโมนีก้า “ระวังหลงนะครับ”


“ไม่หลงหรอกน่าาา” เธอว่าพลางหัวเราะสดใส เสียงนั้นดังแทรกไปท่ามกลางกลิ่นเกลือทะเลและเสียงคลื่นเบา ๆ ของยามบ่ายขณะที่เลสเตอร์มองตามเธอเงียบ ๆ รอยยิ้มบางบนใบหน้าดูอบอุ่นกว่าทุกครั้ง หมู่เกาะอะโซร์สในวันนั้นดูเหมือนหยุดเวลาไว้ชั่วครู่ แสงอาทิตย์สะท้อนผิวน้ำเป็นประกายเงิน เมฆขาวลอยต่ำเหนือภูเขาไฟสีเขียว และกลุ่มเดมิก็อดหนุ่มสาวที่ผ่านศึกมาไม่หยุดพัก…ได้หายใจลึกอีกครั้ง ก่อนโลกจะเริ่มเคลื่อนไหวต่อไป

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

การเดินทางประมาณ 5 วันทำให้มาถึงหมู่เกาะจนได้ ตอนนี้ทุกคนพึ่งสู้กับลูชก้าเสร็จแต่ก็โอเคแหละ พวกเราเทียบท่ากันที่ ท่าเรือปงตาแดลกาดา เมืองหลวงของหมู่เกาะอะโซร์ส ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเติมน้ำมันและพักผ่อน


[อยู่ระหว่างการเดินทาง]

[ปะทะกับลูชก้า 1 ฝูง]

[เดินทางถึง หมู่เกาะอะโซร์ส]

[ระยะทางที่เดินทางไปแล้ว 2,184 ไมล์ทะเล]

avatar

Moneka M. Blossom

เย่ พื้นดิน

avatar

Vincenzo Bergamotto

ทำไมรู้สึกเหมือนว่างานเยอะจังเลยน่า

avatar

Icilia Dominicus

(นั่งจดบันทึุกรายงานกรอกแกร๊ก ๆ 

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-

มีค่า LUK 95+ หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ ไข่มุกอสูรทะเล จำนวน 1 ชิ้น 1 x 2 = 2 ชิ้น

ได้รับ หนวดลูชก้า จำนวน 5 ชิ้น 5 x 2 = 10 ชิ้น

ได้รับ เขี้ยวลูชก้า จำนวน 7 ชิ้น = 7 x 2 = 14 ชิ้น

สรุป ได้รับ ไข่มุกอสูรทะเล 1 ชิ้น, หนวดลูชก้า 5 ชิ้น, เขี้ยวลูชก้า 7 ชิ้น

+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด ลูซก้า ครั้งแรก


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)

แสดงความคิดเห็น

เอ้า พึ่งเห็น 555 เจอที่ช่องแคบแทนเอานะ พึ่งลงไปตะกี้  โพสต์ 2025-10-5 13:22
God
คุณเจอ 4 ยักษ์ไซคลอปส์ต้อนรับตามสองฝั่งหุบเขาเขวี้ยงหินโจมตี  โพสต์ 2025-10-5 13:05
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-10-5 12:12
โพสต์ 94784 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-5 04:40
โพสต์ 94,784 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-5 04:40

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-5 13:21:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 38 : …สวยเกิ๊นนนน
วันที่ 29 เดือน กันยนยา ปี 2025
เป็นต้นไป ณ หมู่เกาะอะโซร์ส จนถึง ช่องแคบยิบรอลตาร์ ยุโรป

แสงแดดของเมืองปงตาแดลกาดาส่องกระทบหลังคากระเบื้องสีส้มสลับเทา บ้านเรือนเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบริมถนนหินกรวดที่ทอดยาวคดเคี้ยวผ่านร้านกาแฟเล็ก ๆ และแผงผลไม้ที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นของส้ม มะนาว และองุ่นสุก โมนีก้าเดินลั้ลลาไปตามทางด้วยสีหน้าเบิกบานเต็มที่ เธอใส่หมวกสานปีกกว้างป้องกันแสงแดด ผมสีม่วงครามปลิวไปตามลมทะเล กลิ่นเกลือปะปนกับกลิ่นของขนมปังอบใหม่ลอยอยู่ในอากาศจนเธอต้องหันมองรอบตัวตลอดเวลา รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กสาวบ่งบอกว่าการได้ลงเหยียบแผ่นดินอีกครั้งหลังหลายวันกลางทะเลคือความสุขที่สุดในตอนนี้


เมืองแห่งนี้งดงามราวภาพวาด อาคารสีขาวขอบดำแบบโปรตุเกสตั้งเรียงราย ทางเดินประดับด้วยกระเบื้องลวดลายเรขาคณิต สีฟ้าของทะเลไกล ๆ กลืนเข้ากับฟ้าสว่างที่ไม่เคยมืดลงในโลกยุคนี้ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังคลอไปกับเสียงหัวเราะของนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่เดินสวนกันไปมา โมนีก้าอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเด็กตัวเล็กวิ่งถือบอลผ่านหน้าไป “ของกินเต็มเลยแฮะ...” เธอบ่นพึมพำพลางกวาดตามองซ้ายขวา 


“โอ้ พระเจ้า…เมืองนี้มันน่ารักเกินไปแล้ว!” เธอพูดกับตัวเองพร้อมยิ้มกว้างจนแทบจะหัวเราะออกมา ขณะที่สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านผลไม้สด และพ่อค้าปิ้งปลาตัวโต ๆ อยู่ข้างถนน กลิ่นหอมลอยแตะจมูกจนท้องร้องเบา ๆ 


ร้านขายผลไม้แถวนี้จัดเรียงของสดใหม่จนดูเหมือนภาพโฆษณา กล้วยหอม ลูกแพร์ แอปเปิลสีแดงสด และมะม่วงสุกงอมแต่ราคาก็สูงเอาเรื่องเพราะอยู่กลางเกาะ เธอยิ้มแห้ง ๆ หยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาเช็กจำนวนเหรียญในมือก่อนพึมพำกับตัวเองว่า “ของแพงหน่อยก็ช่างมันเถอะ ยังไงก็ต้องซื้อตุนขึ้นเรืออยู่ดี” เมืองนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ บ้างถ่ายรูป บ้างนั่งจิบกาแฟที่ร้านกลางแจ้ง โมนีก้าชอบตรงที่ทุกคนดูผ่อนคลาย มันแตกต่างจากความเครียดบนเรือหรือภารกิจที่ต้องระวังภัยตลอดเวลา และถึงแม้ราคาของจะค่อนข้างแพงแต่เธอก็ยอมแหละ


เธอเดินต่อไปอย่างเพลิดเพลินกับเสียงดนตรีสดที่ดังมาจากหัวมุมถนน กลิ่นคาราเมลจากร้านขนมหวานลอยมาแตะจมูกจนท้องร้อง โมนีก้าหัวเราะเบา ๆ พลางก้าวเข้าไปดูผลไม้ที่ตั้งเรียงบนรถเข็น “ขอลองชิมได้ไหมคะ?” เธอถามแม่ค้าด้วยรอยยิ้มสดใสและเสียงใสภาษาปนอังกฤษแบบสำเนียงต่างถิ่นจนแม่ค้าหัวเราะเอ็นดู ผลไม้ของร้านรถเข็นเรียงเป็นชั้น สีสันสดใสจนน่ามอง มือเรียวคว้าพีชลูกโตขึ้นมาดู 


ก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง “ของแบบนั้นต้องรู้จักเลือกนะ คนสวยอย่างเธอไม่น่าจะเลือกของได้หรอก” เสียงทุ้มต่ำเอื่อยแต่แฝงความล้อเลียนทำให้โมนีก้าหันกลับไปทันที คนที่พูดเป็นชายร่างสูงในเสื้อกล้ามสีซีดกับผิวแทนเข้ม ยืนอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงเมตร รอยยิ้มบนหน้าของเขาดูไม่เป็นมิตรนักในสายตาของโมนีก้า ดวงตากลมคมของเขาจ้องมองเธออย่างจงใจจนรู้สึกขนลุก เธอยกคิ้วเล็กน้อยพยายามยิ้มแบบสุภาพ “อ้อค่ะ...ขอบคุณนะคะ สำหรับความเป็นห่วงค่ะ” แล้วหันกลับไปจ่ายเงินให้แม่ค้าด้วยท่าทางปกติธรรมดาสไตล์เธอ แต่ความจริงแล้วก็คือไม่อยากยุ่งนั้นเอง


แต่แทนที่ชายคนนั้นจะถอยกลับ เขากลับเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนเงาของเขาทาบลงบนร่างของเธอ “อย่าทำท่าหยิ่งแบบนั้นสิสาวน้อย เธอมากับใครล่ะ? เดินคนเดียวแบบนี้อันตรายนะ…” เขายกมือพยายามแตะไหล่ของเธอ จนโมนีก้าถอยหลังหนึ่งก้าว น้ำเสียงเริ่มสั่นนิด ๆ “เอ่อ…คือฉันบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไรค่ะ ขอบคุณนะคะ ขอตัวก่อนนะคะ” โมนีก้าพยายามประนีประยอมที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ชายคนนั้นกลับหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน “โธ่ อย่าทำแบบนี้เลย แค่ไปนั่งคุยกันหน่อยก็ได้ ฉันรู้ร้านดี ๆ อยู่ตรงนั้น” เขาชี้ไปยังตรอกด้านข้างที่เงียบผิดปกติ

