สรุป สถานการณ์วันแรก:
ทีมปฏิบัติการประกอบด้วย เอโลอิส (บุตรีเฮฟเฟตัส), ฟีโอดอร์ (บุตรคีโอนี), รอฟีอัส (บุตรซุส), และ เคอร์ติส (สัตว์ปีกประเภทนกกระทาพูดได้) ได้ออกเดินทางจากค่ายโดยปราศจากแผนการเดินทางที่ชัดเจน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งภายในเรื่องทิศทางและการเดินทางในทันที ทีมได้ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการโบกรถจากบุคคลแปลกหน้า ซึ่งต่อมาได้ถูกเปิดเผยว่าเป็นกับดักและการซุ่มโจมตีโดยกลุ่มมนุษย์ (สันนิษฐานว่าเป็นชาวรัสเซียตามบันทึก) การต่อสู้ด้วยมือเปล่าเกิดขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดของอาวุธทองสัมฤทธิ์ที่ไม่สามารถทำร้ายมนุษย์ได้ แม้ทีมจะสามารถชิงยานพาหนะมาได้สำเร็จ แต่การหลบหนีกลับสิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลวจากการขาดทักษะในการขับขี่ของเอโลอิส ส่งผลให้ยานพาหนะซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญเพียงชิ้นเดียวถูกทำลาย ท้ายที่สุด ทีมได้ตั้งที่พักพิงชั่วคราวในพื้นที่รกร้างโดยการนำทางของ… สัตว์ปีก
การวิเคราะห์ข้อบกพร่อง:
1.การขาดการวางแผนเชิงกลยุทธ์: การออกเดินทางโดยไม่มีการกำหนดเส้นทางหรือเป้าหมายเบื้องต้นที่ชัดเจน ถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่สุด มันแสดงถึงการขาดการเตรียมความพร้อมและปล่อยให้ "โชคชะตา" นำทาง ซึ่งเป็นตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้
2.การประเมินภัยคุกคามที่ผิดพลาด: การตัดสินใจขึ้นรถของคนแปลกหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีลักษณะน่าสงสัย เป็นการกระทำที่สะท้อนถึงความไว้วางใจที่วางผิดที่ และการขาดการประเมินความเสี่ยงที่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร
3.การบริหารจัดการทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ: การมอบหมายหน้าที่ขับรถให้แก่บุคคลที่ไม่มีความชำนาญ (เอโลอิส) จนนำไปสู่การสูญเสียทรัพยากรที่ยึดมาได้ ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
4.ขาดภาวะผู้นำที่ชัดเจน: การถกเถียงในช่วงเริ่มต้นแสดงให้เห็นถึงการไร้ซึ่งโครงสร้างการบัญชาการที่มีประสิทธิภาพ
ข้อเสนอแนะ:
1.การรวบรวมข้อมูล : ก่อนเริ่มภารกิจ ควรมีการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเป้าหมาย (ราชรถ) และพื้นที่ปฏิบัติการให้ได้มากที่สุด
2.การวางแผนเส้นทางหลักและเส้นทางสำรอง: ควรมีการกำหนดเส้นทางที่ชัดเจน รวมถึงแผนสำรองในกรณีที่เส้นทางหลักถูกปิดกั้นหรือมีอุปสรรค
3.การมอบหมายหน้าที่ตามความสามารถ: ควรมอบหมายหน้าที่ให้เหมาะสมกับความสามารถของสมาชิกแต่ละคน ไม่ใช่ตามความสมัครใจหรือสถานการณ์บังคับ
สรุปสถานการณ์ (วันที่ 2):
ทีมยังคงดำเนินภารกิจโดยอาศัยการด้นสดเป็นหลัก เริ่มต้นด้วยการหลบหนีจากที่พักพิงชั่วคราวและเปลี่ยนวิธีการเดินทางมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะตามคำแนะนำของพนักงานร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด การเดินทางด้วยรถบัสจบลงด้วยการเผชิญหน้ากับโจรล้วงกระเป๋าโดยบังเอิญ ก่อนที่ทีมจะเดินทางต่อไปยังสถานีรถไฟเพื่อมุ่งหน้าสู่สถานี Jamaica อย่างไรก็ตาม การเดินทางด้วยรถไฟได้ถูกเปิดโปงว่าเป็นกับดักที่ถูกวางไว้อย่างซับซ้อนโดยศัตรูกลุ่มเดิม การต่อสู้ได้เกิดขึ้นอีกครั้งบนตู้รถไฟ ส่งผลให้ทีมต้องหลบหนีออกจากขบวนรถที่สถานีที่ไม่รู้จัก และทำให้แผนการเดินทางของวันต้องล้มเหลวอีกครั้งเป็นวันที่สองติดต่อกัน
