[บันทึกการเดินทาง] Beamed into Duty: Saving Mr. Freckles

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-9-28 07:19:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 21 : งอน
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงค่ำ เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องควบคุมหลัก ภายในศูนย์วิจัยชั้นบนของสถานีวิจัย องค์กร LoNex ใต้ดินเหมืองไจแอนท์ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

ในที่สุดโมนีก้าและเลสเตอร์ก็ลอบผ่านประตูบานหนักเข้ามาในห้องควบคุมหลักได้สำเร็จ กลิ่นโลหะเย็น ๆ ผสมกับกลิ่นเครื่องจักรและกระดาษอัดแน่นคลุ้งอยู่ในอากาศ ไฟสีฟ้าอมเขียวจากจอโฮโลแกรมกระพริบเป็นจังหวะราวกับหัวใจของสถานีที่ไม่เคยหลับใหล เธอก้มตัวตามเลสเตอร์ที่ก้าวอย่างระมัดระวัง หลบเงาของนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่นั่งอยู่ประปราย บางคนก้มหน้ากับจอคอมพิวเตอร์ บางคนพิงผนังเหมือนหุ่นไร้วิญญาณ


โมนีก้ากระซิบเสียงเบาแทบไม่เป็นเสียง “ทำไมพวกเขาดูเหมือนซอมบี้กันหมด…พลังงานเอเรบัสนี่มันต้องร้ายกาจมากแน่ใช่ไหม” ดวงตาเทาเงินกวาดมองบรรยากาศรอบตัวอย่างระแวดระวัง เลสเตอร์ตอบพลางก้าวข้ามสายไฟที่พาดอยู่บนพื้น “ยิ่งกว่าที่เธอคิดอีก ถ้ามันเสถียรเมื่อไร โลกทั้งใบคงไม่เหมือนเดิมหรอก” น้ำเสียงเขาเรียบแต่มีความเคร่งขรึมที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงขึ้น


ทั้งสองเคลื่อนตัวลึกเข้าไปในห้องควบคุมหลัก เสียงเครื่องจักรดังหึ่งต่ำ ๆ คล้ายจะกลบลมหายใจ แต่ทันใดนั้นโมนีก้าก็ชะงักเมื่อเห็นร่างหนึ่งขดตัวอยู่ข้างถังขยะ เป็นนักวิทยาศาสตร์ชายที่ยังสวมเสื้อกาวน์ขาวกำลังเอนหัวพิงกำแพง หลับสนิท


“เลส…” เธอสะกิดแขนเขาแล้วชี้นิ้วไปยังร่างนั้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ทว่าความตื่นตระหนกทำให้ปลายเท้าของเธอไปชนขาโต๊ะโลหะเสียงดัง กึก! นักวิทยาศาสตร์สะดุ้งเงยหน้าขึ้น ลืมตาอย่างงัวเงียริมฝีปากเริ่มขยับคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง


ในเสี้ยววินาทีนั้นเลสเตอร์ขยับตัวว่องไว เขาก้าวพรวดมาข้างหน้า ใช้สันธนูที่พกติดหลังฟาดเข้าที่ต้นคออีกฝ่ายอย่างแม่นยำ ร่างนักวิทยาศาสตร์ทรุดลงกลับไปสู่ความมืดสลบแน่นิ่งกับพื้นโดยไม่ทันได้ร้อง โมนีก้าหันมามองเขา ดวงตากลมโตสั่นไหว “โอ๊ย…ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใ—”


เลสเตอร์เหลือบมองเธอ คิ้วเข้มขมวดเป็นเส้นชัด “โมนีก้า…เธอซุ่มซ่ามอีกแล้วนะ” เสียงทุ้มกดต่ำ แฝงทั้งตำหนิและความเป็นห่วง พอโดนแบบนั้นโมนีก้าก็ทำหน้าหงอ ก้มศีรษะนิด ๆ แบบรู้สึกผิด “ฉันรู้ ฉันจะระวังกว่านี้…แต่ขอบคุณที่จัดการให้นะ”


ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มหาข้อมูลภายในห้องให้เรียบร้อย เลสเตอร์แยกไปหาอีกจุด ห้องควบคุมเงียบจนได้ยินเสียงพัดลมระบายความร้อนหมุนเป็นจังหวะเดียวกับชีพจร โมนีก้าล้วงเอกสารจากถาดอินบ็อกซ์ทีละชุด สอดเข้าแหวนดาราจรัสในมิติพิเศษเหมือนคนเก็บมีดพก เธอทวนสายตาบนจอหนึ่งที่เปิดรายงานสรุปการทดลอง แล้วหยุดนิ่งเมื่อเจอหัวข้อที่ไม่ควรมีอยู่ PROPHECY DATA HARVEST – PRIORITY A ตัวอักษรหนาทึบคมกริบ เธอขยายหน้ารายงานไล่ดวงตาสีเทาเงินอ่านผ่านบรรทัดย่อยที่ระบุว่า วัตถุประสงค์ สกัดแบบแผนผู้ครอบครองคำพยากรณ์ เหตุผลการโจมตี ทำลายขบวนเรือเหาะที่มุ่งหน้าปลุกเอเรบัส ช่วงเวลาที่นิกซ์ไร้ร่องรอย เพื่อแย่งชิงข้อมูลและตัวทดลอง


“เลสเตอร์มานี่หน่อย” โมนีก้าเรียกเลสเตอร์มาดู เอกสารสะท้อนแสงโฮโลสีน้ำเงินบนแก้มของทั้งคู่ พออ่านจบเลสเตอร์เงียบไป เหมือนใครดึงพื้นใต้ฝ่าเท้าให้หายวับ เขากลืนน้ำลาย ฝืนให้เสียงคุมระดับ “พวกมันไม่ได้จะเอาแค่พลังงาน…มันจะเอาคนที่พยากรณ์พาดพิงถึงไปแงะสมองด้วยเอาความลับด้วยหรอ”


ดวงตาโมนีก้าสั่นระริกตอนที่รู้อะไรแบบนี้ เธอเงยหน้าขึ้นช้า ๆ “งั้นมีอะไรที่นายยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังไหม” น้ำเสียงไม่ดัง แต่ชัดเจนพอให้เลสเตอร์ได้ยินเสียงเย็น ๆ ของโมนีก้าเหมือนกับเสียงเย็นเฉียบที่บาดผิวหนังของเขา


เลสเตอร์สูดลมหายใจลึก สะบัดความลังเลจากแววตา “มี” เขายอมรับตรง ๆ สีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันทีที่โดนโมนีก้าถามแบบนั้น “ภารกิจของทีมฉันก่อนเรือเหาะถูกยิงตกคือไปปลุกเอเรบัส ขอให้เขาดึงช่วงเวลากลางคืนกลับมาชั่วคราวระหว่างที่นิกซ์ยังถูกลักพาตัวอยู่ เรารู้ว่ามันอันตราย แต่กลางคืนไม่ใช่ความหรูหรา มันคือครึ่งหนึ่งของสมดุลโลก ระบบนอนหลับของผู้คน ฤดูกาลของพืช ผลัดลมหายใจของทะเล…ถ้าไม่มีแม้ชั่วคราว โลกก็พัง เราเลยต้องลอง”


โมนีก้าที่ได้ยินเม้มปากเล็กน้อยแล้วเงียบอยู่เป็นวินาทีแต่เหมือนยืดยาวกว่าปกติ “แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก”


“เพราะเธอเพิ่งถูกดึงเข้ามาในโลกนี้ไงโมนีก้า จะให้ฉันทำยังไงกับเดมิก็อดที่พึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเดมิก็อด 24…ไม่สิ 26 วันหรอ?” เขาตอบค่อย ๆ ไม่มีแววแก้ตัว “กับอีกอย่างยิ่งคนรู้น้อย โอกาสที่ LoNex จะเจาะข้อมูลจากเราได้ยิ่งต่ำไม่ใช่หรอ? ฉันกะจะบอกเมื่อเราอยู่ที่ปลอดภัย…ซึ่งยังไม่เคยมีจังหวะนั้นเลย” เขาหลุบตาลงนิดเดียวกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้บอกโมนีก้าดี ๆ ทั้งที่ก็มีช่วงเวลานั้นอยู่บ้าง “ขอโทษ”


คำขอโทษตรง ๆ จากปากคนดื้อด้านทำให้โมนีก้าชะงัก เธอก้มมองแหวนของตัวเองหมุนมันหนึ่งรอบเพื่อให้หัวใจเข้าที่ “โอเค…คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ” เธอเอียงคิ้ว ตาแดงวาบเพียงชั่วแล่นก่อนกลายเป็นแววความคิดอะไรบางอย่าง “นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้ฉลาดเลิศเลอเป็นอัจฉริยะ แต่ฉันรับฟังได้และฉันเลือกเองว่าจะเสี่ยงอะไรเอง…นายควรบอกฉันนะรอบหลังน่ะ” เลสเตอร์พยักหน้าสั้น ๆ เพื่อตอบรับโมนีก้า 


หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับไปค้นหาเอกสารและข้อมูลต่อ ความเงียบงันของห้องควบคุมเหมือนมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น โถงโลหะทั้งห้องฟังออกว่าเด็กสาวเปลี่ยนจังหวะหายใจ โมนีก้าก้มหน้าไล่แฟ้มทีละกองเหมือนจะจงใจทิ้งช่องว่างระหว่างตัวเองกับเลสเตอร์ หัวคิ้วเรียวยังคงพับเข้าหากันอย่างดื้อ ๆ เธอไม่พ่นคำบ่น ไม่ประชด ไม่ทำหน้าทะเล้นเหมือนเคย มีเพียงมือที่ขยับเร็วขึ้นนิดหน่อย กับแหวนดาราจรัสที่หมุนแรงเกินจำเป็นหนึ่งรอบเป็นสัญญาณเล็ก ๆ ว่าเธอกำลังกลืนอะไรบางอย่างกลับลงไปในอก


เลสเตอร์เห็นทั้งหมด แม้เธอจะไม่เงยหน้า ดวงตาสีฟ้าของเขากวาดสังเกตระยะกล้อง ตำแหน่งยาม แล้ววกกลับมาที่ไหล่เล็ก ๆ ที่เกร็งจนมองออกว่าใจไม่สงบ เขาไม่เข้ามาขัด เหมือนรู้ว่าคำแก้ตัวจะยิ่งทำให้เธอถอยออก เขาเลยทำสิ่งที่จับต้องได้แทนปลดสายธนู เอาแผนที่โอเวอร์เลย์จากข้อมือส่งให้เธอถือ ขยับท่าทางเป็นคนที่กำลังทำงานโดยไม่พูดคำว่าขอโทษซ้ำให้เสียจังหวะ


โมนีก้ารับจอจากมือเขา นิ้วเรียวแตะซูมเข้าออกอย่างรู้หน้าที่ ริมฝีปากเม้มจนซีด “…มีห้องสองห้องหากเลี้ยวซ้ายตรงโถง ผ่านด่านสแกน แล้วลงลิฟต์บริการด้านหลัง” เธออ่านด้วยน้ำเสียงเรียบเกินวัย ไม่มีแววล้อเล่นเหมือนทุกที


“โอเค” เลสเตอร์รับสั้น ๆ ไม่อธิบายเพิ่ม เขาไถสายตามองไปกับพื้นคอนกรีตแล้วเงยขึ้นเห็นโมนีก้าที่กำลังตั้งใจดูเอกสารเสี้ยววินาทีเขาอยากพูดว่า ฉันอยากให้เธอปลอดภัยก่อนทั้งหมด แต่เขาเก็บคำนั้นไว้เพราะโมนีก้าไม่ได้ต้องการความปลอบใจราคาถูกในตอนนี้


เธอยังค้นเอกสารต่อเหมือนเดิม ท่าทางนิ่งเรียบแต่ขอบตาแข็งขึ้น “ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครมาประคบอารมณ์นะเลสเตอร์” เธอกระซิบโดยไม่มองเขา “ฉันแค่…อยากให้ถูกบอกตั้งแต่แรก จะได้เตรียมหัวให้ทัน ฉันดูเหมือนเด็กที่ต้องโดนปกป้องมากเลยใช่ไหม? แต่ฉันไม่ใช่เด็กที่รับมืออะไรไม่ได้หรอกนะ”


เลสเตอร์พยักหน้าทั้งที่เธอไม่ได้เงยหน้ามาเห็น “เข้าใจ” เขาวางคันธนูพิงขอบคอนโซล โยกร่างกายเล็กน้อยให้แผลไม่ตึง ก่อนเอื้อมไปเลื่อนแฟ้มที่เธอกำลังเปิด จัดเรียงให้กลับท่าเดิมอย่างประณีตโดยไม่ออกคำสั่งใด ๆ ความเงียบระหว่างทั้งคู่ไม่ได้เย็นชา มันเป็นพื้นที่ที่เขายอมให้เธอยืนอยู่กับความรู้สึกของตัวเองโดยไม่บุกฝ่าเข้าไป


ตัวโมนีก้ากำลังวมีความรู้สึกบางอย่างเธองอนไหม? ก็น่าจะใช่ที่เอาตรง ๆ ตัวเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แต่หากบอกไปตรง ๆ ว่าไม่พอใจกับงอน เธอก็จะเหมือนเด็กที่ไม่โตอย่างงั้นหรอ โมนีก้าพยายามกลืนความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ เธอยังคงรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรที่จะโดนปิดบังด้วยซ้ำ เธอมีอะไรที่ปิดบังเขางั้นหรอ? ก็ไม่นะ? เธอก็บอกเขาเกือบทุกอย่างนี้? แต่พอคิดแบบนั้นโมนีก้าก็สะบัดหัวเล็กน้อยแล้วเอาความรู้สึกเหล่านั้นออกไป มือบางของเธอขยับหาเอกสารต่อ


เอกสารชุดหนาหนักเหมือนก้อนน้ำแข็งขุ่นที่โผล่พ้นทะเลมืด โมนีก้าไล่สายตาทีละบรรทัดจนถึงแผ่นที่พิมพ์รูปใบหน้า ไฟนีออนของจอสะท้อนเสี้ยวแววตาเธอวาววับ


วินเซนโซ เบอร์กาม็อตโต บุตรแห่งวัลแคน นักบินหนึ่ง ช่างซ่อม บัญชี

อิลิเซีย โดมินิคัส สายเลือดเทพีน็อกซ์ นักบินสอง ต้นหน ผู้กำกับการปฏิบัติการ

ลูคัส อควินัส บุตรแห่งมาร์ส หน่วยรักษาความปลอดภัย มือรบ

ฮารุโตะ อิกะ บุตรแห่งอพอลโล แพทย์สนามและพ่อครัว

เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส โดนระบุว่า “มนุษย์ธรรมดา / way-station / มือยิงระยะไกล / เจ้าหน้าที่อเนกประสงค์”


แทบทุกชื่อมีตราประทับ CAPTURED สีแดงสดทะลุอก ยกเว้นบรรทัดสุดท้ายที่ขีดเส้นใต้หนา ๆ ว่า EXCEPTION – AT LARGE. ปลายนิ้วเธอหยุดแช่เหนือคำว่ามนุษย์ธรรมดานานกว่าที่ควร แล้วเลื่อนแผ่นถัดไปขึ้นมา เป็นตัวอักษรทึบแน่นสะกดใจ ต้องใช้ข้อมูลของพวกเขาในการปลดล็อกพลังงานเอเรบัส ความเงียบอัดแน่นในอกของเด็กสาวโมนีก้ากลืนน้ำลายดังแผ่ว รู้สึกเหมือนใครหยิบก้อนกรวดสาก ๆ มาเขี่ยใจให้คันคะเยอ ทั้งความงอนเล็ก ๆ ที่ยังฝังอยู่ ทั้งความรู้สึกผิดที่ไม่อยากมี เธอเงยหน้าไปรายงานเลสเตอร์ด้วยเสียงเรียบที่สุดเท่าที่จะเรียบได้


“มันเขียนว่าพวกเพื่อนนาย…มีข้อมูลที่จำเป็นต่อการปลดล็อกพลังงาน” เธอชี้หัวข้อให้เขาเห็น แล้วพึมพำเหมือนด่าในใจแต่หลุดปากออกมา “ทำอย่างกับรีดพิษออกจากเขี้ยวงู”


เลสเตอร์ขยับเข้ามาข้าง ๆ โมนีก้าแสงทำให้สีฟ้าในดวงตาเขาดูเข้มขึ้นเมื่อกวาดอ่านรวดเดียวถึงท้ายหน้า ไหล่กว้างตึงขึ้นชั่วแล่น “LoNex ไม่ได้มองคนเป็นคนด้วยซ้ำ แต่โดนมองว่าเป็นตัวแปรในการทำให้แผนของพวกมันสำเร็จ” เขาเคาะเล็บกับขอบโต๊ะเบา ๆ ครั้งเดียวราวกับกำลังร้อยข้อสรุปให้เข้าที่ “ถ้าให้เดาก็คือพลังของเอเรบัสไม่ใช่ก๊อกน้ำ จะบิดเปิดเฉย ๆ ไม่ได้ ต้องเข้าถึงแก่นหรือชั้นในของความมืดคงต้องมีข้อมูลที่เยอะมากพอจริง ๆ เลยต้องดึงข้อมูลที่เพื่อนของฉันมี”


“ข้อมูล…แบบไหน” เธอถามเลสเตอร์ด้วยเสียงแข็งนิด ๆ อย่างอดไม่ได้ แต่เลสเตอร์ยังไม่ได้ตอบเหมือนกับเขากำลังคิดอยู่ คำถามมากมายพรูขึ้นในหัวของโมนีก้า ทว่าสุดท้ายเธอเลือกกลืนมันลงไปกับลมหายใจ เหลือไว้แค่สายตาที่บอกชัดว่า ฉันยังไม่ลืมที่นายปิดบังแต่ฉันจะทำงานต่อในตอนนี้ โมนีก้ากำเอกสารแล้วงัดออกจากสันแฟ้มแล้วสอดเข้ามิติของแหวนอย่างเงียบ ๆ 


  “สรุปพวกมันต้องการเพื่อนนายทั้งสี่คนเพื่อหาข้อมูลไปเปิดประตูเพื่อใช้พลังงานของเอเรบัสอะไรนั้นสินะ?” เธอเงียบครึ่งวินาที ก่อนเติมแนวคิ้วแข็งเล็กน้อย “ข่าวร้ายนะเนี้ยมันหมายความว่าองค์กรล่าและเล็งหัวพวกนายเป็นอันดับหนึ่งมาตลอดเลยสินะ มิน่า”


“รู้” เขาตอบสั้น ๆ ตรงไปตรงมา


ส่วนโมนีก้าเธอกลอกตาเบา ๆ เลสเตอร์มองหน้าเธออยู่เสี้ยวลมหายใจ เห็นทั้งความดื้อและความกลัวที่ถูกซ่อนไว้จนเนียน เขารั้งคำปลอบที่ไร้ประโยชน์ของตนเองเอาไว้ในลำคอ โมนีก้าพ่นลมหายใจยาว ๆ เสียงเบาหวิวแต่แฝงความหนักแน่น เธอขยับหมุนแหวนดาราจรัสเล่นตรงนิ้วมือเหมือนจะหาที่ลงให้ความอึดอัด ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับกำลังกลั้นทั้งคำพูดและความรู้สึกไว้ เลสเตอร์ยืนพิงโต๊ะด้านข้างมองเธอเงียบ ๆ ดวงตาสีฟ้าเข้มจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากเอ่ยอธิบายแต่รู้ดีว่าคำแก้ตัวไม่มีประโยชน์ในตอนนี้ แต่เขาไม่ชอบที่เธอเป็นแบบนี้เลย


เขาขยับตัวก้าวเข้ามาใกล้พอให้เสียงพูดเบาลงจนมีเพียงสองคนได้ยิน “โมนีก้า” เสียงเรียกชื่อเธอนุ่มจนแฝงแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง “ฉันเห็นเธอเงียบมานานเกินไปแล้ว…ฉันไม่ชอบแบบนี้เลย” เลสเตอร์หยุดหายใจสั้น ๆ แล้วพูดต่อโดยไม่เสียสายตา “ถ้าฉันทำให้เธอรู้สึกว่าฉันไม่ไว้ใจ หรือว่าฉันปิดบัง…ฉันขอโทษจริง ๆ”


โมนีก้ายังคงก้มหน้ามองปลายรองเท้าตัวเอง มือหมุนแหวนรอบแล้วรอบเล่า ความงอนลึก ๆ ที่ฝังอยู่ในแววตาเริ่มเผยผ่านเสี้ยวดวงตาที่แดงก่ำขึ้นเล็กน้อย เธอไม่ได้ตอบทันที เลสเตอร์เลยยกมือขึ้นจับต้นแขนเธอเบา ๆ ความอบอุ่นจากฝ่ามือแทรกผ่านเสื้อโค้ตจนหัวใจเธอสั่นวูบ “ฉันไม่ได้อยากให้เธอต้องแบกความไม่รู้แบบนี้นะ” เขาพูดช้าแต่ชัด “แค่ภารกิจมันซับซ้อนเกินกว่าที่ฉันจะหาคำพูดอธิบายได้ตั้งแต่แรก ฉันผิดเองที่คิดว่าปล่อยให้เธอสบายใจกว่าถ้าไม่ต้องรู้ แต่ดูเหมือนมันกลับทำร้ายเธอแทน”


โมนีก้าชะงักน้อย ๆ ตอนที่เขาบอกแบบนั้น ก่อนจะเงยหน้ามองเขาจนสายตาเทาเงินฉายแววทั้งโกรธทั้งสับสน “นายรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไงเวลาที่เดินข้างนายแต่กลับต้องเดาไปเองตลอด โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” น้ำเสียงเธอไม่ได้ตวาด แต่หนักแน่นพอให้หัวใจเลสเตอร์ไหววูบ “นายไม่ตอบอะไรกับฉันสักอย่างเวลาฉันสงสัย ฉันก็พยายามมองข้ามแล้วไม่ถามนายคิดว่านายจะมีเหตุผลบางอย่าง ฉันไม่ต้องการคำพูดสวยหรู แค่ต้องการให้เชื่อว่านายเชื่อใจฉันพอที่ฉันควรจะรู้ได้ก็พอไหม? การปิดบังมันดียังไงหรอ? เพื่อปกป้องงั้นหรอ? ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้โง่คนหนึ่งที่ต้องคอยตามนายไปต้อย ๆ แบบที่ไม่รู้อะไรเลยงั้นสิ?”


เลสเตอร์หลุบตาลงยอมรับเขายกมุมปากขึ้นนิดหนึ่งอย่างเจือเศร้า “เธอพูดถูก” เขาเว้นจังหวะหายใจแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันสัญญาว่าต่อจากนี้จะบอกทุกอย่างที่ควรรู้ทันทีที่บอกได้” ความเงียบปกคลุมระหว่างทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจและเครื่องจักรจากส่วนลึกของสถานีที่ดังคลอ โมนีก้าค่อย ๆ คลายมือที่กำแหวนไว้แน่นจนข้อนิ้วซีด เธอสบตาเขาอีกครั้ง เห็นแววเสียใจในดวงตาสีฟ้าที่ไม่เคยยอมใครง่าย ๆ


“…ก็แค่อย่าทำให้ฉันต้องรู้สึกว่าต้องคอยตามนายอย่างเดียวได้ไหม” เธอพูดเบา ๆ คล้ายยอมรับในทีว่าเธอก็รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เลสเตอร์ยิ้มมุมปากบาง ๆ ตอนที่โมนีก้าบอกแบบนั้น เขาพยักหน้ารับโมนีก้ายกมือแตะไหล่เธออย่างระมัดระวัง ความอบอุ่นจากสัมผัสสั้น ๆ นั้นเหมือนละลายน้ำแข็งในอกที่เธอไม่รู้ว่ากักไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้


เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ ตอนที่เห็นดวงตาสีเทาของโมนีก้าเริ่มละลายความรู้สึกในใจของเธอ เสียงของเขาเริ่มเอ่ยแซวเพราะเห็นโมนีก้าอ่อนลงแล้ว “เรานี้มีเรื่องให้ทะเลาะกันตลอดนะแต่ก็ยังไปต่อด้วยกันได้สินะ” โมนีก้าส่งเสียงฮึในลำคอ แต่แววตาเริ่มอ่อนลงอย่างปฏิเสธไม่ได้กับที่อีกคนบอกแบบนั้น “เหอะ นายอย่าคิดว่าฉันจะงอนง่ายแล้วหายง่ายแบบนี้ทุกครั้งนะ”


“รู้แล้วครับ คุณหนู” เขาตอบพลางยักคิ้วกวน ๆ แม้จะยังมีร่องรอยงอนซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม แต่บรรยากาศรอบตัวกลับอบอุ่นขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก ทั้งคู่ยืนใกล้กันในห้องวิจัยที่เต็มไปด้วยเอกสารลับและความลับที่ยังรอการเปิดเผย แต่ระยะห่างในใจของพวกเขากลับสั้นลงกว่าที่เคยเป็นมาแม้ว่าเขาจะยังไม่บอกเรื่องความลับของเขา เพราะอันนั้นหากโมนีก้ารู้เขาก็ไม่รู้ว่าวันนั้นจะยังเห็นสายตาที่เธอมองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งได้อยู่หรือเปล่า

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์ได้ค้นหาข้อมูลเขาและโมนีก้าพบข้อมูลที่ว่าทีมของเขาโดนจับตัวไปเพื่อเอาไปเป็นตัวเอาข้อมูลปลดล็อคพลังของเอเรบัสอะไรสักอย่าง โดยที่มันเขียนภารกิจของเขาไว้ด้วย เหมือนพวกมันเล็งพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว เลสเตอร์ต้องอธิบายให้โมนีก้าฟังเรื่องภารกิจและเหมือนเธอจะไม่โอเคมาก ๆ ที่เขาไม่ได้เล่าให้เธอฟังก่อน แต่ก็ลองคุยกันแล้ว เขารู้สึกว่าโมนีก้าเหมือนกับเป็นคนที่อ่อนไหวมาก ๆ เธอแคร์คนมากเกินไป และไม่ปิดบังอะไรเลยเกี่ยวกับความรู้สึก โมนีก้าแปรปรวนและเข้าใจยากพอสมควร แต่มันคงเป็นอารมณ์อ่อนไหวของวัยรุ่น แต่เพราะครั้งนี้มันทำให้เขาได้รู้ว่าบางทีการเลือกคุยก็เป็นสิ่งที่ดี ตอนนี้เลสเตอร์สามารถบอกว่าโมนีก้าเป็นเพื่อนได้เต็มปากแล้ว แต่ไม่รู้มันจะยังเป็นเพื่อนไหมหากเธอรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ตอนนี้ เขาจะโฟกัสกับการช่วยเหลือทีมของเขาก่อน


[เดินทางมาถึงห้องควบคุมหลัก]

[รับรู้เรื่องที่เพื่อน ๆ โดนจับตัวไปรีดข้อมูลเกี่ยวข้องกับการปลดล็อคพลังเอเรบัส]

[มีความสัมพันธ์ที่ดีกับโมนีก้ามากขึ้น (หัวใจ 5 ดวง เพื่อน)]


[จบ ช่วงที่ 6-10: การแทรกซึม (The Infiltration)]

avatar

Moneka M. Blossom

โมนีก้ารู้สึกว่าทำไมเธอต้องโดนทำให้ไม่รู้อะไรไปด้วยนะ? เอาความจริงเธอรู้สึกในใจว่าเลสเตอร์ยังไม่ไว้ใจเธอ ทั้งที่เธอก็ไม่เคยปิดบังอะไรเขาเลยนี้นะ? ทำให้โมนีก้างอน แต่เธอรู้สึกดีที่เขาเลือกที่จะถามเธอก่อนและคุยกัน อย่างน้อยในสายตาของโมนีก้า เลสเตอร์ก็เป็นเพื่อนเธอมานานแล้ว แม้มันจะกวนเธอเยอะไปบ้างก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยทิ้งให้งอนกันอย่างงี้ โมนีก้ารู้ว่าเธอทำตัวเด็กและจะพยายามไม่งอนมากแล้วกันนะ ขอโทษทีนะเลสเตอร์....



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-9-28 10:55
โพสต์ 86051 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-28 07:19
โพสต์ 86,051 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-28 07:19
โพสต์ 86,051 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-28 07:19
โพสต์ 86,051 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-28 07:19
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-29 06:19:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-9-29 06:20

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 22 : คุณพี่เป็นแฮคเกอร์หรอคะ?
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงค่ำ เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องควบคุมหลัก ภายในศูนย์วิจัยชั้นบนของสถานีวิจัย องค์กร LoNex ใต้ดินเหมืองไจแอนท์ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

ในห้องควบคุมที่เต็มไปด้วยเสียงเครื่องจักรเบา ๆ เลสเตอร์ย่อตัวลงตรงหน้าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง นิ้วเรียวยาวกวาดผ่านปุ่มเปิดเครื่องพร้อมรอยยิ้มกวน ๆ ที่แม้จะเจ็บแผลก็ยังไม่คิดเลิกเก๊ก “เดี๋ยวฉันลองเจาะข้อมูลพวกนี้เอง เธอดูเอกสารไปแล้วกันนะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจเกินเหตุ


เมื่อได้ยินแบบนั้นโมนีก้าก็กรอกตาใส่เขาทันที “ทำเป็นด้วยหรือคะคุณนักธนู” น้ำเสียงประชดแต่แฝงความเป็นห่วง เขาเหลือบตาขึ้นจากจอแล้วยักไหล่แบบไม่สะทกสะท้าน “นิดหน่อย พอให้เครื่องจำฉันได้ก็แล้วกัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าขาวซีดทำให้โมนีก้าอยากเอาแฟ้มฟาดหัวสักที แต่เธอก็เลือกถอนหายใจแล้วหันไปค้นโต๊ะข้าง ๆ แทน เธอไล่เปิดแฟ้มเอกสารอย่างระมัดระวัง เสียงกระดาษเสียดสีกับถุงมือเบา ๆ ขณะที่สายตากวาดผ่านรหัสและข้อความเชิงเทคนิคจนกระทั่งหยุดที่แฟ้มหนึ่งสีขาวซีด มีชื่อปรากฏอย่างชัดเจน ดร. ออเรียล คาร์ดิแนล 


หญิงสาวขมวดคิ้ว อ่านบรรทัดแรกที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรเข้ม ดวงตาเทาเงินกวาดผ่านข้อมูลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อย ๆ ชะงักลงเมื่อเห็นรายละเอียดถัดไป “เลสเตอร์…ดูนี่สิ” เธอเรียกเสียงเบาเหมือนกลัวจะปลุกใครตื่น เลสเตอร์ละสายตาจากหน้าจอก่อนที่จะเดินเข้ามารับแฟ้มในมือเธอ เขากวาดสายตาอ่านอย่างเร็ว แต่ประโยคที่ระบุสายเลือดทำให้คิ้วเข้มกระตุกทันที ลูกหลานมรดกซอมเนีย เทพแห่งความฝัน


‘ดร. ออเรียล คาร์ดิแนล (Dr. Auriel Cardinal)

ตำแหน่งหลัก ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีจิตภาพ หัวหน้าศูนย์วิจัย 

ข้อมูลสำคัญ 

ผู้พัฒนาเทคโนโลยีอันตราย: เป็นบุคคลสำคัญในการขับเคลื่อน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูง ขององค์กร LoNex 

คุณลักษณะเฉพาะ: มีบุคลิกเยือกเย็นและเฉียบขาด 

ความสามารถด้านพลังจิต (Psionics): ครอบครองพลังจิตระดับสูง ซึ่งจัดเป็นภัยคุกคามที่ไม่เหมือนใคร 

การประยุกต์ใช้พลัง: สามารถ ควบคุมวัตถุ, สร้างภาพลวงตาซับซ้อน, และ โจมตีเป้าหมายด้วยคลื่นพลังงานจิต เพื่อสร้างความสับสนและข้อผิดพลาดในการตัดสินใจ ความสามารถด้านการ

ป้องกัน/ควบคุม: สามารถสร้าง เกราะป้องกันความคิด ที่ยากต่อการทะลวง และใช้ การสะกดจิต (Telepathic Suggestion) เพื่อบงการเป้าหมาย
สรุป: เป็นผู้บงการที่สามารถใช้สติปัญญาและพลังจิตในการควบคุมและบดขยี้คู่ต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง


เพิ่มเติม: ลูกหลานมรดก เทพซอมเนีย’


โมนีก้าอ่านต่อแทบไม่หายใจ “บอกว่าหมอนี่เป็นอัจฉริยะด้านเทคโนโลยี แต่ยังมีพลังจิตด้วย…ฟังดูเหมือนฝันร้ายรวมร่างกับนักวิทยาศาสตร์บ้าเลยนะ” เธอเอียงคอ เสียงเบาแต่จริงจัง “ควบคุมวัตถุได้ สร้างภาพลวงตาได้ สะกดจิตได้…ฉันว่าแค่คิดก็ไม่อยากเจอแล้ว”


เลสเตอร์อ่านเนื้อหาข้อมูลนั้นเงียบ ๆ พลางเม้มปากแน่น ใบหน้าที่ปกติเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “คาร์ดิแนล…” เขาพึมพำเหมือนชื่อคุ้นในความทรงจำ แต่ความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของตัวตนจริงนั้นถูกผนึกไว้แน่นหนาเกินกว่าจะดึงออกมาได้


โมนีก้าสังเกตสีหน้าเขา พลันถามเสียงเรียบแต่มีแววคาใจ “นายรู้จักชื่อคนนี้มาก่อนหรือเปล่า”


เลสเตอร์ชะงักครู่หนึ่งก่อนส่ายหัวช้า ๆ “ไม่รู้สิ…อาจแค่เคยได้ยินผ่านหู แต่จำไม่ได้…หรือมันแค่ชื่อนักวิทยาศาสตร์ที่โผล่ในรายงานข่าวเก่า ๆ ก็ได้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติ แต่แฝงความกังวลลึกที่โมนีก้ารู้สึกได้แม้เขาจะไม่พูด หญิงสาวเม้มริมฝีปากตอนที่เลสเตอร์ทำท่าทีแบบนั้นเธอมีสีหน้าหนักใจขึ้นมา “ไม่ว่าจะใคร หมอนี่คือคนที่คุมเกมพลังงานเอเรบัสแน่ ๆ” เธอรวบเอกสารทั้งหมดด้วยท่าทางเด็ดขาด “ฉันจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเขาไว้ให้ทั้งหมดแล้วกัน ถ้าหมอนี่เป็นหัวสมองของ LoNex เราอาจต้องเจอเขาไม่ช้าก็เร็วก็ได้”