หัวใจของโมนีก้าเต้นแรงขึ้นอย่างระแวดระวัง แต่ยังคงสงบพอจะไม่แสดงความกลัวออกไป ดวงตาเทาเงินจับจ้องอีกฝ่ายอย่างเย็นชา มือข้างหนึ่งเลื่อนลงแตะมีดสั้นที่เหน็บไว้ในกระเป๋าข้างกระโปรงโดยไม่ให้เขารู้ “ฉันว่า…คุณชวนคนอื่นดีกว่าค่ะ” โมนีก้าพยายามพูดให้ดี แต่ทว่ามีเสียงราบเรียบในลำคอ ทว่าชายคนนั้นยังยิ้มอยู่เหมือนจะไม่รู้ตัวว่ากำลังล้ำเส้น เธอขยับก้าวเล็กน้อย หมุนตัวเอียงให้ห่างจากมือเขาอีกครั้ง 


แต่เมื่อเขาพยายามเข้ามาใกล้อีกครั้ง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากอีกฟากของถนน


“เธอหายไปไหนมาเนี่ยโมนีก้า ฉันตามหาตั้งนาน…ทำอะไรอยู่?” เสียงเลสเตอร์ดังขึ้นพร้อมกับเงาของเขาที่ปรากฏอยู่ตรงร้านฝั่งตรงข้ามในจังหวะพอดี ดวงตาสีฟ้าของเขาส่องประกายเจิดจ้าอย่างน่าประหลาดท่ามกลางแดดจัดจนแทบมองไม่ชัด เขาก้าวเข้ามาหาเธออย่างมั่นใจ พลางมองชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นเฉียบ


ชายคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ “โอ้ มีเพื่อนมาด้วยเหรอ... ฉันแค่ทักสาวน้อยคนนี้กันเฉย ๆ ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้” เขาพูดพลางถอยไปช้า ๆ 


เลสเตอร์ยกคิ้วมองไปทางคนที่บอกแบบนั้น “ใช่ ถ้าแค่ทักเฉย ๆ งั้นเราขอตัว” น้ำเสียงเรียบ แต่ดวงตาแฝงแรงกดดันจนคนฟังกลืนน้ำลายแทบไม่ลง ชายคนนั้นไม่พูดอะไรต่อเมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ด้วยก็รีบเดินหนีไปทันที เมื่อเขาลับตาโมนีก้าก็ถอนหายใจแรงเหมือนเพิ่งหลุดจากอาการเกร็ง “ขอบคุณนะ…” เธอพูดเสียงเบาแบบเหนื่อย ๆ นิดหน่อย เลสเตอร์เลยหัวเราะในลำคอเบา ๆ “ไม่เป็นไร แต่ครั้งหน้าอย่าเดินมาคนเดียวแบบนี้อีก เข้าใจไหม”


“ฉันก็แค่จะมาซื้อผลไม้ขึ้นเรือเองนี่นา ไม่คิดว่าจะโดนแบบนี้” เธอบ่นขณะยื่นลูกพีชให้เขาดู “อยากกินไหม?” เลสเตอร์ยิ้มมุมปาก “ถ้าเธอป้อนให้ก็เอา”


“ฝันไปเถอะนาย” เธอตอบพลางหัวเราะ แต่รอยยิ้มที่มุมปากเธอค่อย ๆ กลับมาอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งและแสงแดดยามบ่ายของเมืองเกาะที่งดงาม ความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อครู่ก็จางหายไป เหลือเพียงความอุ่นจากเพื่อนคนหนึ่งที่เดินข้าง ๆ 


แสงแดดเกาะซานมิเกลทอประกายอุ่น ๆ เหนือเส้นขอบฟ้า น้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มสะท้อนแสงระยิบระยับเป็นแถบยาวจนสุดสายตา กลิ่นเกลือจาง ๆ ลอยมากับลมจากมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้บรรยากาศของเมืองปงตาแดลกาดาอบอวลไปด้วยความผ่อนคลายและความมีชีวิตชีวา โมนีก้าเดินถือไอศกรีมซอฟต์ครีมในมือเธอยกขึ้นเลียอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าหวานเปื้อนรอยยิ้มที่ดูจะละลายได้พอ ๆ กับเนื้อไอศกรีมในมือ


“อร่อยสุด ๆ ไปเลย!” เธอบอกพลางแกว่งขาเดินอย่างมีจังหวะ มืออีกข้างถือถุงผลไม้ที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดสด ส่วนข้างหลังเธอคือเลสเตอร์กับลูคัสที่เดินถือของพะรุงพะรังเต็มสองมือ เหงื่อซึมตามขมับแต่ก็ยังต้องยิ้มรับโชคชะตาของคนแบกของจำเป็น “ดีนะที่ของมันแพง ไม่งั้นมีหวังโดนเธอลากไปซื้อทุกแผงแน่” เลสเตอร์เอ่ยเสียงกึ่งบ่นกึ่งขำ


“ก็ของที่นี่มันน่าซื้อทั้งนั้นเลยนี่นา!” โมนีก้าเถียงเสียงใสกับเลสเตอร์ ก่อนจะหัวเราะคิก ๆ หันไปหาเขา “อย่าบ่นนักเลยน่าเลสเตอร์ นายดูดีตอนถือของนะเหมือนพ่อบ้านเลย”


“พ่อบ้านเหรอ? ฟังดูเหมือนถูกลดตำแหน่งจากตำแหน่งคนสู้ระยะไกลลงมาเยอะเลยนะ” เขาพึมพำเบา ๆ แต่ยิ้มมุมปากด้วยความขบขันในขณะที่ลูคัสหัวเราะเสียงดัง “อย่างน้อยก็ยังมีตำแหน่งอยู่ ฉันสิ แบกถุงปลาหมึกกับหอยสองกิโล” ฮารุโตะที่เดินอยู่ข้าง ๆ โมนีก้าหัวเราะอารมณ์ดี เขาถือไอศกรีมรสชาเขียวเหมือนกัน “อย่าลืมว่าคืนนี้เราต้องทำอาหารนะครับ ของทั้งหมดนี่เพื่อพวกเราทั้งนั้นแหละ” เสียงของเขานุ่มนวลและมีรอยยิ้มอ่อนโยนจนคนฟังรู้สึกสบายใจ โมนีก้าเลยยกนิ้วโป้งให้เขา “ฮารุโตะคือฮีโร่ของทีมเลยนะ ฉันเชื่อว่าวันหนึ่งนายจะได้เปิดร้านอาหารแน่ ๆ”


“หรือเปิดคาเฟ่ดีล่ะ? ฉันจะช่วยตกแต่งร้านให้” เสียงเลสเตอร์แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเจือเย้า ฮารุโตะหัวเราะเบา ๆ “แต่อย่าให้คุณเลสเตอร์มาเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านนะครับ ผมยังอยากให้ลูกค้าอยู่ครบก่อนเสิร์ฟจานหลัก” 


โมนีก้าที่ได้ยินก็เกือบสำลักไอศกรีมเพราะหัวเราะไม่หยุด “โอ้โห นายพูดถูกใจฉันมากเลยฮารุโตะ! เพราะเลสเตอร์ชอบจีบคนไปทั่ว” เธอพูดพลางหัวเราะเสียงใส จนลูคัสต้องพูดเสริม “พวกนายสองคนเสียงดังเกินไปแล้วนะเนี้ย” ทั้งสี่คนเดินไปตามถนนริมทะเลซึ่งทอดยาวขนานกับแนวชายหาด ลมทะเลพัดแรงพอให้กลิ่นเค็มแตะปลายจมูก ข้างหน้าเป็นแนวร้านกาแฟเรียงรายติดกัน บางร้านมีโต๊ะไม้ตั้งอยู่บนระเบียงที่มองเห็นทะเลได้สุดสายตา และนั่นเองที่โมนีก้าเหลือบเห็นบางสิ่ง


“นั่น…วินเซนโซกับอิซิเลียใช่ไหม?” เธอพูดพลางชี้นิ้วไปทางร้านคาเฟ่สีขาวที่มีร่มไม้พับไว้สองคันตรงมุมสุดถนนทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงระเบียงริมหาด วินเซนโซสวมเสื้อเชิ้ตเปิดกระดุมบนสองเม็ด นั่งเอนตัวพิงเก้าอี้ไม้พลางถือแก้วเอสเพรสโซ่ในมือ ส่วนอิซิเลียในชุดโลลิต้าสีดำเงายกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอย่างสง่างามแต่มีรังสีอย่ามายุ่งแผ่ออกมาโดยไม่ต้องพูดสักคำ


