
วันที่ 06 เดือน กันยายน ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 00.00 - 01.00 น. ณ พรินซิเปีย ค่ายจูปิเตอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
เสียงรองเท้าโลหะของทหารยามกระทบพื้นหินดังคลอระหว่างที่เลธิเซียผมแดงเดินนำโมนีก้าเข้าสู่เส้นทางหลักของค่ายจูปิเตอร์ ไฟคบเพลิงที่ส่องสองข้างทางทำให้แสงสีทองอาบไล้เส้นผมสีม่วงครามของเธอระยับราวกับเปลวเพลิงที่พลิ้วไหวในความมืด ถึงแม้ท้องฟ้ายังคงสว่างราวกับกลางวัน แต่บรรยากาศรอบค่ายกลับเต็มไปด้วยความสงบขึงขัง
เลธิเซียปรายตามองเด็กสาวที่เดินตามมา ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู “นี่...เธอออกจากบ้านหมาป่ามานานยัง ถึงได้เพิ่งโผล่มาตอนนี้น่ะ? รู้ตัวไหมว่านี่มันเที่ยงคืนแล้วน่ะจ้ะ 00.00 น. เป๊ะ ถึงฟ้ายังสว่างก็ใช่ว่าจะไม่ถือว่าดึกนะ” โมนีก้าหอบกระเป๋าสะพายข้างสีชมพูเล็ก ๆ ที่เดินทางติดตัวมาตลอด ก้าวเท้าตามทันก่อนตอบเสียงใส แต่ยังมีแววเหนื่อยเจืออยู่ “ออกมาตั้งแต่ตีสี่เลยค่ะ แต่ระหว่างทางมันเจอหลายเรื่องมาก...พอรวม ๆ กันแล้วก็เลยมาถึงช้าขนาดนี้”
เลธิเซียเลิกคิ้วสูง หันมามองเธอด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์แบบแมว “หลายเรื่อง… ฟังดูน่าสนใจนะ แต่ไม่ต้องเล่าละกัน เก็บไว้ให้แม่ทัพสองคนนั้นได้ถามเองดีกว่า พวกเขาชอบรู้ทุกเรื่องแหละ โดยเฉพาะเรื่องที่มัน...ผิดไปจากปกติ”
โมนีก้าได้ยินก็ถอนหายใจเบา ๆ ก้มหน้ามองพื้นหินอ่อนสีซีดที่ทอดยาวไปสู่ใจกลางค่าย เสียงฝีเท้าของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ทั้งทหารทั้งเหล่าเดมิก็อดรุ่นพี่ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่เธอโดยไม่ตั้งใจ เลธิเซียหัวเราะในลำคออีกครั้ง เอียงตัวเข้ามาใกล้พอที่จะกระซิบแผ่ว ๆ แต่เต็มไปด้วยแววขบขัน “อย่าเกร็งสิจ๊ะ แม่สาวตาเทาเงิน… ค่ายนี้มันใหญ่ก็จริง แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องผ่านสิ่งเดียวกันหมดก็คือการถูกจับตามองตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามานี่แหละ”
โมนีก้าเม้มปากเล็กน้อยพยักหน้าเหมือนบอกตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังอาคารหินอ่อนสีขาวตระหง่านที่ตั้งอยู่ตรงหน้าพรินซิเปีย สำนักงานใหญ่ที่เปรียบเสมือนหัวใจของกองพันที่สิบสอง ฟุลมินาตา
อาคารหินอ่อนสีขาวสง่างามราวกับสัญลักษณ์ของอำนาจและระเบียบวินัยโรมัน เธอเงยหน้ามองป้ายสีม่วงเข้มเหนือบันไดหินที่มีอักษร S.P.Q.R. สีทองเด่นตัดกับพวงลอเรลที่ปักล้อม มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ โลกของกฎหมาย ระเบียบ และการควบคุมที่แตกต่างจากความอิสระในหุบเขาโซโนมาโดยสิ้นเชิง เลธิเซียสตรีผมแดงที่ยืนกอดอกข้าง ๆ หัวเราะเบา ๆ “เข้าไปเองเถอะจ้ะ ถ้าพวกแม่ทัพกำลังนอนฉันไม่อยากโดนหางเลขโดนด่าด้วย” ว่าแล้วเธอก็ส่งยักคิ้วเจ้าเล่ห์หนึ่งทีแล้วเดินหายไปในเงาไฟคบเพลิงที่ส่องตามทาง เหลือเพียงโมนีก้าเท่านั้นที่ต้องก้าวต่อ
เธอก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น เสียงเกราะของทหารโรมันที่ยืนเรียงสองข้างดังขึ้นเบา ๆ เมื่อพวกเขาขยับหอกและโล่ตามจังหวะ ราวกับกำลังตรวจสอบผู้มาเยือนใหม่ โมนีก้าเงยหน้าตอบสายตาพวกเขาด้วยดวงตาสีเทาเงินที่ส่องประกายสงบแต่แน่วแน่ ก่อนจะผลักประตูไม้โอ๊กหนักเข้าสู่ด้านใน
