BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 26 : พักผ่อนและฮิวใจ
วันที่ 21 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงค่ำ เวลา 01.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา
ภายในห้องพักโรงแรมที่อบอุ่นตัดกับอากาศเย็นจัดของเมืองเยลโลว์ไนฟ์ แสงไฟสีขาวนวลสะท้อนบนผนังไม้สีน้ำตาลอ่อน กลิ่นสบู่และผ้าปูที่นอนสะอาดลอยคลอในอากาศ วินเซนโซนั่งเอนหลังบนโซฟาอย่างหมดแรง ฮารุโตะกำลังนั่งพันผ้าพันแผลที่แขนตัวเอง ลูคัสยืนพิงกรอบหน้าต่างมองหิมะตกเงียบ ๆ ส่วนอิซิเลียก็นั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ตัวเล็กคอยเหลือบสายตาเช็กอาการของทุกคนในทีม
แต่ตรงมุมห้อง โมนีก้านั่งนิ่งบนเตียงใหญ่ ผมยาวสีม่วงครามเข้มปรกข้างแก้ม ดวงตาสีเทาไม่มีประกายอย่างที่เคย ทั้งที่เป็นคนออกเงินค่าห้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เธอกลับเงียบผิดปกติราวกับกำแพงหนา ๆ ถูกสร้างขึ้นรอบตัว เลสเตอร์ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะกลางเห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะโมนีก้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เดินทางออกมาจากเหมืองไจแอนท์ เขาลุกขึ้นเดินไปหยุดตรงหน้าเธอ “ออกไปคุยกันหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่ไม่ใช่คำสั่ง มีเพียงความห่วงใยที่ฟังแล้วไม่อาจปฏิเสธได้
วินเซนโซที่เตรียมหลับเหลือบตามองเลสเตอร์แวบหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร อิซิเลียยักไหล่ราวกับไม่สนใจ ส่วนลูคัสขยับตัวหลบทาง ฮารุโตะส่งยิ้มบาง ๆ เหมือนจะให้กำลังใจ เลสเตอร์จึงพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณแล้วพาโมนีก้าออกไปยังระเบียงไม้ด้านนอก
ทันทีที่ประตูปิด เสียงในห้องเงียบสนิท เหลือเพียงเสียงลมหนาวพัดหิมะกราวกราว โมนีก้ายืนพิงราวระเบียง มองท้องฟ้าที่ยังสว่างจนแทบไม่เห็นม่านแสงเหนือ เธอยังไม่พูดอะไร เพียงแต่กอดอกแน่นเหมือนพยายามกักเก็บบางอย่างไว้ข้างใน เลสเตอร์ยืนข้าง ๆ เธอแต่เว้นระยะพอให้เธอหายใจ เขามองใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอแล้วเอ่ยเบา ๆ “ฉันรู้ว่าเธอยังปรับตัวไม่ได้และเผลอแบกอะไรไว้เยอะตั้งแต่เจอฉันนะ โมนีก้าเรื่องในเหมือง…มันหนักมากใช่ไหม”
โมนีก้าหันมามองเขาเล็กน้อยที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้นสายตาสั่นไหวแต่ยังพยายามเก็บอารมณ์ “ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นใครด้วยซ้ำ เลสเตอร์ ฉันฆ่าคน…ฉัน…ฉันไม่อยากจำภาพพวกนั้นเลย…คนนะเลสเตอร์ ไม่ใช่มอนสเตอร์ที่จะสลายหายเป็นฝุ่น…คนมีศพนะเลสเตอร์” เสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบเป็นลมหายใจ
เลสเตอร์ก้าวเข้ามาอีกนิดใกล้เธอ ดวงตาสีฟ้าลึกของเขาสงบนิ่ง “เธอทำในสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้พวกเรารอด ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น และไม่มีใครจะมาตัดสินเธอ”
“แต่ฉันตัดสินตัวเองไม่ได้” โมนีก้าสะอื้นเบา ๆ แต่ยังยืนตัวตรงไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
เมื่อเห็นดันนั้นเลสเตอร์ก็ยกมือขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะวางลงบนไหล่ของเธออย่างระมัดระวัง “ฟังฉันนะ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เธอคนเดียว เธอไม่ได้อยู่คนเดียวตั้งแต่แรก พวกเรารอดมาเพราะเธอนะ ฉันรอดมาเพราะเธอ” เสียงของเขานุ่มลึกแต่หนักแน่น “ต่อให้โลกภายนอกมองเธอว่าเป็นอะไร ฉันก็เห็นเธอเป็นคนที่ยื่นมือช่วยเหลือโดยไม่ลังเล และนั่นคือสิ่งที่ฉันเลือกจะจำ”