“อ่ะ…นั่นพวกเขาจริง ๆ ด้วยครับ” ฮารุโตะพูดยิ้ม ๆ “ผมพนันได้เลยว่าวินเซนโซคงเป็นคนชวนคุณอิซิเลียมากินกาแฟแน่เลย”


“หรือไม่ก็จีบเธอตรง ๆ ไปเลยหรีือเปล่า” เลสเตอร์ว่าเสียงเรียบแต่สายตากรุ้มกริ่ม โมนีก้าเบิกตากว้าง “วินเซนโซไม่ใช่นายนะเลสเตอร์ เขามีแฟนและเขาก็รักแฟนเขามากด้วย ไม่ได้เป็นคนขี้เก๊กเจ้าชู้แบบนาย” เสียงหัวเราะของกลุ่มดังกลบเสียงคลื่นชั่วขณะ ทั้งหมดเดินต่อไปตามแนวชายหาดที่มีทรายละเอียดสีขาวนวล ลมอุ่นพัดมาปะทะใบหน้าอย่างอ่อนโยน โมนีก้าเดินเคียงข้างฮารุโตะพลางมองเส้นขอบฟ้าที่สะท้อนแสงเป็นประกาย เธอยกไอศกรีมขึ้นกินอีกคำก่อนพูดเบา ๆ “รู้ไหม ฉันไม่คิดเลยว่าการเดินทางตามองค์กร LoNex จะมีช่วงเวลาสงบแบบนี้ด้วย”


ฮารุโตะหันมามองเธอดวงตาเขาเป็นประกายอ่อนโยนแล้วเหลือบตามองทุกคน “เพราะถึงจะมีภารกิจ แต่เราก็ยังเป็นคนธรรมดาที่ต้องการพักหายใจบ้างไงครับ” คำพูดนั้นทำให้โมนีก้ายิ้มกว้างขึ้น เธอมองไปที่ทะเลอีกครั้ง พลางรู้สึกว่าความกลัวในฝันร้ายคืนนั้นค่อย ๆ จางลงไปกับสายลมของเกาะแห่งนี้ เสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ กลายเป็นคลื่นซัดเข้ามาในใจ


แต่หลังจากนั้นความสงบก็หายไป เมื่อคลื่นทะเลกระทบฝั่งอย่างอ้อยอิ่ง ลมอุ่นจากแอตแลนติกพัดพาไอเกลือเข้ามากระทบผิวอย่างแผ่วเบา เสียงหัวเราะของโมนีก้าและฮารุโตะที่ยังถกเถียงกันเรื่องรสชาติของซอฟต์ครีมดังแทรกในอากาศ แต่บรรยากาศที่สดใสกลับถูกทำให้หยุดชะงักไปชั่วขณะ เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านเข้ามาในสายตาของพวกเขาทั้งหมดอย่างไร้เสียง เธอเดินเท้าเปล่าบนผืนทราย ชุดบิกินี่สีฟ้าน้ำทะเลสะท้อนกับแสงตะวันจนดูราวกับเธอเป็นคลื่นที่กลายร่างเป็นคน ผิวขาวละเอียดดั่งไข่มุก เส้นผมยาวสีเงินอ่อนปลิวสยายอย่างมีชีวิตราวกับสายแพรแห่งน้ำทะเล ดวงตาของเธอเป็นสีฟ้าอมเขียวเหมือนแสงสะท้อนใต้คลื่น งดงามและลึกลับเสียจนคนที่มองเผลอลืมหายใจ เธอเดินผ่านไปอย่างสง่างาม ทุกย่างก้าวเหมือนเต้นรำอยู่บนผิวน้ำ


โมนีก้าคือคนแรกที่เห็น เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นสั้น ๆ ความงามนั้นไม่ได้เย้ายวนอย่างโจ่งแจ้ง แต่ลึกลับและชวนให้หลง เธอหรี่ตาลงมอง “สวย...” คำเดียวที่หลุดจากปากโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของเธอขึ้นสีระเรื่อเพราะอายที่พูดออกไปแบบนั้น


ลูคัสที่เดินข้าง ๆ เงียบงันไปชั่วครู่ เขาขยับตัวเล็กน้อยพลางมองต่ำ ดวงตาฟ้าคู่นั้นเลื่อนไปมาระหว่างพื้นทรายกับขาเรียวยาวของหญิงสาวอย่างพยายามควบคุมตนเอง “อืม... ไม่ควรมอง แต่... โอ้...” เขากระแอมเบา ๆ แล้วพยายามเบือนหน้าไปทางอื่นแต่ก็ทำไม่สำเร็จเสียที ฮารุโตะนั้นหนักกว่า ใบหน้าแดงจัดราวกับลูกมะเขือเทศ เขาพูดอะไรไม่ออกเลยนอกจาก “อ้า…” มือที่ถือไอศกรีมละลายหยดลงใส่รองเท้าโดยไม่รู้ตัว ดวงตาสีเขียวไหวระริกอย่างคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ “เธอ... เธอเหมือนนางฟ้าเลย...” เสียงแผ่วเบาราวกับคนละเมอ


เลสเตอร์ที่กำลังพูดคุยอยู่ข้างหลังหันไปพอดี เขาชะงักไปในวินาทีที่ดวงตาสีฟ้าของเขาสบเข้ากับหญิงสาวคนนั้น ความรู้สึกแปลกประหลาดวิ่งวาบขึ้นตามแนวสันหลังไม่ใช่แค่ความสวย หากแต่เป็นแรงดึงดูดบางอย่างที่เหมือนกระตุ้นส่วนลึกของจิตใจ เขานิ่งงัน ดวงตาสั่นไหวอย่างกับกำลังมองเห็นบางสิ่งที่คุ้นเคยในอดีต เขากะพริบตาถี่ ๆ ไล่ความคิด ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างสับสน


วินเซนโซที่นั่งอยู่กับอิซิเลียใกล้ ๆ ริมร้านกาแฟก็เห็นเช่นกัน เขาชะงักไปในจังหวะที่หญิงคนนั้นเดินผ่านหน้าร้าน ดวงตาเขามีประกายอึ้งปนระแวดระวัง ต่างจากคนอื่นที่มองด้วยความหลงใหล วินเซนโซจ้องลึกลงไปในท่าทีการก้าวเดิน “ฝีเท้าเบาเกินไป...” เขาพึมพำราวกับกำลังวิเคราะห์กลไกบางอย่าง อิซิเลียซึ่งนั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้น ดวงตาเทาสีหม่นของเธอมองนิ่ง ไม่หลงใหล ไม่หวั่นไหว “ไม่ใช่มนุษย์” เธอพูดเสียงเรียบโดยไม่ลดแก้วกาแฟลง “กลิ่นน้ำเค็มของทะเลแรงผิดธรรมชาติ อย่างกับมาจากใต้ผิวน้ำลึก... เธอคือเมลูซีน”


ในขณะที่อิซิเลียพูด เสียงหัวเราะใส ๆ ของหญิงคนนั้นก็ดังขึ้น เธอหันมายิ้มให้พวกเขาทุกคน ดวงตาทอแสงระยิบวูบเหมือนแสงสะท้อนจากผิวน้ำยามบ่าย “พวกเธอ... มาจากแดนไกลสินะ” เสียงของเธอหวานเย็นแปลกประหลาด คล้ายเสียงคลื่นกระซิบผ่านหินใต้น้ำ ทุกคำพูดทำให้หัวใจของผู้ฟังเต้นช้าลงโดยไม่รู้ตัว โมนีก้าขมวดคิ้วเธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างในอากาศไม่ถูกต้อง มือเธอกำด้ามมีดสั้นในกระเป๋ากระโปรงแน่นโดยสัญชาตญาณ “เอ่อ... ใช่ค่ะ พวกเราแค่ผ่านมา...”