บรรยากาศภายในพรินซิเปียงดงามและกดดันในคราวเดียว เพดานสูงประดับภาพโมเสกโรมูลุสและเรมัสใต้ร่างลูปา เงาสีทองระยิบระยับไปทั่วพื้นหินอ่อนที่ขัดจนสะท้อนราวกระจก ผนังคลุมด้วยผ้าไหมกำมะหยี่เข้มทำให้ทั้งห้องเหมือนห้องประชุมของจักรพรรดิ แต่ก็ยังคงกลิ่นอายความเป็นสนามรบอยู่ในทุกรายละเอียด ที่ผนังด้านหลังมีเสาไม้แกะสลัก ประดับด้วยเหรียญทองแดงเรียงรายเป็นชั้น ๆ บ่งบอกถึงชัยชนะของกองพัน ส่วนตรงกลางเด่นด้วยแท่นวางคทาอินทรีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งโรมที่เปล่งประกายเหมือนมีพลังงานแฝงอยู่
โต๊ะไม้ยาวกลางห้องเต็มไปด้วยม้วนตำรากรีกหรือละติน สมุดบันทึก แท็บเล็ตอิเล็กทรอนิกส์เรียงปนกันอย่างแปลกประหลาด มีทั้งมีดสั้นเหล็กวางข้าง ๆ และชามแก้วใส่เจลลี่บีนสีสดที่ดูจะไม่เข้ากับบรรยากาศเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้บรรยากาศเคร่งขรึมมีเสน่ห์ประหลาดขึ้นมา ด้านหลังโต๊ะใหญ่ เก้าอี้พนักสูงสองตัวตั้งวางรออยู่ราวกับรอให้แม่ทัพทั้งสองมานั่งคุมขุนนางและทหาร
โมนีก้าก้าวเข้าไปกลางห้อง สูดลมหายใจลึก ๆ พลางพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “เอาล่ะ...จะถอยคงไม่ได้แล้ว”
บรรยากาศภายในห้องรอแม่ทัพยังคงเงียบสงัด มีเพียงเสียงกรอบแกรบของม้วนกระดาษที่ถูกลมพัดเบา ๆ กับกลิ่นหอมของกำมะหยี่และหินอ่อนที่ยังใหม่ โมนีก้ายืนตัวตรงแม้จะดูสบาย ๆ แต่ในใจเธอกลับเต้นแรงกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมา
ประตูไม้บานใหญ่ค่อย ๆ ถูกผลักออกมา เสียงเอี๊ยดอ๊าดสะท้อนก้องทั่วห้อง และสิ่งแรกที่เห็นคือเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งในเสื้อคลุมเรียบง่ายที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นชุดนอนผมยุ่งหัวฟูราวกับเพิ่งลุกจากเตียง เขาหาววอดพลางยกมือเกาศีรษะด้วยท่าทีง่วงงุนชายหนุ่มคนนั้นคือ ควินตัส แอนเดอร์สัน ว่าที่ตำนานของกองร้อยที่ 1 ผู้เป็นบุตรแห่งเทพีอีริสหรืออาร์คัส “โอย… ให้ตายสิ ดึก ๆ ดื่น ๆ เรียกกันอีกแล้วเหรอ…” เขาบ่นเสียงงึมงำแต่สายตาก็เหลือบมองโมนีก้าอย่างประเมินเพียงครู่ ก่อนจะหาวต่อแล้วเดินเช็ดขี้ตาไปนั่งฝั่งหนึ่ง
ไม่นานนัก ประตูอีกบานก็เปิดออกพร้อมเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนเป็นจังหวะมั่นคง หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียว ผิวสีน้ำผึ้งเข้ม ดวงตาคมเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และเส้นผมถูกรวบตึงอย่างเรียบร้อย เธอสวมชุดเสื้อคลุมแบบทหารโรมันที่ขับให้บุคลิกดูทรงพลังยิ่งขึ้นแต่กางเกงนั้นคือกางเกงนอนโดยเฉพาะบ่งบอกว่าก่อนที่จะมาที่นี่ก็น่าจะซุกตัวอยู่ที่หมอนแน่ ๆ นั่นคือ ยาสมิน อาเดน เดมิก็อดสายเลือดเนปจูนที่ก้าวผ่านตราบาปของตระกูลตนเองมาได้ด้วยน้ำมือและหัวใจของเธอเอง “ควินตัส… ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าเวลาแบบนี้ให้แต่งตัวให้เรียบร้อยหน่อย” ยาสมินเอ่ยเสียงเรียบแต่ดุดัน ขณะกวาดสายตาไปรอบห้องสุดท้ายก็มาหยุดที่โมนีก้า
ควินตัสหัวเราะหยันเบา ๆ ยกไหล่ไม่แยแส “เฮ้อ ก็คนเพิ่งตื่นนี่นา แม่ทัพสายเนี้ยบเอ๊ย"
บรรยากาศดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังที่ตัดกันความทะเล้นไร้พิธีรีตองของควินตัสปะทะกับความมั่นคงจริงจังของยาสมิน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือทั้งคู่ต่างเปล่งรัศมีผู้นำอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ยาสมินเดินเข้ามาใกล้พลางเอ่ยถามโมนีก้าเสียงชัดถ้อยชัดคำ “เธอคือคนใหม่จากบ้านหมาป่าใช่ไหม? ชื่ออะไร สายเลือดใคร รายงานมา” โมนีก้ารู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง แต่เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึก ตั้งสติแล้วเตรียมตัวแนะนำตัวเองอย่างมั่นใจที่สุดเท่าที่ทำได้