คำพูดนั้นเหมือนปลดล็อกบางอย่าง โมนีก้ากัดริมฝีปากแน่น ดวงตาเริ่มพร่า เธอพยายามหันหน้าหนีแต่เลสเตอร์ก้าวเข้ามาใกล้อีก เขาไม่แตะต้องมากไปกว่านั้นทำเพียงยืนอยู่ตรงนั้นให้เธอรู้ว่าไม่ได้มีแค่เธอที่ยืนสู้กับความมืด
ระเบียงไม้ของโรงแรมเยลโลว์ไนฟ์ยังคงเงียบงัน ลมหนาวพัดผ่านจนผิวแก้มของโมนีก้าแดงจัด เสียงอาทิตย์คลอแสงเหนือที่แผ่วสั่นอยู่บนท้องฟ้าเหมือนจะไกลเกินเอื้อม เธอยืนพิงราวระเบียง น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ไหลออกมา ริมฝีปากเม้มแน่น มือเล็กสั่นจนเลสเตอร์ต้องก้าวเข้ามาใกล้โดยไม่พูดอะไร โมนีก้ายังคงหันหน้าหนีเขาเล็กน้อย และพูดต่อด้วยเสียงสั่นเครือ
“พวกเดมิก็อด…ต้องเจออะไรแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” ดวงตาสีเทาเอ่อไปด้วยน้ำใสที่ไม่ยอมไหล เธอพยายามยิ้มแต่ริมฝีปากกลับสั่น “ฉันอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออกเลย สองวันที่ฉันอยู่กับนาย…มันเหมือนกระชากฉันออกจากโลกที่เคยอยู่ กระชากฉันออกจากคำว่าเด็กไฮสคูล กระชากฉันออกจาก…” เสียงเธอสั่นจนขาดหายไป
เลสเตอร์เงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบคำถามแรก เพราะเขารู้ดีว่าคำตอบไม่มีวันปลอบใจเธอในตอนนี้ได้ ดวงตาสีฟ้าของเขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นของเธอแล้วเอ่ยเบา ๆ “โมนีก้า…” เด็กสาวส่ายหัวเมื่อได้ยินเขาที่พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง น้ำตาที่กลั้นไว้เริ่มไหล “ทำไมถึงไม่มีเวลาให้ฉันเสียใจเลย ทำไมต้องเข้มแข็ง…ฉันก็แค่เด็กอายุสิบห้าเอง ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้”
เลสเตอร์ค่อย ๆ บีบไหล่ของเธออย่างระมัดระวังเพิ่มแรงให้เธอรู้ ความอุ่นจากฝ่ามือสั่นไหวเพียงเล็กน้อยเพราะลมหนาว “ไม่มีใครสมควรต้องเจอเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเดมิก็อดหรือใครก็ตาม” เขาก้มมองเธอ ดวงตาลึกซึ้งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่พูดออกมา “เธอไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าฉัน เธอแค่…เป็นโมนีก้าก็พอ” คำพูดนั้นเหมือนประตูที่ถูกเปิดออก โมนีก้าสะอื้นเฮือกแรก น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาทันที ร่างเล็กสั่นสะท้าน เธอพยายามจะเช็ดแต่น้ำตากลับยิ่งไหล เลสเตอร์ไม่รอช้าอีกแล้วเขาก้าวเข้ามาโอบกอดเธออย่างอ่อนโยน แขนแข็งแรงแต่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง “ร้องเถอะ ปล่อยมันออกมา ฉันอยู่ตรงนี้”
โมนีก้าซุกหน้าลงกับอกของเขาเสียงสะอื้นดังตัดกับเสียงลม เธอปล่อยน้ำตาออกมาเหมือนเด็กหญิงที่เพิ่งยอมรับว่าตัวเองเจ็บปวดจริง ๆ เลสเตอร์ลูบหลังเธอช้า ๆ ไม่เร่ง ไม่ปลอบด้วยคำพูดที่ฟังดูสวยงามเกินจริง แค่ยืนอยู่ตรงนั้นให้เธอรู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
ภายในห้องด้านใน วินเซนโซที่นอนหลับแต่อาจจะไม่เต็มตื่น ฮารุโตะ ลูคัส และอิซิเลียยังคงรออยู่ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กสาวปริศนาที่พาพวกเขารอดตายชื่ออะไร แต่เสียงสะอื้นที่ลอดเข้ามาทางประตูระเบียงทำให้ทุกคนได้แต่เงียบและมองหน้ากันอย่างเข้าใจ ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ว่าชื่ออะไร ได้โดนรับน้องจากโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้หนักหนานักและในที่สุดก็ได้เวลาที่เธอจะวางมันลงสักพัก