เลสเตอร์มองโมนีก้าที่กำลังเก็บแฟ้มใส่แหวนดาราจรัส เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งยอมแพ้ “เธอนี่…เก็บทุกอย่างไม่พลาดเลยนะ” โมนีก้าเหลือบตากลับมองเขา ดวงตาเทาเงินวาวขึ้นอย่างท้าทายกึ่งประชดประชันเล็ก ๆ ที่มีให้เลสเตอร์ “ก็มีบางคนไม่ยอมบอกอะไรก่อนนี่นา ฉันก็ต้องเตรียมตัวเองบ้างสิ”


เลสเตอร์ยิ้มมุมปากบาง ๆ ไม่เถียงสักคำที่โมนีก้าพูดแบบนั้น เพราะรู้ดีว่าเธอยังเก็บความงอนลึก ๆ ไว้ในใจ และต่อให้เขาพูดมากแค่ไหนกำแพงนั้นก็จะไม่ลดลงด้วยคำแก้ตัว แต่สิ่งที่เขาทำได้คือยอมให้เธอเก็บทุกอย่างที่จำเป็นไว้…และคอยอยู่ข้าง ๆ จนกว่าเธอจะเชื่อว่าเขาจะไม่หายไปไหน


ไม่นานเกินรอเมื่อเลสเตอร์เปิดเครื่องเสียงพัดลมระบายความร้อนของคอมพิวเตอร์ดังแผ่ว ๆ คล้ายลมหายใจของสัตว์ที่หลับใหล เลสเตอร์นั่งเอนตัวเล็กน้อยตรงเก้าอี้หมุน หน้าจอปรากฏสัญลักษณ์รหัสเข้าระบบสีเขียวพุ่งไล่เป็นสายเหมือนฝนดาวตก เขาเลื่อนนิ้วไปตามคีย์บอร์ดด้วยความเร็วที่ไม่สอดคล้องกับคำว่าคนธรรมดาเลยแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าคมนิ่งแต่แฝงความตั้งใจจริง ดวงตาสีฟ้าวาวขึ้นทุกครั้งที่พบทางลัดของรหัสป้องกัน 


โมนีก้ายืนข้างหลัง มือกำเอกสารที่เธอถือแน่นพลางก้มมองจอด้วยสายตาที่เหมือนจะเข้าใจแต่ความจริงคือไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตัวเลขที่เลื่อนพรืดบนหน้าจอทำให้เธอแทบเวียนหัว “โอ้โห…เลสเตอร์นี่มันภาษาเอเลี่ยนหรือเปล่า” เธอพึมพำเบา ๆ พอให้เขาได้ยิน


เลสเตอร์ยกมุมปากขึ้นนิดเดียวแต่ไม่ละสายตา “ก็แค่ภาษาเครื่อง…เข้าใจมันก็เหมือนเข้าใจจังหวะของดนตรีนั่นแหละ ต้องฟังให้เป็น”


“นายนี้ก็พูดง่ายเนอะ” โมนีก้าบ่นในลำคอ แต่ก็ยื่นมือแตะไหล่เขาเบา ๆ “เอาน่า นายทำได้อยู่แล้ว ฉันเชื่อใน…เอ่อ…หัวสมอง? ของนาย” เสียงหัวเราะสั้น ๆ หลุดจากปากเลสเตอร์ “หัวสมองหรอ? ผมดูเหมือนคนไม่มีมันหรือไงจะฟังดูดีกว่านี้ถ้าบอกว่าเชื่อในความสามารถนะ” เขาโยนคำล้อขณะกดปุ่ม Enter หนึ่งครั้ง เสียงเตือนดังขึ้นสั้น ๆ บนหน้าจอก่อนที่ภาพใหม่จะปรากฏ รหัสป้องกันแรกถูกปลดไปแล้ว


โมนีก้าเผลอก้าวถอยหลังนิด ๆ เพราะกลัวเสียงเตือนจะดึงความสนใจจากใคร “โอเค…อันนี้คือผ่านด่านแรกใช่ไหม” เลสเตอร์พยักหน้าเล็กน้อยตอบรับโมนีก้า ดวงตาเป็นประกายราวกับนักดนตรีที่กำลังเข้าสู่ท่อนโซโล่ “เหลืออีกสองชั้น AI ของพวกมันฉลาดพอจะปรับรหัสอัตโนมัติ ต้องลัดวงจรบางจุดก่อน” เขาวางนิ้วลงบนคีย์บอร์ดต่อ แสงจากหน้าจอส่องขับให้ผมหยิกสีเข้มเป็นประกายเหมือนขอบปีกดาว


โมนีก้ามองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด ใจหนึ่งอยากจะถามว่าเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงทำเรื่องที่เหมือนมืออาชีพได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่เธอก็เลือกกลืนคำถามลงคอแล้วพูดเพียงว่า “ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่…เลสเตอร์ สู้ ๆ นะ” 


เลสเตอร์ชะงักเพียงเสี้ยววินาทีแล้วเหลือบตามามองเธอ รอยยิ้มบางแตะมุมปาก “ได้ยินคำว่า สู้ ๆ จากเธอแล้วเหมือนมีฮีตเตอร์ในใจเป็นแรงผลักดันเพิ่มระดับอัตโนมัติเลยนะเนี้ย” โมนีก้าเบิกตาแล้วตีแขนเขาเบา ๆ “พูดอะไรของนายเนี่ย! ตั้งใจหน่อยสิมีสมาธิกับงานไป๊” แต่รอยแดงบางบนแก้มซีดของเธอกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาทำให้ใจสั่นนิด ๆ แค่นิด ๆ เท่านั้นนะ


เลสเตอร์หัวเราะในลำคอ กลับไปสนใจกับรหัสที่เหลือ เสียงคีย์บอร์ดดังเป็นจังหวะต่อเนื่องเหมือนท่วงทำนองที่มีเพียงเขาได้ยิน ในความมืดและความกดดันของฐานวิจัยใต้ดิน เสียงพิมพ์แป้นของเขากลายเป็นประกาศสั้น ๆ ว่า ยังมีความหวังอยู่


เพียงเวลา 33 นาที เลสเตอร์ก็เจาะเข้าข้อมูลขององค์กร LoNex ได้แล้วบางส่วน แสงสีเขียวบนหน้าจอส่องใบหน้าของเลสเตอร์จนดูซีดลงไปอีก เขาขมวดคิ้วอ่านบรรทัดแล้วบรรทัดเล่าด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดกว่าเดิม นิ้วหยุดค้างอยู่บนคีย์บอร์ดชั่วครู่ ก่อนจะเลื่อนเมาส์ลากเอกสารดิจิทัลเปิดทีละไฟล์เพื่อยืนยันข้อมูลซ้ำ โมนีก้าที่เฝ้ามองอยู่ข้างหลังเริ่มรู้สึกถึงอากาศที่หนักอึ้งกว่าก่อนหน้านี้จนเธอสงสัย “เลสเตอร์…” เสียงเธอดังขึ้นอย่างระมัดระวัง “เจออะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าตานายเหมือนจะฆ่าใครสักคนขนาดนั้นล่ะ”


ทันทีที่โมนีก้าถามเลสเตอร์สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “พวกมัน…ไม่ได้แค่ต้องการพลังงานเอเรบัสเพื่อสร้างความปั่นป่วนในโลกนี้เท่านั้น” เขาเลื่อนหน้าจอไปยังไฟล์ที่มีหัวข้อ Heart of Rome ตัวอักษรสีแดงเด่นชัดบนพื้นดำ “พวกมันจะส่งพลังงานนี้ไปที่ใจกลางของโรม มีแผนขนย้ายในเร็ว ๆ นี้ และ…” เสียงเขาแผ่วลงเล็กน้อย “ข้อมูลทั้งหมดที่พวกมันใช้ ก็มาจากคนที่พวกมันจับตัวไป…เพื่อนฉัน”


โมนีก้าชะงัก ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้าง “เพื่อนนาย…แล้วพวกมันจะทำอะไรต่อจากนี้ ถ้าได้ข้อมูลครบแล้ว” เธอพูดช้าลงเหมือนกลัวคำตอบ “พวกนั้น…จะกำจัดเพื่อนนายไหม”


เลสเตอร์เม้มริมฝีปากแน่นตอนที่โฒนีก้าบอกแบบนั้น ความกังวลฉายชัดในดวงตาสีฟ้าที่ปกติเต็มไปด้วยประกายล้อเล่นเพราะนั้นคือสิ่งที่เขากลัวที่สุด “ถ้าฉันเป็นพวกมัน…ฉันก็คงไม่ปล่อยเป้าหมายที่มีโอกาสจะขัดขวางพวกนั้นไว้” เสียงเขาแข็งขึ้นโดยไม่ตั้งใจ “ฉันต้องไปช่วยพวกเขาก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้น” โมนีก้าที่เห็นเลสเตอร์เป็นแบบนั้นก็สะดุ้งนิดหน่อย ตัวเย็นวาบเหมือนอุโมงค์ใต้ดินสูญสิ้นอากาศ “แล้วแผนล่ะ เราจ—”


“ไม่ต้องมีแผนซับซ้อนแล้ว” เลสเตอร์พูดแทรกโมนีก้าขึ้นทันที เสียงมั่นคงขึ้นแม้แววตาจะยังเจือความเครียดก็ตาม “สิ่งแรกคือต้องหาพวกเขาให้เจอก่อนที่ LoNex จะเคลื่อนย้ายพลังงานไปโรม ทุกอย่างอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”


โมนีก้าสบตาเลสเตอร์ที่เห็นเขาเป็นแบบนั้น เธอเห็นประกายมุ่งมั่นที่ไม่มีแม้เงาความลังเลของเขา เธออยากจะโวยวายอยากด่าเขาที่กล้าพาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้นได้ยังไง แต่เสียงที่ออกมากลับเป็นเพียงคำสั้น ๆ ที่เก็บทุกอย่างเอาไว้ทั้งหมดกับตัว “งั้นฉันจะไปกับนาย” ตอนที่ได้ยินแบบนั้นเลสเตอร์เงยหน้ามอง เขาใช้ดวงตาสีน้ำเงินลึกจับภาพเธอไว้ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าช้า ๆ “ฉันรู้ว่าเธอจะพูดแบบนั้น” เขาเอื้อมมือไปกดปุ่มปิดหน้าจอลุกขึ้นยืนทั้งที่บาดแผลยังตึง “ขอบใจนะโมนีก้า แต่จากนี้ไปเราต้องเร็วและเงียบที่สุด”


  “เข้าใจนายนำทางเลย ก่อนที่พวกนั้นจะทำอะไรกับเพื่อนนายมากกว่านี้” โมนีก้าตอบเขายิ้ม ๆ เหมือนพยายามจะให้กำลังใจตัวเองและให้กำลังใจเขาด้วยเหมือนกัน

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์ใช้ความสามารถของเขาในการแฮคคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่โมนีก้าได้เรื่องหัวหน้านั้น ลูกหลานมรดกของเหล่าเทพ เริ่มสร้างความวุ่นวายแล้วสินะ? เลสเตอร์ได้รับรู้แผนการของพวกองค์กร LoNex บางส่วน มันยิ่งทำให้เขาร้อนใจที่อยากจะไปช่วยเพื่อน ๆ ของตนเองให้ได้ และต้องไปขัดขวางแผนการที่มันจะเดินทางไปยังใจกลางโรมด้วย มันอาจจะลำบาก แต่เขาจะทำให้ได้


[ต่อสู้กับ ปัญญาประดิษฐ์ ที่ขัดขวางการเจาะข้อมูล]


[เริ่มต้น ช่วงที่ 11-15: การเปิดโปง (The Revelation)]

avatar

Moneka M. Blossom

โมนีก้าไม่เข้าใจภาษาคอมพิวเตอร์ เอาโมนีก้าไปถ่้วงน้ำเถอะ ขอร้อง ไม่เข้าใจเลยโว้ย



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-29 11:47
โพสต์ 66514 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-29 06:19
โพสต์ 66,514 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-29 06:19
โพสต์ 66,514 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-29 06:19
โพสต์ 66,514 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-29 06:19
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-29 10:15:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 23 : กลัว?
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 21.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องควบคุมหลัก ภายในศูนย์วิจัยชั้นบนของสถานีวิจัย องค์กร LoNex ใต้ดินเหมืองไจแอนท์ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

ทว่าระหว่างคุยกันเสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นกระทบโสตประสาทของทั้งสองคน เสียงของประตูที่เปิดขึ้น โมนีก้าแทบหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อเห็นชายในเสื้อกาวน์สีขาวก้าวเข้ามาในห้องควบคุม ดวงตาหลังกรอบแว่นคมกริบของเขาสะท้อนประกายเย็นเยียบราวกับมองทะลุจิตใจเธอออกมาได้ทุกอย่าง และนั่นไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ โมนีก้ารู้สึกจริง ๆ ว่าสมองของเธอแทบจะถูกแหวกออกด้วยสายตาเพียงคู่นั้น 


โมนีก้าถึงกับเผลอพึมพำเสียงเบา "โห…หล่อกว่าที่เห็นในรูปอีกอ่ะ…" คำพูดนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิด จนเลสเตอร์หันหน้ามามองทันทีคิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเหมือนจะถามว่า นี่จริงดิ? โมนีก้าเลยยกมือขึ้นเล็กน้อยทำท่าป้องตัวเอง รีบแก้ "ก็ฉัน…มีรสนิยมชอบผู้ชายสไตล์แดดดี้นี้ ไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย" เสียงเธอเล็ดลอดเหมือนพยายามปกปิดความประหม่า แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนสารภาพกลางอากาศ เลสเตอร์หรี่ตาใส่เธอแล้วถอนหายใจเบา ๆ เหมือนจะเหนื่อยใจกับคอมเมนต์ไม่เข้าท่าในเวลาคับขันแบบนี้ แต่ในแววตาของเขาก็มีแวบหวง ๆ อยู่ลึก ๆ ที่โมนีก้าไม่ทันเห็น


ชายตรงหน้านั้นคือ ดร.ออเรียล คาร์ดิแนล เขาทำเพียงขยับมือเรียบง่าย แต่พลังงานบางอย่างเหมือนคลื่นแผ่ว ๆ แล่นผ่านอากาศจนเอกสารบนโต๊ะข้าง ๆ สั่นไหว เขาเอียงศีรษะน้อย ๆ มองทั้งคู่เหมือนแมวที่จ้องเหยื่อก่อนคำพูดจะเอื้อนออกมา เป็นเสียงทุ้มต่ำแต่ก้องสะท้อนชัดเจนในโสตประสาท "มีหนูตัวใหญ่ตั้งสองตัวแอบเข้ามาในห้องควบคุมของฉันงั้นหรือ" คำพูดเต็มไปด้วยการยั่วล้อ แต่ก็แฝงด้วยแรงกดดันทางจิตที่ทำให้หัวใจของโมนีก้าเต้นกระหน่ำ


โมนีก้ากัดริมฝีปากแน่น เธอขยับมือหยิบมีดสั้นพูจิโอมาทันทีจับมันให้มั่นกว่าเดิม แม้ในใจเธอจะยังสั่นเพราะรังสีอำนาจจากเขา แต่ก็พยายามไม่ให้แสดงออกต่อหน้า ดวงตาเงินวาววับหันไปมองเลสเตอร์อย่างรอคำตอบว่าจะรับมือยังไง ส่วนเลสเตอร์เองก็ยืนนิ่ง สายตาสีฟ้าคมกริบจับจ้องไปที่ดร.ออเรียลโดยไม่กระพริบแม้แต่วินาทีเดียว เขาไม่พูดอะไรฟุ่มเฟือยแค่ขยับศอกเล็กน้อยเพื่อให้คันธนูอยู่ใกล้มือพอจะคว้ามาใช้ได้ทุกเมื่อ


ในห้วงนาทีนั้น ห้องทั้งห้องเหมือนจะเย็นลงกว่าที่เคย เงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงหายใจที่ถี่กว่าปกติของโมนีก้าและการก้าวเดินอันแผ่วเบาของดร.ออเรียลที่เหมือนทุกย่างก้าวกดทับเข้าไปในสติของทั้งสองคนโดยไม่ต้องแตะต้องเลยด้วยซ้ำ


ไม่นานความเงียบก็จบลง ดร.ออเรียลก้าวเข้ามาอีกเพียงสองก้าว แสงจากจอโฮโลแกรมสะท้อนเงาแหลมคมบนใบหน้าเขา ดวงตาคมกริบหลังกรอบแว่นกวาดมองเลสเตอร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบาง “อ้อ…คุณนี่เอง เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส” เสียงเรียกชื่อเต็มชัดถ้อยชัดคำทำให้บรรยากาศหนักอึ้งขึ้นในทันที “คุณนี่แหละที่ทำให้ผมผลาญงบประมาณไปมากโขกว่าจะพบตัว” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ คล้ายกำลังเอ็นดูเหยื่อที่ดิ้นหนีอยู่พักใหญ่


เลสเตอร์ยืนนิ่ง แววตาสีฟ้าวาบขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีแต่ไม่ตอบโต้อะไร โมนีก้าขยับเท้าโดยไม่รู้ตัว มือกำมีดสั้นแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด รู้สึกได้ว่ารังสีจิต ๆ ของชายตรงหน้ากำลังบีบคั้นเหมือนอากาศถูกสูบออกจากห้อง ดร.ออเรียลเอนตัวเล็กน้อยอย่างคนมีเวลาทั้งโลก “รู้หรือยังว่าพวกเราต้องการอะไรจากคุณ” น้ำเสียงราบเรียบแต่ทุกคำเหมือนแทรกเข้ามาในหัวโดยไม่ต้องผ่านหู


เลสเตอร์สูดลมหายใจลึก ก่อนตอบสั้นและหนักแน่น “ผมรู้แล้ว”


รอยยิ้มบนใบหน้าดร.ออเรียลกว้างขึ้นนิดหนึ่ง แววตาเปล่งประกายเย็นเยียบ “ดี…เพราะผมก็เบื่อเกมไล่ล่าแล้วเหมือนกัน” เขาเอียงคอเล็กน้อย “LoNex มีเป้าหมายสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว การสร้าง ดวงอาทิตย์สีดำ…Black Sun ที่จะเปิดยุคใหม่ของโลก ใคร ๆ ก็อยากเห็นแสงแรกของมันไม่ใช่หรือ” เสียงทุ้มต่ำลากยาวคำว่า Black Sun ก้องสะท้อนในห้องควบคุมราวกับจะสลักลงไปในผนัง โมานีก้ารู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งร่าง หัวใจเต้นแรงจนได้ยินชัดในหู เธอเหลือบตามองเลสเตอร์ที่ยังคงยืนนิ่ง คางยกขึ้นเล็กน้อย สายตาจับจ้องดร.ออเรียลโดยไม่กะพริบ แม้จะไม่พูดต่อ แต่ร่างกายของเขากลับตึงเครียดเหมือนเส้นธนูที่ดึงจนสุด รอเพียงจังหวะเดียวก็พร้อมปล่อยศรทันที


ก่อนที่เลสเตอร์จะขยับก้าวเข้าไปด้านหน้าเสียงรองเท้ากระทบพื้นโลหะก้องกังวานในห้องควบคุมราวกับประกาศสงคราม ดวงตาสีฟ้าที่ปกติทอประกายอบอุ่นกลับคุกรุ่นด้วยไฟโกรธจนแทบลุกเป็นเปลว “เพื่อนของฉันอยู่ที่ไหน” เขาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ เสียงต่ำจนแทบกลายเป็นคำราม ทุกกล้ามเนื้อในร่างตึงแข็งเหมือนคันธนูที่ถูกดึงสายสุดแรง


ดร.ออเรียลเพียงเลิกคิ้วบาง ๆ แววตาหลังกรอบแว่นส่องประกายเย็นเฉียบ เขายกมือประสานหลังราวกับกำลังฟังเรื่องขำขัน “ตายแล้ว…มั้ง” น้ำเสียงของเขาเรียบง่ายแต่จงใจลากเสียงคำสุดท้ายให้ยาวพอจะบาดลึกเข้าไปในหัวใจของคนฟัง


เลสเตอร์แทบจะขยับไปด้านหน้าทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาสีฟ้าเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์เหมือนเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นในความมืด “แกว่าอะไรนะ…” น้ำเสียงต่ำแต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน เส้นเลือดที่ขมับเต้นชัดเจน เหมือนเขาพร้อมจะระเบิดออกมาในทันที โมนีก้าเห็นท่าทางนั้นก็รีบพุ่งมือเข้าจับแขนเขาแน่น ร่างเล็กของเธอตึงเครียดแต่ก็ยังพยายามถ่วงน้ำหนักตัวเองไว้ให้เขาไม่พุ่งใส่ศัตรู “เลสเตอร์! ใจเย็นก่อน!” เธอกระซิบเสียงสั่น นัยน์ตาสีเทาเงินเต็มไปด้วยความกังวล หากปล่อยให้เขาโจมตีโดยไม่คิด เขาอาจโดนเล่นงานก่อนจะได้ทำอะไรด้วยซ้ำ


ดร.ออเรียลไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขายกมือประสานหลังไว้เหมือนเดิม ท่วงท่าผ่อนคลายเหมือนกำลังสนทนาเรื่องไร้สาระในห้องนั่งเล่นมากกว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรู “ก็บอกว่าเพื่อนของคุณ…” เขาเอียงคอน้อย ๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มเย็นชา “อาจจะตายแล้ว…มั้ง” เขาลากเสียงเน้นคำสุดท้ายด้วยความจงใจและพูดย้ำประโยคนั้นอีกรอบ คล้ายกำลังหยั่งเชิงเพื่อตอกย้ำความโกรธในดวงตาของเลสเตอร์ที่แทบปะทุ


“แก—!” เลสเตอร์กัดฟันกรอด เสียงคำรามต่ำหลุดออกมาโดยไม่ทันคิด โมนีก้ากระชากแขนเขาแรงกว่าเดิม ดวงตาของเธอจ้องเขาอย่างจริงจัง “เลสเตอร์! ใจเย็น ๆ สิ เขากำลังยั่วโมโหนายอยู่นะ!” เธอหอบหายใจถี่รู้ดีว่าถ้าเขาหลุดขอบความอดทนแม้เสี้ยววินาที พวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีวันเอาตัวรอดได้ เลสเตอร์หันขวับไปมองโมนีก้าความโกรธทำให้ลมหายใจเขาถี่รัวเหมือนสัตว์ป่าถูกต้อนจนมุม “มันจะฆ่าเพื่อนฉัน!” เสียงที่เปล่งออกมาสั่นสะท้านแต่ก้องกังวานไปทั่วห้อง คำพูดนั้นหนักแน่นจนแม้เครื่องจักรที่ทำงานอยู่เงียบ ๆ ก็เหมือนจะหยุดฟัง


โมนีก้าสบตาเขา ดวงตาสีเทาเงินของเธอเต็มไปด้วยความกังวลปนหวาดหวั่น “ฟังฉันนะ เขากำลังยั่วให้นายหลุด” เธอพูดพลางบีบแขนเขาแน่นขึ้น “ถ้านายพุ่งใส่เขาตอนนี้ เราจะเสียเปรียบทันที อย่าลืมว่าเรายังต้องหาคนอื่นอยู่” น้ำเสียงที่ออกมานุ่มแต่หนักแน่นพอจะดึงสติชายหนุ่มให้ชะงัก


ดร.ออเรียลหัวเราะในลำคอ เสียงทุ้มเย็นจัดเหมือนน้ำแข็งแตกร้าว “ไฟในดวงตาคุณนี่มันช่างงดงามจริง ๆ เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส” เขาก้าวเข้ามาอีกก้าว แสงจากจอโฮโลแกรมสะท้อนกรอบแว่นเป็นประกายวาววับ “ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวคุณก็จะได้ไปอยู่กับเพื่อน ๆ เอง…ในห้องขังลึกสุดของที่นี่ ถ้าพวกเขายังมีลมหายใจรอคุณอยู่”


เลสเตอร์สะบัดแขนแต่โมนีก้ายังไม่ยอมปล่อย เธอส่ายหน้าแรง ๆ แม้หัวใจจะเต้นแรงจนเจ็บอก “อย่าให้เขาควบคุมเราได้ นายสัญญากับฉันแล้วว่าเราจะช่วยทุกคน ไม่ใช่ตายไปพร้อมกัน”


แววตาของเลสเตอร์ไหววูบตอนที่โมนีก้าบอกแบบนั้น เสียงหอบหนักค่อย ๆ ผ่อนลง แม้โทสะยังคุกรุ่นแต่เขาก็ฝืนยืนนิ่ง ขณะที่ดร.ออเรียลยกยิ้มบางมุมปาก สายตาเยือกเย็นกวาดมองคนทั้งคู่ราวกับกำลังประเมินเหยื่อในกรง “หนูตัวนี้…น่าสนใจดีนะ” เขาพึมพำเบา ๆ แต่ชัดเจนพอจะกรีดแทงความอดทนของทั้งคู่ เลสเตอร์ขบกรามแน่นจนได้ยินเสียงดังกรอดในลำคอ ส่วนโมนีก้าก็รู้สึกหัวใจหล่นวูบ เธอหันไปมองชายหนุ่มข้างกายด้วยแววตาเต็มไปด้วยความกังวลปนหวาดหวั่น ไม่ใช่เพราะเธอกลัวออเรียล แต่เพราะกลัวว่าเลสเตอร์จะถูกความโกรธเผาผลาญจนทำให้เขาก้าวพลาด


แล้ว ดร.ออเรียลก็หันสายตาคมกริบมาทางโมนีก้าเป็นครั้งแรก รอยยิ้มยังไม่จางหาย “ส่วนคุณ…” เขาไล่สายตาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เสียงต่ำลากยาวราวกับแสลงใจ “คุณไม่จำเป็นสำหรับผม งั้นช่วยตายทีนะ เผื่อว่าอาหารในคุกจะได้ไม่ต้องใช้เยอะ หนูตัวเล็กอย่างคุณไม่มีค่าอะไรพอสำหรับผมน่ะ”


คำพูดนั้นเหมือนเด็กสาวโดนตบหน้า โมนีก้ากำมือแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือแต่เธอยืนกรานไม่ถอย เธอเงยหน้ามองชายผู้มีพลังจิตมหาศาลตรงหน้า แววตาแข็งกร้าวขึ้น แม้หัวใจจะสั่นไหวแต่เธอเลือกจะไม่ปล่อยให้เขาดูถูกเธอหรือคนที่เธอเลือกจะยืนเคียงข้าง


ก่อนที่ ดร.ออเรียลจะเริ่มโจมตีด้วยพลังงานของเขา ประกายไฟฟ้าสีฟ้าขาววาบขึ้นกลางอากาศพร้อมเสียงแตกเปรี๊ยะราวกับฟ้าผ่าเมื่อดร.ออเรียลเหยียดมือออก เขาไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว แต่สนามพลังจิตที่มองไม่เห็นก็กระโจนออกมาราวคลื่นพายุ ก้อนเหล็กด้านข้างลอยขึ้นเองแล้วพุ่งเข้าหาเลสเตอร์กับโมนีก้าอย่างแม่นยำราวกับมีชีวิต 


เลสเตอร์ก้าวขึ้นหน้าโดยไม่คิด เขาตวัดธนูยกขึ้นรับแรงปะทะ เศษประกายไฟกระเด็นแตกกระจายไปทั่วพื้นโลหะ เขาตั้งใบหน้าแข็งกร้าว ดวงตาสีฟ้าลุกเป็นประกายกราดเกรี้ยว “ถ้านี่คือทั้งหมดที่มี นายคงต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะจับฉันได้!” เขาตะโกนโต้กลับเสียงของเขาก้องสะท้อนราวกับประกาศท้าทาย ส่วนโมนีก้าก็ก้าวข้างเลสเตอร์ทันที แม้หัวใจจะเต้นแรงจนแทบระเบิด เธอกัดฟันแล้วกวัดแกว่งอาวุธในมืออย่างแม่นยำ คมดาบสะท้อนแสงฮอโลแกรมเป็นเส้นแสงวาว 


“ฉันว่าพวกนักวิทยาศาสตร์อย่างคุณควรอยู่ในห้องทดลองมากกว่าออกมาทำตัวเป็นบอสในไฟนอลแฟนตาซีนะ” เธอตะโกนบ่นเสียงแข็งแม้จะรู้ว่ามันไม่มีผลอะไรนอกจากเรียกสายตาเยือกเย็นของอีกฝ่ายให้หันมาที่เธอ


ดร.ออเรียลเพียงยกคิ้ว ยิ้มบาง ๆ แล้วสะบัดนิ้วเหยียด อากาศรอบตัวบิดเบี้ยวจนเหมือนโลกหมุนกลับด้าน พลังจิตของเขาสร้างแรงกดทับหนักจนพื้นสะเทือน เลสเตอร์รับรู้แรงดันมหาศาลที่กดทับลงบนไหล่ของเขาและโมนีก้าเหมือนมีภูเขาทั้งลูกโถมทับ เขาสบถเบา ๆ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าขวางร่างของเธอโดยสัญชาตญาณ รับคลื่นพลังเต็มแรงจนร่างเขากระแทกพื้นเสียงดังสนั่น “เลสเตอร์!” โมนีก้ากรีดร้อง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เธอถลาเข้าประคองเขาแต่ชายหนุ่มยกมือห้าม ใบหน้าซีดเผือดแต่แววตายังคงดุดัน “อย่า…ฉันยังไหว” เสียงเขาแหบพร่าแต่หนักแน่นพอให้เธอหยุด


 “นายบ้าไปแล้ว จะตายอยู่แล้วยังจะปกป้องฉันอีก!” โมนีก้าเอ่ยแบบนั้นก่อนที่จะมองอีกฝ่ายแบบเป็นห่วง 


เลสเตอร์ฝืนยิ้ม แม้มีเลือดซึมตรงมุมปาก “ก็สัญญาแล้วไงว่าจะไม่ให้เป็นอะไรน่ะ” เขากระซิบ ก่อนจะคว้าธนูขึ้นอีกครั้ง ดึงสายสุดแรงปล่อยลูกศรพลังที่แตกเป็นเส้นแสงพุ่งตรงไปยังเกราะพลังของดร.ออเรียลจนเกิดเสียงระเบิดดังก้อง การโจมตีของเลสเตอร์แม่นยำและหนักหน่วงกว่าทุกครั้งที่โมนีก้าเคยเห็น เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วเหมือนคนที่ทิ้งทุกอย่างนอกจากเป้าหมายไว้เบื้องหลัง แม้จะบาดเจ็บแต่ทุกลูกศรถูกปล่อยออกมาราวกับสัญชาตญาณล้วน ๆ บังคับให้ ดร.ออเรียลต้องถอยเล็กน้อยเป็นครั้งแรก


โมนีก้าใช้โอกาสนั้นพุ่งเข้าประชิด อาวุธในมือกรีดผ่านม่านพลังจนเกิดเสียงแตกคล้ายแก้วแตก เธอหอบหนัก เหงื่อไหลซึมตามไรผมแต่ยังไม่ลดความเร็ว ทุกจังหวะที่ฟันออกไปเฉียบคมและรวดเร็วจนแม้แต่เลสเตอร์ยังต้องเหลือบตามองด้วยความทึ่ง


ดร.ออเรียลกระตุกยิ้มบางสายตาที่ซ่อนหลังเลนส์แว่นส่องประกายเหมือนนักล่าที่เจอคู่ต่อสู้สมใจ “น่าสนใจ…หนูสองตัวนี้ยังมีแรงให้เล่นอยู่นะเนี้ย” เสียงของเขาดังลึกและเย็นยะเยือก ก่อนที่คลื่นพลังจิตลูกใหม่จะสั่นสะเทือนห้องจนผนังส่งเสียงครวญ ทั้งแสงไฟและจอโฮโลแกรมกระพริบถี่รัว เลสเตอร์ยืนประจันหน้ากับอีกฝ่ายแม้บาดเจ็บก็ยังยกธนูขึ้นอีกครั้ง สายธนูสั่นสะท้อนเสียงก้องราวกับหัวใจของเขา “ถ้าอยากจับหนู ก็ต้องเสี่ยงโดนกัดเหมือนกันแหละ” เขากัดฟันปล่อยลูกศรพุ่งฝ่าแรงลมมหาศาล ขณะที่โมนีก้าขยับตามแนบชิด คมดาบในมือเปล่งประกายแสงราวกับดวงดาวกลางรัตติกาล


เสียงระเบิดของพลังงานสาดก้องไปทั่วห้องควบคุม กลิ่นโลหะไหม้ผสมกับไอพลังจิตจนแทบหายใจไม่ออก การต่อสู้ที่ไม่มีทางเลือกเริ่มกลายเป็นการประลองที่สูสี ทุกวินาทีที่ผ่านไปทั้งเลสเตอร์และโมนีก้าต่างพุ่งเข้าใกล้ขีดจำกัด แต่ไม่มีใครคิดจะถอยแม้เพียงก้าวเดียว


การต่อสู้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วเกือบสองชั่วโมงสภาพของทั้งโมนีก้าและเลสเตอร์ก็ร่อแร่มาก แต่เลสเตอร์บาดเจ็บมากกว่าโมนีก้า เสียงลมหายใจหนักหน่วงก้องสะท้อนอยู่ในห้องควบคุมที่เต็มไปด้วยเศษซากเครื่องมือวิทยาศาสตร์และกลิ่นคาวเลือด พื้นเหล็กเย็นเฉียบเปรอะไปด้วยรอยเท้าและคราบแดงเข้มที่หยดเป็นทางยาว การต่อสู้ที่ยาวนานเกือบสองชั่วโมงได้ทิ้งร่องรอยของมันไว้ทุกตารางนิ้วหรือสายไฟถูกฉีกขาด จอโฮโลแกรมกระพริบแสงริบหรี่เหมือนจะดับลงทุกเมื่อ


เลสเตอร์ยืนหอบอยู่กลางวงเวียนของความพินาศ เสื้อคลุมสีเข้มขาดวิ่น เลือดไหลซึมตามแขนและสีข้างจนกลายเป็นลายเปื้อนบนผิวซีด ดวงตาสีฟ้าของเขายังคงลุกโชนแม้ร่างกายจะสั่นเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้า เขายกธนูลงช้า ๆ สายธนูยังคงสั่นไหวจากแรงดึงครั้งสุดท้ายที่ปิดฉากการต่อสู้


ดร.ออเรียลทรุดตัวลงพิงผนัง โลหะเย็นรับน้ำหนักร่างของเขาพร้อมเสียงครืดเบา ๆ เสื้อกราวน์สีขาวที่เคยเรียบร้อยบัดนี้เปื้อนเลือดแดงฉานบริเวณหน้าท้องเป็นวงกว้าง เขาหอบแรง ดวงตาคมกริบที่ซ่อนหลังเลนส์แว่นยังคงจับจ้องเลสเตอร์ด้วยแววเย้ยหยันแม้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ฝีมือ…ไม่เลวเลย เจ้าหนู” เขาเปล่งเสียงพร่ากระเสือกกระสนแต่ยังคงยิ้มมุมปากอย่างดื้อดึง