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ฉันชื่อโมนีก้า เอ็ม. บลอสซัมค่ะ เป็นธิดาแห่งเซเรส… แล้วก็มีเชื้อสายของเทพเจนัสด้วยค่ะ” เสียงของเธอนุ่มนวลแต่มั่นคง ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนประกายแสงไฟในห้องพรินซิเปีย ขณะที่ยาสมินยืนกอดอกจ้องเธออย่างคมกริบ สายตาของยาสมินกวาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะชะงักเล็กน้อยตรงที่ไม่มีรอยถลอกหรือแม้แต่คราบเลือดบนร่างกายของโมนีก้าเลย ต่างจากเดมิก็อดใหม่ ๆ ที่มักจะเดินเข้ามาในสภาพย่ำแย่ “เธอมากับใคร?” ยาสมินถามเสียงเรียบแฝงความสงสัย
โมนีก้าไม่รีเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มบาง “มากับเพื่อนค่ะ… แต่เขาเจ็บหนัก ตอนนี้อยู่ที่ห้องหรือโรงพยาบาลแล้วค่ะ” จากนั้นเธอขยับมือส่งม้วนจดหมายที่ผนึกตราออกมาให้ “นี่คือจดหมายของซูกิค่ะ ฝากมาด้วย”
ยาสมินเหลือบมองม้วนจดหมายในมือ ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ รับไว้โดยไม่แสดงสีหน้ามากนัก แต่แววตาที่กวาดมองโมนีก้าอีกครั้งกลับแฝงการประเมินราวกับจะอ่านทะลุไปถึงกระดูก
ด้านหลัง ควินตัสที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาว หาวอีกรอบพลางยกมือชี้ไปทางนาฬิกาแดดบนผนัง “แล้วทำไมเธอเพิ่งโผล่มาตอนดึก ๆ ดื่น ๆ ฮะ? กว่าจะมาถึง… ค่ายเราไม่ใช่สวนสนุกนะ” น้ำเสียงกึ่งหยอกกึ่งจริงจัง ดวงตาคมกริบแต่เต็มไปด้วยความขี้เล่น โมนีก้าหันไปมองควินตัสแอบเม้มปากนิดหน่อยราวกับอยากบ่น แต่ก็ยังคงยิ้มไว้พยายามรักษากิริยา ในขณะที่ยาสมินยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะรอฟังคำอธิบายจากเธอ เธอเอ่ยตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ระหว่างทางเกิดเรื่องหลายอย่างค่ะ… ฉันกับเพื่อนถูกฝูงก๊อบลินโจมตี 32 ตัวตั้งแต่ยังไม่พ้นหุบเขาโซโนมา จากนั้นระหว่างเดินทางก็ถูกทหารรับจ้างอาวุธครบมือลึกลับที่คิดจะจับตัวพวกเราดักโจมตีสองรอบ รอบละประมาณหกคน พอผ่านไปได้ก็ดันมาเจอก๊อบลินอีกฝูง 32 ตัว… และสุดท้ายก็ตบท้ายด้วยมิโนทอร์ค่ะ” คำพูดของเธอทำให้ห้องที่เงียบอยู่แล้วยิ่งนิ่งสนิทราวกับหยุดหายใจ ยาสมินหันขวับไปสบตากับควินตัสทันที ดวงตาสีเข้มของเธอเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ส่วนควินตัสที่ดูง่วงอึน ๆ เมื่อครู่ก็ผงกหัวขึ้นตรงทันทีเหมือนสติกลับคืนมา
“หนีมาได้สินะ?” ยาสมินถาม เสียงกดต่ำเหมือนจะทดสอบมากกว่าต้องการคำตอบ
โมนีก้าเม้มปากนิดหน่อยก่อนจะตอบตรงไปตรงมา “กำจัดหมดแล้วค่ะ… ยกเว้นกลุ่มทหารรับจ้าง ฉันกับเพื่อนทำให้พวกเขาสลบเท่านั้น”
ควินตัสยันตัวขึ้นนั่งเต็มที่แล้วโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อย มองเธอจากหัวจรดเท้าเหมือนจะหาความจริงที่ซ่อนอยู่ “ก๊อบลินฝูงละ 32 ตัว… สองฝูง? ทหารอาวุธครบมือ 10 กว่าคน แถมมิโนทอร์อีกหนึ่ง?” เขาย้ำช้า ๆ ก่อนหลุดเสียงหัวเราะแห้ง “นี่เธอคิดว่าตัวเองเล่านิทานก่อนนอนอยู่รึไง?” แต่ดวงตาของเขาไม่ได้ขำ มันเต็มไปด้วยการจับผิด
ยาสมินกลับต่างออกไป เธอหรี่ตา สายตาเหมือนนักล่าที่เพ่งไปยังเหยื่อ “แต่ร่างกายเธอไร้รอยขีดข่วน ทั้งที่เพื่อนของเธอเจ็บหนัก… แบบนี้หมายความว่ายังไง?”