เมลูซีนยิ้มพลางก้าวเข้ามาใกล้โมนีก้า เสียงฝีเท้าของเธอเบาจนแทบไม่มี “น่าสนใจจัง เด็กน้อยจากอีกทวีป...” เธอเอียงศีรษะนิด ดวงตาจับจ้องไปที่โมนีก้า “เจ้ามีกลิ่นของดินและพืช... เดมิก็อดแห่งเซเรสสินะ?” พริบตาเดียวเท่านั้น เมลูซีนก็พุ่งเข้ามาทางโมนีก้า เกล็ดที่ท่อนล่างเป็นงูสะท้อนแสงจ้าจนตาพร่า นางแผดเสียงหวานแหลมคล้ายคลื่นกระแทกหิน เวทย์สะกดใจแล่นวาบบีบสมาธิโมนีก้าให้สั่น เธอยกกราดิอุสขึ้นไม่ทันอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ หางลายเกล็ดก็วกกลับมาม้วนรัดลำตัวโมนีก้าตั้งแต่เอวขึ้นไป บีบแน่นราวคีมเหล็กจนลมหายใจติดขัด


“โมนีก้า!” เลสเตอร์แทบจะพุ่งตัวใส่เขาตะโกนออกมาเสียงสั้นดุ ยกมือเงื้อธนูขึ้นลั่นศรแหวกอากาศเป็นเส้นแสงเฉียบที่ไม่ใช่แสงฉูดฉาด แต่แม่นยำพอควบคุมวิถีให้เฉียดแก้มโมนีก้าไปฉิวเฉียด ปักเข้ากกหูเมลูซีน เมลูซีนผงะสั้น ๆ หางคลายตัวชั่วขณะพอให้โมนีก้าฝืนบิดลำตัว หยัดดาบสั้นค้ำระหว่างปล้องเกล็ดกันแรงรัดไม่ให้ซ้ำ


วินเซนโซหยิบอาวุธของตนเองที่รูดออกจากสายคาดเอวแล้วโจมตีใส่ด้วยเช่นเดียวกัน เมลูซีนสะดุ้งร้อง ลูคัสฉวยจังหวะนั้นพุ่งเข้าประชิดโล่กระแทกซีกเอวให้เสียหลักก่อนหมุนตัวฟาดด้ามดาบกวาดล้ม นางฉกหางปะทะโล่อย่างดุเดือด เสียงเหล็กกับเกล็ดขบกันจนสะท้อนทั้งริมหาด


อิซิเลียยกมือซ้ายควบคุมเงามืดทาบพื้นกลายเป็นเส้นเชือกสีหม่น เงาพุ่งมัดข้อมือเมลูซีนติดพื้นเป็นช่วง ๆ ลดลีลาบนทรายให้เชื่องช้าลง ฮารุโตะวิ่งไปตำแหน่งสูงย่อตัวดึงสายธนูอย่างมั่นคง “ลมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ…สองส่วน” เขาพึมพำ คายลมหายใจแล้วยิง ศรเจาะเข้าครีบหลังตรงจุดกึ่งกลางเส้นประสาท จนเมลูซีนสะดุ้งชาวาบร่างสะท้านจนแรงรัดหางเสียจังหวะ


โมนีก้าที่โดนรัดคนแรก็เริ่มฮึดขึ้น เธอกัดฟันบิดเอวให้หลุดเสี้ยวเดียวแล้วสอดดาบสั้นเข้าไปโจมตีทันทีมีดติดระหว่างปล้องเกล็ด เธอใช้มันเป็นหลักงัดตัวเองหลุดจากวงรัด ล้มลงกลิ้งหนึ่งรอบก่อนลุกใหม่ หัวใจยังเต้นระส่ำแต่ดวงตาแน่วแน่ขึ้น “ฉันโอเค!” เธอตะโกนบอกเพื่อน เมลูซีนคำราม ดึงเวทสะกดใจอีกระลอกให้คลื่นคนดูพร่า เเลสเตอร์ไม่รอช้าเขาสะบัดนิ้วบนคันศรชั่วขณะคมสายธนูแลบประกายคล้ายเงาอาทิตย์สะท้อนผิวน้ำ เขายิงชุดสั้นสามดอก ซ้อนวิถีให้ตัดกันที่หน้ากากเกล็ดเหนือคิ้ว จนเมลูซีนเสียตาไปหนึ่งข้าง เงามืดของอิซิเลียกระชากลงรอบใหม่ตรึงไหล่ซ้ายติดทราย


“จบงาน!” ลูคัสคำราม กระแทกโล่อีกครั้ง เปิดชายป้องเมลูซีนให้เผยช่องท้องที่ไม่มีเกล็ด วินเซนโซจึงวิ่งสไลด์เข้ามุม เขาใช้ตะขอคว้างานช่างในมือเกี่ยวข้อหางแล้วบิดสวนแรง สร้างช่องว่างพอให้ฮารุโตะยิงปิดบัญชีด้วยศรสุดท้ายปักกึ่งระหว่างซี่โครง เมลูซีนกรีดร้องเสียงหลง หยาดน้ำเกลือระเหิด กลายเป็นผงทองลอยแตกกระจายกลางลมทะเล


เสียงหอบหายใจของทุกคนทิ้งตัวลงมาแทนที่ความวุ่นวาย โมนีก้ายืนซับเหงื่อ มือขาวซีดแต่จับดาบแน่นน้อยลง ฮารุโตะจึงรีบวิ่งเข้ามาเช็กชีพจรของโมนีก้าและร่องรอยการบาดเจ็บทันที “ปกติดีครับ แค่รอยช้ำรอบเอวกับไหล่เดี๋ยวประคบเย็นกับล้างคราบก็พอนะครับ” เขายิ้มอ่อนโยนให้กำลังใจ


เลสเตอร์ลดคันศรลงช้อนสายตามองเพื่อน ๆ ทีละคน “สวยงาม ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีเลยนะเนี้ย” เขาแกล้งทำเสียงนิ่งกลบความเป็นห่วงที่มีในตัวของเขา ก่อนหันมาหยอกเบา ๆ กับโมนีก้า “คะแนนเอาตัวรอดครั้งแรกผ่านนะ แต่ครั้งหน้าอย่าให้หางรัดได้ง่าย ๆ แบบนี้อีกนะ” ลูคัสพยักหน้าเห็นด้วยกับทางเลสเตอร์เขาเดินมาเอาเสื้อคลุมพาดไหล่ให้โมนีก้า “ปิดรอยช้ำไว้ก่อน เดี๋ยวคนจะสงสัยเอา”


โมนีก้าสูดลมหายใจลึกมือกระชับเสื้อคลุมของคุณลูคัส ระหว่างการเดินทางกลับไปยังเรือ สำหรับเธอแล้วหัวใจยังเต้นแรงนิด ๆ จากเหตุการณ์เมื่อครู่ โมนีก้าเอ่ยเสียงแผ่วขอบคุณทุกคน “ขอบคุณทุกคนนะคะ… ฉันไม่รู้ตัวเลยจริง ๆ ว่านั้นจะเป็นอสุรกาย” แววตาเทาเงินยังมีร่องรอยความกลัวหลงเหลืออยู่ แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


เลสเตอร์ที่ยืนพิงกราบเรืออยู่หันมามอง เขาเพียงยักไหล่น้อย ๆ ก่อนหัวเราะเบา “อย่าคิดมากเลย เธอทำได้ดีแล้วล่ะ ครั้งหน้าแค่ตั้งสติไว้ให้ทันก็พอ” น้ำเสียงเขาเหมือนจะล้อแต่ในแววตากลับมีแววอ่อนโยนแฝงอยู่ ลูคัสที่กำลังม้วนเชือกหัวเรือพูดตามน้ำ “ใช่ ไม่เป็นไรหรอก พวกเราทุกคนก็เคยมีครั้งแรกทั้งนั้น” ส่วนฮารุโตะที่กำลังยื่นขวดน้ำให้โมนีก้าเสริมขึ้นอย่างอารมณ์ดี “โมนีก้านี่แข็งแรงกว่าที่คิดนะครับ เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้แต่สู้ไม่ถอยเลย”


วินเซนโซที่อยู่ตรงห้องบังคับเรือแค่ชูแก้วกาแฟขึ้นอย่างขี้เกียจแต่แฝงความขี้เล่น ส่วนอิซิเลียที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนกล่องเก็บสัมภาระก้มหน้าเช็ดเลือดสีทองจาง ๆ ที่ติดชายกระโปรงออกของเธอออกแล้วพูดเสียงนิ่งแต่ใจดี “เธอควรจะภูมิใจไว้หน่อยนะ ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสรอดจากหางของเมลูซีนได้โดยไม่กระดูกหัก”


เสียงหัวเราะแผ่วดังประสานกับเสียงคลื่น พอเสบียงถูกเก็บขึ้นเรือเรียบร้อย พวกเขาก็เริ่มจัดข้าวของเตรียมออกจากฝั่งอีกครั้ง วินเซนโซหมุนพวงมาลัยเช็กเครื่องยนต์ เสียงเครื่องเรือเริ่มครางต่ำ ๆ อย่างมั่นคง อิซิเลียตรวจเข็มทิศและกล้องระยะไกลข้างตัว เธอพูดขึ้นโดยไม่หันหลัง “เส้นทางต่อจากนี้…จากหมู่เกาะอะโซร์สไปช่องแคบยิบรอลตาร์ เหลือราวหนึ่งพันไมล์ทะเล เตรียมใจไว้ พ้นจากเขตนี้เมื่อไร เราจะเข้าสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยคลื่นแรงและอสุรกายทะเลตัวใหญ่กว่าที่เห็นเมื่อเช้า”


ลูคัสยืดแขนคลายกล้ามเนื้อ เสียงโล่กระทบกันเบา ๆ “ดี จะได้อุ่นเครื่องอีกหน่อย ข้าไม่ชอบการเดินเรือที่เงียบเกินไปอยู่แล้ว” ฮารุโตะหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงแต่ตากลับหรี่มองขอบฟ้า “ขอแค่ไม่ใช่ตอนกำลังทำอาหารก็พอนะครับ ผมไม่อยากให้ซุปปลิวลงทะเลสักกะหยดมันน่าเสียดายนะครับ”


