เธอไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
เนตรคู่คมจรดลงมองข้อความบนหน้ากระดาษพร้อมกับหัวเราะด้วยความจนใจ แม้แต่ทวยเทพยังกล้าชักจูง หากไม่ใช่ว่าเธอถือครองความงามอันเป็นนิรันดร์ บางทีเนเรซ่า เฮนลาดิสคนนี้คงจะเหมาะกับการเป็นทายาทของเทพแห่งคำลวงหลอกเสียยิ่งกว่าใคร บุตรสาวของอะโฟร์ไดท์พับจดหมายเก็บลงในกระเป๋าไหมพรม สองตาช้อนขึ้นมองภาพสะท้อนในกระจกเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย , เนเรซ่าพิถีพิถันกับภาพลักษณ์เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้
เส้นผมสีบลอนด์ถูกถักเป็นเปียเดี่ยวพาดลงที่ไหล่ซ้าย ใบหน้าเรียวถูกฉาบด้วยแป้งขาวบาง ๆ พร้อมกับการผัดแป้งสีกุหลาบเน้นบริเวณใต้ตาให้ดูแดงระเรื่อ
เธอต้องรับบทสาวอกหักผู้ชอกช้ำและเจ็บใจ
มากถึงขนาดกล้าวอนขอความช่วยเหลือจากทวยเทพน่ะนะ
เนเรซ่าเม้มริมฝีปากที่มันวาวเพราะลิปบาล์มเข้าด้วยกัน เธอค่อย ๆ พรมน้ำหอมกลิ่นกุหลาบลงตามจุดชีพจรบนข้อมือ รวมไปถึงลำคอทั้งสองฝั่งอย่างเชื่องช้า ก่อนจะผละออกจากโต๊ะเครื่องแป้งง และเดินเอามือไขว่หลังอย่างใจเย็นไปยังสถานที่นัดหมายที่ถูกเขียนไว้
,
ทะเลสาบกลางค่ายคือสถานที่นัดหมายที่ว่า
ถึงแม้ทะเลสาบจะดูเป็นพื้นที่สงบแถมยังมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่ทว่าสำหรับทะเลสาบกลางค่ายที่มีแต่เด็กวัยคึกคะนอง เนเรซ่ากล้ารับประกันเลยว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ตลอดเส้นทาง เธอพบพุ่มไม้สั่น ๆ และรุ่นน้องมากมายในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยที่พยายามพากันวิ่งกระหืดกระหอบหลบมุมราวกับว่าตัวเองสามารถล่องหนได้ อันที่จริงตัวเธอเองก็ยังถือว่าอยู่ในช่วงวัยที่สามารถทำอะไรบ้าบิ่นแบบนั้นได้ และก็ใช่ว่าเธอจะไม่เคยทำ แต่เมื่อมาใช้ชีวิตอยู่กับสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยเยาวชน บางทีการสงวนท่าทีก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะต้องคอยระลึกเอาไว้ในทุกช่วงเวลา
สาวปารีเซียงแสนปราดเปรียวในภาพลักษณ์เรียบร้อยอ่อนหวานเยื้องย่างมาจนถึงทะเลสาบ เธอกวาดสายตามองซ้ายขวา พร้อมกับหยิบจดหมายขึ้นมาถือไว้ในมือท่ามกลางความสงบ ในตอนนี้มีเพียงอากาสที่เย็นเฉียบ เสียงฝีเท้า และการขยับตัวเพียงเล็กน้อยของเธอเท่านั้นที่ทำให้ทราบว่าภายในพื้นที่ใจกลางค่ายยังคงปรากฏร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ท่าทางคงจะเป็นการจัดแจงของแอรีส ในเมื่อเป็นการนัดหมายเพื่อหารือแผนการ อย่างน้อยเขาก็ควรจะจัดการรอบด้านให้อยู่ในสภาพที่เรียกว่า ‘เหมาะแก่การหารือ’
“ ท่านแอรีส… ” เสียงนุ่มเรียกหาเทพแห่งสงครามด้วยทีท่าประหม่า