ลมหนาวจากริมทะเลสาบพัดผ่านระเบียงไม้ของโรงแรมเยลโลว์ไนฟ์จนม่านโปร่งในห้องสั่นเบา ๆ กลางวันที่ไม่มีคืนทำให้ท้องฟ้าสว่างจ้าแต่บรรยากาศกลับเย็นเยียบ โมนีก้าซบหน้าลงกับอกของเลสเตอร์ น้ำตาที่กลั้นไว้ทั้งคืนทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก เสียงสะอื้นสั่นเครือบดบังเสียงลมจนหมด เธอพยายามยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้เสียงเล็ดลอด แต่ไหล่เล็กก็สั่นระริกจนเลสเตอร์รู้สึกถึงแรงสั่นนั้นผ่านฝ่ามือที่โอบหลังเธอไว้
เลสเตอร์ก้มลงกระซิบเสียงต่ำ “ไม่ต้องกลั้น” น้ำเสียงอบอุ่นแต่เจือความเศร้าที่เขาไม่อาจพูดได้ เขารู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าพึ่งผ่านเรื่องราวที่เกินกว่าที่ใครวัยสิบห้าควรเจอ เลือด ความตาย ความหวาดกลัว สิ่งที่เขาเองก็อยากปกป้องทุกคนจากมันแต่ก็รู้ดีว่านี่คือโลกของลูกครึ่งเทพที่ไม่มีใครเลือกได้
โมนีก้าร้องอยู่ครู่ใหญ่จนในที่สุดเสียงสะอื้นเริ่มแผ่วลง เธอเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีเทาเงินที่เจือแดงจากน้ำตาเป็นประกายสั่นไหว เส้นผมสีม่วงครามปลิวไหวตามลม เสี้ยวหน้าเด็กสาวที่ดูอ่อนแอแต่พยายามฝืนยืดตรง เลสเตอร์ค่อย ๆ ใช้มือเช็ดคราบน้ำตาที่ข้างแก้มให้เธอโดยไม่พูดอะไร “ฉันนึกว่า…แค่ช่วยเพื่อนนายแล้วมันจะจบ” เสียงของโมนีก้าเบาแทบเป็นกระซิบ “แปลว่า…เราต้องเดินทางต่อใช่ไหม”
เลสเตอร์ชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาสีฟ้าของเขาหลบเลี่ยงก่อนพยักหน้าช้า ๆ “ใช่” เสียงเขาเต็มไปด้วยความหนักใจ “เธอกลับไปค่ายจูปิเตอร์ได้นะระหว่างนี้ให้พวกฉันจัดการเอง เธอสลัดเรื่องพวกนี้ทิ้งได้…โมนีก้า เธอไม่จำเป็นต้องแบกมันไปด้วย” เด็กสาวส่ายหัวทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ดวงตาที่เปียกน้ำแต่แฝงความดื้อรั้นฉายแววชัด “ไม่ได้หรอก” เสียงสั่นแต่หนักแน่น “นายยังบาดเจ็บ เพื่อนนายก็ยังไม่หายดี จะให้ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ยังไง” เธอกัดริมฝีปากตัวเองเหมือนกลัวเสียงจะสั่นอีก
เลสเตอร์มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลนั้นอย่างเงียบ ๆ เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะของเธอ ลูบเบา ๆ เหมือนจะปลอบเด็กเล็ก “เธอไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่เกินวัยเพื่อจะอยู่ตรงนี้นะโมนีก้า” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม “สิ่งที่เธอทำจนถึงตอนนี้…มันมากเกินพอแล้ว เธอช่วยชีวิตพวกเรา ช่วยผม เธอกล้าหาญกว่าที่คิด” โมนีก้าหลุบตาลงตอนที่โดนลูบหัว มือที่กำชายเสื้อของเขาคลายออกเล็กน้อย ความร้อนจากฝ่ามือของเลสเตอร์บนศีรษะทำให้หัวใจที่สั่นไหวเริ่มสงบลงทีละน้อย “พักสักหน่อยเถอะ…ฉันจะอยู่ข้างเธอ”
โมนีก้าหลับตาลงรับคำพูดนั้น ลมหายใจที่เคยสั่นไหวค่อย ๆ กลับมาเป็นจังหวะปกติ แม้จะยังมีน้ำตาเกาะขอบตา แต่ในแววตาของเธอเริ่มปรากฏประกายมุ่งมั่นอีกครั้ง เหมือนเด็กสาวที่เพิ่งเรียนรู้ว่าแม้โลกจะโหดร้าย แต่ก็ยังมีคนหนึ่งที่เธอไว้ใจได้จริง ๆ ภายในห้องวินเซนโซที่พึ่งตื่นเต็มตา ลูคัสที่พยายามซ่อนอาการบาดเจ็บ ฮารุโตะที่คอยเช็ดเลือดจากแผลเพื่อน และอิซิเลียที่นั่งนิ่งฟังเสียงลม ทั้งสี่คนยังคงไม่รู้ชื่อของเด็กสาวที่พาพวกเขาหนีตาย แต่จากแววตาที่มองผ่านประตูระเบียง พวกเขารู้เพียงว่าเธอคือเหตุผลที่ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้