โมนีก้าก้าวเข้ามาช้า ๆ เธอรู้สึกเหมือนอากาศในห้องหนักขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาสีเทาเงินสั่นระริกเมื่อมองเห็นร่างของเลสเตอร์ยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟกระพริบกับเลือดที่หยดลงจากปลายนิ้ว เขาในตอนนี้ดูไม่เหมือนชายหนุ่มผู้ชอบพูดจายียวนหรือยิงมุกให้เธอหัวเราะ แต่เป็นนักล่าที่เพิ่งเอาชนะศัตรูด้วยความเย็นชา เธอกัดริมฝีปากจนแทบแตกเสียงหัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเหมือนจะดังไปทั่วห้อง “เลสเตอร์…” เธอเอ่ยเรียกเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกลัวปนตกใจ มือที่กำมีดสั้นไว้แน่นเริ่มสั่นโดยไม่รู้ตัว “นาย…”


ชายหนุ่มเหลือบตามองโมนีก้าเพียงชั่วครู่ ก่อนหันสายตากลับไปยัง ดร.ออเรียลที่กำลังพยายามยันตัวขึ้น เลสเตอร์ก้าวเข้าไปใกล้ฝ่ายตรงข้ามอย่างเชื่องช้า ทุกฝีก้าวของเขาเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ทำให้โมนีก้าต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง “บอกมา ว่าพวกเขา เพื่อนของฉันอยู่ที่ไหน” เสียงของเขาเย็นจนแทบไร้อารมณ์ ราวกับเสียงนั้นถูกกัดกร่อนเหลือแต่ความตั้งใจจะจบทุกอย่าง


ออเรียลหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่เลือดไหลไม่หยุด “ก็บอกไปแล้วว่าห้องขัง...คุณคิดว่า…การฆ่าผมจะทำให้ทุกอย่างจบงั้นหรอ” เสียงหัวเราะของเขาแตกพร่าแต่ยังคงท้าทาย “ยุคของพวกเทพมันจบสิ้นแล้ว ต่อให้ผมตาย…พวกเขาก็จะสานต่อ”


เลสเตอร์จ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง ดวงตาสีฟ้าเข้มข้นขึ้นราวกับท้องฟ้าที่อัดแน่นด้วยพายุ เขากระชับคันธนูแน่นราวกับจะยิงซ้ำ แต่สุดท้ายกลับลดมันลงอย่างช้า ๆ เสียงถอนหายใจหนักหน่วงดังลอดจากลำคอ “ไม่…ฉันจะไม่ให้คนอย่างนายได้ความตายเป็นของขวัญ” เขากัดฟันแน่น ความโกรธยังคงไหลเวียนแต่ถูกกักเก็บไว้ด้วยเจตจำนงที่แข็งแกร่ง 


โมนีก้าที่เห็นเลสเตอร์เป็นแบบนั้นเธอเลยรีบก้าวเข้ามาใกล้เขา ดวงตาเธอยังไม่คลายความตื่นตระหนก เธอสบตาเลสเตอร์เห็นเหงื่อและเลือดที่เกาะบนใบหน้าของเขาจนหัวใจเธอบีบรัด “พอเถอะเลสเตอร์” เธอเอ่ยเสียงสั่น “เราได้ข้อมูลแล้ว อย่าทำให้ตัวเองต้องกลายเป็น…คนแบบเขา” เลสเตอร์มองหน้าเธอ เงาของแสงไฟสั่นไหวสะท้อนประกายในดวงตาของทั้งสอง เขาไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองดร.ออเรียลที่นั่งพิงผนังอย่างคนหมดแรง แต่ยังยิ้มเยาะเหมือนผู้ที่ไม่เคยแพ้จริง ๆ ก่อนที่เขาจะสลบลงไปจริง ๆ ในจังหวะที่ ดร.ออเรียลสลบไป หัวใจของโมนีก้ายังคงเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ เธอไม่เคยเห็นเลสเตอร์ในด้านนี้มาก่อน ด้านที่เงียบงันแต่เต็มไปด้วยพลังอำนาจที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่ง ความกลัวปนความทึ่งคละเคล้ากันจนเธอแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนคือความรู้สึกจริงของตัวเอง


เลสเตอร์เองก็บาดแผลหนักสาหัดเหมือนกัน เขาทรุดตัวลงกับพื้นเย็นเยียบจนเสียงโลหะกระทบกับหัวเข่าดังสะท้อนก้องในห้องควบคุมที่ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้ง เขาพยายามยันตัวด้วยคันธนูที่เปรอะไปด้วยรอยเลือด แต่แรงจากร่างกายที่อ่อนล้าและบาดแผลลึกทำให้แขนสั่นจนแทบยกไม่ขึ้น เลือดสีแดงเข้มไหลเป็นทางตามแขนและสีข้าง ซึมผ่านเสื้อผ้าที่ขาดเป็นริ้วลงมาจนหยดลงบนพื้นเป็นจังหวะชัดเจน


โมนีก้าก้าวเข้ามาหาเลสเตอร์โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ใบหน้าของเธอซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด แต่ดวงตาเงินคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงที่หนักกว่า เธอคุกเข่าลงข้าง ๆ เขา มือที่ยื่นออกไปสั่นน้อย ๆ ขณะหยิบชุดปฐมพยาบาลจากกระเป๋าของเขาออกมา ร่างกายเธอสั่นเพราะความกลัวและกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งในอากาศจนแทบหายใจไม่ออก แต่เธอไม่ยอมขยับออกจากเขาแม้สักนิด เลสเตอร์เหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่โมนีก้ากลับพูดแทรกขึ้นมา “ฉันจะช่วยทำแผลให้นะ” เสียงของโมนีก้านุ่มแต่หนักแน่น ดวงตาเธอจ้องเขาโดยไม่ปล่อยให้มีช่องว่างของการปฏิเสธ “อย่าพูดตอนนี้…ขอร้อง ขอฉันทำแผลให้นายก่อน”


เลสเตอร์ยกสายตาขึ้นมองเธอ ในตอนแรกที่เขาจะพยายามอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นประกายจริงจังในดวงตาของเธอ เขาก็เม้มปากแน่นปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่ เสียงหอบหายใจของเขาหนักหน่วงแต่สม่ำเสมอราวกับกำลังฝืนทนไม่ให้ตัวเองหมดสติ


โมนีก้าหยิบผ้าก๊อซออกมาอย่างรวดเร็ว แม้ปลายนิ้วจะเปื้อนเลือดจนเริ่มลื่น เธอใช้ผ้าชุบน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดรอบบาดแผลอย่างระมัดระวัง กลิ่นฉุนของน้ำยาผสมกับกลิ่นคาวเลือดจนทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนแต่เธอยังกัดฟันทำต่อไป มือที่สั่นในตอนแรกเริ่มนิ่งขึ้นทีละน้อยด้วยความตั้งใจที่จะไม่ให้แผลลึกยิ่งไปกว่าเดิม


เลสเตอร์กัดฟันกรอดเมื่อของเหลวเย็นเฉียบสัมผัสผิวเนื้อที่แตกฉาน แต่เขาไม่ส่งเสียงร้องออกมา มีเพียงเสียงลมหายใจที่หนักขึ้นและกล้ามเนื้อที่เกร็งแน่น เขาเงยหน้ามองเพดาน พยายามไม่มองเลือดที่ไหลออกมาจากร่างกายตนเอง แต่สายตาก็ยังเหลือบไปมองใบหน้าของโมนีก้าอยู่เรื่อย ๆ เห็นเธอกัดริมฝีปากจนซีดเพื่อกลั้นความกลัว เขารู้ทันทีว่าเธอเกลียดเลือดแค่ไหน


“โมนีก้า…” เสียงของเขาแผ่วเบาเหมือนลมหายใจ “เธอ—”


“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าพูด” โมนีก้าตัดบททันที น้ำเสียงเข้มกว่าที่เคยใช้กับเขา เธอไม่เงยหน้ามองด้วยซ้ำ ขณะพันผ้ารอบเอวของเขาอย่างแน่นหนาแต่ไม่รัดจนเกินไป “นายต้องเก็บแรงไว้ เข้าใจไหม”


เลสเตอร์เม้มปากอีกครั้งแล้วเงียบตามคำสั่งของโมนีก้า ดวงตาสีฟ้าที่เคยส่องประกายดุจเปลวไฟในระหว่างการต่อสู้ตอนนี้กลับมีประกายบางอย่างที่อ่อนลง เมื่อมองเห็นหญิงสาวตรงหน้า แม้ใบหน้าจะเปื้อนเลือดและเหงื่อ แต่สายตาเธอกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยที่แทบจะกลบทุกเสียงรบกวนรอบข้าง มือของโมนีก้าเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ เธอตรวจดูบาดแผลอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าหยุดเลือดได้แล้ว ก่อนจะใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบเลือดตามใบหน้าและลำคอของเขาอย่างเบามือ “ทนหน่อยนะ ใกล้เสร็จแล้ว” เธอเอ่ยเสียงแผ่วแต่ชัดเจน


เลสเตอร์หลับตาลงชั่วครู่ สูดลมหายใจลึกแม้เจ็บจนรู้สึกถึงความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เขาไม่พูดอะไรอีก เพียงปล่อยให้โมนีก้าดูแลราวกับรู้ว่าการต่อต้านมีแต่จะทำให้เธอเป็นห่วงมากขึ้น ภายในห้องที่เต็มไปด้วยเงาและความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ที่ประสานกันเป็นจังหวะเดียวกัน เป็นเสียงที่บอกว่าทั้งสองยังคงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความตายที่รายล้อมในทุกครั้งที่ต่อสู้


หลังจากที่ทำแผลของเลสเตอร์เสร็จโมนีก้าก็คลายผ้าพันมือที่เปื้อนเลือดออกจากนิ้วแล้วทิ้งลงข้างตัว สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อกลบกลิ่นคาวที่ยังตลบอยู่รอบห้อง เธอเหลือบตามองร่างของดร.ออเรียลที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น สภาพเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลซึมจากช่องท้องจนเปียกพื้นเย็นเฉียบเป็นวงกว้าง ภาพนั้นทำให้กระเพาะของเธอบิดเกร็งจนต้องหันหน้าหนีทันที สีหน้าซีดเผือดเหมือนเลือดในร่างถูกดูดออกไปหมด


“เลสเตอร์…เราจะพักก่อนดีไหม หรือว่านายจะไปห้องขังที่เขาบอกเลย” น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อยราวกับกลัวคำตอบ ทั้งที่รู้อยู่ลึก ๆ ว่าเขาคงไม่เลือกการพักผ่อนง่าย ๆ


เลสเตอร์เงยหน้าขึ้นจากพื้น ดวงตาสีฟ้าที่เคยลุกโชนด้วยโทสะตอนต่อสู้ตอนนี้เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและเหน็ดเหนื่อยปะปนกัน เขามองใบหน้าซีดขาวของโมนีก้า เห็นรอยเลือดเล็ก ๆ ที่เปื้อนแก้มของเธอแต่ยังฝืนอยู่ได้ เขากัดฟันแล้วพยายามยันตัวลุกขึ้นแม้ร่างกายจะประท้วงด้วยความเจ็บจนสั่นสะท้าน “เราไม่มีเวลาแล้ว” เสียงของเขาแหบพร่าแต่หนักแน่น “เพื่อนของฉันอยู่ในนั้น…ทุกนาทีที่เสียไปอาจจะเป็นนาทีสุดท้ายของพวกเขา”


โมนีก้ากัดริมฝีปากแน่นแล้วเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง ใจหนึ่งอยากจะบังคับให้เขาพักแต่อีกใจก็รู้ดีว่าเขาพูดถูก ความมุ่งมั่นในน้ำเสียงของเขาทำให้เธอไม่อาจเอ่ยค้านได้ เธอพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะยื่นมือไปประคองแขนเขาอย่างระมัดระวัง “งั้นเราจะไปด้วยกัน” เธอกระซิบเป็นเสียงชัดเจนขึ้นแม้ยังมีความสั่นสะท้านเพราะความกลัว และไม่พูดอะไรอีก


เลสเตอร์หลุบตาลงมองมือของเธอที่จับแขนเขาไว้แน่น ความอบอุ่นจากฝ่ามือเล็ก ๆ นั้นทำให้หัวใจที่เคยเต้นแรงเพราะโทสะเริ่มกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ เขาพยักหน้ารับคำเตือนโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม รู้ดีว่าการดื้อรั้นไปกว่านี้มีแต่จะทำให้เธอเป็นห่วงมากขึ้น ทั้งสองสบตากันเพียงครู่เดียวก่อนจะเบือนสายตาหลบกันไปยังทางเดินด้านใน เส้นทางมืดและยาวไกลสู่ห้องขังที่อาจมีคำตอบและเพื่อนที่กำลังรออยู่ เสียงลมหายใจของเลสเตอร์ยังคงหนัก แต่เขาฝืนยืนขึ้นโดยมีโมนีก้าประคองอยู่ข้างกาย พร้อมจะก้าวต่อแม้ร่างกายแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง ท่ามกลางกลิ่นเลือดและเงามืดที่ยังไม่จางหาย ทั้งคู่รู้ดีว่าเวลาที่เหลืออยู่กำลังร่นเข้ามาเรื่อย ๆ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินหน้าต่อไป

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์ได้พบกับหัวหนัาวิจัยที่นี่ เลสเตอร์โกรธมาก เขาจะไปช่วยเพื่อนให้ได้ และจัดการกับหัวหน้าคนนั้นและได้ข้อมูลว่าพวกเพื่อน ๆ ของเขาอยู่ห้องขัง และองค์กร LoNex มีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้าง "ดวงอาทิตย์สีดำ" (Black Sun) เพื่อนำมาซึ่งยุคใหม่ของโลก มันบอกว่ายุคของเทพเจ้าจบลงแล้ว เลสเตอร์สู้ชนะแต่บาดเจ็บหนัก โมนีก้าเองก็เหมือนกันแต่น้อยกว่า เขาพบว่าโมนีก้าค่อนข้างกลัวเลือด แต่เธอก็ยังคงรักษาบาดแผลให้เขาทั้งที่มือสั่น ขอโทษนะ แต่เราหยุดไม่ได้เพราะเพื่อนเขารอให้ไปช่วยอยู่ ทุกอย่างเป็นตายเท่ากันในสถานะการณ์นี้ เลสเตอร์และโมนีก้าเลยออกจากห้องมุ่งหน้าสู่ห้องขัง


[ต่อสู้กับ หัวหน้าหน่วยวิจัย: ดร.ออเรียล คาร์ดิแนล]

[มุ่งหน้าสู่ห้องขังเพื่อช่วยเพื่อน ๆ]

avatar

Moneka M. Blossom

....ฉันไม่ชอบเลือด แต่เลสเตอร์บาดเจ็บหนัก เอาตรง ๆ ฉันรู้สึกแย่มากที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้มากไปกว่านี้ ตอนที่โดนเจ้า ดร. คนนั้นบอกว่าฉันไร้ค่าในสายตาของพวกเขาทำให้โมนีก้าได้รู้ว่า ...บางครั้งฉันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-29 11:51
โพสต์ 113314 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-29 10:15
โพสต์ 113,314 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-29 10:15
โพสต์ 113,314 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-29 10:15
โพสต์ 113,314 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-29 10:15
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-29 16:10:35 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 24 : เจอสักกะที
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 23.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องขัง ภายในศูนย์วิจัยชั้นบนของสถานีวิจัย องค์กร LoNex ใต้ดินเหมืองไจแอนท์ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

โมนีก้าประคองเลสเตอร์ผ่านระเบียงทางเดินยาวแคบของศูนย์วิจัยตามเส้นทางในแผนที่ที่เธอจำได้ทุกโค้ง ทุกบันได เสียงฝีเท้าของทั้งคู่กลืนหายไปกับความเงียบเย็นเฉียบในชั้นใต้ดินที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล็กและคราบน้ำมัน เธอรู้ดีว่าเลสเตอร์เจ็บหนักแต่ความร้อนรนในดวงตาของเขาไม่เคยลดลงแม้แต่น้อย


เมื่อมาถึงช่วงโถงกว้างที่เป็นทางเชื่อมสู่ห้องขัง พวกเขาทั้งคู่ก็หยุดก้าวทันที ภาพเบื้องหน้าคือกลุ่มกองกำลังของ LoNex หลายคนยืนประจำจุด ร่างในชุดเกราะสีดำสนิทสะท้อนแสงไฟสีขาวซีด พวกมันยืนเรียงแถวกันแน่นหนา สายตาคมกริบกวาดไปรอบห้องอย่างไร้ความเหน็ดเหนื่อย เหมือนเครื่องจักรที่ถูกตั้งโปรแกรมมาแล้ว โมนีก้าที่เห็นแบบนั้นจึงก้มลงอย่างเงียบเชียบ พยายามกลั้นหายใจไม่ให้เสียงดัง เธอชำเลืองมองเลสเตอร์ที่กำลังพยายามทรงตัวโดยไม่ให้บาดแผลเปิด เลือดที่ซึมผ่านผ้าพันแผลนั้นยังคงเปื้อนแขนเสื้อของเขา เธอรู้ทันทีว่าหากปล่อยให้เขาสู้ต่อไป เขาจะบาดเจ็บยิ่งกว่าที่เป็นอยู่


โมนีก้าหันตัวกลับมาหาเขา ดวงตาสีเทาเงินฉายแววเด็ดเดี่ยวที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เสียงกระซิบของเธอคมชัดพอให้เขาได้ยินแม้ในความเงียบ “เลสเตอร์ อย่าออกไป นายซุ่มโจมตีอยู่ตรงนี้” เธอพูดพลางวางมือบนอกเขาเบา ๆ เพื่อย้ำคำสั่ง “ฉันจะเป็นคนไปจัดการพวกนั้นเอง ห้ามปฏิเสธ” 


เลสเตอร์ขมวดคิ้วทันทีเขาอ้าปากจะเถียงเธอ แต่เจอสายตาแข็งกร้าวของโมนีก้านั้นสวนกลับก่อน ความกังวลและความโกรธแฝงอยู่ในน้ำเสียงของโมนีก้าทำให้เห็นว่ารอบนี้เธอจริงจังขนาดไหน “แผลเก่านายยังไม่ทันปิด แผลใหม่ก็เพิ่งได้มา อย่าดื้อ นายจะเป็นเป้าทันทีถ้าพวกนั้นรู้ตัว ปล่อยให้ฉันจัดการ พวกมันยังไม่รู้ว่าเรามาหรอก” เมื่อเธอพูดเสร็จก็ขยับตัวลุกขึ้นทันที


เลสเตอร์กัดฟันแน่นเสี้ยววินาทีหนึ่งเขาอยากจะดึงเธอกลับมาอยู่ด้านหลังเขาไว้ตลอด แต่แรงในร่างกายที่บอบช้ำทำให้เขารู้ตัวว่าตอนนี้เธอพูดถูก ดวงตาสีฟ้าของเขาฉายแววหงุดหงิดและห่วงใยปนกัน เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยอย่างจำยอม “โมนีก้า…อย่าประมาท ถ้ามีอะไรผิดพลาด ให้ถอยทันที เข้าใจไหม” น้ำเสียงของเขายังคงแฝงความห่วงแม้จะเต็มไปด้วยความเครียด


โมนีก้าพยักหน้าเบา ๆ แต่ไม่ละสายตาจากเหล่ายามที่ยืนรออยู่ เธอกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง “ฉันรู้ว่าต้องทำยังไงอยู่หรอก นายต่างหากที่ต้องอยู่เฉย ๆ โง่ ๆ อย่างที่ฉันบอก”


เลสเตอร์หลับตาไปชั่วขณะกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอ เขาได้แต่กำหมัดแน่นในความมืด มองร่างบางของโมนีก้าที่ค่อย ๆ เลื่อนตัวไปตามเงาผนัง เสียงฝีเท้าของเธอเบาจนแทบไม่แตะพื้น ความเงียบและความตึงเครียดกดทับในอกของเขาอย่างหนัก ทุกวินาทีที่เธอห่างออกไปทำให้เลือดในร่างกายของเลสเตอร์เต้นแรงขึ้นราวกับจะทะลุผิวหนัง แต่เขาจำต้องนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้หญิงสาวที่ดื้อรั้นที่สุดในชีวิตเป็นคนเปิดฉากในครั้งนี้เพียงลำพัง


เลสเตอร์ยังทนเป็นห่วงโมนีก้าไม่ไหว เขาเตรียมธนูไว้สำหรับเวลาที่โมนีก้าพลาด หลังจากนั้นหญิงสาวก็เข้าไปสู้กับกลุ่มคนพวกนั้นอย่างรวดเร็ว ทว่าจากความเป็นห่วงเสียงธนูดีดสายวี้ดแหวกอากาศตามมาด้วยเสียงร่างหนัก ๆ ล้มกระแทกพื้นดังก้องไปทั่วโถงใต้ดิน กลิ่นควันดินปืนเจือเลือดคละคลุ้งตัดกับความเย็นเฉียบในอากาศ ในขณะเดียวกันที่โมนีก้าเคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล ร่างบางก้าวลื่นไหลราวกับเงา เธอใช้กราดิอุสฟาดขอบด้ามเข้ากับขาของยามคนหนึ่งจนล้มคว่ำ ก่อนหมุนตัวไปแทงสั้นเฉียงที่จุดอ่อนของอีกคนอย่างแม่นยำโดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย


เลสเตอร์ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดห่างออกไปไม่กี่ก้าว ดวงตาสีฟ้าเย็นเฉียบจับจ้องทุกจังหวะที่โมนีก้าเคลื่อนไหว มือของเขาดึงสายธนูอย่างมั่นคง ปล่อยลูกธนูต่อเนื่องเป็นระยะเพื่อปิดฉากศัตรูที่หลุดรอดเข้าใกล้เธอไปทีละคน เสียงปล่อยสายดัง ฉับ ถี่รัวเหมือนหัวใจที่เต้นแรงตามความเป็นห่วงของเขา


แม้โมนีก้าจะสู้ได้อย่างเฉียบคมกว่าทุกครั้งที่เขาเห็น แต่ทุกครั้งที่เธอเผลอเผยช่องว่าง เลสเตอร์ก็สอดแทรกการยิงช่วยทันที ลูกธนูของเขาพุ่งทะลุชุดเกราะของยามที่พยายามจะเข้าด้านหลังเธอ ร่างศัตรูล้มลงไร้เสียงจนฝุ่นคละคลุ้ง เขาไม่ยอมปล่อยให้เด็กสาวต้องรับการโจมตีเพียงลำพังแม้เธอจะสั่งห้ามก่อนหน้านี้ก็ตาม ไม่นานร่างของกองกำลัง LoNex ทั้งหมดก็กองระเกะระกะอยู่บนพื้น โมนีก้าหยุดหอบลมหายใจครั้งใหญ่ ลมหายใจสีขาวระเหยในอากาศเย็นจัด เธอกวาดตามองรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเหลือ ก่อนจะหันไปเห็นเลสเตอร์ยังคงยืนประจำมุมกำแพง ธนูยังตรึงสายไว้ ดวงตายังระแวดระวังแม้ทุกอย่างจบลงแล้ว


โมนีก้าก้าวขายาว ๆ เข้าไปหาเขาโดยไม่พูดสักคำ เธอเห็นชัดว่ามือของเขาสั่นเล็กน้อยเพราะบาดแผลและความเหนื่อยล้า ความร้อนในอกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังใบหน้าสงบของเขาทำให้หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว โมนีก้าเก็บกราดิอุสลงแล้วเอื้อมมือไปประคองแขนของเลสเตอร์อย่างอ่อนโยน เลสเตอร์เหลือบตามองเธอ เขาอยากพูดบางอย่างเพื่อขอโทษที่ฝืนคำสั่ง แต่เสียงกลับติดค้างอยู่ในลำคอ เมื่อเจอสายตาสีเทาเงินที่ฉายทั้งความเป็นห่วงและความดื้อดึงที่เขาคุ้นเคย เธอไม่ตำหนิ ไม่บ่น มีเพียงมือที่ประคองแขนเขาไว้มั่นคง


โมนีก้ากระซิบเบา ๆ ในความเงียบ “ฉันบอกให้นายซุ่มอยู่เฉย ๆ แล้วนี่นา…แต่ก็ขอบใจนะ” น้ำเสียงฟังดูเหนื่อยแต่กลับอบอุ่นจนหัวใจเลสเตอร์สั่นสะท้าน เมื่อได้ยินแบบนั้นเลสเตอร์กลืนน้ำลายฝืด ๆ พยายามยิ้มแม้เลือดจะซึมออกจากผ้าพัน “ฉันสัญญาไม่ได้หรอกว่าจะอยู่นิ่ง ๆ…ในเมื่อเธอยังอยู่ตรงนั้น” เสียงของเขาแผ่วต่ำแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ โมนีก้าไม่ได้ตอบ เธอเพียงกระชับมือที่ประคองแขนเขาแน่นขึ้นเล็กน้อย ส่งผ่านความห่วงใยโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ ก่อนจะค่อย ๆ พยุงเขาให้ก้าวเดินต่อไปในอุโมงค์สู่ห้องขังที่รออยู่เบื้องหน้า


เมื่อถึงห้องขังเสียงเหล็กขูดกับพื้นกระทบกันเบา ๆ ก่อนจะตามด้วยกลิ่นสนิมและกลิ่นเหงื่อที่ลอยฟุ้งในอากาศชื้น ทั้งโมนีก้าและเลสเตอร์หยุดยืนทันทีเมื่อเห็นห้องขังที่ส่องสว่างด้วยไฟสีขาวซีดอยู่ตรงหน้า ภายในห้องนั้นมีคนสี่คนชายสามหญิงหนึ่ง นอนสลบเหมือดอยู่บนพื้นซีเมนต์เย็นจัด ร่างของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยช้ำและคราบเลือดที่ซึมผ่านชุดที่เปื้อนจนแทบจะกลายเป็นสีเทาหม่น


โมนีก้ากลั้นลมหายใจดวงตาสีเทาเงินไล่สำรวจใบหน้าของแต่ละคนอย่างรวดเร็ว ความห่วงใยแล่นขึ้นมาในอกทันทีไม่ต่างกับเลสเตอร์ แต่ก่อนที่เธอจะได้ก้าวไปช่วย เสียงฝีเท้าแข็งกร้าวก็ดังแทรกเข้ามาเป็นสัญญาณเตือน กลุ่มชายฉกรรจ์เจ็ดคนในชุดยุทธของ LoNex ปรากฏตัวจากเงามืด พวกมันเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง ปืนพกและกระบองไฟฟ้าถูกยกขึ้นเล็งตรงมายังผู้บุกรุกทั้งสอง


โมนีก้าเม้มริมฝีปากแน่นก่อนเหลือบมองเลสเตอร์ที่ยืนข้างหลัง เธอเอ่ยเสียงต่ำแต่หนักแน่น “นายคอยยิงธนู ฉันจะเข้าไปจัดการระยะประชิด” น้ำเสียงนั้นไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้ง ดวงตาของเธอฉายแววจริงจังจนเลสเตอร์เองยังต้องพยักหน้ารับ เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา โมนีก้าพุ่งตัวออกไป กราดิอุสในมือสะท้อนประกายแสงไฟสีขาวเฉียบ เธอกวาดดาบเฉียงลงใส่ข้อมือของยามคนแรกจนกระบองไฟฟ้าหลุดกระเด็น ก่อนจะหมุนตัวเตะเข้าที่ช่องท้องอีกคนอย่างแม่นยำ ทำให้ร่างใหญ่ล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมเสียงครางต่ำ


เลสเตอร์ยกคันธนูขึ้นโดยไม่ลังเล ลูกธนูพุ่งออกจากสายด้วยเสียงหวือคมกริบ ปักเข้าที่ไหล่ของชายคนหนึ่งซึ่งพยายามจะยกปืนเล็งใส่โมนีก้า เสียงกระแทกดังสะท้อนในอุโมงค์ขณะที่ร่างนั้นทรุดฮวบลงทันที เขาไม่ปล่อยให้ศัตรูมีเวลาตั้งหลัก ปล่อยลูกธนูดอกต่อไปเจาะทะลุเกราะเบาของอีกคนอย่างแม่นยำ


การต่อสู้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วราวกับการร่ายรำของเงามืด โมนีก้าเล็งจุดสำคัญเพียงเพื่อทำให้สลบ ไม่ใช่สังหาร ดาบในมือเธอเคลื่อนเป็นวงสั้น ๆ แต่ละฟันแต่ละแทงถูกควบคุมด้วยแรงที่พอเหมาะ เธออาศัยความคล่องแคล่วและความแม่นยำมากกว่าพละกำลัง ขณะที่เลสเตอร์คอยคุมระยะจากด้านหลัง ยิงธนูปิดช่องโหว่ทุกครั้งที่ศัตรูพยายามล้อมเข้ามา เสียงร่างคนล้มกระแทกพื้นดังก้องทีละคนทีละคน จนในที่สุดความเงียบก็กลับมาครอบคลุมห้องโถงอีกครั้ง กลุ่มยามทั้งเจ็ดนอนกองระเกะระกะอยู่กับพื้น ไม่เหลือใครที่ยังยืนอยู่ได้


โมนีก้าหยุดหอบแรง ๆ เหงื่อผสมเลือดเปื้อนแก้มและเส้นผม เธอกวาดตามองรอบห้องเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีศัตรูคนใดเหลืออยู่ ก่อนจะหันไปหาเลสเตอร์ที่ยังตรึงคันธนูไว้ ดวงตาสีฟ้าของเขาจับจ้องเธอด้วยความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีบาดแผลเก่าใหม่แต้มอยู่ทั่วร่าง แต่เขายังยืนมั่นคง


ทั้งสองไม่มีเวลามาบ่นใส่กันประตูเหล็กของห้องขังส่งเสียง “ปื้ด…แกร๊ก” เมื่อคีย์การ์ดที่โมนีก้าดึงมาจากเอวของยามรายล่าสุดแนบผ่านสแกนเนอร์ ไฟเขียวติดขึ้นพร้อมกลอนถอย เธอผลักบานประตูออกทันที กลิ่นอับชื้นและยาเช็ดฆ่าเชื้อฉุนจมูก ทั้งสี่คนเป็นชายสามหญิงหนึ่ง นอนสลบเหมือดบนพื้นคอนกรีตเย็นจัด มีรอยฟกช้ำเป็นปื้น ๆ ตามแขนขาและลำตัว “ฉันแบกคนตัวใหญ่เอง นายพยุงผู้หญิงกับคนตัวเล็กนะ ห้ามเถียง” โมนีก้าหันมาสบตา เลสเตอร์กำลังจะอ้าปากค้านแต่ต้องชะงักเมื่อเจอดวงตาสีเทาเงินของเธอจ้องมาแน่นิ่ง เขาเลยพยักหน้ายอมรับอย่างเสียไม่ได้


เธอส่องไฟฉายกวาดดูหน้าทีละคน ก่อนหยุดที่ชายร่างหนาอกกว้าง ลูคัส บุตรมาร์ส โครงสร้างไหล่หนาแน่นราวแท่นเหล็ก “เอ้า นายตัวใหญ่…มาก” เธอบ่นเบา ๆ แต่ก็สอดแขนลอดใต้รักแร้ ใช้เข่าประคองสะโพก แล้วยกขึ้นด้วยท่าไฟร์แมนแครี่ น้ำหนักโถมลงบนบ่า เธอชักหายใจแรงหนึ่งครั้งแล้วก้าวฉับออกจากกรงโดยไม่ให้ส้นรองเท้าลากพื้น  ขณะที่วินเซนโซที่เป็นช่างซ่อมบำรุง เธอเกี่ยวคอหิ้วตามมาอีกฝั่งด้วยจังหวะขั้นบันไดที่คิดไว้ในหัวราวกับซ้อมมา


เลสเตอร์ก้มคุกเข่าลงข้างอิลิเซีย หญิงสาวผิวซีดดุจราตรีเขาคลำชีพจรที่คอ “ยังสม่ำเสมอ” เขาพึมพำ แล้วสวมแขนเธอพาดบ่าข้างหนึ่ง อีกมือไปคว้าข้อมือของฮารุโตะ พ่อครัวและตำแหน่งแพทย์สนามร่างโปร่งขยับฉุดให้ยืนพยุงลากมาออกมาด้วยกัน...ในที่สุดพวกเขาก็พบกันแล้ว

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์และโมนีก้าเดินทางมาจนถึงห้องขัง ตอนนี้ทั้งสองพบเพื่อนแล้ว พวกเขาจัดการกับกลุ่มขององค์กรเหมือนเคย เมื่อจัดการเสร็จทั้งเลสเตอร์และโมนีก้าก็ได้ช่วยเพื่อนอีก 4 คนออกจากห้อง ตอนนี้พวกเขาจะพาเพื่อนไปยังที่ปลอดภัยเพื่อรักษาเบื้องต้นก่อนค่อยพากันออกมาจากสถานีแห่งนี้ เลสเตอร์โล่งใจอย่างมากเมื่อเขาพบว่าทุกคนยังมีชีวิตอยู่แม้จะบาดเจ็บ แต่ขอแค่นี้ก็ดีแล้ว


[ต่อสู้กับ กองกำลังพิเศษของ LoNex กลุ่มเอนฟอร์เซอร์ ]

[ช่วยเหลือเพื่อนทั้ง 4 คนออกจากห้องขัง] 

[กำลังเดินทางไปจุดปลอดภัยเพื่อทำการปลุกและรักษาพยาบาลเบื้องต้น]

avatar

Moneka M. Blossom

ฉันยังไม่อยากเขียนอะไรตอนนี้...ขอล่ะ



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)


แสดงความคิดเห็น

God
ในมือข้างหนึ่งถือเคียวขนาดใหญ่ มืออีกข้างถือสมุดบัญชีเล่มหนาเขรอะ  โพสต์ 2025-9-29 16:30
God
" ระหว่างหนีมาจนถึงทางออก คุณก็เจอชายคนหนึุ่งในชุดคลุมสีดำ [God-49] เลตัส "โหดจริงๆ พวกเธอนี่ เล่นเอาบางคนถึงตาย ดูเหมือนข้ามีงานต้องทำอีกแล้ว"  โพสต์ 2025-9-29 16:29
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-29 16:27
โพสต์ 59214 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-29 16:10
โพสต์ 59,214 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-29 16:10
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-29 20:05:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 25 : มือที่เปื้อนเลือด
วันที่ 21 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงค่ำ เวลา 00.00 น. เป็นต้นไป ณ ศูนย์วิจัยชั้นบนของสถานีวิจัย องค์กร LoNex เหมืองไจแอนท์ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