โมนีก้ามองภาพพวกเขาแต่ละคนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น เธอรู้สึกเหมือนหัวใจที่เมื่อครู่ยังเต้นระส่ำกลับอ่อนโยนขึ้นอย่างประหลาด เธอกระชับผ้าคลุมไหล่แน่นพลางมองท้องฟ้าสีทองที่เริ่มเปลี่ยนเฉดไปทางส้มอ่อน ยามเย็นค่อย ๆ คลี่ตัวออกเหนือขอบทะเล เป็นสัญญาณว่าพระอาทิตย์ใกล้จะตก แม้ในโลกที่เวลากลางคืนหายไปแต่ช่วงพลบค่ำนี้กลับมีค่าและสวยงามกว่าที่เคยเห็น


เลสเตอร์เดินมาหยุดข้างเธอ สายลมพัดผมหยิกของเขาให้ปลิวเบา ๆ เขาเหลือบตามองฟ้าเช่นกัน “อีกพันไมล์สินะ… ถ้าคิดเป็นชั่วโมงคงอีกวันเต็ม ๆ ถ้าไม่มีพายุ” เขาหยุดนิดก่อนพูดต่อ “เรือจะปลอดภัยดีเธอเชื่อสิเพราะฉันอยู่บนเรือลำนี้” เขาแกล้งยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่คนข้าง ๆ จนโม่นีก้าหัวเราะเสียงใส “พูดเหมือนตัวเองเป็นเก่งเทพเวอร์วังอย่างงั้นอ่ะนาย” คำพูดนั้นทำให้เลสเตอร์ชะงักวูบ ดวงตาสีฟ้าเข้มสะท้อนแสงตะวันวูบหนึ่ง ก่อนเขาจะแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน “ก็แน่ล่ะ ฉันมันหล่อเกินมนุษย์อยู่แล้วนี่นา”


“หลงตัวเองเว่อร์ อันนี้เรียกหล่อแล้วใช่่ปะ?” โมนีก้าไม่ได้หันไปหาเขาแต่ก็อดที่จะแซะเบา ๆ ไม่ได้ 


เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังกลืนไปกับเสียงเครื่องเรือที่เริ่มเร่งเครื่องออกจากท่า น้ำกระเซ็นกระทบกราบเรือเป็นประกายระยิบยามแสงสุดท้ายของวันเลียผิวน้ำ เงาของพวกเขายืดยาวไปตามพื้นไม้ เส้นทางจากหมู่เกาะอะโซร์สสู่ช่องแคบยิบรอลตาร์เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง พร้อมลมหายใจใหม่ที่เปี่ยมด้วยพลังและมิตรภาพที่แน่นแฟ้นกว่าเดิม ในขณะที่เบื้องหลัง ท้องฟ้าเริ่มค่อย ๆ กลืนเข้าสู่ช่วงพลบค่ำแห่งมนตรา เตือนให้พวกเขาระลึกว่า ทุกไมล์ที่แล่นไปข้างหน้าอาจซ่อนทั้งอันตรายและปาฏิหาริย์ในคราวเดียวกัน

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ทุกคนที่เรือพักที่หมู่เกาะอะโซร์สกันก่อนประมาณ 3 ชั่วโมง การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างไม่ราบรื่นเพราะช่วงที่ลงไปพักผ่อนที่ท่าเรือตรงเกาะหลวงของหมู่เกาะอะโซร์สดันเจอเมลูซีนเลสเตอร์พบอะไรบางอย่าง แต่ทว่าโมนีก้ากลับโดนโจมตีเพราะเธออ่อนแอที่สุด แต่ทุกคนก็ช่วยได้และสู้ชนะ ตอนนี้ทุกคนในเรือกำลังมุ่งหน้าไปยังยุโรปเหมือนเดิม จะถึงช่องแคบยิมรอลตาร์แล้วล่ะตอนนี้


[อยู่ระหว่างการเดินทาง]

[ปะทะกับเมลูซีน 1 ตัว]

[ระยะทางที่เดินทางไปแล้ว 2,184 ไมล์ทะเล]

avatar

Moneka M. Blossom

-

avatar

Vincenzo Bergamotto

-

avatar

Icilia Dominicus

-

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-

มีค่า LUK 90+ หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ น้ำตาเมลูซีน จำนวน 4 ชิ้น 4 x 2 = 8 ชิ้น

สรุป ได้รับ น้ำตาเมลูซีน 4 ขวด

+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด เมลูซีน ครั้งแรก


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-10-5 14:16
โพสต์ 120008 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-5 13:21
โพสต์ 120,008 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-5 13:21
โพสต์ 120,008 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-5 13:21
โพสต์ 120,008 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-5 13:21

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-5 17:42:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 39 : …มันก็ไม่ถึงกับสุข แต่ก็ไม่ถึงกับเศร้า
วันที่ 01 เดือน ตุลาคม ปี 2025
เป็นต้นไป ณ ช่องแคบยิบรอลตาร์ ยุโรป

เสียงคลื่นทะเลกระทบหัวเรือเบา ๆ คล้ายจังหวะหัวใจที่เต้นสม่ำเสมอในเช้าวันใหม่ วันที่ 1 ตุลาคม ย่างเข้าสู่เดือนที่ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเฉดสีอย่างเชื่องช้า แต่ในโลกที่กลางวันแทบไม่ลับขอบฟ้า ความงามของแสงอาทิตย์กลับดูเหมือนภาพที่ถูกบันทึกไว้ซ้ำ ๆ ไม่รู้จบ โมนีก้านั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ไม้ตรงดาดฟ้าเรือ บนเรือยอชท์ Heesen Superyacht ที่แล่นนิ่งในทะเลเปิด เธอไม่ได้อาบแดด ทั้งที่รอบตัวคือโซน Sun Deck ที่มีเบาะนุ่มสีครีมและร่มผ้าใบกางไว้เรียงราย ลมทะเลพัดปลายผมสีม่วงครามให้พลิ้วอ่อนในแสงเช้าสีเงิน เธอวางเอกสารหนาไว้บนตัก แฟ้มลับที่เธอแอบเปิดอ่านโดยไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือกลัวดี


“ศาสตราจารย์เซเวรัส โครนัส...” เธอพึมพำเสียงเบา สายตาสีเทาเงินไล่อ่านตัวอักษรเรียงแน่นบนกระดาษ สีหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนจากง่วงงุนเป็นจริงจังขึ้นทุกบรรทัด "โครงการดวงอาทิตย์สีดำ... การสังเคราะห์พลังงาน Erebus... บ้าชะมัด ยิ่งอ่านยิ่งเหมือนเขาไม่ใช่คน" เธอบ่นงึมงำกับตัวเอง พลางหยิบดินสอที่เหน็บไว้ในแฟ้มมาขีดเส้นใต้ข้อความที่ว่า ฆ่าบุตรแห่งเทพโอลิมปัสทั้งสิบสององค์เพื่อดูดซับพลังงานบริสุทธิ์ ใจเธอเย็นวาบเสียวสันหลังไม่ใช่เพราะลมทะเล แต่เพราะคำว่า ฆ่าเดมิก็อด ที่สะท้อนอยู่ในหัว


เลสเตอร์ที่อยู่บนยอดเสาเรือตรงจุดสูงสุด เฝ้ามองทิศทางลมและเส้นขอบฟ้าอยู่ก็เหลือบสายตามองลงมา เขาเห็นเธอนั่งจ้องกระดาษราวกับจะเจาะมันให้ทะลุ ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาหรี่ลงนิดหนึ่งเหมือนจับสังเกตได้ถึงบางอย่าง ก่อนจะกระโดดลงมาจากบันไดเหล็กสูงอย่างคล่องแคล่ว เสียงรองเท้ากระทบพื้นไม้เรือเบา ๆ ทำให้โมนีก้าเงยหน้าขึ้น “อ่านอะไรอยู่น่ะ ทำหน้าซีเรียสเหมือนเจอข้อสอบปลายภาคเลย” เขาแกล้งพูดหยอก แต่เมื่อเห็นว่าดวงตาของโมนีก้าไม่ขยับจากเอกสาร เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย


“แฟ้มจากเหมืองเยลโลว์ไนฟ์น่ะ” เธอตอบเรียบ ๆ แล้วส่งแฟ้มให้เขา “หัวหน้าโครงการของ LoNex ศาสตราจารย์เซเวรัส โครนัส หรือไม่ก็...ซามูเอล อาร์เดน คนเดียวกันนั่นแหละ”


เลสเตอร์รับแฟ้มไปพลิกดูผ่าน ๆ แสงแดดสะท้อนบนขอบกระดาษ เขาอ่านเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนหัวเราะในลำคอเบา ๆ “ฟังดูเหมือนพวกอัจฉริยะที่มีอีโก้สูงจนลืมว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์อยู่สินะ”