โมนีก้าเหมือนอยากกรอกสายตาเธอไม่รู้จะอธิบายยังไงแต่ทว่าสิ่งที่เธอทำได้ก็คือการแสดงหลักฐานว่าเธอไม่ได้โกหก โมนีก้ายกมือซ้ายขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วเกลี่ยเบา ๆ บนแหวนดาราจรัส ดวงแหวนส่องแสงวาบ ก่อนที่ของหลายอย่างจะปรากฏลงบนโต๊ะไม้ยาวกลางห้องเสียง กึก กึก กึก ดังก้องไปทั่ว พื้นหินอ่อนเงาวับสะท้อนเงาของ หนังมิโนทอร์ขนาดใหญ่ยังมีกลิ่นคาวคละคลุ้งตามมา ต่อด้วยกองหมวกเหล็กก๊อบลินและดาบสนิมเขรอะอีกไม่ต่ำกว่า 30–60 ชิ้นที่เรียงรายเต็มไปหมด ราวกับหลักฐานกำปั้นทุบดินที่เธอตั้งใจจะให้เห็นมากกว่าฟัง ก่อนที่จะขยับนิ้วแล้วเก็บมันกลับคืน
ควินตัสที่เคยนั่งเอนหลังแบบไม่จริงจังเมื่อครู่พลันชะงักกึก คิ้วเข้มเลิกขึ้น สีหน้าเมื่อครู่ที่ยังดูง่วงและติดขำกลายเป็นความเคร่งขรึมทันที เขาเอียงคอช้า ๆ จ้องกองหลักฐานที่วางอยู่ราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน “ของจริง…” เสียงเขาแผ่วลงอย่างไม่เชื่อสายตา
โมนีก้าหันกลับไปทางยาสมินแทนที่จะตอบโต้คำเหน็บแนมก่อนหน้านี้ เธอเอ่ยเสียงหนักแน่นแม้ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่เล็กน้อย “ทั้งฉันและเพื่อนต่างไม่ได้รับบาดเจ็บเลยค่ะ จนกระทั่งเจอมิโนทอร์ เพื่อนฉันพลาด… โดนโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว ฉันจึงต้องสู้ต่อเพียงลำพัง ผลก็คือเพื่อนเจ็บหนัก แต่ฉันยังคงปลอดภัย”
ยาสมินยืนกอดอก ฟังโดยไม่ขัด แต่สายตาคมกริบจ้องทะลุเหมือนจะมองทะลุหัวใจเธอ “คนเดียว? กับมิโนทอร์?” น้ำเสียงนั้นทั้งกดดันและชวนให้ยอมรับความจริง โมนีก้าสบตากลับ ดวงตาสีเทาเงินวาววับในแสงไฟ “ใช่ค่ะ… ตัวเดียวมันคือตัวที่เคยไล่ฉันตอนที่ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นเดมิก็อด”
ห้องเงียบลงอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครขำออกมาแม้แต่น้อย ควินตัสโน้มตัวมาข้างหน้าอย่างจริงจัง ส่วนยาสมินก็ยังจ้องเธอไม่วางตา ราวกับจะวัดว่าเด็กสาวหัวม่วงตรงหน้านี้… เป็นเพียงเดมิก็อดธรรมดา หรือบางสิ่งที่เหนือกว่านั้นกันแน่
ระหว่างนั้นยาสมินเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนกำลังเก็บความรู้สึกอะไรบางอย่างไว้ในใจ ไม่ได้แสดงสีหน้ามากเกินไป มีเพียงแววตาที่วูบวาบเหมือนกำลังประเมินสิ่งที่เห็น ขณะที่ควินตัสนั้นยังคงนั่งนิ่ง ร่างกำยำเอนหลังเล็กน้อย แต่ดวงตาคมเข้มไม่ยอมละไปจากโมนีก้าแม้แต่วินาทีเดียว ราวกับอยากหาคำตอบบางอย่างด้วยการจับจ้องลึกลงไปในแววตาสีเทาเงินของเธอเอง เสียงรองเท้าโลหะของทหารยามที่เดินผ่านนอกห้องก้องสะท้อนเข้ามา ทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียดขึ้น จนยาสมินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่กดดัน “แล้วจดหมายล่ะ?”