การเดินทางเพื่อเตรียมการหนีเริ่มต้นขึ้นแต่ก่อนหน้านี้ต้องปลุกเพื่อน ๆ ในทีมก่อน ทั้งคู่พาเพื่อน ๆ ออกจากแนวสายตากล้อง ตัดหลบมุมผ่านแนวท่อลมและท่อไอน้ำจนถึงช่องบำรุงรักษาหลังตะแกรงตาข่ายที่ไฟเสียซึ่งเป็นมุมบอดพอดี โมนีก้าค่อย ๆ วางลูคัสและวินเซนโซลงบนพื้นยางกันลื่น ใช้ปลายกราดิอุสงัดเคเบิลไทด์ที่ข้อมือออก เธอหอบหายใจออกเฮือกหนึ่ง ใบหน้าแดงระเรื่อจากความเหนื่อยแต่แค่อมยิ้มเยาะให้ตัวเอง “ไม่เป็นไร ฉันไหว…” แล้วก็ไหวจริง ๆ อย่างที่เธอว่าเพื่อดันตัวเองให้ออกจากสถานะการณ์ตึงเครียด


เลสเตอร์ชำเลืองดูแผลของโมนีก้าที่หัวไหล่ เด็กสาวนั้นมีรอยช้ำจากแรงยกแต่เขาไม่พูดอะไร ก่อนขยับเป็นโหมดปฐมพยาบาลทันที ชายหนุ่มคุกเข่าลงข้างเพื่อนทั้งสี่ที่นอนเรียงกันบนพื้นคอนกรีตเย็นจัด กลิ่นเหล็กผสมกลิ่นยาฆ่าเชื้อฉุนคละคลุ้งอยู่ในอากาศ เขากัดฟันตั้งสติ มือหนาเริ่มจัดการปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็วแต่เป็นระบบ


โมนีก้านั่งคุกเข่าอีกฟาก เธอคอยส่งผ้าก็อซ น้ำสะอาด น้ำเกลือให้กับเขา และตรวจสอบความปลอดภัยรอบด้าน สายตาคมกริบกวาดมองทุกมุมเหมือนนักล่า เธอแทบไม่สนใจเสียงฝีเท้าจากชั้นบน ทุกการเคลื่อนไหวของเลสเตอร์เธอคอยช่วยประคองให้ลื่นไหลโดยไม่ต้องเอ่ยคำสั่งกัน


เลสเตอร์เริ่มจากวินเซนโซ เบอร์กาม็อตโต ชายหนุ่มผิวเข้มตาคมวัยยี่สิบเอ็ด เดมิก็อดเชื้อสายเทพวัลแคน เขาเช็กชีพจรที่คอ “ปกติ…ดี” เสียงทุ้มเอ่ยเบา ๆ แล้วเปิดปากวินเซนโซเพื่อป้อนน้ำหยดเล็ก ๆ ชายหนุ่มกระตุกตัวเล็กน้อย ก่อนจะครางต่ำ ๆ “กาแฟ…เอสเปรสโซ่…ขม” เขาเพ้อออกมาเป็นคำแรกพร้อมกับลืมตาช้า ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มวับวาวแม้ร่างกายยังไร้เรี่ยวแรง


ถัดมาคืออิซิเลีย โดมินิคัส สาวร่างเล็กที่ติดอยู่ในวัย 14 แม้อายุ 25 แล้วก็ตาม ผิวของเธอซีดราวจันทร์คืนเพ็ญ เลสเตอร์เช็กชีพจรแล้วบีบปลายนิ้วเบา ๆ อิซิเลียขมวดคิ้ว ก่อนจะลืมตาขึ้น พลันเสียงแผ่วเอ่ย “ใครกล้ามาปลุกฉัน…” น้ำเสียงหยิ่งทะนงแม้ร่างยังอ่อนแรง เธอกระชับหัวกะโหลกอลันที่กอดไว้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เมื่อเห็นว่าเธอตื่นแล้วเลสเตอร์จึงไปที่คนต่อไปนั้นคือ ลูคัส อควินัส ชายร่างสูงใหญ่บุตรแห่งมาร์ส ที่เขาขยับตัวแรงจนผ้าพันแผลที่เลสเตอร์พันเริ่มเปื้อนเลือดใหม่ เขาครางต่ำแต่ยังพยายามยันตัวขึ้น “ผม…ยังไหว” ดวงตาสีฟ้าเข้มวาววับราวจะลุกขึ้นต่อสู้ทันที แต่โมนีก้ากดไหล่เขาลงอย่างเฉียบขาด “ยังค่ะ พักก่อน” น้ำเสียงสั้นแต่หนักแน่นจนชายหนุ่มผู้คุ้นกับกฎระเบียบต้องยอมสงบ


คนสุดท้ายคือฮารุโตะ ฮิกะ เด็กหนุ่มผอมบางเชื้อสายอพอลโล่คือคนสุดท้าย เลสเตอร์แตะชีพจรแล้วขยับใบหน้ามองสายตาที่ค่อย ๆ กระพริบกลับมา ฮารุโตะยิ้มบางแม้สีหน้าอิดโรย “กลิ่น…ส้มยูสุ…แบบที่ชอบเลย” เขาพึมพำเบา ๆ ด้วยอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่ในหัว ดวงตาเขียวส่องประกายอบอุ่นอย่างคนที่พยายามมองโลกในแง่ดีแม้ผ่านขุมนรก


เลสเตอร์เช็ดเหงื่อที่ขมับเมื่อทั้งสี่ตื่นขึ้นมาแล้วก่อนหันไปกำชับสั้น ๆ “ทุกคนฟังนะ พวกนายปลอดภัยชั่วคราว แต่เราต้องออกไปให้เร็วที่สุด ศูนย์นี้ไม่ปลอดภัย” น้ำเสียงขอเลสเตอร์มีทั้งมีความดีใจและความกังวลที่กดทับอยู่ใต้ผิว แต่ชั่วขณะนั้นสายตาของเพื่อนทั้งสี่ค่อย ๆ หันมาที่โมนีก้า เด็กสาวผมม่วงครามตาสีเทาเงินที่ไม่คุ้นหน้า แววตาของพวกเขามีทั้งความสงสัยและระแวดระวัง วินเซนโซเลิกคิ้วอย่างนักประดิษฐ์ที่กำลังวิเคราะห์ “คนของใครหรอครับ…?” ลูคัสขยับมือไปใกล้ดาบที่ไม่มีอยู่ อิซิเลียจ้องเขม็งราวจะประเมินค่าจากพลังงานรอบตัว ฮารุโตะเพียงยิ้มบางอย่างสุภาพ แต่แฝงความระแวง


โมนีก้าไม่แม้แต่จะหันมาตอบ เธอกำลังจดจ่อกับเสียงฝีเท้าลาง ๆ ในระยะไกลมากกว่า ความกังวลหนักหน่วงในอกทำให้ดวงตาเย็นเฉียบ “ตอนนี้ไม่มีเวลาคุยเรื่องนี้” เลสเตอร์เป็นคนตัดบท เขายืนขึ้นแม้บาดแผลยังร้าว “เธอคือคนที่ช่วยพวกเรา เดี๋ยวค่อยเล่า” เสียงทุ้มหนักแน่นบอกทุกคนให้เชื่อฟังโดยไม่เปิดช่องให้ซักถาม ในสายตาของโมนีก้าแม้เพื่อนของเลสเตอร์จะมองเธอด้วยสายตาไม่ไว้ใจ แต่เธอไม่สนใจ สถานการณ์ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้น


หลังจากทุกคนตื่นกันหมดแล้วโมนีก้าสูดลมหายใจลึกเพื่อกดความกังวลที่ตีขึ้นมาจนแน่นอก เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วกวักมือให้เลสเตอร์และเพื่อน ๆ ที่เพิ่งได้สติ “ไปกันเถอะค่ะ” น้ำเสียงของเธอสั้นห้วนแต่ฟังดูอ่อนโยนพอจะกระตุ้นให้คนที่ยังมึนงงขยับตัวได้ เธอขยับนิ้สไปในแหวนดาราจรัสก่อนจะดึงแผนที่ศูนย์วิจัยออกมาอย่างรวดเร็ว แผ่นใสที่เต็มไปด้วยเส้นทางซับซ้อนส่องแสงในความมืดของอุโมงค์ เส้นสีน้ำเงินที่เธอเธอบอกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในการหลบหนี


เด็กสาวก้าวนำหน้าด้วยท่วงท่ามั่นคง ร่างเล็กแต่ก้าวเท้าหนักแน่นจนคนอื่นสัมผัสได้ว่าเธอไม่ได้แค่เดิน แต่กำลังนำทางจริง ๆ เธอไม่เอ่ยคำใดระหว่างเดิน สายตาจับจ้องแผนที่และตรวจตราเส้นทางที่มืดมิด ดวงตาเทาเงินสะท้อนแสงไฟจากแหวนเป็นประกายเย็นจัด


ด้านหลัง เลสเตอร์เดินช้าแต่ไม่หยุด เขาคอยประคองวินเซนโซที่ยังทรงตัวไม่เต็มที่ มืออีกข้างพาดไหล่ฮารุโตะไว้เป็นจังหวะ ความรู้สึกของความเจ็บปวดแล่นไปตามแขนและสีหน้าแต่เขายังคงฝืนยืนตรง เสียงฝีเท้าของเขาหนักแน่นพอจะทำให้เพื่อนทั้งสี่รู้สึกว่ามีกำแพงปกป้องอยู่ข้างหลัง วินเซนโซที่ก้มหน้าตลอดเวลา ขอบตายังคล้ำจากฤทธิ์ยากล่อมประสาท เขาพยายามจะเอ่ยคำพูดติดตลกตามนิสัยแต่ได้แค่เสียงหายใจสั้น ๆ “ออกไปแล้ว…ผมขอกาแฟสักแก้ว…คงสวรรค์สุด ๆ” เสียงพร่าทำให้เลสเตอร์บีบไหล่เขาเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ


ส่วนอิซิเลียแม้ร่างกายของเธอจะยังสั่น แต่สายตาสีเทานั้นคมกริบราวกับจะอ่านทุกความคิดของทุกคนได้ เธอกอดหัวกะโหลกอย่างอลันไว้แน่นและพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “นี่ไม่ใช่เวลาของกลางคืน…แต่เราต้องรอด” น้ำเสียงเย่อหยิ่งแต่แฝงความหวั่นไหว เธอเหลือบตามองโมนีก้าที่เดินนำอยู่ด้านหน้า แววตาเริ่มเปลี่ยนจากระแวงเป็นยอมรับในความเด็ดเดี่ยวของเด็กสาวปริศนาผมม่วงคราม


ลูคัสยังคงเป็นคนเดียวที่พยายามพยุงตัวขึ้นตรงเต็มความสูง เขาเดินตามด้วยจังหวะทหาร แม้บาดเจ็บแต่ใบหน้าคมยังเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น “อย่าอ่อนแอ...” เขาพึมพำเหมือนให้คำสัตย์สาบานกับตัวเองมากกว่าจะพูดให้ใครฟัง ด้านข้างของเขามีฮารุโตะที่กำลังก้าวอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งเกาะผนังอีกมือคอยช่วยวินเซนโซ เขายังยิ้มอ่อนประคองเพื่อนทั้งที่แววตาแฝงความเจ็บ “อีกนิดเดียว…แล้วเราจะได้เห็นท้องฟ้าสักที” เสียงใสของเขาเป็นเพียงประกายเล็ก ๆ ในความมืด แต่กลับให้กำลังใจได้ดีกว่าคำปลอบใด ๆ


เสียงรองเท้ากระทบพื้นคอนกรีตชื้นเย็นดังสะท้อนในอุโมงค์ โมนีก้ากระชับแผนที่แน่นเมื่อเลี้ยวผ่านทางแคบไปยังบันไดเหล็กที่นำขึ้นสู่ชั้นบน เธอหันกลับมามองทุกคนเพียงเสี้ยววินาที ดวงตาเทาเงินกวาดผ่านใบหน้าที่ซีดเซียวและเต็มไปด้วยบาดแผล แล้วพยักหน้าให้เลสเตอร์เป็นสัญญาณว่าทางข้างหน้าปลอดภัย เลสเตอร์สบตาเธอเพียงครู่ เห็นความเด็ดเดี่ยวในดวงตาของเด็กสาวที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะพบเจอในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงบีบไหล่วินเซนโซแน่นขึ้นแล้วเร่งฝีเท้าให้ทันคนนำทางผมม่วงครามที่เดินนำพวกเขาไปสู่ความรอดทีละก้าวในความมืดที่ยังเต็มไปด้วยอันตราย


แต่ทว่าก่อนที่จะถึงปากทางสิ่งที่เกิดขึ้นคือนรกของทั้งหกคน เสียงไซเรนสีแดงสว่างวาบทั่วทางเดินพร้อมประกาศสั้นห้วนเป็นภาษาที่แม้แต่โมนีก้าฟังไม่ออก แต่โทนเสียงกลับกรีดเฉือนประสาทประหนึ่งคำสั่งปิดตาย Warning system self-destruction initiated. Evacuation protocol engaged. Countdown: fifteen minutes.” ความเงียบในหัวระเบิดทันทีที่เสียงถัดมาสะท้อนอยู่ในอุโมงค์ แสงไฟฉุกเฉินกระพริบเป็นจังหวะเร่งเร้าเหมือนหัวใจที่เต้นรัว


โมนีก้าหยุดกะทันหัน ปากทางออกอยู่ตรงหน้าแต่กลับถูกประตูเหล็กหนาปิดตายสนิท ไม่มีช่องว่างให้ขยับ เสียงกลไกล็อกซ้ำดัง กึก หนักหน่วงราวกับตรึงความหวังทั้งหมดไว้ เธอกัดฟันแน่นจนขากรรไกรสั่น ดวงตาเทาเงินไล่หาทางอื่นอย่างร้อนรนแต่เจอเพียงผนังคอนกรีตเย็นชืด “หลับตาลงไปซะ ทุกคนเลย” เสียงเธอเฉียบคมกว่าที่ตั้งใจจนสะท้อนก้องในอุโมงค์ วินเซนโซกับลูคัสหันมองด้วยสายตาฉงนแต่เมื่อเห็นประกายเอาจริงในแววตา พวกเขาก็รีบทำตาม ฮารุโตะยกมือบังหน้า อิซิเลียแม้ทำหน้าหงุดหงิดก็ยอมปิดตาแต่ยังเหลือบตามองเล็กน้อยด้วยความอยากรู้


โมนีก้าหันไปหาอิซิเลีย “เธอ…คอยหยิบเสื้อผ้าฉันให้ทีนะ อย่าให้ใครเปิดตาก่อนที่ฉันจะพูด” น้ำเสียงสั่นเพราะทั้งความเครียดและความอาย เธอสูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้งก่อนปลดปล่อยพลังสายเลือดเทพเซเรสในตัว เสียงกระดูกขยับดังกรอบแกรบร่างกายของเธอหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว แขนขาลู่ลงเหมือนน้ำที่ไหลไปตามแรงบีบ เศษเสื้อผ้าหลุดร่วงกระจายลงพื้นในทันที กลายเป็นร่างเล็กพอจะลอดช่องระบายอากาศด้านล่างได้


เลือดสูบฉีดทั่วใบหน้าของโมนีก้า ความร้อนแล่นขึ้นจนแก้มของเธอแดงจัดราวกับถูกไฟลวก แต่ไม่มีเวลาให้ลังเล เธอคลานผ่านช่องว่างเหล็กแคบที่แม้เด็กก็ยังต้องเบียดตัวอย่างง่าย ๆ เพราะตัวเล็กเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ ความเย็นจากเหล็กสัมผัสผิวเปลือยเปล่าของเธอเป็นความอับอายที่แทบเผาไหม้ใจ


อีกฝั่งของประตู เธอทิ้งตัวลงพื้นหอบหายใจ มือสั่นเทาแต่ยังควานหาแผงควบคุมล็อกฉุกเฉิน นิ้วกดรหัสที่ขโมยมาได้อย่างรวดเร็ว ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด เสียงระบบปลดล็อกดังขึ้นพร้อมไฟเขียวที่สว่างวาบ ประตูเหล็กค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ ราวกับเยาะเย้ยเวลาที่เหลือไม่ถึงสิบสองนาที ก่อนที่โมนีก้าจะรีบคว้าเสื้อผ้าที่อิซิเลียส่งมาให้ผ่านช่องเล็ก ๆ แล้วรีบสวมอย่างลนลาน พลางตะโกนกลับเข้าไป “ใครลืมตา ฉันฆ่าจริงนะ!” น้ำเสียงข่มขู่แต่สั่นระริกเพราะความอับอาย


เลสเตอร์ที่แม้จะปิดตาแต่ยืนใกล้ที่สุดกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น เขากัดริมฝีปากไม่ให้เสียงเล็ดลอด วินเซนโซหลุดหัวเราะหึเบา ๆ ก่อนโดนลูคัสลงศอกเตือน ฮารุโตะยกมือไหว้ท่วมหัวทั้งที่ยังหลับตา “ผมสัญญาไม่มองครับ!”


เมื่อเสื้อผ้าถูกจัดเรียบร้อย โมนีก้าผลักประตูจนเปิดกว้างแล้วโบกมือเรียกทุกคน “ไปได้แล้ว” น้ำเสียงกลับมาเด็ดขาด เธอก้าวถอยหลังให้ทางอย่างรวดเร็ว เลสเตอร์เป็นคนแรกที่ประคองเพื่อนๆ ผ่านประตูออกมา แววตาสีฟ้าลึกมองเธอเพียงเสี้ยววินาทีที่ผสมทั้งความทึ่ง ความห่วง และรอยยิ้มที่พยายามซ่อน เสียงไซเรนยังคงกรีดร้องตามหลัง แต่ตอนนี้เส้นทางสู่การหนีตายเปิดออกแล้ว และโมนีก้าก็ยืนรออยู่ตรงนั้น ใบหน้าแดงจัดแต่สายตาแข็งกร้าว ประกาศชัดว่าถึงจะอับอายแค่ไหน เธอก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อพาทุกคนออกไปให้ได้


ในตอนที่ทุกคนออกมาจากตัวเหมืองที่กลายเป็นสถานีวิจัยที่จะโดนทำลาย อากาศหนาวจัดของยามอาทิตย์ไม่มีวันตกปะทะผิวทันทีที่พวกเขาออกจากปากทางเหมือง เสียงไซเรนจากด้านในยังคงกรีดร้องราวกับเสียงคร่ำครวญของสิ่งก่อสร้างที่กำลังจะดับสูญ แต่ท่ามกลางความมืดและแสงเหนือสีเขียวเรืองรอง กลับมีร่างชายคนหนึ่งยืนพิงราวเหล็กอยู่ตรงทางลาด ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำยาวลากพื้นลู่ตามลม เส้นผมสีเข้มถูกรั้งไปด้านหลังเผยให้เห็นดวงตาสีเทาเข้มที่วาววับราวกับกลืนทุกแสงสว่าง


เขายกเคียวขนาดใหญ่ขึ้นพาดบ่าอย่างสบาย ๆ มืออีกข้างถือสมุดบัญชีเล่มหนาสีดำเก่าเหมือนผ่านกาลเวลามาหลายศตวรรษ ใบหน้าคมสันมีรอยยิ้มล้าหลังที่คล้ายทั้งเหนื่อยหน่ายและขบขัน “โหดจริง ๆ พวกเธอ เล่นเอาบางคนถึงตาย…ดูเหมือนข้ามีงานต้องทำเพิ่มอีกแล้ว” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงความเย็นเฉียบ เสียงสะท้อนกลับรอบพื้นที่รกร้างราวกับลมหนาวพัดผ่านกระดูก


โมนีก้าชะงักเท้า หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกถึงแรงดันในหู ความหนาวไหลย้อนขึ้นกระดูกสันหลังแม้จะเพิ่งผ่านไฟนรกในสถานีวิจัยมา เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่สัญชาตญาณบอกว่านี่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เลสเตอร์เองก็ก้าวมาข้างหน้าอย่างระแวดระวัง แต่ก่อนที่ใครจะพูดชายคลุมดำกลับเหลือบตามาที่โมนีก้าแล้วเอ่ยแซวเสียงเรียบ “ไม่ต้องกังวล เมื่อกี้ข้าเห็นไม่ชัดหรอก…ถั่วงอกยังไม่โตเลย”


โมนีก้าหน้าแดงวาบในทันที ความทรงจำถึงตอนลอดประตูโดยไร้เสื้อผ้าผุดขึ้นมาเหมือนมีใครเปิดภาพซ้ำ เธอกำหมัดแน่นจนเล็บจิกผิว “นี่…! คุณ!!” เสียงเธอสั่นระริกทั้งโกรธทั้งอาย ชายคนนั้นหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะแห้งเย็นเหมือนเสียงเคียวเสียดโลหะ “เล่นเอาหนีความตายได้ แต่ก็ยังน่ารักพอให้ล้อ” เขาก้าวออกจากเงามืด แสงเหนือสะท้อนใบหน้าคมเข้มที่ทั้งหล่อเหลือเชื่อและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน


วินเซนโซที่พึ่งฟื้นจากฤทธิ์ยากล่อมประสาทกระซิบถามเลสเตอร์เสียงเบา “เขาเป็นใครกัน…”


เลสเตอร์ขยับธนูขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ทันได้ตอบ ชายคลุมดำก็ประกาศด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ทรงอำนาจ “ผู้ดูเก็บเกี่ยววิญญาณ” ความเงียบตกครอบทุกคนทันทีที่อีกฝ่ายบอกเช่นนั้น ลูคัสกำหมัดแน่นสัญชาตญาณนักรบเตือนให้ระวังภัย อิซิเลียเบิกตาโพรงแต่พยายามรักษาท่าทีเย่อหยิ่ง ส่วนฮารุโตะก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวพลางยกมือจับคอเสื้อเหมือนจะปกป้องตนเองจากลมหนาว


ธานาทอสเหลือบตามองทุกคนรอบหนึ่ง ก่อนเอียงคอเล็กน้อย ดวงตานั้นเหมือนอ่านความคิดคนได้ “อย่ากลัว ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเอาวิญญาณพวกนาย…แต่มีคน(?) หรือเปล่า แถวนี้ดันมือเปือนเลือดครั้งแรกน่ะสิ” 


เขาหยุดนิ่งราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางสิ่ง “แต่จำไว้ ความตายไม่เคยมีความยุติธรรม หน้าที่ของข้าคือหยุดวิญญาณไม่ให้กลับมา ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นลูกครึ่งเทพหรือมนุษย์ ข้าก็ต้องทำ” ธานาทอสปรายตามองเลสเตอร์แล้วแสยะยิ้มบาง ๆ แต่ไม่พูดอะไร ก่อนที่เขาจะเหมือนลอยตัวพุ่งเข้าไปในเหมืองทันที ทิ้งไว้แค่ความเงียบ


ในจังหวะนั้นลมเหนือที่พัดแรงขึ้นเหมือนกระชากทุกเสียงให้เงียบหายไป โมนีก้ายืนนิ่งอยู่ท่ามกลางหิมะและเงาสีเหลืองนวลเรืองรองของท้องฟ้า คำว่า มือเปื้อนเลือด ที่ธานาทอสทิ้งเอาไว้ก้องสะท้อนในหัวของเธอราวกับระฆังที่ไม่มีวันหยุด ดวงตาสีเทาอ่อนของเด็กสาวค่อย ๆ ลดต่ำลงไปมองที่มือของตัวเอง นิ้วเรียวซีดสั่นระริกเหมือนกำลังปฏิเสธความจริง แต่รอยเลือดแห้งกรังที่ยังติดอยู่ตามร่องเล็บคือคำยืนยันที่โหดร้ายเกินกว่าจะปฏิเสธได้


โลกทั้งใบรอบตัวเธอค่อย ๆ จางสีลง เหลือเพียงขาว ดำ และเงาเทาเย็นเยียบ เสียงหอบหายใจของเพื่อน ๆ กลายเป็นเสียงที่ห่างไกลราวกับถูกดูดกลืนไปในความว่างเปล่า ความทรงจำระหว่างการต่อสู้ผุดขึ้นทีละฉาก ภาพกราดิอุสที่ฟาดลงบนร่างศัตรู เสียงร้องสั้น ๆ ที่เธอเคยกดทับไม่ให้ฟัง ทั้งหมดไหลกลับมาพร้อมกันจนเหมือนมีใครเอามีดกรีดหัวใจ


“โมนีก้า…” เสียงเลสเตอร์เรียกเบา ๆ ดังขึ้นข้างหู เขายื่นมือมาจับไหล่เธอ แต่เด็กสาวไม่ขยับแม้แต่น้อย ร่างกายชาเหมือนถูกตรึงอยู่กับพื้น หัวใจเต้นแรงแต่เหมือนไม่มีเลือดไหลเวียน


อิซิเลียขมวดคิ้วแน่น ความเย่อหยิ่งที่มักใช้ป้องกันตัวเองหายไปสิ้น “เธอช็อก…ต้องเรียกสติเดี๋ยวนี้” เด็กสาวโลลิต้าเอื้อมมือไปจับมือโมนีก้าอย่างลังเลแต่ก็ไม่ปล่อย และคนที่เข้าชาร์จคนต่อไปคือฮารุโตะเขาเดินมาตรงหน้าโมนีก้า ดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยความห่วงใย “หายใจลึก ๆ นะครับฟังเสียงพวกเรานะ หนึ่ง…สอง…หายใจเข้าลึก ๆ” เขานับช้า ๆ พร้อมทำท่าหายใจให้ดู


เลสเตอร์กดไหล่เธอเบา ๆ จนเธอเริ่มรับรู้ถึงแรงสัมผัส ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทมี่ห้ามไม่ได้และยังไม่หาย “นี่…ฟังฉัน โมนีก้า เธอไม่ได้ทำผิด เธอปกป้องพวกเรา เธอทำเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตรอด” เปลือกตาของโมนีก้ากระพริบช้า ๆ เสียงรอบตัวเริ่มกลับมาเป็นสีสันทีละน้อย มือที่สั่นค่อย ๆ คลายออกจากกำแน่น แม้ใบหน้ายังซีดเผือดแต่แววตาที่พร่าเลือนเริ่มมีประกายสะท้อนจากแสงเหนือเล็กน้อย น้ำตาหนึ่งหยดร่วงลงบนหิมะสีขาวแตกกระจายเป็นวง


เลสเตอร์เบิกตากว้างทันทีที่เห็นโมนีก้าสั่นระริกในภาวะที่ยังไม่ฟื้นจากความช็อก น้ำตาของเธอเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง เลสเตอร์ก้าวเข้าไปข้างหน้าอย่างไม่คิด แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาจะเอื้อมแขนไปหาเธอทั้งสองข้าง ดวงตาสีเทาของเด็กสาวก็หันมาจ้องสบกับเขา ก่อนที่มือเรียวซีดจะยกขึ้นมากั้นกลางระหว่างทั้งสองไว้แน่น ริมฝีปากซีดสั่นเอ่ยเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ “ขอเวลาฉันหน่อยนะ…แค่สักพัก”


เลสเตอร์ชะงัก คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงนั้น ไม่แน่ใจว่านี่คือโมนีก้าที่เขาเพิ่งสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน หรืออีกบุคลิกหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในร่างเดียวกัน เขาถอยออกมาครึ่งก้าว หัวใจยังคงเต้นแรงเพราะความห่วงใยแต่ก็เลือกจะเคารพคำขอของเธอ


วินเซนโซที่ยืนพักเหนื่อยอยู่ข้างหลังเลสเตอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเจือความประหลาดใจ “คนนี้? ใครหรอ?” เขาพึมพำเบา ๆ พอให้เพื่อนในทีมได้ยินแต่ไม่ได้เอ่ยถามตรง ๆ สายตาคมกริบสีน้ำตาลเข้มยังจับจ้องโมนีก้าที่เอาแต่ก้มหน้า อิซิเลียที่ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล เงาของชุดโกธิคโลลิต้าปลิวไปตามแรงลม ดวงตาสีเทาเย็นจัดจ้องเด็กสาวปริศนาที่เพิ่งช่วยชีวิตพวกเธอ “ไม่คิดว่าจะมีคนที่สู้ได้แบบนั้นแล้วช็อคขนาดนี้นะ…น่าสนใจ” น้ำเสียงเย่อหยิ่งแต่แฝงความสงสัยอย่างจริงจัง


ลูคัสก้าวมาใกล้เลสเตอร์อย่างระวัง แม้ร่างสูงยังอ่อนแรงจากการถูกกักขัง แต่เขามองโมนีก้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก “เธอกับเลสเตอร์คือคนที่ช่วยเราออกมาใช่ไหม” เขาถามเสียงเรียบแต่ไม่ได้คาดหวังคำตอบ ฮารุโตะที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มขยับเข้ามาใกล้เลสเตอร์เพื่ออยู่กับเขาเหมือนกัน น้ำเสียงร่าเริงปนกังวลหลุดออกมาเบา ๆ “คนนี้…คนจากค่ายฮาล์ฟบลัดหรอครับ? อ่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ เราไม่กัด”


โมนีก้ายังคงก้มหน้าหลบสายตาของทุกคน ร่างเล็กสั่นเบา ๆ แต่ไม่ได้ถอยหนี เธอสูดลมหายใจยาวพยายามควบคุมอารมณ์ที่ยังตีกันในอก เสียงสัญญาณเตือนการทำลายตัวเองของสถานีวิจัยที่ยังดังอยู่ไกล ๆ กลายเป็นเพียงเสียงพื้นหลังที่ไร้ความหมายในตอนนี้ เลสเตอร์เหลือบมองเพื่อนทั้งสี่คนแล้วกลับมามองเธออีกครั้ง เขาอยากเอื้อมมือไปปลอบโมนีก้า อยากบอกให้เธอไม่ต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว แต่สายตาที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ของโมนีก้าทำให้เขาได้เพียงแต่รอ


ท่ามกลางลมหนาวและเงาแสงเหนือ ทุกคนยืนล้อมอยู่รอบเด็กสาวปริศนาโดยที่ไม่มีใครเอ่ยถามชื่อ เธอเป็นเพียงผู้ช่วยชีวิตและเป็นปริศนาที่เริ่มตระหนักว่าอาจมีความหมายมากกว่านั้น ในขณะที่โลกภายนอกยังคงเต็มไปด้วยภัยคุกคามที่รออยู่เบื้องหน้า ตอนนี้ทั้งหมดออกมาจากสถานีนั้นแล้ว ทุกคนปลอดภัย แต่โลกยังไม่ปลอดภัย…เลยสักนิด

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ในที่สุดก็ช่วยเพื่อนได้สักที ทั้งสี่คนบาดเจ็บและ่อ่อนแรง แต่ยังไม่ตาย แค่นี้ก็ดีใจมากแล้ว ตอนที่พวกเราหนีออกมา โอเค จะไม่เล่าเรื่องนี้แล้วกันเดี๋ยวโมนีก้ารู้แล้วเธอจะหงุดหงิด แต่หลังจากนั้นทุกคนได้พบกับเทพเลตัส หรือธานาทอส เลสเตอร์รู้ว่าเขามาทำไม แต่การที่เทพเลตัสบอกโมนีก้าว่าเธอมือเปื้อนเลือดครั้งแรกทำให้โมนีก้าช็อค และเธอเหมือนพยายามคุมสติของตัวเอง ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอะไรต่อ ต้องรักษาเพื่อน ๆ ทั้งสี่คนให้หายดี หรือจะทำยังไงกับโมนีก้า ไม่รู้สิเอาเป็นว่าตอนนี้พักก่อนดีกว่า


[หลบหนีออกจาก ภายในศูนย์วิจัยชั้นบนของสถานีวิจัย องค์กร LoNex ใต้ดินเหมืองไจแอนท์ สำเร็จ]

[ช่วยเหลือ วินเซนโซ อิซิเลีย ลูคัส และฮารุโตะ สำเร็จ]

[พบ เทพเลตัส]

[อยู่ในช่วง Cool Down]


[จบ ช่วงที่ 11-15: การเปิดโปง (The Revelation)]

avatar

Moneka M. Blossom

...บ้าจริง ๆ เลย ตั้งสติไว้สิโมนีก้า ใครมันจะไปตั้งสติได้วะ? 