ลมเย็นของเมืองเยลโลว์ไนฟ์พัดกระทบกระจกหน้าต่างห้องพัก ทำให้ม่านโปร่งสั่นไหวเบา ๆ โมนีก้ายังอยู่ตรงตูระเบียง เธอสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ถอยออกจากอ้อมกอดของเลสเตอร์ เธอเชิดหน้าขึ้น แม้ดวงตาจะยังมีรอยแดงจาง ๆ แต่ประกายในนั้นเริ่มกลับมานิ่งและเด็ดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิม เสียงของเธอเบาแต่มั่นคง “เลสเตอร์…ถ้าต่อไปฉันรับไม่ไหว แล้วคนที่ออกมาไม่ใช่ฉัน แต่เป็นอีกบุคลิกหนึ่งของฉัน สัญญานะว่านายจะไม่ว่า”
เลสเตอร์สบตาโมนีก้าอย่างนิ่งลึก แววตาสีฟ้าสะท้อนทั้งความกังวลและความจริงจัง เขาพยักหน้าโดยไม่รีรอ “ฉันจะไม่ว่า แต่จะตามเธอกลับมาเอง ไม่ว่าจะเป็นใคร ฉันจะพาเธอกลับมาให้ได้” คำพูดนั้นหนักแน่นจนโมนีก้าหลุบตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ ที่แม้จะสั่นเล็กน้อยแต่ก็ดูอบอุ่นพอจะทำให้แก้มของเธอขึ้นสีชมพูอ่อน
โมนีก้าสูดหายใจอีกครั้งเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา “เราต้องเตรียมการ ฉันมีเอกสารแผนการของพวก LoNex อยู่ในนี้” เธอชูแหวนดาราจรัสที่ซ่อนเอกสารไว้ “เราจะช่วยกันดูข้อมูล จัดการทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่พวกมันจะขยับตัวอีก” เลสเตอร์พยักหน้าตอบรับเธอช้า ๆ
โมนีก้าสบตาเขาอีกครั้ง คราวนี้เป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ดูเข้มแข็งกว่าที่เคย ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้อง รอยเท้าของเธอบนพื้นไม้ดังแผ่วเบาแต่มั่นคง เมื่อเธอเปิดประตู ทุกสายตาภายในห้องพักก็มองมาทางเธอแทบพร้อมกัน วินเซนโซนั่งเอนพิงโซฟาด้วยท่าทีสบายแต่แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ลูคัสยืดตัวตรงแม้ยังมีผ้าพันแผลที่แขน ฮารุโตะที่กำลังเช็ดเลือดแห้งออกจากมือชะงักมอง ส่วนอิซิเลียยังคงนั่งไขว้ขาอยู่บนเก้าอี้ในมุมห้อง ใบหน้าขาวซีดแต่ดวงตาสีเทาคมกริบจับจ้องอย่างประเมิน
ภายในห้องพักที่อบอุ่นกว่าความหนาวเย็นภายนอก โมนีก้าก้าวออกมายืนกลางห้องดวงตาสีเทาเงินทอดมองสมาชิกที่นั่งพักอยู่บนโซฟาและเก้าอี้รอบห้อง ทุกคนมีบาดแผลจากการต่อสู้ให้เห็นชัด แต่ยังพยายามนั่งตัวตรง เธอสูดลมหายใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงใสแต่มั่นคง “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อโมนีก้า เอ็ม. บลอสซัม เป็นเดมิก็อดสายเทพเซเรส และมีสายเลือดของเทพเจนัสอยู่ในตัวด้วยค่ะ ตอนนี้สังกัดกองร้อยที่ 2 ค่ายจูปิเตอร์”
คำพูดยังไม่ทันจบลูคัสซึ่งนั่งพิงพนักเก้าอี้พลันขมวดคิ้ว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจ้องเธออย่างประเมิน “เพิ่งมาหรือเปล่า? เพราะผมก็อยู่กองร้อยที่สอง แต่ไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย” น้ำเสียงทุ้มจริงจังแบบทหารฟังดูไม่ใช่การตำหนิ แต่เต็มไปด้วยความสงสัย
โมนีก้าพยักหน้ายอมรับไม่คิดจะอ้อมค้อม “ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งเข้าค่ายจูปิเตอร์ได้ 14 วันค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้สายตาของทุกคนในห้องเปลี่ยนไปทันที ทั้งวินเซนโซ อิซิเลีย และฮารุโตะต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว ฮารุโตะถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ส่วนอิซิเลียที่นั่งไขว้ขาบนเก้าอี้ในชุดโกธิคโลลิต้าสีดำเพียงยกคิ้วอย่างเย่อหยิ่งแต่แฝงความสนใจ “แล้วมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ” วินเซนโซเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ น้ำเสียงนุ่มทุ้มมีเสน่ห์แต่แฝงความตื่นเต้น
เลสเตอร์ที่ยืนพิงผนังเพราะพึ่งเข้ามาในห้องตามโนีก้าจึงเป็นฝ่ายตอบแทน “ผมทำพิธีอัญเชิญโบราณครับ เพื่อให้ความช่วยเหลือมาถึงเร็วที่สุด โชคดีที่มันทำงานได้จริง…เลยส่งโมนีก้ามา”