โมนีก้ากะพริบตาปริบ ๆ ขมวดคิ้วน้อย ๆ อย่างไม่เข้าใจในทันที ก่อนตอบออกมาตรง ๆ “ก็…หนูให้ไปแล้วนี่คะ? ของเพื่อนน่ะค่ะ…”
คำตอบนั้นทำให้ทั้งยาสมินและควินตัสหันมามองกันครู่หนึ่ง ความเงียบคล้ายมีน้ำหนักกดทับทั้งห้อง ก่อนที่ยาสมินจะถอนหายใจสั้น ๆ “ไม่ใช่ของเพื่อน จดหมายของเธอเองต่างหาก” น้ำเสียงเจือแววตำหนิแต่ไม่ใช่เพราะโกรธ หากแต่เป็นเพราะอยากให้เธอตระหนักว่ากำลังเข้าสู่พิธีสำคัญ ไม่ใช่การเล่นสนุก
โมนีก้าทำหน้าอ้อ ท่าทางเอ๋อ ๆ อย่างเป็นธรรมชาติที่ชวนให้บรรยากาศคลายลงนิดหน่อย เธอยื่นมือไปที่แหวนดาราจรัสบิดเบา ๆ ก่อนหยิบจดหมายอีกฉบับออกมา กระดาษที่เธอยื่นส่งให้ดูเก่าคร่ำคร่า สีเหลืองหม่นเหมือนผ่านกาลเวลามาหลายสิบปีจนเกือบเปื่อยตามรอยพับ ขอบบางส่วนเริ่มขาดยุ่ยเหมือนพร้อมจะฉีกขาดได้ทุกเมื่อ “มันเก่ามากแล้วนะคะ…” เธอพูดพร้อมส่งยิ้มเก้อ ๆ “ค่อย ๆ เปิดดูหน่อยนะคะ นี่เป็นของทวดหนูเอง ท่านเขียนไว้ตั้งแต่สมัยยังหนุ่มสาวเลย”
นิ้วเรียวยาวของยาสมินเอื้อมมารับช้า ๆ เธอมองเนื้อกระดาษก่อนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวดระวัง เหมือนกลัวว่ามันจะสลายไปทันทีที่สัมผัส ขณะที่ควินตัสยังคงเงียบ แต่ร่างสูงใหญ่โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อมองใกล้ ๆ ราวกับสิ่งที่อยู่ในมือโมนีก้าอาจเป็นกุญแจสำคัญบางอย่าง ห้องทั้งห้องเงียบกริบ เหลือเพียงเสียงกระดาษเก่าที่เสียดสีกับปลายนิ้วของยาสมิน ภายในห้องพรินซิเปียที่เงียบสงัด แสงจากคบเพลิงและโคมไฟสะท้อนลงบนพื้นหินอ่อนขัดมัน ยาสมินก้าวเข้ามาใกล้โต๊ะไม้กลางห้อง เธอถือจดหมายเก่าในมืออย่างระมัดระวัง สายตาคมดุเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบและความคาดหมาย ก่อนจะยื่นให้ควินตัสซึ่งเดินตามมาแล้วทั้งสองจึงยืนเคียงข้างกัน เปิดอ่านจดหมายนั้นไปพร้อม ๆ กัน

ข้าพเจ้า แอชเชอร์ บลอสซัม บรรพบุรุษแห่งโมนีก้า มารันเธียร์ บลอสซัม ขอเสนอชื่อสายเลือดของข้าเข้ารับการพิจารณาเป็นสมาชิกของกองร้อยหมายเลขสอง โมนีก้าเป็นธิดาแห่งเซเรส และสืบสายเลือดเป็นลูกหลานมรดกแห่งเทพเจนัส และข้าเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเธอคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการคัดเลือกอันเข้มข้นนี้
โมนีก้าเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถพิเศษ แม้ภายนอกเธออาจดูเป็นผู้หญิงที่ร่าเริงสดใส รักความสวยงามและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่แท้จริงแล้วในจิตใจของเธอซ่อนความแข็งแกร่งและความเด็ดเดี่ยวเอาไว้ เธอเป็นผู้หญิงที่สามารถปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ใด และด้วยความพยายามอันมหาศาล เธอจะพยายามเอาชนะมันให้ได้เสมอ ลักษณะนิสัยอันแปรปรวนของเธอ ซึ่งคล้ายคลึงกับความขัดแย้งในจิตใจของข้าเอง เป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงความสามารถในการปรับตัวและการเอาตัวรอด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับสมาชิกของกองร้อยหมายเลขสอง
ใช่แล้ว เธออาจไม่ใช่คนไร้ความกลัวเธออาจกังวล อาจหวั่นไหวและอาจมีความขัดแย้งภายในจิตใจ แต่ความกลัวเหล่านั้นมิได้ทำให้เธออ่อนแอลง หากแต่เป็นแรงผลักดันให้เธอพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง เธอความเกลียดชังต่อความวุ่นวายและความขัดแย้งไม่ได้แปลว่าเธอไม่สามารถเผชิญหน้ากับความท้าทาย แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการวางแผนและการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อเธอตัดสินใจแล้วไม่มีสิ่งใดจะทำให้เธอเปลี่ยนใจ นั่นคือความเด็ดเดี่ยวมั่นคงที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดสำหรับการรับใช้กองร้อยหมายเลขสอง
ประสบการณ์ชีวิตของโมนีก้าได้สอนให้เธอแข็งแกร่งขึ้น เธอรู้ว่าการเป็นผู้นำมิใช่เพียงการควบคุม แต่เป็นการนำทาง การช่วยเหลือและการรับผิดชอบต่อผู้อื่น และนั่นคือสิ่งที่เธอจะมอบให้กับกองร้อยของท่านได้อย่างเต็มที่ ความสามารถในการปรับตัวความเด็ดเดี่ยวและความรับผิดชอบของเธอ ล้วนเป็นคุณสมบัติที่หายากและสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสมาชิกของกองร้อยหมายเลขสอง