[God-49] ธานาทอส (เลตัส)

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปรานของเทพ +25



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-29 21:20
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-49] ธานาทอส (เลตัส) เพิ่มขึ้น 40 โพสต์ 2025-9-29 21:19
โพสต์ 97794 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-29 20:05
โพสต์ 97,794 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-29 20:05
โพสต์ 97,794 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-29 20:05
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-30 06:43:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-9-30 06:46

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 26 : พักผ่อนและฮิวใจ
วันที่ 21 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงค่ำ เวลา 01.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

ภายในห้องพักโรงแรมที่อบอุ่นตัดกับอากาศเย็นจัดของเมืองเยลโลว์ไนฟ์ แสงไฟสีขาวนวลสะท้อนบนผนังไม้สีน้ำตาลอ่อน กลิ่นสบู่และผ้าปูที่นอนสะอาดลอยคลอในอากาศ วินเซนโซนั่งเอนหลังบนโซฟาอย่างหมดแรง ฮารุโตะกำลังนั่งพันผ้าพันแผลที่แขนตัวเอง ลูคัสยืนพิงกรอบหน้าต่างมองหิมะตกเงียบ ๆ ส่วนอิซิเลียก็นั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ตัวเล็กคอยเหลือบสายตาเช็กอาการของทุกคนในทีม


แต่ตรงมุมห้อง โมนีก้านั่งนิ่งบนเตียงใหญ่ ผมยาวสีม่วงครามเข้มปรกข้างแก้ม ดวงตาสีเทาไม่มีประกายอย่างที่เคย ทั้งที่เป็นคนออกเงินค่าห้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เธอกลับเงียบผิดปกติราวกับกำแพงหนา ๆ ถูกสร้างขึ้นรอบตัว เลสเตอร์ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะกลางเห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะโมนีก้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เดินทางออกมาจากเหมืองไจแอนท์ เขาลุกขึ้นเดินไปหยุดตรงหน้าเธอ “ออกไปคุยกันหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่ไม่ใช่คำสั่ง มีเพียงความห่วงใยที่ฟังแล้วไม่อาจปฏิเสธได้


วินเซนโซที่เตรียมหลับเหลือบตามองเลสเตอร์แวบหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร อิซิเลียยักไหล่ราวกับไม่สนใจ ส่วนลูคัสขยับตัวหลบทาง ฮารุโตะส่งยิ้มบาง ๆ เหมือนจะให้กำลังใจ เลสเตอร์จึงพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณแล้วพาโมนีก้าออกไปยังระเบียงไม้ด้านนอก


ทันทีที่ประตูปิด เสียงในห้องเงียบสนิท เหลือเพียงเสียงลมหนาวพัดหิมะกราวกราว โมนีก้ายืนพิงราวระเบียง มองท้องฟ้าที่ยังสว่างจนแทบไม่เห็นม่านแสงเหนือ เธอยังไม่พูดอะไร เพียงแต่กอดอกแน่นเหมือนพยายามกักเก็บบางอย่างไว้ข้างใน เลสเตอร์ยืนข้าง ๆ เธอแต่เว้นระยะพอให้เธอหายใจ เขามองใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอแล้วเอ่ยเบา ๆ “ฉันรู้ว่าเธอยังปรับตัวไม่ได้และเผลอแบกอะไรไว้เยอะตั้งแต่เจอฉันนะ โมนีก้าเรื่องในเหมือง…มันหนักมากใช่ไหม”


โมนีก้าหันมามองเขาเล็กน้อยที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้นสายตาสั่นไหวแต่ยังพยายามเก็บอารมณ์ “ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นใครด้วยซ้ำ เลสเตอร์ ฉันฆ่าคน…ฉัน…ฉันไม่อยากจำภาพพวกนั้นเลย…คนนะเลสเตอร์ ไม่ใช่มอนสเตอร์ที่จะสลายหายเป็นฝุ่น…คนมีศพนะเลสเตอร์” เสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบเป็นลมหายใจ


เลสเตอร์ก้าวเข้ามาอีกนิดใกล้เธอ ดวงตาสีฟ้าลึกของเขาสงบนิ่ง “เธอทำในสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้พวกเรารอด ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น และไม่มีใครจะมาตัดสินเธอ”


“แต่ฉันตัดสินตัวเองไม่ได้” โมนีก้าสะอื้นเบา ๆ แต่ยังยืนตัวตรงไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา


เมื่อเห็นดันนั้นเลสเตอร์ก็ยกมือขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะวางลงบนไหล่ของเธออย่างระมัดระวัง “ฟังฉันนะ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เธอคนเดียว เธอไม่ได้อยู่คนเดียวตั้งแต่แรก พวกเรารอดมาเพราะเธอนะ ฉันรอดมาเพราะเธอ” เสียงของเขานุ่มลึกแต่หนักแน่น “ต่อให้โลกภายนอกมองเธอว่าเป็นอะไร ฉันก็เห็นเธอเป็นคนที่ยื่นมือช่วยเหลือโดยไม่ลังเล และนั่นคือสิ่งที่ฉันเลือกจะจำ”


คำพูดนั้นเหมือนปลดล็อกบางอย่าง โมนีก้ากัดริมฝีปากแน่น ดวงตาเริ่มพร่า เธอพยายามหันหน้าหนีแต่เลสเตอร์ก้าวเข้ามาใกล้อีก เขาไม่แตะต้องมากไปกว่านั้นทำเพียงยืนอยู่ตรงนั้นให้เธอรู้ว่าไม่ได้มีแค่เธอที่ยืนสู้กับความมืด


ระเบียงไม้ของโรงแรมเยลโลว์ไนฟ์ยังคงเงียบงัน ลมหนาวพัดผ่านจนผิวแก้มของโมนีก้าแดงจัด เสียงอาทิตย์คลอแสงเหนือที่แผ่วสั่นอยู่บนท้องฟ้าเหมือนจะไกลเกินเอื้อม เธอยืนพิงราวระเบียง น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ไหลออกมา ริมฝีปากเม้มแน่น มือเล็กสั่นจนเลสเตอร์ต้องก้าวเข้ามาใกล้โดยไม่พูดอะไร โมนีก้ายังคงหันหน้าหนีเขาเล็กน้อย และพูดต่อด้วยเสียงสั่นเครือ 


“พวกเดมิก็อด…ต้องเจออะไรแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” ดวงตาสีเทาเอ่อไปด้วยน้ำใสที่ไม่ยอมไหล เธอพยายามยิ้มแต่ริมฝีปากกลับสั่น “ฉันอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออกเลย สองวันที่ฉันอยู่กับนาย…มันเหมือนกระชากฉันออกจากโลกที่เคยอยู่ กระชากฉันออกจากคำว่าเด็กไฮสคูล กระชากฉันออกจาก…” เสียงเธอสั่นจนขาดหายไป


เลสเตอร์เงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบคำถามแรก เพราะเขารู้ดีว่าคำตอบไม่มีวันปลอบใจเธอในตอนนี้ได้ ดวงตาสีฟ้าของเขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นของเธอแล้วเอ่ยเบา ๆ “โมนีก้า…” เด็กสาวส่ายหัวเมื่อได้ยินเขาที่พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง น้ำตาที่กลั้นไว้เริ่มไหล “ทำไมถึงไม่มีเวลาให้ฉันเสียใจเลย ทำไมต้องเข้มแข็ง…ฉันก็แค่เด็กอายุสิบห้าเอง ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้”


เลสเตอร์ค่อย ๆ บีบไหล่ของเธออย่างระมัดระวังเพิ่มแรงให้เธอรู้ ความอุ่นจากฝ่ามือสั่นไหวเพียงเล็กน้อยเพราะลมหนาว “ไม่มีใครสมควรต้องเจอเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเดมิก็อดหรือใครก็ตาม” เขาก้มมองเธอ ดวงตาลึกซึ้งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่พูดออกมา “เธอไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าฉัน เธอแค่…เป็นโมนีก้าก็พอ” คำพูดนั้นเหมือนประตูที่ถูกเปิดออก โมนีก้าสะอื้นเฮือกแรก น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาทันที ร่างเล็กสั่นสะท้าน เธอพยายามจะเช็ดแต่น้ำตากลับยิ่งไหล เลสเตอร์ไม่รอช้าอีกแล้วเขาก้าวเข้ามาโอบกอดเธออย่างอ่อนโยน แขนแข็งแรงแต่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง “ร้องเถอะ ปล่อยมันออกมา ฉันอยู่ตรงนี้”


โมนีก้าซุกหน้าลงกับอกของเขาเสียงสะอื้นดังตัดกับเสียงลม เธอปล่อยน้ำตาออกมาเหมือนเด็กหญิงที่เพิ่งยอมรับว่าตัวเองเจ็บปวดจริง ๆ เลสเตอร์ลูบหลังเธอช้า ๆ ไม่เร่ง ไม่ปลอบด้วยคำพูดที่ฟังดูสวยงามเกินจริง แค่ยืนอยู่ตรงนั้นให้เธอรู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว


ภายในห้องด้านใน วินเซนโซที่นอนหลับแต่อาจจะไม่เต็มตื่น ฮารุโตะ ลูคัส และอิซิเลียยังคงรออยู่ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กสาวปริศนาที่พาพวกเขารอดตายชื่ออะไร แต่เสียงสะอื้นที่ลอดเข้ามาทางประตูระเบียงทำให้ทุกคนได้แต่เงียบและมองหน้ากันอย่างเข้าใจ ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ว่าชื่ออะไร ได้โดนรับน้องจากโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้หนักหนานักและในที่สุดก็ได้เวลาที่เธอจะวางมันลงสักพัก


ลมหนาวจากริมทะเลสาบพัดผ่านระเบียงไม้ของโรงแรมเยลโลว์ไนฟ์จนม่านโปร่งในห้องสั่นเบา ๆ กลางวันที่ไม่มีคืนทำให้ท้องฟ้าสว่างจ้าแต่บรรยากาศกลับเย็นเยียบ โมนีก้าซบหน้าลงกับอกของเลสเตอร์ น้ำตาที่กลั้นไว้ทั้งคืนทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก เสียงสะอื้นสั่นเครือบดบังเสียงลมจนหมด เธอพยายามยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้เสียงเล็ดลอด แต่ไหล่เล็กก็สั่นระริกจนเลสเตอร์รู้สึกถึงแรงสั่นนั้นผ่านฝ่ามือที่โอบหลังเธอไว้


เลสเตอร์ก้มลงกระซิบเสียงต่ำ “ไม่ต้องกลั้น” น้ำเสียงอบอุ่นแต่เจือความเศร้าที่เขาไม่อาจพูดได้ เขารู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าพึ่งผ่านเรื่องราวที่เกินกว่าที่ใครวัยสิบห้าควรเจอ เลือด ความตาย ความหวาดกลัว สิ่งที่เขาเองก็อยากปกป้องทุกคนจากมันแต่ก็รู้ดีว่านี่คือโลกของลูกครึ่งเทพที่ไม่มีใครเลือกได้


โมนีก้าร้องอยู่ครู่ใหญ่จนในที่สุดเสียงสะอื้นเริ่มแผ่วลง เธอเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีเทาเงินที่เจือแดงจากน้ำตาเป็นประกายสั่นไหว เส้นผมสีม่วงครามปลิวไหวตามลม เสี้ยวหน้าเด็กสาวที่ดูอ่อนแอแต่พยายามฝืนยืดตรง เลสเตอร์ค่อย ๆ ใช้มือเช็ดคราบน้ำตาที่ข้างแก้มให้เธอโดยไม่พูดอะไร “ฉันนึกว่า…แค่ช่วยเพื่อนนายแล้วมันจะจบ” เสียงของโมนีก้าเบาแทบเป็นกระซิบ “แปลว่า…เราต้องเดินทางต่อใช่ไหม”


เลสเตอร์ชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาสีฟ้าของเขาหลบเลี่ยงก่อนพยักหน้าช้า ๆ “ใช่” เสียงเขาเต็มไปด้วยความหนักใจ “เธอกลับไปค่ายจูปิเตอร์ได้นะระหว่างนี้ให้พวกฉันจัดการเอง เธอสลัดเรื่องพวกนี้ทิ้งได้…โมนีก้า เธอไม่จำเป็นต้องแบกมันไปด้วย” เด็กสาวส่ายหัวทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ดวงตาที่เปียกน้ำแต่แฝงความดื้อรั้นฉายแววชัด “ไม่ได้หรอก” เสียงสั่นแต่หนักแน่น “นายยังบาดเจ็บ เพื่อนนายก็ยังไม่หายดี จะให้ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ยังไง” เธอกัดริมฝีปากตัวเองเหมือนกลัวเสียงจะสั่นอีก


เลสเตอร์มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลนั้นอย่างเงียบ ๆ เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะของเธอ ลูบเบา ๆ เหมือนจะปลอบเด็กเล็ก “เธอไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่เกินวัยเพื่อจะอยู่ตรงนี้นะโมนีก้า” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม “สิ่งที่เธอทำจนถึงตอนนี้…มันมากเกินพอแล้ว เธอช่วยชีวิตพวกเรา ช่วยผม เธอกล้าหาญกว่าที่คิด” โมนีก้าหลุบตาลงตอนที่โดนลูบหัว มือที่กำชายเสื้อของเขาคลายออกเล็กน้อย ความร้อนจากฝ่ามือของเลสเตอร์บนศีรษะทำให้หัวใจที่สั่นไหวเริ่มสงบลงทีละน้อย “พักสักหน่อยเถอะ…ฉันจะอยู่ข้างเธอ”


โมนีก้าหลับตาลงรับคำพูดนั้น ลมหายใจที่เคยสั่นไหวค่อย ๆ กลับมาเป็นจังหวะปกติ แม้จะยังมีน้ำตาเกาะขอบตา แต่ในแววตาของเธอเริ่มปรากฏประกายมุ่งมั่นอีกครั้ง เหมือนเด็กสาวที่เพิ่งเรียนรู้ว่าแม้โลกจะโหดร้าย แต่ก็ยังมีคนหนึ่งที่เธอไว้ใจได้จริง ๆ ภายในห้องวินเซนโซที่พึ่งตื่นเต็มตา ลูคัสที่พยายามซ่อนอาการบาดเจ็บ ฮารุโตะที่คอยเช็ดเลือดจากแผลเพื่อน และอิซิเลียที่นั่งนิ่งฟังเสียงลม ทั้งสี่คนยังคงไม่รู้ชื่อของเด็กสาวที่พาพวกเขาหนีตาย แต่จากแววตาที่มองผ่านประตูระเบียง พวกเขารู้เพียงว่าเธอคือเหตุผลที่ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้


ลมเย็นของเมืองเยลโลว์ไนฟ์พัดกระทบกระจกหน้าต่างห้องพัก ทำให้ม่านโปร่งสั่นไหวเบา ๆ โมนีก้ายังอยู่ตรงตูระเบียง เธอสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ถอยออกจากอ้อมกอดของเลสเตอร์ เธอเชิดหน้าขึ้น แม้ดวงตาจะยังมีรอยแดงจาง ๆ แต่ประกายในนั้นเริ่มกลับมานิ่งและเด็ดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิม เสียงของเธอเบาแต่มั่นคง “เลสเตอร์…ถ้าต่อไปฉันรับไม่ไหว แล้วคนที่ออกมาไม่ใช่ฉัน แต่เป็นอีกบุคลิกหนึ่งของฉัน สัญญานะว่านายจะไม่ว่า”


เลสเตอร์สบตาโมนีก้าอย่างนิ่งลึก แววตาสีฟ้าสะท้อนทั้งความกังวลและความจริงจัง เขาพยักหน้าโดยไม่รีรอ “ฉันจะไม่ว่า แต่จะตามเธอกลับมาเอง ไม่ว่าจะเป็นใคร ฉันจะพาเธอกลับมาให้ได้” คำพูดนั้นหนักแน่นจนโมนีก้าหลุบตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ ที่แม้จะสั่นเล็กน้อยแต่ก็ดูอบอุ่นพอจะทำให้แก้มของเธอขึ้นสีชมพูอ่อน


โมนีก้าสูดหายใจอีกครั้งเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา “เราต้องเตรียมการ ฉันมีเอกสารแผนการของพวก LoNex อยู่ในนี้” เธอชูแหวนดาราจรัสที่ซ่อนเอกสารไว้ “เราจะช่วยกันดูข้อมูล จัดการทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่พวกมันจะขยับตัวอีก” เลสเตอร์พยักหน้าตอบรับเธอช้า ๆ


โมนีก้าสบตาเขาอีกครั้ง คราวนี้เป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ดูเข้มแข็งกว่าที่เคย ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้อง รอยเท้าของเธอบนพื้นไม้ดังแผ่วเบาแต่มั่นคง เมื่อเธอเปิดประตู ทุกสายตาภายในห้องพักก็มองมาทางเธอแทบพร้อมกัน วินเซนโซนั่งเอนพิงโซฟาด้วยท่าทีสบายแต่แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ลูคัสยืดตัวตรงแม้ยังมีผ้าพันแผลที่แขน ฮารุโตะที่กำลังเช็ดเลือดแห้งออกจากมือชะงักมอง ส่วนอิซิเลียยังคงนั่งไขว้ขาอยู่บนเก้าอี้ในมุมห้อง ใบหน้าขาวซีดแต่ดวงตาสีเทาคมกริบจับจ้องอย่างประเมิน


ภายในห้องพักที่อบอุ่นกว่าความหนาวเย็นภายนอก โมนีก้าก้าวออกมายืนกลางห้องดวงตาสีเทาเงินทอดมองสมาชิกที่นั่งพักอยู่บนโซฟาและเก้าอี้รอบห้อง ทุกคนมีบาดแผลจากการต่อสู้ให้เห็นชัด แต่ยังพยายามนั่งตัวตรง เธอสูดลมหายใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงใสแต่มั่นคง “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อโมนีก้า เอ็ม. บลอสซัม เป็นเดมิก็อดสายเทพเซเรส และมีสายเลือดของเทพเจนัสอยู่ในตัวด้วยค่ะ ตอนนี้สังกัดกองร้อยที่ 2 ค่ายจูปิเตอร์”


คำพูดยังไม่ทันจบลูคัสซึ่งนั่งพิงพนักเก้าอี้พลันขมวดคิ้ว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจ้องเธออย่างประเมิน “เพิ่งมาหรือเปล่า? เพราะผมก็อยู่กองร้อยที่สอง แต่ไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย” น้ำเสียงทุ้มจริงจังแบบทหารฟังดูไม่ใช่การตำหนิ แต่เต็มไปด้วยความสงสัย


โมนีก้าพยักหน้ายอมรับไม่คิดจะอ้อมค้อม “ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งเข้าค่ายจูปิเตอร์ได้ 14 วันค่ะ” 


คำตอบนั้นทำให้สายตาของทุกคนในห้องเปลี่ยนไปทันที ทั้งวินเซนโซ อิซิเลีย และฮารุโตะต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว ฮารุโตะถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ส่วนอิซิเลียที่นั่งไขว้ขาบนเก้าอี้ในชุดโกธิคโลลิต้าสีดำเพียงยกคิ้วอย่างเย่อหยิ่งแต่แฝงความสนใจ “แล้วมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ” วินเซนโซเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ น้ำเสียงนุ่มทุ้มมีเสน่ห์แต่แฝงความตื่นเต้น


เลสเตอร์ที่ยืนพิงผนังเพราะพึ่งเข้ามาในห้องตามโนีก้าจึงเป็นฝ่ายตอบแทน “ผมทำพิธีอัญเชิญโบราณครับ เพื่อให้ความช่วยเหลือมาถึงเร็วที่สุด โชคดีที่มันทำงานได้จริง…เลยส่งโมนีก้ามา”


คำตอบนั้นทำให้ลูคัสขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาคมยังจับจ้องโมนีก้า “พิธีอัญเชิญงั้นเหรอ…โชคชะตานี่ช่างโหดร้ายจริง ๆ ถึงได้โยนเด็กใหม่มาอยู่กลางภารกิจแบบนี้” น้ำเสียงฟังดูเหมือนทั้งตำหนิและเห็นใจในคราวเดียวกัน โมนีก้าหลุบตาลงเล็กน้อยตอนที่ได้ยินลูคัสเอ่ยแบบนั้น เธอระบายยิ้มบางที่ดูทั้งเหนื่อยและมุ่งมั่น “ก็คงอย่างนั้นค่ะ แต่ถ้าฉันมาแล้ว ก็จะทำให้ดีที่สุด”


เมื่อบรรยากาศเริ่มคลายลง วินเซนโซจึงเป็นคนแรกที่เอนตัวมาข้างหน้า รอยยิ้มอบอุ่นฉายบนใบหน้า “งั้นผมเริ่มก่อนละกัน วินเซนโซ เบอร์กาม็อตโต เดมิก็อดบุตรแห่งวัลแคน กองร้อยที่ 4  ช่างซ่อมบำรุงประจำทีม…กับหน้าที่หากาแฟดี ๆ ให้เพื่อน ๆ” น้ำเสียงมีเสน่ห์เจือรอยขี้เล่นจนโมนีก้าหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย


ต่อมาคืออิซิเลียที่นั่งกอดหัวกะโหลกเล็กชื่ออลันไว้ในตัก เธอเชิดคางเล็กน้อย เสียงใสแต่นิ่ง “อิซิเลีย โดมินิคัส กองร้อยที่ 1 สืบสายเลือดจากเทพีน็อกซ์…จำชื่อฉันไว้ก็พอ” แววตาคมกริบกวาดมองโมนีก้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมิน แต่ก็มีประกายที่ไม่ใช่การปฏิเสธ


ลูคัสเป็นคนต่อไป เขาตั้งหลังตรงแม้บาดแผลที่แขนยังมีผ้าพัน “ลูคัส อควินัส เดมิก็อดบุตรแห่งมาร์ส กองร้อยที่ 2 เหมือนเธอนั้นแหละ” เขาพูดสั้น ๆ แต่เสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “หวังว่าคราวหน้าจะได้เห็นฝีมือเธอในสนามที่ชัดกว่านี้นะ”


ฮารุโตะที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกทักทาย “ฮารุโตะ ฮิกะ บุตรแห่งอพอลโล่ กองร้อยที่ 5 แพทย์สนามครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณโมนีก้า” น้ำเสียงร่าเริงจนอบอุ่น ขัดกับบาดแผลตามร่างกายที่ยังเห็นรอยช้ำอยู่ชัด 


โมนีก้ากวาดตามองแต่ละคนอย่างตั้งใจ ความเหน็ดเหนื่อยจากการโดนทรมารและการต่อสู้ยังฉายอยู่บนใบหน้าของทุกคน แต่ในความเหนื่อยนั้นกลับมีประกายของความเป็นพวกพ้องที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน เธอก้มศีรษะเล็กน้อย “ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ…จากนี้ไปขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” คำตอบนั้นทำให้เลสเตอร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าลึกมองเธอด้วยความรู้สึกบางอย่าง


หลังจากนั้นโมนีก้าก็เดินไปนั่งพิงโซฟาพร้อมกางเอกสารที่เพิ่งดึงออกมาจากมิติแหวนดาราจรัส กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจากการรักษาบาดแผลเพื่อน ๆ ยังคลุ้งอยู่ในอากาศ เธอเหลือบตามองเลสเตอร์ที่ยืนเก๊กเงียบอยู่ข้างเตียงก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่น้ำเสียงเจือความห่วง “จะเก๊กอีกนานไหม ไปช่วยรักษาเพื่อนสิ” น้ำเสียงแม้ฟังดูเรียบแต่กลับมีแรงบังคับนุ่มลึกจนเลสเตอร์ต้องถอนหายใจแล้วเดินไปหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอย่างจำใจ


เมื่อเลสเตอร์เริ่มดูแลบาดแผลของวินเซนโซ ลูคัส และฮารุโตะ โมนีก้าก็เริ่มภารกิจของตน เธอค่อย ๆ วางเอกสารหลายชุดลงบนโต๊ะไม้หน้าห้อง กระดาษบางแผ่นยังมีคราบเลือดและฝุ่นเหมืองติดอยู่ เธอไล่นิ้วเรียงลำดับแฟ้มแล้วเอ่ยเสียงชัด 


“ระหว่างที่ทุกคนพักรักษาตัว ฉันจะสรุปข้อมูลที่ได้มาให้ฟังค่ะ องค์กร LoNex มีเป้าหมายใช้พลังงานของเอเรบัสเพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่าดวงอาทิตย์สีดำ…เรายังไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ สิ่งเดียวที่แน่ชัดคือพลังงานนี้กำลังถูกส่งไปยังใจกลางกรุงโรม” ห้องทั้งห้องเงียบกริบเมื่อคำว่า โรม หลุดจากปากเธอ วินเซนโซที่กำลังให้เลสเตอร์พันผ้าพันแผลถึงกับยกคิ้วสูง “ใจกลางโรมงั้นหรือ…ถ้าพวกมันส่งพลังงานไปถึงจริง ผลลัพธ์คงน่ากลัวกว่าที่คิด” น้ำเสียงของเขานุ่มแต่แฝงความกังวล


ลูคัสที่นั่งหลังตรงแม้ผ้าพันแผลจะรัดแน่นก็พยักหน้าช้า ๆ “ถ้าเป็นการขนส่งพลังงานปริมาณใหญ่ เส้นทางที่ปลอดภัยและควบคุมได้มากที่สุดคือทางเรือ…ฉันเดาว่าพวกมันต้องใช้ท่าเรือหลักในยุโรปเป็นจุดพัก”


อิซิเลียที่นั่งไขว่ห้างพร้อมหัวกะโหลก ‘อลัน’ ในตักเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาสีเทาเย็นเฉียบวาววับ “แต่ถ้าเป็น LoNex ฉันไม่เชื่อว่าพวกมันจะเดินเกมง่าย ๆ อาจมีเส้นทางซ้อนอีกชั้น หรือใช้ภาพลวงตาเพื่อปกปิดเป้าหมาย” ฮารุโตะที่ยืนพิงผนังด้านข้างแม้จะยังมีรอยช้ำตามแขนก็ยกมือแตะคางคิดตาม “ถ้าจะตามรอยพลังงานคงยากนะครับ ต้องมีเวลาเตรียมตัวหนักเลย” น้ำเสียงของเขายังคงร่าเริงแม้สถานการณ์จะตึงเครียด


โมนีก้าพยักหน้ารับทุกความคิดเห็นแล้วสรุปเสียงหนักแน่น “ดังนั้นเป้าหมายต่อไปของพวกเราคือหาทางติดตามเส้นทางพลังงานที่ถูกส่งไปโรม ฉันคิดว่าพวกมันจะต้องเริ่มเคลื่อนย้ายเร็ว ๆ นี้ ต้องดูที่เอกสารเพราะมันก็เยอะพอสมควร เราจำเป็นต้องหาทั้งแผนที่เส้นทางเรือและจุดพักพลังงานระหว่างทาง ถ้าสามารถระบุได้ เราจะมีโอกาสหยุดพวกมันก่อนที่ดวงอาทิตย์สีดำนั่นจะเสร็จสมบูรณ์”


เลสเตอร์ที่กำลังพันผ้าพันแผลให้ลูคัสเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีฟ้าส่องประกายท่ามกลางแสงไฟอุ่น “แผนนี้เสี่ยง แต่ถ้าเราไม่ทำก็จะไม่มีวันรอด” เขากวาดตามองทุกคนทีละคนก่อนจะหยุดที่โมนีก้า “เราจะไปด้วยกัน” เสียงพยักหน้าตอบรับจากสมาชิกทั้งสี่ดังขึ้นแทบพร้อมกันที่ได้ยิน


บรรยากาศอุ่นจากฮีตเตอร์ตัดกับลมหนาวนอกหน้าต่าง กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อยังคลุ้งอยู่ในอากาศ เลสเตอร์นั่งพิงพนักโซฟาอย่างเหนื่อยล้า สายตาสีฟ้าคมกริบกวาดมองเพื่อนทั้งสี่ที่ยังมีผ้าพันแผลตามตัว สีหน้าของพวกเขายังซีดเซียวเกินกว่าจะฟื้นได้ด้วยการพักเพียงอย่างเดียว เขาเม้มปาก ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มที่เริ่มกลับมามีน้ำหนัก “แผลพวกนี้…ต้องใช้เวทมนตร์รักษาจริง ๆ แล้วแหละ ถ้าไม่ทำ พวกเขาจะลุกขึ้นเดินเยอะ ๆ ไม่ไหวแน่”

 

โมนีก้าที่กำลังตรวจดูเอกสารแผนการของ LoNex เงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยิน ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนความไม่พอใจ “เดี๋ยวก่อน นายพึ่งรักษาฉันไปเมื่อวานก่อนเองนะเลสเตอร์ ถ้าฝืนอีก นายจะ…” เธอกัดริมฝีปากไม่อยากพูดคำว่าแย่ลงออกมา 


เลสเตอร์ยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องเล็ก ทั้งที่รอยฟกช้ำและบาดแผลตามแขนยังสดใหม่ “ฉันไหว อาจจะสลบไปสักสามสี่วันก็เถอะ แต่คุ้ม ถ้าพวกเราจะออกเดินทางได้เร็วขึ้น” โมนีก้าลุกพรวดจนเก้าอี้ลั่น เธอจ้องตาเขาเหมือนจะลุกขึ้นไปขวาง “เลสเตอร์! ฟังฉันนะ—”


แต่เลสเตอร์กลับยกมือขึ้นเล็กน้อย ขัดจังหวะเธอด้วยรอยยิ้มกวน ๆ แบบที่เป็นเอกลักษณ์ “คราวนี้ขอดื้อบ้างไม่ได้หรือไง โมนีก้า? เธอเองก็รู้ว่าเพื่อนเราจำเป็นต้องหายเร็วที่สุด ถ้าพวกเขาแข็งแรงพอ เราก็มีโอกาสทำภารกิจต่อได้ดีเลยนะ” เสียงของเขาฟังดูร่าเริง แต่ในดวงตากลับมีประกายมุ่งมั่นจริงจัง โมนีก้ากัดฟันแน่นมองหน้าเขาความเป็นห่วงทำให้เธออยากเถียงจนใจจะขาด “แต่นายเองก็—”


“ฉันรู้ว่าตัวเองเสี่ยงแค่ไหน” เลสเตอร์พูดทับอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น “แต่ฉันเชื่อว่าตอนนี้พวกเขากลับมาพร้อม เราก็มีทีมที่สมบูรณ์ เราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้แน่นอน”


วินเซนโซที่นั่งอยู่บนเตียงอีกฝั่งยกคิ้วพลางยกถ้วยกาแฟอุ่นขึ้นจิบ แม้สีหน้าจะซีดแต่ก็ยังมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ดูเหมือนนายจะดื้อกว่าฉันซะอีกนะ เลสเตอร์” ฮารุโตะหัวเราะเบา ๆ เสียงใสแม้ใบหน้ามีรอยช้ำ “ก็อย่างที่เขาพูดนั่นแหละครับ คุณโมนีก้า เราไม่มีเวลาให้แผลมันหายเองจริง ๆ”


ลูคัสที่กำลังนั่งหลังตรงเหมือนนักรบในสนามรบพยักหน้าเชื่องช้า “การรักษาเวทมนตร์เป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าเราอ่อนแอศัตรูจะได้เปรียบ” อิซิเลียที่นั่งไขว่ห้างกอดหัวกะโหลกอลันไว้ในตักเหลือบตามองเลสเตอร์แล้วหัวเราะในลำคอ “ในที่สุดก็มีคนที่กล้าดื้อแข่งกับฉันเสียที…ทำไปเถอะถ้าคิดว่าทำได้”


โมนีก้าหันมองหน้าแต่ละคน ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนทั้งความกังวลและการยอมจำนน เธอสูดลมหายใจลึก ปล่อยให้มือที่กำแน่นคลายลง “ถ้าฉันห้ามไม่ได้…ก็อย่าให้ฉันต้องเห็นนายทรมานมากกว่านี้ล่ะ” น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อยแต่ยังคงแข็งแรงพอที่จะเอ่ยต่อ “สัญญาว่าจะตื่นเร็ว ๆ ได้ไหมล่ะ” เลสเตอร์ยิ้มบาง ๆ ทั้งที่เหงื่อซึมตามไรผม “สัญญา” เขาตอบสั้น ๆ แต่สายตาที่สบกับเธอมีทั้งความดื้อรั้นและความอ่อนโยนปะปนกัน


หลังจากนั้นในห้องพักของโรงแรมที่เยลโลว์ไนฟ์ เสียงฮีตเตอร์ดังหึ่งคงที่ตัดกับความหนาวนอกหน้าต่าง โมนีก้านั่งคุกเข่าอยู่บนพรมโดยมีเอกสารกองหนึ่งวางเกลื่อนอยู่ตรงหน้า แสงไฟส้มอุ่นจากโคมข้างหัวเตียงทำให้เส้นผมสีม่วงครามของเธอเปล่งประกายราวกับไหมเงิน เธอพยายามตั้งสมาธิอ่านข้อมูลที่ขโมยมาจากศูนย์วิจัย ทั้งที่หัวใจยังเต้นแรงเพราะเป็นห่วงชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง ด้านหลัง เลสเตอร์กำลังใช้พลังรักษาบาดแผลให้เพื่อนทั้งสี่คน เสียงลมหายใจของเขาหนักและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เหงื่อเกาะตามไรผมจนหยดลงที่พรม ข้อมือสั่นเล็กน้อยเมื่อยกมือไปแตะร่างเพื่อนแต่ละคนเพื่อส่งพลัง โมนีก้าต้องกัดริมฝีปากตัวเองไม่ให้หันไปมอง เธอรู้ว่าหากเธอเผลอมองเขา ความเป็นห่วงจะทำให้เธอหยุดทำงานทันที


เสียงกระดาษถูกพลิกเบา ๆ ดังขึ้นเมื่อโมนีก้าเจอแผ่นเอกสารที่มีตราประทับ LoNex และแผนผังเส้นทางขนส่ง เธอรีบก้มลงอ่าน ดวงตาสีเทาเงินฉายแววตื่นตระหนก “มอนทรีออล…ท่าเรือริมแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์” เธอพึมพำก่อนเงยหน้ามองทุกคน “พวกมันจะขนพลังงานของเอเรบัสขึ้นเรือบรรทุกไปโรมในอีกสองสามวันข้างหน้า ที่ท่าเรือมอนทรีออลค่ะ มันเป็นศูนย์กลางขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ใหญ่ของแคนาดาตะวันออกสู่ยุโรป”


วินเซนโซที่นอนพิงหมอนตะแคงหันมามองตาโต แม้จะบาดเจ็บแต่ยังคงคารมดี “พวกเราจะตามมันไปได้ยังไง เรือขนส่งของ LoNex ไม่ใช่จะซื้อตั๋วขึ้นตามสบายเหมือนรถไฟนะ” อิซิเลียที่นั่งกอดหัวกะโหลกอลันบนตักขมวดคิ้ว “ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่…ถ้าพวกมันใช้เส้นทางนี้ ต้องมีการป้องกันเข้มกว่าศูนย์วิจัย”


ลูคัสที่ยังนั่งหลังตรงเหมือนนักรบกำลังคำนวณในใจ “เราต้องมีเรือหรือเครื่องบินส่วนตัว ไม่งั้นไม่มีทางไล่ทัน” เสียงเลสเตอร์ดังขึ้นจากเตียง แม้จะฟังดูแผ่วราวกับคนกำลังจะหมดแรง “โทร…นักบิน…” เขาหอบหายใจหนักแต่ยังพยายามพูดต่อ “เบอร์อยู่…ในกระเป๋าฉัน…บอกให้เตรียมเรือ…”


ทุกคนหันขวับไปทางเตียง เห็นเลสเตอร์โงนเงนเหมือนจะล้ม โมนีก้ารีบลุกพรวดแทบจะพุ่งไปหาเขา “เลสเตอร์!”