คำตอบนั้นทำให้ลูคัสขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาคมยังจับจ้องโมนีก้า “พิธีอัญเชิญงั้นเหรอ…โชคชะตานี่ช่างโหดร้ายจริง ๆ ถึงได้โยนเด็กใหม่มาอยู่กลางภารกิจแบบนี้” น้ำเสียงฟังดูเหมือนทั้งตำหนิและเห็นใจในคราวเดียวกัน โมนีก้าหลุบตาลงเล็กน้อยตอนที่ได้ยินลูคัสเอ่ยแบบนั้น เธอระบายยิ้มบางที่ดูทั้งเหนื่อยและมุ่งมั่น “ก็คงอย่างนั้นค่ะ แต่ถ้าฉันมาแล้ว ก็จะทำให้ดีที่สุด”
เมื่อบรรยากาศเริ่มคลายลง วินเซนโซจึงเป็นคนแรกที่เอนตัวมาข้างหน้า รอยยิ้มอบอุ่นฉายบนใบหน้า “งั้นผมเริ่มก่อนละกัน วินเซนโซ เบอร์กาม็อตโต เดมิก็อดบุตรแห่งวัลแคน กองร้อยที่ 4 ช่างซ่อมบำรุงประจำทีม…กับหน้าที่หากาแฟดี ๆ ให้เพื่อน ๆ” น้ำเสียงมีเสน่ห์เจือรอยขี้เล่นจนโมนีก้าหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย
ต่อมาคืออิซิเลียที่นั่งกอดหัวกะโหลกเล็กชื่ออลันไว้ในตัก เธอเชิดคางเล็กน้อย เสียงใสแต่นิ่ง “อิซิเลีย โดมินิคัส กองร้อยที่ 1 สืบสายเลือดจากเทพีน็อกซ์…จำชื่อฉันไว้ก็พอ” แววตาคมกริบกวาดมองโมนีก้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมิน แต่ก็มีประกายที่ไม่ใช่การปฏิเสธ
ลูคัสเป็นคนต่อไป เขาตั้งหลังตรงแม้บาดแผลที่แขนยังมีผ้าพัน “ลูคัส อควินัส เดมิก็อดบุตรแห่งมาร์ส กองร้อยที่ 2 เหมือนเธอนั้นแหละ” เขาพูดสั้น ๆ แต่เสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “หวังว่าคราวหน้าจะได้เห็นฝีมือเธอในสนามที่ชัดกว่านี้นะ”
ฮารุโตะที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกทักทาย “ฮารุโตะ ฮิกะ บุตรแห่งอพอลโล่ กองร้อยที่ 5 แพทย์สนามครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณโมนีก้า” น้ำเสียงร่าเริงจนอบอุ่น ขัดกับบาดแผลตามร่างกายที่ยังเห็นรอยช้ำอยู่ชัด
โมนีก้ากวาดตามองแต่ละคนอย่างตั้งใจ ความเหน็ดเหนื่อยจากการโดนทรมารและการต่อสู้ยังฉายอยู่บนใบหน้าของทุกคน แต่ในความเหนื่อยนั้นกลับมีประกายของความเป็นพวกพ้องที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน เธอก้มศีรษะเล็กน้อย “ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ…จากนี้ไปขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” คำตอบนั้นทำให้เลสเตอร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าลึกมองเธอด้วยความรู้สึกบางอย่าง
หลังจากนั้นโมนีก้าก็เดินไปนั่งพิงโซฟาพร้อมกางเอกสารที่เพิ่งดึงออกมาจากมิติแหวนดาราจรัส กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจากการรักษาบาดแผลเพื่อน ๆ ยังคลุ้งอยู่ในอากาศ เธอเหลือบตามองเลสเตอร์ที่ยืนเก๊กเงียบอยู่ข้างเตียงก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่น้ำเสียงเจือความห่วง “จะเก๊กอีกนานไหม ไปช่วยรักษาเพื่อนสิ” น้ำเสียงแม้ฟังดูเรียบแต่กลับมีแรงบังคับนุ่มลึกจนเลสเตอร์ต้องถอนหายใจแล้วเดินไปหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอย่างจำใจ
เมื่อเลสเตอร์เริ่มดูแลบาดแผลของวินเซนโซ ลูคัส และฮารุโตะ โมนีก้าก็เริ่มภารกิจของตน เธอค่อย ๆ วางเอกสารหลายชุดลงบนโต๊ะไม้หน้าห้อง กระดาษบางแผ่นยังมีคราบเลือดและฝุ่นเหมืองติดอยู่ เธอไล่นิ้วเรียงลำดับแฟ้มแล้วเอ่ยเสียงชัด
“ระหว่างที่ทุกคนพักรักษาตัว ฉันจะสรุปข้อมูลที่ได้มาให้ฟังค่ะ องค์กร LoNex มีเป้าหมายใช้พลังงานของเอเรบัสเพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่าดวงอาทิตย์สีดำ…เรายังไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ สิ่งเดียวที่แน่ชัดคือพลังงานนี้กำลังถูกส่งไปยังใจกลางกรุงโรม” ห้องทั้งห้องเงียบกริบเมื่อคำว่า โรม หลุดจากปากเธอ วินเซนโซที่กำลังให้เลสเตอร์พันผ้าพันแผลถึงกับยกคิ้วสูง “ใจกลางโรมงั้นหรือ…ถ้าพวกมันส่งพลังงานไปถึงจริง ผลลัพธ์คงน่ากลัวกว่าที่คิด” น้ำเสียงของเขานุ่มแต่แฝงความกังวล