“ ท่านคะ ? ” เนเรซ่าเรียกซ้ำอีกครั้งอย่างกังวล เธอเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยในระหว่างที่ยกจดหมายขึ้นแนบอก รอบด้านยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบรับประหนึ่งว่าการนัดหมายนี้เป็นเพียงสิ่งที่เธอเพ้อฝัน มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากเธอจะถูกเขาหลอกให้ตายใจ ยังไงเดิมพันนี้ก็ถือว่าเป็นการเล่นเกินตัว แต่สำหรับจอมเข้าบทบาทที่กล้าได้กล้าเสียอย่างเนเรซ่า แน่นอนว่าเธอไม่คิดถอยกลับง่าย ๆ อยู่แล้ว ร่างเน่งน้อยของบุตรสาวอะโฟร์ไดท์ทรุดลงนั่งกับพื้น เธอกดใบหน้าลงพร้อมกับห่อไหล่ให้ลำตัวดูลีบเล็กที่สุดก่อนจะใช้เวลารำพึงรำพันอย่างเสียดายอยู่อย่างนั้นจนสัมผัสได้ถึงระลอกลมลูกใหญ่ที่มาพร้อมกับเสียงปะทะดังปึงปังอันเป็นสัญญาณการมาถึงของชายที่ชื่นชอบการเป็นจุดสนใจเสียเหลือเกิน
“ ข้านึกว่าคนที่กล้าส่งจดหมายถึงข้าจะเป็นคนกล้าหาญกว่านี้ซะอีก ”
“ ท่าทางปวกเปียกเช่นนั้นคืออะไร เจ้าคิดจะแก้แค้นไม่ใช่หรือยังไง ? ”
ร่างสูงใหญ่บึกบึนพร้อมด้วยเสียงเข้มขลังทรงพลังปรากฏกายขึ้นท่ามกลางหมอกควันที่คละคลุ้ง
แอรีสได้มาถึงแล้ว
เทพแห่งสงคราม การทะเลาะวิวาท การใช้กำลังรวมไปถึงตัวแทนของผู้ทรงพลังได้มาถึงค่ายเล็ก ๆ ที่อัดแน่นไปด้วยทายาทผู้สืบสายเลือดของพวกเขา ‘แอรีส’ ปรายตาลงมองร่างน้อยที่นั่งอยู่กับพื้น เด็กสาวคนนั้นมัวแต่ง่วนอยู่กับการใช้สองแขนบาง ๆ ปัดควันไปมาในระหว่างที่กำลังไอจนตัวโยก
เทพแห่งกำลังกอดอกพร้อมเชิดใบหน้าขึ้นเฝ้ารอการเทิดทูนจากเด็กสาวเหมือนอย่างที่เขาเคยได้รับอยู่เสมอ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งหมดกลับมีเพียงความเงียบ , ไร้ซึ่งเสียงการเอ่ยปาก หรือแม้แต่การพุ่งเข้ามาเอาอกเอาใจอย่างที่คุ้นชิน เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ แอรีสที่กำลังงุ่นง่านก็ก้มลงหมายจะตำหนิทายาทของชู้รัก แต่กลับได้พบกับเทพธิดาน้อยที่ใช้สองตากลมกระจ่างสบมองตัวเขาอย่างสงสัยใคร่รู้
คำตำหนิที่มีไว้เพื่อเย้ยหยันและกดดันคนรอบกายถูกกลืนลงลำคออย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนว่าจุดอ่อนวีรบุรุษมักเป็นสาวงาม แม้จะไม่ถือว่างามหยาดย้อยชวนให้ใฝ่ฝันหาเท่ามารดาแต่ก็ถือว่าเป็นความงามที่เจือไว้ด้วยรสชาติความน่าเอ็นดูที่ไม่เคยได้สัมผัส
อะโฟร์ไดท์มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมและการล่อลวง , เขารู้
แต่ทายาทที่ได้รับผลพลอยของความงามนั้นกลับดูบอบช้ำอย่างน่าประหลาด