ชายหนุ่มพยายามยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มกวน ๆ ที่จางราวกับภาพเลือน “แค่หลับ…ไม่ต้องห่วง…” คำพูดขาดห้วงก่อนที่ร่างของเขาจะฟุบลงไปกับหมอนทันที โมนีก้าหัวใจแทบหยุดเต้น เธอก้าวฉับ ๆ ไปข้างเตียงทันทีแต่ฮารุโตะที่นั่งใกล้กว่าเอื้อมมือมาหยุดเธอไว้ เขาเอานิ้วแตะชีพจรที่ข้อมือของเลสเตอร์ ตรวจลมหายใจแล้วพยักหน้า “ไม่เป็นไรครับ เขาแค่หลับ ร่างกายใช้พลังเกินเหตุและคงเครียดมานานเกินไป ต้องพักยาวหน่อย”


เสียงถอนหายใจดังจากทุกคนรอบห้องความตึงเครียดคลายลงทันที โมนีก้าทรุดตัวนั่งข้างเตียง มือสั่นเล็กน้อยแต่ค่อย ๆ วางลงบนผ้าห่มที่คลุมเลสเตอร์ เธอพูดเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ “ขอบคุณนะ…พักเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”


วินเซนโซพิงหัวกับกำแพงยิ้มบาง “เด็กคนนี้ดื้อไม่แพ้เลสเตอร์เลยนะ”

อิซิเลียกลอกตา “ดื้อกันทั้งคู่ต่างหาก”

ลูคัสถอนหายใจยาว “แต่ก็ดีแล้ว ที่เขาทำให้เรายังยืนอยู่ตรงนี้ได้”

ฮารุโตะยิ้มอ่อนมองโมนีก้าอย่างเห็นใจ “พวกเราจะช่วยกันครับ คุณไม่ได้สู้คนเดียว”


โมนีก้าหันมามองเพื่อนใหม่ทั้งสี่ รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าที่แม้จะยังซีดจากความกดดัน แต่ในดวงตากลับมีประกายมุ่งมั่น “วันนี้พักผ่อนก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราจะหาเส้นทางและแผนกันต่อ” ในขณะที่เลสเตอร์หลับใหลอย่างสงบ เสียงลมหนาวนอกหน้าต่างยังคงพัดกระทบกระจก เสมือนเป็นจังหวะเตือนว่าภารกิจยังไม่จบ แต่ในค่ำคืนนี้ ทุกคนในห้องเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ก้าวข้ามความสิ้นหวังไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

Z z zzZZ  Z z  Z Z  Z (หลับเป็นตายไปสัก 5 วัน) 

avatar

Moneka M. Blossom

โมนีก้าและทุกคนเดินทางมาที่โรงแรมในเมือง โมนีก้าเป็นคนออกเงินค่าห้องให้ คราวนี้เลสเตอร์ได้ให้กำลังใจโมนีก้า เขารู้ว่าเธอควรที่จะมีคูลดาวน์ความรู้สึกของเธอ และเมื่อโมนีก้าเข้มแข็งเธอก็พร้อมทำงานต่อ เลสเตอร์คอยรักษาเพื่อน ๆ ไปด้วยระหว่างที่โมนีก้าและทุกคนอ่านเอกสาร เขาเตือนเพื่อน ๆ ไว้ว่าจะสลบหลังจากนี้ และพอได้รู้ว่าต้องใช้เรือ เขาเลยบอกให้พวกเธอติดต่อเพื่อนสนิทของเขาให้เตรียมเรือไว้ให้ก่อนสลบไป เรียกว่าหลับที่ไม่ได้หลับมายาวนานดีกว่า


[เลสเตอร์ใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูเพื่อน ๆ เขาสลบไปอีก 5 วัน จะตื่นในวันที่ 25 เดือนกันยายน 2025]

[รับทราบข้อมูลต่อไป เป้าหมายการเดินทางคือ ท่าเรือมอนทรีออล ควิเบก เพื่อลงเรือตามเรือของ LoNex]

[อยู่ในช่วง Cool Down]

[สมาชิกในทีมพักผ่อนและจะเตรียมตัวออกเดินทางในช่วงเช้า]


[เริ่มต้น ช่วงที่ 16-20: การตามล่า (The Hunt for the Core)]

avatar

Vincenzo Bergamotto

(น่าจะขี้เกียจเขียนรายงานความรู้สึกอยู่ หรือถ้าจะเขียนน่าจะเขียนแค่ว่า หิวกาแฟครับหรือคิดถึงแฟน---) 

avatar

Icilia Dominicus

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-


โมนีก้าจ่ายเงินค่าโรงแรม 3 ห้อง ราคารวม 600 ดอลลาร์

(จ่ายแล้วจ้าคุณพี่ ไม่ต้องมาหักอีกนะ รอบนี้โอนได้แล้ว 55+)



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-9-30 12:35
โพสต์ 126287 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-30 06:43
โพสต์ 126,287 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-30 06:43
โพสต์ 126,287 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-30 06:43
โพสต์ 126,287 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-30 06:43
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-30 18:50:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-2 00:40

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 26.1 : (ตอนพิเศษ) อ่านข่าวกันเถอะ (ความจริงคิดถึงหนุ่ม ๆ)
วันที่ 21 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเช้า เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

เช้าวันถัดมาในโรงแรมบรรยากาศเงียบสงบจนได้ยินเพียงเสียงลมเบา ๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่าง โมนีก้าตื่นเร็วกว่าทุกคนในห้อง ทั้งที่เธอนอนอยู่กับอิซิเลีย สาวน้อยโลลิต้าหน้าไม่ยอมโตจากกองร้อยที่ 1 หญิงสาวหาววอดเล็กน้อย พลางบ่นในใจว่าการได้หลับเต็มตาจริง ๆ มันทำให้สบายกว่าที่คิด ดวงตาสีเทาเงินยังหม่นเล็กน้อยแต่แฝงความสดใสแบบที่เธอเคยมี เธอขยับเดินไปที่ระเบียง ก้าวเท้าเปล่าลงบนพื้นเย็นเยียบแล้วผลักบานประตูออก สายลมหนาวพัดผมสีม่วงครามปลิวระไปตามแรงลม แสงแดดสว่างจ้าแม้จะเป็นยามเช้า แต่ในเมืองที่กลางวันแทบจะยาวนานตลอด 24 ชั่วโมงเช่นนี้ มันก็ดูไม่ต่างจากเมื่อวาน โมนีก้าเอียงตัวรับแสงยกแขนขึ้นกอดอกแล้วนั่งอึน ๆ มองเมืองที่ยังคงมีหมอกหนาวจาง ๆ คลุมอยู่


มือเล็กควักหนังสือพิมพ์เมอร์คิวรีของค่ายจูปิเตอร์ที่เธอซื้อไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางแต่ไม่เคยมีเวลาจะอ่านจริง ๆ มาพลิกออกจากแหวนดาราจรัส เธอไล่สายตาอ่านไปเรื่อย ๆ และพอเจอหัวข้อข่าวใหญ่ที่สุดก็ถึงกับเบิกตากว้าง


แลร์รี่ ใจป๋า! เปิดภารกิจลับ (และแจกรางวัลโคตรเด็ด!) สัมผัสวิญญาณเดมิก็อดรุ่นใหม่!


เธอรีบก้มหน้าลงอ่านรายละเอียดทุกตัวอักษรทันที ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งทำหน้าไม่อยากเชื่อ เรื่องภารกิจพิเศษที่แลร์รี่ประกาศผ่าน Social Nectar สำหรับเดมิก็อดรุ่นใหม่ที่เพิ่งทำภารกิจคำพยากรณ์ใหญ่ครั้งแรกในปี 2025 เป็นต้นไป ต้องเขียน บันทึกการเดินทางหนา 30 หน้าเป๊ะ ๆ (หรือขึ้นไป) ส่งให้เขา ใครส่งคนแรกและถูกใจ จะได้รางวัล อิคารัส มิเรอร์ แท็บเล็ตต้นแบบสุดล้ำจากเดดาลัส


เธออ่านถึงตรงนี้แล้วแทบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา แต่กลับเป็นการบ่นแทน “ใครมันจะไปบ้าเขียนบันทึกรายงานตั้ง 30 หน้าวะ…รำคาญตายชัก” เสียงพึมพำเบาราวกับจะให้ลมฟังมากกว่าคนอื่น โมนีก้าส่ายหัวแรง ๆ พลางพับหน้ากระดาษนั้นไปแล้วเลื่อนสายตาอ่านข่าวอื่นต่อ ความจริงเธอเองก็สนใจรางวัลที่ว่า แต่แค่คิดภาพว่าต้องนั่งเขียนบันทึก 30 หน้าแบบนักเรียนทำรายงาน เธอก็อยากจะโยนหนังสือพิมพ์ทิ้งลงแม่น้ำไปให้รู้แล้วรู้รอด


ดวงตาสีเทาเงินกวาดผ่านพาดหัวถัดมา แล้วถึงกับเบิกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นตัวหนังสือพิมพ์ตัวหนาว่า ด่วนที่สุด! แอนนาเบ็ธ เชส ประกาศศึกกับเฮอร์มีส!


“ห๊ะ…” เธออุทานเบา ๆ อย่างงง ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านรายละเอียดเต็ม ๆ เนื้อข่าวเริ่มด้วยน้ำเสียงโอ้อวดของเทพเจ้าแห่งการสื่อสารเองที่ประกาศว่าตอนนี้ แอนนาเบ็ธ เชส ธิดาแห่งอะธีน่า คือผู้นำพันธมิตรต่อต้านเทพเฮอร์มีส อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุผลที่ว่าเฮอร์มีสเอาแต่เขียนข่าวรัก ๆ ใคร่ ๆ ใส่สีตีไข่แบบสุด ๆ จนทำให้บรรดาเดมิก็อดหัวเราะคิกคักอยู่แต่กับข่าวซุบซิบไร้สาระ


โมนีก้าเลิกคิ้วสูง “อะไรของพวกเขาเนี่ย…”


เธออ่านต่ออย่างไม่อยากเชื่อ แอนนาเบ็ธประกาศแจกศิลากำเนิดพลัง จำนวน 5 ก้อน  ให้แก่ผู้ที่ส่งข่าวเชิงสร้างสรรค์และมีประโยชน์แก่ค่าย เป็นการเกทับรางวัลของเฮอร์มีสที่เคยเสนอเพียงดอกกุหลาบสีทองหนึ่งดอก ให้กับผู้ส่งข่าวเฮอร์มีสเองก็ไม่พลาดจะบ่นเป็นฉบับเต็ม บอกว่ารู้สึกเหมือนโดนแทงข้างหลัง และท้าทายว่าจะหาข่าวที่แซ่บยิ่งกว่าเดิมมาโต้กลับ


“ศิลากำเนิดพลัง…ก้อนนึงก็โคตรจะมีค่าแล้วนะ เอามาแจกทีห้าก้อนเนี่ยนะ?” โมนีก้าพึมพำ สีหน้าเหมือนกำลังพยายามหาคำอธิบายทางตรรกะแต่มันไม่เจอ เนื้อข่าวปิดท้ายด้วยแฮชแท็กยาวเหยียดทั้ง #พันธมิตรต่อต้านเฮอร์มีส #แอนนาเบ็ธจัดเต็ม #ศิลากำเนิดพลังปะทะดอกกุหลาบ และ #สงครามข่าวสาร พร้อมคำลาท้ายฉบับเฮอร์มีสที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้เธอปวดหัว 


โมนีก้าถอนหายใจแรงจนแก้มป่อง “โอ้ยยยย…ไม่เข้าใจเลยเว้ย สาบานว่าฉันกำลังอ่านข่าวจริง ๆ อยู่ ไม่ใช่นิตยสารกอสซิปโรงเรียน…” เธอบ่นพลางกลอกตา พูดจบก็พลิกหน้ากระดาษต่อทันทีด้วยอาการหมดคำบรรยาย ราวกับอยากหาข่าวที่พอจะมีสาระหน่อยเพื่อชดเชยความวุ่นวายที่เพิ่งอ่านจบ


โมนีก้าอ่านข่าวต่อด้วยดวงตาที่ปรือเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่น แต่พอเจอพาดหัวใหญ่โตว่า เฮเฟตัส ใจดีสปอร์ต! เปิดตัวรถไฟสายประหยัด ราคาเดียว 5 ดรักม่า! เธอก็หรี่ตามองใกล้ ๆ พร้อมเสียงพึมพำ “อันนี้สิมีสาระหน่อย…”


เนื้อหาข่าวเล่าด้วยโทนเฮฮาแบบฉบับเฮอร์มีส ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป รถไฟราคาประหยัดสายใหม่จากเฮเฟตัสเริ่มเปิดให้บริการจริงแล้ว และยังได้ไฟเขียวจากเทพซุสให้เดมิก็อดสามารถใช้เดินทางเพื่อทำภารกิจได้ โอลิมปัสถึงกับอ้างว่าฟังเสียงบ่นของพวกเจ้าแล้ว หลังจากที่มีเสียงคร่ำครวญจากเหล่าเดมิก็อดมานานว่าโลกปี 2025 แล้วทำไมยังต้องเดินเท้าไปสู้กับอสุรกายกันอยู่


โมนีก้าไล่อ่านคุณสมบัติรถไฟสายใหม่นี้แล้วถึงกับหลุดหัวเราะแผ่ว ๆ เบา ๆ “โอลด์สคูลจริงดิ…เปิดหน้าต่างเอาลมเอาเองเนี่ยนะ…” เธอหัวเราะขมๆ ภาพในหัวคือเดมิก็อดเต็มโบกี้ต้องนั่งแหงนหน้าสู้ลมเหมือนพวกเด็ก ๆ นั่งรถสองแถว แถมเบาะยังเอนได้แค่ 20 องศา “นี่มันไม่ใช่รถไฟแล้ว นี่มันโรงเรียนสอนความอดทนชัด ๆ”


ยิ่งอ่านยิ่งเจอความพีค รถไฟวิ่ง 900 กม./ชม. เร็วกว่ารถไฟธรรมดาแต่ก็ยังช้าพอที่จะให้เหล่าอสุรกายโผล่มาขัดขวางระหว่างทาง เฮเฟตัสยังคงภูมิใจนำเสนอว่านี่แหละเสน่ห์! ทำเอาโมนีก้าเอามือกุมขมับ “จริง ๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการบังคับพวกเราไปต่อสู้กลางทางหรอก…โอเค ขอบคุณเฮเฟตัสที่ทำให้เดมิก็อดได้ฟรีคอนเทนต์”


เมื่ออ่านถึงตอนจบที่บอกว่าหลังใช้บริการอย่าลืมเขียนฟีดแบค เธอหลุดขำพรืดออกมาอีกครั้ง “ก็รู้อยู่แล้วว่าจะเต็มไปด้วยเสียงด่าแน่ ๆ…” จากนั้นโมนีก้าก็สะบัดมือปิดหน้ากระดาษ ปากบ่นออกมาเสียงแข็ง “แล้วทีแรกจะห้ามทำไมให้วุ่นวาย เห่อออ…ไม่เข้าใจความคิดเทพเจ้าเลยจริง ๆ” ดวงตาเทาเงินกลอกขึ้นฟ้าเหมือนกำลังจะเถียงกับคนบนโอลิมปัสโดยตรง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วใช้นิ้วพลิกไปหน้าถัดไปของหนังสือพิมพ์ทันที


โมนีก้าลากสายตาไล่จากหัวข้อข่าวลงมาจนจบในเวลาไม่ถึงสองนาทีแล้วก็ถอนหายใจยาวพรืดพร้อมกับกรอกตาอย่างชัดเจน “เหอะ…พวกเทพเจ้านี่” เธอบ่นพึมพำออกมาในลำคอ เสียงแผ่วแต่แฝงความหงุดหงิด ดวงตาสีเทาเงินไล่ไปตามบรรทัดที่เฮอร์มีสเขียนด้วยโทนเว่อร์เกินจริง ระกาศกร้าว! คำเตือนถึงเหล่าเดมิก็อด: บทเรียนจากเฟเรีย เฮย์ส ถึงภัยพิบัติเมื่อเทพีเฮคาทีบันดาลโทสะ!  แต่โมนีก้าเพียงแค่เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อถือ เธอสะบัดผมสีม่วงครามเบา ๆ พึมพำออกมา “ไม่เห็นจะเขียนเลยว่าทำไมเฮคาทีถึงโกรธ หรือจริง ๆ สาเหตุที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ เอะอะก็ลงโทษ…ไร้สาระสิ้นดี”


เธอยกมือขึ้นเท้าคางกับราวระเบียง ปลายนิ้วเคาะเบา ๆ ไปตามจังหวะที่หัวใจเต้นด้วยความขัดใจ ปากเล็ก ๆ เอ่ยประชดกับลมหนาวตรงหน้า “ถ้าเทพพิโรธแค่เพราะอารมณ์ส่วนตัวแล้วใครมันจะอยู่รอดได้กันเล่า…ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด” ในดวงตาของเธอมีแววเหนื่อยล้าแต่ก็ยังดื้อดึง โมนีก้าไม่เข้าใจว่าทำไมข่าวนี้ถึงถูกตีพิมพ์อย่างจริงจังในหนังสือพิมพ์เมอร์คิวรีด้วยซ้ำ ริมฝีปากจึงสรุปสั้น ๆ ตามสไตล์เธอ “ข่าวไร้สาระชัด ๆ”


เมื่อกล่าวจบเธอก็ใช้ปลายนิ้วพลิกหน้ากระดาษไปทันที ไม่เสียเวลาให้กับเรื่องที่ไม่มีคำอธิบายและไม่มีประโยชน์กับภารกิจของเธอแม้แต่น้อย


ไม่นานดวงตาสีเทาเงินของโมนีก้าไล่ไปตามบรรทัดข่าวที่เต็มไปด้วยอีโมจิและถ้อยคำโอ่อ่าของเฮอร์มีส เธอนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ตรงระเบียง ขาสองข้างแกว่งไปมาช้า ๆ พลางใช้มือตบปกหนังสือพิมพ์เบา ๆ หลังอ่านจบ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข่าวนี้อย่างกับบทหนังเลยแฮะ…จะเว่อร์ไปไหน” เสียงพึมพำของเธอแฝงรอยขำจาง ๆ เหมือนกำลังเหนื่อยใจกับลีลาของผู้เขียน


แม้เนื้อหาจะน่าสนใจ การบู๊ระห่ำของริปลีย์กับลิเลียน่า แต่สำหรับโมนีก้า มันก็แค่เรื่องไกลตัว ตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือแผนการของ LoNex และเพื่อน ๆ ที่นอนพักฟื้นอยู่ในห้องพักไม่ใช่มิโนทอร์กลางแอตแลนตา เธอส่ายหัวช้า ๆ “จะใครก็ช่าง…แต่ใครมันสอนให้พูดวิงการ์เดียมกลางสนามรบนี่นะ” น้ำเสียงเธอเจือความไม่เข้าใจปนประชด


แสงแดดยามเช้าส่องลงบนเส้นผมสีม่วงครามจนเป็นประกาย โมนีก้าพับหน้ากระดาษลงและใช้นิ้วเรียวยาวพลิกต่อโดยไม่ลังเล เธอไม่อยากเสียเวลาเก็บรายละเอียดของข่าวที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญ ความสนใจทั้งหมดของเธอคือการหาข้อมูลที่มีประโยชน์จริง ๆ ต่อภารกิจและเส้นทางที่รออยู่ข้างหน้าด้วยท่าทีเฉยชาแต่แฝงความมุ่งมั่น โมนีก้าขยับมือหมุนหน้ากระดาษอย่างคล่องแคล่ว เปิดไปยังข่าวถัดไปด้วยหัวใจที่เต้นแรงราวกับบอกตัวเองว่า “ขอให้ข่าวหน้าต่อไปมีสาระกว่านี้ทีเถอะ”


ปลายนิ้วเรียวของโมนีก้าลากผ่านกระดาษข่าวชั้นต่อไป เสียงกรอบแกรบเบา ๆ ดังขึ้นท่ามกลางห้องพักโรงแรมที่ยังเงียบสงัด แสงแดดลอดผ่านม่านสีขาวบางสะท้อนกับเส้นผมสีม่วงครามของเธอเป็นประกาย ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นราวกับเตรียมใจสำหรับบทความชิ้นสุดท้ายในฉบับเดือนนี้ 


หัวข้อข่าวใหญ่ตัวโตสะดุดตา คฑาที่สาบสูญและบทสนทนากับพระเจ้า ลมหายใจระทึกจากภารกิจ “The Lost Caduceus”! เมื่อบุตรแห่งโชคชะตา แสงอาทิตย์ และเซเทอร์จอมทระนง ก้าวเข้าสู่เกมที่มีพระเจ้าเป็นเดิมพัน! 


ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์ของโมนีก้ากวาดอ่านตัวอักษรทีละบรรทัด ข่าวนี้แตกต่างจากข่าวอื่นที่เธอเพิ่งผ่านตาเมื่อครู่ เพราะมันไม่ได้เล่าเพียงการต่อสู้กับอสุรกายหรือการผจญภัยทั่ว ๆ ไป แต่เป็นเรื่องราวที่โยงใยกับศรัทธา ความหวัง และพรมแดนระหว่างโลกมนุษย์กับเทพเจ้าโดยตรง


โมนีก้าพลิกหน้ากระดาษอย่างตั้งใจ แววตาเธอสะท้อนความสนใจปนสงสัย ภารกิจนี้ไม่ใช่เพียงการชิงวัตถุคืน แต่ยังเปิดเผยการปรากฏตัวของโดลอส เทพแห่งคำลวง ผู้บอกใบ้ว่าปลายทางที่แท้จริงคือนิวเฮเว่น เมืองซึ่งถูกประกาศให้เป็นเขตปลอดทหารของพระเจ้าเอง และกฎสูงสุดคือห้ามใช้ความรุนแรงโดยเด็ดขาดเพราะนั่นจะเป็นการเรียกพระองค์ลงมาจัดการด้วยตนเอง


เสียงหัวใจเต้นดังในอกขณะอ่านจบ เธอพับหนังสือพิมพ์ลงช้า ๆ แล้ววางบนตัก แสงแดดยามเช้าสาดเข้ามา เผยให้เห็นสีหน้าที่จริงจังของเธอมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา “นี่มันไม่ใช่ภารกิจธรรมดาเลยสักนิด… แค่คฑาหนึ่งอัน ถึงกับโยงไปถึงพระเจ้า” เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แม้ข่าวนี้จะเป็นเพียงรายงานของเฮอร์มีส แต่สำหรับโมนีก้า มันสะท้อนถึงบางสิ่งที่ใหญ่เกินกว่าที่เธอเคยจินตนาการ 


การเดินทางของเธอกับเลสเตอร์และเพื่อน ๆ อาจไม่ต่างกันนัก ทุกก้าวอาจเปลี่ยนสมดุลของโลกได้เช่นกัน เธอหายใจเข้าลึกพยายามเก็บความรู้สึกหนักอึ้งนั้นไว้ในใจ ก่อนจะพลิกกระดาษต่อไปสู่ข่าวสุดท้ายของฉบับเดือนนี้ด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะอ่านมันจนจบ

 

ข่าวสุดท้ายของเดือนนี้มาถึงแล้ว โมนีก้าวางหน้ากระดาษข่าวสุดท้ายลงบนตัก ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ กับพาดหัวที่ร้อนแรงราวกับกลางฤดูร้อน กาเบรียล อัลเวส รุ่นพี่สายเปย์ แจกหนัก 20 ดรักม่า! ตัวอักษรหนาแน่นเต็มไปด้วยความคึกคักจนแทบทำให้กระดาษร้อนขึ้นตาม เธออ่านเนื้อหาไปทีละบรรทัด เห็นภาพชัดเจนราวอยู่ในค่ายจริง เหล่ารุ่นน้องวิ่งวุ่น เปิดโน้ตบุ๊ก ลนลานจดบันทึก บ้างก็พยายามรีไซเคิลพล็อตนิยายเก่ามาใส่ใหม่ บรรยากาศคงเต็มไปด้วยเสียงพึมพำ เสียงหัวเราะปนเสียงถอนหายใจ เพราะรางวัล 20 ดรักม่าช่างเย้ายวนใจเกินกว่าจะปล่อยผ่านไป


เธอหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ “ข่าวนี้ยังพอมีประโยชน์หน่อย อย่างน้อยก็ทำให้ทุกคนได้ขยันกันจริง ๆ” แต่รอยยิ้มเล็กนั้นกลับแผ่วลงเมื่อดวงตาของเธอทอดมองไปไกลกว่าแค่ตัวอักษรในหน้ากระดาษ ความคิดค่อย ๆ ลอยย้อนกลับไปยังสองร่างที่อยู่ห่างไกล บุตรอะพอลโล่คนอื่น ๆ ที่เคยฝากความอบอุ่นไว้ในใจเธอ


คุณบรูตัส… หนุ่มผู้มีท่วงท่าสงบนิ่ง สายตาคมเข้มที่มักมองคนตรง ๆ โดยไม่ต้องใช้คำพูดมาก ราวกับทุกถ้อยคำที่เขาพูดออกมาจะถูกคัดกรองมาแล้วอย่างรอบคอบและจริงจัง เขาเป็นคนที่ให้ความรู้สึกมั่นคงจนเธออดคิดไม่ได้ว่า ถ้าต้องหาที่พึ่งในยามลำบาก แค่ยืนอยู่ข้างเขาก็พอแล้ว เธอเผลอถอนหายใจยาว เหมือนใจจะอุ่นขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงความเข้มและภูมิฐานในตัวเขา


ส่วนพี่หยาน… เงียบเหมือนกัน แต่ความเงียบนั้นไม่ทำให้ใครอึดอัด กลับให้ความรู้สึกเรียบง่าย คลายกังวลมากกว่า เขาไม่ใช่คนที่จะหัวเราะดังหรือพูดโอ้อวด แต่เพียงแค่การอยู่ใกล้ ๆ ก็เหมือนโลกจะเบาลงหนึ่งขั้น ไม่เข้มข้นดุดันเหมือนบรูตัส แต่ก็ไม่อ่อนแอ เขาเป็นความเงียบที่พอเหมาะ พาให้ใจสงบเสมอ


โมนีก้าเอียงศีรษะเล็กน้อย แก้มขาวอมชมพูแตะต้องกับเส้นผมที่หล่นลงมา รอยยิ้มค่อย ๆ กลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไป มันอบอุ่นแต่แฝงความคิดคำนึง “ถ้ากลับไปแบบครบสามสิบสองรอบ คราวนี้จะลองซื้อของไปฝากพวกเขาดูสิ… อย่างน้อยก็เป็นเครื่องหมายแทนความคิดถึง” เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ ราวกับกำลังสัญญาลม ๆ แล้ง ๆ แต่ภายในใจกลับตั้งมั่นจริงจัง


เธอพับหนังสือพิมพ์ลงเรียบร้อย วางไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พลางทอดสายตาออกไปนอกระเบียง แสงอาทิตย์ยามเช้าไล้ผ่านผิวแก้ม เธอหลับตาลงชั่วครู่ ซึมซับความอบอุ่นนั้นพร้อมเสียงหัวใจที่ดังแน่นหนักขึ้นเล็กน้อย ราวกับความคิดถึงที่เธอไม่ยอมเอ่ยออกมาได้แปรเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้เดินต่อไปข้างหน้า


“ได้เวลาเตียมตัวสำหรับวันนี้แล้วสินะ…เดินทางไปจัดการกับพวกองค์กรบ้า ๆ …เหอะ” โมนีก้าเอ่ยขึ้นแบบนั้นเหมืทอนกับจะหัวเราะกับโชคชะตาตัวเอง แต่เธอแค่รู้สึกว่าตอนนี้ เธอก็เข้มแข็งขึ้นมาก และเหมือนบางส่วนในใจของเธอที่ขาดหายไปด้วย…เหมือนโดนบังคับให้ต้องเดินและเติบโตขึ้น

Summary Cards – Burgundy
avatar

Moneka M. Blossom

โมนีก้าตื่นเช้ากว่าคนอื่น ๆ คืนนี้เธอนอนกับคุณโลลิต้าจากกองร้อยที่ 1 เธอเลยว่างกะว่าจะมาหาข้อมูลองค์กรอะไรนั้น แต่เสือกเจอแต่ข่าวอะไรก็ไม่รู้ ก็..โอเคแหละ อ่าน ๆ ไปเถอะ เมื่ออ่านจบเธอกลับคิดถึงใครบางคน ลูกชายทั้งสองคนผู้เป็นเดมิก็อดเชื้อสายอะพอลโล่ ....คุณบรูตัสกับพี่หยานจะเป็นยังไงบ้างนะ? 


[อยู่ในช่วง Cool Down]


อ่านข่าวซุบซิบ จำนวน 7 ข่าว ข่าวละ +15 EXP หรือ 1 Point

  • แลร์รี่ ใจป๋า! เปิดภารกิจลับ (และแจกรางวัลโคตรเด็ด!) สัมผัสวิญญาณเดมิก็อดรุ่นใหม่!
  • ด่วนที่สุด! แอนนาเบ็ธ เชส ประกาศศึกกับเฮอร์มีส! สวมบทบาท "พันธมิตรต่อต้านเทพเฮอร์มีส" ดึงตัวเดมิก็อดรุ่นน้องให้ส่งข่าวสร้างสรรค์!
  • เฮเฟตัส ใจดีสปอร์ต! เปิดตัวรถไฟสายประหยัด ราคาเดียว 5 ดรักม่า! เทพซุสไฟเขียวเดมิก็อดใช้เดินทางทำภารกิจ!
  • ประกาศกร้าว! คำเตือนถึงเหล่าเดมิก็อด: บทเรียนจากเฟเรีย เฮย์ส ถึงภัยพิบัติเมื่อเทพีเฮคาทีบันดาลโทสะ!
  • 🌀 ปฏิบัติการสายฟ้าฟาด! ธิดาแห่งทะเลผนึกกำลังเพื่อนสาวบุกเมืองมนุษย์! ⚔️ มหากาพย์
  • 🗞️ คฑาที่สาบสูญและบทสนทนากับพระเจ้า — ลมหายใจระทึกจากภารกิจ “The Lost Caduceus”! เมื่อบุตรแห่งโชคชะตา แสงอาทิตย์ และเซเทอร์จอมทระนง ก้าวเข้าสู่เกมที่มีพระเจ้าเป็นเดิมพัน! 🌩️🕊️มิโนทอร์ที่แอตแลนต้า!
  • 🌞 ข่าวเม้าท์แดดแรงประจำค่าย 🌞 ร้อนฉ่า! เทพบุตรอพอลโลคงภูมิใจ! กาเบรียล อัลเวส: รุ่นพี่สายเปย์! แจกหนัก 20 ดรักม่า!

สรุป ได้รับ +7 Point



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 73060 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-30 18:50
โพสต์ 73,060 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-30 18:50
โพสต์ 73,060 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-30 18:50
โพสต์ 73,060 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-30 18:50
โพสต์ 73,060 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-9-30 18:50
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-2 02:19:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 27 : ใช้เงินแก้ปัญหา
วันที่ 21 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเที่ยง เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป เดินทางออกจาก เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ มุ่งหน้าสู่ เมืองแกรนด์ แพรรี, แอลเบอร์ตา แคนาดา

เมื่อถึงช่วง 9 โมงเช้า โมนีก้ากับเพื่อน ๆ ก็เตรียมตัวสำหรับการปรึกษาการเดินทางทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องของฮารุโตะเพราะเลสเตอร์หลับสบายอยู่บนเตียง และจะหลับไปแบบนี้อีกสัก 5 วันได้ต่อจากนี้  ห้องของฮารุโตะเต็มไปด้วยแสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา ความอบอุ่นในเช้าวันนี้ถูกบดบังด้วยบรรยากาศจริงจังของวงสนทนา โต๊ะกลางห้องเต็มไปด้วยแผนที่ ขีดเส้นทาง และเศษกระดาษที่จดบันทึกไว้เล็ก ๆ น้อย ๆ 


โมนีก้านั่งพับเพียบอยู่ใกล้โต๊ะตรงประตูระเบียง ใบหน้าสวยสดแต่จริงจัง ดวงตาเทาเงินสะท้อนประกายความคิด เธอเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น "มันคงง่ายกว่ามากถ้าเราหาเส้นทางที่เหมาะสมได้ เส้นทางที่เร็วที่สุดคือรถหรือเครื่องบิน แต่ฉันรู้แล้วว่ามันเสี่ยงเกินไปเพราะเครื่องบินและรถธรรมดาเป็นเป้าชั้นดีสำหรับมอนสเตอร์ เหมือนตอนที่ฉันกับเลสเตอร์มาช่วยทุกคนเลย" น้ำเสียงของเธอนิ่งแต่แฝงความกังวล


วินเซนโซยกซดแก้วกาแฟที่เขาต้มเองขึ้นจิบก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบาย ๆ สายตาคมกริบแม้ท่าทางดูขี้เกียจ "พูดถูกนะ เจ้าพวก LoNex มันไม่ได้โง่พอจะเดินเท้า เราต้องสะกดรอยรถของมัน แต่ต้องคุมระยะห่างให้ดี อย่าให้มันจับได้ว่าเราตามอยู่ ใช้เส้นทางเดียวกันแต่ไม่จี้ติดเกินไป" น้ำเสียงชัดเจนแต่อบอุ่น ทำให้บรรยากาศคลายลงเล็กน้อย


อิซิเลียไขว้ขาเล็ก ๆ บนโซฟา ใบหน้าที่ติดความเย่อหยิ่งหันไปทางหน้าต่าง ดวงตาเทาเข้มสะท้อนแสงแดดจนดูเย็นชา "เครื่องบินตัดทิ้งได้เลย ถ้าโดนโจมตีบนฟ้า ไม่ใช่แค่พวกเรา คนธรรมดาด้วยที่จะโดนลูกหลงไปด้วย พวกเธออยากถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรหมู่หรือไง" เธอเอ่ยเสียงคมกริบ เหมือนมีดกรีดกลางอากาศ ทุกคนถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง


ลูคัสที่นั่งตัวตรงราวกับอยู่ในห้องประชุมกองทัพเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย "งั้นก็ตัดสินใจไม่ยากแล้วนี่ เราจะต้องเดินทางด้วยรถ ใช้เส้นทางเดียวกับมัน แต่ต้องเตรียมยุทธวิธีเผื่อไว้เผชิญหน้าระหว่างทางด้วย พวกเราคือทหารไม่ใช่แค่เด็กวิ่งเล่น" น้ำเสียงหนักแน่นดังก้องคล้ายคำสั่งมากกว่าคำแนะนำ


ฮารุโตะยิ้มบาง ๆ แม้ในใจจะหนักอึ้ง เขาก้มลงขีดเส้นบาง ๆ บนแผนที่ด้วยปากกา ดวงตาเขียวมองเพื่อน ๆ ทีละคน "ถ้าเป็นรถ... เราสามารถจัดเป็นขบวนได้ ตำแหน่งของแต่ละคนก็จะรับผิดชอบกันไป แต่ต้องเตรียมแผนการรับมือไว้ด้วยนะครับ เผื่อมีใครเป็นอะไรกลางทาง ผมไม่อยากให้ใครลำบากเพิ่ม" เขาพูดด้วยน้ำเสียงใจดี แต่ความจริงซ่อนความกังวลที่เขาไม่ยอมเอ่ยออกมา


โมนีก้าสูดหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยตัดบทอีกครั้ง "งั้นตกลงนะคะ เราเลือกเดินทางด้วยรถ แต่อย่าลืมว่าพวก LoNex ไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดา พวกมันอาจรู้ว่าเราจะตามไปตั้งแต่แรก เราต้องไม่แสดงพิรุธ ต้องทำให้เหมือนเราเป็นนักเดินทางที่เดินทางไปทางเดียวกันเฉย ๆ" รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้า แต่แววตากลับจริงจังกว่าทุกครั้ง เสียงหายใจของเลสเตอร์ที่ยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงอีกฟากห้องเป็นเพียงจังหวะเดียวที่ไม่สอดคล้องกับการสนทนา เขายังคงหลับลึก ไม่รู้ว่าการตัดสินใจสำคัญกำลังเกิดขึ้น แต่สายตาของเพื่อนทั้งสี่และโมนีก้าก็หันไปมองเขาแวบหนึ่ง เหมือนย้ำว่าถึงเขาจะไม่อยู่ร่วมวงสนทนาในตอนนี้ ทุกคนก็ยังถือว่าเลสเตอร์คือส่วนหนึ่งของทีมเสมอ