“เขาไม่ใช่มนุษย์แล้วมั้งจากที่อ่านอ่ะ” โมนีก้าตอบอีกคนรวดเร็วกว่าที่คิดดวงตาเธอสะท้อนแสงทะเลวาววับ “เขาเป็นอมตะ เขา...ใช้เลือดของลูกเทพรุ่นก่อนหน้าสร้างเครื่องลูกบาศก์ดูดพลัง แล้วก็เอาไปทำโครงการที่เรียกว่า Black Sun ที่พวกเราเคยได้ยิน ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ แต่นี้มันฟังดูเหมือนฝันร้ายเลยใช่ไหม”


เลสเตอร์หลุบตาลงเล็กน้อยใบหน้าของเขาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบเสียงเรียบแต่มีแววหน่วงบางอย่าง “ใช่ ฟังดูเหมือนฝันร้ายจริง ๆ” แล้วเขาก็หัวเราะกลบ “แต่เราคงต้องขอบคุณที่ตอนนี้เขายังอยู่ห่างจากเราเป็นพันไมล์ทะเล ไม่งั้นคงได้กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในกล่องของเขาแน่ ๆ” โมนีก้าเงยหน้ามองเขาเล็กน้อยเห็นแววขบขันแบบเลสเตอร์ เธอเลยยิ้มจาง ๆ “นายพูดแบบนั้นได้ยังไงกัน... ถ้าเขาเคยจับลูกหลานของเทพทั้งสิบสององค์ได้จริง เขาอาจจะ—”


“อาจจะรู้อะไรที่เราไม่รู้ก็ได้หรอ?” เขาแทรกขึ้น ก่อนจะยักคิ้วแล้วยิ้มอย่างกวน ๆ “อย่าคิดมากเลย แม่คนชอบทำสีผม ถ้าฉันเป็นเขาฉันก็คงอยากได้พลังของใครบางคนเหมือนกัน…อย่างเช่นเธอไง”


“อย่าพูดเล่นสิเลสเตอร์” เธอหัวเราะเบาแต่มีแววกังวล “ฉันอ่านเจอว่าเขาศึกษาเดมิก็อดสายเลือดเทพโอลิมปัสโดยเฉพาะ พวกเขาเชื่อว่าพลังของลูกครึ่งเทพคือกุญแจไขไปสู่การสร้างจักรวาลใหม่... ถ้าเขารู้ว่าพวกเรากำลังมุ่งหน้าไปหยุดแผนการณ์ของเขาล่ะก็...” เลสเตอร์นิ่งเมื่อโมนีก้าไม่ได้พูดต่อเขามองหน้าเธอครู่หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็รีบยักไหล่ “ก็คงส่งบัตรเชิญมาให้เราไปกินข้าวเย็นที่นรกน่ะสิ”


โมนีก้าหัวเราะออกมานิด ๆ ตอนที่เลสเตอร์พูดแบบนั้น สียงหัวเราะของเธอละลายความตึงเครียดที่ลอยอยู่ในอากาศชั่วขณะ ท้องฟ้าเหนือศีรษะยังคงสว่างไสว แสงแดดสีทองเข้มสะท้อนบนคลื่นน้ำระยิบระยับ แต่ใจเธอกลับรู้สึกเย็นลงอย่างประหลาด คำว่า Black Sun ยังคงวนอยู่ในหัว ดวงอาทิตย์สีดำที่กำลังถูกสร้างขึ้นโดยชายคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นผู้กอบกู้โลก…ในฝันนั้น..เหมือนมาก


เลสเตอร์ยืนพิงราวเรือ มือข้างหนึ่งถือแฟ้มไว้หลวม ๆ เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนพูดเสียงเบาแต่ชัดเจน “อย่าให้เขาทำสำเร็จ” 


โมนีก้าหันมองสีหน้าเลสเตอร์ในตอนนี้ไม่ได้มีรอยยิ้มอีกต่อไป ดวงตาสีฟ้าที่เคยเปล่งประกายกลับเข้มขึ้นจนเหมือนทะเลลึก เธอเผลอกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ลมทะเลพัดอ่อนผ่านเส้นผมของโมนีก้า แสงแดดยามบ่ายคล้อยสะท้อนระยิบระยับบนผิวน้ำ สายตาสีเทาเงินของโมนีก้าเหม่อมองเส้นขอบฟ้าที่ทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เสียงหัวเรือเฉียดคลื่นเบา ๆ เป็นจังหวะช้าและสงบ จนแทบลืมไปว่าพวกเขากำลังอยู่ในภารกิจที่อาจต้องสู้กับบางสิ่งที่ใหญ่เกินตัว


เลสเตอร์เดินมานั่งข้าง ๆ โมนีก้าแบบไม่เอ่ยอะไรในตอนแรก แค่นั่งเท้าขาพิงราวเรือ ปล่อยให้แสงทองกลืนไปกับเส้นผมหยิกสีเข้มของเขา จนเหมือนรัศมีของดวงอาทิตย์เองกำลังพักอยู่ข้างเธอ เขาดูสงบผิดปกติจนโมนีก้าอดถามขึ้นไม่ได้ “เลสเตอร์ นายคิดว่าหลังจากที่จบเรื่องนี้ได้นายจะทำอะไรหรอ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความสนใจจริงจัง “หมายถึง...ถ้าทุกอย่างจบแล้วน่ะ นายจะไปไหน จะกลับไปหาครอบครัวเหรอ?”


เขาเหลือบตาขึ้นเล็กน้อยฟังคำถามของเธอ เหมือนคำถามนั้นชะงักอะไรบางอย่างในใจ ก่อนจะหัวเราะหึเบา ๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ไม่แข็ง “ก็คงกลับบ้าน...แต่บ้านของฉันมันไม่ได้เป็นของครอบครัวมานานแล้วน่ะสิ”


โมนีก้าหันไปมองเขา สีหน้าเลสเตอร์ดูปกติแต่แววตาเขาไม่ได้ปกติเลย มันมีทั้งเศร้าและประชดอยู่ในเวลาเดียวกัน เขายักไหล่พูดต่ออย่างไม่เร่งรีบ “ฉันไม่ค่อยชอบพ่อเท่าไรหรอก...จริง ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคำว่าพ่อของคนอื่นมันควรเป็นยังไง แต่ของฉันน่ะ มันคือการทะเลาะ การประชด และการผิดหวังซ้ำ ๆ เหมือนจะไม่มีวันจบ”


โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นก็เงียบเพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะควรตอบยังไงดี จึงได้แต่เพียงหน้ามองเขาเล็กน้อย มองอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะพูดเสียงเบา ๆ ให้เลสเตอร์ได้ยิน “ฟังดูเหมือน…มันเจ็บนะ…” 


เลสเตอร์หัวเราะในลำคอ “มันก็แค่เรื่องเดิม ๆ นั้นแหละ ไม่จบสิ้น ฉันชินแล้วล่ะ ถึงอย่างงั้น…เวลาฉันมองพระอาทิตย์มันก็ยังเตือนว่าฉันมาจากที่แบบนั้นอยู่ดี” 


“นายหมายถึงอะไรหรอ?” โมนีก้าไม่ค่อนเข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อเสียเท่าไร


“ก็หมายถึง…” เลสเตอร์หยุดที่จะพูด เหมือนกับตัวเองกำลังกลั่นคำสักอย่างในใจแล้วเลือกที่จะพูดแค่บางส่วนเท่านั้น “หมายถึงอดีตน่ะ มันไม่ไปไหนหรอกมันเหมือนดวงอาทิยตย์ ถึงอยากให้ดับยังไงมันก็อยู่ตรงนั้นเสมอ ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน” 


โมนีก้ามองหน้าเขานิ่ง ๆ ตอนที่เลสเตอร์พูดอะไรที่ลึกซึ้งมาก ๆ ออกมา “นายพูดดีนะเนี้ย เหมือนพวกนักกวีเปรียบเปรยอะไรงี้อ่ะ” 


“นักกวีหรอ?” เขายิ้มบาง ๆ มุมปากยกขึ้นอย่างนึกขบขันบางอย่าง “งั้นเธอก็คงเป็นแรงบัลดานใจให้ฉันได้สินะ?” โมนีก้าที่ได้ยินก็หน้ามุ่ยแต่เธอกลับหัวเราะใส่เลสเตอร์ “โอ้ยย ขนลุก นายพูดอะไรขี้เก็กเหมือนเดิมเลยนะเนี้ย…แต่ฟังแล้วก็ชวนให้รู้สึกดีเหมือนกันนะ” ประโยคหลังโมนีก้าพูดเบา ๆ เหมือนกับพูดไปกับสายลมแทนที่จะพูดกับเขา


คราวนี้เลสเตอร์หันมองโมนีก้าตรง ๆ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นสะท้อนเงาของทะเลและเส้นผมม่วงครามของโมนีก้า “แล้วเธอล่ะ หลังจากนี้อยากทำอะไร?” 


