'ซินแคลร์' เป็นชื่อที่ โอลิเวีย ตั้งให้กับลูกสาวสุดที่รัก นามนั้นมาจากตัวเอกในวรรณกรรมที่โอลิเวียชื่นชอบ หากคุณเคยอ่านวรรณกรรมเรื่องหนึ่งของ เฮอร์มานน์ เฮสเส ที่มีชื่อว่า 'เดเมียน' คุณจะต้องรู้จักเรื่องราวของ 'เอมิล ซินแคลร์' อย่างแน่นอน แต่เจ้าของนามกลับไม่ชื่นชอบเท่าไรนัก เพราะคำว่า 'Sin' เมื่อมาอยู่ในชื่อแล้วซินแคลร์ได้แต่แอบขบคิดว่ามันช่างดูไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย! ดังนั้นซินแคลร์จึงชอบที่จะให้ใครก็ตามเรียกเธอสั้น ๆ ว่า 'แคลร์' มากกว่า มีเพียงแค่มารดากับน้าของเธอเท่านั้นที่เรียกเธอด้วยชื่อ ’ซินแคลร์‘ ทว่าน่าเศร้าที่โอลิเวียได้จากโลกนี้ไปเป็นนางฟ้าบนสรวงสวรรค์เสียแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลเดียวที่ซินแคลร์ไม่ยอมเปลี่ยนชื่อทั้งที่ตนเองไม่ได้ชอบมัน คงเป็นเพราะมันเปรียบเสมือนสิ่งสำคัญอันแสนล้ำค่าที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ด้วยชื่อที่มารดาตั้งใจมอบให้อย่างไรเสียซินแคลร์ก็ยังรู้สึกเหมือนกับแม่ยังอยู่เคียงข้างเธอเสมอ ถึงกระนั้นชีวิตของซินแคลร์ก็มิได้ขาดตกบกพร่องหรืออัตคัดขัดสนอะไร เพราะเธอมี ‘รีเบคก้า’ น้าสาวที่แสนดีคอยดูแลเธอเหมือนกับแม่แท้ ๆ
ซินแคลร์อาศัยอยู่กับรีเบคก้าผู้เป็นน้า ณ บ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งที่เป็นมรดกของคุณยายในซีแอตเทิล โอลิเวียแม่ของเธอเป็นนักเขียน ส่วนน้ารีเบคก้าเป็นครูสอนเปียโน ครั้นเมื่อซินแคลร์อายุได้ 7 ขวบ โอลิเวียผู้เป็นมารดาได้จบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ทำให้ซินแคลร์ที่ยังเด็กต้องอาศัยอยู่กับน้าเพียงสองคน ทั้งสองสนิทกันมากและซินแคลร์ก็ชอบเวลาที่รีเบคก้าสอนให้เธอเล่นเปียโนเป็นที่สุด เกือบทุกวันรีเบคก้าจะต้องออกไปสอนเปียโนให้กับเด็ก ๆ บ้านคนรวยที่พ่อแม่มีเงินพอจะจ้างครูให้ไปสอนเปียโนลูกถึงบ้าน ทำให้บางครั้งซินแคลร์จำเป็นต้องอยู่ที่บ้านคนเดียว แม้ซินแคลร์จะเป็นเด็กว่าง่ายแต่ออกจะค่อนข้างเอาแต่ใจเฉพาะกับรีเบคก้าเท่านั้น ดังนั้นเด็กหญิงจึงมักจะหาข้ออ้างให้น้าออกไปสอนเปียโนไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่ามีหรือที่รีเบคก้าจะเสียรู้ให้หลานสาว รีเบคก้าที่ต้องคอยติดหาวิธีรับมือกับหลานสาวจึงเช่าที่และเปิดคอร์สสอนเปียโนข้างโบสถ์ นี่อาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะหิ้วหลานสาวตัวดีไปไหนมาไหนด้วยโดยไม่เดือดร้อน รายได้ส่วนหนึ่งรีเบคก้าจะบริจาคให้กับทางโบสถ์และเด็กกำพร้ายากไร้เสมอ
ในช่วงวัยเด็กซินแคลร์ประสบปัญหา โรคดิสเล็กเซีย ขั้นรุนแรง ซินแคลร์ไม่สามารถอ่านหนังสือ เขียนศัพท์ง่าย ๆ หรือออกเสียงได้คล่องแคล่วเหมือนกับเด็กปกติทั่วไปแม้จะอายุ 10 ขวบแล้วก็ตาม สิ่งเดียวที่ซินแคลร์รับรู้ได้อย่างแจ่มชัดคืออารมณ์จากท่วงทำนองของบทเพลงและตัวโน้ต ปัจจุบันแม้การสื่อสารผ่านการสนทนาและการฟังจะพัฒนาขึ้นแล้ว แต่ทักษะด้านการอ่านสำหรับซินแคลร์นั้นยังถือว่าเป็นปัญหาอยู่ ทักษะการเขียนและเรียบเรียงคำให้ออกมาเป็นภาษายิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกหนึ่งอย่างที่เป็นอุปสรรคคือ โรคสมาธิสั้น สิ่งที่พอจะทำให้ซินแคลร์สามารถอยู่นิ่ง ๆ ได้โดยที่ไม่วอกแวกคือเสียงเปียโนของรีเบคก้าและการบรรเลงเพลง ตั้งแต่นั้นมาเด็กสาวจึงค้นพบว่าสิ่งที่ทำให้เธอมีสมาธิราวกับว่าสิ่งรอบตัวหายไปก็คือการเล่นเปียโน ฟังเสียงดนตรี หรือฟังพอดแคสต์ มิเช่นนั้นก็อาจจะต้องเป็นความเงียบที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ย่างเข้าอายุ 12 ปี ซินแคลร์เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นรอบตัว เธอมักจะสัมผัสได้ว่ามีใครกำลังตามเธอกลับบ้าน ตามไปโรงเรียน ติดตามไปทั่วทุกหนทุกแห่ง! สายตาคู่นั้น…หรืออาจจะหลายคู่? กำลังจ้องมองเธอเกือบทุกชั่วขณะเวลาที่อยู่คนเดียว ซินแคลร์เริ่มกลัวช่วงเวลาในตอนกลางคืน ความมืด หรือการต้องอยู่คนเดียวยามราตรี ฟังเผิน ๆ อาจจะคล้ายกับอาการเด็กกลัวสัตว์ประหลาดใต้เตียง แต่มันกลับหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเงาน่าสะพรึงกลัวที่ตามหลอกหลอนเด็กสาวอยู่ปีครึ่งได้ปรากฏกายจากความมืดออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก…
เมื่อเริ่มเติบโตขึ้น ซินแคลร์ไม่อยากสร้างปัญหาให้รีเบคก้าอีกต่อไป การอยู่คนเดียวไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว เธอพบว่าออกจะชอบมันด้วยซ้ำ (หากไม่นับรวมกับการต้องหาสารพัดวิธีในการเอาตัวรอดจากตัวประหลาดที่ดูเหมือนจะมีเพียงเธอเท่านั้นที่มองเห็นละก็นะ) ซินแคลร์มักจะใช้เวลาว่างนั่งแต่งเพลงในห้องพร้อมกับเฝ้ามองตะวันลับขอบฟ้าในยามเย็น ฟังพอดแคสต์บ้างบางเวลา หรือออกไปเป็นอาสาสมัครในวันที่ฟ้าฝนเป็นใจ และเธอยังเป็นนักกีฬาของโรงเรียนอีกด้วย กรีฑาเป็นกีฬาที่ซินแคลร์ชื่นชอบมากที่สุด เพราะตอนที่ได้ออกตัววิ่งนั้นมันทำให้สมองปลอดโปร่งราวกับทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง แถมยังเป็นประโยชน์อย่างมากในการวิ่งหนีให้พ้นอสูรกายน่ากลัวพวกนั้นเสียด้วยสิ ให้ตายเถอะ!
นอกจากนี้ซินแคลร์ยังหลงใหลในท่วงทำนองที่หนักแน่นและเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของเบโธเฟนเป็นอย่างยิ่ง แต่เปียโนของเบคกี้ที่เธอรักไม่แพ้กันนั้นให้ความรู้สึกต่างออกไป หากเปรียบเทียบ 'แสงพระจันทร์' Moonlight Sonata ที่เปรียบเสมือนแสงจันทราอันเย็นเยียบส่องสะท้อนผิวน้ำในยามค่ำคืนแห่งทะเลสาบลูเซิร์นคงจะเป็นแสงจันทร์ที่แสนเศร้า สับสน และเดียวดายเป็นแน่ ส่วนท่วงทำนองของเบคกี้นั้นเหมือนกับ Claire de Lune เป็นดั่งแสงสลัวในความมืดมิดที่แม้จะสิ้นหวังแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความปราถนาเล็ก ๆ
แม้ราตรีจะน่ากลัวแต่แสงจันทร์ก็ยังคอยปลอบประโลมจิตใจของซินแคลร์อยู่ทุกครั้งไป เหมือนกับรีเบคก้าที่คอยอ่านนิทานให้เธอฟังจนกว่าจะแน่ใจว่าหลานสาวหลับสนิทแล้วเสมอ
ใช่แล้ว…สิ่งที่ซินแคลร์โปรดปรานมากที่สุดคือการบรรเลงเปียโน