ในห้องเงียบลงอีกครั้งเมื่อทุกคนยอมรับข้อสรุปร่วมกัน แสงแดดสายสาดเข้ามาเหมือนจะตอกย้ำการเริ่มต้นใหม่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย เสียงวินเซนโซพึมพำเบา ๆ "งั้นก็เริ่มเตรียมรถ เตรียมใจ เตรียมพร้อมทุกอย่างตั้งแต่วันนี้เลยนะ แต่ที่สำคัญคือเราต้องรู้แผนที่อย่างชัดเจนตลอดเส้นทางกันหลง"


“เฮ้อ…ถ้าพวกเราใช้มือถือธรรมดาได้ก็คงเปิด GPS ดูเส้นทางกันง่าย ๆ ไปนานแล้ว ไม่ต้องมานั่งเถียงว่าจะไปยังไงให้ปลอดภัยหรอกนะ” คำพูดนั้นทำให้ทุกคนเหลือบตามอง ก่อนที่อิซิเลียจะยกมือเล็ก ๆ ของตนขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์สีดำสนิทที่มีลวดลายแสงสลัวเรืองออกมา กดหน้าจอเล่นเสียงดังแกร๊ก ๆ ต่อหน้าต่อตาแม่เด็กใหม่ผมม่วง


โมนีก้าเบิกตากว้างทันที ดวงตาเทาเงินส่องประกายงงงวยราวกับเห็นปีศาจกลางวันแสก ๆ “เดี๋ยวนะ…พวกคุณมีสมาร์ทโฟนเหรอคะ?!” เธอแทบจะโวยวายออกมา เสียงดังพอที่จะทำให้เลสเตอร์ที่นอนอยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อยแต่ยังคงหลับสนิท ฮารุโตะหัวเราะเกาแก้มพลางหันมายิ้มให้โมนีก้า “ครับ ส่วนใหญ่มีกันทุกคนแหละ อาจไม่ใช่รุ่นล่าสุดแต่ใช้ได้แน่นอน เป็น Daedalus’s Legacy น่ะครับ เครื่องนี้กันเวทมนตร์รบกวนได้ด้วย” เขาพูดเหมือนกำลังอวดของเล่นใหม่ แม้สีหน้าจะยังคงใจดีเช่นเดิม


โมนีก้ากำมือแน่น ๆ ก่อนจะโวยวายเสียงสูง “แล้วทำไมฉันถึงยังไม่มีล่ะ! รู้มั้ยกว่าฉันจะเก็บเงินได้สักก้อนมันยากแค่ไหน! นี่พวกคุณแอบใช้กันโดยไม่บอกฉันเนี่ยนะ! แล้วเมื่อวานทำไมไม่เอาออกมาเล่นเล่าาา” น้ำเสียงงอน ๆ แต่แฝงความอิจฉาชัดเจนจนแก้มเธอขึ้นสีชมพูน่ารัก 


วินเซนโซหัวเราะเบา ๆ ขณะยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มเหมือนไม่เดือดร้อนอะไร “อืม…ก็ไม่ใช่ว่าเราแอบหรอกนะ เพียงแค่เจ้าหนูยังไม่ได้ถามก็เท่านั้นเอง” คำพูดของเขาเต็มไปด้วยเสน่ห์กวน ๆ ทำเอาโมนีก้าถลึงตาใส่ อิซิเลียกดหน้าจอปิดแล้วหันมาส่ายหน้า “ช่างมันเถอะ ตอนนี้ประเด็นไม่ใช่ว่าใครมีหรือไม่มี แต่ว่าเราจะเดินทางยังไงต่างหาก ถ้าจะตามรอย LoNex หลายวัน รถต้องพร้อมพอสมควร” น้ำเสียงเย็นชาแต่เด็ดขาด


ลูคัสพยักหน้า เหมือนทหารรับคำสั่งตรง ๆ “งั้นเราคงต้องหารถสักคัน ยืมจากคนในละแวกนี้ก็ได้ ไม่ต้องพิถีพิถันมากนัก ขอแค่ทนทานและไปได้ไกลพอ” 


โมนีก้าขมวดคิ้ว หันขวับไปจ้อง “ยืม? นี่พวกคุณมีคนรู้จักที่นี่เหรอคะ?” แต่แทนที่จะได้คำตอบตามที่คิด วินเซนโซกลับยักไหล่ยิ้มมุมปากส่วนอิซิเลียพูดตรง ๆ จนเธอแทบล้มทั้งยืน


"ไม่ต้องรู้จักหรอก แค่หยิบมาใช้สักคันก็พอ”


“นั่นมันขโมยแล้วค่ะ!” โมนีก้าแทบจะกรีดเสียงขึ้นไปบนเพดาน ใบหน้าสวยขมวดมุ่นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นี้พวกเดมิก็อดทำเรื่องผิดกฎหมายกันจนชินหรือไงวะเนี้ย เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่จนทุกคนมองหน้ากันไปมาเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ “โอเค งั้นพวกคุณไม่ต้องทำอะไรเลยนะคะ ฉันจะไปเช่ารถเอง จ่ายเงินด้วยตัวเองด้วย พวกคุณมีหน้าที่แค่ขับก็พอ!” เสียงประกาศิตของเธอทำเอาห้องทั้งห้องเงียบกริบ


วินเซนโซหัวเราะคิก พลางยกแก้วกาแฟขึ้นเชยชมราวกับฟังเพลงขำขัน ส่วนลูคัสหันไปสบตาฮารุโตะที่ยักคิ้วให้เล็กน้อยเหมือนจะบอกว่า เด็กสาวคนนี้ไฟแรงดีจริง ๆ อิซิเลียเพียงแค่ยกโทรศัพท์ขึ้นหมุนเล่นในมือเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ในสายตาที่วาววับนั้นมีรอยขำบาง ๆ ซ่อนอยู่ โมนีก้ายืนเท้าเอว มองพวกเขาทีละคนอย่างเอาเรื่อง “เอาล่ะ ถ้าเข้าใจกันแล้วก็เริ่มเตรียมของและเตรียมตัวซะค่ะ อย่ามาโบ้ยนิสัยขี้ขโมยให้ฉันอีกนะ!”


หลังจากนั้นสองชั่วโมงเสียงเครื่องยนต์ Audi Q7 สีดำสนิทดังอย่างมั่นคงเมื่อเลื่อนเข้ามาจอดตรงหน้าล็อบบี้โรงแรม แสงแดดสะท้อนกับตัวถังเงาวับราวกับมีใครขัดจนขึ้นเงาใหม่ โมนีก้าก้าวลงจากเบาะข้างคนขับประตูเปิดออกพร้อมเสียงคลิกเบา ๆ ขณะที่เจ้าของรถตัวจริงยื่นกุญแจมาให้เธอราวกับเป็นลูกค้าคนสำคัญ ก่อนจะขับรถอีกคันหนึ่งหายไปทางถนน เธอสะบัดผมสีม่วงครามที่พลิ้วเล็กน้อยด้วยท่าทีมั่นใจ ยกมือเรียกทุกคนในล็อบบี้ “มาได้แล้วค่ะ รถมาแล้วนะ” เสียงใสของเธอดังพอที่จะปลุกความสนใจของพวกหนุ่ม ๆ แม้เลสเตอร์ยังคงหลับสนิทอยู่บนโซฟาข้างลูคัสก็ตาม


วินเซนโซหัวเราะในลำคอ ขยับคิ้วของตนเองขึ้นเล็กน้อยแล้วส่งเสียงแซวทันที “อ้าว…ไม่ใช่เล่นนะ รถเยอรมันสุดหรูเชียวนี่ Q7 เลยเหรอ แม่น้องสาว ไปเอามาจากไหนเนี่ย”


โมนีก้าเชิดหน้าตอบเสียงกลั้วหัวเราะ “แล้วรุ่นนี้มันไม่ดีตรงไหนคะ?”


วินเซนโซหัวเราะเบา ๆ อีกครั้งก่อนเริ่มสาธยายยาวอย่างคนที่อินกับเครื่องยนต์ “ดีสิ…ดีมากเลยด้วยล่ะ นี่มันรถยนต์เยอรมันที่ขึ้นชื่อเรื่องความสปอร์ต เทคโนโลยีล้ำ ๆ ทั้ง Virtual Cockpit หน้าจอคู่ Dual Touchscreen ระบบนำทางแบบเต็มรูปแบบ แถมช่วงล่างแข็งแรง หนึบแต่ก็ยังนุ่มพอให้ขับทางไกลสบาย ๆ สมรรถนะเครื่องยนต์พอ ๆ กับจะลากเราไปถึงอีกซีกโลกได้เลยนะ” เขายกนิ้วโป้งให้โมนีก้า “เจ้าใจเลือกดีจริง ๆ”


โมนีก้าส่งยิ้มมุมปากแบบหยอก ๆ “ฉันก็แค่เลือกอันที่แพงสุดแล้วก็ดูดีที่สุดแหละค่ะ ไม่ได้วิเคราะห์อะไรหรอกล้อเล่นค่ะ สมถนะช่วงล่างสำหรับรถทางไกลก็ต้องประมาณนี้แหละใช่ไหมคะ อีกอย่างคุณก็รู้ว่าเจ้านี้ถึกทนขนาดไหนในค่ายของรถเยอรมัน” คำตอบนั้นทำเอาวินเซนโซหัวเราะพรืดในทันที


ฮารุโตะที่ยืนฟังมาตลอดยกสองมือขึ้นเกาหัว มองหน้าคนสองคนสลับกันพลางบ่นเสียงงง ๆ “เอ่อ…เดี๋ยวนะครับ ทั้งสองคนพูดภาษาอะไรกันน่ะครับ ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด” ใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิมจนโมนีก้าหัวเราะตาม อิซิเลียก้าวเข้ามาพร้อมโทรศัพท์ในมือ กดหน้าจอดูแผนที่แล้วพูดเสียงเรียบ “อย่ามัวเสียเวลาเลย ทุกนาทีมีค่าถ้าอยากตามรอย LoNex ให้ทัน ฉันจะนั่งหน้าข้างคนขับเองเพื่อคอยนำทาง กับเตรียมพร้อมสำหรับการสลับขับรถ”


ทุกคนเริ่มทยอยขึ้นรถตามที่ตกลง วินเซนโซนั่งฝั่งคนขับ มือใหญ่จับพวงมาลัยหนังแท้อย่างเชี่ยวชาญ ข้าง ๆ เขาคืออิซิเลียที่ยกโทรศัพท์ขึ้นเปิดระบบนำทางอย่างใจเย็น ส่วนลูคัสก็อุ้มเลสเตอร์ขึ้นจากโซฟาของล๊อบบี้โรงแรมอย่างระมัดระวัง ก่อนพยักหน้า “งั้นผมกับฮารุโตะจะนั่งกลางไว้คอยระวังรอบ ๆ เอง” เขาจัดการวางเลสเตอร์ไว้ในเบาะแถวหลังสุดข้างโมนีก้าอย่างเบามือ ร่างเล็กของเลสเตอร์ยังคงเอนพิงหลับลึก ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยเหมือนเด็ก ๆ


เบาะกลางเป็นของลูคัสกับฮารุโตะที่นั่งประจำตำแหน่ง มือรบและแพทย์สนามคอยระวังภัย ส่วนเบาะหลังสุดมีโมนีก้านั่งข้างเลสเตอร์ที่ยังหลับใหล  โมนีก้าพิงไหล่กับกระจกมองออกไปด้านนอก ใบหน้าสวยยังมีร่องรอยความงอนเล็ก ๆ จากเรื่องมือถือ แต่ในดวงตาเทาเงินกลับมีประกายคาดหวังกับการเดินทางครั้งใหม่นี้ เครื่องยนต์ Audi Q7 ค่อย ๆ ส่งเสียงคำรามต่ำ วินเซนโซเหยียบคันเร่งเบา ๆ รถจึงเคลื่อนตัวออกจากโรงแรมเข้าสู่ถนนหลักอย่างสง่างาม ราวกับประกาศว่าพวกเขาได้เริ่มต้นภารกิจครั้งใหม่แล้วอย่างแท้จริง


ระหว่างการเดินทางเสียงเครื่องยนต์ Audi Q7 ก้องต่ำ ๆ ไปตามถนนที่ทอดยาวออกนอกเมืองเยลโลว์ไนฟ์ ต้นสนสูงสองข้างทางเรียงรายราวกับกำแพงเขียวขจี ตัดกับฟ้าที่สว่างไม่เคยดับเพราะฤดูที่กลางวันยาวนานเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะคุ้นเคย ภายในรถ บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายหลังจากช่วงเช้าอันวุ่นวาย ฮารุโตะที่นั่งกลางข้างลูคัสยกตัวเอนพิงพนักเบาะ ดวงตาสีเขียวมองวิวผ่านหน้าต่าง ก่อนหันมาถามเสียงใส “ว่าแต่…รถคันนี้ค่าเช่าแพงไหมครับ?” น้ำเสียงของเขาฟังดูสนใจจริง ๆ ไม่ใช่แค่ถามไปงั้น


โมนีก้าที่นั่งหลังสุดข้างเลสเตอร์ เงยหน้าขึ้นจากการกางเอกสารบนตัก ตอบไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “รายวัน 170 ดอลลาร์ค่ะ ฉันเช่ามา 3 วัน เผื่อเอาไว้หน่อยเพราะคุณอิซิเลียบอกว่าจากที่นี่ไปถึงท่าเรือมอนทรีออลใช้เวลาประมาณ 2 วัน เลยคิดว่าขอเซฟอีกวันดีกว่า แล้วก็แจ้งบริษัทเช่าไว้แล้วว่าจะคืนรถที่ท่าเรือมอนทรีออล เขาบอกว่ามีจุดจอดประจำของบริษัทอยู่ที่นั่นพอดีด้วย ดีมากเลยค่ะ”


คำตอบทำให้ฮารุโตะตาเป็นประกาย “โห ฟังดูวางแผนรอบคอบจังครับ!” เขาหัวเราะเบา ๆ พลางยกนิ้วโป้งให้โมนีก้า


อิซิเลียที่นั่งข้างคนขับไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอแผนที่บนสมาร์ทโฟน น้ำเสียงเรียบเย็นแต่ชัดเจนดังขึ้นตัดทุกการสนทนา “เป้าหมายแรกของเราคือเมืองแกรนด์ แพรรี รัฐแอลเบอร์ตา ระยะทาง 1,180 กิโลเมตร เวลาประมาณสิบชั่วโมงยี่สิบนาที หากไม่มีสิ่งใดขัดขวาง เมืองนั้นใหญ่พอจะให้เราพัก เติมน้ำมัน และจัดเสบียงใหม่ได้”


วินเซนโซหัวเราะเบา ๆ พลางขยับพวงมาลัยให้รถเปลี่ยนเลนอย่างนิ่มนวล “10 ชั่วโมง 20 นาที…ก็เหมาะกับการทดสอบความทนทานของเจ้านี่ล่ะนะ” เขาลูบเบา ๆ ที่พวงมาลัยหนังแท้ ก่อนหันมายักคิ้วใส่เพื่อนร่วมทาง “แต่ก่อนถึงนั่น อย่าลืมว่าใครเป็นพลขับมือหนึ่งของพวกเธอ ขับทั้งวันก็ไม่หวั่น ตราบใดที่มีกาแฟร้อน ๆ อยู่ข้าง ๆ ไว้เป็นเชื้อเพลิงนะ”


ลูคัสที่นั่งกลางพาดแขนไปด้านหลังเบาะพลางเอียงคอไปมองคนขับ “ถ้าหลับกลางทางก็ไม่เป็นมือนะวินเซนโซ นายแค่กลายเป็นศพหลังพวงมาลัยเท่านั้น” เสียงเข้มแต่มีเจตนาล้อ เสียงหัวเราะดังขึ้นจากทั้งคัน ฮารุโตะยกมือตบไหล่ลูคัส “อย่าไปแช่งสิครับ! อย่างน้อย ๆ ถ้าพี่วินเซนโซขับทั้งวันก็จะได้ถึงเร็วขึ้นไง”


อิซิเลียกดแผนที่ขยายออกมา ก่อนพูดเสียงนิ่ง “อย่าลืมว่าเราไม่ได้แค่แข่งกับเวลา แต่กำลังสะกดรอย LoNex ระยะห่างต้องพอเหมาะ ไม่ใกล้เกินไปไม่งั้นจะถูกจับได้”


โมนีก้าที่นั่งหลังสุดยกคิ้วพลางขยับผ้าคลุมไหล่ให้ตัวเอง ดวงตาสีเทาเงินกวาดมองเพื่อนทุกคนแล้วถอนหายใจเฮือก “พวกคุณนี่แหละจริงจังกันเหลือเกิน ฉันยังไม่ได้คิดถึงว่าเจอพวกนั้นจะทำยังไงเลย แค่ไปถึงแกรนด์แพรรีให้ทันก็ดีถมแล้ว” วินเซนโซหัวเราะหึ ๆ พลางเร่งเครื่องให้เสียงคำรามก้องขึ้น “อย่าห่วงเลยสาวน้อย รถเยอรมันสุดหรูพาเราไปถึงแน่ ๆ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” เมื่อเขาพูดแบบนั้นเลสเตอร์ที่หลับอยู่ข้าง ๆ โมนีก้าขยับตัวเล็กน้อย เสียงหายใจยังคงสม่ำเสมอ ไม่รับรู้เลยว่าการเดินทางอันยาวนานเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ท้องถนนทอดยาวเบื้องหน้าเหมือนเส้นด้ายที่พวกเขาต้องไล่ตามไปสู่ชะตากรรมที่รออยู่ไกลออกไป

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

Z z zzZZ  Z z  Z Z  Z (หลับเป็นตายไปสัก 5 วัน) 

avatar

Moneka M. Blossom

โมนีก้าปรึกษาการเดินทางกับเพื่อน ๆ ในขณะที่เลสเตอร์หลับอยู่ ทุกคนคิดเหมือนกันว่าต้องนั่งรถ แม้จะเสี่ยงแต่ก็ต้องทำแบบนั้นเพื่อความเร็วไม่งั้นตามรถพวกองค์กรบ้า ๆ นั้นไม่ทันแน่ โมนีก้าไม่อยากให้เพื่อนไปขโมยรถ เธอเลยลงทุนเช่ารถ SUV มาให้พวกเขาให้เรียบร้อย และทุกคนก็ออกเดินทางกันแล้ว


[ออกเดินทางจาก เยลโลว์ไนฟ์ ไปยัง เมืองแกรนด์แพรรี , แอลเบอร์ตา] 

[ประมาณ 1,180 กิโลเมตร ใช้เวลา 10 ชั่วโมง 20 นาที]


avatar

Vincenzo Bergamotto

ขับรถอยู่

avatar

Icilia Dominicus

ดู GPS อยู่

avatar

Lucas Aquinas

-

avatar

Haruto Higa

-


โมนีก้าจ่ายเงินค่าเช่ารถ 3 วัน ราคารวม 510 ดอลลาร์

(จ่ายแล้วจ้าคุณพี่ ไม่ต้องมาหักอีกนะ รอบนี้โอนได้แล้ว 55+)




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 71671 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-2 02:19
โพสต์ 71,671 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-2 02:19
โพสต์ 71,671 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-2 02:19
โพสต์ 71,671 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-2 02:19
โพสต์ 71,671 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-10-2 02:19
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-2 10:36:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 28 : สุดยอดไปเลยคุณพี่
วันที่ 21 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 21.20 น. เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง เมืองแกรนด์แพรรี จนถึง เมือง เอดมันตัน รัฐแอลเบอร์ตา แคนาดา

เมืองแกรนด์แพรรีในยามสามทุ่มสว่างไสวราวกับกลางวัน ทั้งไฟถนนและแสงอาทิตย์ที่ยังไม่ตกดินสะท้อนบนกระจกหน้าต่างร้านสะดวกซื้อเล็ก ๆ ข้างปั้มน้ำมัน ผู้คนบางตาเพราะนี่คือเมืองใหญ่ที่โอบล้อมด้วยป่าและทุ่งกว้าง แต่ก็ยังมีชีวิตชีวาพอสมควรสำหรับนักเดินทางที่ผ่านไปมา หลังจากนั่งในรถสิบชั่วโมงเต็มจนรู้สึกว่าร่างแทบจะละลาย 


โมนีก้าก้าวลงจากเบาะแถวหลังสุดแล้วเหยียดแขนบิดขี้เกียจเต็มแรง หาวออกมายาว ๆ เส้นผมสีม่วงครามสะบัดพลิ้วไหวไปตามแรงลม เธอมองท้องฟ้าที่สว่างอยู่เหมือนกลางวันก่อนพึมพำกับตัวเอง “ให้ตายสิ…สามทุ่มแล้วจริง ๆ เหรอ” รู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่งยังไงก็ไม่รู้


ด้านหน้ารถ วินเซนโซกำลังเติมน้ำมันอยู่ มือข้างหนึ่งถือปืนฐานเติม ข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟกระดาษที่ซื้อติดมือมาตั้งแต่ก่อนออกจากเยลโลว์ไนฟ์ “โอ้โห…ก้นชาใช่ไหมล่ะ นั่งสิบชั่วโมงเต็มแบบนี้ใครก็ไม่รอดหรอก” เขาหัวเราะเบา ๆ ส่งสายตามาแซวโมนีก้าที่กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่


ฮารุโตะยกแขนขึ้นฟาดเบา ๆ ที่บ่าลูคัส “โอยย เหมือนฉันนั่งเรียนคาบคณิตต่อเนื่องสิบชั่วโมงเลยครับ จะเป็นบ้าอยู่แล้ว” เขาพูดพลางหัวเราะ แต่ก็ยังยืดแขนขาอย่างจริงจังเพราะปวดเมื่อยไปทั้งตัว ลูคัสยืนกอดอกอยู่ใกล้ ๆ สายตาคมกริบมองรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง แม้จะดูเหมือนแค่ปั้มน้ำมันธรรมดา แต่สำหรับเดมิก็อดแล้วไม่มีที่ใดปลอดภัยเต็มร้อย “อย่าเผลอสนุกจนลืมเป้าหมาย พวกเราต้องพักไม่นาน” เสียงทุ้มจริงจังตัดบรรยากาศเล่น ๆ ของฮารุโตะไปทันที


อิซิเลียที่ตอนนี้สลับกับวินเซนโซไปนั่งพักหลังพวงมาลัย เดินออกมาช้า ๆ ในชุดโลลิต้าสีเข้มที่ขัดกับบรรยากาศของเมืองแคนาดาอย่างสิ้นเชิง เธอหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็กเส้นทางอีกครั้งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ฉันคำนวณแล้ว หากเราออกจากที่นี่อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง จะไปถึงปลายทางต่อไปได้ทันตามแผน ไม่ควรเสียเวลาเกินนี้”


โมนีก้าเลิกคิ้วทันทีที่เห็นท่าทางจริงจังของอิซิเลีย พลันนึกถึงตอนสลับคนขับที่เธอถึงกับอ้าปากค้างเมื่อรู้ว่าเด็กสาวหน้าตาเหมือนอายุสิบสี่จริง ๆ แล้วแก่กว่าเธอสิบปีเต็ม “บอกตามตรงนะ ฉันยังไม่ชินที่ต้องเรียกคุณว่าพี่เลยค่ะ ฮ่ะ ๆ” โมนีก้าพูดหยอก แต่ก็ยิ้มบาง ๆ


“ก็ไม่ต้องชิน” อิซิเลียตอบกลับสั้น ๆ แต่แววตาที่ก้มลงมองหัวกะโหลกอลันในมือกลับมีความผ่อนคลายเล็กน้อย


ระหว่างนั้นเลสเตอร์ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ในรถ เบาะแถวหลังที่โมนีก้านั่งเมื่อครู่มีร่างของเขาเอนอยู่ เสียงหายใจสม่ำเสมอเหมือนคนที่ถูกดึงเข้าสู่ความฝันลึก ๆ ใบหน้าที่ปกติเอาแต่ใจและชอบยิ้มอย่างโอ้อวด ตอนนี้กลับสงบเสียจนดูเหมือนคนละคน “เขาคงไม่ตื่นกลางทางหรอกนะครับ” ฮารุโตะเหลือบมองเลสเตอร์ผ่านกระจกฝั่งคนขับ “แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้พักจริง ๆ สักที”


โมนีก้าสะบัดศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจยาว “อื้ม ก็ดีแล้วแหละ ถ้าไม่หลับไปแบบนี้ฉันคงต้องเหนื่อยใจกว่าเดิมแน่” เสียงเธอนุ่มลงเล็กน้อยเหมือนมีความห่วงใยซ่อนอยู่ เสียงกระดิ่งร้านสะดวกซื้อดังขึ้นเมื่อวินเซนโซเปิดประตูเข้าไปซื้อของเพิ่มเติม กลิ่นกาแฟคั่วใหม่ลอยออกมาเรียกน้ำลายสอ ทุกคนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่แค่การหยุดพัก แต่เป็นการเติมพลังใจก่อนเริ่มต้นเส้นทางอีกยาวไกลสู่ท่าเรือมอนทรีออล เส้นทางที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ราวกับการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เพียงทริปธรรมดา


บรรยากาศที่ควรจะเป็นการพักท้องเบา ๆ กลับกลายเป็นความตึงเครียดที่แผ่ซ่านรอบโต๊ะอย่างฉับพลัน เสียงซองขนมถูกฉีก เสียงดูดน้ำอัดลมเงียบลงจนผิดสังเกต เพราะทุกคนสัมผัสได้พร้อมกันว่ามีสายตาแปลกปลอมกำลังจับจ้องพวกเขาอยู่ พวกมันอยู่ตรงจุดเติมน้ำมัน ทำท่าทำทางเหมือนลูกค้าธรรมดา แต่ความนิ่งและจังหวะการมองกลับชัดเจนเกินไป


วินเซนโซถอนหายใจยาวก่อนวางขวดกาแฟลง “บ้าชะมัด…ขี้เกียจปะทะนะ แต่เห็นทีคงเลี่ยงไม่ได้” เสียงเขาราบเรียบ แต่แววตากลับเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที


โมนีก้าลอบปรายตามองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกถึงรังสีอันตราย “LoNex…” เธอเอ่ยเบา ๆ จนแทบเป็นเพียงลมหายใจ แต่พอทุกคนได้ยินก็พร้อมใจกันลุกขึ้นจากเก้าอี้ราวกับรู้คิวกันอยู่แล้ว


อิซิเลียยกหัวกะโหลกอลันขึ้นมากระซิบประโยคแปลกประหลาด ดวงตาสีเทาคมกริบสะท้อนประกายราวกับรัตติกาลกำลังขยับคลืบคลานมาแทนที่แสงเหนือที่สว่างอยู่ด้านนอก “ใครที่คิดว่าที่นี่คือสนามเด็กเล่น…เตรียมใจตายได้เลย” น้ำเสียงเธอเย็นชาจนโมนีก้าขนลุกส่วนลูคัสปลดเข็มขัดที่ห้อยดาบสั้นออกทันทีแล้วจับมันมั่นคงในมือ ท่วงท่าร่างสูงตรงนั้นเหมือนนักรบโรมันแท้ ๆ แผ่นหลังเหยียดตรง กล้ามเนื้อที่ถูกฝึกฝนจนแข็งแรงชัดเจน “ผมจะนำแนวหน้า พวกคุณสนับสนุนให้ดี”


ฮารุโตะกัดริมฝีปากเล็กน้อย ความจริงเขาเกลียดการสู้รบที่ต้องนองเลือด แต่พอเห็นเพื่อนร่วมทีมลุกขึ้นมาเต็มที่ก็จำต้องควักมีดสั้นออกมาเช่นกัน “ให้ผมดูแลคนบาดเจ็บนะครับ…แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าทำให้เสียชีิวิตเลยนะครับ” แม้จะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ขยับเท้าประจำตำแหน่งทันที


ไม่กี่นาทีต่อมา สัญญาณจากศัตรูก็ปรากฏ พวกมันหยิบอาวุธขึ้นมาโดยไม่ลังเล การปะทะที่รุนแรงระเบิดขึ้นกลางปั้มน้ำมันแห่งเมืองแกรนด์แพรี เสียงปืน เสียงโลหะกระทบกัน เสียงกรีดร้องสั้น ๆ ของศัตรูดังสลับกับเสียงข้าวของหล่นแตกกระจาย


วินเซนโซใช้เพียงเศษท่อเหล็กกับกำปั้นของตนเองก็จัดการศัตรูสองคนแรกได้อย่างรวดเร็วราวกับคนที่วางแผนการต่อสู้ไว้แล้วทุกฝีก้าว ท่วงท่าไม่เร่งรีบแต่หนักแน่น “เอาจริง ๆ ฉันชอบซ่อมของมากกว่านะ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้ยืดเส้นยืดสาย” เขาพูดยิ้ม ๆ ขณะเหวี่ยงท่อจนอีกฝ่ายล้มคว่ำ


อิซิเลียเรียกเงามืดให้แผ่ปกคลุมพื้นปั้มน้ำมัน ศัตรูที่ก้าวพลาดเพียงนิดก็ถูกเงาพันธนาการจนขยับตัวไม่ได้ ร่างเล็กของเธอเดินช้า ๆ ผ่านกลางสมรภูมิเหมือนตุ๊กตาในความมืด “อ่อนหัดเกินไป” ส่วนลูคัสก็พุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามด้วยดาบสั้น สองร่างที่เข้ามาปะทะถูกแรงผลักกระแทกจนถอยหลัง ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขามีเพียงความมั่นใจ


ฮารุโตะเคลื่อนไหวรวดเร็ว ใช้มีดสั้นฟาดเฉียงปัดการโจมตีของศัตรูที่เล็งเข้ามาใกล้โมนีก้า ก่อนจะกระแทกศอกเข้าท้องอีกฝ่ายจนร่างทรุดลง แต่เขาก็ยังไม่ลงการต่อสู้สุดท้าย แค่ผลักให้สลบไปเท่านั้น ทั้งหมดกินเวลาไม่ถึงเจ็ดนาที ศัตรูที่มากันครึ่งโหลก็ล้มลงกับพื้นโดยไม่เหลือสภาพจะลุกขึ้นมาอีก เสียงหายใจของเพื่อนร่วมทีมยังคงมั่นคง ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บร้ายแรงแม้แต่น้อย


โมนีก้าชะงัก มองภาพตรงหน้าด้วยตาเบิกกว้าง เธอรู้ว่าเพื่อนร่วมทีมของเลสเตอร์เก่ง แต่ไม่คิดว่าจะเก่งขนาดนี้ รวดเร็ว รุนแรง แม่นยำ และเหนือกว่าที่เธอเคยเห็นเลสเตอร์ทำเสียอีก หัวใจเธอเต้นแรงทั้งความตื่นเต้นและความทึ่ง “พวกคุณ…เก่งเกินไปแล้ว…”


วินเซนโซปัดฝุ่นเสื้อแล้วหันมายักไหล่ใส่ “ก็แค่อุ่นเครื่องน่ะ”

อิซิเลียเหลือบตามองแล้วตอบเย็นชา “แค่เศษกองกำลังระดับล่าง จะถือว่าเป็นศึกได้ยังไง”

ลูคัสยืดตัวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ก็แค่หน้าที่ของทหาร”

ฮารุโตะยิ้มบาง ๆ พยายามกลบความไม่สบายใจที่ต้องต่อสู้ แต่ยังแอบแซวขึ้นเบา ๆ “อย่างกับอวดฝีมือเลยนะครับ”


โมนีก้าสบตาพวกเขาทีละคน ยิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเพิ่งก้าวเข้ามาอยู่ในทีมที่ไม่ได้มีแค่ความสามารถธรรมดา แต่คือปีศาจรบในคราบคนธรรมดา (ที่ความจริงแล้วเป็นเดมิก็อด) และนี่อาจเป็นเพียงการเริ่มต้นของเส้นทางอันโหดร้ายที่รออยู่ข้างหน้า


หลังการปะทะที่ปั๊มน้ำมันผ่านพ้นไป วินเซนโซเช็ดคราบน้ำมันออกจากมือพลางถอนหายใจ เขามองซากความวุ่นวายที่ถูกทิ้งไว้แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “รีบขึ้นรถกันเถอะ ออกไปให้เร็วที่สุด อย่างน้อยพวกคนทั่วไปก็คงคิดแค่ว่าวัยรุ่นทะเลาะกัน ไม่ได้สงสัยอะไร” จากนั้นเขาก็หันไปสั่งลูคัส “ยกถังน้ำมันสำรองขึ้นรถด้วย” ลูคัสเลิกคิ้วงง ๆ เหมือนจะถามว่าทำไมต้องลำบากขนาดนั้น แต่ก็ไม่พูดอะไร สุดท้ายก็ทำตามโดยหิ้วถังน้ำมันขึ้นท้ายรถอย่างว่าง่าย


ทุกคนรีบกลับขึ้นรถ Audi Q7 คันดำหรูที่จอดรออยู่ วินเซนโซเป็นคนประจำที่นั่งคนขับเช่นเดิม อิซิเลียขึ้นมาข้างเขาเพื่อตรวจสอบเส้นทางจากหน้าจอมือถือ Daedalus’s Legacy ส่วนเบาะกลาง ลูคัสกับฮารุโตะนั่งประจำพร้อมอาวุธข้างตัวเหมือนทหารที่ไม่เคยคลายความระวัง หลังสุด เลสเตอร์ยังคงหลับสนิทพิงกระจกหน้าต่างข้างโมนีก้า ราวกับไม่ได้รู้เลยว่าเพื่อนร่วมทีมเพิ่งผ่านศึกเดือดมา


รถเคลื่อนออกจากปั๊มน้ำมัน มุ่งหน้าสู่ถนนสายหลัก ท้องฟ้ายังคงสว่างไสวเพราะฤดูร้อนของดินแดนเหนือทำให้ดวงอาทิตย์แทบไม่ยอมลับ โม้นีก้านั่งกอดเข่าเล็กน้อยพลางเหลือบตามองทุกคน ก่อนจะถามขึ้นอย่างลังเล “ทุกคนอยู่ค่ายกันมานานแล้วใช่ไหมคะ? เก่งกันขนาดนี้…”