“ฮะ?..ฉันหรอ?” โมนีก้าเลิกคิ้วถาม ก่อนที่จะส่ายหัวเพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน “ก็คงกลับไปที่ค่ายนั้นแหละ ฉันไม่มีที่ให้กลับหรอก ถ้าไม่แข็งแกร่งขึ้นก็ปกป้องตัวเองไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” เธอเว้นช่วงไปนิดก่อนจะถามเสียงแผ่ว “แต่ถ้านายกลับบ้าน...งั้นฉันก็คงไม่ได้เจอนายอีกเหรอ?”


เลสเตอร์มองเธออยู่พักหนึ่งกับคำถามของโมนีก้า รอยยิ้มประจำตัวเขาหายไปเหลือเพียงแววตานุ่มนวลที่แปลกตาสำหรับใครก็ตามที่รู้จักเขา “ถ้าฉันไม่กลับล่ะ?” เขาถามกลับเบา ๆ โมนีก้ากระพริบตาเล็ก ๆ เหมือนกับเป็นคำถาม “ไม่กลับ? หมายถึง...”


“หมายถึง...ถ้าฉันยังอยากอยู่ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันอีกสักครั้งสองครั้งน่ะ” เสียงเขาไม่ดัง แต่มั่นคงพอให้โมนีก้าที่อยู่ข้าง ๆ กันได้ยิน แต่เพราะสิ้นคำนั้นหัวใจของเด็กสาวถึงกลับเต้นแรงจนเธอรู้สึกได้เอง ดวงตาสีเทาเงินของเธอจ้องดวงตาของเลสเตอร์เพราะเขาพูดจบก็เงียบไป เขาไม่ได้มองหน้าของเธอแล้วหันกลับไปทอดสายตามองเส้นขอบฟ้าที่เปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ขยับไปมาและเคลื่อนต่ำลงราวกับฟังบทสนทนานี้อย่างไม่มีทางเลือก 


โมนีก้ารู้สึกเหมือนมีผีเสื้อหลายพันตัวกำลังบินที่ท้องของเธออย่างไม่ทราบสาเหตุ เธออยากพูดอะไรบางอย่างแต่เสียงของตนเองกลับติดอยู่ที่ลำคอสุดท้ายโมนีก้าจึงทำได้แค่ยิ้มบาง ๆ แล้วหันไปมองฟ้าบ้างเหมือนกัน “ถ้านายว่างั้น…ก็สัญญานะว่าถ้าทุกอย่างจบแล้วเราจะได้เห็นพระอาทิตย์เวลานี้ด้วยกันอีก” 


เลสเตอร์จึงยิ้มมุมปากตอนแรกอยากพูดอะไรบางอย่างแต่กลับเปลี่ยนคำก่อน “อืม…ฉันไม่เคยปฎิเสธคำสัญญาของสาวสวยอยู่แล้ว”


“อี๋ ขี้เก็ก” 


“เขาเรียกจริงใจต่างหาก” เขาว่าพลางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือขยี้เส้มผมสุดหวงของโมนีก้าเล่นจนมันฟู โมนีก้าเลยพยายามจะตีเขาปัดมือออกแบบเล่น ๆ ในขณะที่คลื่นกระทบหัวเรืออีกครั้ง เสียงนั้นดังก้องอยู่ใต้ฟ้าเหมือนจังหวะหัวใจสองดวงที่เต้นไปพร้อมกันโดยไม่รู้ตัวและในชั่วขณะนั้นเอง โลกทั้งใบเหลือเพียงแค่พวกเขา


ไม่นานเสียงประกาศของอิซิเลียดังชัดผ่านลำโพงของเรือ Heesen Yachts Superyacht คลื่นเสียงกังวานสะท้อนในอากาศราวกับเตือนสติทุกคนให้ตื่นจากความสงบสุขที่มีเพียงชั่วครู่ “ทุกคน ระวังภัยรอบด้าน ตอนนี้เรากำลังจะเข้าสู่เขตช่องแคบยิบรอลตาร์แล้ว” น้ำเสียงของเธอเยือกเย็นแต่เฉียบคม “เส้นทางนี้เต็มไปด้วยอสุรกายทะเล เตรียมพร้อมการต่อสู้ทันที” 


โมนีก้าที่นั่งคุยกับเลสเตอร์ถึงกับสะดุ้ง ดวงตาเธอเบิกกว้างทันที “ยิบรอลตาร์เหรอ...” เธอพึมพำกับตัวเองอย่างกังวล พลันเลสเตอร์ก็ลุกขึ้นรวดเร็วใบหน้าที่เมื่อครู่ยังมีรอยยิ้มกลับเปลี่ยนเป็นจริงจังในพริบตา “ไปประจำตำแหน่งได้แล้ว” เขาพูดเสียงทุ้มเรียบ ก่อนก้าวขาออกไปอย่างมั่นคง สายลมแรงพัดเส้นผมหยิกของเขาเล่นกับแสงอาทิตย์จนดูเหมือนเปลวไฟทองอ่อน ๆ ที่ถูกปลุกให้ลุกขึ้น


โมนีก้ารีบวิ่งไปทางท้ายเรือ เธอหยิบกราดิอุสประจำตัวขึ้นมาถือแน่นจนมือสั่น ความรู้สึกเย็นเฉียบของโลหะที่สัมผัสกับฝ่ามือช่วยดึงเธอให้กลับมามีสติ “ฮารุโตะ!” เธอเรียกชื่ออีกคนที่อยู่ไม่ไกล “อยู่ตรงนี้ครับ” ฮารุโตะตอบพร้อมคว้าธนูขึ้นมาประจำที่ เสียงสายธนูดีดเบา ๆ ดังขึ้นเมื่อเขาทดสอบแรงตึง ความจริงจังในสีหน้าของเขาทำให้โมนีก้าเผลอกลืนน้ำลาย เส้นเลือดที่ขมับเต้นแรง เธอไม่เคยเห็นเพื่อนใจดีอย่างเขาดูพร้อมรบขนาดนี้มาก่อน


เลสเตอร์ปีนขึ้นไปที่เสาเรือสูงสุด ตำแหน่งที่เหมาะสำหรับมือยิงระยะไกล เขาเปิดกล่องลูกธนู ตรวจเช็กลูกศรทีละดอก แล้วบอกผ่านไมค์สื่อสารสั้น ๆ “ตำแหน่งเหนือพร้อมแล้ว” เสียงเขาชัดและนิ่งจนน่าประหลาดใจ ในขณะที่วินเซนโซอยู่ในห้องบังคับเรือ นิ้วเรียวยาวของเขาวิ่งพลิ้วบนแผงควบคุม เสียงเครื่องยนต์ตอบสนองอย่างแม่นยำ ระบบเสถียรดี ความเร็วคงที่” เขารายงาน “แต่คลื่นมันแรงขึ้นเรื่อย ๆ นะ”


ด้านหน้าเรืออิซิเลียยืนสงบนิ่งผมสีเทาปลิวไหวในลมทะเล ชุดโกธิคสีดำสะบัดเล็กน้อย เธอหลับตาแนบมือบนหัวกะโหลกเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าอลันแล้วกระซิบแผ่วราวกับสวดมนต์ และลูคัสเองก็เตรียมตัวสำหรับภาคพื้นพร้อมสำหรับการรับแรงกระแทกและโจมตีจริง ๆ 


ท้องทะเลตรงช่องแคบยิบรอลตาร์สั่นสะเทือนตั้งแต่ก่อนเรือจะแล่นเข้าเขตเพียงไม่นาน เสียงคลื่นกระแทกผิวเรือหนักหน่วงกว่าปกติราวกับพื้นน้ำกำลังเต้นตามจังหวะของอสูรกายยักษ์ที่ตื่นจากการจำศีล กลิ่นเกลือปนเหล็กและเลือดล่องลอยอยู่ในอากาศ ม่านหมอกบางเริ่มห่อคลุมรอบเรืออย่างเงียบเชียบ ก่อนเสียงคำรามต่ำ ๆ ดังลั่นมาจากทั้งสองฝั่งของช่องแคบ


“ทุกคนเตรียมพร้อมการต่อสู้” เสียงของอิซิเลียดังผ่านลำโพง แววตาสีเทาเงินของเธอส่องประกายในเงามืดขณะยืนประจำอยู่บนหัวเรือ ร่างเล็กในชุดโกธิคโลลิต้าสีดำยกมือขึ้นเหนือศีรษะ พลังจากเทพน็อกซ์แผ่ขยายเป็นม่านพลังสีเข้มปกคลุมรอบเรือทันที เธอคำนวณระยะการโจมตีจากเสียงสะท้อนและแรงสั่นสะเทือน ก่อนจะตะโกนอย่างเฉียบขาด “พวกมันอยู่สองฝั่งซ้ายขวา! ขนาดประมาณยักษ์ไซคลอปส์ ไม่ใช่แค่ตัวเดียว!”