แอรีสเคยนึกภาพเอาไว้ในคราวที่เขาได้รับจดหมาย แม้ว่าเหล่าทายาทอะโฟร์ไดท์จะไม่เคยมีใครที่ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ถึงขนาดที่ถูกคนโยนทิ้งแล้วหันไปหาเหล่าทายาทนังตัวแสบอย่างอะธีน่า บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้ถือว่างาม หรือไม่ก็มีตำหนิร้ายแรงที่ไม่อาจมองข้าม ทว่าเด็กสาวตรงหน้ากลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด “ ถ้าอย่างนั้นปัญหามันอยู่ที่ตรงไหนกัน.. ” แอรีสพึมพัม เขากวาดสายตามองเด็กสาวตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะได้คำตอบมาเป็นหนึ่งคำง่าย ๆ ที่คงจะสะเทือนใจสาวหลาย ๆ คน
“ จืดชืด ”
“ เจ้าช่างจืดชืดเหลือเกิน ”
ราวกับมีฟ้าผ่ากลางศีรษะ เนเรซ่าหน้าซีดขึ้นทันตา เธออ้าปากพะงาบ ๆ ราวกับมีเรื่องในใจอยู่นับร้อยนับพัน การจะบอกว่าเธอในตอนนี้ดูจืดชืดก็ไม่ถือว่าแปลก ดูเอาจากทรงผมสุดเนิร์ดพร้อมด้วยเสื้อเชิร์ตสีขาวที่สวมสเวตเตอร์ไหมพรมสีครีมทับไว้ด้านนอกดูเรียบร้อย จับคู่กับกระโปร่งผ้าลินินสีครีมทรงกระสอบ และยังมีถุงเท้าหนาสีขาวที่เผยขอบโผล่ออกมาเหนือรองเท้าผ้าใบสีดำ
“ ประหลาดนัก เจ้าแต่งตัวเหมือนพวกบ้าตำรา ”
“ แต่ก็ยังมีบรรยากาศคล้ายกับพวกสาวแรกรุ่น.. นั่นคงเป็นข้อดีของเจ้า ดูบริสุทธิ์ ชักจูงง่าย ไม่งี่เง่าหรือทำตัวน่ารำคาญ ”
ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งเอามีดกรีดลงกลางใจ สีหน้าของเด็กสาวดูย่ำแย่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเทพแห่งการเย้ยหยันถึงกับนึกสมเพชขึ้นมาอีกครั้ง “ นี่เจ้าตั้งใจจะแก้แค้น หรือมาเล่นตลกให้ข้าดูกัน ” เสียงเข้มดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ เนเรซ่าค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นทีละน้อยเพื่อพบกับเงาใหญ่ที่พาดครอบทั่วทั้งตัวของเธอ รวมไปถึงใบหน้าทรงเสน่ห์ของผู้เป็นเทพที่ปรากฏความเวทนาอยู่บนนั้น แอรีสเป็นคนตัวสูงใหญ่ เขาครอบครองกลิ่นอายความเป็นผู้นำที่บ้าคลั่งและทรงพลัง เหมือนกับพวกคนประหลาดที่มีความคิดเอาตัวเองเป็นใหญ่ อย่างเช่น.. ไม่ใช่เขาที่คู่ควรกับชัยชนะ แต่เป็นชัยชนะต่างหากที่คู่ควรจะมาเป็นของเขา
“ ทั้งที่ครอบครองใบหน้านั้นแต่กลับใช้งานไม่เป็น อะโฟร์ไดท์คงผิดหวังในตัวเจ้าน่าดู ”
แอรีสทอดมองนัยน์ตาที่สั่นไหวด้วยความจรรโลงใจ แต่นั่นก็เป็นได้แค่ไม่นาน เนเรซ่าวาดรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า เธอยกมือหนึ่งขึ้นเกลี่ยปอยผมทัดหูก่อนจะหลุบสายตาลงหลบเนตรคม “ ฉันรู้ค่ะ ” ท่ามกลางแม่ที่มีทายาทมากมาย ความรักของหล่อนกับพ่อของเธออาจจะเป็นแค่ชั่วพริบตาเดียว ความสัมพันธ์ุฉาบฉวยที่กลายมาเป็นลึกซึ้งเพียงแค่เพราะเลือดเนื้อเชื้อไขเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน เธอเคยคาดหวังว่าตัวเองจะเป็นที่รัก แต่เมื่อโตขึ้น เนเรซ่าก็เข้าใจดี , แค่เป็นที่รัก ไม่สามารถตอบหรือสนองทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการได้ และเพราะความโลภเช่นนั้น สุดท้ายแม้แต่ทวยเทพก็จะคาดหวัง รวมไปทั้งผิดหวังในเหล่าเลือดเนื้อเชื้อไขในสักวันอยู่ดี