ในฐานะบรรพบุรุษ ข้าขอรับประกันถึงความสามารถและความมุ่งมั่นของโมนีก้า แม้ว่าข้าเองจะต้องเผชิญกับความขัดแย้งในจิตใจเช่นกัน แต่ข้าขอเรียนให้ทราบว่าข้าได้ทุ่มเทให้กับโรมมาตลอด การช่วยสภาเซเนทสืบสวนอย่างลับ ๆ และการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับความไว้วางใจอย่างถึงที่สุด ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความจงรักภักดีของข้าที่มีต่อโรม และข้าหวังว่าโมนีก้าจะเดินตามรอยเท้าของข้าและทุ่มเทให้กับกองร้อยหมายเลขสองอย่างเต็มที่
จาก:
แอชเชอร์ บลอสซัม (Asher Blossom)
ปัจฉิมลิขิต
แม้ข้าพเจ้าจะอยู่กองร้อยที่หนึ่งแต่ทว่าข้ารู้ว่าสายเลือดข้าพเจ้านั้นยากเกินใครจะเข้าใจ และคาดว่าหลานสาวของข้าพเจ้าคงมีความแปรปรวนมากกว่าข้าพเจ้าหลายเท่า หากนางปรารถนาชีวิตอันสงบสุขโปรดเคารพการตัดสินใจนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าโรมจะเข้าใจ โปรดชี้นำเส้นทางของเด็กหญิงชี้ทางให้นางแข็งแกร่งและเลือกเส้นทางด้วยตนเอง
ชื่อ ‘แอชเชอร์ บลอสซัม’ ที่ปรากฏบนกระดาษทำให้ทั้งคู่เงียบลงไปชั่วขณะ แววตาของยาสมินแข็งกร้าวขึ้นทันที “ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินชื่อนี้อีก…” เธอพึมพำเสียงต่ำ ราวกับกำลังนึกถึงเงาอดีตที่แสนหนักหน่วง ส่วนควินตัสที่ยืนสูงใหญ่ด้านข้างก็ชะงัก สายตาคมเข้มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนเป็นสายตาที่เย็นและจับจ้องจดหมายด้วยความระวัง “แอชเชอร์ บลอสซัม…” ควินตัสทวนเสียงเรียบ แต่ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง “นักรบที่ถวายชีวิตให้โรม ต่อให้ออกจากกองร้อยที่หนึ่งก็ยังคงทำงานให้สภาเซเนทอย่างลับ ๆ ได้ยินว่าเขา…ไม่ใช่คนปกติ ทำงานอย่างกับหุ่นยนต์ป้อนคำสั่งไหนก็ได้แบบนั้น”
ยาสมินพยักหน้าเบา ๆ “ใช่ คนผู้นั้นมีโรคกลายบุคลิกที่ไม่อาจควบคุม แต่ความภักดีของเขากลับมั่นคงอย่างน่ากลัว ยิ่งกว่าหุ่นยนต์ไร้หัวใจ ถึงจะโหดร้ายขนาดไหนเขาก็ไม่เคยหันหลังให้โรม” ทั้งสองหันไปมองโมนีก้าที่นั่งเงียบอยู่เบื้องหน้า หญิงสาวผมม่วงครามนั่งตรงตัวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แต่ภายในใจเธอกำลังเต้นระรัว ยิ่งเมื่อยาสมินเริ่มอ่านเนื้อหาในจดหมายด้วยเสียงที่หนักแน่น ความเงียบทั้งห้องก็ยิ่งกดทับ
“ข้าพเจ้า แอชเชอร์ บลอสซัม บรรพบุรุษแห่งโมนีก้า มารันเธียร์ บลอสซัม ขอเสนอชื่อสายเลือดของข้าเข้ารับการพิจารณาเป็นสมาชิกของกองร้อยหมายเลขสอง…” ถ้อยคำที่พรั่งพรูจากกระดาษเก่าถูกยาสมินเอ่ยทีละบรรทัด ทุกคำเต็มไปด้วยความหนักแน่นและความเชื่อมั่นที่ชายผู้ลึกลับคนนั้นฝากไว้ แม้เวลาผ่านไปหลายสิบปี น้ำหมึกที่ซีดจางก็ยังสะท้อนถึงเจตจำนงชัดเจน เธอเล่าถึงความเด็ดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่หลังความร่าเริงสดใสของโมนีก้า ถึงความสามารถในการปรับตัว ความกล้าหาญที่มาพร้อมกับความหวั่นไหว แต่กลับใช้ความกลัวนั้นเป็นแรงผลักดัน
ควินตัสฟังอย่างเงียบ ๆ แต่คิ้วเข้มของเขาขมวดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อได้ยินคำว่า ‘เมื่อเธอตัดสินใจแล้ว ไม่มีสิ่งใดจะทำให้เปลี่ยนใจ’ เขาหันมามองโมนีก้าอีกครั้ง ดวงตาคมลึกดั่งพยายามทะลุผ่านรอยยิ้มเก้อ ๆ ของเธอไปถึงแก่นแท้ภายใน
เมื่อยาสมินอ่านต่อถึงปัจฉิมลิขิต น้ำเสียงของเธอแผ่วลงนิดหน่อย แต่แฝงด้วยความจริงจัง “แม้นางมีความแปรปรวนมากกว่าข้า หากนางปรารถนาชีวิตสงบสุข โปรดเคารพการตัดสินใจนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าโรมจะเข้าใจ โปรดชี้นำให้นางแข็งแกร่งและเลือกเส้นทางด้วยตนเอง…” ห้องทั้งห้องกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง หลังเสียงอ่านสุดท้ายดับลง แสงไฟส่องไหวสะท้อนบนใบหน้าของทุกคน
โมนีก้าที่ยืนนิ่งด้วยหัวใจสั่นสะท้าน ยาสมินที่ก้มมองกระดาษในมืออย่างเคร่งขรึม และควินตัสที่ยังคงเงียบ แต่สายตาไม่ยอมละไปจากเธอแม้แต่วินาทีเดียว ราวกับพยายามจะหาคำตอบว่าหญิงสาวตรงหน้านี้ จะเดินตามรอยเท้าอันน่ากลัวของบรรพบุรุษ หรือจะสร้างเส้นทางใหม่ด้วยสองมือของตนเอง
“งั้นก็คงจริงที่ว่า…” ยาสมินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่เจือความทดสอบ “คุณแอชเชอร์ บลอสซัม บรรพบุรุษของเธอ เคยเป็นนักรบผู้ถวายชีวิตให้โรม ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่แปลกหรอกที่เลือดนักรบในสายตระกูลนี้จะผลักดันให้เธอผ่านมาได้ แม้จะต้องสู้กับมอนสเตอร์มากมายขนาดนั้น” ควินตัสที่ยืนฟังอยู่ก็พยักหน้าช้า ๆ เสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ใช่ เรื่องพวกนี้ไม่ได้อธิบายได้ด้วยโชคอย่างเดียวหรอก ต้องมีสายเลือด คุณแอชเชอร์คงมีการฝึกฝนติดตัวถึงจะรอดจากสถานการณ์แบบนั้นได้ ใช่ไหม?”