ลูคัสที่นั่งหลังตรงแม้ผ้าพันแผลจะรัดแน่นก็พยักหน้าช้า ๆ “ถ้าเป็นการขนส่งพลังงานปริมาณใหญ่ เส้นทางที่ปลอดภัยและควบคุมได้มากที่สุดคือทางเรือ…ฉันเดาว่าพวกมันต้องใช้ท่าเรือหลักในยุโรปเป็นจุดพัก”
อิซิเลียที่นั่งไขว่ห้างพร้อมหัวกะโหลก ‘อลัน’ ในตักเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาสีเทาเย็นเฉียบวาววับ “แต่ถ้าเป็น LoNex ฉันไม่เชื่อว่าพวกมันจะเดินเกมง่าย ๆ อาจมีเส้นทางซ้อนอีกชั้น หรือใช้ภาพลวงตาเพื่อปกปิดเป้าหมาย” ฮารุโตะที่ยืนพิงผนังด้านข้างแม้จะยังมีรอยช้ำตามแขนก็ยกมือแตะคางคิดตาม “ถ้าจะตามรอยพลังงานคงยากนะครับ ต้องมีเวลาเตรียมตัวหนักเลย” น้ำเสียงของเขายังคงร่าเริงแม้สถานการณ์จะตึงเครียด
โมนีก้าพยักหน้ารับทุกความคิดเห็นแล้วสรุปเสียงหนักแน่น “ดังนั้นเป้าหมายต่อไปของพวกเราคือหาทางติดตามเส้นทางพลังงานที่ถูกส่งไปโรม ฉันคิดว่าพวกมันจะต้องเริ่มเคลื่อนย้ายเร็ว ๆ นี้ ต้องดูที่เอกสารเพราะมันก็เยอะพอสมควร เราจำเป็นต้องหาทั้งแผนที่เส้นทางเรือและจุดพักพลังงานระหว่างทาง ถ้าสามารถระบุได้ เราจะมีโอกาสหยุดพวกมันก่อนที่ดวงอาทิตย์สีดำนั่นจะเสร็จสมบูรณ์”
เลสเตอร์ที่กำลังพันผ้าพันแผลให้ลูคัสเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีฟ้าส่องประกายท่ามกลางแสงไฟอุ่น “แผนนี้เสี่ยง แต่ถ้าเราไม่ทำก็จะไม่มีวันรอด” เขากวาดตามองทุกคนทีละคนก่อนจะหยุดที่โมนีก้า “เราจะไปด้วยกัน” เสียงพยักหน้าตอบรับจากสมาชิกทั้งสี่ดังขึ้นแทบพร้อมกันที่ได้ยิน
บรรยากาศอุ่นจากฮีตเตอร์ตัดกับลมหนาวนอกหน้าต่าง กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อยังคลุ้งอยู่ในอากาศ เลสเตอร์นั่งพิงพนักโซฟาอย่างเหนื่อยล้า สายตาสีฟ้าคมกริบกวาดมองเพื่อนทั้งสี่ที่ยังมีผ้าพันแผลตามตัว สีหน้าของพวกเขายังซีดเซียวเกินกว่าจะฟื้นได้ด้วยการพักเพียงอย่างเดียว เขาเม้มปาก ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มที่เริ่มกลับมามีน้ำหนัก “แผลพวกนี้…ต้องใช้เวทมนตร์รักษาจริง ๆ แล้วแหละ ถ้าไม่ทำ พวกเขาจะลุกขึ้นเดินเยอะ ๆ ไม่ไหวแน่”
โมนีก้าที่กำลังตรวจดูเอกสารแผนการของ LoNex เงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยิน ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนความไม่พอใจ “เดี๋ยวก่อน นายพึ่งรักษาฉันไปเมื่อวานก่อนเองนะเลสเตอร์ ถ้าฝืนอีก นายจะ…” เธอกัดริมฝีปากไม่อยากพูดคำว่าแย่ลงออกมา
เลสเตอร์ยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องเล็ก ทั้งที่รอยฟกช้ำและบาดแผลตามแขนยังสดใหม่ “ฉันไหว อาจจะสลบไปสักสามสี่วันก็เถอะ แต่คุ้ม ถ้าพวกเราจะออกเดินทางได้เร็วขึ้น” โมนีก้าลุกพรวดจนเก้าอี้ลั่น เธอจ้องตาเขาเหมือนจะลุกขึ้นไปขวาง “เลสเตอร์! ฟังฉันนะ—”
แต่เลสเตอร์กลับยกมือขึ้นเล็กน้อย ขัดจังหวะเธอด้วยรอยยิ้มกวน ๆ แบบที่เป็นเอกลักษณ์ “คราวนี้ขอดื้อบ้างไม่ได้หรือไง โมนีก้า? เธอเองก็รู้ว่าเพื่อนเราจำเป็นต้องหายเร็วที่สุด ถ้าพวกเขาแข็งแรงพอ เราก็มีโอกาสทำภารกิจต่อได้ดีเลยนะ” เสียงของเขาฟังดูร่าเริง แต่ในดวงตากลับมีประกายมุ่งมั่นจริงจัง โมนีก้ากัดฟันแน่นมองหน้าเขาความเป็นห่วงทำให้เธออยากเถียงจนใจจะขาด “แต่นายเองก็—”
“ฉันรู้ว่าตัวเองเสี่ยงแค่ไหน” เลสเตอร์พูดทับอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น “แต่ฉันเชื่อว่าตอนนี้พวกเขากลับมาพร้อม เราก็มีทีมที่สมบูรณ์ เราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้แน่นอน”