และแทบจะทันทีที่คำพูดสิ้นสุดลง พื้นน้ำก็ระเบิดขึ้นพร้อมเสียงกระแทกที่ดังราวฟ้าผ่า ก้อนหินขนาดมหึมาพุ่งทะยานออกจากฝั่งซ้ายด้วยแรงมหาศาล เงามันบดบังแสงแดดเหนือหัวราวกับอุกกาบาตกำลังตกลงสู่โลก วินเซนโซตะโกน “ยึดให้แน่น!” ก่อนบิดพวงมาลัยสุดแรง เรือโคลงอย่างรุนแรงแต่รอดหวุดหวิดจากการถูกกระแทกโดยตรง


“โอ๊ย! พวกบ้าเอ๊ย นั่นมันก้อนภูเขาไม่ใช่หินแล้ว!” โมนีก้าร้องพลางรีบคว้าเสาเหล็กใกล้ตัว เธอมองออกไปนอกกราบเรือ เห็นเงาร่างของยักษ์ไซคลอปส์ร่างสูงเท่าภูเขาเล็กสี่ตัว ยืนเหยียบผืนน้ำตื้นที่ขนาบช่องแคบไว้ทั้งสองฝั่ง ดวงตาเดียวโตขนาดเท่าห้องนั่งเล่นเรือเรืองแสงสีแดงสด แผ่นอกกว้างเต็มไปด้วยรอยสลักของอักษรเวทโบราณ


เลสเตอร์ที่อยู่บนเสากระโดงสูงสุดง้างคันธนูขึ้น เขาหยิบลูกศรสีทองจากซอง ศรนั้นเปล่งแสงเจิดจ้าจนแทบแสบตา แต่แสงนั้นก็หดลงเหลือเพียงประกายส่องราง ๆ เพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตว่าแท้จริงมันไม่ใช่อาวุธมนุษย์ “ฮารุโตะ ฝั่งซ้ายเป็นของนาย ฉันจัดการฝั่งขวา!” เขาตะโกน “รับทราบ!” ฮารุโตะตอบเสียงดัง มือดึงสายธนูพร้อมเปล่งพลังแห่งความร้อนและแสงจากเลือดเทพอพอลโล่ในร่าง ศรคู่แรกพุ่งออกไปพร้อมกัน เส้นทางของมันฉีกฟ้าเหมือนเส้นสายสายฟ้าแตกเป็นสอง


ก้อนหินลูกถัดมาพุ่งมาทางเรือ แต่คราวนี้อิซิเลียก้าวออกมาข้างหน้า มือเล็กยกขึ้นเสียงของเธอเหมือนพึมพำอะไรบางอย่าง ม่านมืดหนาทึบผุดขึ้นจากใต้เรือกลืนหินมหึมาลงไปในความว่างเปล่า ก่อนระเบิดเป็นฝุ่นควันสีเทาดำกลางอากาศ


“สวยมาก!” วินเซนโซร้องในวิทยุ เขายังบังคับเรือหักหลบก้อนต่อไปอย่างแม่นยำ มืออีกข้างเปิดกลไกพิเศษใต้แผงควบคุม “ขอโทษนะที่ต้องใช้ของเล่นใหม่ตอนนี้” เขายิ้มมุมปากก่อนกดสวิตช์ เสียงปืนใหญ่พลังงานที่เขาประดิษฐ์เองดัง “ตูม!” จากใต้ท้องเรือ ลำแสงพลังงานสีส้มแดงพุ่งออกไปทะลวงหัวเข่าของไซคลอปส์ตัวหนึ่งจนเซล้มลง “ข้างซ้ายล้มหนึ่ง!” อิซิเลียประกาศ ขณะโมนีก้าและลูคัสรีบยืนคุมแนวป้องกันตรงกราบเรือ ลูคัสถือโล่สีเงินแน่น “อยู่ข้างหลังฉัน บลอสซัม!”


“ไม่ต้องห่วงค่ะ! ฉันพอได้!” เธอตอบพร้อมยกกราดิอุสขึ้นบังเศษหินที่กระเด็นใส่ แววตาเธอวาววับด้วยความกล้าแม้จะกลัวแต่เธอก็ไม่ถอยแม้ครึ่งก้าว


เสียงหวีดของลูกศรเลสเตอร์ดังซ้ำรัว ๆ เขายิงราวกับเครื่องจักรทุกดอกแม่นราวคำนวณด้วยสมองของเทพพระอาทิตยฺ์ “หัวมัน! เล็งที่ตา!” เขาตะโกน ฮารุโตะที่อีกฝั่งยิงตามเป๊ะ ศรทั้งสองพุ่งเข้าดวงตาของยักษ์สองตัวพร้อมกัน ร่างพวกมันคำรามโหยหวนก่อนจะล้มลงกระแทกพื้นน้ำจนคลื่นสูงราวกำแพงยักษ์ วินเซนโซสบถเบา ๆ พลางจับพวงมาลัยแน่น เรือแทบจะเอียงแต่เขาควบคุมไว้ได้ “อีกสองตัวสุดท้าย!”


แสงจากปืนของวินเซนโซแล่นออกไปพร้อมกับศรคู่อีกชุดจากเลสเตอร์และฮารุโตะ แสงทั้งสามสายตัดกันกลางอากาศอย่างงดงามก่อนจะระเบิดกลางหน้าของไซคลอปส์ทั้งสอง เสียงคำรามสุดท้ายของพวกมันสั่นสะเทือนอากาศจนผืนน้ำแตกกระเซ็นไปทั่ว ก่อนร่างยักษ์เหล่านั้นจะเริ่มแตกละเอียดออกเป็นละอองทองกระจายไปทั่วทะเล


สายลมสงบลงอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงเครื่องยนต์เรือที่ยังเดินต่อกับกลิ่นควันจาง ๆ ของพลังเวทที่เพิ่งสลายไป โมนีก้าหอบหายใจหนักมือยังจับกราดิอุสแน่น เธอเงยหน้ามองไปยังเลสเตอร์ที่ยังยืนอยู่บนเสาเรือสูงสุด เขากำลังมองฟ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยมีเพียงรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก


ฮารุโตะลดธนูลง หันมามองโมนีก้าแล้วยิ้มอบอุ่น “สุดยอดเลยนะครับเนี้ย”


วินเซนโซพูดจากห้องควบคุมด้วยน้ำเสียงกึ่งเหนื่อยกึ่งล้อ “ขอคารวะให้กับลูกศรของพวกเทพบุตรทั้งสองกับพลังป้องกันของคุณหนูโกธิคและกับโชคดีของเราทุกคนอีกนิดเอาล่ะ จะขับต่อแล้วระวังไว้ด้วยล่ะ” หลังจากนั้นวินเซนโซก็รีบขับเรือออกจากช่องแคบนรกที่มีการต้อนรับสุดอบอุ่นเข้าสู่ปากประตูสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เชื่อมต่อระหว่างโรมและพวกเขา

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ในที่สุดก็ถึงช่องแคบเข้าสู่เมดิเตอร์เรเนียนสักที...

[อยู่ระหว่างการเดินทาง ถึงช่องแคบยิบรอลตาร์]

[ปะทะกับไซคลอปส์ 4 ตัว]

[ระยะทางที่เดินทางไปแล้ว 3,184 ไมล์ทะเล]

avatar

Moneka M. Blossom

....เหมือนผีเสื้อบินในท้องเลย...บ้าบอที่สุด โรลสู้ ❌  โรลตกหลุมรัก ⭕

avatar

Vincenzo Bergamotto

-

avatar

Icilia Dominicus

-

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-


+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด ไซคลอปส์ ครั้งแรก


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20


แสดงความคิดเห็น

God
อควิลอนที่ให้จิตวิญญาณสายลมแอบตามมาดูพวกเขา ก่อนเหล่าจิตวิญญาณสายลมช่วยเดมิกอตเกยตื้นไปที่ชายหาดริมฝั่งเมืองอาวห์ราน  โพสต์ 2025-10-5 19:06
God
แต่สิ่งที่มนุษย์ตอบแทนคือการหลงลืมอารยธรรมมายาของพวกเรา ก่อนชายคนนั้นจะอัญเชิญงูมีปีกยักษ์ออกมาด้านหลังและถล่มเดมิกอตในพริบตาจนเรือแตก   โพสต์ 2025-10-5 19:06
God
ข้าคือคูคูลคาน จะมาทวงสิ่งที่พวกเจ้าช่วงชิงไปจากเราชาวมายา อย่าขัดขวางการสร้างดวงอาทิตย์สีดำ เพื่อสร้างโลกใบใหม่ของพวกเรา พวกเราเฝ้านำวิทยาการทันสมัยมากมายให้พวกเจ้าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน  โพสต์ 2025-10-5 19:05
God
ก่อนมีชายคนหนึ่งปรากฎตัวที่หัวเรือแต่งกายคล้ายชาวมายาโบราณ แต่งองค์ทรงยศหรูหรา ข้าคูคูลคาน ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะต้องชดใช้แล้ว โลกนี้จะต้องถูกฟื้นฟูใหม่ภายใต้ผู้ที่ข้าเลือกสรร  โพสต์ 2025-10-5 18:41
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-10-5 18:19

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้