แต่โมนีก้าที่อยู่ตรงกลางห้องกลับทำหน้าเอ๋อใส่อย่างน่าเอ็นดู ดวงตาสีเทาเงินกลอกไปมานิด ๆ ก่อนจะเอียงคอ เส้นผมสีม่วงครามร่วงลงมาปรกแก้มเล็กน้อย เธอหัวเราะคิกเบา ๆ อย่างเขิน ๆ แล้วตอบออกมาแบบสดใส
“ไม่เคยเลยค่ะ คุณทวดแอชเชอร์เสียตั้งแต่หนูยังไม่ถึงหนึ่งขวบด้วยซ้ำ… พ่อฉันก็เป็นแค่เภสัชกร ไม่เคยจับดาบมาก่อนเลยนะคะ จนกระทั่งเข้าบ้านหมาป่านั่นแหละ ถึงได้เริ่มฝึกอะไรพวกนี้จริงจัง”
คำตอบนั้นทำให้ยาสมินกับควินตัสหันมองหน้ากันทันที สายตาของทั้งคู่เต็มไปด้วยทั้งความแปลกใจและไม่เชื่อครึ่งหนึ่ง ยาสมินเลิกคิ้วเล็กน้อยส่วนควินตัสขมวดคิ้วแน่นขึ้น แต่ก่อนที่ใครจะพูดอะไร โมนีก้าก็พูดต่อด้วยความร่าเริงแบบไม่คิดมาก “ก็…คุณลูปาบอกนะคะ ว่าถ้าฉันเก่งจริง ๆ จะมีแฟนได้ด้วยปกป้องคนที่รักงี้ ไม่ตายเร็ว” เธอทำหน้าจริงจังขึ้นมาหน่อยแล้วพยักพเยิดน้อย ๆ “ก็เลยตั้งใจฝึกเฉย ๆ น่ะค่ะ ไม่ได้คิดอะไรมาก”
ความเงียบปกคลุมห้องเพียงชั่วขณะ ก่อนที่ควินตัสจะหลุดเสียงหัวเราะหึในลำคอ มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย ราวกับทั้งประทับใจทั้งขบขันกับเหตุผลของหญิงสาว ส่วนยาสมินก็ส่ายศีรษะพลางยิ้มเจือความขำขันอย่างห้ามไม่อยู่
“เหตุผลในการต่อสู้ที่น่ารักแบบนี้…คงมีแต่ธิดาแห่งเซเรสกับสายเลือดเจนัสเท่านั้นที่ทำได้ละมั้ง” ยาสมินเอ่ยเบา ๆ แต่แววตาที่มองโมนีก้ากลับเต็มไปด้วยความสนใจมากกว่าก่อนหน้าอีกหลายเท่า
ควินตัสยืนตัวตรง กอดอกมองหญิงสาวผมม่วงครามที่ยังคงทำหน้าเอ๋อใส่เหมือนเด็กหลงทาง เขาสบตากับยาสมินที่ยืนข้าง ๆ ก่อนพยักหน้าช้า ๆ เหมือนจะตกลงในใจร่วมกัน จากนั้นเสียงทุ้มหนักของเขาก็ดังขึ้น “โมนีก้า เอ็ม .บลอสซัม… ในฐานะแม่ทัพแห่งค่ายจูปิเตอร์ ผมขอต้อนรับคุณเข้าสู่ค่ายแห่งนี้อย่างเป็นทางการ” ยาสมินยืนเชิดเล็กน้อย แต่รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้ากลับนุ่มนวลกว่าเดิม เธอเสริมขึ้นด้วยเสียงที่เด็ดขาด “ตั้งแต่นี้ เธอจะถูกจัดให้อยู่ในกองร้อยที่สอง ตามคำแนะนำในจดหมายและคำรับรองจากสายเลือดของเธอ ที่นั่นจะเป็นทั้งที่พักและที่ฝึก หวังว่าเธอจะปรับตัวได้โดยไม่สร้างเรื่องให้ปวดหัวนัก”
โมนีก้าพยักหน้าแรง ๆ อย่างตั้งใจ แต่สีหน้ากลับดูเหมือนคนที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากองร้อยที่สองอยู่ตรงไหน ดวงตาสีเทาเงินกลอกไปมาเหมือนกำลังพยายามหาแผนที่ในหัว ความเอ๋อของเธอทำให้แม้แต่ยาสมิตที่ปกติไม่ค่อยหัวเราะยังต้องยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ส่ายหัวเบา ๆ ส่วนควินตัสก็ถอนหายใจพร้อมกลั้วหัวเราะ
“เธอนี่นะ…” ยาสมินพูดเบา ๆ ก่อนหันไปเรียกทหารเวรยามที่ยืนเฝ้าด้านนอก “คนด้านนอก มานี่ที พาเด็กใหม่ไปที่พักกองร้อยสองทีสิ ขืนปล่อยไปเองมีหวังได้หลงจนโผล่ไปถึงค่ายฝึกม้าหรือโรงครัวแน่” ทหารหญิงผมดำเดินเข้ามาทำความเคารพแม่ทัพทั้งสอง ก่อนหันมายิ้มบาง ๆ ให้โมนีก้าแล้วกวักมือเรียก “ทางนี้ค่ะ เดี๋ยวฉันพาไปส่งที่ห้องพักเอง”