“ จนถึงตอนนี้ฉันยังลังเลอยู่เลยด้วยซ้ำ ”
“ เพราะอาจจะเป็นฝ่ายฉันเองที่ผิดพลาดไป ”
ปลายนิ้วนุ่มสัมผัสลงกับพื้น เนเรซ่าวาดนิ้วไปมา เริ่มจากวงกลมขนาดเท่ามือ ก่อนจะซ้อนด้วยวงกลมอีกวงที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก่อนจะเขียนตัวอักษรลงบนช่องว่างระหว่างวงกลมทั้งสองวงเป็นประโยคที่ว่า ‘ แด่ความรักไร้จุดจบที่มีมากนับอนันต์ ’ พร้อมกับนึกถึงอะโฟร์ไดท์ผู้เป็นมารดาและปิดท้ายด้วยการเงยหน้าขึ้นพร้อมด้วยการหัวเราะ
“ จะมีความงามไว้ทำไมหากไร้ซึ่งคนเชยชม ” รูปลักษณ์ไม่ยั่งยืน ใคร ๆ ก็พูดแบบนั้น สำหรับสายเลือดอะโฟร์ไดท์ย่อมไม่มีทางที่จะมากังวลกับภาพลักษณ์หรือหน้าตา สิ่งเดียวที่พวกเขากังวล คือการขาดซึ่งคนที่กล้าพอจะเดิมพันกับจิตใจของผู้ถือครองความงดงาม “ ทำไงได้ล่ะคะท่านแอรีส , พวกเราเหมือนกับต้องคำสาป ตราบใดที่ยังมีแนวคิดที่ว่า คนยิ่งงามก็ยิ่งอันตราย พวกเราสายเลือดอะโฟร์ไดท์ก็คงไม่มีวันได้เจอกับรักที่ดีอย่างใจนึก ”
แอรีสรับฟังเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับลูก ๆ ของเขาโดยไม่คัดค้าน เขาปล่อยให้เจ้าของจดหมายแค้นได้ปลดเปลื้องความในใจ โดยไม่รู้เลยว่าเทพแห่งการเย้ยหยันได้เตรียมการโต้กลับเอาไว้แล้ว
“ ขอโทษนะคะ ท่านคงไม่ได้อยากมาฟังเรื่องราวไร้สาระของเด็กสาวแบบฉันอยู่แล้ว … แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราก็มีขีดจำกัดนะคะ ! ”
“ อย่างน้อยขอแค่ได้เจอหน้า ฉันก็มั่นใจว่าจะสามารถอยู่ในใจเขาได้อีกครั้ง เหมือนกันกับท่าน ”
ท้ายประโยคแผ่วเบาโดยไร้การบอกกล่าว แต่ถึงอย่างนั้นแอรีสก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
“ เจ้าว่าไงนะ ? ”
มันไม่ใช่การถามไถ่เพื่อให้ทบทวน แต่เป็นการย้อนกลับเมื่อเด็กสาวนึกกำเริบเสิบสานใช้มนเสน่ห์กับเขา แอรีสผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคมนั้นปรากฏรอยเส้นเลือดนูนขึ้นที่ขมับอย่างน่าขำ ทว่ายังไม่ทันให้โทสะของทวยเทพได้แผลงฤทธิ์ เด็กสาวตัวน้อยก็เบี่ยงกายหลบไปอีกทางเผยให้เห็นเงาร่างสะโอดสะองของคนผู้หนึ่ง
คนเหรอ ? ไม่สิ .. เทพีต่างหาก
“ แอรีส ”
อาศัยเพียงการเรียกแค่ครั้งเดียว ความแง่งอนที่สั่งสมมาก็หายสิ้นจนไร้ร่องรอย แอรีสขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคืองพร้อมกับกำหมัดเพื่ออดกลั้นเมื่อพบว่าตัวเองหลงเข้ามาอยู่ในวังวนลวงโลกของเทพีแห่งความรักอีกครั้ง
“ … ”
“ อะโฟร์ไดท์ ”