วินเซนโซที่นั่งอยู่บนเตียงอีกฝั่งยกคิ้วพลางยกถ้วยกาแฟอุ่นขึ้นจิบ แม้สีหน้าจะซีดแต่ก็ยังมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ดูเหมือนนายจะดื้อกว่าฉันซะอีกนะ เลสเตอร์” ฮารุโตะหัวเราะเบา ๆ เสียงใสแม้ใบหน้ามีรอยช้ำ “ก็อย่างที่เขาพูดนั่นแหละครับ คุณโมนีก้า เราไม่มีเวลาให้แผลมันหายเองจริง ๆ”
ลูคัสที่กำลังนั่งหลังตรงเหมือนนักรบในสนามรบพยักหน้าเชื่องช้า “การรักษาเวทมนตร์เป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าเราอ่อนแอศัตรูจะได้เปรียบ” อิซิเลียที่นั่งไขว่ห้างกอดหัวกะโหลกอลันไว้ในตักเหลือบตามองเลสเตอร์แล้วหัวเราะในลำคอ “ในที่สุดก็มีคนที่กล้าดื้อแข่งกับฉันเสียที…ทำไปเถอะถ้าคิดว่าทำได้”
โมนีก้าหันมองหน้าแต่ละคน ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนทั้งความกังวลและการยอมจำนน เธอสูดลมหายใจลึก ปล่อยให้มือที่กำแน่นคลายลง “ถ้าฉันห้ามไม่ได้…ก็อย่าให้ฉันต้องเห็นนายทรมานมากกว่านี้ล่ะ” น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อยแต่ยังคงแข็งแรงพอที่จะเอ่ยต่อ “สัญญาว่าจะตื่นเร็ว ๆ ได้ไหมล่ะ” เลสเตอร์ยิ้มบาง ๆ ทั้งที่เหงื่อซึมตามไรผม “สัญญา” เขาตอบสั้น ๆ แต่สายตาที่สบกับเธอมีทั้งความดื้อรั้นและความอ่อนโยนปะปนกัน
หลังจากนั้นในห้องพักของโรงแรมที่เยลโลว์ไนฟ์ เสียงฮีตเตอร์ดังหึ่งคงที่ตัดกับความหนาวนอกหน้าต่าง โมนีก้านั่งคุกเข่าอยู่บนพรมโดยมีเอกสารกองหนึ่งวางเกลื่อนอยู่ตรงหน้า แสงไฟส้มอุ่นจากโคมข้างหัวเตียงทำให้เส้นผมสีม่วงครามของเธอเปล่งประกายราวกับไหมเงิน เธอพยายามตั้งสมาธิอ่านข้อมูลที่ขโมยมาจากศูนย์วิจัย ทั้งที่หัวใจยังเต้นแรงเพราะเป็นห่วงชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง ด้านหลัง เลสเตอร์กำลังใช้พลังรักษาบาดแผลให้เพื่อนทั้งสี่คน เสียงลมหายใจของเขาหนักและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เหงื่อเกาะตามไรผมจนหยดลงที่พรม ข้อมือสั่นเล็กน้อยเมื่อยกมือไปแตะร่างเพื่อนแต่ละคนเพื่อส่งพลัง โมนีก้าต้องกัดริมฝีปากตัวเองไม่ให้หันไปมอง เธอรู้ว่าหากเธอเผลอมองเขา ความเป็นห่วงจะทำให้เธอหยุดทำงานทันที
เสียงกระดาษถูกพลิกเบา ๆ ดังขึ้นเมื่อโมนีก้าเจอแผ่นเอกสารที่มีตราประทับ LoNex และแผนผังเส้นทางขนส่ง เธอรีบก้มลงอ่าน ดวงตาสีเทาเงินฉายแววตื่นตระหนก “มอนทรีออล…ท่าเรือริมแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์” เธอพึมพำก่อนเงยหน้ามองทุกคน “พวกมันจะขนพลังงานของเอเรบัสขึ้นเรือบรรทุกไปโรมในอีกสองสามวันข้างหน้า ที่ท่าเรือมอนทรีออลค่ะ มันเป็นศูนย์กลางขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ใหญ่ของแคนาดาตะวันออกสู่ยุโรป”
วินเซนโซที่นอนพิงหมอนตะแคงหันมามองตาโต แม้จะบาดเจ็บแต่ยังคงคารมดี “พวกเราจะตามมันไปได้ยังไง เรือขนส่งของ LoNex ไม่ใช่จะซื้อตั๋วขึ้นตามสบายเหมือนรถไฟนะ” อิซิเลียที่นั่งกอดหัวกะโหลกอลันบนตักขมวดคิ้ว “ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่…ถ้าพวกมันใช้เส้นทางนี้ ต้องมีการป้องกันเข้มกว่าศูนย์วิจัย”
ลูคัสที่ยังนั่งหลังตรงเหมือนนักรบกำลังคำนวณในใจ “เราต้องมีเรือหรือเครื่องบินส่วนตัว ไม่งั้นไม่มีทางไล่ทัน” เสียงเลสเตอร์ดังขึ้นจากเตียง แม้จะฟังดูแผ่วราวกับคนกำลังจะหมดแรง “โทร…นักบิน…” เขาหอบหายใจหนักแต่ยังพยายามพูดต่อ “เบอร์อยู่…ในกระเป๋าฉัน…บอกให้เตรียมเรือ…”
ทุกคนหันขวับไปทางเตียง เห็นเลสเตอร์โงนเงนเหมือนจะล้ม โมนีก้ารีบลุกพรวดแทบจะพุ่งไปหาเขา “เลสเตอร์!”