โมนีก้าเลยยิ้มกว้าง ยกมือโบกให้ยาสมินกับควินตัสเหมือนเด็กกำลังลาคุณครู “งั้นไปก่อนนะคะ ขอบคุณที่ต้อนรับค่ะ!” น้ำเสียงสดใสจนแม่ทัพทั้งสองมองหน้ากันแล้วได้แต่ถอนหายใจเงียบ ๆ เพราะรู้ทันทีว่า การมาของเด็กสาวสายเลือดเซเรสกับเจนัสคนนี้… จะทำให้ค่ายจูปิเตอร์ไม่เงียบสงบอีกต่อไป
เมื่อประตูไม้หินอ่อนบานใหญ่ปิดลงเบื้องหลังโมนีก้า เสียงฝีเท้าของเธอค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงความเงียบในห้องพรินซิเปีย ยาสมินยืนกอดอก มองไปทางประตูครู่หนึ่งก่อนค่อย ๆ เบนสายตากลับมาที่ควินตัสที่ยังยืนเอนหลังพิงโต๊ะไม้ยาว “เธอมีกลิ่นหอมแปลก ๆ นะว่าไหม กลิ่นน้ำหอมแล้วก็กลิ่นตัวของเธอด้วย” ยาสมินเอ่ยเสียงเรียบ แต่แววตาแฝงความครุ่นคิด “กลิ่นหอมหวานของไลแลคปนกับเบอร์รี่ เหมือนลูกของวีนัสไม่มีผิดที่จะมีกลิ่นหอมเย้ายวนเนี้ย เห็นว่าพวกบุตรของเซเรสจะมีกลิ่นของธรรมชาติเป็นกลิ่นหอมที่ติดตัว”
ควินตัสหรี่ตาเล็กน้อย พึมพำราวกับพูดกับตัวเอง “ทั้งที่เป็นธิดาแห่งเซเรส… กลับมีกลิ่นหวานเย้ายวนแบบนั้นก็คงไม่แปลกละมั้ง?” เขาส่ายศีรษะนิด ๆ แล้วมองตรงไปยังที่ที่โมนีก้าเคยยืนอยู่ “แถมดวงตาของเธอ สีเทาเงินบริสุทธิ์… มันเหมือนกับดวงตาของเทพีมิเนอร์วา อะไรนะ Athena of Grey ey ใช่ไหม? เวลาที่จ้องลึกเข้าไปในหัวใจของคนอื่นราวกับมองทะลุทุกความลับยังไงอย่างงั้น”
ยาสมินยกคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากโค้งเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่อ่อนโยน หากเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความระแวงและความอยากรู้อยากเห็น “ลูกหลานของเจนัสกับเซเรส แต่กลับมีกลิ่นและแววตาเหมือนมาจากอะโฟรไดท์กับมิเนอร์วา…”
ควินตัสยืดตัวขึ้นเต็มความสูงเสียงทุ้มต่ำดังก้องในห้อง “วุ่นวายแน่…” ยาสมินพยักหน้าเห็นด้วย ขยับหันหลังเล็กน้อย ร่างเธอสะท้อนกับพื้นหินอ่อนที่ขัดจนเงาวับ “แต่ไม่ว่าเธอจะเป็นใครหรือซ่อนอะไรเอาไว้ ต่อจากนี้เธอก็เป็นคนของกองร้อยสอง และ… อยู่ภายใต้การดูแลของเรา” ทั้งสองแม่ทัพสบตากันชั่วขณะ บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความรู้สึกคาดหวังและระแวดระวัง ราวกับต่างคนต่างรับรู้…ว่าอาจจะวุ่นวายมากขึ้น ทั้งที่ปกติก็วุ่นวายพอตัวอยู่แล้วก็ตาม

รางวัล :
[NPC-13] ควินตัส แอนเดอร์สัน
พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5
โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15
โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปรานของรุ่นพี่ +20
กลิ่นหอมจาก น้ำหอมสตรี - โบนัสความโปรดปราน +2
(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)
[NPC-14] ยาสมิน อาเดน
พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5
โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน +15
โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปรานของรุ่นพี่ +20
กลิ่นหอมจาก น้ำหอมสตรี - โบนัสความโปรดปราน +2
(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)