ฮารุโตะหัวเราะเบา ๆ “ครับ ส่วนใหญ่ก็อยู่กันมาหลายปีแล้ว ผมอยู่มาไม่กี่ปีเองครับ”

ลูคัสพยักหน้าเสริมเสียงมั่นคง “สำหรับฉันสามปีแล้ว แต่ละวันก็เหมือนการฝึกศึกจริง”

อิซิเลียเหลือบตามองกระจกมองหลัง น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “ฉันอยู่มาตลอดเก้าปีแล้ว…ก็ยังอยู่ร่างเด็กแบบนี้นั่นแหละ”


โมนีก้าถึงกับชะงักไปเล็กน้อยที่เห็นว่าคุณอิซิเลียอยู่มาตลอด 9 ปีเลยหรอเนี้ย เธอหันไปมองวินเซนโซที่นั่งขับอยู่อย่างผ่อนคลาย “แล้วคุณล่ะคะ?” วินเซนโซหัวเราะหึ ๆ ตอนโดนถามพลางหมุนพวงมาลัยอย่างนุ่มนวล “ฉันหรอ…อยู่มา 5 ปีแล้วล่ะ เข้ามาพร้อมกับแฟนน่ะ แต่ตอนแรกไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกนะ”


โมนีก้าเบิกตาโตด้วยความตกใจ “เอ๊ะ! คุณมีแฟนด้วยหรอคะ!? นึกว่าจะแต่งงานกับกาแฟเสียอีก!” เสียงหัวเราะดังขึ้นทั้งคันรถ ฮารุโตะถึงกับยกมือปิดปากหัวเราะคิก ลูคัสเองก็หลุดยิ้มออกมา ส่วนอิซิเลียปรายตามองวินเซนโซแบบหมั่นไส้นิด ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดแย้งอะไร


วินเซนโซหัวเราะเบา ๆ พลางยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอีกอึก “ฮ่า ๆ ก็เกือบแล้วล่ะ แต่เอาเข้าจริงคน ๆ นั้นต่างหากที่ทำให้ผมรู้ว่าเขาก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นอยู่กับเขาสบายด้วย ไม่งั้นผมคงนั่งประดิษฐ์ของเล่นอยู่หาเงินจ่ายค่ากาแฟไปวัน ๆ แน่เลย” โมนีก้ายิ้มกว้างขึ้นมาเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าที่เกาะกุมหลังศึกเมื่อครู่ค่อย ๆ จางหายไป เหมือนเธอเริ่มได้รู้จักเพื่อนใหม่เหล่านี้มากขึ้นทีละนิด และการเดินทางบนถนนสายยาวก็เริ่มไม่ใช่แค่ภารกิจอันตราย แต่เป็นการผูกมิตรภาพที่ค่อย ๆ แน่นแฟ้นมากขึ้นทุกขณะ


ระหว่างการเดินทางรถ Audi Q7 สีดำยังคงแล่นไปบนถนนยาวเหยียดกลางป่าโปร่ง เสียงลมที่พัดผ่านหน้าต่างแทรกกับเสียงเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่อง แต่ความสงบที่เพิ่งก่อเกิดกลับถูกทำลายลง เมื่อร่างมหึมาของวัวโคลคีสที่หุ้มเกราะทองแดงทั้งตัว พ่นไอสีขาวขุ่นออกมาจากจมูก มันยืนปะทะกับร่างสูงใหญ่ของเซนทอร์ครึ่งคนครึ่งม้า ผู้ถือหอกและธนูบนสันเขาไม่ไกล เสียงคำรามต่ำ ๆ ของมันทั้งคู่ดังสะท้อนจนพื้นดินสั่นสะเทือน


ทันทีที่ทั้งสองสัตว์หันมาทางรถ สายตาที่ลุกโชนด้วยสัญชาตญาณนักล่าเพ่งตรงมาที่พวกเขากลิ่นเดมิก็อด วินเซนโซที่นั่งหลังพวงมาลัยถอนหายใจยาว “ผมไม่ลงไปนะ…เสียเวลาเปล่า” น้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงความขี้เกียจ ขณะที่อิซิเลียก็ไขว้ขาเอียงตัวพิงเบาะราวกับกำลังดูละคร เธอเอ่ยเสียงเย็นชา “พวกนี้…ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมควรเสียแรง”


ลูคัสตวัดสายตามองทั้งคู่ด้วยความไม่พอใจ “พูดเหมือนไม่ใช่ภัยอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าเราไม่จัดการ มันจะลากรถไปทั้งคัน” เขาเปิดประตูรถตึง ๆ ก่อนกระโดดลงไปยืนตั้งท่าอย่างสง่างาม ฮารุโตะรีบตามลงมาพร้อมกระชับธนูเล็กที่สะพายไว้ ขณะที่โมนีก้าลังเล แต่ในที่สุดก็เปิดประตูรถก้าวลงไปยืนเคียงข้างพวกเขา


การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว เซนทอร์พุ่งตรงเข้ามาพร้อมหอกในมือ ลูคัสเงื้อดาบโรมันออกไปรับการโจมตี เสียงเหล็กปะทะกันก้องกังวาน ฮารุโตะลั่นสายธนูแผ่วเบาแต่ลูกศรกลับเจิดจ้าด้วยแสงพลังอพอลโล่ ปักเข้าที่ไหล่ของเซนทอร์อย่างแม่นยำจนมันคำรามก้อง โมนีก้าที่แม้จะยังใหม่ก็รีบใช้โจมตีพวกมันด้วยกราดิอุสทันที 


อีกด้านหนึ่ง วัวโคลคีสพุ่งพรวดเข้ามาพ่นไอร้อน วินเซนโซที่แม้จะประกาศไม่ลงจากรถ กลับเปิดหน้าต่างแล้วยกมือขึ้นดีดอุปกรณ์กลไกเล็ก ๆ คล้ายระเบิดไฟพุ่งออกไปปะทะเกราะของมัน เสียงระเบิดดังตูมเปรี้ยง เศษเกราะหลุดกระจายเป็นประกายทองแดง ส่วนอิซิเลียก็เหยียดนิ้วเล็ก ๆ ของเธอออก ริมฝีปากกระซิบเงามืด พริบตาเดียวควันดำแทรกผ่านพื้นดินรัดขาของวัวโคลคีสไว้ ทำให้มันเสียการทรงตัว เพียงเจ็ดนาทีแห่งการต่อสู้ที่ดุเดือด เซนทอร์ทรุดลงเพราะลูกศรเจาะจุดสำคัญ ส่วนวัวโคลคีสก็ล้มลงกับพื้น ร่างที่เป็นเกราะแตกออกพร้อมควันสีดำพวยพุ่งก่อนจะสลายเป็นเศษละอองทองไปในอากาศ ทิ้งเพียงกลิ่นกำมะถันและโลหะที่คุกรุ่น


โมนีก้าหอบหายใจยืนพิงรถ ดวงตาสีเงินยังเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น เธอมองร่างที่เพิ่งสลายไปแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “นี่เป็นครั้งแรกเลยค่ะ…ที่ฉันเห็นเซนทอร์ตัวเป็น ๆ …กับวัวโคลคีส” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ปนหวาดหวั่น


ลูคัสเช็ดดาบก่อนเสียบกลับฝักพลางปรายตามองไปยังวินเซนโซที่ยังนั่งเอนตัวในรถ “บอกไม่ลง แต่ก็ช่วยยิงซะสะใจเลยนะ” วินเซนโซยักไหล่พร้อมรอยยิ้มกวน “ก็แค่มือไม้คันนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ส่วนอิซิเลียเพียงเชิดหน้าขึ้นราวกับไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร บรรยากาศหลังการต่อสู้เต็มไปด้วยความโล่งอก ทุกคนกลับขึ้นรถอีกครั้ง โดยมีโมนีก้านั่งนิ่งพลางหันไปมองป่าไม้ที่เลือนหายไปด้านหลังอย่างไม่วางตา ราวกับภาพที่เธอเห็นจะติดอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน และตอนนี้ทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองถัดไป

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

Z z zzZZ  Z z  Z Z  Z (หลับเป็นตายไปสัก 5 วัน) 

avatar

Moneka M. Blossom

โมนีก้าและเพื่อน ๆ เดินทางจนถึงเมืองแกรนด์แพรรีการเดินทางในช่วงแรกราบรื่นดี แต่ช่วงหลังไม่เลย พวกเขาพักกันที่ปั้มน้ำมันกินข้าวซื้อของแต่โดนโจมตีด้วยกลุ่มทหารพิเศษขององค์กร โมนีก้าพบว่าพวกเขาเก่งมาก ๆ เก่งกว่าเลสเตอร์เสียอีก ไม่กี่นาทีพวกเขาก็จัดการทุกคนได้หมดแล้ว โมนีก้าอึ้งสุด ๆ และหลังจากนั้นโมนีก้าก็ได้พบกับอสรุกายสองชนิดใหม่ พวกเธอจัดการได้อาจจะไม่ง่ายมากนักแต่มันทำให้โมนีก้าได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ระหว่างทาง


[ถึงเมือง แกรนด์แพรรี แวะพัก ปะทะกับทหารพิเศษขององค์กร]

[เดินทางต่อมุ่งหน้าสู่ เมืองเอดมันตัน]

[ เวลา 23.20 น. เดินทางออกจาก เมืองแกรนด์แพรรี มุ่งหน้าสู่ เมืองเอดมันตัน]

[ใช้ระยะเวลา 4 ชั่วโมง 30 นาที]

avatar

Vincenzo Bergamotto

ขับรถอยู่ หิวกาแฟและตอนนี้แฟนยังไม่โทรมาหา สงสัยติดภารกิจเหมือนกันละมั้งเนี้ย

avatar

Icilia Dominicus

ดู GPS อยู่ และไม่อยากสู้เท่าไรเพราะพวกนี้มันไม่คู่ควรกับพลังของเธอเอาเสียเลย

avatar

Lucas Aquinas

บางครั้งก็งง ๆ อย่างน้อยภารกิจครั้งนี้ก็ได้เห็นว่าคนขี้เกียจมันก็กวนได้เหมือนกันนะ

avatar

Haruto Higa

ผมกำลังคิดว่า...โชคดีที่ไม่มีคนบาดเจ็บนะครับ แต่เขียนแบบนี้ทีไร รอบหน้าต้องมีคนบาดเจ็บหนักแน่ ๆ เลย!


กำจัดเซนทอร์

มีค่า LUK 90 หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ กีบเซนทอร์ จำนวน 2 ชิ้น 2 x 2 = 4 ชิ้น


กำจัดวัวโคลคีส

มีค่า LUK 100 หน่วย จะได้รับฟันเฟืองโบนัสพิเศษจากจำนวนเลขไบต์สุดท้าย = 8 ชิ้น

(ส่งน้ำแล้วจ้า)

สรุป ได้รับ กีบเซนทอร์ 2 ชิ้น,ฟันเฟือง 8 ชิ้น

+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด เซนทอร์ ครั้งแรก

+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด วัวโคลคีส ครั้งแรก




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 77958 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-2 10:36
โพสต์ 77,958 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-2 10:36
โพสต์ 77,958 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-2 10:36
โพสต์ 77,958 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-2 10:36
โพสต์ 77,958 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-10-2 10:36

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +4 ย่อ เหตุผล
God + 4

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-10-2 16:20:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 29 : ดอมต้องพูดคำว่า แฟมิลี่ย์
วันที่ 22 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 03.50 น. เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง เมืองเอดมันตัน รัฐแอลเบอร์ตา จนถึง เมืองซัสคาทูน รัฐซัสแคตเชวัน แคนาดา

แสงแดดยามทออ่อนลงเหนือขอบฟ้า แม้ที่นี่จะสว่างทั้งวันทั้งคืนก็ตาม แต่บรรยากาศเย็นสดชื่นของเมืองเอดมันตันก็ต่างจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่ พวกเขาขับรถออกมาพักที่ร้านอาหารริมทางเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง กลิ่นเบคอนทอดและขนมปังปิ้งลอยอบอวลไปทั่วจนท้องร้องจ๊อกกันเป็นแถว ทุกคนนั่งลงที่โต๊ะไม้ยาว อาหารเช้าถูกเสิร์ฟเป็นจานใหญ่ ไข่ดาวเยิ้ม ๆ เบคอนกรอบ แพนเค้กราดน้ำเชื่อมเมเปิ้ลจนฉ่ำ และกาแฟดำที่วินเซนโซยกขึ้นดมด้วยท่าทีพอใจที่สุดในกลุ่ม ฮารุโตะยิ้มบาง ๆ ก่อนตักข้าวต้มร้อน ๆ ที่เขาสั่งมาเป็นพิเศษเพราะยังอยากได้รสชาติแบบบ้านเกิด


โมนีก้าที่กำลังหยิบส้อมขึ้นมาก็เหลือบไปมองรถ Audi Q7 ที่จอดอยู่ไม่ไกล หน้าต่างด้านหลังเปิดไว้พอให้ลมเช้าโชยเข้า เผยให้เห็นเลสเตอร์ที่ยังคงนอนนิ่งอย่างสงบ ดวงหน้าผ่อนคลายราวกับไม่ได้รับรู้เรื่องราววุ่นวายใด ๆ ตลอดวันที่ผ่านมา เด็กสาวเผลอถอนหายใจแล้วหันมาถามฮารุโตะด้วยความสงสัยอย่างจริงจัง “คนที่หลับนาน ๆ แบบนั้น…เขาจะกินยังไงเหรอคะ? หรือว่า…ต้องใส่อาหารผ่านน้ำเกลืออะไรแบบนั้น?”


คำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ถึงกับชะงักไปชั่วครู่ วินเซนโซหลุดหัวเราะพรืดจนกาแฟแทบหก ส่วนอิซิเลียที่ถือแก้วชาชาดำไว้ก็เหลือบตามองโมนีก้า “เธอนี่…” ลูคัสถึงกับยกคิ้วขึ้นแล้วส่ายหัว ขณะเดียวกันฮารุโตะกลับหัวเราะนุ่มนวลพลางเอื้อมมือมาวางบนโต๊ะเป็นเชิงปลอบ “ไม่หรอกครับคุณโมนีก้า คนเราถึงจะหลับยาวแต่ร่างกายยังใช้พลังงานได้น้อยลงอยู่แล้ว การหายใจช้า ๆ ก็เหมือนประหยัดพลังงานไปในตัว น้ำในร่างกายก็หมุนเวียนเองตามธรรมชาติ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงว่าจะอดตายครับ”


โมนีก้ายังทำหน้ามุ่ยเหมือนไม่ค่อยเชื่อ เธอกัดริมฝีปากแล้วถามต่อ “แล้วถ้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วหิวจนหมดแรงล่ะคะ? จะไม่เป็นไรแน่นะ?” ฮารุโตะยิ้มให้เธออีกครั้ง แววตาสีเขียวอบอุ่นราวกับพี่ชายใจดี “ก็แค่ต้องเตรียมของกินไว้ให้มากหน่อย พอตื่นเขาจะหิวเอาเรื่องเลยล่ะ แต่ไม่ถึงกับแย่หรอก ผมเคยดูแลคนเจ็บที่หลับไปหลายวัน ตอนฟื้นก็แค่ทานเยอะหน่อยแล้วก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้ครับ”


วินเซนโซแทรกขึ้นพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง “เชื่อหมอสนามอย่างฮารุโตะเถอะ เขารู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าพวกเราแน่ ๆ” เขาเอียงคอหันไปมองรถแล้วหัวเราะเบา ๆ “ถึงตื่นขึ้นมาเจ้าเลสเตอร์ก็คงบ่นเสียงดังลั่นเหมือนเคยแหละน่า”


อิซิเลียวางแก้วชาลงเสียงดัง “ก็ขอให้เขาตื่นขึ้นมาแบบที่ยังมีแรงบ่นเถอะ อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องมานั่งฟังเด็กใหม่ถามเรื่องไร้สาระอีก” น้ำเสียงเธอเชือดเฉือน แต่สายตากลับเหลือบไปทางโมนีก้าเล็กน้อย คล้ายจะบอกเป็นนัยว่าไม่ได้เกลียดจริง โมนีก้าเบ้ปากใส่พวกเขางอน ๆ แต่ก็ยิ้มตามหลัง เสียงหัวเราะของลูคัสดังขึ้นเมื่อเห็นเธอเถียงไม่ออกดังขึ้นเล็ก ๆ บรรยากาศรอบโต๊ะเลยคลายตึงเครียด กลายเป็นเหมือนกลุ่มเพื่อนที่กำลังเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกันจริง ๆ ระหว่างที่ทุกคนกินกันอิ่มท้อง ลมก็พัดกลิ่นหอมของป่าสนเข้ามา พร้อมกับเสียงนกบินผ่านเหนือศีรษะ รถคันดำยังคงจอดนิ่งรออยู่ และเลสเตอร์ยังคงหลับสนิท ไม่รู้เลยว่าในวงสนทนาเขาเพิ่งถูกพูดถึงไม่หยุดปากเลย


และเมื่อทุกคนทานอาหารกันจนอิ่มแล้วก็ขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองซัสคาทูนต่อ แต่ทว่าเมื่ออกจากร้านมามีช่วงที่ถนนโล่งแบบแปลก ๆ และสิ่งที่ดังสนันคือเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังสนั่นราวกับจะฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยง ๆ ขณะที่ถนนด้านหน้ากลับโล่งผิดปกติจนแทบไม่มีรถคันอื่นให้เห็น ไอร้อนจากท่อไอเสียของ Audi Q7 แผดพุ่งออกมา วินเซนโซขมวดคิ้วพลางกดเท้าลงบนคันเร่ง เสียงเครื่องยนต์คำรามต่ำอย่างพร้อมเข้าสู่โหมดไล่ล่า


อิซิเลียเหลือบมองกระจกด้านข้าง แววตาสีเทาของเธอฉายแววเย็นเยียบ “พวกมัน… LoNex ไม่ผิดแน่” เธอพูดเบา ๆ แต่ทุกคำฟังชัดเหมือนคมมีด ขณะเดียวกันกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธก็เริ่มโรยตัวลงมาจากเชือกสีดำขึงตรงช่องเปิดของเฮลิคอปเตอร์ แสงสะท้อนจากอาวุธในมือของพวกมันวับวาวน่าขนลุก


โมนีก้านั่งหลังสุดมองภาพทั้งหมดด้วยดวงตาโตเป็นไข่ห่าน เธอแทบจะร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่กลับถูกวินเซนโซเอ่ยแทรกขึ้นเสียงเรียบ “เคยดู Fast & Furious ไหม?” เสี้ยววินาทีนั้น เด็กสาวตอบแทบจะโดยไม่คิด “โคตรชอบเลยค่ะ!” 


วินเซนโซยกยิ้มมุมปากเมื่อได้รับคำตอบมันไม่ใช่ยิ้มธรรมดา แต่เป็นรอยยิ้มที่มีความห้าวหาญผสมความกวนอยู่เต็มเปี่ยม “งั้นซิ่งนะ พวกเธอว่าง ๆ ก็ช่วยสอยพวกมันด้วยล่ะ” ทันทีที่สิ้นคำพูด เท้าของเขาก็กดคันเร่งสุดแรง รถเยอรมันหรูพุ่งทะยานออกไปอย่างกับลูกศร ล้อบดกับพื้นถนนจนเสียงกรีดร้องสะท้อนดังไปทั่ว ความเร็วพุ่งทะลุเกินกว่าที่โมนีก้าเคยสัมผัส เธอกัดริมฝีปากแน่นมือสองข้างกำชายเบาะจนเหงื่อซึม


ลูคัสรีบคว้าโล่ที่ซ่อนอยู่ใต้เบาะออกมา เปิดหน้าต่างด้านข้างแล้วโผล่กึ่งตัวออกไป “ให้ตายสิ พวกมันมาทั้งฝูง!” เสียงเขาตะโกนแข่งกับแรงลมที่กระหน่ำใส่ แต่ใบหน้ากลับฉายแววมั่นคงไม่ต่างจากนักรบโรมันที่กำลังยืนอยู่กลางสนามรบ ฮารุโตะเองก็หยิบคันธนูสั้นออกมาทันที เส้นสายตาเขามุ่งมั่น แต่รอยยิ้มยังคงอบอุ่นประจำตัว “อย่าตกใจนะคุณโมนีก้า เดี๋ยวก็ผ่านไป” เขาดึงสายธนูจนตึง ปล่อยศรพุ่งขึ้นฟ้า พุ่งไปปักกลางตัวหนึ่งในทหารที่กำลังโรยตัว เสียงกรีดร้องถูกกลบหายไปกับเสียงใบพัด


อิซิเลียนั่งเบาะข้างคนขับ มือเล็กแต่มั่นคงพลิกสมาร์ทโฟน Daedalus’s Legacy ราวกับคอนโทรลเซ็นเตอร์ เธอเชื่อมระบบกับรถในพริบตา หน้าจอแสดงเส้นทางหลบหลีกเป็นเส้นสีแดง “ขวา! มีถนนเลี่ยงอีกห้าร้อยเมตร! อย่าเบรก!”


วินเซนโซหัวเราะเสียงต่ำ ยกมือเดียวคุมพวงมาลัย รถเลี้ยวแฉลบจนยางเสียดสีกับพื้นถนน ควันพวยพุ่งเป็นสาย กลุ่มทหาร LoNex สองสามคนที่พยายามยิงลงมาก็พลาดเป้าเพราะแรงเหวี่ยง โมนีก้านั่งหอบอย่างตื่นเต้นอยู่ด้านหลังสุด ใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา เธอเหลือบมองเลสเตอร์ที่ยังคงนอนหลับสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วหลุดพูดเสียงสั่น “นี่มันบ้าไปแล้ว… เขาหลับต่อได้ไงวะเนี่ย!”


เสียงกระสุนกระทบกับตัวรถเป็นระลอก ๆ แต่วินเซนโซตีนผีพอที่จะคำนวณวิถีกระสุนเพื่อหลบหลีก วินเซนโซตะโกนลั่นหลังจากนั้น “เกาะให้ดี ยินดีต้อนรับสู่สนามแข่งจำเป็น” ถนนตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสนามประลองทันตา เสียงเครื่องยนต์ เสียงปืน และเสียงใบพัดผสมกันเป็นจังหวะวุ่นวายราวกับวงออร์เคสตราที่กำลังเล่นบทเพลงบ้าคลั่งและทุกคนก็อยู่บนเวทีนั้นแบบจำใจจริงๆ 


ทว่าในช่วงวินาทีนั้นเสียงธนูของฮารุโตะหวีดหวิวแหวกอากาศ ศรสีทองปะทุแสงเจิดจ้าพุ่งตรงเข้ากระแทกข้างตัวเครื่องของเฮลิคอปเตอร์ LoNex เปรี้ยง! ไฟแลบวาบพร้อมควันดำทะลักออกมา เครื่องหมุนเสียหลัก กำลังโรยตัวของทหารดำหลายคนชะงักไปไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่ใบพัดจะตีแฉลบกับแรงลมแล้วเครื่องจะดิ่งลงไปข้างถนนไถไปกับตจ้นไม้ สะเก็ดไฟกระจายราวกับพลุสงครามกลางวันแต่ไม่ได้ระเบิดเพราะความยั้งมือของฮารุโตะ เก่งเกินคุณพี่โผล่หัวจากกระจกรถยังยิ่งแม่น!!


“เยี่ยม!” ลูคัสตะโกนเสียงเข้มจากเบาะหลัง พร้อมยกโล่มาร์สขึ้นมาเคาะกับขอบรถเหมือนการชูขวัญกำลังใจ ฮารุโตะเพียงยิ้มบาง ๆ ดวงตาสีเขียวเปล่งประกาย แต่ในใจยังสั่นไหวกับความจริงที่เขาเกลียดการฆ่า ทว่าเมื่อมันคือศัตรูที่หมายเอาชีวิตเพื่อน เขาก็ไม่มีทางเลือกอย่างน้อยก็น่าจะรอดกันได้เพราะเขาแค่ทำให้เครื่องขัดข้อง


ถนนด้านหน้ากลับถูกปิดกั้นด้วยรถ SUV สีดำติดเครื่องหมาย LoNex จอดเรียงขวางเต็มเลน เสียงยางบดถนนดังเอี๊ยด วินเซนโซบิดพวงมาลัยหมุนรถควงออกด้านข้างแล้วดริฟต์หยุดหมุนครึ่งรอบ ฝุ่นควันลอยพวยพุ่งขึ้นอย่างเท่จนโมนีก้าแทบลืมหายใจไปชั่ววินาที “บ้าไปแล้ว…” โมนีก้าพึมพำในลำคอ แต่กลับเผลอยิ้มตื่นเต้นเหมือนกำลังนั่งดู Fast & Furious ภาคใหม่จากเบาะหลัง เธอรีบขยับตัวเข้ากอดเลสเตอร์ไว้แน่น ไม่ให้เขากลิ้งตกจากเบาะ แม้ว่าอีกฝ่ายยังคงหลับสนิทราวกับถูกสาป


“เจ้าพวกตัววุ่นวาย” อิซิเลียเปิดประตูรถเสียงดังปัง ร่างเล็กในชุดโกธิคโลลิต้าก้าวลงมาพร้อมหัวกะโหลกอลันในมือ แววตาเย่อหยิ่งกวาดมองศัตรู “ให้โลกรู้ซะบ้างว่าอย่ามาดูถูกเรา”


ลูคัสกระโจนลงตามทันที โล่ในมือสะท้อนแสงแดดเป็นประกายแสบตา “ไป!” เสียงเขาเป็นดั่งสัญญาณนำรบในครั้งนี้ ทันทีที่ได้ยินลูคัสพูดฮารุโตะก็ลงจากรถวิ่งเบาแต่เร็ว ก้าวยาวเหมือนกวาง ปลายธนูส่องประกายอยู่ในมือ ร่างเขาเป็นแสงเคลื่อนไหวท่ามกลางฝุ่นทรายที่ลอยขึ้น


ในรถ โมนีก้าขบฟันแน่นหันไปหยิบมีดสั้นที่พอจะใช้ได้จากแหวนดาราจรัสในมือ ยกขึ้นเล็งทั้งที่มือสั่น “โอเค…โอเค…เหมือนในหนังหนีตาย จำไว้นะโมนีก้า ไม่พลาด!” เธอสูดหายใจลึกยกขึ้นปาไปยังทหารดำคนหนึ่งที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้แค่ตรงขาก็พอ ในขณะเดียวกันวินเซนโซที่ไม่ได้ลงจากรถเพราะขี้เกียจเขาก็จิบกาแฟเอาเอาฤกษ์เอาชัย หัวเราะหึ ๆ ในลำคอจากรสกาแฟ มือหนึ่งประคองปืนพกที่เขาประดิษฐ์แต่งเอง เสียงปืนดังเปรี้ยงเปรี้ยงแต่แม่นยำราวกับจับจังหวะหัวใจศัตรูได้ “ยิงได้ใช้ได้นี่ สาวน้อย” เขาแซวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่แววตายังเย็นเฉียบ


เสียงปืน เสียงโล่กระแทก เสียงธนูฉีกอากาศปะปนกันจนกลายเป็นเสียงประสานสงคราม ถนนโล่งกลางป่ากลายเป็นสนามรบเฉพาะกิจ ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยไฟแห่งการเอาตัวรอดและในวินาทีนั้นเอง พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงเดมิก็อดหนีตายอีกต่อไป แต่คือกองร้อยชั่วคราวที่พร้อมจะสู้เคียงข้างกันจนลมหายใจสุดท้าย


แต่ช่วงที่โมนีก้าเดินทางลงมาจากรถเพื่อสู้ด้วยกราดิอุสง่าย ๆ เธอโดนยิงไปที่บริเวณไหล่ ฮารุโตะเลยต้องรีบปฐมพยาบาลโมนีก้า แต่ตอนนี้ใกล้จบแล้ว "ไม่ต้องค่ะ ไว้ค่อยกินแอมโบรเชียเอา...อึก" หญิงสาวบอกกับทางฮารุโตะที่กำลังจะเข้ามาหาเธอแบบนั้น


ไม่นานพวกองค์กรก็โดนจัดการจนหมดทั้งหมด เสียงลมหายใจของสนามรบเงียบลงในที่สุด ศัตรูของ LoNex ที่รายล้อมเต็มถนนก่อนหน้านี้นอนเกลื่อนอยู่กับพื้น บางรายสลบเหมือด บางรายบาดเจ็บจนลุกไม่ไหว แต่ไม่มีใครเสียชีวิตจริง ๆ เพราะทุกคนในทีมเลสเตอร์เลือกที่จะหยุดมือก่อนถึงขั้นนั้น วินเซนโซเก็บปืนขึ้นบ่าอย่างไม่รีบร้อน ก่อนหันไปปรบมือเบา ๆ เหมือนประชด “โอเค…โชว์พลังกันพอแล้ว ขึ้นรถเถอะ พวกมันมักจะมีคลื่นเสริมมาตลอดเวลา เราไม่มีเวลามายืนรอให้โดนล้อมอีก”


อิซิเลียสะบัดกระโปรงโกธิคโลลิต้าสีเข้ม ก้าวขึ้นรถพลางกอดหัวกะโหลกอลันไว้แน่น ดวงตาสีเทาหม่นมองไปยังท้องฟ้าอย่างไม่วางใจ เธอพูดเสียงเรียบแต่มีน้ำหนัก “มันแปลกเกินไป พวกมันมุ่งหน้ามาที่เรามากเกินกว่าบังเอิญ ต่อจากนี้ต้องระวังอีกเท่าตัว”


ลูคัสยกโล่ขึ้นพาดบ่า ก้าวหนัก ๆ กลับเข้ารถพร้อมคิ้วที่ขมวดแน่น แววตาสีน้ำเงินเข้มยังคงระแวดระวัง “เราทำเกินไปนิด มันอาจส่งสัญญาณไปแล้วว่าพวกเราอยู่ตรงนี้” ส่วนฮารุโตะก็เช็ดเหงื่อที่ขมับ แม้รอยยิ้มยังสดใสแต่เสียงหอบชัดเจน เขาเหลือบมองผู้บาดเจ็บที่นอนกระจายอยู่แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก “อย่างน้อย…ไม่มีใครตายนะครับ” เขาพึมพำกับตัวเองราวกับต้องการปลอบใจหัวใจตัวเองแล้วเดินมาหาโมนีก้า "เป็นอะไรมากไหมครับ?" แต่โมนีก้าส่ายหัวให้กับเขาแทนแล้วเดินเข้าไปในรถแบบเหนื่อย ๆ


เมื่อทุกคนกลับขึ้นมานั่งประจำที่ วินเซนโซบิดกุญแจ รถพุ่งทะยานออกจากจุดเกิดเหตุทันที เสียงเครื่องยนต์คำรามก้องบนถนนโล่งเหมือนจะฉีกความเงียบให้ขาดสะบั้น โมนีก้านั่งพิงเบาะหอบเบา ๆ ระหว่างกินแอมโบรเชียรสที่ตัวเองชอบ ดวงตาเทาเงินยังคงเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นไม่หาย เธอหันไปมองเพื่อนร่วมทีมแล้วเผลอหัวเราะออกมา “นี่มัน…แค่ 35 นาทีเองนะคะ ตั้งแต่หนีเฮลิคอปเตอร์ ซิ่งรถ ดริฟต์หยุด ยิงกัน แล้วก็เคลียร์ศัตรูหมด…พวกคุณเก่งเกินมนุษย์ไปแล้วรึเปล่าเนี่ย”


คำพูดนั้นทำให้ทั้งคันรถเหมือนมีเสียงหัวเราะผสมผสานขึ้นมาทันที ลูคัสเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะภูมิใจแทนทุกคน “ก็แน่อยู่แล้ว เราคือเดมิก็อด จะให้น้อยหน้าได้ยังไงกัน” วินเซนโซหัวเราะในลำคอตอนที่ได้ยินแบบนั้นพลางหยิบแก้วกาแฟที่วางอยู่ตรงคอนโซลขึ้นมาจิบราวกับเพิ่งเสร็จงานเล็กน้อย ไม่ใช่การต่อสู้เป็นตาย “จำไว้ สาวน้อยคนใหม่นี่แค่การวอร์มอัพ” เขาเอ่ยพลางส่งยิ้มเจ้าเสน่ห์ผ่านกระจกหลัง


อิซิเลียเพียงปรายตามองเธอด้วยสีหน้าที่ยังถือดีอยู่เสมอ “เด็กใหม่ คงต้องเตรียมใจไว้อีกเยอะ เพราะเส้นทางต่อจากนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นสนุก” แต่โมนีก้ากลับยิ้มออกมาเต็ม ๆ หัวใจเต้นแรงด้วยทั้งความกลัวและความตื่นเต้นที่ผสมกันจนแทบแยกไม่ออก เธอหันไปกอดเลสเตอร์ที่ยังคงหลับสนิทอยู่แล้วกระซิบเบา ๆ “ทีมของคุณ…สุดยอดจริง ๆ” และรถก็ยังคงพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

Z z zzZZ  Z z  Z Z  Z (หลับเป็นตายไปสัก 5 วัน) 

avatar

Moneka M. Blossom

เดินทางออกเมืองเอดมันตันระหว่างทางดันเจอกับกองกำลังของพวก LoNex พวกเราเลยจัดการกันได้ซึ่งดีเสียด้วย ดีแล้วล่ะ พวกทีมของเลสเตอร์นี้เก่งจริง ๆ เลยนะเนี้ย โมนีก้ากำลังคิดชื่นชมพวกเขา


[ถึงเมือง เอดมันตัน แวะพัก ปะทะกับ เครื่องเฮลิคอปเตอร์ขับไล่ของ LoNex]

[เดินทางต่อมุ่งหน้าสู่ เมืองซัสคาทูน]

[ เวลา 06.00 น. เดินทางออกจาก เมืองเอดมันตัน มุ่งหน้าสู่ เมืองซัสคาทูน]

[ใช้ระยะเวลา 5 ชั่วโมง 30 นาที]

avatar

Vincenzo Bergamotto

ขับรถอยู่และจิบกาแฟไปด้วย

avatar

Icilia Dominicus

รำคาญพวกองค์กร แต่เริ่มระวังมากขึ้นกว่าเดิม

avatar

Lucas Aquinas

ไม่อยากเขียนคอมเม้นท์ครับ

avatar

Haruto Higa

คุณโมนีก้าบาดเจ็บหนัก แต่กินแอมโบเชียแล้วเลยไม่เป็นอันตรายหรอกนะ


ยัด แอมโบรเชีย เข้าปากตัวเอง 1 ชิ้น



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 64374 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-2 16:20
โพสต์ 64,374 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-10-2 16:20
โพสต์ 64,374 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-10-2 16:20
โพสต์ 64,374 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-10-2 16:20
โพสต์ 64,374 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-10-2 16:20
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้