ชายหนุ่มพยายามยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มกวน ๆ ที่จางราวกับภาพเลือน “แค่หลับ…ไม่ต้องห่วง…” คำพูดขาดห้วงก่อนที่ร่างของเขาจะฟุบลงไปกับหมอนทันที โมนีก้าหัวใจแทบหยุดเต้น เธอก้าวฉับ ๆ ไปข้างเตียงทันทีแต่ฮารุโตะที่นั่งใกล้กว่าเอื้อมมือมาหยุดเธอไว้ เขาเอานิ้วแตะชีพจรที่ข้อมือของเลสเตอร์ ตรวจลมหายใจแล้วพยักหน้า “ไม่เป็นไรครับ เขาแค่หลับ ร่างกายใช้พลังเกินเหตุและคงเครียดมานานเกินไป ต้องพักยาวหน่อย”
เสียงถอนหายใจดังจากทุกคนรอบห้องความตึงเครียดคลายลงทันที โมนีก้าทรุดตัวนั่งข้างเตียง มือสั่นเล็กน้อยแต่ค่อย ๆ วางลงบนผ้าห่มที่คลุมเลสเตอร์ เธอพูดเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ “ขอบคุณนะ…พักเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”
วินเซนโซพิงหัวกับกำแพงยิ้มบาง “เด็กคนนี้ดื้อไม่แพ้เลสเตอร์เลยนะ”
อิซิเลียกลอกตา “ดื้อกันทั้งคู่ต่างหาก”
ลูคัสถอนหายใจยาว “แต่ก็ดีแล้ว ที่เขาทำให้เรายังยืนอยู่ตรงนี้ได้”
ฮารุโตะยิ้มอ่อนมองโมนีก้าอย่างเห็นใจ “พวกเราจะช่วยกันครับ คุณไม่ได้สู้คนเดียว”
โมนีก้าหันมามองเพื่อนใหม่ทั้งสี่ รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าที่แม้จะยังซีดจากความกดดัน แต่ในดวงตากลับมีประกายมุ่งมั่น “วันนี้พักผ่อนก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราจะหาเส้นทางและแผนกันต่อ” ในขณะที่เลสเตอร์หลับใหลอย่างสงบ เสียงลมหนาวนอกหน้าต่างยังคงพัดกระทบกระจก เสมือนเป็นจังหวะเตือนว่าภารกิจยังไม่จบ แต่ในค่ำคืนนี้ ทุกคนในห้องเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ก้าวข้ามความสิ้นหวังไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

Summary Cards – Burgundy
Lester Papadopoulos
Z z zzZZ Z z Z Z Z (หลับเป็นตายไปสัก 5 วัน)
Moneka M. Blossom
โมนีก้าและทุกคนเดินทางมาที่โรงแรมในเมือง โมนีก้าเป็นคนออกเงินค่าห้องให้ คราวนี้เลสเตอร์ได้ให้กำลังใจโมนีก้า เขารู้ว่าเธอควรที่จะมีคูลดาวน์ความรู้สึกของเธอ และเมื่อโมนีก้าเข้มแข็งเธอก็พร้อมทำงานต่อ เลสเตอร์คอยรักษาเพื่อน ๆ ไปด้วยระหว่างที่โมนีก้าและทุกคนอ่านเอกสาร เขาเตือนเพื่อน ๆ ไว้ว่าจะสลบหลังจากนี้ และพอได้รู้ว่าต้องใช้เรือ เขาเลยบอกให้พวกเธอติดต่อเพื่อนสนิทของเขาให้เตรียมเรือไว้ให้ก่อนสลบไป เรียกว่าหลับที่ไม่ได้หลับมายาวนานดีกว่า
[เลสเตอร์ใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูเพื่อน ๆ เขาสลบไปอีก 5 วัน จะตื่นในวันที่ 25 เดือนกันยายน 2025]
[รับทราบข้อมูลต่อไป เป้าหมายการเดินทางคือ ท่าเรือมอนทรีออล ควิเบก เพื่อลงเรือตามเรือของ LoNex]
[อยู่ในช่วง Cool Down]
[สมาชิกในทีมพักผ่อนและจะเตรียมตัวออกเดินทางในช่วงเช้า]
[เริ่มต้น ช่วงที่ 16-20: การตามล่า (The Hunt for the Core)]
Vincenzo Bergamotto
(น่าจะขี้เกียจเขียนรายงานความรู้สึกอยู่ หรือถ้าจะเขียนน่าจะเขียนแค่ว่า หิวกาแฟครับหรือคิดถึงแฟน---)

โมนีก้าจ่ายเงินค่าโรงแรม 3 ห้อง ราคารวม 600 ดอลลาร์
(จ่ายแล้วจ้าคุณพี่ ไม่ต้องมาหักอีกนะ รอบนี้โอนได้แล้ว 55+)
[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส
พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5
โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20