เอาล่ะ ละครเทพสร้างมาแล้ว
เนเรซ่ากระเถิบกายนั่งจุ้มปุ้กที่ใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับหยิบป๊อปคอร์น(?)ออกมานั่งทานระหว่างดูฉากพระนาง(??)กลับมาพบกันในรอบหลายเดือน
“ แอรีสที่รัก.. หนนี้ท่านไม่อาจหนีเราได้อีกแล้ว ”
“ ข้าไม่เคยหนี ”
เสมือนหมีตัวใหญ่ที่พกการงอนมาเต็มกระบุง ถึงจะตกอยู่ในบ่วงความงามแต่สัญชาตญาณที่ต้องการจะเอาชนะกลับมีมากกว่าจนเผลอตัวสวนกลับด้วยท่าทางดุร้ายจนอะโฟร์ไดท์ชะงักไปด้วยความตกใจ
“ ก็ได้.. ท่านไม่เคยหนี ”
เทพีสาวเลือกใช้การประนีประนอมเข้าสู้ เธอย่างกายเข้าไปเคียงข้างเทพวีรชนก่อนจะวางมือลงบนไหล่กว้างและลากไล้ลงแนบแผ่นอกแกร่ง “ แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมพบเรา ” เสียงหวานของอะโฟร์ไดท์ราวกับมีมนต์สะกดแทรกอยู่ ทำให้แอรีสได้แต่ขมวดคิ้วอย่างงุ่นง่าน เขาอยากจะผละตัวออกแต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างใจนึกเมื่อนึกไปถึงความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายอาจจะบาดเจ็บในระหว่างที่เขาขัดขืนไมตรี
“ แค่ไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ”
คำตอบที่เหมือนถูกกลั่นออกมาจากสมองเด็กสามขวบทำเอาอะโฟร์ไดท์ถึงกับต้องกะพริบตาปริบ เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดูพลางเลื่อนมือขึ้นเชยปลายคางหนา “ อย่านึกชังข้านักเลยยอดรัก ท่านคือผู้ชนะหนึ่งเดียวในใจข้า และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ”
..
เนเรซ่ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูหนังรักอีโรติกเรทผู้ใหญ่ที่สมควรจะมีผู้ปกครองคอยนั่งประกบเยาวชนขณะกำลังรับชม เสียก็แต่ผู้ปกครองที่ควรจะคอยห้ามปรามให้เธออยู่กับร่องกับรอยกลับกลายมาเป็นนักแสดงหลักที่กำลังเย้ายวนชู้รักอย่างออกหน้าออกตา เดิมทีเธอคิดจะปลีกตัวอยู่แล้ว ใครจะไปนึกว่าแค่ก้มหน้าลงเก็บเศษป๊อปคอร์น เงยขึ้นมาอีกทีจะได้ภาพบาดตาอย่างการที่เทพแห่งสงครามกำลังจูบเทพีแห่งความรักอย่างดูดดื่มประหนึ่งโหยหามานาน
ไม่เพียงเท่านั้น , เนเรซ่าพบว่าตัวเองสบตากับมารดาผู้ให้กำเนิด เธอคนนั้นแม้จะง่วนอยู่กับจุมพิตลึกล้ำแต่ก็ไม่วายยิ้มให้เธอด้วยความภูมิใจ ก่อนจะถูกเทพแห่งสงครามโอบอุ้มไปยังเรือแคนูที่อยู่ไม่ไกล
บุตรสาวอะโฟร์ไดท์อ้าปากค้างในทันตา เธอรีบรวบข้าวของรอบตัวขึ้นจากพื้น ก่อนจะกระหืดกระหอบวิ่งออกไปเหมือนกับพวกเด็ก ๆ วัยคึกคะนองก่อนหน้านี้ไม่มีผิด ทว่าเมื่อคิดว่าออกมาได้ไกลพอจนเริ่มชะลอฝีเท้า เธอกลับได้ยินเสียงครวญครางใจแทบขาดมาพร้อมกับการคำรามในลำคอของนักรบผู้เป็นยอดวีรชนที่ทำให้เธอต้องรีบวิ่งแจ้นกลับเคบินเสียยิ่งกว่าเดิม
โอ๊ย ไอพวกเทพตัณหากลับพวกนี้นี่ !!