การวิเคราะห์ข้อบกพร่อง:
1.การพึ่งพาโชคมากกว่ากลยุทธ์: ทีมยังคงดำเนินภารกิจโดยอาศัยข้อมูลที่ได้มาโดยบังเอิญ (พนักงานร้านอาหาร) และสถานการณ์ที่โชคช่วย (การเปิดโปงโจรล้วงกระเป๋า) แทนที่จะเป็นการวางแผนอย่างรอบคอบ
2.ความหละหลวมในการรักษาความลับ: สมาชิกที่มีลักษณะพิเศษ (เคอร์ติส) ยังคงเป็นจุดอ่อนที่เกือบจะเปิดโปงสถานะของกลุ่มหลายครั้ง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (แสร้งว่าเป็นตุ๊กตา) ไม่ใช่มาตรการรักษาความปลอดภัยที่ยั่งยืน
ข้อเสนอแนะ: การกระทำที่โดดเด่นและเรียกความสนใจ (เช่น การเกาะกระจกร้านอาหาร) เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด ทีมจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม
สรุปสถานการณ์ (วันที่ 3):
ทีมยังคงล้มเหลวในการไปถึงเป้าหมายหลักเป็นวันที่สามติดต่อกัน การเดินทางเริ่มต้นจากสภาพที่พักพิงที่ไม่เหมาะสม (ป้ายรถเมล์) และดำเนินต่อไปด้วยการด้นสด การตัดสินใจเลือกวิธีการเดินทางขั้นต่อไปถูกกำหนดโดยการสุ่ม (จับไม้สั้นไม้ยาว) ซึ่งนำไปสู่การใช้บริการรถแท็กซี่ที่ขับโดยพลเรือน (สตรีสูงวัยชาวเอเชีย)
การเดินทางต้องหยุดชะงักลงจากการปรากฏตัวของอสูรกาย (แวน มีเทอร์) ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าทีมได้เดินทางมาถึงแมนฮัตตันโดยบังเอิญ ไม่ใช่ด้วยการวางแผน การต่อสู้ที่ตามมาเกิดความซับซ้อนยิ่งขึ้นจากการปรากฏตัวของกลุ่มศัตรูเดิมเป็นครั้งที่สาม และการแทรกแซงที่ไม่คาดคิดจากพลเรือนผู้ขับแท็กซี่
ซึ่งจบลงด้วยการหลบหนีของพลเรือนคนดังกล่าว ท้ายที่สุด การพยายามรวบรวมข้อมูลจากศัตรูที่จับกุมได้ก็ประสบความล้มเหลวอีกครั้งด้วยเหตุปัจจัยภายนอก (อุบัติเหตุกระถางต้นไม้) ทีมจึงตัดสินใจยุติปฏิบัติการชั่วคราวเพื่อเข้าที่พักฟื้นฟูสภาพร่างกาย
การวิเคราะห์ข้อบกพร่อง:
1.กระบวนการตัดสินใจที่ไร้หลักการ: การใช้ "การจับไม้สั้นไม้ยาว" เพื่อตัดสินใจเรื่องสำคัญในภารกิจ ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง มันแสดงถึงการขาดภาวะผู้นำโดยสิ้นเชิง และเป็นการมอบความสำเร็จของภารกิจให้อยู่ในมือของความน่าจะเป็นแบบสุ่ม
2.ความหวาดระแวงที่ไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหา: แม้เอโลอิสจะเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามจากกลุ่มศัตรูเดิม แต่ปฏิกิริยาของเธอ (การปฏิเสธรถแท็กซี่จากรูปลักษณ์ภายนอก)
เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ฉาบฉวยและไม่มีประสิทธิภาพ บ่งบอกถึงการขาดความสามารถในการประเมินภัยคุกคามอย่างเป็นระบบ
3. ความล้มเหลวซ้ำซากในการรวบรวมข่าวกรอง: ความล้มเหลวด้านข่าวกรองได้กลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่เกิดขึ้นเป็นประจำ การพลาดโอกาสอีกครั้งเนื่องจาก "อุบัติเหตุ"
สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความสามารถในการควบคุมสภาพแวดล้อมก่อนการสอบสวน
ข้อเสนอแนะ:
1.จัดตั้งโครงสร้างการบังคับบัญชาที่ชัดเจน: ทีมจำเป็นต้องมีผู้นำที่ชัดเจนเพื่อทำการตัดสินใจโดยใช้เหตุผลและข้อมูล ไม่ใช่การเสี่ยงโชค
2.เปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ "ตอบโต้" ไปสู่การ "รุกเชิงข้อมูล": ทีมต้องหยุดการเดินทางแบบไร้เป้าหมายและเริ่มปฏิบัติการรวบรวมข่าวกรอง
อย่างจริงจังเพื่อทำความเข้าใจศัตรูและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของพวกเขา
สรุปสถานการณ์ (วันที่ 4):
หลังจากฟื้นฟูสภาพร่างกาย ทีมได้เข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย (เซ็นทรัลพาร์ก) อย่างเป็นทางการ การปฏิบัติการภายในสวนสาธารณะเริ่มต้นด้วยการเผชิญหน้ากับอสูรกายจักรกล (วัวสำริด) ซึ่งทีมสามารถรับมือได้โดยอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของเอโลอิสเป็นหลัก จากนั้นทีมได้ค้นพบเบาะแส (สะเก็ดแสง) และตัดสินใจติดตามไปโดยไม่ได้มีการวิเคราะห์ถึงที่มาของเบาะแสดังกล่าว การติดตามเบาะแสนำไปสู่การเผชิญหน้ากับอสูรกายตนที่สอง (มิโนทอร์) ซึ่งปลอมตัวมาในคราบของพลเรือนเพื่อลวงให้ทีมติดกับดักบนม้าหมุน หลังจากการต่อสู้ที่ไร้ระเบียบ ทีมสามารถกำจัดเป้าหมายได้ แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มศัตรูมนุษย์ (ชาวรัสเซีย) อีกครั้ง และเช่นเคย ความพยายามในการรวบรวมข่าวกรองก็ล้มเหลวอีกครั้งด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ท้ายที่สุด ทีมได้ติดตามเบาะแสต่อไปจนถึงหน้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง และได้เดินเข้าไปในกับดักสุดท้ายอย่างเต็มใจ โดยการยอมรับเครื่องดื่มจากพนักงานโรงแรมซึ่งส่งผลให้สมาชิกทั้งหมดหมดสติ และทำให้ภารกิจเข้าสู่สภาวะวิกฤต
การวิเคราะห์ข้อบกพร่อง:
1.การดำเนินกลยุทธ์แบบตั้งรับโดยสมบูรณ์: ทีมยังคงทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ตามเบาะแสที่ศัตรูทิ้งไว้ให้ ไม่มีการตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือหรือเจตนาที่ซ่อนเร้น
พวกเขาไม่ได้กำลัง "ตามหา" ราชรถ แต่กำลังถูก "จูง" ไปหากับดักที่ศัตรูวางไว้
2.การขาดความตระหนักรู้ในสถานการณ์: การยอมรับข้อเสนอจากคนแปลกหน้า ณ ม้าหมุน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยอมรับเครื่องดื่มต้อนรับจากโรงแรมหรู
ทั้งที่สภาพของทีมไม่เหมาะสมกับสถานที่อย่างสิ้นเชิง ถือเป็นความล้มเหลวในการประเมินสถานการณ์
ข้อเสนอแนะ:
1.ทบทวนคุณสมบัติของทีม: ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรูปแบบเดิมๆ ชี้ให้เห็นว่าทีมอาจไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมใน
การปฏิบัติภารกิจที่มีความซับซ้อนและมีเดิมพันสูงเช่นนี้
2.บังคับใช้กฎความปลอดภัยพื้นฐาน: ควรมีการกำหนดระเบียบการปฏิบัติที่ชัดเจน เช่น "ห้ามรับสิ่งของจากคนแปลกหน้า"
ซึ่งแม้จะฟังดูเป็นเรื่องของเด็กอนุบาล แต่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทีมนี้
สรุปสถานการณ์ (คาบเกี่ยววันที่ 4-5):
หลังจากถูกทำให้หมดสติ ทีมได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาในสภาพที่ถูกพันธนาการแยกกัน เอโลอิสและเคอร์ติสได้รับการช่วยเหลือจากฟีโอดอร์ ผู้ซึ่งรอดพ้นจากฤทธิ์ยาเนื่องด้วยคุณสมบัติทางกายภาพเฉพาะตัว ทั้งคู่ดำเนินการแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่โรงแรมต่อโดยการปลอมตัวเป็นพนักงาน ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเมื่อเอโลอิสถูกบังคับให้ปฏิบัติภารกิจเบ็ดเตล็ด (ทำความสะอาดห้องน้ำ) ทำให้เธอได้พบกับกลุ่มศัตรูโดยบังเอิญ การปะทะเกิดขึ้นอีกครั้งในพื้นที่จำกัด ทีมสามารถควบคุมสถานการณ์และจับกุมศัตรูไว้ได้ นำไปสู่กระบวนการสอบสวนเพื่อเค้นข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ของรอฟีอัส ยุทธวิธีที่ใช้ในการสอบสวนคือการข่มขู่ด้วยวิธีการที่แปลกประหลาดและไม่เป็นไปตามแบบแผน (การใช้สัตว์ปีกคุกคาม) ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ ทำให้ได้ข้อมูลสำคัญว่ารอฟีอัสอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรม อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการเคลื่อนที่ไปยังดาดฟ้าต้องหยุดชะงักลงจากการที่ลิฟต์โดยสารขัดข้อง ซึ่งทีมได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่เป็นมืออาชีพ (การร้องเพลง)
การวิเคราะห์ข้อบกพร่อง: ปฏิกิริยาของทีมขณะติดอยู่ในลิฟต์แสดงให้เห็นถึงการขาดวุฒิภาวะและความตระหนักในภยันตรายอย่างรุนแรง ในใจกลางพื้นที่ของศัตรู
แทนที่จะหาทางแก้ไขสถานการณ์อย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว พวกเขากลับเลือกที่จะส่งเสียงดัง ซึ่งอาจเป็นการเปิดโปงตำแหน่งของตนเองได้อย่างง่ายดาย
สรุปเหตุการณ์(วันที่ 5):
ทีมสามารถหลบหนีออกจากลิฟต์ที่ขัดข้องได้โดยการเผชิญหน้าและเอาชนะอสูรกาย (ฮาร์ปี้) ที่ปลอมตัวเป็นช่างซ่อม ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่ใช่จากการวางแผน เมื่อขึ้นไปถึงดาดฟ้า พวกเขาได้เผชิญหน้ากับผู้บงการ ซึ่งเปิดเผยตัวตนว่าเป็น "ดีมิทรี นาวิคอฟ" บุตรแห่งเทพเปรุน เขาได้จับกุมรอฟีอัสไว้เป็นตัวประกันและท้าทายให้เกิดการต่อสู้ตัวต่อตัวขึ้น การต่อสู้ดำเนินไปโดยที่รอฟีอัสเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด จุดเปลี่ยนของสถานการณ์เกิดขึ้นเมื่อดีมิทรีได้กล่าววาจาลบหลู่เทพซุส ส่งผลให้เกิดการแทรกแซงโดยตรงจากโอลิมปัส—สายฟ้าได้ฟาดลงมายังดีมิทรีจนพ่ายแพ้ในทันที ก่อนจะหมดสติ ดีมิทรีได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญว่าราชรถถูกเก็บไว้ที่ชั้นใต้ดินของโรงแรม ซึ่งทำให้ทีมมีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มภารกิจ อย่างไรก็ตาม การเดินทางลงไปยังชั้นใต้ดินต้องหยุดชะงักจากการที่ลิฟต์ที่พวกเขาทำพังเองไม่สามารถใช้งานได้ ทีมได้รับเบาะแสเพิ่มเติมโดยบังเอิญจากพนักงานโรงแรม ซึ่งนำพวกเขาไปสู่โรงจอดรถและได้พบกับราชรถในรูปของรถมาเซราติ ทีมได้เผชิญหน้ากับศัตรูชุดสุดท้าย—คนแคระสองตน—และสามารถเอาชนะได้ด้วยวิธีการที่ปราศจากกลยุทธ์โดยสิ้นเชิง (การใช้ประแจและความเปิ่น) แต่เมื่อเข้าถึงเป้าหมายหลักได้สำเร็จ กลับพบว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ของราชรถถูกทำให้เสียหาย (อยู่ในสภาวะ "เมา") ส่งผลให้ทีมต้องเดินทางไปยังจุดนัดพบสุดท้าย (ตึกเอ็มไพร์สเตต) ด้วยการ "คลำทาง" อย่างแท้จริง เมื่อไปถึง พวกเขาได้พบกับเทพอะพอลโลผู้เป็นเจ้าของภารกิจ เทพอะพอลโลได้ประกาศว่าจะจัดการกับภัยคุกคามหลัก (ดีมิทรีและเทพสลาฟ) ด้วยตนเอง และได้มอบรางวัลตอบแทนให้แก่ทีม
การวิเคราะห์ข้อบกพร่อง:
การแก้ไขปัญหาที่พึ่งพาปัจจัยภายนอก: การหลุดจากลิฟต์ไม่ได้เกิดจากความสามารถของทีม แต่มาจากการปรากฏตัวของศัตรู มันยังคงเป็นรูปแบบเดิมที่ทีมถูกสถานการณ์นำพาไป ไม่ใช่ผู้ควบคุมสถานการณ์ และการชนะศัตรูด้วยการแทกแซงของซุส ถ้าสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นทีมจะเอาตัวรอดยังไง
การประเมินภารกิจโดยรวม:
ภารกิจ "ทวงคืนราชรถมาเซราติ" ไม่ใช่เรื่องราวของความกล้าหาญ แต่เป็นละครตลกโศกนาฏกรรมที่เต็มไปด้วยความผิดพลาด ชัยชนะที่เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนไม่ได้มาจากความสามารถ แต่เป็นผลพวงจากความโชคดี และการแทรกแซงจากเบื้องบน